หะบีบี้...สุดที่รักของผม
หะบีบี้ น้องนุจสุดท้องแห่งตระกูลโสพณพสุธ
จะทำเช่นไร...
เมื่อการกลับสู่บ้านเกิดกลายกลับตาลปัตร
เป็นบ้านหลังอื่นที่ไม่เคยมีใครรู้ว่ามีอยู่จริงบนโลกนี้
"ดินแดนที่ไม่มีปรากฏบนแผนที่โลก"
ปรากฏแก่สายตา...
"คนแปลกหน้า" เธอคือคนแปลกหน้าสำหรับคนบนดินแดนนี้
และคนบนดินแดนนี้ก็คือ คนแปลกหน้าสำหรับเธอเช่นกัน
คนแปลกหน้าอย่างเธอจะต้องทำเช่นไรในดินแดนใหม่...
เมื่อการกลับสู่อ้อมอกพ่อแม่พี่น้องกลายกลับเป็นความว่างเปล่า
และเขา...คือ 'ภัยคุกคาม!'
ที่กำลังก่อกวนหัวใจเธอนับแต่วินาทีแรกที่ได้เจอ...
เขา...ผู้เป็น...อัศวินขี่ม้าขาวในฝันของเธอมาตลอด...
คนที่เธอเฝ้ารอคอยว่าจะได้เจอในความจริงสักครั้ง...
หากความจริงที่เจอ...กลับพลิกผันชีวิตเธอไปตลอดกาล...
Tags: รักโรแมนติก เพ้อฝัน ความลี้ลับ วิทยาศาสตร์ มุสตอฟา หะบีบี้ โสภณพสุธ
ตอน: บทที่ 21 นักคิดมัต
20 ปีต่อมา
มุสตอฟา เป็นที่รู้จักในด้านความหล่อ มีรูปร่างที่สมส่วน สง่างาม และร่างกายแข็งแรง
แม้ในวัยกลางคน ก็ยังไม่สร่างซา ทั้งยังเพิ่มพูนความภูมิฐานเข้าไปอีก
เมื่อใดก็ตามที่มุสตอฟามิได้สวมใส่ชุดโตป ไม่ได้สวมใส่ผ้าสระบั่นและหมวกกูปิยะห์
เขาก็ไม่ต่างจากลูกผสมที่กึ่งยุโรป อาหรับ และเอเชีย ผสมผสานกันอย่างลงตัว
วันนี้ เขาได้รับเชิญให้ไปบรรยายธรรม ณ เมืองหนึ่งที่อยู่ติดกับบ้านของเขาซึ่งอยู่ในสถาบันการศึกษา
ที่พ่อตาของเขาเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นให้เขาเป็นผู้บริหารร่วมกันกับภรรยาซึ่งเป็นลูกสาวคนสุดท้องที่พ่อตา
แสนจะหวงแหนและรักมาก และกำลังจะกลับไปบรรยายต่อในงานที่สถาบันของตนกับภรรยาจัดขึ้น
ขณะรถที่เขานั่งกำลังวิ่งไปตามท้องถนน ก็ได้หยุดรอไฟแดง ขณะนั้นเขาได้นั่งข้าง ๆ คนขับรถ
และเขาก็ได้ปลดหมวกและสระบั่นที่สวมใส่อยู่ออก ทันใดนั้น ก็มีหญิงสาวสวยและมีเสน่ห์ชวนหลงใหล
คนหนึ่งได้เข้ามาใกล้เขา
'ผู้หญิงกลางคืน' คิดไปว่า ชายทีนั่งในรถคันดังกล่าวแบบนี้ คงมีเงินและคงจะออกมาหาความสำราญ
ความสนุกสนานในยามค่ำคืน จึงได้ทักทาย
"สวัสดีค่ะ" มุสตอฟาจึงตอบกลับอย่างสุภาพ
"สวัสดีครับ"
"ไปด้วยได้หรือไม่คะ?"
"ไปได้สิครับ เชิญเข้ามาได้" หญิงสาวก็รีบเข้าไปในรถยนต์ นั่งยังเบาะด้านหลัง
ประตูปิดลง รถก็เริ่มออกเดินทาง
"จะไปไหนกันหรือคะ? แล้วต้องการฉันไหม?" นางถามไปอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม
"ฉันอยู่เป็นเพื่อนให้คุณถึงตอนเช้าได้นะคะ" เธอเสนอตัวอย่างไม่รู้สึกกระดากอายอะไร
ในขณะนั้นเอง มุสตอฟากำลังหยิบหมวกและสระบั่นมาสวมใส่ และได้ตอบไปแบบสบาย ๆ ว่า
"อ๋อ ผมกำลังจะไปบรรยายธรรมที่สถาบันนูรุลหะบีบี ไม่เป็นไรครับ ไปด้วยกันได้"
หญิงสาวตกใจ และรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
นี่ตกลงท่านผู้นี้ เป็นครูสอนศาสนาดอกหรือ? เธอรู้จักชื่อสถาบันดังกล่าว เพราะมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก
มีชื่อเสียงและผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพมากมายออกมาทำประโยชน์ให้แก่สังคมที่นี่
"นี่ตกลงท่านเป็นบาบอหรือคะ?" มุสตอฟายิ้มเบา ๆ
"ขอโทษนะบาบอ ฉันไม่รู้จริง ๆ ขอโทษนะคะ" หญิงสาวเริ่มกังวลใจ หน้าถอดสี
ทว่า มุสตอฟาตอบเธอด้วยความนุ่มนวลว่า
"ไม่เป็นไรครับ สบายใจได้ คุณตามไปงานบรรยายกับเราก็เป็นเรื่องดีเลยครับ"
ทุกคำของเขาล้วนสุภาพ น้ำเสียงก็น่าฟัง
"โอ้ ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันลงตรงนี้ก็ได้" หญิงสาวรีบบอกปัดทันทีทันใด
"ได้ยังไงล่ะ เมื่อกี้คุณบอกเองว่า จะขอตามไปด้วย"
"แต่ฉันไม่ได้สวมใส่ผ้าคลุมหัว"
"ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่ปัญหาหรอก เดี๋ยวค่อยไปยืมคนที่โน่นก็แล้วกันน่ะ"
"แต่ฉันอาย" หญิงสาวยังคงยืนกรานที่จะไม่ไป
"การขายบริการในยามค่ำคืนเช่นนี้ ไม่น่าละอายหรือ?
เหตุใดจึงละอายกับการไปงานบรรยายธรรมในตอนกลางคืนละ? มันเกิดอะไรขึ้นหรือ?"
หญิงสาวเริ่มวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น จนพูดขึ้นว่า
"ฉันกลัว"
"เมื่อกี้บอกว่า อาย แต่ตอนนี้บอกว่า กลัว มันยังไงกันแน่?" ด้วยท่าทีสุขุม มุสตอฟาได้พูดขึ้นว่า
"ทำตัวให้สบายเถิด" หญิงสาวได้ฟังและเห็นท่าทีสุขุมนั่น ก็สงบ และสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
รถได้วิ่งไปจนกระทั่งถึงที่หมาย ณ สถาบันนูรุลหะบีบี บรรยากาศถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี
ผู้คนมากมายต่างรอคอยผู้คนทั้งชายและหญิง ห้อมล้อมเวทีอย่างเนืองแน่น
ทีมงาน ผู้ดำเนินรายการต่างรอคอยการมาของมุสตอฟา
เมื่อมุสตอฟาลงจากรถ เขาก็รีบเข้าไปยังกลุ่มผู้หญิงที่มีภรรยาของเขายืนรอรับเขาอยู่พร้อมรอยยิ้ม
จึงก้มลงข้างหูหะบีบี้แล้วกระซิบบอกว่า
"พอจะยืมผ้าคลุมฮิญาบและชุดฮาบาย่าได้ไหม พอดี ท่านหญิงผู้หนึ่งลืมสวมผ้าคลุมกับชุดคลุมนอกมา"
เนื่องจากชุดที่สาวที่ติดรถมาด้วยสวมใส่อยู่นั้น เป็นชุดที่รัดรูปและเห็นเนื้อหนังมังสามากจนเกินไป
"ได้ค่ะท่านพี่" หะบีบี้ตอบรับโดยไม่ได้สอบถามรายละเอียดอื่นใด
ก่อนจะหายไป แล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมของในมือ เดินไปยื่นให้สตรีที่รออยู่ในรถ
เมื่อสวมใส่ชุดและผ้าคลุมเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวแสนสวยน่าหลงใหลก็ก้าวลงจากรถ
หะบีบีแนะนำหญิงสาวผู้นี้ว่าคือ แขกคนสำคัญของเธอและท่านมุสตอฟา
จากนั้นกลุ่มสตรีจำนวนหลายคนต่างก็เดินเข้ามาจูบมือของหญิงสาวกันอย่างเนืองแน่น
เพื่อหวังความศิริมงคลจากแขกคนสำคัญ
หญิงสาวได้พบกับการต้อนรับอย่างมีเกียรติ เมื่อถูกนำไปยังสถานที่รับรองแขก เธอก็ร่วมรับประทานอาหาร
กับคนอื่น ๆ มากมาย หลังจากดื่มกินเสร็จ เด็ก ๆ นักศึกษาในสถาบันแห่งนี้ก็เอาน้ำมาล้างมือให้เธอ
ช่วยเธอล้างมือ และเช็ดมือเธอจนแห้งและสะอาด
หญิงสาวตกใจมาก ไม่นึกฝันว่าเธอจะได้รับเกียรติมากขนาดนี้
เพราะเด็ก ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นถึงผู้มีความรู้ ในขณะที่เธอเป็นเพียงหญิงกลางคืนที่ไร้การศึกษา
และไม่เพียงเท่านั้น เด็ก ๆ ผู้หญิงเหล่านั้นจูบหลังมือเธอเสร็จแล้วก็พลิกมาจูบฝ่ามือต่อ
สัมผัสได้ว่า พวกเขาให้เกียรติเธอมาก ๆ อีกทั้งกิริยาก็ละมุน อ่อนโยน ทนุถนอมเธอ
เมื่อเธอเดินไปยังที่พักรับรองแขกตรงศาลาริมน้ำ นั่งลงบนเก้าอี้
ก็สังเกตุเห็นพวกเขาที่เดินผ่านไปมามีท่าทีแปลก ๆ
คือ พวกเขาจะเดินถอยหลัง ไม่ว่าพวกเขาจะเดินไปทางไหน หน้าของพวกเขาก็จะหันมาทางเธอตลอด
เธอจึงเรียกเด็กคนหนึ่งมาถามให้หายข้องใจ คำตอบที่ได้ทำให้ถึงกับตะลึงงัน
"เพราะไม่อยากเดินหันหลังให้ค่ะ" นี่คือ คำตอบ และยังบอกเธออีกว่า
"ถ้าอยากให้ช่วยอะไร เรียกหาหนูได้นะคะ ขอให้เรียกหาหนูเป็นคนแรกนะคะ"
ส่วนอีกคนก็หันมายิ้มตาใสพร้อมกับถามว่า
"เมื่อยมั้ยคะ เดี๋ยวหนูนวดให้นะคะ" หญิงสาวจึงพยักหน้ารับ จากนั้นเด็กสาวผู้นี้ก็นวดให้เธอ
อย่างเอาอกเอาใจ ไม่บ่น ไม่พูดจาไร้สาระ แต่ชวนคุยเรื่องต่าง ๆ ที่น่าฟัง จนเธอฟังเพลิน
"ทำไมพวกเธอถึงได้ทำขนาดนี้ด้วย?" เด็กสาวได้ฟังคำถามก็ยิ้มตาใสแล้วตอบว่า
"พวกเราน่ะไม่ใช่เพียงแค่มาที่นี่เพื่อต้องการแสวงหาความรู้ แต่พวกเราต้องการความบารอกะฮ์
ในความรู้ด้วยค่ะ ซึ่งการให้เกียรติและคิดมัต คือ หนึ่งในหนทางของการได้มาซึ่งความบารอกะฮ์
ในความรู้" หญิงสาวพยักหน้าหงึก ๆ รู้สึกสบายตัวขึ้นไม่น้อยเมื่อเด็กสาวนวดให้อย่างใส่ใจ
"ไม่เพียงแค่ต้องการหาสิ่งหนึ่ง แต่ยังต้องการหาความบารอกะฮ์จากสิ่งนั้นด้วยค่ะ" เด็กสาวขยายความ
"แต่ว่า ฉันไม่ใช่คุณครูของพวกเธอนะ ไม่ใช่ครูด้วยซ้ำ"
อยู่ ๆ ก็มีเสียงหวานซึ้ง ไพเราะจับใจดังขึ้นจากทางด้านหลังของหญิงสาวว่า
"การที่เราให้เกียรติคนอื่นนั้น ไม่ใช่เพราะเขาสูงส่งกว่าเรา มีอำนาจเหนือหัวเรา
และยิ่งไม่ใช่เพราะเรานั้นต่ำต้อยไปกว่าเขา แต่ที่เราให้เกียรติคนอื่น ๆ
เพราะคุณลักษณะการให้เกียรติคนอื่นนั้น มีเกียรติต่างหากค่ะ"
หญิงสาวหันไปมองเจ้าของน้ำเสียงที่แสนจะไพเราะน่าฟัง และจำได้ว่าใบหน้าสวยงามสว่างไสว
ที่เปรียบดั่ง แสงที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืด นั้นคือ เจ้าของชุดคลุมกายและผ้าคลุมศีรษะ
ที่เธอสวมใส่อยู่ ซึ่งสตรีผู้นี้เป็นคนยื่นมันให้กับเธอตอนอยู่ในรถ และแนะนำเธอให้ทุกคนที่นี่รู้จัก
ในฐานะแขกคนสำคัญ
"ฉันเป็นหนึ่งในครูที่สอนในสถาบันแห่งนี้ค่ะ" หะบีบี้เลี่ยงที่จะแนะนำตัวเองว่าเป็นภรรยาของผู้ที่
หญิงสาวติดรถมาด้วย เพราะไม่ต้องการให้สตรีตรงหน้ารู้สึกไม่สบายใจหรืออึดอัดใจขึ้นมา
"หากไม่รังเกียจ แวะมาเยี่ยมเยือนที่นี่ได้เสมอค่ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับคุณผู้หญิงเสมอ"
หญิงสาวมองสตรีที่ดูสง่าและกิริยามารยาทงดงามตรงหน้าแล้วได้แต่อึ้งถึงความนอบน้อมถ่อมตน
ไร้การถือตัวถือดี ยิ่งมองยิ่งพิศ ก็ยิ่งน่าเข้าใกล้
เพราะเพียงอยู่ใกล้แค่นี้ ก็รับรู้และสัมผัสได้ถึงความผ่อนคลายและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ช่างเป็นความเย็นตา เย็นใจ รื่นรมย์ดีเสียจริง
"ฉันเริ่มชอบบรรยากาศที่นี่แล้วสิคะ" หญิงสาวตอบไปตามความรู้สึก
"ถ้าอยากมาอยู่ที่นี่ ก็มาอยู่ได้นะคะ ที่นี่มีที่พักให้ทุกคนที่ต้องการที่พัก เราไม่คิดค่าที่พักค่ะ
แม้แต่ค่าเล่าเรียนเราก็ไม่คิด สามารถปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ทำอาหาร ทำขนม หรือ ทำงานฝีมือต่าง ๆ ได้ค่ะ
ผลงานจากที่นี่ เรามีศูนย์จัดจำหน่าย รายได้ก็คืนให้เจ้าตัวเป็นทุนในการทำอาชีพเมื่อเรียนจบออกไป"
หญิงสาวได้ฟังเช่นนี้ถึงกับตะลึงงันอีกครั้ง ไม่คาดคิดว่า สถาบันแห่งนี้จะมีอะไรแบบนี้
"แสดงว่าเจ้าของต้องร่ำรวยมาก ๆ จึงสามารถสร้างสถาบันแบบนี้ และบริหารแบบนี้ได้"
"อัลฮัมดุลิลลาห์ ผู้ก่อตั้งสถาบันแห่งนี้นับว่าเป็นมหาเศรษฐีที่อุทิศชีวิตและทรัพย์
ไปกับการช่วยเหลือผู้คนในสังคม ยิ่งให้ก็ยิ่งพบว่าทรัพย์ยิ่งเพิ่มพูนค่ะ"
หะบีบีไม่ได้พูดเกินจริง บิดาของนางเดิมทีก็ร่ำรวยมหาศาลอยู่แล้ว
พอแต่งงานกับมารดาที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ได้มารดามาคอยช่วยดูแลอยู่เบื้องหลัง กิจการต่าง ๆ
ก็ยิ่งขยับขยายและเจริญก้าวหน้าแผ่ออกไปเรื่อย ๆ และเหมือนจะยิ่งให้ยิ่งทุ่มเทเพื่อคนอื่น ๆ
ทรัพย์ต่าง ๆ ก็ยิ่งใหลบ่าเข้ามาราวกับน้ำพุที่ไม่มีวันหยุดพวยพุ่ง
เมื่อเธอและสามีได้บริหารจัดการต่อ ก็ราวกับว่า ทรัพย์ต่าง ๆ แทนที่จะยิ่งให้จะยิ่งลดลงเรื่อย ๆ
เปล่าเลย มันกลับยิ่งงอกเงยและเพิ่มพูนทวีคูณขึ้นไปอีก
"ท่านเคยกล่าวไว้ว่า สามีภรรยาย่อมช่วยเหลือกันโดยไร้เงื่อนไข
มอบให้โดยไม่คำนึงได้เปรียบเสียเปรียบ ยิ่งไม่หวังผลตอบแทนกลับมา
กับผู้คนในสังคมก็เช่นกัน ย่อมช่วยเหลือกันโดยไร้เงื่อนไข มอบให้โดยไม่คำนึงได้เปรียบเสียเปรียบ
และยิ่งไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ กลับมาค่ะ"
หญิงสาวผู้มาเยือนมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาที่ประทับใจ
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอรู้สึกประทับใจในเพศเดียวกัน นอกจากจะไม่รู้สึกไม่ดีต่อคนตรงหน้าแล้ว
กลับอยากใกล้ชิดและทำความรู้จักยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะสตรีผู้นี้ช่างน่าค้นหาเหลือเกิน
ชายใดหนอที่เป็นยอดดวงใจของสตรีผู้นี้ ยิ่งประโยคต่อมา ยิ่งชวนให้อยากกลับมายังทีนี่อีกครั้ง
และหลาย ๆ ครั้ง
"อบูมะฮ์ยันเป็นหนึ่งในสหายที่ท่านนบีรักมาก ๆ ท่านหนึ่ง ท่านติดเหล้าหนักมาก
แต่ก็เป็นคนที่ยอมเดินมาให้ทางการทำโทษข้อหาดื่มเหล้าทุกครั้งโดยไม่ต้องมีการจับกุมตัว
เมื่อทำผิดก็มาขอรับโทษด้วยตัวเองเสมอ จนผู้คนจดจำชื่อท่านได้ดี
เรื่องราวของท่านเป็นที่น่าจดจำ มีตอนหนึ่ง ช่วงสงคราม อบูมะฮ์ยันที่ถูกขังในคุก
แต่เบื้องหน้าท่านเห็นกองทัพมุสลิมกับเปอร์เซียกำลังรบกัน ในขณะที่กองทัพมุสลิมกำลังเสียที
ให้กับเปอร์เซีย อบูมะฮ์ยันร้องไห้หนักมาก ท่านกล่าวว่า เจ็บปวดมาก เวลาที่ลูกธนูผ่านหัวฉันไปแล้ว
ฉันไปช่วยอะไรพี่น้องของฉันไม่ได้เลย จนท่านทนไม่ไหว จึงบอกคนเฝ้าว่า ท่านช่วยเปิดประตูคุกหน่อย
ฉันจะออกไปช่วยพี่น้องของฉัน ถ้าฉันไปแล้วไม่ตาย ฉันจะเดินกลับมาเข้าคุกเอง
แต่ถ้าฉันไปแล้วเสียชีวิต ก็ถือว่าจบกัน คนเฝ้าพอได้ยินเช่นนั้นก็ปล่อยเขาทันที
อบูมะฮ์ยันกระโดดขึ้นม้าแล้วขึ้นไปอยู่แนวหน้าแถวแรกสุดระหว่างมุสลิมกับเปอร์เซีย
มุสลิมตรงนั้นเห็นชายคนหนึ่งพุ่งเข้าหาศัตรู ต่างกล่าวกันว่า อัลลอฮุอักบัรฺ อัลลอฮ์ส่งมาลาอิกะฮ์
มาช่วยเราแล้ว เสร็จศึก อบูมะฮ์ยันไม่ตาย ท่านเดินทางกลับมาเข้าคุกเหมือนเดิมด้วยความสบายใจ
ที่ได้ช่วยเหลือพี่น้องของท่าน แม่ทัพกลับมาดูอบูมะฮ์ยันแล้วบอกคนเฝ้าว่า
ถ้าอบูมะฮ์ยันไม่ถูกขังนะ ฉันมั่นใจเลยว่าคนที่เข้าห่ำหั่นกับเปอร์เซียนั้นคือ คนนี้แน่นอน
แต่นี่เขาติดคุกอยู่คงเป็นคนอื่น คนเฝ้าคุกบอกว่า คนคนนั้นคือ อบูมะฮ์ยันเอง
เมื่อทำคุณประโยชน์ให้กองทัพอิสลาม จากเพลี้ยงพล้ำกลายเป็นชนะได้
แม่ทัพจึงบอกให้ปล่อยตัวอบูมะฮ์ยัน แล้วจากนี้ไปจะไม่ลงโทษท่านในคดีดื่มเหล้าอีกแล้ว
เมื่ออบูมะฮ์ยันได้ยินเช่นนั้น เขาก็กล่าวทันทีว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ชีวิตของอบูมะฮ์ยัน
จะไม่ดื่มเหล้าอีกตลอดชีวิต และเขาก็ไม่ดื่มอีกจนตาย จนมีคนถามว่า ทำไมท่านเพิ่งจะมาเลิกเหล้า
เอาตอนนี้เล่า? ท่านตอบไปว่า ถ้าฉันเลิกเหล้าตอนนั้น คนจะบอกว่า ฉันเลิกเพราะกลัวโดนตี
วันนี้ฉันไม่โดนตีอะไรแล้ว ฉันจึงเลิกเหล้า เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า ฉันเลิกเหล้าเพื่ออัลลอฮ์"
หญิงสาวถึงกับน้ำตาซึมใหลออกมาเมื่อฟังประโยคสุดท้ายที่สตรีตรงหน้าเล่าเรื่องราวของอบูมะฮ์ยันจนจบ
ไม่คาดคิดว่า จะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นบนโลกนี้ด้วย และไม่คิดว่า คนแบบอบูมะฮ์ยันจะมีอยู่จริง
และเคยมีตัวตนในหน้าประวัติศาสตร์จริง ๆ ช่างน่าเหลือเชื่อเหลือเกิน
"หากเราฝึกสอนให้เขากลัวเรา ยำเกรงเรา เขาก็จะเชื่อฟังและทำดีต่อหน้าเรา
พอลับหลังเราเขาก็จะทำตามแต่ใจเขาปรารถนา และฝ่าฝืนคำสั่งสอนต่าง ๆ
แต่ถ้าเราฝึกสอนให้เขากลัวเกรงอัลลอฮ์ และ รักอัลลอฮ์ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ยามใด ที่ใด
เขาก็จะยังคงยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ไม่กล้าฝ่าฝืนอัลลอฮ์ที่เขาทั้งรักและทั้งกลัวเกรง
จึงไม่มีมุสลิมคนไหนที่จะไปบังคับขู่เข็ญให้ใครคนใดคนหนึ่งก้มกราบอัลลอฮ์ด้วยใจจริงได้หรอก
เว้นแต่หัวใจของเขาจะศรัทธาต่ออัลลอฮ์อย่างแท้จริง จึงก้มกราบอัลลอฮ์ด้วยความจงรักภักดี"
หะบีบี้พูดจบก็สวมกอดหญิงสาวผู้ที่สามีให้ติดรถมาที่นี่แล้วลูบหลังนั่นอย่างรักใคร่เอ็นดู
แล้วกระซิบบอกหญิงสาวเบา ๆ ข้างหูว่า
"ฉันรักเธอนะ" หญิงสาวยกมือทั้งสองขึ้นโอบกระชับร่างของหะบีบี้ไว้แน่น น้ำตาซึมออกทางตา
อย่างห้ามไม่อยู่ ชั่วชีวิตนี้ เธอไม่เคยได้ยินใครสักคนพูดประโยคนี้กับเธอ
เธอไม่มีแม่ อีกทั้งไม่รู้จักพ่อ เกิดมาพอรู้ความก็พบว่าอยู่ในศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้า
พอออกมาจากที่นั่น ก็ถูกหลอกให้ขายบริการทางเพศ แล้วก็ทำอาชีพนี้มาเรื่อย ๆ
เจอผู้ชายมากหน้าหลายตา หากก็ไม่เคยมีใคร พูดประโยคนี้กับเธอสักคน ไม่เคยมีใครโอบกอดเธอเช่นนี้
ไม่เคยได้รับไออุ่นแบบนี้มาก่อนเลย
ที่ตรงเธอยืนมันมืดมน ผู้คนเข้ามาและก็ผ่านไป ไม่เคยได้สัมผัสความรักเลยสักครา
ความรักสำหรับเธอ เหมือนสิ่งงดงามที่เกินเอื้อมถึง ได้แต่แหงนมองจากที่ไกล ๆ
"ฉันไม่เคยได้เลือกอะไรด้วยตัวเองเลยสักครั้ง อยากจะรักใครสักคนที่เขารักฉันจริง
แต่คนอย่างฉันจะมีวันได้เจอความรักที่งดงามแบบนั้นรึเปล่าคะ ฉันยังคู่ควรกับความรักที่ดี ๆ อีกมั้ย?"
น้ำตามากมายร่วงพรูลงมาบนบ่าของหะบีบี้ แววตาเต็มไปด้วยความสับสนและสิ้นหวัง
"ได้สิ เธอคู่ควรและควรค่ากับความรักที่งดงาม"
"ฉันไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ"
"เธอไม่ต้องเข้าใจหรอกนะ ความรักไม่ใช่สิ่งที่ต้องเข้าใจ มันมีไว้สำหรับให้หัวใจได้สัมผัสมันเท่านั้น"
หะบีบี้ผละออกเพียงนิด จับบ่าของหญิงสาวไว้ ยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วบอกอย่างหนักแน่นว่า
"ฉันอยู่ตรงนี้เสมอนะ รอเธอกลับมา"
หญิงสาวยิ้มร่า เมื่อได้ยินประโยคอันจับหัวใจคนที่ไม่เคยมีคนที่รออยู่ข้างหลังเช่นเธอ
ไม่เคยมีบ้านสำหรับเธอ ไม่มีใครเฝ้าดูเฝ้าห่วงใย เรียกได้ว่า ไม่มีที่ให้กลับไปเลยสักที่
มีเพียงคนตรงหน้า ที่บอกว่า รักเธอ และ จะรอเธอกลับมาหา
รอรับเธออยู่ที่นี่ และเธอจะได้รับทั้งความรักและเกียรติจากผู้คนที่นี่
น้ำตาของความตื้นตันใจ มันรินใหลออกมาเต็มสองตา
"เธอไม่ใช่คนแรกที่เคยฝันร้าย เธอไม่ใช่คนแรกที่เคยอ่อนล้า เธอก็เป็นเหมือนคนอื่น ๆ
ที่เคยเจ็บและช้ำมา ที่ตรงนี้รอให้เธอมาหลบพัก แล้วค่อยตัดสินใจเลือกว่าจะไปไหนต่อ
แต่ถ้าไม่อยากไปไหนแล้ว จะอยู่ที่นี่ตลอดไปก็ได้"
คราวนี้เป็นหญิงสาวที่ดึงรั้งร่างของหะบีบี้เข้ามาสวมกอดเอาไว้พร้อมกับรอยยิ้มเปี่ยมสุข ท่วมท้น
"ขอบคุณนะคะ คุณคือ ความรัก"
ใช่ หะบีบี ก็คือ ความรักนั่นเอง พ่อรักเธอมาก แม่ก็รักเธอมาก
พี่น้องก็รักเธอมาก สามีและลูก ๆ ก็รักเธอมาก ชื่อเธอก็เป็นที่รักของใครต่อใคร
หะบีบี้วางมือบนบ่าของหญิงสาวแล้วมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ยิ้มเบา ๆ อย่างอ่อนโยน
แล้วนึกถึง ถ้อยคำของ ญะลาลุดดีน อัรฺรูมีย์ ขึ้นมา เธอจึงถ่ายทอดคำพูดนั้นให้อีกฝ่ายได้รับรู้
"ความรักจะไม่สัมผัสสิ่งใดเว้นแต่ความรักจะทำให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์"
หญิงสาวที่ได้ยินถึงกับรู้สึกตื้นตันราวกับจิตวิญญาณที่ตกหล่นลงไปในห้วงเหวลึกอันมืดมิด
กำลังล่องลอยขึ้นอย่างอิสระ ไร้พันธนาการร้อยรัด
ก่อนเดินทางกลับ กลุ่มสตรีและเด็กนักเรียนก็ได้เวียนกันมาจูบมือ
และได้ส่งเธออย่างมีเกียรติจนกระทั่งขึ้นรถ
ตลอดการเดินทาง บนรถ หญิงสาวที่ทำอาชีพขายบริการมาตั้งแต่อายุ 15 ปี จนบัดนี้อายุ 25 แล้ว
ถึงกับร้องไห้อย่างหนัก น้ำตาใหลหยดลงมาตลอด มุสตอฟาและคนขับรถก็ปล่อยให้เธอร้องต่อไป
เขาปรารถนาจะไปส่งเธอกลับถึงที่พัก จึงนั่งมาพร้อมกับคนขับรถ
"เธอลองพิจารณาดูเอาเถิดว่าผู้คนมากมายที่นั่นได้กระทำต่อเธออย่างไรบ้าง
พวกเขาให้เกียรติเธอ ได้สวมกอดเธอ ได้ส่งเธอ และเต็มอกเต็มใจเข้าไปหาเธอ
เพียงแค่ต้องการได้จูบมือของเธอ คนแล้วคนเล่าต่างเข้ามาเพื่อหวังคิดมัตเธอ
หวังดุอาอ์จากเธอและบารอกะฮ์จากเธอ ทั้ง ๆ ที่เธอก็รู้ดีว่า เธอคือ ใคร?"
หญิงสาวร้องไห้ รู้สึกถึงความอัปยศอดสู น่ารังเกียจ โศกเศร้าเสียใจ เมื่อได้หวนนึกถึงบรรดาพฤติกรรม
ต่าง ๆ ที่เคยทำไว้ บาปต่าง ๆ ที่ได้กระทำไว้ของเธอ อัลลอฮ์กลับปกปิดมันเอาไว้
พระองค์ทรงเมตตาต่อเธอเหลือเกิน
"เธอได้รับสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของเธอ ดังนั้น จงรีบเตาบะฮ์เถิด และขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์
อย่าปล่อยให้วิญญาณถึงลูกกระเดือกก่อนจึงจะเตาบะฮฺ ถึงตอนนั้นมันจะสายเกินหวนคืน"
ได้ฟังก็ยิ่งร้องไห้ มุสตอฟาจึงปล่อยเธอไว้อย่างนั้น หญิงสาวร้องไห้สะอื้นพลางกล่าวขึ้นว่า
"ขอบคุณบาบอเหลือเกิน ขอบคุณที่ให้เกียรติกัน ขอบคุณที่ได้นาศีฮัตและบารอกะฮ์ในเหตุการณ์ครั้งนี้
ที่เกิดขึ้นกับตัวฉัน นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฉันจะเตาบะฮ์ และหยุดอาชีพนี้ และจะไม่หวนกลับไปทำอาชีพนี้อีก"
มุสตอฟายิ้มเบา ๆ พลางบอกว่า
"หากเธอต้องการความรู้ สถาบันนูรุลหะบีบี ยินดีต้อนรับเธอเสมอ ที่นั่นจะมอบทั้งความรู้
และการงานอาชีพใหม่ ๆ ให้กับเธอพร้อมด้วยมิตรภาพและความรักจากผู้คนที่นั่น"
"อัลฮัมดุลิลลาห์" หญิงสาวอดตื้นตันใจมิได้
"ฉันจะไปที่นั่นค่ะ แน่นอนว่าฉันต้องกลับไปแน่ ๆ ภรรยาคุณหมอรอฉันอยู่"
มุสตอฟากระตุกหัวคิ้วเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย
"ฉันได้สอบถามมาแล้วค่ะว่าผู้หญิงที่ทั้งสวยและสง่างามผู้นั้นคือ ใคร
พวกเด็ก ๆ บอกกับฉันว่า เธอคือ ภรรยาของคุณหมอ
และบอกอีกว่า จริง ๆ แล้วบาบอเป็นคุณหมอ ที่ทั้งดูแลรักษาผู้คนและให้ความรู้ผู้คน
ออกเดินทางไปเยี่ยมเยือนผู้คนในที่ต่าง ๆ คนป่วยที่นอนติดเตียงที่มาหาหมอไม่ได้
คุณหมอก็ออกไปเยี่ยมเยือนดูแลถึงบ้าน และก็เป็นเจ้าของสถาบันแห่งนั้นด้วยค่ะ"
หญิงสาวยิ้มกว้างด้วยแววตาผ่อนคลาย
"บาบอน่าอิจฉามาก ๆ นะคะที่ได้ภรรยาอย่างเธอ เธอน่ารักเหลือเกินค่ะ ทั้งน่ารักและแสนดี
เราคุยกันถูกคอมาก ๆ ตอนนี้เธอกลายเป็นไอดอลของฉันไปแล้วค่ะ"
มุสตอฟาอมยิ้ม นึกไปถึงใบหน้าของภรรยาผู้เป็นสุดที่รักของเขาก่อนจะพูดสั้น ๆ ว่า
"อัลฮัมดุลิลลาห์"
ก่อนจะนึกยิ้มในใจ นี่ก็คงเป็นอีกรายที่โดนหะบีบี้ตก จะมีใครที่ไม่ตกหลุมรักเธอ
ในเมื่อเธอมีแต่ให้โดยไม่หวังอะไรกลับคืน
เป็นความรัก ที่คนขาดรักอยากจะพุ่งเข้าไปหา
เป็นสะพานทอดไปสู่ 'เจ้าของความรักที่แท้จริง'
.............................โปรดติดตามตอนต่อไป......................................
ปล. คำว่า "บาบอ" นั้น คือคำเรียกขานผู้รู้ในหมู่มุสลิมซึ่งมีมาช้านานมากแล้ว
ท่านนบีได้กล่าวสรรเสริญท่านอาลีไว้ว่า
"อันว่าตัวข้านั้นคือ เมืองแห่งวิทยาการความรู้ ส่วนอาลีนั้นคือ ประตูสู่เมืองนั้น "
คำว่า "บาบอ" ก็มาจากคำว่า "ประตู" หรือ "บาบา" ในภาษาอาหรับคำนี้นั่นแลหนา
เหล่าบรรดาผู้รู้ทั้งหลายจึงเปรียบประดุจดั่ง "ประตูสู่เมืองแห่งความรู้ของนบี" (บาบามาดีนาติลอิลม์) นั่นเอง
นี่จึงเป็นที่มาที่ไปอันเก่าแก่และเป็นรากเดิมของคำคำนี้ที่ใช้เรียกขานผู้รู้ศาสนาอิสลามในหมู่มุสลิมกันค่ะ
รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะทุกคน
ด้วยรักและคิดถึง
"เต่าโย"
มุสตอฟา เป็นที่รู้จักในด้านความหล่อ มีรูปร่างที่สมส่วน สง่างาม และร่างกายแข็งแรง
แม้ในวัยกลางคน ก็ยังไม่สร่างซา ทั้งยังเพิ่มพูนความภูมิฐานเข้าไปอีก
เมื่อใดก็ตามที่มุสตอฟามิได้สวมใส่ชุดโตป ไม่ได้สวมใส่ผ้าสระบั่นและหมวกกูปิยะห์
เขาก็ไม่ต่างจากลูกผสมที่กึ่งยุโรป อาหรับ และเอเชีย ผสมผสานกันอย่างลงตัว
วันนี้ เขาได้รับเชิญให้ไปบรรยายธรรม ณ เมืองหนึ่งที่อยู่ติดกับบ้านของเขาซึ่งอยู่ในสถาบันการศึกษา
ที่พ่อตาของเขาเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นให้เขาเป็นผู้บริหารร่วมกันกับภรรยาซึ่งเป็นลูกสาวคนสุดท้องที่พ่อตา
แสนจะหวงแหนและรักมาก และกำลังจะกลับไปบรรยายต่อในงานที่สถาบันของตนกับภรรยาจัดขึ้น
ขณะรถที่เขานั่งกำลังวิ่งไปตามท้องถนน ก็ได้หยุดรอไฟแดง ขณะนั้นเขาได้นั่งข้าง ๆ คนขับรถ
และเขาก็ได้ปลดหมวกและสระบั่นที่สวมใส่อยู่ออก ทันใดนั้น ก็มีหญิงสาวสวยและมีเสน่ห์ชวนหลงใหล
คนหนึ่งได้เข้ามาใกล้เขา
'ผู้หญิงกลางคืน' คิดไปว่า ชายทีนั่งในรถคันดังกล่าวแบบนี้ คงมีเงินและคงจะออกมาหาความสำราญ
ความสนุกสนานในยามค่ำคืน จึงได้ทักทาย
"สวัสดีค่ะ" มุสตอฟาจึงตอบกลับอย่างสุภาพ
"สวัสดีครับ"
"ไปด้วยได้หรือไม่คะ?"
"ไปได้สิครับ เชิญเข้ามาได้" หญิงสาวก็รีบเข้าไปในรถยนต์ นั่งยังเบาะด้านหลัง
ประตูปิดลง รถก็เริ่มออกเดินทาง
"จะไปไหนกันหรือคะ? แล้วต้องการฉันไหม?" นางถามไปอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม
"ฉันอยู่เป็นเพื่อนให้คุณถึงตอนเช้าได้นะคะ" เธอเสนอตัวอย่างไม่รู้สึกกระดากอายอะไร
ในขณะนั้นเอง มุสตอฟากำลังหยิบหมวกและสระบั่นมาสวมใส่ และได้ตอบไปแบบสบาย ๆ ว่า
"อ๋อ ผมกำลังจะไปบรรยายธรรมที่สถาบันนูรุลหะบีบี ไม่เป็นไรครับ ไปด้วยกันได้"
หญิงสาวตกใจ และรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
นี่ตกลงท่านผู้นี้ เป็นครูสอนศาสนาดอกหรือ? เธอรู้จักชื่อสถาบันดังกล่าว เพราะมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก
มีชื่อเสียงและผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพมากมายออกมาทำประโยชน์ให้แก่สังคมที่นี่
"นี่ตกลงท่านเป็นบาบอหรือคะ?" มุสตอฟายิ้มเบา ๆ
"ขอโทษนะบาบอ ฉันไม่รู้จริง ๆ ขอโทษนะคะ" หญิงสาวเริ่มกังวลใจ หน้าถอดสี
ทว่า มุสตอฟาตอบเธอด้วยความนุ่มนวลว่า
"ไม่เป็นไรครับ สบายใจได้ คุณตามไปงานบรรยายกับเราก็เป็นเรื่องดีเลยครับ"
ทุกคำของเขาล้วนสุภาพ น้ำเสียงก็น่าฟัง
"โอ้ ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันลงตรงนี้ก็ได้" หญิงสาวรีบบอกปัดทันทีทันใด
"ได้ยังไงล่ะ เมื่อกี้คุณบอกเองว่า จะขอตามไปด้วย"
"แต่ฉันไม่ได้สวมใส่ผ้าคลุมหัว"
"ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่ปัญหาหรอก เดี๋ยวค่อยไปยืมคนที่โน่นก็แล้วกันน่ะ"
"แต่ฉันอาย" หญิงสาวยังคงยืนกรานที่จะไม่ไป
"การขายบริการในยามค่ำคืนเช่นนี้ ไม่น่าละอายหรือ?
เหตุใดจึงละอายกับการไปงานบรรยายธรรมในตอนกลางคืนละ? มันเกิดอะไรขึ้นหรือ?"
หญิงสาวเริ่มวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น จนพูดขึ้นว่า
"ฉันกลัว"
"เมื่อกี้บอกว่า อาย แต่ตอนนี้บอกว่า กลัว มันยังไงกันแน่?" ด้วยท่าทีสุขุม มุสตอฟาได้พูดขึ้นว่า
"ทำตัวให้สบายเถิด" หญิงสาวได้ฟังและเห็นท่าทีสุขุมนั่น ก็สงบ และสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
รถได้วิ่งไปจนกระทั่งถึงที่หมาย ณ สถาบันนูรุลหะบีบี บรรยากาศถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี
ผู้คนมากมายต่างรอคอยผู้คนทั้งชายและหญิง ห้อมล้อมเวทีอย่างเนืองแน่น
ทีมงาน ผู้ดำเนินรายการต่างรอคอยการมาของมุสตอฟา
เมื่อมุสตอฟาลงจากรถ เขาก็รีบเข้าไปยังกลุ่มผู้หญิงที่มีภรรยาของเขายืนรอรับเขาอยู่พร้อมรอยยิ้ม
จึงก้มลงข้างหูหะบีบี้แล้วกระซิบบอกว่า
"พอจะยืมผ้าคลุมฮิญาบและชุดฮาบาย่าได้ไหม พอดี ท่านหญิงผู้หนึ่งลืมสวมผ้าคลุมกับชุดคลุมนอกมา"
เนื่องจากชุดที่สาวที่ติดรถมาด้วยสวมใส่อยู่นั้น เป็นชุดที่รัดรูปและเห็นเนื้อหนังมังสามากจนเกินไป
"ได้ค่ะท่านพี่" หะบีบี้ตอบรับโดยไม่ได้สอบถามรายละเอียดอื่นใด
ก่อนจะหายไป แล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมของในมือ เดินไปยื่นให้สตรีที่รออยู่ในรถ
เมื่อสวมใส่ชุดและผ้าคลุมเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวแสนสวยน่าหลงใหลก็ก้าวลงจากรถ
หะบีบีแนะนำหญิงสาวผู้นี้ว่าคือ แขกคนสำคัญของเธอและท่านมุสตอฟา
จากนั้นกลุ่มสตรีจำนวนหลายคนต่างก็เดินเข้ามาจูบมือของหญิงสาวกันอย่างเนืองแน่น
เพื่อหวังความศิริมงคลจากแขกคนสำคัญ
หญิงสาวได้พบกับการต้อนรับอย่างมีเกียรติ เมื่อถูกนำไปยังสถานที่รับรองแขก เธอก็ร่วมรับประทานอาหาร
กับคนอื่น ๆ มากมาย หลังจากดื่มกินเสร็จ เด็ก ๆ นักศึกษาในสถาบันแห่งนี้ก็เอาน้ำมาล้างมือให้เธอ
ช่วยเธอล้างมือ และเช็ดมือเธอจนแห้งและสะอาด
หญิงสาวตกใจมาก ไม่นึกฝันว่าเธอจะได้รับเกียรติมากขนาดนี้
เพราะเด็ก ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นถึงผู้มีความรู้ ในขณะที่เธอเป็นเพียงหญิงกลางคืนที่ไร้การศึกษา
และไม่เพียงเท่านั้น เด็ก ๆ ผู้หญิงเหล่านั้นจูบหลังมือเธอเสร็จแล้วก็พลิกมาจูบฝ่ามือต่อ
สัมผัสได้ว่า พวกเขาให้เกียรติเธอมาก ๆ อีกทั้งกิริยาก็ละมุน อ่อนโยน ทนุถนอมเธอ
เมื่อเธอเดินไปยังที่พักรับรองแขกตรงศาลาริมน้ำ นั่งลงบนเก้าอี้
ก็สังเกตุเห็นพวกเขาที่เดินผ่านไปมามีท่าทีแปลก ๆ
คือ พวกเขาจะเดินถอยหลัง ไม่ว่าพวกเขาจะเดินไปทางไหน หน้าของพวกเขาก็จะหันมาทางเธอตลอด
เธอจึงเรียกเด็กคนหนึ่งมาถามให้หายข้องใจ คำตอบที่ได้ทำให้ถึงกับตะลึงงัน
"เพราะไม่อยากเดินหันหลังให้ค่ะ" นี่คือ คำตอบ และยังบอกเธออีกว่า
"ถ้าอยากให้ช่วยอะไร เรียกหาหนูได้นะคะ ขอให้เรียกหาหนูเป็นคนแรกนะคะ"
ส่วนอีกคนก็หันมายิ้มตาใสพร้อมกับถามว่า
"เมื่อยมั้ยคะ เดี๋ยวหนูนวดให้นะคะ" หญิงสาวจึงพยักหน้ารับ จากนั้นเด็กสาวผู้นี้ก็นวดให้เธอ
อย่างเอาอกเอาใจ ไม่บ่น ไม่พูดจาไร้สาระ แต่ชวนคุยเรื่องต่าง ๆ ที่น่าฟัง จนเธอฟังเพลิน
"ทำไมพวกเธอถึงได้ทำขนาดนี้ด้วย?" เด็กสาวได้ฟังคำถามก็ยิ้มตาใสแล้วตอบว่า
"พวกเราน่ะไม่ใช่เพียงแค่มาที่นี่เพื่อต้องการแสวงหาความรู้ แต่พวกเราต้องการความบารอกะฮ์
ในความรู้ด้วยค่ะ ซึ่งการให้เกียรติและคิดมัต คือ หนึ่งในหนทางของการได้มาซึ่งความบารอกะฮ์
ในความรู้" หญิงสาวพยักหน้าหงึก ๆ รู้สึกสบายตัวขึ้นไม่น้อยเมื่อเด็กสาวนวดให้อย่างใส่ใจ
"ไม่เพียงแค่ต้องการหาสิ่งหนึ่ง แต่ยังต้องการหาความบารอกะฮ์จากสิ่งนั้นด้วยค่ะ" เด็กสาวขยายความ
"แต่ว่า ฉันไม่ใช่คุณครูของพวกเธอนะ ไม่ใช่ครูด้วยซ้ำ"
อยู่ ๆ ก็มีเสียงหวานซึ้ง ไพเราะจับใจดังขึ้นจากทางด้านหลังของหญิงสาวว่า
"การที่เราให้เกียรติคนอื่นนั้น ไม่ใช่เพราะเขาสูงส่งกว่าเรา มีอำนาจเหนือหัวเรา
และยิ่งไม่ใช่เพราะเรานั้นต่ำต้อยไปกว่าเขา แต่ที่เราให้เกียรติคนอื่น ๆ
เพราะคุณลักษณะการให้เกียรติคนอื่นนั้น มีเกียรติต่างหากค่ะ"
หญิงสาวหันไปมองเจ้าของน้ำเสียงที่แสนจะไพเราะน่าฟัง และจำได้ว่าใบหน้าสวยงามสว่างไสว
ที่เปรียบดั่ง แสงที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืด นั้นคือ เจ้าของชุดคลุมกายและผ้าคลุมศีรษะ
ที่เธอสวมใส่อยู่ ซึ่งสตรีผู้นี้เป็นคนยื่นมันให้กับเธอตอนอยู่ในรถ และแนะนำเธอให้ทุกคนที่นี่รู้จัก
ในฐานะแขกคนสำคัญ
"ฉันเป็นหนึ่งในครูที่สอนในสถาบันแห่งนี้ค่ะ" หะบีบี้เลี่ยงที่จะแนะนำตัวเองว่าเป็นภรรยาของผู้ที่
หญิงสาวติดรถมาด้วย เพราะไม่ต้องการให้สตรีตรงหน้ารู้สึกไม่สบายใจหรืออึดอัดใจขึ้นมา
"หากไม่รังเกียจ แวะมาเยี่ยมเยือนที่นี่ได้เสมอค่ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับคุณผู้หญิงเสมอ"
หญิงสาวมองสตรีที่ดูสง่าและกิริยามารยาทงดงามตรงหน้าแล้วได้แต่อึ้งถึงความนอบน้อมถ่อมตน
ไร้การถือตัวถือดี ยิ่งมองยิ่งพิศ ก็ยิ่งน่าเข้าใกล้
เพราะเพียงอยู่ใกล้แค่นี้ ก็รับรู้และสัมผัสได้ถึงความผ่อนคลายและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ช่างเป็นความเย็นตา เย็นใจ รื่นรมย์ดีเสียจริง
"ฉันเริ่มชอบบรรยากาศที่นี่แล้วสิคะ" หญิงสาวตอบไปตามความรู้สึก
"ถ้าอยากมาอยู่ที่นี่ ก็มาอยู่ได้นะคะ ที่นี่มีที่พักให้ทุกคนที่ต้องการที่พัก เราไม่คิดค่าที่พักค่ะ
แม้แต่ค่าเล่าเรียนเราก็ไม่คิด สามารถปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ทำอาหาร ทำขนม หรือ ทำงานฝีมือต่าง ๆ ได้ค่ะ
ผลงานจากที่นี่ เรามีศูนย์จัดจำหน่าย รายได้ก็คืนให้เจ้าตัวเป็นทุนในการทำอาชีพเมื่อเรียนจบออกไป"
หญิงสาวได้ฟังเช่นนี้ถึงกับตะลึงงันอีกครั้ง ไม่คาดคิดว่า สถาบันแห่งนี้จะมีอะไรแบบนี้
"แสดงว่าเจ้าของต้องร่ำรวยมาก ๆ จึงสามารถสร้างสถาบันแบบนี้ และบริหารแบบนี้ได้"
"อัลฮัมดุลิลลาห์ ผู้ก่อตั้งสถาบันแห่งนี้นับว่าเป็นมหาเศรษฐีที่อุทิศชีวิตและทรัพย์
ไปกับการช่วยเหลือผู้คนในสังคม ยิ่งให้ก็ยิ่งพบว่าทรัพย์ยิ่งเพิ่มพูนค่ะ"
หะบีบีไม่ได้พูดเกินจริง บิดาของนางเดิมทีก็ร่ำรวยมหาศาลอยู่แล้ว
พอแต่งงานกับมารดาที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ได้มารดามาคอยช่วยดูแลอยู่เบื้องหลัง กิจการต่าง ๆ
ก็ยิ่งขยับขยายและเจริญก้าวหน้าแผ่ออกไปเรื่อย ๆ และเหมือนจะยิ่งให้ยิ่งทุ่มเทเพื่อคนอื่น ๆ
ทรัพย์ต่าง ๆ ก็ยิ่งใหลบ่าเข้ามาราวกับน้ำพุที่ไม่มีวันหยุดพวยพุ่ง
เมื่อเธอและสามีได้บริหารจัดการต่อ ก็ราวกับว่า ทรัพย์ต่าง ๆ แทนที่จะยิ่งให้จะยิ่งลดลงเรื่อย ๆ
เปล่าเลย มันกลับยิ่งงอกเงยและเพิ่มพูนทวีคูณขึ้นไปอีก
"ท่านเคยกล่าวไว้ว่า สามีภรรยาย่อมช่วยเหลือกันโดยไร้เงื่อนไข
มอบให้โดยไม่คำนึงได้เปรียบเสียเปรียบ ยิ่งไม่หวังผลตอบแทนกลับมา
กับผู้คนในสังคมก็เช่นกัน ย่อมช่วยเหลือกันโดยไร้เงื่อนไข มอบให้โดยไม่คำนึงได้เปรียบเสียเปรียบ
และยิ่งไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ กลับมาค่ะ"
หญิงสาวผู้มาเยือนมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาที่ประทับใจ
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอรู้สึกประทับใจในเพศเดียวกัน นอกจากจะไม่รู้สึกไม่ดีต่อคนตรงหน้าแล้ว
กลับอยากใกล้ชิดและทำความรู้จักยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะสตรีผู้นี้ช่างน่าค้นหาเหลือเกิน
ชายใดหนอที่เป็นยอดดวงใจของสตรีผู้นี้ ยิ่งประโยคต่อมา ยิ่งชวนให้อยากกลับมายังทีนี่อีกครั้ง
และหลาย ๆ ครั้ง
"อบูมะฮ์ยันเป็นหนึ่งในสหายที่ท่านนบีรักมาก ๆ ท่านหนึ่ง ท่านติดเหล้าหนักมาก
แต่ก็เป็นคนที่ยอมเดินมาให้ทางการทำโทษข้อหาดื่มเหล้าทุกครั้งโดยไม่ต้องมีการจับกุมตัว
เมื่อทำผิดก็มาขอรับโทษด้วยตัวเองเสมอ จนผู้คนจดจำชื่อท่านได้ดี
เรื่องราวของท่านเป็นที่น่าจดจำ มีตอนหนึ่ง ช่วงสงคราม อบูมะฮ์ยันที่ถูกขังในคุก
แต่เบื้องหน้าท่านเห็นกองทัพมุสลิมกับเปอร์เซียกำลังรบกัน ในขณะที่กองทัพมุสลิมกำลังเสียที
ให้กับเปอร์เซีย อบูมะฮ์ยันร้องไห้หนักมาก ท่านกล่าวว่า เจ็บปวดมาก เวลาที่ลูกธนูผ่านหัวฉันไปแล้ว
ฉันไปช่วยอะไรพี่น้องของฉันไม่ได้เลย จนท่านทนไม่ไหว จึงบอกคนเฝ้าว่า ท่านช่วยเปิดประตูคุกหน่อย
ฉันจะออกไปช่วยพี่น้องของฉัน ถ้าฉันไปแล้วไม่ตาย ฉันจะเดินกลับมาเข้าคุกเอง
แต่ถ้าฉันไปแล้วเสียชีวิต ก็ถือว่าจบกัน คนเฝ้าพอได้ยินเช่นนั้นก็ปล่อยเขาทันที
อบูมะฮ์ยันกระโดดขึ้นม้าแล้วขึ้นไปอยู่แนวหน้าแถวแรกสุดระหว่างมุสลิมกับเปอร์เซีย
มุสลิมตรงนั้นเห็นชายคนหนึ่งพุ่งเข้าหาศัตรู ต่างกล่าวกันว่า อัลลอฮุอักบัรฺ อัลลอฮ์ส่งมาลาอิกะฮ์
มาช่วยเราแล้ว เสร็จศึก อบูมะฮ์ยันไม่ตาย ท่านเดินทางกลับมาเข้าคุกเหมือนเดิมด้วยความสบายใจ
ที่ได้ช่วยเหลือพี่น้องของท่าน แม่ทัพกลับมาดูอบูมะฮ์ยันแล้วบอกคนเฝ้าว่า
ถ้าอบูมะฮ์ยันไม่ถูกขังนะ ฉันมั่นใจเลยว่าคนที่เข้าห่ำหั่นกับเปอร์เซียนั้นคือ คนนี้แน่นอน
แต่นี่เขาติดคุกอยู่คงเป็นคนอื่น คนเฝ้าคุกบอกว่า คนคนนั้นคือ อบูมะฮ์ยันเอง
เมื่อทำคุณประโยชน์ให้กองทัพอิสลาม จากเพลี้ยงพล้ำกลายเป็นชนะได้
แม่ทัพจึงบอกให้ปล่อยตัวอบูมะฮ์ยัน แล้วจากนี้ไปจะไม่ลงโทษท่านในคดีดื่มเหล้าอีกแล้ว
เมื่ออบูมะฮ์ยันได้ยินเช่นนั้น เขาก็กล่าวทันทีว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ชีวิตของอบูมะฮ์ยัน
จะไม่ดื่มเหล้าอีกตลอดชีวิต และเขาก็ไม่ดื่มอีกจนตาย จนมีคนถามว่า ทำไมท่านเพิ่งจะมาเลิกเหล้า
เอาตอนนี้เล่า? ท่านตอบไปว่า ถ้าฉันเลิกเหล้าตอนนั้น คนจะบอกว่า ฉันเลิกเพราะกลัวโดนตี
วันนี้ฉันไม่โดนตีอะไรแล้ว ฉันจึงเลิกเหล้า เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า ฉันเลิกเหล้าเพื่ออัลลอฮ์"
หญิงสาวถึงกับน้ำตาซึมใหลออกมาเมื่อฟังประโยคสุดท้ายที่สตรีตรงหน้าเล่าเรื่องราวของอบูมะฮ์ยันจนจบ
ไม่คาดคิดว่า จะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นบนโลกนี้ด้วย และไม่คิดว่า คนแบบอบูมะฮ์ยันจะมีอยู่จริง
และเคยมีตัวตนในหน้าประวัติศาสตร์จริง ๆ ช่างน่าเหลือเชื่อเหลือเกิน
"หากเราฝึกสอนให้เขากลัวเรา ยำเกรงเรา เขาก็จะเชื่อฟังและทำดีต่อหน้าเรา
พอลับหลังเราเขาก็จะทำตามแต่ใจเขาปรารถนา และฝ่าฝืนคำสั่งสอนต่าง ๆ
แต่ถ้าเราฝึกสอนให้เขากลัวเกรงอัลลอฮ์ และ รักอัลลอฮ์ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ยามใด ที่ใด
เขาก็จะยังคงยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ไม่กล้าฝ่าฝืนอัลลอฮ์ที่เขาทั้งรักและทั้งกลัวเกรง
จึงไม่มีมุสลิมคนไหนที่จะไปบังคับขู่เข็ญให้ใครคนใดคนหนึ่งก้มกราบอัลลอฮ์ด้วยใจจริงได้หรอก
เว้นแต่หัวใจของเขาจะศรัทธาต่ออัลลอฮ์อย่างแท้จริง จึงก้มกราบอัลลอฮ์ด้วยความจงรักภักดี"
หะบีบี้พูดจบก็สวมกอดหญิงสาวผู้ที่สามีให้ติดรถมาที่นี่แล้วลูบหลังนั่นอย่างรักใคร่เอ็นดู
แล้วกระซิบบอกหญิงสาวเบา ๆ ข้างหูว่า
"ฉันรักเธอนะ" หญิงสาวยกมือทั้งสองขึ้นโอบกระชับร่างของหะบีบี้ไว้แน่น น้ำตาซึมออกทางตา
อย่างห้ามไม่อยู่ ชั่วชีวิตนี้ เธอไม่เคยได้ยินใครสักคนพูดประโยคนี้กับเธอ
เธอไม่มีแม่ อีกทั้งไม่รู้จักพ่อ เกิดมาพอรู้ความก็พบว่าอยู่ในศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้า
พอออกมาจากที่นั่น ก็ถูกหลอกให้ขายบริการทางเพศ แล้วก็ทำอาชีพนี้มาเรื่อย ๆ
เจอผู้ชายมากหน้าหลายตา หากก็ไม่เคยมีใคร พูดประโยคนี้กับเธอสักคน ไม่เคยมีใครโอบกอดเธอเช่นนี้
ไม่เคยได้รับไออุ่นแบบนี้มาก่อนเลย
ที่ตรงเธอยืนมันมืดมน ผู้คนเข้ามาและก็ผ่านไป ไม่เคยได้สัมผัสความรักเลยสักครา
ความรักสำหรับเธอ เหมือนสิ่งงดงามที่เกินเอื้อมถึง ได้แต่แหงนมองจากที่ไกล ๆ
"ฉันไม่เคยได้เลือกอะไรด้วยตัวเองเลยสักครั้ง อยากจะรักใครสักคนที่เขารักฉันจริง
แต่คนอย่างฉันจะมีวันได้เจอความรักที่งดงามแบบนั้นรึเปล่าคะ ฉันยังคู่ควรกับความรักที่ดี ๆ อีกมั้ย?"
น้ำตามากมายร่วงพรูลงมาบนบ่าของหะบีบี้ แววตาเต็มไปด้วยความสับสนและสิ้นหวัง
"ได้สิ เธอคู่ควรและควรค่ากับความรักที่งดงาม"
"ฉันไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ"
"เธอไม่ต้องเข้าใจหรอกนะ ความรักไม่ใช่สิ่งที่ต้องเข้าใจ มันมีไว้สำหรับให้หัวใจได้สัมผัสมันเท่านั้น"
หะบีบี้ผละออกเพียงนิด จับบ่าของหญิงสาวไว้ ยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วบอกอย่างหนักแน่นว่า
"ฉันอยู่ตรงนี้เสมอนะ รอเธอกลับมา"
หญิงสาวยิ้มร่า เมื่อได้ยินประโยคอันจับหัวใจคนที่ไม่เคยมีคนที่รออยู่ข้างหลังเช่นเธอ
ไม่เคยมีบ้านสำหรับเธอ ไม่มีใครเฝ้าดูเฝ้าห่วงใย เรียกได้ว่า ไม่มีที่ให้กลับไปเลยสักที่
มีเพียงคนตรงหน้า ที่บอกว่า รักเธอ และ จะรอเธอกลับมาหา
รอรับเธออยู่ที่นี่ และเธอจะได้รับทั้งความรักและเกียรติจากผู้คนที่นี่
น้ำตาของความตื้นตันใจ มันรินใหลออกมาเต็มสองตา
"เธอไม่ใช่คนแรกที่เคยฝันร้าย เธอไม่ใช่คนแรกที่เคยอ่อนล้า เธอก็เป็นเหมือนคนอื่น ๆ
ที่เคยเจ็บและช้ำมา ที่ตรงนี้รอให้เธอมาหลบพัก แล้วค่อยตัดสินใจเลือกว่าจะไปไหนต่อ
แต่ถ้าไม่อยากไปไหนแล้ว จะอยู่ที่นี่ตลอดไปก็ได้"
คราวนี้เป็นหญิงสาวที่ดึงรั้งร่างของหะบีบี้เข้ามาสวมกอดเอาไว้พร้อมกับรอยยิ้มเปี่ยมสุข ท่วมท้น
"ขอบคุณนะคะ คุณคือ ความรัก"
ใช่ หะบีบี ก็คือ ความรักนั่นเอง พ่อรักเธอมาก แม่ก็รักเธอมาก
พี่น้องก็รักเธอมาก สามีและลูก ๆ ก็รักเธอมาก ชื่อเธอก็เป็นที่รักของใครต่อใคร
หะบีบี้วางมือบนบ่าของหญิงสาวแล้วมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ยิ้มเบา ๆ อย่างอ่อนโยน
แล้วนึกถึง ถ้อยคำของ ญะลาลุดดีน อัรฺรูมีย์ ขึ้นมา เธอจึงถ่ายทอดคำพูดนั้นให้อีกฝ่ายได้รับรู้
"ความรักจะไม่สัมผัสสิ่งใดเว้นแต่ความรักจะทำให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์"
หญิงสาวที่ได้ยินถึงกับรู้สึกตื้นตันราวกับจิตวิญญาณที่ตกหล่นลงไปในห้วงเหวลึกอันมืดมิด
กำลังล่องลอยขึ้นอย่างอิสระ ไร้พันธนาการร้อยรัด
ก่อนเดินทางกลับ กลุ่มสตรีและเด็กนักเรียนก็ได้เวียนกันมาจูบมือ
และได้ส่งเธออย่างมีเกียรติจนกระทั่งขึ้นรถ
ตลอดการเดินทาง บนรถ หญิงสาวที่ทำอาชีพขายบริการมาตั้งแต่อายุ 15 ปี จนบัดนี้อายุ 25 แล้ว
ถึงกับร้องไห้อย่างหนัก น้ำตาใหลหยดลงมาตลอด มุสตอฟาและคนขับรถก็ปล่อยให้เธอร้องต่อไป
เขาปรารถนาจะไปส่งเธอกลับถึงที่พัก จึงนั่งมาพร้อมกับคนขับรถ
"เธอลองพิจารณาดูเอาเถิดว่าผู้คนมากมายที่นั่นได้กระทำต่อเธออย่างไรบ้าง
พวกเขาให้เกียรติเธอ ได้สวมกอดเธอ ได้ส่งเธอ และเต็มอกเต็มใจเข้าไปหาเธอ
เพียงแค่ต้องการได้จูบมือของเธอ คนแล้วคนเล่าต่างเข้ามาเพื่อหวังคิดมัตเธอ
หวังดุอาอ์จากเธอและบารอกะฮ์จากเธอ ทั้ง ๆ ที่เธอก็รู้ดีว่า เธอคือ ใคร?"
หญิงสาวร้องไห้ รู้สึกถึงความอัปยศอดสู น่ารังเกียจ โศกเศร้าเสียใจ เมื่อได้หวนนึกถึงบรรดาพฤติกรรม
ต่าง ๆ ที่เคยทำไว้ บาปต่าง ๆ ที่ได้กระทำไว้ของเธอ อัลลอฮ์กลับปกปิดมันเอาไว้
พระองค์ทรงเมตตาต่อเธอเหลือเกิน
"เธอได้รับสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของเธอ ดังนั้น จงรีบเตาบะฮ์เถิด และขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์
อย่าปล่อยให้วิญญาณถึงลูกกระเดือกก่อนจึงจะเตาบะฮฺ ถึงตอนนั้นมันจะสายเกินหวนคืน"
ได้ฟังก็ยิ่งร้องไห้ มุสตอฟาจึงปล่อยเธอไว้อย่างนั้น หญิงสาวร้องไห้สะอื้นพลางกล่าวขึ้นว่า
"ขอบคุณบาบอเหลือเกิน ขอบคุณที่ให้เกียรติกัน ขอบคุณที่ได้นาศีฮัตและบารอกะฮ์ในเหตุการณ์ครั้งนี้
ที่เกิดขึ้นกับตัวฉัน นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฉันจะเตาบะฮ์ และหยุดอาชีพนี้ และจะไม่หวนกลับไปทำอาชีพนี้อีก"
มุสตอฟายิ้มเบา ๆ พลางบอกว่า
"หากเธอต้องการความรู้ สถาบันนูรุลหะบีบี ยินดีต้อนรับเธอเสมอ ที่นั่นจะมอบทั้งความรู้
และการงานอาชีพใหม่ ๆ ให้กับเธอพร้อมด้วยมิตรภาพและความรักจากผู้คนที่นั่น"
"อัลฮัมดุลิลลาห์" หญิงสาวอดตื้นตันใจมิได้
"ฉันจะไปที่นั่นค่ะ แน่นอนว่าฉันต้องกลับไปแน่ ๆ ภรรยาคุณหมอรอฉันอยู่"
มุสตอฟากระตุกหัวคิ้วเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย
"ฉันได้สอบถามมาแล้วค่ะว่าผู้หญิงที่ทั้งสวยและสง่างามผู้นั้นคือ ใคร
พวกเด็ก ๆ บอกกับฉันว่า เธอคือ ภรรยาของคุณหมอ
และบอกอีกว่า จริง ๆ แล้วบาบอเป็นคุณหมอ ที่ทั้งดูแลรักษาผู้คนและให้ความรู้ผู้คน
ออกเดินทางไปเยี่ยมเยือนผู้คนในที่ต่าง ๆ คนป่วยที่นอนติดเตียงที่มาหาหมอไม่ได้
คุณหมอก็ออกไปเยี่ยมเยือนดูแลถึงบ้าน และก็เป็นเจ้าของสถาบันแห่งนั้นด้วยค่ะ"
หญิงสาวยิ้มกว้างด้วยแววตาผ่อนคลาย
"บาบอน่าอิจฉามาก ๆ นะคะที่ได้ภรรยาอย่างเธอ เธอน่ารักเหลือเกินค่ะ ทั้งน่ารักและแสนดี
เราคุยกันถูกคอมาก ๆ ตอนนี้เธอกลายเป็นไอดอลของฉันไปแล้วค่ะ"
มุสตอฟาอมยิ้ม นึกไปถึงใบหน้าของภรรยาผู้เป็นสุดที่รักของเขาก่อนจะพูดสั้น ๆ ว่า
"อัลฮัมดุลิลลาห์"
ก่อนจะนึกยิ้มในใจ นี่ก็คงเป็นอีกรายที่โดนหะบีบี้ตก จะมีใครที่ไม่ตกหลุมรักเธอ
ในเมื่อเธอมีแต่ให้โดยไม่หวังอะไรกลับคืน
เป็นความรัก ที่คนขาดรักอยากจะพุ่งเข้าไปหา
เป็นสะพานทอดไปสู่ 'เจ้าของความรักที่แท้จริง'
.............................โปรดติดตามตอนต่อไป......................................
ปล. คำว่า "บาบอ" นั้น คือคำเรียกขานผู้รู้ในหมู่มุสลิมซึ่งมีมาช้านานมากแล้ว
ท่านนบีได้กล่าวสรรเสริญท่านอาลีไว้ว่า
"อันว่าตัวข้านั้นคือ เมืองแห่งวิทยาการความรู้ ส่วนอาลีนั้นคือ ประตูสู่เมืองนั้น "
คำว่า "บาบอ" ก็มาจากคำว่า "ประตู" หรือ "บาบา" ในภาษาอาหรับคำนี้นั่นแลหนา
เหล่าบรรดาผู้รู้ทั้งหลายจึงเปรียบประดุจดั่ง "ประตูสู่เมืองแห่งความรู้ของนบี" (บาบามาดีนาติลอิลม์) นั่นเอง
นี่จึงเป็นที่มาที่ไปอันเก่าแก่และเป็นรากเดิมของคำคำนี้ที่ใช้เรียกขานผู้รู้ศาสนาอิสลามในหมู่มุสลิมกันค่ะ
รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะทุกคน
ด้วยรักและคิดถึง
"เต่าโย"
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ย. 2567, 14:14:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ย. 2567, 14:14:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 21
<< บทที่ 20 มะวัดดะฮ์ วัรฺเราะห์มะฮ์ | บทที่ 22 แล้วพบกันอีกครั้งที่ญันนะห์ (ตอนจบ) >> |