Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้
ตอน: บทที่ 20 คนของความทรงจำ
เสียงนั้นเรียกสติของวาลองโซลให้กลับมา
จนต้องรีบผละจากร่างอันเย้ายวนใจราวกับเมื่อครู่ได้แตะต้องเตาไฟร้อนจนลวกเอา
ก่อนจะถอยห่างออกมา เบือนสายตาไปทางอื่น
"ซันนี ซันนี" ทันทีที่เรียกชื่อ ร่างของลูกน้องคนสนิทก็รีบเดินเข้ามา เมื่อเห็นคนบนเตียงจึงเข้าใจสถานการณ์
"ช่วยจัดการเธอด้วย"
"ได้ค่ะ" หญิงสาวรับคำพร้อมกับเดินไปยังห้องน้ำนำกะละมังกับผ้าชุบน้ำออกมา
"คุณหมอออกไปก่อนเถิดค่ะ ซันนีจะเช็ดตัวลดความร้อนให้องค์หญิง" วาลองโซลพยักหน้า
แล้วเดินออกจากห้องไป ไม่วายได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างทรมานของลาเวนเดอร์
เขาจึงกลับเข้าไปอีกครั้งแล้วใช้ผ้ามัดปิดปากเธอเอาไว้ เพียงเพราะไม่ต้องการให้ใครได้ยินเสียงนี้ของเธอ
ซึ่งเป็นจังหวะที่ซันนีกำลังปลดชุดให้ลาเวนเดอร์พอดี สายตาเจ้ากรรมรีบเบือนหน้าหนี
แล้วรีบก้าวออกจากห้องหอไป
ทั้งที่ควรจะเป็นค่ำคืนอันแสนสุขของบ่าวสาว แต่เขากับเธอกลับต้องเผชิญกับสิ่งนี้
และด้วยความเหน็ดเหนื่อยกับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามารุมเร้าทั้งวัน วาลองโซลก็หลับลงสนิทยังห้องข้าง ๆ
เมื่อซันนีมารายงานว่า เจ้าสาวของเขาสงบลงและหลับไปแล้ว เหมือนล็อคที่ถูกปลด
วาลองโซลจึงเข้าสู่นิทรา เพราะรู้ว่า เมื่อตื่นขึ้นมา มีเรื่องใหญ่ที่เขาจะต้องเผชิญหน้ากับมัน
รอเขาและเธออยู่ เพราะเส้นทางอำนาจนั้น มีเพียงหินไฟรายล้อม หาใช่โรยด้วยกลีบดอกไม้ไม่
กษัตริย์อุบัยดะห์ได้ทิ้งกองไฟลูกมหึมาไว้ในมือของเขาก่อนจะจากไปเสียแล้ว
ซึ่งเป็นการจากไปที่เต็มไปด้วยปริศนาอันมืดดำและมีเงื่อนงำมากมายที่ยากจะไขได้ภายในเวลาอันสั้น
ส่วนซันนี หลังจากทำหน้าที่เรียบร้อยก็ได้นอนเฝ้าลาเวนเดอร์ในห้องนอนของหญิงสาว
เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่สามารถไว้วางใจใครได้เลยแม้สักคน เธอได้รับคำสั่งมาให้ดูแล
หญิงสาวผู้นี้มาก่อนที่จะได้รับคำสั่งจากหมอวาลองโซลเสียด้วยซ้ำ และแน่นอนว่า
เบื้องหลังของผู้ว่าจ้างนั้น ย่อมไม่ธรรมดา เพราะแม้แต่เธอเองก็ยังไม่รู้เลยว่า ใครกันแน่ที่ว่าจ้างเธอ
มาทำงานสำคัญขนาดนี้ ด้วยราคาสูงมากที่ยากจะมีใครให้ค่าตอบแทนได้เท่านายจ้างคนนี้
ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน ซันนีก็ไม่วายเดินไปยังคนบนเตียงที่ยังถูกล่ามโซ่ตรวน
ด้วยแววตาเห็นใจในโชคชะตาของสตรีผู้นี้จนมิอาจบรรยายออกมาได้ มีญาติพี่น้องก็เหมือนไม่มี
แต่ละคนรอบกายเธอล้วนเอาแต่ได้ ช่างน่าอดสู แม้แต่บิดาบังเกิดเกล้าที่ไม่เคยพบเจอ
พอได้พบเจอเพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ต้องมาพลัดพรากจากกันไปอยู่กันคนละโลกเสียแล้ว
มารดาก็ไม่แยแส ไม่แม้แต่จะยอมรับ และไม่แม้แต่จะมาร่วมแสดงความยินดีกับบุตรสาวของตน
ในวันสำคัญ แม้แต่ในพิธีฝังกษัตริย์อุบัยดะห์ เธอก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของมารดาขององค์หญิงท่านนี้
"คุณโตมาแบบไหนนะองค์หญิง แล้วโตมาอย่างงดงามและสง่างามเช่นนี้ได้ยังไงกันนะ"
อดไม่ได้ที่จะทอดมองใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติดนั่น ไหนจะรูปร่างที่ยากจะหาจุดตำหนินั่นอีกเล่า
"ใครกันนะที่ทำให้คุณอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายเช่นนี้ เขาต้องการอะไรกันแน่?"
เช้าวันใหม่ กับ แสงใหม่ในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ลาเวนเดอร์ลุกขึ้นมาก็พบว่า โซ่ตรวนที่พันธนาการ
ตัวเธอไว้ได้หายไปแล้ว ก่อนจะได้กลิ่นหอม ๆ ของอาหารโชยเข้าจมูก ไวเท่าความคิด
ร่างงามที่เพิ่งตื่นก็ดีดตัวลุกขึ้น บิดขี้เกียจไปมา แล้วหันไปมองที่มาของกลิ่นหอม ๆ นั่น
ก็พบกับใบหน้าคม หล่อเหลา ไร้ที่ติ กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ หันมาทางเธอแน่วนิ่ง เหมือนว่ามองเธอเช่นนี้
มานานแล้ว ข้าง ๆ เขา บนโต๊ะ มีอาหารที่กำลังส่งกลิ่นหอม ยั่วยวนวางอยู่
"ผมทำอาหารอาหรับน่ะ อยากลองชิมมั้ย?" ลาเวนเดอร์พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้าง
ก่อนจะรีบลุกขึ้นไปจัดการล้างหน้า แปรงฟัน แล้วก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ที่มีคนจัดวางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
แล้วเดินมายังที่นั่งตรงข้ามกับอีกคนที่นั่งรออยู่ที่เดิม อดไม่ได้ที่จะสูดดมกลิ่นหอม ๆ ที่ทำให้
กระเพาะของเธอร้องประจานเจ้าของ
"แหะ ๆ หิวค่ะ" หญิงสาวยิ้มเขินแล้วสารภาพออกไปตรง ๆ
"นี่คือ ทาบูเล่ เป็นสลัดผักสไตล์ตะวันออกกลาง สำหรับเรียกน้ำย่อย ประกอบด้วยข้าวสาลี ผักชีฝรั่ง
ใบมิ้นต์ มะเขือเทศ หอมใหญ่" เขาพูดพลางขยับจานอาหารเมนูทาบูเล่ให้ลาเวนเดอร์
แล้วหยิบขวดน้ำมันมะกอก ปรุงรสทาบูเล่ด้วยน้ำมันมะกอก จากนั้นจึงบีบน้ำเลม่อนลงไป
ลาเวนเดอร์มองท่าทางนั้นของเขาอย่างเพลิดเพลิน อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองดวงหน้าของเจ้าของ
มือเรียวนั่น ที่คอยจัดแจงเรื่องอาหารการกินของเธอนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอจนบัดนี้
ตอนนี้ เธอเหมือนคนกำลังหลงทาง ที่อยู่ ๆ ก็โผล่มาเจอโลกใบใหม่
จากคนที่ไม่มีใคร อยู่ในโลกที่มีแค่การหนีเอาตัวรอดเพียงลำพัง กลับมีตัวละครงอกเข้ามาเรื่อย ๆ
โลกทั้งใบของเธอในตอนนี้ มันเปลี่ยนไปไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีก ราวกับเธอได้จากโลกใบเดิม
โดยทิ้งมันไว้ข้างหลัง แล้วใช้ชีวิตที่เหลือตต่อไปโดยไม่รู้ว่าต้องจัดการอย่างไรกับชีวิตที่เป็นอยู่
แต่เพราะการตื่นมาเจอเขา มีเขาอยู่ข้าง ๆ คอยเป็นทุกอย่างให้เธอ มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นใจ
"ขอบคุณนะคะ" หญิงสาวยิ้มกว้างส่งให้เขาที่คอยบริการเธออย่างใส่ใจ ลึกไปกว่านั้น
เธอรู้สึกขอบคุณเขาสำหรับทุก ๆ เรื่องที่คอยจัดการให้เธอ เมื่อวานถ้าไม่ได้เขาช่วยเหลือ
เธอก็คงทำอะไรไม่ถูก
"กินเถอะ มันช่วยเรียกความสดชื่นให้ได้" ลาเวนเดอร์จึงตักมาชิมก่อน ก่อนจะยิ้มเมื่อรสชาติถูกใจ
แล้วก็ตักกินคำต่อไปเรื่อย ๆ อย่างมีความสุข
"อันนี้ฮัมมูส กินพร้อมแป้งพิต้า" ลาเวนเดอร์มองเมนูที่เขาพูดถึง แล้วเลิกคิ้วนิดนึง แลดูน่ารักน่ามอง
ทำให้คนที่แอบมองอยู่ถึงกับหัวใจแกว่ง
"เหมือนถั่วบดเลยค่ะ"
"ใช่ เป็นถั่วลูกไก่ที่นำมาบดจนกลายเป็นเนื้อครีม ปรุงรสด้วยมะนาว กระเทียม และ เกลือ"
ไม่พูดเปล่า เขาหยิบแป้งพิต้าขึ้นมาจิ้มฮัมมูส แล้วป้อนให้หญิงสาว ทำเอาลาเวนเดอร์ถึงกับทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา
"กินสิ ไม่ชอบหรือ?" ลาเวนเดอร์จึงอ้าปาก เขาก็ป้อนมันเข้าปากของเธอ แล้วยิ้มตรงมุมปาก
เมื่อเห็นแก้มนั่นแดงระเรื่อขึ้นมา
"อร่อยมั้ย?" ลาเวนเดอร์พยักหน้า ก่อนจะยกหัวแม่มือให้เขาด้วยท่าทางขวยเขินนิด ๆ
"ทำไมคุณหมอถึงใจดีกับฉันแบบนี้ด้วยละคะ? เพราะอะไรหรือคะ?" ลาเวนเดอร์ที่ยกผ้าเช็ดปาก
ขึ้นซับรอยเปื้อนตรงมุมปากแล้วถามออกไปด้วยแววตาใคร่รู้ เขากลับเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วก็พูดน้อย ๆ
ตามเคยว่า
"คุณอยากให้ผมใจร้ายกับคุณหรือ?" ลาเวนเดอร์ส่ายหน้า
"ไม่เลยค่ะ อยากให้ใจดีแบบนี้ตลอดไป"
"งั้นก็กินให้หมดเกลี้ยงได้มั้ย?" เขามองไปที่อาหารที่เขาเตรียมทั้งหมดมาให้เธอ ซึ่งยังเหลืออยู่ไม่มาก
"ได้สิคะ อร่อยขนาดนี้ ฉันกินหมดเกลี้ยงอยู่แล้ว" ว่าพลางตักอาหารเข้าปากไปแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ
ไม่มีห่วงสวยอย่างที่สาว ๆ หลายคนหวงกัน
"คุณหมอเก่งจังเลยค่ะ ทำอะไรมาให้ฉันกินไม่เคยซ้ำกัน แถมอร่อยลงตัวทุกอย่างเลยด้วย"
"คุณไม่เบื่อที่ต้องชมผมบ้างเลยรึไง เห็นชมทุกครั้งที่ได้กิน"
"ก็ถ้าคุณหมอไม่เบื่อทำของอร่อย ๆ ให้ฉันกิน ฉันก็ไม่เบื่อที่จะชมคุณหมอหรอกค่ะ
ฉันน่ะ ไม่ค่อยได้กินของอร่อย ๆ แบบนี้หรอกค่ะ แค่กินเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น มีอะไรที่ทำให้หายหิวได้
ฉันก็กินได้ แถมยังทำกินไม่เก่งเลย และไม่คิดเลยว่า ชีวิตนี้จะได้มาอยู่กับคนที่ทำอะไรก็อร่อยมาก ๆ
แบบคุณหมอ ไม่คิดว่าจะได้กินของอร่อย ๆ ไม่ซ้ำกันสักมื้ออย่างนี้
แบบนี้น่ะ เรียกว่า โชคดีได้มั้ยอะคะ?" ไม่พูดเปล่า หญิงสาวยื่นแป้งพิด้าที่จิ้มฮัมมูสป้อนให้คนทำ
แต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้าเบา ๆ
"ผมกินมาแล้วละ หิวจนรอคุณตื่นไม่ไหว เลยกินไปก่อนหน้าแล้ว"
"อีกสักนิดนะคะ เร็ว ๆ สิ" หญิงสาวทำเสียงสองออดอ้อนให้อีกฝ่ายอ้าปาก ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก
แล้วยอมอ้าปากให้เธอป้อนอย่างว่าง่าย แล้วยังสบตาคู่นั้นแน่วนิ่ง จนเจ้าของตาหวานต้องรีบเบี่ยงหลบ
"กินคนเดียว กับ มีคนป้อนให้กิน อย่างไหนอร่อยกว่ากันคะ" หญิงสาวถามไปก็หน้าแดงไป
ทำให้คนที่ปกติไม่ค่อยยิ้ม กลับยิ้มเบา ๆ ออกมา
"ป้อนอีกคำสิ ผมจะได้ยืนยันคำตอบ" ลาเวนเดอร์แทบอยากจะบิดผ้าเช็ดปากในมือด้วยความเขิน
มือเรียวสวยยื่นไปหยิบแป้งพิต้า แล้วจุ่มลงในฮัมมูส ก่อนจะป้อนมันให้เขา แล้วรีบก้มหน้างุด
ซ่อนอาการเก้อเขินที่ชวนให้ร้อนหน้าเหลือเกิน
"ต่อไป คงต้องผลัดกันป้อนให้กินแล้วละ" เขาบอกพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ลาเวนเดอร์ไม่เคยเห็นมาก่อน
ทำเอาหญิงสาวถึงกับมองภาพนั้นจนตาค้าง มารู้ตัวได้สติอีกทีก็ตอนที่เขาป้อนขนมให้เธอกิน
"คาบีส" เขาบอกชื่อขนมหวานให้เธอฟัง แต่คนฟังที่กำลังเคี้ยวขนมกับมองหน้าเขาไปพลาง ๆ
เหมือนสติจะยังกลับมาไม่ครบ จนเมื่อเขาดีดนิ้วตรงหน้าเธอเท่านั้นแหละ ลาเวนเดอร์ก็ถึงกับยิ้มขันออกมา
"ฉันนี่โก๊ะจริง ๆ เลย"
"น่ารักดีนะผมว่า"
"คุณหมอว่าไงนะคะ"
"น่ารักครับ" อะไรกันเนี่ย นี่มันวันอะไร ทำไมมันหวาน ๆ ร้อน ๆ แปลก ๆ
"ก็คุณหมอยิ้มแบบนั้น ทำเอาฉันใจบินไปไหนก็ไม่รู้ขึ้นมา" พูดแล้วก็ยิ่งหน้าแดงเป็นมะเขือเทศ
จนต้องยกมือโบกพัดใบหน้าตัวเองให้หายร้อน
"ตอนนี้ยังบินอยู่รึเปล่าครับ"
"มันกลับมาแล้วค่ะ แต่ว่าร้อนจัง" คราวนี้ถึงกับยกสองมือโบกไปมาพัดหน้าตัวเอง
ทำให้คนที่มองอากัปกิริยานั้นอยู่ตลอดถึงกับยิ้มกว้างอีกครั้ง
"ยิ้มแบบนี้อีกแล้ว คุณหมออ่ะ ขี้แกล้ง" ลาเวนเดอร์รีบหันหน้าหนีทันทีเป็นการแก้เก้อ
ทว่า อีกฝ่ายกลับจับคางของเธอให้หันกลับไปทางเขา แล้วสบตานิ่ง จ้องเข้าไปในดวงตา
"กระจกวิเศษเอ๋ย ใครงามเลิศในปฐพี" เขาพูดเบา ๆ ทว่าหนักแน่น
"ฉันน่ะสิ ฉันน่ะสิ" ลาเวนเดอร์ยิ้มกลบแล้วก็รับมุกของเขาอย่างขำขัน ส่งผลให้เขายิ้มกว้าง ๆ
จนเห็นฟันเรียงตัวสวยงาม พาให้ใจละลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกแล้ว
"วันนี้ คุณต้องเล่นบทองค์หญิงลัยลาลิณ ชายาขององค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกสถาปนา
เป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของดินแดนนี้ ซึ่งนั่นหมายความว่า องค์หญิงลัยลาลิณก็จะกลายเป็น
องค์ราชินีลัยลาลิณ ซึ่งคุณสามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่อย่างที่เคยเป็น ไม่ต้องฝืนเป็นคนอื่น
ให้ต้องอึดอัด เข้าใจมั้ย?" ลาเวนเดอร์มองใบหน้าคมหล่อตรงหน้าที่อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าท่าทาง
ขึงขังขึ้นมา นี่สินะ เป้าหมายที่เขาหลอกล่อเธอจนเคลิบเคลิ้มไปกับเขาเมื่อครู่
จบลงแล้วสินะ ซีนหวาน ๆ
"ฉันต้องเจอใครที่รับมือยากบ้างคะ"
"อาจต้องเจอกับมาดามมารีอานน์และอดีตคู่หมั้นของผม"
"งั้นก็รับมือไม่ยากหรอกค่ะ เพราะพ่อแม่ที่แท้จริงของคุณหมอไม่อยู่แล้วทั้งคู่
มาดามมารีอานน์ก็ไม่ใช่แม่สามีของฉันสักหน่อย และอดีตคู่หมั้นของคุณหมอก็เป็นอดีตไปแล้ว
ตอนนี้ฉันคือ ชายานี่คะ หรือคุณหมอจะแต่งตั้งชายาอีกคนเพิ่มเติม?"
แววตาคมกริบสบประสานดวงตาของลาเวนเดอร์นิ่งเมื่อเธอเอ่ยประโยคนั้นออกมา
"คุณอยากให้ผมเพิ่มชายาอีกคนรึเปล่าละ?"
"แล้วแต่คุณหมอสิคะ"
"แน่ใจหรือที่พูดแบบนั้น?"
"ก็คุณหมอมีสิทธิ์ในเรื่องนี้ จะใช้สิทธิ์หรือไม่ใช้สิทธิ์ก็แล้วแต่คุณหมอนี่คะ
และฉันที่เป็นชายาก็ไม่ควรห้ามหรือคัดค้านการหาความสุขของสามี ไม่ใช่หรือคะ?"
"หาความสุขหรือ?" เสียงของเขานิ่งไปจากเดิมจนคนฟังเริ่มไม่ชอบน้ำเสียงโทนนี้ขึ้นมา
"ใช่ค่ะ" ลาเวนเดอร์หันสายตาไปทางอื่น แม้ว่าปลายคางยังถูกเขาจับตรึงเอาไว้
"ใจกว้างจัง" เขาว่า แววตาที่สบตาเธอตอนนี้ได้ขยับเลื่อนลงต่ำมาหยุดที่ริมฝีปากเธอ
จนทำเอาลาเวนเดอร์ใจสั่น เริ่มทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา
"ถ้าไม่ยินยอมก็หาว่าใจแคบ พอยินดีก็บอกว่าใจกว้าง สรุปว่า แบบไหนถึงจะพอใจหรือคะ?"
"ก็แบบนี้ไง?" พูดจบเขาก็ฉกริมฝีปากเธอแล้วบดจูบอย่างหนักหน่วง เอาเป็นเอาตาย
จูบที่ไม่ได้หวานเหมือนเมื่อคืน เหมือนเขาจะลงโทษเธอผ่านทางจูบนี้เลย
ลาเวนเดอร์รวบรวมกำลังแล้วผลักเขาออก ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากที่รู้สึกชา
"หมายความว่าไงคะ ฉันไม่เข้าใจ?"
"ก็หมายความว่า ผมไม่พอใจที่เมียตัวเองไม่รู้สึกหึงหวงสามีตัวเองแบบที่คุณทำเมื่อกี้
และผมจะพอใจก็ต่อเมื่อผมได้ลงโทษคุณแบบเมื่อกี้นี้ไง"
"คุณมันบ้าไปแล้ว ผู้หญิงขี้หึงน่ารำคาญจะตาย คุณหมออยากให้ฉันเป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญรึไง?"
"ผมเคยบอกหรือว่าผมรำคาญคุณ เคยบอกหรือว่าผมรำคาญเมียขี้หึง"
"ก็ไม่เคยค่ะ ก็ ก็เราเพิ่งแต่งงานกัน ฉันไม่ทันได้หึงคุณหมอเลยนะคะ"
"งั้นคุณก็ควรจะหึงได้แล้ว" วาลองโซลหัวเสียไม่น้อยกับท่าทีและคำพูดพวกนั้นของคนตรงหน้า
ที่ได้ขึ้นชื่อว่า 'เมีย' แม้จะยังไม่ได้เข้าหอกันก็ตาม แต่เธอจะเที่ยวยกเขาให้หญิงอื่นหน้าตาเฉย
แบบนี้ไม่ได้ ถ้าเขาอยากแต่งงานกับอดีตคู่หมั้น เขาจะอยู่โสดมาจนตกลงแต่งงานกับเธอหรือ
"โอเค หึงก็หึง หึงก็ได้ค่ะ" พูดจบ ลาเวนเดอร์ก็ลุกขึ้นเข้าห้องน้ำไปอย่าง งง ๆ
พอออกมาจากห้องน้ำ ก็เจอเขายืนจังก้าทำหน้าไม่พอใจตรงหน้าห้องน้ำอีก
"จะเอายังไงกันแน่ก็ว่ามาเลยค่ะ" น้ำเสียงกึ่งงอนกึ่งอ้อนนั่นชวนให้คนฟังหัวใจกวัดแกว่งไม่น้อย
เจ้าตัวคงหารู้ไม่ว่า น้ำเสียงตัวเองนั้นไม่ต่างจากกับดักหลุมพราง ไหนจะริมฝีปากยามที่มันขยับขึ้นลง
ไปมาตอนพูดนั่นอีก เขาต้องอดทนอดกลั้นกับมันมากขนาดไหน เธอคงไม่เคยรู้
"ต่อไปห้ามพูดหรือทำอะไรที่เป็นการยกผมให้คนนั้นคนนี้อีก ผมไม่ชอบ"
"ได้ค่ะ ฉันจะจำไว้ว่า คุณหมอต้องการมีฉันเป็นชายาเพียงคนเดียว ถูกต้องมั้ยคะ?"
บางทีเขาก็มีความเป็นเด็กชายตัวน้อยซ่อนเอาไว้นะเนี่ย
"ผมไม่ใช่คนที่จะรักและอยากแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ง่าย ๆ ขนาดนั้น"
"คุณหมอกำลังจะบอกว่า คุณหมอรักฉันคนเดียวและตลอดไป ไม่ได้อยากแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นอีก
ถูกต้องมั้ยคะ?" คราวนี้คนถูกถามชะงัก ส่วนคนถามก็ถึงกับกะพริบตาปริบ ๆ
ชะงักไปเหมือนกันเมื่อได้ทวนคำพูดตัวเองซ้ำอีกครั้ง
"อืม" เขาพูดแค่นั้นก็เดินหนีไปซะอย่างนั้น ทำเอาคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังถึงกับกวักมือเขาให้กลับมา
เคลียร์กันก่อน แต่ไม่ทันแล้ว ก็เล่นเดินไวออกปานนั้น แต่ก็อดยกสองมือขึ้นโบกพัดหน้าตัวเอง
ที่เริ่มรู้สึกเห่อร้อนขึ้นมาอีกไม่ได้ หัวใจก็เต้นรัวจนจะหลุดออกมาข้างนอกอยู่แล้ว
แต่พอมาคิดว่า วังแห่งนี้จะไม่มีบิดาอีกแล้ว ก็ให้รู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมา
แม้ทั้งชีวิตจะไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับบิดาเลย ทว่า การต้องอยู่ที่นี่โดยไม่มีบิดาคอยคุ้มภัยให้แบบนี้
มันก็ให้รู้สึกโหวงเหวงเหลือเกิน
"พ่อคะ ลาอยากให้พ่อตื่นมาอยู่กับลา อย่างน้อย เราก็ควรได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกสักหน่อย"
ซันนีก้าวเข้ามา แล้วจัดการแต่งองค์ทรงเครื่องให้กับว่าที่องค์ราชินีคนใหม่
ลาเวนเดอร์มองตัวเองในกระจกแล้วยิ้มออกมา ทว่า แววตากลับหม่นหมองจนคนที่คอยจัดแจงให้
ถึงกับบีบบ่านั่นเบา ๆ เป็นการปลอบประโลม ก่อนจะเดินไปยังลิ้นชัก หยิบบางอย่างออกมา
แล้วเดินมายืนตรงเบื้องหน้าหญิงสาวยื่นมันให้กับเธอ
"มีคนฝากสิ่งนี้มาให้คุณค่ะ" ลาเวนเดอร์มองกรอบรูปและรูปถ่ายในนั้น ก่อนจะขมวดคิ้ว
เงยหน้าขึ้นมองซันนี
"ใครฝากมาหรือคะ? แล้วนี่คือภาพถ่ายของใครหรือคะ?"
"ลองดูดี ๆ สิคะว่าสามคนในรูปนี้เป็นใคร?" ลาเวนเดอร์เพ่งพิศบุคคลในรูปถ่ายอย่างพินิจพิจารณา
มันเป็นภาพของชายหญิงสองคน โดยผู้ชายในภาพกำลังอุ้มเด็กผู้หญิงในวัยแบเบาะ เด็กผู้หญิง
ที่มีดวงตาสีประหลาดแบบเดียวกับชายหนุ่มที่กำลังอุ้มเธออยู่ ส่วนผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่ม
บนเก้าอี้นั้นกำลังยิ้มกว้างอย่างงดงาม เอนศีรษะอิงแอบแนบไหล่ชายหนุ่ม มือข้างนึงโอบกอด
เด็กหญิงตัวน้อยนั้นไว้ อีกข้างโน้มไปโอบชายหนุ่ม สองหนุ่มสาวในภาพดูสวยหล่อ ไร้ที่ติ
และเหมาะสมกันเหลือเกิน เป็นภาพที่มองดูแล้วดูอบอุ่น น่ารัก สดใส มีความสุขโอบล้อมพวกเขา
ทั้งสามคนเอาไว้จนลาเวนเดอร์ที่มองภาพนั้นถึงกับน้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะปล่อยน้ำตาให้ไหลหลั่งลงมา
"นี่คงเป็นภาพความทรงจำเดียวที่พวกเขาทั้งสามคนมีร่วมกันใช่มั้ยคะ?" ลาเวนเดอร์ปาดน้ำตา
ก่อนจะกอดภาพนั้นเอาไว้แนบอก
"เมื่อกี้ฉันยังคิดว่า ถ้าฉันกับพ่อมีความทรงจำด้วยกันอีกสักหน่อย ก็คงจะดีกว่านี้
ดีกว่าการที่พ่อหายไปจากการมองเห็น แล้วฉันก็ยังหาพ่อไม่เจอในความทรงจำ
แต่พอคุณยื่นภาพนี้ให้ฉัน ฉันก็ได้รู้ว่า จริง ๆ แล้ว พวกเราก็เคยมีความสุขร่วมกันมาก่อน
เคยมีช่วงเวลาที่มีความสุขด้วยกัน และก็เคยมีความทรงจำที่งดงามด้วยกัน"
ลาเวนเดอร์ร้องไห้ตัวโยนขณะกอดรูปภาพนั้น ซันนีที่เห็นอย่างนั้นจึงสวมกอดเธอเอาไว้
แล้วลูบหลังเบา ๆ วาลองโซลที่เพิ่งเดินเข้ามาถึงกับชะงักเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากเธอ
ขาของเขาก็เหมือนถูกตรึงเอาไว้กับที่
"ท่านไม่เคยหายไปไหน แค่ย้ายจากดดวงตา ไปอยู่ในดวงใจและความทรงจำเท่านั้นค่ะ"
ซันนีเอ่ยปลอบขวัญ เพราะรู้ดีว่า ภายใต้รอยยิ้มของสตรีผู้นี้นั้น มีเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่
"อย่าเสียใจที่มันได้จบลงไปแล้ว แต่จงขอบคุณที่มันเคยเกิดขึ้น จงขอบคุณที่ครั้งหนึ่ง
เคยรักกันมากขนาดไหน" ประโยคนี้ของซันนีทำให้ลาเวนเดอร์ถึงกับร้องสะอื้นตัวโยน
แล้วกอดร่างซันนีเอาไว้แน่น
"ใครฝากภาพนี้มาให้ฉันหรือคะ?"
"กษัตริย์อุบัยดะห์ค่ะ ท่านให้ฉันไว้ก่อนวันแต่งงานของคุณ กำชับให้ฉันมอบมันให้คุณ
หลังจากวันแต่งงานค่ะและยังฝากคำพูดนึงมาให้คุณด้วย ฝากบอกคุณเมื่อคุณได้ดูรูปถ่ายนี้แล้วว่า"
ซันนีดันร่างที่กอดเธอเอาไว้ให้ห่างออกมา สบตาคู่นั้นที่ยังเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
แล้วบอกคำพูดสั่งลาที่กษัตริย์อุบัยดะห์ฝากมันไว้กับตนว่า
"ภาพความทรงจำที่มีค่า คือ ภาพเวลาที่มีความสุขและความทุกข์ร่วมกัน
บางคนอยู่ในใจนานกว่าเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันซะอีก ท่านบอกว่า ท่านและคุณมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยก็จริง
แต่ไม่เคยมีสักวันที่ลืมคุณเลย นี่คือ รูปถ่ายใบเดียวที่ได้ถ่ายด้วยกันกับคุณและแม่ของคุณ
เป็นภาพที่ท่านนอนกอดทุกคืน และขอให้ฉันส่งต่อมันให้คุณให้ได้"
ลาเวนเดอร์มองภาพนั้นอีกครั้ง แล้วกอดมันแนบอกอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มออกมาในที่สุด
ยิ้มทั้งน้ำตาอาบแก้ม เป็นภาพที่วาลองโซลที่ยืนมองแล้วรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ ตรงหัวใจ
"มันคือ ช่วงเวลาที่แสนดีที่ไม่มีทางคืนมาอีกแล้วค่ะคุณซันนี เพราะพ่อไม่อยู่แล้ว
และแม่ก็ไม่ได้ต้องการให้ฉันอยู่ในชีวิตของเขา"
"ทุกคนล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเองค่ะ" ซันนีวางมือบนบ่าหญิงสาวตรงหน้าแล้วบีบเบา ๆ
"ค่ะ ตอนนี้ชีวิตฉันมีคุณหมออยู่ข้าง ๆ มีคุณซันนีที่คอยจัดแจงสิ่งต่าง ๆ ให้
แค่นี้ฉันก็รู้สึกดีมาก ๆ แล้วค่ะ" ลาเวนเดอร์ปาดน้ำตาตัวเองแล้วยิ้มกว้าง ๆ หมายจะขับไล่
ความขุ่นมัวในหัวใจออกไป เพราะถ้าเธอไม่ทำแบบนี้ ก็จะไม่สามารถรักษาหัวใจของตัวเองได้
"พ่อน่ะ อยู่ตรงนี้ค่ะ และจะไม่ย้ายไปอยู่ที่ไหนอีก" หญิงสาวยกมือขึ้นวางลงตรงตำแหน่งหัวใจ
"นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฉันอยากจะรักษาหัวใจไว้ให้ดี เพราะตรงนี้มีผู้ที่ฉันรักอยู่เสมอไม่ไปไหน"
พูดจบก็หันไปยังกระจกบานใหญ่ มองตัวเองในชุดราตรีสีดำสนิทไม่มีลูกไม้ใด ๆ
ทั้งยังปกปิดมิดชิดทุกสัดส่วน ก่อนจะวางกรอบรูปลง ซับใบหน้าตัวเองด้วยแป้งเบา ๆ
จากนั้นก็ใช้ผ้าไหมสีดำปิดใบหน้าของตน แล้วหยิบรูปถ่ายนั้นขึ้นมากอดอีกครั้ง
"ไปกันเถอะค่ะ ฉันพร้อมแล้ว" ลาเวนเดอร์หันไปยังประตูห้อง ก็พบวาลองโซลที่ยืนอยู่ตรงนั้น
ซึ่งไม่รู้ว่ายืนอยู่นานแค่ไหนแล้ว หญิงสาวยิ้มให้เขาแล้วเดินไปหาเขา จับมือเขาแล้วแนบศีรษะ
กับลำแขนของเขาอย่างออดอ้อน
"สอนฉันเดินด้วยนะคะ ฉันยังเดินไปบนเส้นทางนี้ไม่เป็น และไม่รู้ว่าจะต้องเดินยังไง แบบไหน"
วาลองโซลกระชับมือนั้นไว้ บีบเบา ๆ พร้อมกับพูดว่า
"คุณก็แค่เดินข้าง ๆ ผม และเชื่อใจผมเท่านั้น" ลาเวนเดอร์ช้อนตาขึ้นมองเขา แล้วพยักหน้าหนักแน่น
แล้วก็เดินข้างเคียงข้างเขาโดยปราศจากความกังวลใด ๆ
เพราะได้มอบหมายกับเขาแล้ว และเธอก็เชื่อว่าเขาจะไม่ทำร้ายทำลายชีวิตเธอ
เธอก็แค่ต้องการใครสักคนที่รักจริง
และหวังว่า รักครั้งนี้จะเป็นความจริง
.....................โปรดติดตามตอนต่อไป.................................
จนต้องรีบผละจากร่างอันเย้ายวนใจราวกับเมื่อครู่ได้แตะต้องเตาไฟร้อนจนลวกเอา
ก่อนจะถอยห่างออกมา เบือนสายตาไปทางอื่น
"ซันนี ซันนี" ทันทีที่เรียกชื่อ ร่างของลูกน้องคนสนิทก็รีบเดินเข้ามา เมื่อเห็นคนบนเตียงจึงเข้าใจสถานการณ์
"ช่วยจัดการเธอด้วย"
"ได้ค่ะ" หญิงสาวรับคำพร้อมกับเดินไปยังห้องน้ำนำกะละมังกับผ้าชุบน้ำออกมา
"คุณหมอออกไปก่อนเถิดค่ะ ซันนีจะเช็ดตัวลดความร้อนให้องค์หญิง" วาลองโซลพยักหน้า
แล้วเดินออกจากห้องไป ไม่วายได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างทรมานของลาเวนเดอร์
เขาจึงกลับเข้าไปอีกครั้งแล้วใช้ผ้ามัดปิดปากเธอเอาไว้ เพียงเพราะไม่ต้องการให้ใครได้ยินเสียงนี้ของเธอ
ซึ่งเป็นจังหวะที่ซันนีกำลังปลดชุดให้ลาเวนเดอร์พอดี สายตาเจ้ากรรมรีบเบือนหน้าหนี
แล้วรีบก้าวออกจากห้องหอไป
ทั้งที่ควรจะเป็นค่ำคืนอันแสนสุขของบ่าวสาว แต่เขากับเธอกลับต้องเผชิญกับสิ่งนี้
และด้วยความเหน็ดเหนื่อยกับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามารุมเร้าทั้งวัน วาลองโซลก็หลับลงสนิทยังห้องข้าง ๆ
เมื่อซันนีมารายงานว่า เจ้าสาวของเขาสงบลงและหลับไปแล้ว เหมือนล็อคที่ถูกปลด
วาลองโซลจึงเข้าสู่นิทรา เพราะรู้ว่า เมื่อตื่นขึ้นมา มีเรื่องใหญ่ที่เขาจะต้องเผชิญหน้ากับมัน
รอเขาและเธออยู่ เพราะเส้นทางอำนาจนั้น มีเพียงหินไฟรายล้อม หาใช่โรยด้วยกลีบดอกไม้ไม่
กษัตริย์อุบัยดะห์ได้ทิ้งกองไฟลูกมหึมาไว้ในมือของเขาก่อนจะจากไปเสียแล้ว
ซึ่งเป็นการจากไปที่เต็มไปด้วยปริศนาอันมืดดำและมีเงื่อนงำมากมายที่ยากจะไขได้ภายในเวลาอันสั้น
ส่วนซันนี หลังจากทำหน้าที่เรียบร้อยก็ได้นอนเฝ้าลาเวนเดอร์ในห้องนอนของหญิงสาว
เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่สามารถไว้วางใจใครได้เลยแม้สักคน เธอได้รับคำสั่งมาให้ดูแล
หญิงสาวผู้นี้มาก่อนที่จะได้รับคำสั่งจากหมอวาลองโซลเสียด้วยซ้ำ และแน่นอนว่า
เบื้องหลังของผู้ว่าจ้างนั้น ย่อมไม่ธรรมดา เพราะแม้แต่เธอเองก็ยังไม่รู้เลยว่า ใครกันแน่ที่ว่าจ้างเธอ
มาทำงานสำคัญขนาดนี้ ด้วยราคาสูงมากที่ยากจะมีใครให้ค่าตอบแทนได้เท่านายจ้างคนนี้
ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน ซันนีก็ไม่วายเดินไปยังคนบนเตียงที่ยังถูกล่ามโซ่ตรวน
ด้วยแววตาเห็นใจในโชคชะตาของสตรีผู้นี้จนมิอาจบรรยายออกมาได้ มีญาติพี่น้องก็เหมือนไม่มี
แต่ละคนรอบกายเธอล้วนเอาแต่ได้ ช่างน่าอดสู แม้แต่บิดาบังเกิดเกล้าที่ไม่เคยพบเจอ
พอได้พบเจอเพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ต้องมาพลัดพรากจากกันไปอยู่กันคนละโลกเสียแล้ว
มารดาก็ไม่แยแส ไม่แม้แต่จะยอมรับ และไม่แม้แต่จะมาร่วมแสดงความยินดีกับบุตรสาวของตน
ในวันสำคัญ แม้แต่ในพิธีฝังกษัตริย์อุบัยดะห์ เธอก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของมารดาขององค์หญิงท่านนี้
"คุณโตมาแบบไหนนะองค์หญิง แล้วโตมาอย่างงดงามและสง่างามเช่นนี้ได้ยังไงกันนะ"
อดไม่ได้ที่จะทอดมองใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติดนั่น ไหนจะรูปร่างที่ยากจะหาจุดตำหนินั่นอีกเล่า
"ใครกันนะที่ทำให้คุณอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายเช่นนี้ เขาต้องการอะไรกันแน่?"
เช้าวันใหม่ กับ แสงใหม่ในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ลาเวนเดอร์ลุกขึ้นมาก็พบว่า โซ่ตรวนที่พันธนาการ
ตัวเธอไว้ได้หายไปแล้ว ก่อนจะได้กลิ่นหอม ๆ ของอาหารโชยเข้าจมูก ไวเท่าความคิด
ร่างงามที่เพิ่งตื่นก็ดีดตัวลุกขึ้น บิดขี้เกียจไปมา แล้วหันไปมองที่มาของกลิ่นหอม ๆ นั่น
ก็พบกับใบหน้าคม หล่อเหลา ไร้ที่ติ กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ หันมาทางเธอแน่วนิ่ง เหมือนว่ามองเธอเช่นนี้
มานานแล้ว ข้าง ๆ เขา บนโต๊ะ มีอาหารที่กำลังส่งกลิ่นหอม ยั่วยวนวางอยู่
"ผมทำอาหารอาหรับน่ะ อยากลองชิมมั้ย?" ลาเวนเดอร์พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้าง
ก่อนจะรีบลุกขึ้นไปจัดการล้างหน้า แปรงฟัน แล้วก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ที่มีคนจัดวางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
แล้วเดินมายังที่นั่งตรงข้ามกับอีกคนที่นั่งรออยู่ที่เดิม อดไม่ได้ที่จะสูดดมกลิ่นหอม ๆ ที่ทำให้
กระเพาะของเธอร้องประจานเจ้าของ
"แหะ ๆ หิวค่ะ" หญิงสาวยิ้มเขินแล้วสารภาพออกไปตรง ๆ
"นี่คือ ทาบูเล่ เป็นสลัดผักสไตล์ตะวันออกกลาง สำหรับเรียกน้ำย่อย ประกอบด้วยข้าวสาลี ผักชีฝรั่ง
ใบมิ้นต์ มะเขือเทศ หอมใหญ่" เขาพูดพลางขยับจานอาหารเมนูทาบูเล่ให้ลาเวนเดอร์
แล้วหยิบขวดน้ำมันมะกอก ปรุงรสทาบูเล่ด้วยน้ำมันมะกอก จากนั้นจึงบีบน้ำเลม่อนลงไป
ลาเวนเดอร์มองท่าทางนั้นของเขาอย่างเพลิดเพลิน อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองดวงหน้าของเจ้าของ
มือเรียวนั่น ที่คอยจัดแจงเรื่องอาหารการกินของเธอนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอจนบัดนี้
ตอนนี้ เธอเหมือนคนกำลังหลงทาง ที่อยู่ ๆ ก็โผล่มาเจอโลกใบใหม่
จากคนที่ไม่มีใคร อยู่ในโลกที่มีแค่การหนีเอาตัวรอดเพียงลำพัง กลับมีตัวละครงอกเข้ามาเรื่อย ๆ
โลกทั้งใบของเธอในตอนนี้ มันเปลี่ยนไปไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีก ราวกับเธอได้จากโลกใบเดิม
โดยทิ้งมันไว้ข้างหลัง แล้วใช้ชีวิตที่เหลือตต่อไปโดยไม่รู้ว่าต้องจัดการอย่างไรกับชีวิตที่เป็นอยู่
แต่เพราะการตื่นมาเจอเขา มีเขาอยู่ข้าง ๆ คอยเป็นทุกอย่างให้เธอ มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นใจ
"ขอบคุณนะคะ" หญิงสาวยิ้มกว้างส่งให้เขาที่คอยบริการเธออย่างใส่ใจ ลึกไปกว่านั้น
เธอรู้สึกขอบคุณเขาสำหรับทุก ๆ เรื่องที่คอยจัดการให้เธอ เมื่อวานถ้าไม่ได้เขาช่วยเหลือ
เธอก็คงทำอะไรไม่ถูก
"กินเถอะ มันช่วยเรียกความสดชื่นให้ได้" ลาเวนเดอร์จึงตักมาชิมก่อน ก่อนจะยิ้มเมื่อรสชาติถูกใจ
แล้วก็ตักกินคำต่อไปเรื่อย ๆ อย่างมีความสุข
"อันนี้ฮัมมูส กินพร้อมแป้งพิต้า" ลาเวนเดอร์มองเมนูที่เขาพูดถึง แล้วเลิกคิ้วนิดนึง แลดูน่ารักน่ามอง
ทำให้คนที่แอบมองอยู่ถึงกับหัวใจแกว่ง
"เหมือนถั่วบดเลยค่ะ"
"ใช่ เป็นถั่วลูกไก่ที่นำมาบดจนกลายเป็นเนื้อครีม ปรุงรสด้วยมะนาว กระเทียม และ เกลือ"
ไม่พูดเปล่า เขาหยิบแป้งพิต้าขึ้นมาจิ้มฮัมมูส แล้วป้อนให้หญิงสาว ทำเอาลาเวนเดอร์ถึงกับทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา
"กินสิ ไม่ชอบหรือ?" ลาเวนเดอร์จึงอ้าปาก เขาก็ป้อนมันเข้าปากของเธอ แล้วยิ้มตรงมุมปาก
เมื่อเห็นแก้มนั่นแดงระเรื่อขึ้นมา
"อร่อยมั้ย?" ลาเวนเดอร์พยักหน้า ก่อนจะยกหัวแม่มือให้เขาด้วยท่าทางขวยเขินนิด ๆ
"ทำไมคุณหมอถึงใจดีกับฉันแบบนี้ด้วยละคะ? เพราะอะไรหรือคะ?" ลาเวนเดอร์ที่ยกผ้าเช็ดปาก
ขึ้นซับรอยเปื้อนตรงมุมปากแล้วถามออกไปด้วยแววตาใคร่รู้ เขากลับเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วก็พูดน้อย ๆ
ตามเคยว่า
"คุณอยากให้ผมใจร้ายกับคุณหรือ?" ลาเวนเดอร์ส่ายหน้า
"ไม่เลยค่ะ อยากให้ใจดีแบบนี้ตลอดไป"
"งั้นก็กินให้หมดเกลี้ยงได้มั้ย?" เขามองไปที่อาหารที่เขาเตรียมทั้งหมดมาให้เธอ ซึ่งยังเหลืออยู่ไม่มาก
"ได้สิคะ อร่อยขนาดนี้ ฉันกินหมดเกลี้ยงอยู่แล้ว" ว่าพลางตักอาหารเข้าปากไปแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ
ไม่มีห่วงสวยอย่างที่สาว ๆ หลายคนหวงกัน
"คุณหมอเก่งจังเลยค่ะ ทำอะไรมาให้ฉันกินไม่เคยซ้ำกัน แถมอร่อยลงตัวทุกอย่างเลยด้วย"
"คุณไม่เบื่อที่ต้องชมผมบ้างเลยรึไง เห็นชมทุกครั้งที่ได้กิน"
"ก็ถ้าคุณหมอไม่เบื่อทำของอร่อย ๆ ให้ฉันกิน ฉันก็ไม่เบื่อที่จะชมคุณหมอหรอกค่ะ
ฉันน่ะ ไม่ค่อยได้กินของอร่อย ๆ แบบนี้หรอกค่ะ แค่กินเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น มีอะไรที่ทำให้หายหิวได้
ฉันก็กินได้ แถมยังทำกินไม่เก่งเลย และไม่คิดเลยว่า ชีวิตนี้จะได้มาอยู่กับคนที่ทำอะไรก็อร่อยมาก ๆ
แบบคุณหมอ ไม่คิดว่าจะได้กินของอร่อย ๆ ไม่ซ้ำกันสักมื้ออย่างนี้
แบบนี้น่ะ เรียกว่า โชคดีได้มั้ยอะคะ?" ไม่พูดเปล่า หญิงสาวยื่นแป้งพิด้าที่จิ้มฮัมมูสป้อนให้คนทำ
แต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้าเบา ๆ
"ผมกินมาแล้วละ หิวจนรอคุณตื่นไม่ไหว เลยกินไปก่อนหน้าแล้ว"
"อีกสักนิดนะคะ เร็ว ๆ สิ" หญิงสาวทำเสียงสองออดอ้อนให้อีกฝ่ายอ้าปาก ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก
แล้วยอมอ้าปากให้เธอป้อนอย่างว่าง่าย แล้วยังสบตาคู่นั้นแน่วนิ่ง จนเจ้าของตาหวานต้องรีบเบี่ยงหลบ
"กินคนเดียว กับ มีคนป้อนให้กิน อย่างไหนอร่อยกว่ากันคะ" หญิงสาวถามไปก็หน้าแดงไป
ทำให้คนที่ปกติไม่ค่อยยิ้ม กลับยิ้มเบา ๆ ออกมา
"ป้อนอีกคำสิ ผมจะได้ยืนยันคำตอบ" ลาเวนเดอร์แทบอยากจะบิดผ้าเช็ดปากในมือด้วยความเขิน
มือเรียวสวยยื่นไปหยิบแป้งพิต้า แล้วจุ่มลงในฮัมมูส ก่อนจะป้อนมันให้เขา แล้วรีบก้มหน้างุด
ซ่อนอาการเก้อเขินที่ชวนให้ร้อนหน้าเหลือเกิน
"ต่อไป คงต้องผลัดกันป้อนให้กินแล้วละ" เขาบอกพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ลาเวนเดอร์ไม่เคยเห็นมาก่อน
ทำเอาหญิงสาวถึงกับมองภาพนั้นจนตาค้าง มารู้ตัวได้สติอีกทีก็ตอนที่เขาป้อนขนมให้เธอกิน
"คาบีส" เขาบอกชื่อขนมหวานให้เธอฟัง แต่คนฟังที่กำลังเคี้ยวขนมกับมองหน้าเขาไปพลาง ๆ
เหมือนสติจะยังกลับมาไม่ครบ จนเมื่อเขาดีดนิ้วตรงหน้าเธอเท่านั้นแหละ ลาเวนเดอร์ก็ถึงกับยิ้มขันออกมา
"ฉันนี่โก๊ะจริง ๆ เลย"
"น่ารักดีนะผมว่า"
"คุณหมอว่าไงนะคะ"
"น่ารักครับ" อะไรกันเนี่ย นี่มันวันอะไร ทำไมมันหวาน ๆ ร้อน ๆ แปลก ๆ
"ก็คุณหมอยิ้มแบบนั้น ทำเอาฉันใจบินไปไหนก็ไม่รู้ขึ้นมา" พูดแล้วก็ยิ่งหน้าแดงเป็นมะเขือเทศ
จนต้องยกมือโบกพัดใบหน้าตัวเองให้หายร้อน
"ตอนนี้ยังบินอยู่รึเปล่าครับ"
"มันกลับมาแล้วค่ะ แต่ว่าร้อนจัง" คราวนี้ถึงกับยกสองมือโบกไปมาพัดหน้าตัวเอง
ทำให้คนที่มองอากัปกิริยานั้นอยู่ตลอดถึงกับยิ้มกว้างอีกครั้ง
"ยิ้มแบบนี้อีกแล้ว คุณหมออ่ะ ขี้แกล้ง" ลาเวนเดอร์รีบหันหน้าหนีทันทีเป็นการแก้เก้อ
ทว่า อีกฝ่ายกลับจับคางของเธอให้หันกลับไปทางเขา แล้วสบตานิ่ง จ้องเข้าไปในดวงตา
"กระจกวิเศษเอ๋ย ใครงามเลิศในปฐพี" เขาพูดเบา ๆ ทว่าหนักแน่น
"ฉันน่ะสิ ฉันน่ะสิ" ลาเวนเดอร์ยิ้มกลบแล้วก็รับมุกของเขาอย่างขำขัน ส่งผลให้เขายิ้มกว้าง ๆ
จนเห็นฟันเรียงตัวสวยงาม พาให้ใจละลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกแล้ว
"วันนี้ คุณต้องเล่นบทองค์หญิงลัยลาลิณ ชายาขององค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกสถาปนา
เป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของดินแดนนี้ ซึ่งนั่นหมายความว่า องค์หญิงลัยลาลิณก็จะกลายเป็น
องค์ราชินีลัยลาลิณ ซึ่งคุณสามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่อย่างที่เคยเป็น ไม่ต้องฝืนเป็นคนอื่น
ให้ต้องอึดอัด เข้าใจมั้ย?" ลาเวนเดอร์มองใบหน้าคมหล่อตรงหน้าที่อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าท่าทาง
ขึงขังขึ้นมา นี่สินะ เป้าหมายที่เขาหลอกล่อเธอจนเคลิบเคลิ้มไปกับเขาเมื่อครู่
จบลงแล้วสินะ ซีนหวาน ๆ
"ฉันต้องเจอใครที่รับมือยากบ้างคะ"
"อาจต้องเจอกับมาดามมารีอานน์และอดีตคู่หมั้นของผม"
"งั้นก็รับมือไม่ยากหรอกค่ะ เพราะพ่อแม่ที่แท้จริงของคุณหมอไม่อยู่แล้วทั้งคู่
มาดามมารีอานน์ก็ไม่ใช่แม่สามีของฉันสักหน่อย และอดีตคู่หมั้นของคุณหมอก็เป็นอดีตไปแล้ว
ตอนนี้ฉันคือ ชายานี่คะ หรือคุณหมอจะแต่งตั้งชายาอีกคนเพิ่มเติม?"
แววตาคมกริบสบประสานดวงตาของลาเวนเดอร์นิ่งเมื่อเธอเอ่ยประโยคนั้นออกมา
"คุณอยากให้ผมเพิ่มชายาอีกคนรึเปล่าละ?"
"แล้วแต่คุณหมอสิคะ"
"แน่ใจหรือที่พูดแบบนั้น?"
"ก็คุณหมอมีสิทธิ์ในเรื่องนี้ จะใช้สิทธิ์หรือไม่ใช้สิทธิ์ก็แล้วแต่คุณหมอนี่คะ
และฉันที่เป็นชายาก็ไม่ควรห้ามหรือคัดค้านการหาความสุขของสามี ไม่ใช่หรือคะ?"
"หาความสุขหรือ?" เสียงของเขานิ่งไปจากเดิมจนคนฟังเริ่มไม่ชอบน้ำเสียงโทนนี้ขึ้นมา
"ใช่ค่ะ" ลาเวนเดอร์หันสายตาไปทางอื่น แม้ว่าปลายคางยังถูกเขาจับตรึงเอาไว้
"ใจกว้างจัง" เขาว่า แววตาที่สบตาเธอตอนนี้ได้ขยับเลื่อนลงต่ำมาหยุดที่ริมฝีปากเธอ
จนทำเอาลาเวนเดอร์ใจสั่น เริ่มทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา
"ถ้าไม่ยินยอมก็หาว่าใจแคบ พอยินดีก็บอกว่าใจกว้าง สรุปว่า แบบไหนถึงจะพอใจหรือคะ?"
"ก็แบบนี้ไง?" พูดจบเขาก็ฉกริมฝีปากเธอแล้วบดจูบอย่างหนักหน่วง เอาเป็นเอาตาย
จูบที่ไม่ได้หวานเหมือนเมื่อคืน เหมือนเขาจะลงโทษเธอผ่านทางจูบนี้เลย
ลาเวนเดอร์รวบรวมกำลังแล้วผลักเขาออก ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากที่รู้สึกชา
"หมายความว่าไงคะ ฉันไม่เข้าใจ?"
"ก็หมายความว่า ผมไม่พอใจที่เมียตัวเองไม่รู้สึกหึงหวงสามีตัวเองแบบที่คุณทำเมื่อกี้
และผมจะพอใจก็ต่อเมื่อผมได้ลงโทษคุณแบบเมื่อกี้นี้ไง"
"คุณมันบ้าไปแล้ว ผู้หญิงขี้หึงน่ารำคาญจะตาย คุณหมออยากให้ฉันเป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญรึไง?"
"ผมเคยบอกหรือว่าผมรำคาญคุณ เคยบอกหรือว่าผมรำคาญเมียขี้หึง"
"ก็ไม่เคยค่ะ ก็ ก็เราเพิ่งแต่งงานกัน ฉันไม่ทันได้หึงคุณหมอเลยนะคะ"
"งั้นคุณก็ควรจะหึงได้แล้ว" วาลองโซลหัวเสียไม่น้อยกับท่าทีและคำพูดพวกนั้นของคนตรงหน้า
ที่ได้ขึ้นชื่อว่า 'เมีย' แม้จะยังไม่ได้เข้าหอกันก็ตาม แต่เธอจะเที่ยวยกเขาให้หญิงอื่นหน้าตาเฉย
แบบนี้ไม่ได้ ถ้าเขาอยากแต่งงานกับอดีตคู่หมั้น เขาจะอยู่โสดมาจนตกลงแต่งงานกับเธอหรือ
"โอเค หึงก็หึง หึงก็ได้ค่ะ" พูดจบ ลาเวนเดอร์ก็ลุกขึ้นเข้าห้องน้ำไปอย่าง งง ๆ
พอออกมาจากห้องน้ำ ก็เจอเขายืนจังก้าทำหน้าไม่พอใจตรงหน้าห้องน้ำอีก
"จะเอายังไงกันแน่ก็ว่ามาเลยค่ะ" น้ำเสียงกึ่งงอนกึ่งอ้อนนั่นชวนให้คนฟังหัวใจกวัดแกว่งไม่น้อย
เจ้าตัวคงหารู้ไม่ว่า น้ำเสียงตัวเองนั้นไม่ต่างจากกับดักหลุมพราง ไหนจะริมฝีปากยามที่มันขยับขึ้นลง
ไปมาตอนพูดนั่นอีก เขาต้องอดทนอดกลั้นกับมันมากขนาดไหน เธอคงไม่เคยรู้
"ต่อไปห้ามพูดหรือทำอะไรที่เป็นการยกผมให้คนนั้นคนนี้อีก ผมไม่ชอบ"
"ได้ค่ะ ฉันจะจำไว้ว่า คุณหมอต้องการมีฉันเป็นชายาเพียงคนเดียว ถูกต้องมั้ยคะ?"
บางทีเขาก็มีความเป็นเด็กชายตัวน้อยซ่อนเอาไว้นะเนี่ย
"ผมไม่ใช่คนที่จะรักและอยากแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ง่าย ๆ ขนาดนั้น"
"คุณหมอกำลังจะบอกว่า คุณหมอรักฉันคนเดียวและตลอดไป ไม่ได้อยากแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นอีก
ถูกต้องมั้ยคะ?" คราวนี้คนถูกถามชะงัก ส่วนคนถามก็ถึงกับกะพริบตาปริบ ๆ
ชะงักไปเหมือนกันเมื่อได้ทวนคำพูดตัวเองซ้ำอีกครั้ง
"อืม" เขาพูดแค่นั้นก็เดินหนีไปซะอย่างนั้น ทำเอาคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังถึงกับกวักมือเขาให้กลับมา
เคลียร์กันก่อน แต่ไม่ทันแล้ว ก็เล่นเดินไวออกปานนั้น แต่ก็อดยกสองมือขึ้นโบกพัดหน้าตัวเอง
ที่เริ่มรู้สึกเห่อร้อนขึ้นมาอีกไม่ได้ หัวใจก็เต้นรัวจนจะหลุดออกมาข้างนอกอยู่แล้ว
แต่พอมาคิดว่า วังแห่งนี้จะไม่มีบิดาอีกแล้ว ก็ให้รู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมา
แม้ทั้งชีวิตจะไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับบิดาเลย ทว่า การต้องอยู่ที่นี่โดยไม่มีบิดาคอยคุ้มภัยให้แบบนี้
มันก็ให้รู้สึกโหวงเหวงเหลือเกิน
"พ่อคะ ลาอยากให้พ่อตื่นมาอยู่กับลา อย่างน้อย เราก็ควรได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกสักหน่อย"
ซันนีก้าวเข้ามา แล้วจัดการแต่งองค์ทรงเครื่องให้กับว่าที่องค์ราชินีคนใหม่
ลาเวนเดอร์มองตัวเองในกระจกแล้วยิ้มออกมา ทว่า แววตากลับหม่นหมองจนคนที่คอยจัดแจงให้
ถึงกับบีบบ่านั่นเบา ๆ เป็นการปลอบประโลม ก่อนจะเดินไปยังลิ้นชัก หยิบบางอย่างออกมา
แล้วเดินมายืนตรงเบื้องหน้าหญิงสาวยื่นมันให้กับเธอ
"มีคนฝากสิ่งนี้มาให้คุณค่ะ" ลาเวนเดอร์มองกรอบรูปและรูปถ่ายในนั้น ก่อนจะขมวดคิ้ว
เงยหน้าขึ้นมองซันนี
"ใครฝากมาหรือคะ? แล้วนี่คือภาพถ่ายของใครหรือคะ?"
"ลองดูดี ๆ สิคะว่าสามคนในรูปนี้เป็นใคร?" ลาเวนเดอร์เพ่งพิศบุคคลในรูปถ่ายอย่างพินิจพิจารณา
มันเป็นภาพของชายหญิงสองคน โดยผู้ชายในภาพกำลังอุ้มเด็กผู้หญิงในวัยแบเบาะ เด็กผู้หญิง
ที่มีดวงตาสีประหลาดแบบเดียวกับชายหนุ่มที่กำลังอุ้มเธออยู่ ส่วนผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่ม
บนเก้าอี้นั้นกำลังยิ้มกว้างอย่างงดงาม เอนศีรษะอิงแอบแนบไหล่ชายหนุ่ม มือข้างนึงโอบกอด
เด็กหญิงตัวน้อยนั้นไว้ อีกข้างโน้มไปโอบชายหนุ่ม สองหนุ่มสาวในภาพดูสวยหล่อ ไร้ที่ติ
และเหมาะสมกันเหลือเกิน เป็นภาพที่มองดูแล้วดูอบอุ่น น่ารัก สดใส มีความสุขโอบล้อมพวกเขา
ทั้งสามคนเอาไว้จนลาเวนเดอร์ที่มองภาพนั้นถึงกับน้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะปล่อยน้ำตาให้ไหลหลั่งลงมา
"นี่คงเป็นภาพความทรงจำเดียวที่พวกเขาทั้งสามคนมีร่วมกันใช่มั้ยคะ?" ลาเวนเดอร์ปาดน้ำตา
ก่อนจะกอดภาพนั้นเอาไว้แนบอก
"เมื่อกี้ฉันยังคิดว่า ถ้าฉันกับพ่อมีความทรงจำด้วยกันอีกสักหน่อย ก็คงจะดีกว่านี้
ดีกว่าการที่พ่อหายไปจากการมองเห็น แล้วฉันก็ยังหาพ่อไม่เจอในความทรงจำ
แต่พอคุณยื่นภาพนี้ให้ฉัน ฉันก็ได้รู้ว่า จริง ๆ แล้ว พวกเราก็เคยมีความสุขร่วมกันมาก่อน
เคยมีช่วงเวลาที่มีความสุขด้วยกัน และก็เคยมีความทรงจำที่งดงามด้วยกัน"
ลาเวนเดอร์ร้องไห้ตัวโยนขณะกอดรูปภาพนั้น ซันนีที่เห็นอย่างนั้นจึงสวมกอดเธอเอาไว้
แล้วลูบหลังเบา ๆ วาลองโซลที่เพิ่งเดินเข้ามาถึงกับชะงักเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากเธอ
ขาของเขาก็เหมือนถูกตรึงเอาไว้กับที่
"ท่านไม่เคยหายไปไหน แค่ย้ายจากดดวงตา ไปอยู่ในดวงใจและความทรงจำเท่านั้นค่ะ"
ซันนีเอ่ยปลอบขวัญ เพราะรู้ดีว่า ภายใต้รอยยิ้มของสตรีผู้นี้นั้น มีเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่
"อย่าเสียใจที่มันได้จบลงไปแล้ว แต่จงขอบคุณที่มันเคยเกิดขึ้น จงขอบคุณที่ครั้งหนึ่ง
เคยรักกันมากขนาดไหน" ประโยคนี้ของซันนีทำให้ลาเวนเดอร์ถึงกับร้องสะอื้นตัวโยน
แล้วกอดร่างซันนีเอาไว้แน่น
"ใครฝากภาพนี้มาให้ฉันหรือคะ?"
"กษัตริย์อุบัยดะห์ค่ะ ท่านให้ฉันไว้ก่อนวันแต่งงานของคุณ กำชับให้ฉันมอบมันให้คุณ
หลังจากวันแต่งงานค่ะและยังฝากคำพูดนึงมาให้คุณด้วย ฝากบอกคุณเมื่อคุณได้ดูรูปถ่ายนี้แล้วว่า"
ซันนีดันร่างที่กอดเธอเอาไว้ให้ห่างออกมา สบตาคู่นั้นที่ยังเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
แล้วบอกคำพูดสั่งลาที่กษัตริย์อุบัยดะห์ฝากมันไว้กับตนว่า
"ภาพความทรงจำที่มีค่า คือ ภาพเวลาที่มีความสุขและความทุกข์ร่วมกัน
บางคนอยู่ในใจนานกว่าเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันซะอีก ท่านบอกว่า ท่านและคุณมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยก็จริง
แต่ไม่เคยมีสักวันที่ลืมคุณเลย นี่คือ รูปถ่ายใบเดียวที่ได้ถ่ายด้วยกันกับคุณและแม่ของคุณ
เป็นภาพที่ท่านนอนกอดทุกคืน และขอให้ฉันส่งต่อมันให้คุณให้ได้"
ลาเวนเดอร์มองภาพนั้นอีกครั้ง แล้วกอดมันแนบอกอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มออกมาในที่สุด
ยิ้มทั้งน้ำตาอาบแก้ม เป็นภาพที่วาลองโซลที่ยืนมองแล้วรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ ตรงหัวใจ
"มันคือ ช่วงเวลาที่แสนดีที่ไม่มีทางคืนมาอีกแล้วค่ะคุณซันนี เพราะพ่อไม่อยู่แล้ว
และแม่ก็ไม่ได้ต้องการให้ฉันอยู่ในชีวิตของเขา"
"ทุกคนล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเองค่ะ" ซันนีวางมือบนบ่าหญิงสาวตรงหน้าแล้วบีบเบา ๆ
"ค่ะ ตอนนี้ชีวิตฉันมีคุณหมออยู่ข้าง ๆ มีคุณซันนีที่คอยจัดแจงสิ่งต่าง ๆ ให้
แค่นี้ฉันก็รู้สึกดีมาก ๆ แล้วค่ะ" ลาเวนเดอร์ปาดน้ำตาตัวเองแล้วยิ้มกว้าง ๆ หมายจะขับไล่
ความขุ่นมัวในหัวใจออกไป เพราะถ้าเธอไม่ทำแบบนี้ ก็จะไม่สามารถรักษาหัวใจของตัวเองได้
"พ่อน่ะ อยู่ตรงนี้ค่ะ และจะไม่ย้ายไปอยู่ที่ไหนอีก" หญิงสาวยกมือขึ้นวางลงตรงตำแหน่งหัวใจ
"นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฉันอยากจะรักษาหัวใจไว้ให้ดี เพราะตรงนี้มีผู้ที่ฉันรักอยู่เสมอไม่ไปไหน"
พูดจบก็หันไปยังกระจกบานใหญ่ มองตัวเองในชุดราตรีสีดำสนิทไม่มีลูกไม้ใด ๆ
ทั้งยังปกปิดมิดชิดทุกสัดส่วน ก่อนจะวางกรอบรูปลง ซับใบหน้าตัวเองด้วยแป้งเบา ๆ
จากนั้นก็ใช้ผ้าไหมสีดำปิดใบหน้าของตน แล้วหยิบรูปถ่ายนั้นขึ้นมากอดอีกครั้ง
"ไปกันเถอะค่ะ ฉันพร้อมแล้ว" ลาเวนเดอร์หันไปยังประตูห้อง ก็พบวาลองโซลที่ยืนอยู่ตรงนั้น
ซึ่งไม่รู้ว่ายืนอยู่นานแค่ไหนแล้ว หญิงสาวยิ้มให้เขาแล้วเดินไปหาเขา จับมือเขาแล้วแนบศีรษะ
กับลำแขนของเขาอย่างออดอ้อน
"สอนฉันเดินด้วยนะคะ ฉันยังเดินไปบนเส้นทางนี้ไม่เป็น และไม่รู้ว่าจะต้องเดินยังไง แบบไหน"
วาลองโซลกระชับมือนั้นไว้ บีบเบา ๆ พร้อมกับพูดว่า
"คุณก็แค่เดินข้าง ๆ ผม และเชื่อใจผมเท่านั้น" ลาเวนเดอร์ช้อนตาขึ้นมองเขา แล้วพยักหน้าหนักแน่น
แล้วก็เดินข้างเคียงข้างเขาโดยปราศจากความกังวลใด ๆ
เพราะได้มอบหมายกับเขาแล้ว และเธอก็เชื่อว่าเขาจะไม่ทำร้ายทำลายชีวิตเธอ
เธอก็แค่ต้องการใครสักคนที่รักจริง
และหวังว่า รักครั้งนี้จะเป็นความจริง
.....................โปรดติดตามตอนต่อไป.................................
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ธ.ค. 2567, 20:15:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ธ.ค. 2567, 20:15:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 71
<< บทที่ 19 กาขาว |