หะบีบี้...สุดที่รักของผม
หะบีบี้ น้องนุจสุดท้องแห่งตระกูลโสพณพสุธ
จะทำเช่นไร...
เมื่อการกลับสู่บ้านเกิดกลายกลับตาลปัตร
เป็นบ้านหลังอื่นที่ไม่เคยมีใครรู้ว่ามีอยู่จริงบนโลกนี้
"ดินแดนที่ไม่มีปรากฏบนแผนที่โลก"
ปรากฏแก่สายตา...
"คนแปลกหน้า" เธอคือคนแปลกหน้าสำหรับคนบนดินแดนนี้
และคนบนดินแดนนี้ก็คือ คนแปลกหน้าสำหรับเธอเช่นกัน
คนแปลกหน้าอย่างเธอจะต้องทำเช่นไรในดินแดนใหม่...
เมื่อการกลับสู่อ้อมอกพ่อแม่พี่น้องกลายกลับเป็นความว่างเปล่า
และเขา...คือ 'ภัยคุกคาม!'
ที่กำลังก่อกวนหัวใจเธอนับแต่วินาทีแรกที่ได้เจอ...
เขา...ผู้เป็น...อัศวินขี่ม้าขาวในฝันของเธอมาตลอด...
คนที่เธอเฝ้ารอคอยว่าจะได้เจอในความจริงสักครั้ง...
หากความจริงที่เจอ...กลับพลิกผันชีวิตเธอไปตลอดกาล...
Tags: รักโรแมนติก เพ้อฝัน ความลี้ลับ วิทยาศาสตร์ มุสตอฟา หะบีบี้ โสภณพสุธ
ตอน: บทที่ 22 แล้วพบกันอีกครั้งที่ญันนะห์ (ตอนจบ)
กาลเวลาผันผ่าน มุสตอฟาจากวัยกลางคนลุล่วงสู่วัยชรา
โลกที่เคยอุดมสมบูรณ์ ก็ผันแปรเปลี่ยนเป็นโลกที่เข้าสู่วัยชราไม่แตกต่างไปจากเขา
ภาระมากมายที่วางอยู่บนบ่า ช่างยากที่จะวางลงได้อย่างง่ายดาย
เขาในวันนี้ มีลูกด้วยกันกับหะบีบี้ร่วม 10 คน เป็นชาย 6 คน หญิง 4 คน
ทุกคนเติบโตและต่างก็ออกเรือนมีครอบครัว มีหลานให้กับเขานับยี่สิบกว่าคน
จะมีก็เพียง 'อาชิกีน' บุตรชายคนสุดท้องที่ยังมิได้ออกเรือนเพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่ดูแลเขา
และมารดาของตนที่บ้าน
.
.
.
เป็นสองวันเต็ม ๆ ที่เขาเห็นบิดาทำการพบปะเจรจาต่อรอง และกลับบ้านมาในสภาพที่อ่อนล้า
เหน็ดเหนื่อย หมดแรงไปในการประชุมวางแผนเพื่อที่จะหยุดยั้งการโจมตีจากการยึดครอง
ของศัตรู สำหรับเขาแล้ว พ่อคือ ฮีโร่ ผู้ซึ่งต่อสู้ภายใต้ 'อามานะฮ์' ความรับผิดชอบต่อประชาชาติ
มาโดยตลอด พ่อของเขาผู้มีอามานะฮ์และแบกรับอามานะฮ์อันหนักหน่วงบนบ่าในการต่อสู้
ซึ่งเป็นแนวทางอันบริสุทธิ์มาโดยตลอด
เขายืนมองภาพพ่อที่คงเหนื่อยมากจนนอนหลับสลบไสลไปโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อนอน
และในที่สุด พ่อก็ไม่สามารถแบกรับอามานะฮ์นี้ได้อีกต่อไป
โดยได้มอบหมายอามานะฮ์ที่ท่านถือในมือของท่านแล้วส่งมอบธงแห่งการต่อสู้ให้กับคนรุ่นหลัง
ให้รับอามานะฮ์นี้สืบไป
เมื่อหะบีบี้ได้เห็นว่าสามีกำลังจะเสียชีวิตลง เธอได้กล่าวกับมุสตอฟา สามีอันเป็นสุดที่รักของเธอว่า
"อภัยให้บีบี้ด้วย เพราะก่อนหน้าที่บีบี้จะแต่งงานกับท่านพี่ บีบี้เคยตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง
และบีบี้ก็ปรารถนาจะแต่งงานกับเขา" ผู้เป็นสามีมองใบหน้าของภรรยาอันเป็นที่รักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข
กันมาอย่างยาวนานด้วยแววตาอ่อนโยนและไม่ถือโทษใด ๆ ต่อคำพูดดังกล่าว
"แล้วทำไม เจ้าไม่แต่งงานกับเขา เจ้าคงเสียใจมากใช่ไหมที่ไม่ได้แต่งงานกับเขาคนนั้น"
หะบีบี้ลอบยิ้ม ใช้มือกุมใบหน้าของผู้อันเป็นที่รัก แล้วกล่าวตอบว่า
"ผู้ชายคนนั้น ก็คือ ท่านนี่แหละ ท่านคือ คนเดียวที่บีบี้รักและปรารถนาจะแต่งงานด้วย"
มุสตอฟายิ้มกว้างด้วยความปีติยินดี เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
"ตอนที่ท่านพี่ได้เดินทางมาสู่ขอบีบี้ในโลกนี้จากพ่อของบีบี้เพื่อที่จะแต่งงานและอยู่ด้วยกัน
บีบี้ก็ตอบรับ" หญิงสาวหยุดนิ่ง เอามือลูบไปยังใบหน้าของสามีด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
ก่อนจะกล่าวอีกว่า
"ฉะนั้น ได้โปรดขอต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตาอาลา ให้บีบี้ได้เป็นภรรยาของท่านพี่อีก
ในโลกอาคิเราะห์ด้วยเถิด เพราะบีบี้อยากเป็นภรรยาของท่านพี่อีกในสวรรค์"
แล้วเธอก็ยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายให้กับสามี และเขาก็เอ่ยสองประโยคสุดท้ายก่อนจากไปว่า
"อามีน ยาร็อบ...อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ วะอัชฮะดุอันนะมุฮัมมะดัรเราะซูลุลลอฮ์"
น้ำตาหญิงสาวหยดลงบนใบหน้าของสามีอันเป็นที่รัก แล้วได้แต่ปล่อยให้มันรินไหลไป
โดยไร้เสียงร้องไห้คร่ำครวญใด ๆ ออกมา
หลังจากการเสียชีวิตของมุสตอฟา วันเวลาผ่านพ้นไป ชีวิตย่อมมีสุขและทุกข์สลับสับเปลี่ยนกันไปมา
สัจธรรมที่เที่ยงแท้นั่นคือ โลกนี้เพียงแค่ ทางผ่าน เพราะท้ายที่สุด ทุกข์หรือสุขย่อมมีวันสิ้นสุดลง
หะบีบี้ก็ได้รับบททดสอบมากมายผ่านเข้ามา หนึ่งในนั้นก็คือ
มีบุรุษที่ดีงามมากมายต่างหมายปองและปรารถนาจะแต่งงานกับเธอ
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ผู้ปกครองเมืองที่เป็นชายที่ดีและมีฐานะร่ำรวยทั้งยังเป็นคนที่มีชื่อเสียง
เป็นที่รักของผู้คน ทว่า สิ่งที่หะบีบี้ตอบเขาไปในวันที่เขามาทาบทามเพื่อสู่ขอเธอก็คือ
"ฉันไม่สามารถแต่งงานกับท่านได้ เพราะฉันได้ตกลงหมั้นหมายกับท่านมุสตอฟาในสวรรค์แล้ว
ฉันปรารถนาจะได้ยินเขาเรียกชื่อฉันอีกครั้งในสวนสวรรค์ อินชาอัลลอฮ์"
"ไม่มีสักวันที่เคลื่อนผ่านไป ที่ฉันจะไม่รู้สึกถึงการเป็นภรรยาของสามีผู้ล่วงลับ
ฉันยังคงรู้สึกอยู่เสมอมาว่าเขาคือ สามีของฉัน เขาไม่เคยเป็นอดีตสามีของฉันเลยแม้สักวันเดียว
จิตใจฉันยังไม่เคยขาดการเชื่อมต่อกับเขาแม้สักครั้งเดียวตั้งแต่วันแรกที่ฉันตอบรับเป็นภรรยาของเขา
จวบจนกระทั่งตอนนี้"
ชายผู้ครองเมืองถึงกับยกฝ่ามือขึ้นทาบยังอกข้างซ้ายของตนเอง
ชั่วชีวิตเขา ปรารถนาการจะมีภรรยาที่จงรักภักดี ซื่อสัตย์ต่อเขาทั้งต่อหน้าและลับหลัง
แม้ยามสุขและยามทุกข์ หรือแม้แต่ยามชีวามอดม้วยดับสิ้นลง เขาก็เพียงปรารถนาจะได้รับ
ความรักความภักดีจากภรรยาอย่างต่อเนื่องสืบไปไม่จบสิ้น
เพียงแต่ที่ผ่านมา สิ่งที่เขามีไม่เคยไขว่คว้ามา แต่ที่ต้องการมิเคยได้สมดั่งใจ
เขาเพียงอยากจะรักใครที่รักเขาจริง แต่เขาคงไม่มีวันจะได้เจอ
"ช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน ท่านมุสตอฟา ท่านช่างเป็นบุรุษที่น่าอิจฉาเหลือเกิน"
"เป็นฉันต่างหากที่ได้รับความรักจากเขา เป็นฉันที่ได้สัมผัสรักที่บริสุทธิ์จากเขา"
หะบีบี้ตอบด้วยความตื้นตันใจ ก่อนจะอวยพรให้อีกฝ่าย
"ขอให้ท่านได้สัมผัสกับความรักอันบริสุทธิ์ด้วยเถิด
และขอให้ได้เคียงคู่กับสตรีซอลิฮะห์ที่มีรักอันบริสุทธิ์ สตรีที่ดียิ่งกว่าฉัน อามีน ยาร็อบ"
ลูกชายและลูกสาวของหะบีบี้ที่ได้ยินถ้อยคำดังกล่าวของมารดา ก็ถึงกับน้ำตาซึม
ไม่คิดว่ามารดาของตนจะรักและมั่นคงกับบิดาขนาดนี้ เป็นความรักที่ผู้เป็นลูกที่ได้สัมผัสรับรู้แล้ว
รู้สึกว่า นั่นคือ ของขวัญที่ดีที่สุดที่พ่อแม่ได้มอบให้กับตน และมิเพียงแต่จะถ่ายทอดความรัก
ออกไปอย่างซื่อตรง มารดายังคงมอบคำอวยพรให้กับอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่งดงาม
จนพวกเขาสัมผัสได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียงและแววตาคู่นั้น มิแปลกใจที่อีกฝ่ายจะกลับไป
ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข ทั้ง ๆ ที่ถูกมารดาปฏิเสธที่จะแต่งงานด้วย
อีกทั้ง มารดาของตนได้อุทิศชีวิตและเวลารวมไปถึงแรงกายแรงใจไปกับการศึกษาค้นคว้าวิชาการอิสลาม
และเป็นครูสอนอิสลามให้กับเด็ก ๆ จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
ในวันที่เสียชีวิต หะบีบี้ได้สูญเสียลูกชายทั้งหมดไปในสงคราม
มีเพียงลูกชายคนสุดท้องเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิตอยู่ กับลูกสาวคนโตที่ยังคอย
อยู่เคียงข้างเธอมาตลอด ในขณะที่ลูกสาวที่เหลือของเธอก็เสียชีวิตไปหมด
แม้กระทั่งหลาน ๆ ของนางก็จากไปแล้วจนหมดสิ้น
มีเพียงลูกสาวคนโตกับลูกชายคนสุดท้องที่อยู่ตรงนี้กับเธอ
โดยเธอนั้นนอนอยู่บนตักลูกสาวคนโต
อยู่ ๆ หะบีบี้ก็น้ำตาใหลออกมา ผู้เป็นลูกสาวจึงถามอาการที่เจ็บอยู่
เพราะคิดว่า มารดาต้องเจ็บมาก ๆ ถึงได้ร้องไห้ออกมา
"ท่านแม่ ท่านแม่เจ็บมากมั้ย?" ทว่า น้ำตานั้นกลับไม่ได้เกิดจากความเจ็บปวด แต่กลับมาจากความเสียใจ
ที่ตัวเองไม่สามารถอยู่ดูแลปรนนิบัติลูก ๆ ได้อีกแล้ว จึงร้องออกมา
"โอ้ ลูกรัก ถ้าแม่ตายไป ใครเล่าจะให้กำลังใจลูก ๆ ใครจะคอยปลอบโยนลูก ๆ"
ได้ยินเช่นนั้น ความรักของแม่ก็ได้ใหลเข้าสู่หัวใจลูก ทำให้ลูก ๆ ร้องไห้
หะบีบี้ สตรีที่ปกปิดใบหน้ามาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สามีเสียชีวิตไป ก็ไม่มีใครอื่นเว้นแต่คนในครอบครัว
จะได้เห็นใบหน้าของเธอ เพราะเธอไม่เคยแสดงตัวเองให้ผู้คนเห็น เว้นแต่ในยามสอนหนังสือให้กับเด็ก ๆ
ก่อนจากไป หะบีบี้ได้บอกกับลูก ๆ ว่า
"แม่อยากขอลูกทั้งสอง 3 อย่างจะได้หรือไม่?" ลูก ๆ พยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียงกัน
"ข้อแรก คนที่อาบน้ำศพของแม่ ขอให้เป็นลูกสาวของแม่เท่านั้น และกาฝั่น (ห่อศพ) ด้วยตัวเอง
และให้ลูกชายของแม่นำศพแม่เข้าไปในกุโบร์ด้วยตัวเอง จะได้ไหม?"
ลูก ๆ พยักหน้ารับพร้อมทั้งน้ำตา
"ข้อสอง แม่พบเจอกับการพลัดพรากสูญเสียพ่อและแม่ รวมไปถึงบรรดาพี่น้อง
สูญเสียสามี และลูก ๆ ของแม่ไปกับสงครามอันโหดร้าย
ทุกการสูญเสียล้วนเจ็บปวดและทรมารยิ่งนัก ดังนั้น หลังจากที่แม่จากไปแล้ว
แม่ขอให้ลูกทั้งสองของแม่ช่วยคิดถึงผู้คนมากมายที่ขาดความอบอุ่น
เด็กกำพร้าที่ไร้พ่อขาดแม่ ช่วยรักพวกเขาให้มาก ๆ ช่วยรักพวกเขาเหมือนที่ลูก ๆ รักและคิดถึงแม่"
ลูก ๆ พยักหน้ารับ พลางกุมมือแม่เอาไว้แน่น
"ข้อสุดท้าย อภัยให้กับทุก ๆ ความผิดพลาดและความบกพร่องที่แม่มีต่อลูก ๆ ด้วย
แม่ขอมะอัฟกับทุก ๆ อย่างที่แม่ทำได้ไม่ดีและทำได้บกพร่องไป แม่ขอโทษนะลูก"
ลูก ๆ พยักหน้ารับพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันว่า
"แม่ดีที่สุด ไม่มีอะไรอีกแล้วที่ค้างคาในใจของเรา" จากนั้นเสียงของหะบีบี้ก็เงียบไป
ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยประโยคสุดท้ายว่า
"แม่จะไปอยู่กับพ่อตามที่เคยหมั้นหมายกันเอาไว้ พ่อของลูกเคยกระซิบบอกแม่ว่า
หลังจากพ่อจากโลกนี้ไปได้ไม่นาน แม่ก็จะตามพ่อของลูกไป และถึงเวลาที่แม่จะไปหาพ่อของลูกแล้ว
ตามไปอยู่ด้วยกัน แม่จะรอ รอลูก ๆ ของแม่ ไปอยู่ด้วยกันทั้งหมดนะลูกรัก
จงเป็นคนดีของอัลลอฮ์และอย่าลืมดุอาอ์ให้พ่อกับแม่ด้วย วัสลามุอะลัยกุม
อัซฮาดุอัลลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ วะอัชฮาดุอันนะมุฮัมมะดัรฺรอซูลุ้ลลอฮ์"
ในที่สุด ท่ามกลางความเสียใจของทุกคน หะบีบี้ก็จากไปพร้อมด้วยคำสัตย์ปฏิญาณสุดท้าย
เมื่อลูกชายคนสุดท้องของหะบีบี้ได้นำร่างของมารดาเข้าไปในหลุมฝังศพ
โดยมีการกางผ้าม่านคลุมไว้รอบหลุมศพเพื่อกันไม่ให้ผู้คนได้มองเห็นมารดาของตน
ทั้ง ๆ ที่ ไม่มีใครในที่แห่งนี้เลย นอกจากเขาที่มาส่งมารดาเพียงลำพังโดยที่น้องสาวซึ่งเป็นสตรี
อยู่ที่เรือน เนื่องจากภัยสงครามที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายจนสิ่งต่าง ๆ รอบตัวตกอยู่ในความเงียบงัน
หลังจากไฟสงครามได้เผาผลาญทำลายทุกอย่างให้มลายหายไป
ที่เหลืออยู่ก็เพียงไม่กี่ชีวิตที่พลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก พลัดพรากครอบครัว
ซึ่งสายตระกูลเขาที่ยังหลงเหลืออยู่ในตอนนี้ก็มีเพียงเขาและพี่สาวเพียงเท่านั้น
ซึ่งขณะที่นำร่างมารดาลงสู่หลุม เขาก็ถึงกับสะอื้นออกมาเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า
ก่อนจะเปรยออกมาเบา ๆ ว่า
"ฉันยังจำคำพูดของท่านปู่ได้ดี ท่านได้พูดว่า เมื่อใดที่ลูกสาวของฉันเสียชีวิตลง
ฉันจะเป็นคนแรกที่จะรับร่างของนางอยู่ในหลุมศพเอง ในขณะที่ท่านพ่อเคยพูดว่า
ฉันก็จะรอรับร่างของภรรยาของฉันเคียงข้างบิดาของนางเช่นกัน และฉันขอสาบาน
ฉันได้เห็นมือของท่านทั้งสองรองรับร่างของท่านแม่และจูบท่านแม่" จากนั้น เขาก็พูดว่า
"โอ้ท่านปู่และท่านพ่อ มาวันนี้ ฉันขอส่งมอบดวงใจอันเป็นที่รักของท่านทั้งสอง
นางผู้ที่ปรารถนาจะอยู่กับท่านทั้งสองในสวนสวรรค์แด่ท่าน"
เมื่อลูกชายได้ฝังร่างของมารดาลุล่วงแล้ว ยืนส่งมารดาเป็นครั้งสุดท้าย
แล้วจึงกลับบ้านอย่างเดียวดาย ไร้คนข้างกาย
โลกที่แสนวุ่นวายโกลาหลกลับสู่ความสงบ สันติ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่แลกมาด้วยความสูญเสียมหาศาล
ความตายสำหรับพวกเขาแล้วนั้นกลายเป็นเพียงการกลับไปยังครอบครัวและผู้อันเป็นที่รักยิ่ง
การแก่งแย่งช่วงชิงแข่งขันบนโลกนี้จึงปิดฉากลง
'โอ้ลูกรัก หากมีผู้คนนับพันนับหมื่นรักลูก แม่คือ คนแรกในหมู่พวกเขานะที่รักลูก
และหากมีคนรักลูกเพียงแค่คนเดียว คนคนนั้นก็คือ แม่นะลูก
แต่ถ้าหากไม่มีใครรักลูกเลยสักคนบนโลกใบนี้ ลูกจงรู้ไว้นะว่า แม่ได้หมดลมหายใจไปแล้ว'
อยู่ ๆ คำพูดของมารดาผู้ล่วงลับที่เขาเพิ่งฝังร่างของนางลงสู่ผืนดิน อันเป็นมาตุภูมิของมารดา
ก็แว่วดังมาจากวันวาน ดังกึกก้องภายในหัวใจของเขา
วันที่ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ สันติ เขาไม่มีพ่อ ทั้งไม่มีแม่ อยู่เคียงข้างกาย
เขายังคงจำได้ไม่ลืมเลือน
ณ เวลานั้นที่พ่อจากไป เหล่าบรรดาทหารนักรบผู้กล้ายืนเรียงอยู่แถวหน้าและประณามศัตรูผู้รุกราน
ที่อยู่บนหน้าผืนดินแห่งนั้น...
ณ เวลานี้เขามองไปเบื้องหน้า มองไปรอบทิศ อีกไม่ช้า โลกก็คงจะใกล้ถึงกาลอวสานแล้ว
สุดท้าย ก็ไม่มีอะไร ณ ที่แห่งนี้ที่จีรังยั่งยืน
"วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาอันสมควร สักวัน เรือนร่างนี้ ก็คงต้อนนอนพัก...เช่นกัน"
ร่างสูงใหญ่ ท่วงท่าสง่างาม ก้าวเดินเหยียบย่ำทองคำ และบรรดาเงินตราหลากหลายสกุล
ที่เกลื่อนกลาดบนหน้าแผ่นดิน ราวกับมันไร้ค่า ไร้ความหมาย ไม่ต่างจากเศษหินเศษดินเศษฝุ่นปลิวว่อน
ที่เมื่อกาลก่อน ผู้คนมากมายต่างไขว่คว้าต้องการมันอย่างเอาเป็นเอาตาย
หากแต่ในวันนี้จะมีอะไรที่สำคัญไปกว่า 'การหวนคืน' อีกเล่า
เมื่อเดินมาหยุดยืนนิ่งยังผืนแผ่นดินฮารอม มองตรงไปยังบัยตุลลอฮ์
ร่างสง่างาม ทรุดเข่าลงอย่างนอบน้อม ก่อนจะก้มลงแนบหน้าผากกับผืนดิน
'ซูญูด' ด้วยหัวใจที่ยอมจำนนสิโรราบต่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว
สูงสุดสู่สามัญ
จากธุลี สู่ ธุลี
จากผู้สร้าง สู่ ผู้สร้าง
.....................จบ............................
จบลงไปแล้วค่ะสำหรับเรื่องนี้ ที่กว่าจะปิดจบลงได้ กินเวลานานมากเหลือเกิน
สำหรับ "ตอนพิเศษ" นั้น พิเศษสมชื่อมาก ๆ ค่ะ แต่โยจะเก็บเอาไว้มอบให้
สำหรับนักอ่านที่สะสม "อีบุ๊ค" นะคะ เพราะเรื่องนี้ โยตั้งใจจะทำเป็นอีบุ๊คด้วยค่ะ
รอติดตามกันได้นะคะ อาจจะอีกสักพักใหญ่ ๆ กว่าจะคลอดเป็นเล่มออกมา
ฝากติดตามผลงานกันด้วยนะคะ
ตอนนี้ เต่าโยได้กลับมาทำการปิดจบนวนิยายไปได้เกือบหมดแล้ว สำหรับเรื่องที่เขียนค้างไว้
เมื่อหลายปีก่อน ตั้งแต่เรื่องเศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์ ก็ปิดจบไปแล้วก่อนหน้านี้
แล้วก็เรื่องนี้ ก็เพิ่งจะปิดจบไปหมาด ๆ ยังมีอีกเรื่องที่ยังค้างอยู่อีกไม่กี่ตอนก็ปิดจบ
นั่นคือ เรื่องซุนนูรอยน์ ก็ตั้งใจจะปิดจบเป็นเรื่องถัดจากเรื่องนี้ค่ะ
และรีไรท์เสร็จไปแล้ว 4 เรื่อง รอปกหน้าและปกหลัง ก็จะรวมเล่มทำเป็นอีบุ๊คถัดไป
ฝากเป็นกำลังใจให้เต่าโยด้วยนะคะ ยังอยากได้กำลังใจจากนักอ่านที่ยังคงติดตาม
และเพิ่งจะเข้ามาอ่านอยู่เสมอ ทักทายส่งเสียงกันมาบ้างนะคะ
และ
ด้วยรักและคิดถึง
"เต่าโย"
โลกที่เคยอุดมสมบูรณ์ ก็ผันแปรเปลี่ยนเป็นโลกที่เข้าสู่วัยชราไม่แตกต่างไปจากเขา
ภาระมากมายที่วางอยู่บนบ่า ช่างยากที่จะวางลงได้อย่างง่ายดาย
เขาในวันนี้ มีลูกด้วยกันกับหะบีบี้ร่วม 10 คน เป็นชาย 6 คน หญิง 4 คน
ทุกคนเติบโตและต่างก็ออกเรือนมีครอบครัว มีหลานให้กับเขานับยี่สิบกว่าคน
จะมีก็เพียง 'อาชิกีน' บุตรชายคนสุดท้องที่ยังมิได้ออกเรือนเพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่ดูแลเขา
และมารดาของตนที่บ้าน
.
.
.
เป็นสองวันเต็ม ๆ ที่เขาเห็นบิดาทำการพบปะเจรจาต่อรอง และกลับบ้านมาในสภาพที่อ่อนล้า
เหน็ดเหนื่อย หมดแรงไปในการประชุมวางแผนเพื่อที่จะหยุดยั้งการโจมตีจากการยึดครอง
ของศัตรู สำหรับเขาแล้ว พ่อคือ ฮีโร่ ผู้ซึ่งต่อสู้ภายใต้ 'อามานะฮ์' ความรับผิดชอบต่อประชาชาติ
มาโดยตลอด พ่อของเขาผู้มีอามานะฮ์และแบกรับอามานะฮ์อันหนักหน่วงบนบ่าในการต่อสู้
ซึ่งเป็นแนวทางอันบริสุทธิ์มาโดยตลอด
เขายืนมองภาพพ่อที่คงเหนื่อยมากจนนอนหลับสลบไสลไปโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อนอน
และในที่สุด พ่อก็ไม่สามารถแบกรับอามานะฮ์นี้ได้อีกต่อไป
โดยได้มอบหมายอามานะฮ์ที่ท่านถือในมือของท่านแล้วส่งมอบธงแห่งการต่อสู้ให้กับคนรุ่นหลัง
ให้รับอามานะฮ์นี้สืบไป
เมื่อหะบีบี้ได้เห็นว่าสามีกำลังจะเสียชีวิตลง เธอได้กล่าวกับมุสตอฟา สามีอันเป็นสุดที่รักของเธอว่า
"อภัยให้บีบี้ด้วย เพราะก่อนหน้าที่บีบี้จะแต่งงานกับท่านพี่ บีบี้เคยตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง
และบีบี้ก็ปรารถนาจะแต่งงานกับเขา" ผู้เป็นสามีมองใบหน้าของภรรยาอันเป็นที่รักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข
กันมาอย่างยาวนานด้วยแววตาอ่อนโยนและไม่ถือโทษใด ๆ ต่อคำพูดดังกล่าว
"แล้วทำไม เจ้าไม่แต่งงานกับเขา เจ้าคงเสียใจมากใช่ไหมที่ไม่ได้แต่งงานกับเขาคนนั้น"
หะบีบี้ลอบยิ้ม ใช้มือกุมใบหน้าของผู้อันเป็นที่รัก แล้วกล่าวตอบว่า
"ผู้ชายคนนั้น ก็คือ ท่านนี่แหละ ท่านคือ คนเดียวที่บีบี้รักและปรารถนาจะแต่งงานด้วย"
มุสตอฟายิ้มกว้างด้วยความปีติยินดี เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
"ตอนที่ท่านพี่ได้เดินทางมาสู่ขอบีบี้ในโลกนี้จากพ่อของบีบี้เพื่อที่จะแต่งงานและอยู่ด้วยกัน
บีบี้ก็ตอบรับ" หญิงสาวหยุดนิ่ง เอามือลูบไปยังใบหน้าของสามีด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
ก่อนจะกล่าวอีกว่า
"ฉะนั้น ได้โปรดขอต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตาอาลา ให้บีบี้ได้เป็นภรรยาของท่านพี่อีก
ในโลกอาคิเราะห์ด้วยเถิด เพราะบีบี้อยากเป็นภรรยาของท่านพี่อีกในสวรรค์"
แล้วเธอก็ยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายให้กับสามี และเขาก็เอ่ยสองประโยคสุดท้ายก่อนจากไปว่า
"อามีน ยาร็อบ...อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ วะอัชฮะดุอันนะมุฮัมมะดัรเราะซูลุลลอฮ์"
น้ำตาหญิงสาวหยดลงบนใบหน้าของสามีอันเป็นที่รัก แล้วได้แต่ปล่อยให้มันรินไหลไป
โดยไร้เสียงร้องไห้คร่ำครวญใด ๆ ออกมา
หลังจากการเสียชีวิตของมุสตอฟา วันเวลาผ่านพ้นไป ชีวิตย่อมมีสุขและทุกข์สลับสับเปลี่ยนกันไปมา
สัจธรรมที่เที่ยงแท้นั่นคือ โลกนี้เพียงแค่ ทางผ่าน เพราะท้ายที่สุด ทุกข์หรือสุขย่อมมีวันสิ้นสุดลง
หะบีบี้ก็ได้รับบททดสอบมากมายผ่านเข้ามา หนึ่งในนั้นก็คือ
มีบุรุษที่ดีงามมากมายต่างหมายปองและปรารถนาจะแต่งงานกับเธอ
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ผู้ปกครองเมืองที่เป็นชายที่ดีและมีฐานะร่ำรวยทั้งยังเป็นคนที่มีชื่อเสียง
เป็นที่รักของผู้คน ทว่า สิ่งที่หะบีบี้ตอบเขาไปในวันที่เขามาทาบทามเพื่อสู่ขอเธอก็คือ
"ฉันไม่สามารถแต่งงานกับท่านได้ เพราะฉันได้ตกลงหมั้นหมายกับท่านมุสตอฟาในสวรรค์แล้ว
ฉันปรารถนาจะได้ยินเขาเรียกชื่อฉันอีกครั้งในสวนสวรรค์ อินชาอัลลอฮ์"
"ไม่มีสักวันที่เคลื่อนผ่านไป ที่ฉันจะไม่รู้สึกถึงการเป็นภรรยาของสามีผู้ล่วงลับ
ฉันยังคงรู้สึกอยู่เสมอมาว่าเขาคือ สามีของฉัน เขาไม่เคยเป็นอดีตสามีของฉันเลยแม้สักวันเดียว
จิตใจฉันยังไม่เคยขาดการเชื่อมต่อกับเขาแม้สักครั้งเดียวตั้งแต่วันแรกที่ฉันตอบรับเป็นภรรยาของเขา
จวบจนกระทั่งตอนนี้"
ชายผู้ครองเมืองถึงกับยกฝ่ามือขึ้นทาบยังอกข้างซ้ายของตนเอง
ชั่วชีวิตเขา ปรารถนาการจะมีภรรยาที่จงรักภักดี ซื่อสัตย์ต่อเขาทั้งต่อหน้าและลับหลัง
แม้ยามสุขและยามทุกข์ หรือแม้แต่ยามชีวามอดม้วยดับสิ้นลง เขาก็เพียงปรารถนาจะได้รับ
ความรักความภักดีจากภรรยาอย่างต่อเนื่องสืบไปไม่จบสิ้น
เพียงแต่ที่ผ่านมา สิ่งที่เขามีไม่เคยไขว่คว้ามา แต่ที่ต้องการมิเคยได้สมดั่งใจ
เขาเพียงอยากจะรักใครที่รักเขาจริง แต่เขาคงไม่มีวันจะได้เจอ
"ช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน ท่านมุสตอฟา ท่านช่างเป็นบุรุษที่น่าอิจฉาเหลือเกิน"
"เป็นฉันต่างหากที่ได้รับความรักจากเขา เป็นฉันที่ได้สัมผัสรักที่บริสุทธิ์จากเขา"
หะบีบี้ตอบด้วยความตื้นตันใจ ก่อนจะอวยพรให้อีกฝ่าย
"ขอให้ท่านได้สัมผัสกับความรักอันบริสุทธิ์ด้วยเถิด
และขอให้ได้เคียงคู่กับสตรีซอลิฮะห์ที่มีรักอันบริสุทธิ์ สตรีที่ดียิ่งกว่าฉัน อามีน ยาร็อบ"
ลูกชายและลูกสาวของหะบีบี้ที่ได้ยินถ้อยคำดังกล่าวของมารดา ก็ถึงกับน้ำตาซึม
ไม่คิดว่ามารดาของตนจะรักและมั่นคงกับบิดาขนาดนี้ เป็นความรักที่ผู้เป็นลูกที่ได้สัมผัสรับรู้แล้ว
รู้สึกว่า นั่นคือ ของขวัญที่ดีที่สุดที่พ่อแม่ได้มอบให้กับตน และมิเพียงแต่จะถ่ายทอดความรัก
ออกไปอย่างซื่อตรง มารดายังคงมอบคำอวยพรให้กับอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่งดงาม
จนพวกเขาสัมผัสได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียงและแววตาคู่นั้น มิแปลกใจที่อีกฝ่ายจะกลับไป
ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข ทั้ง ๆ ที่ถูกมารดาปฏิเสธที่จะแต่งงานด้วย
อีกทั้ง มารดาของตนได้อุทิศชีวิตและเวลารวมไปถึงแรงกายแรงใจไปกับการศึกษาค้นคว้าวิชาการอิสลาม
และเป็นครูสอนอิสลามให้กับเด็ก ๆ จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
ในวันที่เสียชีวิต หะบีบี้ได้สูญเสียลูกชายทั้งหมดไปในสงคราม
มีเพียงลูกชายคนสุดท้องเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิตอยู่ กับลูกสาวคนโตที่ยังคอย
อยู่เคียงข้างเธอมาตลอด ในขณะที่ลูกสาวที่เหลือของเธอก็เสียชีวิตไปหมด
แม้กระทั่งหลาน ๆ ของนางก็จากไปแล้วจนหมดสิ้น
มีเพียงลูกสาวคนโตกับลูกชายคนสุดท้องที่อยู่ตรงนี้กับเธอ
โดยเธอนั้นนอนอยู่บนตักลูกสาวคนโต
อยู่ ๆ หะบีบี้ก็น้ำตาใหลออกมา ผู้เป็นลูกสาวจึงถามอาการที่เจ็บอยู่
เพราะคิดว่า มารดาต้องเจ็บมาก ๆ ถึงได้ร้องไห้ออกมา
"ท่านแม่ ท่านแม่เจ็บมากมั้ย?" ทว่า น้ำตานั้นกลับไม่ได้เกิดจากความเจ็บปวด แต่กลับมาจากความเสียใจ
ที่ตัวเองไม่สามารถอยู่ดูแลปรนนิบัติลูก ๆ ได้อีกแล้ว จึงร้องออกมา
"โอ้ ลูกรัก ถ้าแม่ตายไป ใครเล่าจะให้กำลังใจลูก ๆ ใครจะคอยปลอบโยนลูก ๆ"
ได้ยินเช่นนั้น ความรักของแม่ก็ได้ใหลเข้าสู่หัวใจลูก ทำให้ลูก ๆ ร้องไห้
หะบีบี้ สตรีที่ปกปิดใบหน้ามาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สามีเสียชีวิตไป ก็ไม่มีใครอื่นเว้นแต่คนในครอบครัว
จะได้เห็นใบหน้าของเธอ เพราะเธอไม่เคยแสดงตัวเองให้ผู้คนเห็น เว้นแต่ในยามสอนหนังสือให้กับเด็ก ๆ
ก่อนจากไป หะบีบี้ได้บอกกับลูก ๆ ว่า
"แม่อยากขอลูกทั้งสอง 3 อย่างจะได้หรือไม่?" ลูก ๆ พยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียงกัน
"ข้อแรก คนที่อาบน้ำศพของแม่ ขอให้เป็นลูกสาวของแม่เท่านั้น และกาฝั่น (ห่อศพ) ด้วยตัวเอง
และให้ลูกชายของแม่นำศพแม่เข้าไปในกุโบร์ด้วยตัวเอง จะได้ไหม?"
ลูก ๆ พยักหน้ารับพร้อมทั้งน้ำตา
"ข้อสอง แม่พบเจอกับการพลัดพรากสูญเสียพ่อและแม่ รวมไปถึงบรรดาพี่น้อง
สูญเสียสามี และลูก ๆ ของแม่ไปกับสงครามอันโหดร้าย
ทุกการสูญเสียล้วนเจ็บปวดและทรมารยิ่งนัก ดังนั้น หลังจากที่แม่จากไปแล้ว
แม่ขอให้ลูกทั้งสองของแม่ช่วยคิดถึงผู้คนมากมายที่ขาดความอบอุ่น
เด็กกำพร้าที่ไร้พ่อขาดแม่ ช่วยรักพวกเขาให้มาก ๆ ช่วยรักพวกเขาเหมือนที่ลูก ๆ รักและคิดถึงแม่"
ลูก ๆ พยักหน้ารับ พลางกุมมือแม่เอาไว้แน่น
"ข้อสุดท้าย อภัยให้กับทุก ๆ ความผิดพลาดและความบกพร่องที่แม่มีต่อลูก ๆ ด้วย
แม่ขอมะอัฟกับทุก ๆ อย่างที่แม่ทำได้ไม่ดีและทำได้บกพร่องไป แม่ขอโทษนะลูก"
ลูก ๆ พยักหน้ารับพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันว่า
"แม่ดีที่สุด ไม่มีอะไรอีกแล้วที่ค้างคาในใจของเรา" จากนั้นเสียงของหะบีบี้ก็เงียบไป
ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยประโยคสุดท้ายว่า
"แม่จะไปอยู่กับพ่อตามที่เคยหมั้นหมายกันเอาไว้ พ่อของลูกเคยกระซิบบอกแม่ว่า
หลังจากพ่อจากโลกนี้ไปได้ไม่นาน แม่ก็จะตามพ่อของลูกไป และถึงเวลาที่แม่จะไปหาพ่อของลูกแล้ว
ตามไปอยู่ด้วยกัน แม่จะรอ รอลูก ๆ ของแม่ ไปอยู่ด้วยกันทั้งหมดนะลูกรัก
จงเป็นคนดีของอัลลอฮ์และอย่าลืมดุอาอ์ให้พ่อกับแม่ด้วย วัสลามุอะลัยกุม
อัซฮาดุอัลลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ วะอัชฮาดุอันนะมุฮัมมะดัรฺรอซูลุ้ลลอฮ์"
ในที่สุด ท่ามกลางความเสียใจของทุกคน หะบีบี้ก็จากไปพร้อมด้วยคำสัตย์ปฏิญาณสุดท้าย
เมื่อลูกชายคนสุดท้องของหะบีบี้ได้นำร่างของมารดาเข้าไปในหลุมฝังศพ
โดยมีการกางผ้าม่านคลุมไว้รอบหลุมศพเพื่อกันไม่ให้ผู้คนได้มองเห็นมารดาของตน
ทั้ง ๆ ที่ ไม่มีใครในที่แห่งนี้เลย นอกจากเขาที่มาส่งมารดาเพียงลำพังโดยที่น้องสาวซึ่งเป็นสตรี
อยู่ที่เรือน เนื่องจากภัยสงครามที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายจนสิ่งต่าง ๆ รอบตัวตกอยู่ในความเงียบงัน
หลังจากไฟสงครามได้เผาผลาญทำลายทุกอย่างให้มลายหายไป
ที่เหลืออยู่ก็เพียงไม่กี่ชีวิตที่พลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก พลัดพรากครอบครัว
ซึ่งสายตระกูลเขาที่ยังหลงเหลืออยู่ในตอนนี้ก็มีเพียงเขาและพี่สาวเพียงเท่านั้น
ซึ่งขณะที่นำร่างมารดาลงสู่หลุม เขาก็ถึงกับสะอื้นออกมาเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า
ก่อนจะเปรยออกมาเบา ๆ ว่า
"ฉันยังจำคำพูดของท่านปู่ได้ดี ท่านได้พูดว่า เมื่อใดที่ลูกสาวของฉันเสียชีวิตลง
ฉันจะเป็นคนแรกที่จะรับร่างของนางอยู่ในหลุมศพเอง ในขณะที่ท่านพ่อเคยพูดว่า
ฉันก็จะรอรับร่างของภรรยาของฉันเคียงข้างบิดาของนางเช่นกัน และฉันขอสาบาน
ฉันได้เห็นมือของท่านทั้งสองรองรับร่างของท่านแม่และจูบท่านแม่" จากนั้น เขาก็พูดว่า
"โอ้ท่านปู่และท่านพ่อ มาวันนี้ ฉันขอส่งมอบดวงใจอันเป็นที่รักของท่านทั้งสอง
นางผู้ที่ปรารถนาจะอยู่กับท่านทั้งสองในสวนสวรรค์แด่ท่าน"
เมื่อลูกชายได้ฝังร่างของมารดาลุล่วงแล้ว ยืนส่งมารดาเป็นครั้งสุดท้าย
แล้วจึงกลับบ้านอย่างเดียวดาย ไร้คนข้างกาย
โลกที่แสนวุ่นวายโกลาหลกลับสู่ความสงบ สันติ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่แลกมาด้วยความสูญเสียมหาศาล
ความตายสำหรับพวกเขาแล้วนั้นกลายเป็นเพียงการกลับไปยังครอบครัวและผู้อันเป็นที่รักยิ่ง
การแก่งแย่งช่วงชิงแข่งขันบนโลกนี้จึงปิดฉากลง
'โอ้ลูกรัก หากมีผู้คนนับพันนับหมื่นรักลูก แม่คือ คนแรกในหมู่พวกเขานะที่รักลูก
และหากมีคนรักลูกเพียงแค่คนเดียว คนคนนั้นก็คือ แม่นะลูก
แต่ถ้าหากไม่มีใครรักลูกเลยสักคนบนโลกใบนี้ ลูกจงรู้ไว้นะว่า แม่ได้หมดลมหายใจไปแล้ว'
อยู่ ๆ คำพูดของมารดาผู้ล่วงลับที่เขาเพิ่งฝังร่างของนางลงสู่ผืนดิน อันเป็นมาตุภูมิของมารดา
ก็แว่วดังมาจากวันวาน ดังกึกก้องภายในหัวใจของเขา
วันที่ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ สันติ เขาไม่มีพ่อ ทั้งไม่มีแม่ อยู่เคียงข้างกาย
เขายังคงจำได้ไม่ลืมเลือน
ณ เวลานั้นที่พ่อจากไป เหล่าบรรดาทหารนักรบผู้กล้ายืนเรียงอยู่แถวหน้าและประณามศัตรูผู้รุกราน
ที่อยู่บนหน้าผืนดินแห่งนั้น...
ณ เวลานี้เขามองไปเบื้องหน้า มองไปรอบทิศ อีกไม่ช้า โลกก็คงจะใกล้ถึงกาลอวสานแล้ว
สุดท้าย ก็ไม่มีอะไร ณ ที่แห่งนี้ที่จีรังยั่งยืน
"วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาอันสมควร สักวัน เรือนร่างนี้ ก็คงต้อนนอนพัก...เช่นกัน"
ร่างสูงใหญ่ ท่วงท่าสง่างาม ก้าวเดินเหยียบย่ำทองคำ และบรรดาเงินตราหลากหลายสกุล
ที่เกลื่อนกลาดบนหน้าแผ่นดิน ราวกับมันไร้ค่า ไร้ความหมาย ไม่ต่างจากเศษหินเศษดินเศษฝุ่นปลิวว่อน
ที่เมื่อกาลก่อน ผู้คนมากมายต่างไขว่คว้าต้องการมันอย่างเอาเป็นเอาตาย
หากแต่ในวันนี้จะมีอะไรที่สำคัญไปกว่า 'การหวนคืน' อีกเล่า
เมื่อเดินมาหยุดยืนนิ่งยังผืนแผ่นดินฮารอม มองตรงไปยังบัยตุลลอฮ์
ร่างสง่างาม ทรุดเข่าลงอย่างนอบน้อม ก่อนจะก้มลงแนบหน้าผากกับผืนดิน
'ซูญูด' ด้วยหัวใจที่ยอมจำนนสิโรราบต่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว
สูงสุดสู่สามัญ
จากธุลี สู่ ธุลี
จากผู้สร้าง สู่ ผู้สร้าง
.....................จบ............................
จบลงไปแล้วค่ะสำหรับเรื่องนี้ ที่กว่าจะปิดจบลงได้ กินเวลานานมากเหลือเกิน
สำหรับ "ตอนพิเศษ" นั้น พิเศษสมชื่อมาก ๆ ค่ะ แต่โยจะเก็บเอาไว้มอบให้
สำหรับนักอ่านที่สะสม "อีบุ๊ค" นะคะ เพราะเรื่องนี้ โยตั้งใจจะทำเป็นอีบุ๊คด้วยค่ะ
รอติดตามกันได้นะคะ อาจจะอีกสักพักใหญ่ ๆ กว่าจะคลอดเป็นเล่มออกมา
ฝากติดตามผลงานกันด้วยนะคะ
ตอนนี้ เต่าโยได้กลับมาทำการปิดจบนวนิยายไปได้เกือบหมดแล้ว สำหรับเรื่องที่เขียนค้างไว้
เมื่อหลายปีก่อน ตั้งแต่เรื่องเศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์ ก็ปิดจบไปแล้วก่อนหน้านี้
แล้วก็เรื่องนี้ ก็เพิ่งจะปิดจบไปหมาด ๆ ยังมีอีกเรื่องที่ยังค้างอยู่อีกไม่กี่ตอนก็ปิดจบ
นั่นคือ เรื่องซุนนูรอยน์ ก็ตั้งใจจะปิดจบเป็นเรื่องถัดจากเรื่องนี้ค่ะ
และรีไรท์เสร็จไปแล้ว 4 เรื่อง รอปกหน้าและปกหลัง ก็จะรวมเล่มทำเป็นอีบุ๊คถัดไป
ฝากเป็นกำลังใจให้เต่าโยด้วยนะคะ ยังอยากได้กำลังใจจากนักอ่านที่ยังคงติดตาม
และเพิ่งจะเข้ามาอ่านอยู่เสมอ ทักทายส่งเสียงกันมาบ้างนะคะ
และ
ด้วยรักและคิดถึง
"เต่าโย"
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 พ.ย. 2567, 01:00:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 พ.ย. 2567, 01:00:07 น.
จำนวนการเข้าชม : 23
<< บทที่ 21 นักคิดมัต |