หะบีบี้...สุดที่รักของผม

หะบีบี้ น้องนุจสุดท้องแห่งตระกูลโสพณพสุธ
จะทำเช่นไร...

เมื่อการกลับสู่บ้านเกิดกลายกลับตาลปัตร
เป็นบ้านหลังอื่นที่ไม่เคยมีใครรู้ว่ามีอยู่จริงบนโลกนี้

"ดินแดนที่ไม่มีปรากฏบนแผนที่โลก"

ปรากฏแก่สายตา...



"คนแปลกหน้า" เธอคือคนแปลกหน้าสำหรับคนบนดินแดนนี้
และคนบนดินแดนนี้ก็คือ คนแปลกหน้าสำหรับเธอเช่นกัน


คนแปลกหน้าอย่างเธอจะต้องทำเช่นไรในดินแดนใหม่...

เมื่อการกลับสู่อ้อมอกพ่อแม่พี่น้องกลายกลับเป็นความว่างเปล่า

และเขา...คือ 'ภัยคุกคาม!'

ที่กำลังก่อกวนหัวใจเธอนับแต่วินาทีแรกที่ได้เจอ...

เขา...ผู้เป็น...อัศวินขี่ม้าขาวในฝันของเธอมาตลอด...
คนที่เธอเฝ้ารอคอยว่าจะได้เจอในความจริงสักครั้ง...

หากความจริงที่เจอ...กลับพลิกผันชีวิตเธอไปตลอดกาล...



Tags: รักโรแมนติก เพ้อฝัน ความลี้ลับ วิทยาศาสตร์ มุสตอฟา หะบีบี้ โสภณพสุธ

ตอน: บทที่ 22 แล้วพบกันอีกครั้งที่ญันนะห์ (ตอนจบ)

กาลเวลาผันผ่าน มุสตอฟาจากวัยกลางคนลุล่วงสู่วัยชรา
โลกที่เคยอุดมสมบูรณ์ ก็ผันแปรเปลี่ยนเป็นโลกที่เข้าสู่วัยชราไม่แตกต่างไปจากเขา
ภาระมากมายที่วางอยู่บนบ่า ช่างยากที่จะวางลงได้อย่างง่ายดาย
เขาในวันนี้ มีลูกด้วยกันกับหะบีบี้ร่วม 10 คน เป็นชาย 6 คน หญิง 4 คน
ทุกคนเติบโตและต่างก็ออกเรือนมีครอบครัว มีหลานให้กับเขานับยี่สิบกว่าคน

จะมีก็เพียง 'อาชิกีน' บุตรชายคนสุดท้องที่ยังมิได้ออกเรือนเพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่ดูแลเขา
และมารดาของตนที่บ้าน

.
.
.

เป็นสองวันเต็ม ๆ ที่เขาเห็นบิดาทำการพบปะเจรจาต่อรอง และกลับบ้านมาในสภาพที่อ่อนล้า
เหน็ดเหนื่อย หมดแรงไปในการประชุมวางแผนเพื่อที่จะหยุดยั้งการโจมตีจากการยึดครอง
ของศัตรู สำหรับเขาแล้ว พ่อคือ ฮีโร่ ผู้ซึ่งต่อสู้ภายใต้ 'อามานะฮ์' ความรับผิดชอบต่อประชาชาติ
มาโดยตลอด พ่อของเขาผู้มีอามานะฮ์และแบกรับอามานะฮ์อันหนักหน่วงบนบ่าในการต่อสู้
ซึ่งเป็นแนวทางอันบริสุทธิ์มาโดยตลอด

เขายืนมองภาพพ่อที่คงเหนื่อยมากจนนอนหลับสลบไสลไปโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อนอน

และในที่สุด พ่อก็ไม่สามารถแบกรับอามานะฮ์นี้ได้อีกต่อไป
โดยได้มอบหมายอามานะฮ์ที่ท่านถือในมือของท่านแล้วส่งมอบธงแห่งการต่อสู้ให้กับคนรุ่นหลัง
ให้รับอามานะฮ์นี้สืบไป

เมื่อหะบีบี้ได้เห็นว่าสามีกำลังจะเสียชีวิตลง เธอได้กล่าวกับมุสตอฟา สามีอันเป็นสุดที่รักของเธอว่า

"อภัยให้บีบี้ด้วย เพราะก่อนหน้าที่บีบี้จะแต่งงานกับท่านพี่ บีบี้เคยตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง
และบีบี้ก็ปรารถนาจะแต่งงานกับเขา" ผู้เป็นสามีมองใบหน้าของภรรยาอันเป็นที่รักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข
กันมาอย่างยาวนานด้วยแววตาอ่อนโยนและไม่ถือโทษใด ๆ ต่อคำพูดดังกล่าว

"แล้วทำไม เจ้าไม่แต่งงานกับเขา เจ้าคงเสียใจมากใช่ไหมที่ไม่ได้แต่งงานกับเขาคนนั้น"

หะบีบี้ลอบยิ้ม ใช้มือกุมใบหน้าของผู้อันเป็นที่รัก แล้วกล่าวตอบว่า

"ผู้ชายคนนั้น ก็คือ ท่านนี่แหละ ท่านคือ คนเดียวที่บีบี้รักและปรารถนาจะแต่งงานด้วย"

มุสตอฟายิ้มกว้างด้วยความปีติยินดี เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข

"ตอนที่ท่านพี่ได้เดินทางมาสู่ขอบีบี้ในโลกนี้จากพ่อของบีบี้เพื่อที่จะแต่งงานและอยู่ด้วยกัน
บีบี้ก็ตอบรับ" หญิงสาวหยุดนิ่ง เอามือลูบไปยังใบหน้าของสามีด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
ก่อนจะกล่าวอีกว่า

"ฉะนั้น ได้โปรดขอต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตาอาลา ให้บีบี้ได้เป็นภรรยาของท่านพี่อีก
ในโลกอาคิเราะห์ด้วยเถิด เพราะบีบี้อยากเป็นภรรยาของท่านพี่อีกในสวรรค์"

แล้วเธอก็ยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายให้กับสามี และเขาก็เอ่ยสองประโยคสุดท้ายก่อนจากไปว่า

"อามีน ยาร็อบ...อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ วะอัชฮะดุอันนะมุฮัมมะดัรเราะซูลุลลอฮ์"

น้ำตาหญิงสาวหยดลงบนใบหน้าของสามีอันเป็นที่รัก แล้วได้แต่ปล่อยให้มันรินไหลไป
โดยไร้เสียงร้องไห้คร่ำครวญใด ๆ ออกมา

หลังจากการเสียชีวิตของมุสตอฟา วันเวลาผ่านพ้นไป ชีวิตย่อมมีสุขและทุกข์สลับสับเปลี่ยนกันไปมา
สัจธรรมที่เที่ยงแท้นั่นคือ โลกนี้เพียงแค่ ทางผ่าน เพราะท้ายที่สุด ทุกข์หรือสุขย่อมมีวันสิ้นสุดลง
หะบีบี้ก็ได้รับบททดสอบมากมายผ่านเข้ามา หนึ่งในนั้นก็คือ
มีบุรุษที่ดีงามมากมายต่างหมายปองและปรารถนาจะแต่งงานกับเธอ
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ผู้ปกครองเมืองที่เป็นชายที่ดีและมีฐานะร่ำรวยทั้งยังเป็นคนที่มีชื่อเสียง
เป็นที่รักของผู้คน ทว่า สิ่งที่หะบีบี้ตอบเขาไปในวันที่เขามาทาบทามเพื่อสู่ขอเธอก็คือ

"ฉันไม่สามารถแต่งงานกับท่านได้ เพราะฉันได้ตกลงหมั้นหมายกับท่านมุสตอฟาในสวรรค์แล้ว
ฉันปรารถนาจะได้ยินเขาเรียกชื่อฉันอีกครั้งในสวนสวรรค์ อินชาอัลลอฮ์"

"ไม่มีสักวันที่เคลื่อนผ่านไป ที่ฉันจะไม่รู้สึกถึงการเป็นภรรยาของสามีผู้ล่วงลับ
ฉันยังคงรู้สึกอยู่เสมอมาว่าเขาคือ สามีของฉัน เขาไม่เคยเป็นอดีตสามีของฉันเลยแม้สักวันเดียว
จิตใจฉันยังไม่เคยขาดการเชื่อมต่อกับเขาแม้สักครั้งเดียวตั้งแต่วันแรกที่ฉันตอบรับเป็นภรรยาของเขา
จวบจนกระทั่งตอนนี้"

ชายผู้ครองเมืองถึงกับยกฝ่ามือขึ้นทาบยังอกข้างซ้ายของตนเอง
ชั่วชีวิตเขา ปรารถนาการจะมีภรรยาที่จงรักภักดี ซื่อสัตย์ต่อเขาทั้งต่อหน้าและลับหลัง
แม้ยามสุขและยามทุกข์ หรือแม้แต่ยามชีวามอดม้วยดับสิ้นลง เขาก็เพียงปรารถนาจะได้รับ
ความรักความภักดีจากภรรยาอย่างต่อเนื่องสืบไปไม่จบสิ้น

เพียงแต่ที่ผ่านมา สิ่งที่เขามีไม่เคยไขว่คว้ามา แต่ที่ต้องการมิเคยได้สมดั่งใจ
เขาเพียงอยากจะรักใครที่รักเขาจริง แต่เขาคงไม่มีวันจะได้เจอ

"ช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน ท่านมุสตอฟา ท่านช่างเป็นบุรุษที่น่าอิจฉาเหลือเกิน"

"เป็นฉันต่างหากที่ได้รับความรักจากเขา เป็นฉันที่ได้สัมผัสรักที่บริสุทธิ์จากเขา"
หะบีบี้ตอบด้วยความตื้นตันใจ ก่อนจะอวยพรให้อีกฝ่าย

"ขอให้ท่านได้สัมผัสกับความรักอันบริสุทธิ์ด้วยเถิด
และขอให้ได้เคียงคู่กับสตรีซอลิฮะห์ที่มีรักอันบริสุทธิ์ สตรีที่ดียิ่งกว่าฉัน อามีน ยาร็อบ"

ลูกชายและลูกสาวของหะบีบี้ที่ได้ยินถ้อยคำดังกล่าวของมารดา ก็ถึงกับน้ำตาซึม
ไม่คิดว่ามารดาของตนจะรักและมั่นคงกับบิดาขนาดนี้ เป็นความรักที่ผู้เป็นลูกที่ได้สัมผัสรับรู้แล้ว
รู้สึกว่า นั่นคือ ของขวัญที่ดีที่สุดที่พ่อแม่ได้มอบให้กับตน และมิเพียงแต่จะถ่ายทอดความรัก
ออกไปอย่างซื่อตรง มารดายังคงมอบคำอวยพรให้กับอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่งดงาม
จนพวกเขาสัมผัสได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียงและแววตาคู่นั้น มิแปลกใจที่อีกฝ่ายจะกลับไป
ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข ทั้ง ๆ ที่ถูกมารดาปฏิเสธที่จะแต่งงานด้วย

อีกทั้ง มารดาของตนได้อุทิศชีวิตและเวลารวมไปถึงแรงกายแรงใจไปกับการศึกษาค้นคว้าวิชาการอิสลาม
และเป็นครูสอนอิสลามให้กับเด็ก ๆ จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

ในวันที่เสียชีวิต หะบีบี้ได้สูญเสียลูกชายทั้งหมดไปในสงคราม
มีเพียงลูกชายคนสุดท้องเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิตอยู่ กับลูกสาวคนโตที่ยังคอย
อยู่เคียงข้างเธอมาตลอด ในขณะที่ลูกสาวที่เหลือของเธอก็เสียชีวิตไปหมด
แม้กระทั่งหลาน ๆ ของนางก็จากไปแล้วจนหมดสิ้น
มีเพียงลูกสาวคนโตกับลูกชายคนสุดท้องที่อยู่ตรงนี้กับเธอ
โดยเธอนั้นนอนอยู่บนตักลูกสาวคนโต

อยู่ ๆ หะบีบี้ก็น้ำตาใหลออกมา ผู้เป็นลูกสาวจึงถามอาการที่เจ็บอยู่
เพราะคิดว่า มารดาต้องเจ็บมาก ๆ ถึงได้ร้องไห้ออกมา

"ท่านแม่ ท่านแม่เจ็บมากมั้ย?" ทว่า น้ำตานั้นกลับไม่ได้เกิดจากความเจ็บปวด แต่กลับมาจากความเสียใจ
ที่ตัวเองไม่สามารถอยู่ดูแลปรนนิบัติลูก ๆ ได้อีกแล้ว จึงร้องออกมา

"โอ้ ลูกรัก ถ้าแม่ตายไป ใครเล่าจะให้กำลังใจลูก ๆ ใครจะคอยปลอบโยนลูก ๆ"

ได้ยินเช่นนั้น ความรักของแม่ก็ได้ใหลเข้าสู่หัวใจลูก ทำให้ลูก ๆ ร้องไห้
หะบีบี้ สตรีที่ปกปิดใบหน้ามาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สามีเสียชีวิตไป ก็ไม่มีใครอื่นเว้นแต่คนในครอบครัว
จะได้เห็นใบหน้าของเธอ เพราะเธอไม่เคยแสดงตัวเองให้ผู้คนเห็น เว้นแต่ในยามสอนหนังสือให้กับเด็ก ๆ
ก่อนจากไป หะบีบี้ได้บอกกับลูก ๆ ว่า

"แม่อยากขอลูกทั้งสอง 3 อย่างจะได้หรือไม่?" ลูก ๆ พยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียงกัน

"ข้อแรก คนที่อาบน้ำศพของแม่ ขอให้เป็นลูกสาวของแม่เท่านั้น และกาฝั่น (ห่อศพ) ด้วยตัวเอง
และให้ลูกชายของแม่นำศพแม่เข้าไปในกุโบร์ด้วยตัวเอง จะได้ไหม?"

ลูก ๆ พยักหน้ารับพร้อมทั้งน้ำตา

"ข้อสอง แม่พบเจอกับการพลัดพรากสูญเสียพ่อและแม่ รวมไปถึงบรรดาพี่น้อง
สูญเสียสามี และลูก ๆ ของแม่ไปกับสงครามอันโหดร้าย
ทุกการสูญเสียล้วนเจ็บปวดและทรมารยิ่งนัก ดังนั้น หลังจากที่แม่จากไปแล้ว
แม่ขอให้ลูกทั้งสองของแม่ช่วยคิดถึงผู้คนมากมายที่ขาดความอบอุ่น
เด็กกำพร้าที่ไร้พ่อขาดแม่ ช่วยรักพวกเขาให้มาก ๆ ช่วยรักพวกเขาเหมือนที่ลูก ๆ รักและคิดถึงแม่"

ลูก ๆ พยักหน้ารับ พลางกุมมือแม่เอาไว้แน่น

"ข้อสุดท้าย อภัยให้กับทุก ๆ ความผิดพลาดและความบกพร่องที่แม่มีต่อลูก ๆ ด้วย
แม่ขอมะอัฟกับทุก ๆ อย่างที่แม่ทำได้ไม่ดีและทำได้บกพร่องไป แม่ขอโทษนะลูก"

ลูก ๆ พยักหน้ารับพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันว่า

"แม่ดีที่สุด ไม่มีอะไรอีกแล้วที่ค้างคาในใจของเรา" จากนั้นเสียงของหะบีบี้ก็เงียบไป
ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยประโยคสุดท้ายว่า

"แม่จะไปอยู่กับพ่อตามที่เคยหมั้นหมายกันเอาไว้ พ่อของลูกเคยกระซิบบอกแม่ว่า
หลังจากพ่อจากโลกนี้ไปได้ไม่นาน แม่ก็จะตามพ่อของลูกไป และถึงเวลาที่แม่จะไปหาพ่อของลูกแล้ว
ตามไปอยู่ด้วยกัน แม่จะรอ รอลูก ๆ ของแม่ ไปอยู่ด้วยกันทั้งหมดนะลูกรัก
จงเป็นคนดีของอัลลอฮ์และอย่าลืมดุอาอ์ให้พ่อกับแม่ด้วย วัสลามุอะลัยกุม
อัซฮาดุอัลลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ วะอัชฮาดุอันนะมุฮัมมะดัรฺรอซูลุ้ลลอฮ์"

ในที่สุด ท่ามกลางความเสียใจของทุกคน หะบีบี้ก็จากไปพร้อมด้วยคำสัตย์ปฏิญาณสุดท้าย

เมื่อลูกชายคนสุดท้องของหะบีบี้ได้นำร่างของมารดาเข้าไปในหลุมฝังศพ
โดยมีการกางผ้าม่านคลุมไว้รอบหลุมศพเพื่อกันไม่ให้ผู้คนได้มองเห็นมารดาของตน
ทั้ง ๆ ที่ ไม่มีใครในที่แห่งนี้เลย นอกจากเขาที่มาส่งมารดาเพียงลำพังโดยที่น้องสาวซึ่งเป็นสตรี
อยู่ที่เรือน เนื่องจากภัยสงครามที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายจนสิ่งต่าง ๆ รอบตัวตกอยู่ในความเงียบงัน
หลังจากไฟสงครามได้เผาผลาญทำลายทุกอย่างให้มลายหายไป
ที่เหลืออยู่ก็เพียงไม่กี่ชีวิตที่พลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก พลัดพรากครอบครัว
ซึ่งสายตระกูลเขาที่ยังหลงเหลืออยู่ในตอนนี้ก็มีเพียงเขาและพี่สาวเพียงเท่านั้น
ซึ่งขณะที่นำร่างมารดาลงสู่หลุม เขาก็ถึงกับสะอื้นออกมาเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า
ก่อนจะเปรยออกมาเบา ๆ ว่า

"ฉันยังจำคำพูดของท่านปู่ได้ดี ท่านได้พูดว่า เมื่อใดที่ลูกสาวของฉันเสียชีวิตลง
ฉันจะเป็นคนแรกที่จะรับร่างของนางอยู่ในหลุมศพเอง ในขณะที่ท่านพ่อเคยพูดว่า
ฉันก็จะรอรับร่างของภรรยาของฉันเคียงข้างบิดาของนางเช่นกัน และฉันขอสาบาน
ฉันได้เห็นมือของท่านทั้งสองรองรับร่างของท่านแม่และจูบท่านแม่" จากนั้น เขาก็พูดว่า

"โอ้ท่านปู่และท่านพ่อ มาวันนี้ ฉันขอส่งมอบดวงใจอันเป็นที่รักของท่านทั้งสอง
นางผู้ที่ปรารถนาจะอยู่กับท่านทั้งสองในสวนสวรรค์แด่ท่าน"

เมื่อลูกชายได้ฝังร่างของมารดาลุล่วงแล้ว ยืนส่งมารดาเป็นครั้งสุดท้าย
แล้วจึงกลับบ้านอย่างเดียวดาย ไร้คนข้างกาย

โลกที่แสนวุ่นวายโกลาหลกลับสู่ความสงบ สันติ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่แลกมาด้วยความสูญเสียมหาศาล

ความตายสำหรับพวกเขาแล้วนั้นกลายเป็นเพียงการกลับไปยังครอบครัวและผู้อันเป็นที่รักยิ่ง
การแก่งแย่งช่วงชิงแข่งขันบนโลกนี้จึงปิดฉากลง

'โอ้ลูกรัก หากมีผู้คนนับพันนับหมื่นรักลูก แม่คือ คนแรกในหมู่พวกเขานะที่รักลูก
และหากมีคนรักลูกเพียงแค่คนเดียว คนคนนั้นก็คือ แม่นะลูก
แต่ถ้าหากไม่มีใครรักลูกเลยสักคนบนโลกใบนี้ ลูกจงรู้ไว้นะว่า แม่ได้หมดลมหายใจไปแล้ว'

อยู่ ๆ คำพูดของมารดาผู้ล่วงลับที่เขาเพิ่งฝังร่างของนางลงสู่ผืนดิน อันเป็นมาตุภูมิของมารดา
ก็แว่วดังมาจากวันวาน ดังกึกก้องภายในหัวใจของเขา

วันที่ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ สันติ เขาไม่มีพ่อ ทั้งไม่มีแม่ อยู่เคียงข้างกาย

เขายังคงจำได้ไม่ลืมเลือน

ณ เวลานั้นที่พ่อจากไป เหล่าบรรดาทหารนักรบผู้กล้ายืนเรียงอยู่แถวหน้าและประณามศัตรูผู้รุกราน
ที่อยู่บนหน้าผืนดินแห่งนั้น...

ณ เวลานี้เขามองไปเบื้องหน้า มองไปรอบทิศ อีกไม่ช้า โลกก็คงจะใกล้ถึงกาลอวสานแล้ว
สุดท้าย ก็ไม่มีอะไร ณ ที่แห่งนี้ที่จีรังยั่งยืน

"วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาอันสมควร สักวัน เรือนร่างนี้ ก็คงต้อนนอนพัก...เช่นกัน"

ร่างสูงใหญ่ ท่วงท่าสง่างาม ก้าวเดินเหยียบย่ำทองคำ และบรรดาเงินตราหลากหลายสกุล
ที่เกลื่อนกลาดบนหน้าแผ่นดิน ราวกับมันไร้ค่า ไร้ความหมาย ไม่ต่างจากเศษหินเศษดินเศษฝุ่นปลิวว่อน
ที่เมื่อกาลก่อน ผู้คนมากมายต่างไขว่คว้าต้องการมันอย่างเอาเป็นเอาตาย

หากแต่ในวันนี้จะมีอะไรที่สำคัญไปกว่า 'การหวนคืน' อีกเล่า

เมื่อเดินมาหยุดยืนนิ่งยังผืนแผ่นดินฮารอม มองตรงไปยังบัยตุลลอฮ์
ร่างสง่างาม ทรุดเข่าลงอย่างนอบน้อม ก่อนจะก้มลงแนบหน้าผากกับผืนดิน
'ซูญูด' ด้วยหัวใจที่ยอมจำนนสิโรราบต่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว

สูงสุดสู่สามัญ

จากธุลี สู่ ธุลี

จากผู้สร้าง สู่ ผู้สร้าง


.....................จบ............................

จบลงไปแล้วค่ะสำหรับเรื่องนี้ ที่กว่าจะปิดจบลงได้ กินเวลานานมากเหลือเกิน
สำหรับ "ตอนพิเศษ" นั้น พิเศษสมชื่อมาก ๆ ค่ะ แต่โยจะเก็บเอาไว้มอบให้
สำหรับนักอ่านที่สะสม "อีบุ๊ค" นะคะ เพราะเรื่องนี้ โยตั้งใจจะทำเป็นอีบุ๊คด้วยค่ะ
รอติดตามกันได้นะคะ อาจจะอีกสักพักใหญ่ ๆ กว่าจะคลอดเป็นเล่มออกมา

ฝากติดตามผลงานกันด้วยนะคะ

ตอนนี้ เต่าโยได้กลับมาทำการปิดจบนวนิยายไปได้เกือบหมดแล้ว สำหรับเรื่องที่เขียนค้างไว้
เมื่อหลายปีก่อน ตั้งแต่เรื่องเศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์ ก็ปิดจบไปแล้วก่อนหน้านี้
แล้วก็เรื่องนี้ ก็เพิ่งจะปิดจบไปหมาด ๆ ยังมีอีกเรื่องที่ยังค้างอยู่อีกไม่กี่ตอนก็ปิดจบ
นั่นคือ เรื่องซุนนูรอยน์ ก็ตั้งใจจะปิดจบเป็นเรื่องถัดจากเรื่องนี้ค่ะ

และรีไรท์เสร็จไปแล้ว 4 เรื่อง รอปกหน้าและปกหลัง ก็จะรวมเล่มทำเป็นอีบุ๊คถัดไป

ฝากเป็นกำลังใจให้เต่าโยด้วยนะคะ ยังอยากได้กำลังใจจากนักอ่านที่ยังคงติดตาม
และเพิ่งจะเข้ามาอ่านอยู่เสมอ ทักทายส่งเสียงกันมาบ้างนะคะ

และ

ด้วยรักและคิดถึง

"เต่าโย"










yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 พ.ย. 2567, 01:00:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 พ.ย. 2567, 01:00:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 23





<< บทที่ 21 นักคิดมัต   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account