เวทีกามเทพ
การประกวดเดอะเธียเตอร์ ปรินเซส นำพาให้มนัญชยาได้ร่วมงานกับกีรดิตดารา นักร้องหนุ่มในดวงใจ ทั้งยังชักนำแรงใจมาให้ยศวันต์พี่ชายของเธอถึงข้างเวทีมวย

แต่เมื่อกีรดิตดูเหมือนจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ทั้งกฤตินีที่ยศวันต์หลงรักแต่แรกพบก็คบหากับถิรเจตดาราหนุ่มร่วมค่ายของพี่ชาย อะไรต่ออะไรเลยไม่ง่ายอย่างที่คิด
Tags: กมลภัทร นักร้อง นักแสดง ละครเวที นักมวย

ตอน: บทนำ+ตอนที่ 1

นำเรื่อง

อาคารสูงซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างทีโอพี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ตั้งตะง่านอยู่ย่านใจกลางเมือง สถานที่ซึ่งปกติไม่เคยเงียบเหงาวันนี้คึกคักมากเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นวันเปิดรับสมัครวันแรกของการจัดแข่งขันเพื่อเฟ้นหาว่าที่นักแสดงและนักร้องหญิงคนใหม่ของทีโอพีในโครงการที่มีชื่อว่าเดอะเธียเตอร์ ปรินเซส

นักข่าวและสื่อมวลชนที่มาติดตามทำข่าวโครงการมีไม่มากเท่าวันเปิดงาน หากแต่ก็ทำให้บริเวณโถงชั้นล่างของอาคารสูงสว่างวูบเป็นระยะด้วยไฟจากแสงแฟลช

ที่หน้าทางเข้าด้านนอกอาคารหนึ่งในผู้มารอสมัครซึ่งเป็นหญิงสาวผิวขาวละเอียด ร่างสูงเพรียว ใบหน้ารูปไข่ กรอกดวงตาสีดำสนิทอ่านทวนข้อความที่ตนกรอกลงในใบสมัครที่ได้รับแจกจากเจ้าหน้าที่ตั้งแต่สองชั่วโมงก่อน เตะแผ่นกระดาษนั้นกับปลายจมูกยาวเป็นสันตรง ปากบางรูปกระจับเม้มเล็กน้อย ระบายลมหายใจยาวเมื่อประมาณจำนวนผู้คนที่มาสมัครด้วยสายตาคร่าว ๆ

ยังไงก็ต้องลองดูสักตั้ง

มนัญชยากำมืออย่างจะเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ยืนรอเวลาเปิดรับสมัครโดยไม่สนใจกับอากาศร้อนอบอ้าวนอกตัวอาคาร เธอคิดว่าตนเองก็มาถึงแต่เช้าตรู่แล้วหากก็ยังเร็วไม่พอที่จะได้เข้าไปยืนรอภายในโถงอาคารซึ่งเปิดเป็นสถานที่รับสมัคร นึกไปแล้วก็นับถือในความพยายามของคนที่มาก่อนเธอและคิดว่าพวกเขาก็สมควรที่จะได้เข้าไปยืนรอในห้องที่ติดเครื่องปรับอากาศก่อนคนที่มาทีหลัง



“น้องติดเบอร์ที่หน้าอกนะคะ” พนักงานซึ่งรับใบสมัครจากมนัญชยา ส่งสติ๊กเกอร์ที่เขียนหมายเลขด้วยปากกาเมจิกให้ “น้อง...เอ่อ...หมี่เกี๊ยว”

หญิงสาววัยเบญจเพสยิ้มรับกับสีหน้าแปลกใจของพนักงานสาว ชื่อเล่นของเธอมักจะสร้างความฉงนให้กับผู้ที่ได้ยินเป็นครั้งแรกเสมอ

“อายุยี่สิบห้าปีพอดีเลยนะคะ”

“ค่ะ...เกือบหมดสิทธิสมัครแล้ว”

“เกือบต้องไปรอหลังเที่ยงด้วยค่ะ น้องเป็นคนสุดท้ายของช่วงเช้าพอดี”

มนัญชยาเป่าลมออกจากปากอย่างโล่งใจ ยิ้มให้พนักงานสาวกว้างขึ้น แง้มเสื้อแจ็กเก็ตสีขาวเพื่อติดสติ๊กเกอร์หมายเลขผู้สมัครเข้ากับเสื้อยืดสีดำที่ซ้อนอยู่ด้านใน ขณะที่เดินไปยังบริเวณห้องโถงใหญ่ที่จัดที่นั่งไว้ให้ผู้ที่ได้หมายเลขผู้สมัครแล้วนั่งรอหญิงสาวก็ได้ยินเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ประจำโต๊ะรับสมัครให้หมายเลขต่อจากเธอรอทดสอบในช่วงบ่าย จากตัวเลขที่ติดอยู่ที่หน้าอกทำให้หญิงสาวรู้ว่าในช่วงเช้าวันแรกนี้มีผู้สมัครเข้ารับการทดสอบมากกว่าสี่ร้อยคน หากช่วงบ่ายมีจำนวนที่รับเท่ากับช่วงเช้าก็ประมาณได้ว่าในหนึ่งวันจะมีคนสมัครราวหนึ่งพันคน ตลอดระยะเวลาการเปิดรับสมัครห้าวันจะมีมากถึงประมาณห้าพันคน

ห้าพันคนเชียวนะยัยหมี่เกี๊ยวเอ๊ย โอกาสได้เป็นที่หนึ่ง หนึ่งในห้าพัน จะมาเสียเที่ยวรึเปล่าเนี่ย

คนที่ได้หมายเลข 0001 นั่งรออย่างกระวนกระวายที่เก้าอี้แถวหน้า มนัญชยาเห็นว่ากว่าตนจะได้เข้าทดสอบก็คงจะใกล้เที่ยงหรืออาจจะเลยเที่ยงไปแล้วด้วยซ้ำจึงเดินไปหาเก้าอี้ว่างแถวหลังสุด

หญิงสาวนั่งนิ่งเพื่อทำสมาธิเตรียมตัวรับการทดสอบ ซึ่งไม่มีการแจ้งข้อมูลใดให้ทราบล่วงหน้ามาก่อนเลยเว้นแต่เพียงว่าจะมีกรรมการที่ทำการคัดเลือกอยู่สามคนได้แก่ผู้กำกับละครเวทีชื่อดัง โปรดิวเซอร์มือหนึ่งของทีโอพีและกรรมการพิเศษซึ่งทางบริษัทปิดเป็นความลับเอาไว้เช่นกัน

คนที่มาสมัครคนอื่นต่างงึมงำคล้ายพยายามพูดบทอะไรอยู่ บ้างก็ร้องเพลง หากเธอเลือกที่จะทำสมาธิและนึกถึงสิ่งที่ตนอาจจะต้องเจอในห้องทดสอบ



“ขอโทษนะครับ น้องหมายเลขอะไรครับ”

ดาราสมทบชายที่มีผลงานละครโทรทัศน์กับทีโอพีหลายเรื่องซึ่งรับหน้าที่เป็นพิธีกรภาคสนามของรายการเดอะเธียเตอร์ ปรินเซส ปรี่เข้ามาพร้อมกับจ่อไมค์เข้ากับปากของหญิงสาว ทำเอาสมาธิที่เธอพยายามจะสร้างกระเจิดกระเจิงไปไหนต่อไหนเสียหมด หากเป็นเวลาปกติเธอคงจะตอบไปว่า

‘ถ้าพี่ไม่ยืนชิดหนูขนาดนี้ พี่ก็เห็นแล้วล่ะ ว่าหนูหมายเลขอะไร ติดอกอยู่ตัวเบ้อเร่อ’

ทว่าในสภาวะที่ยังต้องการรักษาภาพมนัญชยายิ้มกว้างก้มลงมองหมายเลขที่หน้าอกซึ่งเธอเองก็ยังจำไม่ได้ก่อนตอบคำถามของพิธีกรหนุ่ม

“ชื่ออะไรครับ”

“หมี่เกี๊ยวค่ะ”

“หมี่เกี๊ยว...ชื่อแปลกดีนะครับ ไม่ค่อยได้ยินใครชื่อนี้เลย”

เขาพูดจบแล้วหากยังไม่ดึงไมค์กลับ หญิงสาวเลิกคิ้วมองตอบสายตาอย่างไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร

“ที่มาครับ ชื่อน้องมีที่มายังไงครับ”

“ตอนตั้งท้อง คุณแม่ชอบทานบะหมี่เกี๊ยวค่ะ”

“โอ้...อย่างนี้นี่เอง” พิธีกรหนุ่มพยักหน้า “แล้วอะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้น้องหมี่เกี๊ยวมาประกวดครับ”

“ก็อยากจะทดสอบความสามารถตัวเองค่ะ คิดว่าตัวเองพอจะร้องเพลง เล่นละครได้ เลยอยากจะมาพิสูจน์ว่าทำได้ดีแค่ไหน” มนัญชยาตอบแล้วนึกอะไรขึ้นได้ รีบขยายคำตอบทันที “ที่จริงถ้าจะพูดกันตรง ๆ ก็อยากเล่นละครเวทีค่ะ แล้วก็อยากได้เงินรางวัลด้วย ตั้งใจมามาก ๆ เลยนะคะ”

“เอาล่ะครับ ก็ต้องมาดูและให้กำลังใจน้องหมี่เกี๊ยวกันนะครับว่าจะสามารถผ่านด่านกรรมการทั้งสามคนของเราเข้าไปในรอบลึก ๆ ของเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสได้หรือไม่”

เขากล่าวแล้วนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนพยักหน้าให้กับตากล้องเป็นเชิงบอกว่าจบงาน มนัญชยามองดูชายหนุ่มผิวสองสีทำงานแล้วนึกทึ่งที่เขาสามารถเข้าไปตีสนิทกับคนแปลกหน้าได้อย่างง่ายดาย

เพียงไม่นานนักผู้ที่เข้าไปทำการทดสอบคนแรกก็ออกจากห้องทดสอบพร้อมกับพูดกับพิธีกรที่ปรี่เข้าไปสัมภาษณ์สั้น ๆ ด้วยน้ำตานองหน้าว่าตนไม่ผ่านการคัดเลือก

คนนี้ก็หน้าตาสวยออกนะ ทำได้ไม่ดีหรือมั้ง...ไม่ได้ ๆ อย่าไปสนใจคนอื่น ต้องมีสมาธิกับตัวเองเข้าไว้นะยัยหมี่เกี๊ยว



ผู้เข้าทดสอบคนต่อ ๆ มามีอาการหลังจากทดสอบเสร็จแล้วต่างกันไป บางคนกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ บ้างก็ยิ้มทั้งน้ำตาที่ผ่านเข้ารอบ ส่วนหนึ่งร้องไห้โฮตีโพยตีพายที่ถูกตัดโอกาสและมีบ้างที่เดินพรวดออกมาแล้วก่นด่าด้วยความไม่พอใจในคำตัดสินของคณะกรรมการและไม่แม้แต่จะสนใจพูดกับหน้ากล้อง คนในห้องรอทดสอบเริ่มบางตาลงเรื่อย ๆ กระทั่งเหลือเพียงสองคนสุดท้ายของช่วงเช้า

หนึ่งในคนที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มนัญชยาต้องแข่งขันด้วย หันมาส่งยิ้มให้ หญิงสาวยิ้มตอบอย่างซ่อนความรู้สึกต่อผู้หญิงอีกคนไว้ในใจอย่างน้อยคนรูปร่างท้วมใหญ่ ผมหยิกฟู ใบหน้าก้มแป้น ดวงตาหยีเล็ก จมูกโต ริมฝีปากหนาคนนี้ก็กล้าที่จะเข้ามาสมัคร มนัญชยาเห็นรูปร่างของคนที่เข้าแถวอยู่หน้าตนเองแต่แรก หากเพิ่งได้เห็นหน้าตากันชัดก็เมื่อเข้ามารอในห้องโถงนี้

“ขอให้โชคดีนะคะ”

หญิงสาวเอ่ยอย่างจริงใจเมื่อเห็นท่าทีตื่นเต้นของสาวร่างใหญ่ซึ่งน่าจะอายุน้อยกว่าเธอราวสามปี ชั่งน้ำหนักอยู่ในใจว่าระหว่างการให้กำลังใจเช่นนี้กับการเอ่ยทักท้วงตามหลักความจริงอย่างใดจะดีกว่ากัน

ละครเวทีเรื่องยิ่งใหญ่เรื่องแรกของทีโอพี เอ็นเตอร์เทนเมนท์กับการคัดเลือกนักแสดงหน้าใหม่ที่มีพรสวรรค์ทั้งด้านการแสดงและการร้องเพลงคงไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับหญิงร่างอวบคนนี้แน่ อาจจะใจร้ายไปสักนิดแต่ถ้าจะให้มนัญชยานึกถึงบทที่เหมาะกับผู้หญิงคนนี้...ทีโอพีอาจจะต้องสร้าง พระอภัยมณี เดอะ มิวสิคัล



หญิงร่างใหญ่เข้าไปเพียงไม่นานนักก็กลับออกมา จากที่มนัญชยาคอยจับตามองที่ประตูทางออกของห้องทดสอบเป็นระยะต้องถือว่าใช้เวลาสั้นกว่าใครคนอื่น หากผู้ผิดหวังกลับบอกกับกล้องด้วยรอยยิ้มว่าตนไม่ผ่าน และเมื่อเดินผ่านก็ยังเอ่ยปากอวยพรให้กับผู้ที่จะเข้าทดสอบต่อ

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้ายาวลึกขณะที่สายตายังคงไม่ละจากผู้หญิงร่างใหญ่ใจเกินร้อย เจ้าหน้าที่หน้าประตูทางเข้าเอ่ยเรียกหมายเลขของเธอก่อนดึงประตูเปิดให้ ร่างเพรียวเดินเข้าไปภายในห้องโดยที่พยายามควบคุมตนเองไม่ให้เดินช้าหรือเร็วเกินไป เมื่อหยุดยืนที่ตำแหน่งเครื่องหมายกากบาทกลางห้อง เธอก็ยกมือกระพุ่มไหว้ผู้ตัดสินทั้งสามคน

เพียงดาว ผู้กำกับละครเวทีสาววัยสี่สิบปีเศษซึ่งเคยมีผลงานร่วมกับค่ายละครขนาดกลางเจ้าหนึ่งมาหลายเรื่อง การจบปริญญาตรีและปริญญาโททางด้านการละครมาจากต่างประเทศนั้นไม่ได้การันตีความสามารถในการสร้างสรรค์งานละครเวทีของเธอมากเท่ากับกระแสตอบรับกับละครเวทีเรื่องก่อน ๆ ที่เธอกำกับ ดวงตาหลังกรอบแว่นสีเงินดูมีแววเป็นมิตรเมื่อยกมือรับไหว้

เป็นไท หนุ่มใหญ่วัยใกล้ห้าสิบ มองหญิงสาวผู้เข้าทดสอบอย่างพินิจพิจารณากว่าใคร โปรดิวเซอร์หนุ่มเคยมีผลงานอัลบั้มเพลงร่วมกับวงดนตรีวัยรุ่นตั้งแต่ครั้งยังเป็นวัยรุ่นโดยเขามีหน้าที่เป็นมือคีย์บอร์ดของวง และได้มีโอกาสไปศึกษาเล่าเรียนด้านดนตรีโดยตรงในต่างประเทศ เมื่อกลับมาค่ายยักษ์ใหญ่อย่างทีโอพีก็ซื้อตัวมาให้เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินในสังกัด เจ้าของใบหน้าที่มีเค้าของคนเชื้อสายจีนมีใบหน้าที่กลมขึ้น และรูปร่างก็อวบใหญ่ขึ้นจากที่เธอเคยเห็นรูปถ่ายหรือคลิปวีดีโอครั้งที่เขายังหนุ่มมาก เมื่อเขาพยักหน้ากับตัวเองเบา ๆ ทำให้มนัญชยานึกถึงตุ๊กตาแป๊ะยิ้มที่ติดสปริงไว้ที่คอตอนที่มันเด้งไปมาอยู่หน้ารถ

คนสุดท้ายซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องที่สุดก็คือนักแสดงและนักร้องหนุ่มวัยสามสิบกว่าปี ซึ่งเป็นที่โจษจันว่าเหย่อหยิ่งและถือตัวเป็นที่สุด แม้จะมีผลงานการแสดงและน้ำเสียงที่โดดเด่นแต่ก็เป็นคนที่เข้าถึงยาก เธอไม่ค่อยได้เห็นเขาออกรายการโทรทัศน์บ่อยนัก และแม้ว่าจะมีข่าวคราว เรื่องซุบซิบอะไรเกี่ยวกับตัวเขา ดาราหนุ่มก็ไม่เคยออกมาให้สัมภาษณ์แก้ข่าวเลยแม้แต่ครั้งเดียว กระนั้นความสามารถก็ทำให้เขาอยู่ในวงการมาได้ร่วมยี่สิบปีและยังคงความเป็นที่นิยมของประชาชน เพราะส่วนใหญ่ก็เข้าใจกันว่าทางต้นสังกัดคงอยากให้ชายหนุ่มวางตัวให้ไม่เหมือนใครในวงการ

เขาคนนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้มนัญชยาอยากเข้าประกวดเดอะเธียเตอร์ ปรินเซส...กีรดิต วัฒนาวงศ์วานิช




ตอนที่ 1


ใบหน้าเรียวยาวนั้นดูแทบไม่มีอะไรต่างจากครั้งที่มนัญชยาเห็นเขาครั้งแรกเมื่อยังไม่ทันเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเลย กีรดิตเข้าวงการด้วยการถ่ายแบบนิตยสารในฐานะลูกชายคนโตของนักธุรกิจใหญ่ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาไม่แพ้ดารานักร้องยอดนิยมในช่วงเวลานั้น

ความโดดเด่นของเด็กหนุ่มในตอนนั้นส่งผลให้ค่ายเพลงอย่างทีโอพีจับเซ็นสัญญาเข้าสังกัด ผลักดันให้ออกอัลบั้มเพลงชุดแรกและด้วยความสามารถบวกกับแรงโปรโมทของค่ายก็ทำให้กีรดิตโด่งดังเป็นพลุแตก

ทีโอพีซึ่งมีแผนจะขยายงานเข้าสู่วงการโทรทัศน์จึงเปิดตัวละครโทรทัศน์เรื่องแรกโดยปั้นให้กีรดิตเป็นพระเอกคู่กับนางเอกลูกครึ่งซึ่งกำลังเป็นที่ชื่นชอบของวัยรุ่นในยุคนั้น ละครเรื่องนั้นกวาดเรตติ้งถล่มทลายทั้งที่แพร่ภาพกับสถานีโทรทัศน์ที่เป็นรองช่องอื่น ๆ ในด้านผลงานละคร

ดวงตาและผมสีน้ำตาล จมูกโด่ง ปากเล็กดูคล้ายจะคว่ำลงเล็กน้อยเมื่อเขาไม่ยิ้ม รูปร่างสูง ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นสิ่งที่หญิงสาวจดจำได้อย่างดีจากหน้านิตยสารและทุกวันนี้นิตยสารซึ่งกีรดิตขึ้นปกเป็นเล่มแรก และเล่มต่อ ๆ มา เล่มที่เขาถ่ายภาพแฟชั่นในเล่ม มีบทสัมภาษณ์ รวมถึงงานเพลงทุกชุดก็ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีในห้องของเธอ

แม้จะมีแฟนคลับอยู่มากมายแต่พฤติกรรมส่วนตัวของชายหนุ่มที่ค่อนข้างเก็บตัว นาน ๆ ครั้งจึงออกงานหรือรายการโทรทัศน์ทำให้มนัญชยาเคยเจอกีรดิตมาก่อนหน้านี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ตอนนั้นชายหนุ่มออกอัลบั้มชุดที่ห้าและไปออกสัมภาษณ์รายการวาไรตี้เรตติ้งดีรายการหนึ่ง หญิงสาวกระเสือกกระสนไปถึงโถงชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำรายการทั้งที่อยู่ห่างจากบ้านเธอคนละมุมเมือง ปกเทปเพียงปกเดียวที่มีลายมือของกีรดิตเปรียบเหมือนวัตถุมงคลในชีวิตของมนัญชยา

บัดนี้เขานั่งอยู่ตรงหน้าเธอในฐานะกรรมการคนหนึ่ง คนที่จะตัดสินว่าใครที่จะได้เล่นละครเวทีร่วมกับเขา...ครั้งแรกของเขาบนเวทีละคร และครั้งแรกที่หญิงสาวหน้าใหม่ที่ผ่านการเฟ้นหาจากกรรมการจะได้ก้าวขึ้นรับบทนำหญิง

ผู้บริหารของทีโอพีต้องมั่นใจในศักยภาพของชายหนุ่มไม่น้อย ทั้งคงยังต้องเห็นความสำคัญของเขามากพอที่จะให้เขาเป็นหนึ่งในผู้คัดเลือกหญิงสาวที่จะร่วมแสดงด้วย

ข่าวคราวที่เคยมีเกี่ยวกับชายหนุ่มผุดขึ้นมาในสมองของหญิงสาว

‘ดาราเทวดาจอมเรื่องมาก หากไม่ถูกใจนักแสดงหญิงคนไหนก็ไม่รับเล่นแม้ว่าผู้ใหญ่ในสังกัดจะขอร้องมาก็ตาม ถ้าหน้าตาและฝีมือไม่คู่ควรจะเล่นคู่กันแล้วอย่าหวังว่าจะได้เป็นนางเอกคู่กับพระเอก ก.’

มนัญชยาปัดความคิดนั้นออกไปจากสมอง เพราะเธอไม่เคยเชื่อข่าวซุบซิบหรือกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในด้านลบเกี่ยวกับกีรดิตเลยแม้แต่น้อย



กรรมการที่มีปฏิกิริยาต่อผู้เข้าทดสอบคนแรกคือผู้กำกับสาว เธอยิ้มกว้างก่อนที่จะขอให้มนัญชยาแนะนำตัวเอง หญิงสาวจึงเอ่ยชื่อและหมายเลขของตนแล้วตามด้วยชื่อเล่น

“หมี่เกี๊ยว” โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ทวนคำยิ้ม ๆ

“ค่ะ...ชื่อนี้ได้มาเพราะตอนคุณแม่ท้อง คุณแม่ชอบทานหมี่เกี๊ยวมาก ต้องทานให้ได้ทุกวัน”

“ดีนะที่แม่พี่ไม่แพ้แล้วชอบกินทุเรียน” เป็นไทเอ่ยล้อ “แล้วอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้มาสมัครเข้าแข่งขันครั้งนี้ครับ”

“เกี๊ยวชอบการแสดงค่ะ แล้วก็ชอบการร้องเพลงด้วย แล้วยิ่งถ้ามีโอกาสได้ร่วมงานกับ...” มนัญชยาปรายตามองไปทางกีรดิตเพียงครู่ แทบจะหยุดหายใจเมื่อเห็นแววตาดูดุทว่าทำให้เจ้าของดวงตาดูน่าค้นหาคู่นั้น “บริษัทใหญ่อย่างทีโอพีแล้วก็เป็นโปรเจคละครเวทีเรื่องแรกด้วยแล้วยิ่งรู้สึกว่าจะต้องมาทดสอบให้ได้ค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มด้วยการร้องเพลงเลยก็แล้วกันนะครับ เพราะหัวใจของเรื่องก็คือการร้องเพลงให้เข้าถึงอารมณ์ น้องเตรียมเพลงมาแล้วใช่ไหมครับ”

มนัญชยารับคำ สูดลมหายใจเข้ายาวลึกก่อนร้องเพลงของศิลปินหญิงคนหนึ่งค่ายทีโอพี เนื้อหาเพลงเกี่ยวกับความรู้สึกเศร้าต่อการที่ต้องเฝ้ารักคนที่อยู่ไกลเกินเอื้อม จากประสบการณ์ที่เธอเคยดูรายการเรียลลิตี้เฟ้นหานักร้องมาบ้าง หญิงสาวรู้ดีว่าต้องเตรียมเพลงมามากพอควรทั้งเพลงไทยและเพลงสากล หัดร้องท่อนฮุคของเพลงให้ชำนาญเพราะท่อนฮุคมักจะแสดงอารมณ์ของเพลงรวมถึงทำให้คนร้องได้โชว์เทคนิคมากกว่า และที่สำคัญเพลงไทยนั้นจะเลือกร้องเพลงของค่ายเพลงอื่นไม่ได้เด็ดขาด

หญิงสาวมองไปทางกีรดิตเป็นระยะและรู้สึกว่าตนกำลังร้องเพลงเพลงนี้ออกมาจากใจจริง ๆ เธอรู้สึกถึงน้ำอุ่นที่ขอบตาด้วยซ้ำเมื่อนึกขึ้นว่ากีรดิตน่าจะจดจำเธอได้จากการที่เธอเคยไปขอลายเซ็นบนปกเทปครั้งนั้น ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาซาบซึ้งกับอารมณ์เพลง เธอต้องปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติเพื่อรอรับคำวิจารณ์ต่างหาก

อย่าให้มันมากนักยัยหมี่เกี๊ยว เอาแต่พองาม เจอกันครั้งเดียวถ้าเขาจำเราได้ก็ลงแปลกพิลึกล่ะ



“น้องร้องเพลงสื่ออารมณ์ได้ค่อนข้างดีนะคะ” ผู้กำกับหญิงเอ่ยหลังจากที่กรรมการทั้งสามนิ่งกันไปพักใหญ่ “เคยเรียนร้องเพลงมาก่อนรึเปล่าคะ”

“เคยค่ะ ตอนเด็ก ๆ คุณพ่อคุณแม่ท่านสนับสนุนให้เรียนรู้หลาย ๆ อย่าง”

“ผมอยากให้ร้องในอารมณ์อื่นบ้าง อยากฟังอารมณ์โกรธ อารมณ์สนุกสนาน รื่นเริงอะไรแบบนี้ เตรียมมารึเปล่าครับ”

หญิงสาวรีบตอบรับคำทันที เธอร้องเพลงที่แสดงอารมณ์โกรธต่อการถูกแย่งชิงคนรัก โดยนึกภาพในละครขณะที่กีรดิตกำลังหวานอยู่กับนักแสดงนำหญิงของเรื่อง ร้องเพลงอารมณ์รักสดใสโดยนึกถึงตอนที่เธอได้เห็นละครของชายหนุ่มออกอากาศ ได้ถือเทป ซีดีเพลงอัลบั้มใหม่ของเขาไว้ในมือ

ผู้กำกับสาวและโปรดิวเซอร์หนุ่มดูมีท่าทีพึงพอใจ ขณะที่กรรมการคนที่เธอนึกถึงอยู่ตลอดเวลานั้นกลับไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาทางสีหน้าเลย ดวงตาสีน้ำตาลนั้นดูดุเล็กน้อยเมื่อเขานิ่งเช่นนี้ ทั้งเขายังเคาะปากกาในมือกับโต๊ะราวกับว่ากำลังเบื่อหน่ายเต็มทนกับสิ่งที่ต้องเผชิญ

กิริยาเช่นนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกหวิวโหวงในอก ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะข่มความผิดปกตินี้เอาไว้ แม้จะเห็นเค้าลางว่าเธออาจจะหมดสิทธิก้าวต่อบนเส้นทางการประกวด

“น่าเบื่อจริง ๆ”

เสียงของกีรดิตแม้ไม่ดังมากนักหากก็ไม่เบาเกินที่จะทำให้หญิงสาวฟังไม่ออก ผู้กำกับหญิงและโปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ต่างพากันนิ่งเหมือนทำอะไรไม่ถูก มนัญชยายังคงฝืนยิ้มแม้ว่าอยากจะทรุดลงไปนั่งกับพื้นห้องใจจะขาด

ไม่ได้ยิน ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ใจเย็น ๆ นั่งดูอะไรแบบนี้มาทั้งเช้าก็คงต้องมีเบื่อกันบ้างเป็นธรรมดา

หญิงสาวบอกตัวเองซ้ำ ๆ ความรู้สึกผิดหวังหากต้องตกรอบตั้งแต่คัดเลือกครั้งแรก ไม่เท่ากับกิริยาอาการของกีรดิตซึ่งทำให้เธอคิดว่าข่าวลือต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวเขาอาจเป็นเรื่องจริง

“คุณคิดว่าที่ร้องออกมาเมื่อกี้ มันดีพอแล้วเหรอครับ” กีรดิตเอ่ยถามเสียงขุ่น “ละครเวทีเรื่องแรกของทีโอพี เป็นละครยิ่งใหญ่ นางเอกต้องรับบทเป็นเจ้าหญิงแล้วก็จะต้องทั้งร้องทั้งแสดงร่วมกับผมไปตลอดทั้งเรื่อง คุณแน่ใจนะว่าที่ร้องและแสดงอารมณ์เมื่อครู่นี้มันจะสามารถเข้ากับการร้องและการแสดงของผมได้”

“ค่ะ...เกี๊ยวมั่นใจว่าทำได้ไม่แย่แน่ ถึงอาจจะไม่ยอดเยี่ยมในสายตาคุณเกมก็ตาม” เธออยากเรียกเขาว่า ‘พี่เกม’ อย่างเวลาที่เธอกรี๊ดกับเพื่อน ๆ หากคงไม่เหมาะนักในสถานการณ์นี้ “คุณเกมพอจะชี้แนะอะไรเกี๊ยวได้หรือเปล่าคะ”

ดาราหนุ่มใหญ่ไม่ตอบคำถามหากผุดลุก ปรี่เข้ามายืนอยู่ตรงหน้า ใกล้...จนมนัญชยาได้กลิ่นน้ำหอม

“คุณว่ายังไงนะ” เขาเอ่ยถามซ้ำ “ผมได้ยินไม่ถนัด”

เมื่อยืนระยะประชิดกันเช่นนี้ หญิงสาวซึ่งสูงกว่ามาตรฐานหญิงไทยเล็กน้อยยังต้องเงยหน้าขึ้นมองเขา



ขนตายาวยังกับผู้หญิงแน่ะ แต่ตาดูดุจัง ยิ่งทำท่าเหมือนไม่สบอารมณ์แบบนี้ ยิ่งไปกันใหญ่ น่ากลัวเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย...ไม่ได้สิ ยืนทื่อมะลื่ออย่างนี้ไม่ได้ต้องตอบคำถามเขาให้ได้ ว่าแต่เขาถามอะไรนะ คิดสิ คิด ๆ อ๋อ...นึกออกแล้ว

“เกี๊ยวคิดว่าคุณเกมคงจะสามารถแนะนำอะไรดี ๆ ได้ ในฐานะคนที่มีประสบการณ์มามากค่ะ” แม้จะยากแต่เธอก็พยายามยิ้มกว้าง “เกี๊ยวพร้อมจะปรับปรุงตามคำแนะนำทุกอย่าง”

“ผมไม่ได้อยากจะแนะนำคุณ ผมอยากจะทดสอบคุณต่างหาก”

“ทดสอบยังไงคะ”

หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอหลังจากที่แข็งใจถามกลับ ใจเต้นตึกตักอย่างควบคุมไม่ได้ จะว่าเพราะตื่นเต้นที่ได้เจอดาราที่ชื่นชอบระยะใกล้ก็ไม่ใช่ หรือจะว่ากลัวเขาก็ไม่เชิง

“คุณต้องเล่นละครเวที มิวสิคัล คุณคิดว่าผมจะทดสอบคุณยังไงกันล่ะ” เขาใช้คำพูดและอาการคล้ายกับหมิ่นเธอว่าถามอะไรไม่เข้าท่า “ถ้าคุณทำไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะเข้ารอบ”

มนัญชยาเม้มปากสกัดกั้นอารมณ์ กีรดิตหันหลังขวับก่อนที่จะเสียงร้องเพลงของดารานักร้องหนุ่มจะดังกังวานขึ้นภายในห้อง เพลงคู่...เพลงนี้เธอเคยได้ฟังอยู่เป็นประจำ ทว่าไม่เคยฝึกหัดร้องอย่างจริงจังก่อนที่จะมาทดสอบในวันนี้ ท่อนร้องของผู้ชายในเพลงนั้นไม่สั้นและไม่ยาวมากนัก เธอมีเวลาเพียงไม่ถึงนาทีในการนึกทบทวนเนื้อร้องท่อนแรกของผู้หญิง

ใช่...นึกออกแล้ว...อารมณ์อย่าลืมอารมณ์ด้วยนะยัยหมี่เกี๊ยว

กว่าสองนาทีต่อจากนั้นเพียงดาวและเป็นไทได้แต่นั่งนิ่งฟังการร้องเพลงโต้ตอบระหว่างกีรดิตและมนัญชยา แม้จะมีบางช่วงที่หญิงสาวร้องเนื้อผิด และมีช่วงที่คุมเสียงไม่ได้อยู่บ้างหากเธอก็ยังคงร้องต่อได้จนจบ หญิงสาวคิดว่าเขาจะหยุดแค่ตอนที่ร้องจบท่อนท้ายก่อนเข้าช่วงร้องซ้ำ ทว่าชายหนุ่มยังคงร้องต่อจนจบเพลง

นักแสดงหนุ่มยืนนิ่งมองไปทางโต๊ะของคณะกรรมการ

“แหม...คุณเกม ร้องซะเพลินเลยนะครับ คนอื่นเห็นร้องอยู่แค่ท่อนต้น ๆ”

“ผมคงทำคุณเพียงกับคุณไทเสียเวลาสิครับ นี่ก็เลยเที่ยงมานานแล้ว” กีรดิตพูดได้ยาว และพูดกับผู้กำกับและโปรดิวเซอร์อย่างเป็นปกติ “สงสัยผมจะนั่งมาทั้งเช้าเลยเบื่อน่ะครับ อยากจะทำอะไรแก้เบื่อก่อนพักสักหน่อย”

เจ้าของร่างสูงเดินกลับไปที่โต๊ะกรรมการ หากกลิ่นหอมอ่อนยังคงติดตรึงทั้งที่ปลายจมูกและในใจของมนัญชยา แม้ว่าเขาจะแสดงกิริยาไม่ดีกับเธอเอาเสียเลย

เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ของตนสีหน้าที่ดูดุดันของกีรดิตก็ดูอ่อนลง

“ผมว่าคุณทำได้ดีนะ”

“ขอบคุณค่ะ” คำชมสั้น ๆ จากปากของเขาทำเอาหญิงสาวหัวใจพองโต

“แล้วก็รับกับสถานการณ์ได้ดีด้วย” เป็นไทเอ่ยยิ้ม ๆ “บางรายเจอคุณเกมไปยืนจ้องหน้าก็ปากคอสั่น ทำอะไรไม่ถูกแล้ว”

มนัญชยาเข้าใจในวินาทีนั้นว่ากิริยาอาการที่ดาราหนุ่มแสดงต่อเธอนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบ หญิงสาวระบายลมหายใจออกทางปากยาวนาน

กรรมการทั้งสามมองกันไปมา ก่อนที่ผู้กำกับสาวจะทำหน้าที่เป็นผู้ประกาศขึ้น

“คุณผ่านเข้ารอบค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณซ้ำ ๆ ยกมือไหว้กรรมการทั้งสามคน

“อย่าเพิ่งดีใจไปนะครับ” กีรดิตเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณยังต้องเข้าเรียนการแสดง แล้วก็ผ่านการทดสอบอย่างอื่นอีก ผมคิดว่ามันคงไม่ง่ายนัก”

“ค่ะ...เกี๊ยวจะพยายาม”

หญิงสาวเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยังคงยืนมองกรรมการทั้งสามอยู่อย่างนั้น กระทั่งเป็นไทกระแอมขึ้นเบา ๆ

“น้องเกี๊ยวครับ ถ้าน้องยังไม่ออกไปจากห้อง พี่สามคนอาจจะเปลี่ยนใจได้นะครับ”

“ค่ะ ๆ ขอโทษค่ะ”

เจ้าของร่างเพรียวกระพุ่มมือไหว้อีกครั้งก่อนจะหันหลังเดินลิ่วออกจากห้องทดสอบ ยิ้มตอบกล้องอย่างดีใจเป็นที่สุด กระโดดไปมา ลืมความตั้งใจที่จะรักษาภาพให้ดูสุภาพเรียบร้อยไปเสียสนิท

“ผ่านค่ะ...ผ่านแล้ว ผ่านแล้ว ดีใจมาก ๆ ค่ะ แล้วเจอกันรอบต่อไปนะคะ”



ความยินดีของมนัญชยาทำให้เธอเดินทางกลับบ้านด้วยอารมณ์สดชื่น แม้การจราจรจะค่อนข้างติดขัดจนเธอใช้เวลาเดินทางกลับบ้านรวมชั่วโมงครึ่งแต่หญิงสาวก็ไม่นึกหงุดหงิดรำคาญใจ

บ้านซึ่งอยู่หลัง ‘ที่ทำงาน’ ของพ่อนั้นอยู่ไม่ลึกจากปากซอยมากนัก เธอจึงมักจะเดินเรื่อยกลับเข้าบ้านเสมอ ทางเข้าใหญ่โตทำให้มองเข้าไปเห็นภายในค่าย ช.โชคชัย

เวทีมวยตั้งอยู่เกือบจะกึ่งกลางทางเข้า รายรอบด้วยอุปกรณ์สำหรับฝึกซ้อมอย่างกระสอบทราย บาร์ยกน้ำหนัก เรียกได้ว่าค่ายมวย ช.โชคชัยมีครบเกือบทุกสิ่ง...ที่จะขาดก็เพียงแค่นักมวยเก่ง ๆ กับเงินทุนหมุนเวียนเท่านั้น

ชายร่างสันทัดดูผอมแห้งกว่ามาตรฐานนักมวยทั่วไปละจากการเตะกระสอบทราย ส่งยิ้มให้

“เป็นไงบ้างยัยเกี๊ยวไป...”

มนัญชยาถลึงตาใส่พี่ชายซึ่งอายุมากกว่าเธอร่วมห้าปี “ก็ดีนะพี่แหนม ได้นัดเพื่อน ๆ ไปหาอะไรกินมื้อเช้านี่ก็แปลกดีปกติเคยแต่นัดไปกินมื้อเย็น”

ยศวันต์ซึ่งสวมเพียงกางเกงมวยเดินตรงเข้ามาหาน้องสาว หัวเราะเบา ๆ กับท่าทางของเธอ

“พ่อกับลุงไม่อยู่หรอก ออกไปช่วยกันตระเวนหาเด็กใหม่เข้าสังกัด”

สองพี่น้องนิ่งไปอย่างนึกสะท้อนอะไรขึ้นมา ค่าย ช.โชคชัยของผู้เป็นพ่อนั้นหานักมวยหน้าใหม่เข้าสังกัดมานานหากก็ไม่มีใครที่หน่วยก้านดี มีฝีมือเลย คนที่เคยมีอยู่ก็ถูกค่ายมวยอื่นซื้อตัวไปเข้าสังกัดเสียหมด ทำให้ค่าย ช.โชคชัยขึ้นชื่อในเรื่องของมีนักมวยที่มีสติชกชนะน้อยครั้งกว่านักมวยค่ายอื่น

ไม่ต้องดูอื่นไกล ยศวันต์เองก็ชกไม่ชนะใครมาติดต่อกันหลายเวทีแล้ว

พี่ชายของมนัญชยาไม่ได้เลือกเส้นทางของการเป็นนักชกตั้งแต่แรก ทั้งโชคชัยผู้เป็นบิดาก็ไม่ได้สนับสนุนเพราะไม่อยากให้ลูกชายต้องเจ็บตัว ทว่าชีวิตของชายหนุ่มเปลี่ยนผันเมื่อบริษัทที่เขาเข้าทำงานหลังจบการศึกษาได้ไม่กี่ปีนั้นปลดพนักงานออกครั้งใหญ่ พอดีกับที่มารดาของทั้งสองล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง หมดเงินในการรักษาไปมากทำให้เงินหมุนเวียนภายในค่าย ช.โชคชัยร่อยหรอลงไป ทั้งสุดท้ายก็ยังไม่อาจจะยื้อชีวิตผู้เป็นภรรยาและแม่ไว้ได้

นักมวยและผู้ฝึกสอนที่เคยอยู่กันอย่างสุขสบายเริ่มรู้สึกไม่มั่นคงกับสภาพการเงินที่เปลี่ยนไปและพากันย้ายไปอยู่ค่ายมวยอื่น เหลือเพียงพ่อและลุงของสองพี่น้องทำหน้าที่ฝึกสอนนักมวยที่ทุกวันนี้เหลืออยู่ไม่ถึงสิบคน ทั้งแต่ละคนยังเป็นนักมวยที่ไม่สามารถออกไปอยู่ที่ไหนได้เพราะฝีไม้ลายมือไม่เข้าตาค่ายมวยที่มีกำลังซื้อตัว

ยิ่งไม่มีนักมวยเก่ง ๆ ที่ชกชนะได้เงินรางวัลอยู่ในค่ายสถานการณ์ของ ช.โชคชัยก็ยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ ยศวันต์หางานใหม่ทำ หากแต่ก็เหมือนโชคชะตาเล่นตลกทำงานไปได้ไม่ถึงปีบริษัทก็ปิดตัวลง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจฝึกหัดชกมวยเป็นเรื่องเป็นราวโดยมีพ่อและลุงเป็นผู้ฝึกสอนให้ ตลอดระยะเวลากว่าสี่ปีที่ยศวันต์ก้าวเข้าสู่สังเวียนมวยไทยตามเวทีต่าง ๆ ที่มีการจัดแข่งขัน สถิติชนะของเขายังคงเป็นเลขตัวเดียว



มนัญชยาสังเกตเห็นแววตาของพี่ชายจึงเอื้อมมือไปตบบ่าซึ่งลื่นไปด้วยเหงื่อเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ

“แล้วของเกี๊ยวล่ะเป็นยังไงบ้าง”

“ผ่านแล้ว”

ยศวันต์ทำตาโตอย่างไม่เชื่อหู “ไม่น่าเชื่อแฮะน้องเรา อย่างนี้อีกหน่อยก็ไม่ต้องไปทำงานธุรการต๊อกต๋อยแล้วสิ”

“อย่าเอ็ดไปสิพี่แหนม เดี๋ยวพอกลับมาได้ยินเข้าก็เป็นเรื่องหรอก”

เรื่องที่มนัญชยาไปสมัครเข้าคัดเลือกนักแสดงและนักร้องหน้าใหม่ของค่ายทีโอพีนั้นมีเพียงสองพี่น้องเท่านั้นที่รู้ และหากโชคชัยรู้ว่าลูกสาวไปสมัครเพราะอยากได้เงินรางวัลมาช่วยเหลือครอบครัว ผู้เป็นพ่อคงโวยวายยกใหญ่แน่

“เป็นเรื่องอะไรเหรอพี่”

นักมวยเด็กหนุ่มวัยยี่สิบต้นซึ่งเพิ่งเดินเข้ามาภายในค่ายถามขึ้น ทำเอาหญิงสาวร้องอุทานอย่างตกใจก่อนทุบเข้าที่ต้นแขนชายหนุ่มรุ่นน้องไม่เบานัก

“โอ๊ย...พี่เบา ๆ สิ” นักมวยหนุ่มคลำป้อยบริเวณที่ถูกทุบ “ชกคราวก่อนยังระบมไม่หายเลย นี่ก็เพิ่งจะพอมาซ้อมไหวนี่แหละ”

สองพี่น้องถอนใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายเมื่อมองเห็นหน้าเด็กหนุ่มชัดเจน มันเต็มไปด้วยรอยบอบช้ำจากการแข่งขันชกมวยซึ่งทั้งยศวันต์และมนัญชยาติดตามพ่อไปที่เวทีมวยซึ่งจัดแข่งขันด้วย

คู่ชกของเด็กหนุ่มคนนี้แทบไม่มีรอยใด ๆ บนใบหน้าเลยหลังจากจัดการสอยนักมวยของค่าย ช.โชคชัยลงไปกองกับพื้น ชนะน็อคอย่างสวยงาม

“แล้วนี่จะไหวเหรอ”

“ไหวสิพี่ ถ้าไม่ซ้อมยิ่งไปกันใหญ่ ผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”

เด็กหนุ่มเดินพ้นบริเวณนั้นไปเกือบจะพร้อม ๆ กับที่เสียงเครื่องของรถจักรยานยนต์ซึ่งสองพี่น้องคุ้นหูเป็นอย่างดีจะดังมาจากทางหน้าประตูทางเข้าค่ายมวย



หนุ่มใหญ่วัยห้าสิบกว่าสองคนนั่งควบอยู่บนเบาะรถมอเตอร์ไซค์คนน้องขี่ส่วนคนพี่ซ้อนท้าย ทั้งสองคนมีผิวสีเข้มอย่างคนที่กรำแดดจัด รูปร่างท้วมทว่าบุญช่วยซึ่งแก่กว่าน้องชายปีเศษนั้นสูงกว่าโชคชัยพอสมควร

“เฮ้ย...เบา ๆ สิวะไอ้โชค จะจอดจะเบรคก็ ทำตัวอย่างกับพวกเด็กเวร”

“เขาเรียกว่าเด็กแว้น จะเรียกก็เรียกให้ถูกหน่อยพี่ช่วย”

“เอ่อนั่นแหละ สำหรับข้าก็จะเวรจะแว้นก็เหมือนกันนั่นแหละ เที่ยวได้บิดแมงกะไซรบกวนชาวบ้าน”

ยศวันต์และมนัญชยาหันมามองกันยิ้ม ๆ แม้ว่าสถานการณ์ของค่าย ช.โชคชัยจะเป็นอย่างไรแต่สองพี่น้องก็ไม่เคยเห็นพ่อกับลุงมีท่าทีที่แสดงถึงความท้อแท้หมดหวังแต่อย่างใด ซ้ำยังมีอารมณ์ขันให้เห็นอยู่เสมออีกต่างหาก

บุญช่วยซึ่งซ้อนท้ายน้องชายก้าวลงจากรถก่อน ชูถุงพลาสติกในมือโบกไปมาอวดหลานทั้งสอง

“ไอ้แหนม เจ้าเกี๊ยว ลุงซื้อก๋วยเตี๋ยวมาฝาก”

“ลุงซื้อก๋วยเตี๋ยวมาฝาก” โชคชัยเลียนคำพี่ชาย “ฮี่โธ่...ฉันเป็นคนออกตังค์แท้ ๆ พี่ช่วยไม่อายปากบ้างเหรอ”

“เอ็งเป็นคนควักแต่ข้าเป็นคนส่งเงินให้พ่อค้าก๋วยเตี๋ยวแล้วก็รับถุงก๋วยเตี๋ยวมากับมือ ข้าก็ต้องเป็นคนซื้อสิวะ”

“ฟังลุงพูดเข้าสิไอ้แหนม เจ้าเกี๊ยว หน้าไม่อาย”

“อย่าพูดมากน่า ตามหาเร็ว ๆ เข้า ข้าหิวแล้ว”

บุญช่วยเดินนำน้องชายและหลานไปทางด้านหลังของค่าย ซึ่งมีบ้านสองชั้นหลังย่อมซึ่งเป็นที่พักอาศัยของครอบครัวอยู่ส่วนรอบข้างก็มีเรือนชั้นเดียวซึ่งเป็นห้องพักสำหรับนักมวยที่อยู่กินภายในค่าย มนัญชยาเดินไปเกาะแขนผู้ให้กำเนิดอย่างเอาใจ

“ไปจ๊ะพ่อ ไปกินข้าวกันดีกว่า เกี๊ยวก็หิวแล้วเหมือนกัน”

“แล้วนี่ออกไปไหนมาแต่เช้า”

“นัดเพื่อนออกไปกินมื้อเช้าจ๊ะพ่อ”

“มื้อเช้า...”

“ก็พวกนมสด ขนมปังสังขยาอะไรแบบนี้แหละจ๊ะ เกี๊ยวกับเพื่อนอยากลองนัดกันตอนเช้าบ้าง ได้ตื่นเช้า ๆ นี่ก็ดีไปอย่างอากาศสดชื่นดี”

“พูดอย่างกับตัวเองเป็นคนตื่นสายอย่างนั้นแหละ พ่อก็เห็นว่าตื่นเช้าอยู่ทุกวัน”

โชคชัยลูบศีรษะลูกสาวอย่างรักใคร่ ครอบครัวเล็ก ๆ รับประทานอาหารกลางวันร่วมกันอย่างมีความสุข กระเซ้าเย้าแหย่กันไปมา



“วันนี้เป็นอะไรวะไอ้โชค” บุญช่วยเอ่ยหลังจากเห็นน้องชายวางช้อนกับตะเกียบบ่อยครั้ง “กินช้าผิดปกติ”

“กินเร็วก็ไม่รู้รสสิพี่ช่วย ค่อย ๆ กินรับรู้ความอร่อยดีกว่า”

โชคชัยเอ่ยตอบ สีหน้าไม่ค่อยเป็นปกตินัก มนัญชยาหันไปสังเกตเห็นจึงเอ่ยถามขึ้นอีกคน

“พ่อเป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ ดูท่าทางไม่ค่อยดีจริง ๆ ด้วย”

“ไม่ได้เป็นอะไร” ผู้เป็นพ่อตอบแล้วหันไปทำตาโตใส่คนที่ทักเขาเป็นคนแรก “เห็นไหมล่ะพี่ช่วย เจ้าเกี๊ยวมันเลยพลอยกังวลไปด้วยอีกคน แค่กินช้าหน่อยแค่นี้ มาทักเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตกันไปได้ กิน ๆ กันไปได้แล้ว ไม่ต้องมาสนใจพ่อหรอก ไอ้แหนมก็เหมือนกัน กินเข้าจะได้มีแรงเผื่อจะชกชนะให้พ่อชื่นใจสักที”

“อ้าว...พ่อ ผมไม่ได้ทักพ่อซะหน่อยนะเนี่ย อุตส่าห์นั่งกินเงียบ ๆ แล้วเชียว”

ทั้งสี่พากันหัวเราะ คนอื่น ๆ เมื่อเห็นโชคชัยเป็นปกติก็ก้มหน้าลงรับประทานอาหารต่อ หากยังไม่ทันไรเสียงช้อนกระทบชามก็ดังขึ้น เรียกให้บุญช่วย ยศวันต์และมนัญชยาหันมองมาทางเดียว

“พ่อ ๆ พ่อเป็นอะไร”

ยศวันต์ที่ตอนแรกไม่ได้สังเกตเห็นอาการของพ่อรีบวางช้อนและตะเกียบ ปรี่เข้าไปหาโชคชัย ที่ยกมือขึ้นกุมหน้าอก ใบหน้าเหยเกอย่างคนที่กำลังเจ็บปวดอย่างหนัก บุญช่วยและมนัญชยาก็พากันผละจากเก้าอี้ตรงมาดูอาการของโชคชัยด้วย





กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2554, 10:42:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2554, 10:42:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 3493





   ตอนที่ 2 >>
น้ำแอปเปิ้ล 2 เม.ย. 2554, 11:21:31 น.
แวะมาเจิมตอนแรกให้คุณกมลภัทรเช่นเดียวกันค่ะ...


ตุ๊งแช่ 2 เม.ย. 2554, 13:49:36 น.
เมนท์ไม่ได้


ก้อนแก้ว 2 เม.ย. 2554, 18:19:54 น.
*0*


porjai 3 เม.ย. 2554, 14:30:33 น.
อ่านตอนแรกก็น่าติดตามมากๆค่า :)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account