เวทีกามเทพ
การประกวดเดอะเธียเตอร์ ปรินเซส นำพาให้มนัญชยาได้ร่วมงานกับกีรดิตดารา นักร้องหนุ่มในดวงใจ ทั้งยังชักนำแรงใจมาให้ยศวันต์พี่ชายของเธอถึงข้างเวทีมวย
แต่เมื่อกีรดิตดูเหมือนจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ทั้งกฤตินีที่ยศวันต์หลงรักแต่แรกพบก็คบหากับถิรเจตดาราหนุ่มร่วมค่ายของพี่ชาย อะไรต่ออะไรเลยไม่ง่ายอย่างที่คิด
แต่เมื่อกีรดิตดูเหมือนจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ทั้งกฤตินีที่ยศวันต์หลงรักแต่แรกพบก็คบหากับถิรเจตดาราหนุ่มร่วมค่ายของพี่ชาย อะไรต่ออะไรเลยไม่ง่ายอย่างที่คิด
Tags: กมลภัทร นักร้อง นักแสดง ละครเวที นักมวย
ตอน: ตอนที่ 2
หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของนายแพทย์ที่ตรวจอาการของโชคชัย ทั้งคนเป็นพี่ชาย ลูกชายและลูกสาวต่างมองหน้ากันอย่างกังวลใจ มนัญชยาทิ้งตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงบนเก้าอี้ยาวหน้าห้องพักคนไข้ จากท่าทางของโชคชัยนั้นคงทำให้ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าลึก ๆ แล้วเขาจะวิตกกังวลกับสถานการณ์ของค่ายมวยเพียงใด จนกระทั่งมันแสดงผลออกมาในรูปของโรคหัวใจ
“หมอเขาบอกว่าต้องให้พ่อเขาทำใจให้สบาย ไม่เครียด เพราะอาการมันเป็นผลมาจากความเครียดทำให้หัวใจทำงานหนัก ลุงว่าเราช่วยกันทำให้พ่อเขาสบายใจ มีความสุข พ่อเขาก็คงจะดีขึ้นนะ”
“มันก็จริงนะจ๊ะลุง” หญิงสาวเอ่ยตอบด้วยสีหน้าที่ยังไม่คลายวิตก “แต่ถ้าสถานการณ์ของค่ายมวยยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ พ่อก็คงจะอดเครียดไม่ได้”
“ถ้าผมต่อยชนะบ้าง พ่อคงไม่เครียดขนาดนี้”
“เฮ้ย...ไอ้แหนมทอด” คนเป็นลุงตบบ่าหลานชาย แรงจนร่างนั้นเซไปเล็กน้อย “เจ้าหมี่เกี๊ยวด้วย ถ้าเราสองคนยังจะพลอยมาคิดมากไปอีกแบบนี้ แล้วพ่อเขาจะหายเครียดได้ยังไงกัน”
“แล้วเราจะทำยังไงกันล่ะลุง”
“ก็ไม่ต้องทำอะไร ทำตัวให้เป็นปกติ แล้วก็อย่าไปทำหน้าเป็นตูดแบบนี้ให้พ่อเขาเห็นเชียวนา ทั้งสองคนนั่นแหละ ยิ้มแย้มเข้าไว้ เอาล่ะ...ได้เวลาเข้าไปทำให้พ่อเขาสบายใจแล้ว ยิ้มเข้าไว้ไอ้หลาน”
คนเป็นลุงกล่าวจบก็ผุดลุกขึ้นเดินนำหลานทั้งสองเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย
บุญช่วย ยศวันต์และมนัญชยา บอกกับโชคชัยถึงคำเตือนจากหมอว่าอาการของโชคชัยเป็นผลมาจากความวิตกกังวลและความเหนื่อยล้า ดังนั้นต้องพักผ่อนให้มากขึ้น ทว่าเมื่อคนป่วยได้ยินเข้าก็ทำตาเหลือกใส่พี่ชายและลูกทั้งสอง
“แล้วจะให้พักได้ยังไง จะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายในบ้าน ไหนจะยังค่ายมวย พวกนักมวยที่เขายังอยู่กับเราอีกล่ะ ลำพังรายได้ประจำจากเงินเดือนของเจ้าเกี๊ยวน่ะ ไม่พอหรอกนะ”
“ผมจะลองหางานทำดูพ่อ”
“แล้วเอ็งไม่ได้ทำงานมาตั้งหลายปี จะไปหางานอะไรได้วะไอ้แหนม เขาจะรับเอ็งเหรอ” คนที่นอนอยู่บนเตียงถอนใจ “แล้วตกลงมวยนี่เอ็งก็จะเลิกชกแล้วใช่ไหมนิ”
“เรื่องชกมวยผมก็ไม่ได้คิดจะทิ้งนะพ่อ ผมจะตั้งใจฝึกซ้อมแล้วก็ชกชนะให้ได้ พอชนะเราก็จะได้เงินรางวัล ค่ายเราก็จะมีชื่อมากขึ้น นักมวยเก่ง ๆ ก็อาจจะสนใจมาอยู่กับเราก็ได้”
คนพูดตั้งใจทำให้พ่อสบายใจ แต่ไม่ทันสังเกตว่าสีหน้าคนอื่น ๆ ในห้องพักผู้ป่วยนั้นไม่ได้แสดงการตอบรับต่อคำพูดของเขาสักคน ยศวันต์ยังอ่อนเรื่องเชิงมวยอยู่มาก แม้แต่กับนักมวยหน้าใหม่ของค่ายอื่นชายหนุ่มก็ยังเอาชนะได้ยาก ทว่าไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาให้เป็นการทำลายกำลังใจของคนฝันจะชนะ
“ถ้าไม่มีงานประจำ ผมไปขับมอเตอร์ไซค์วินก็ได้นะพ่อ รายได้ไม่เลวหรอก”
“ไอ้รถแมงกะไซค์เก่า ๆ ที่พ่อกับลุงใช้น่ะมันจะมีคนอยากนั่งเหรอไอ้แหนม”
“โธ่...พ่อ ผมก็ออกรถใหม่สิ ร้านมอเตอร์ไซค์แถวนี้เยอะแยะ ค่าดาวน์รถก็ไม่กี่ตังค์เอง เขาขายกันออกจะโครม ๆ”
“แล้วเอ็งจะเอาเวลาที่ไหนมาซ้อมมวยล่ะ”
“คนจะใช้รถกันเยอะก็แค่เช้ากับเย็นหลังเลิกงานระหว่างวันผมก็ซ้อมมวยได้ พ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“ใช่จ๊ะพ่อ เราช่วย ๆ กัน รับรองว่าไม่มีปัญหาแน่”
โชคชัยพยักหน้าเบา ๆ มนัญชยาโผเข้ากอดผู้ให้กำเนิดอย่างเอาใจ และการออดอ้อนจากลูกสาวคนเดียวก็ทำให้คนเป็นพ่อยิ้มได้เสมอ ภาพที่เห็นพลอยทำให้บุญช่วยกับยศวันต์โล่งใจไปด้วย
โชคชัยรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลสองคืน แพทย์ก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ตามคำเรียกร้องของคนไข้โดยจะต้องแม้ว่าญาติจะยังอยากให้ดูอาการไปอีกสักคืน หากคนที่นั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวันโวยวายไม่ยอมทั้งผู้ทำการรักษายังยืนยันว่าอาการไม่น่าวิตก พี่ชายและลูกจึงยอมตามใจทำให้หนุ่มใหญ่พอใจแต่ก็ยังไม่วายบ่นเมื่อบุญช่วย มนัญชยาและยศวันต์พากันมารับออกจากโรงพยาบาล
“ขนกันมาหมดแบบนี้ ไอ้พวกนักมวยมันก็คงคิดว่าเราทิ้งกันหมดนะสิ”
“อย่าห่วงตัวเองเลยนะ เขาก็รู้กันอยู่ว่าเอ็งไม่สบาย” บุญช่วยโต้ “นี่มันยังคุยกับพวกข้าอยู่ว่าทำไมเอ็งออกจากโรงพยาบาลเร็วนัก นึกว่าจะพักรักษาอาการต่ออีกสักพัก”
นักมวยในค่ายอยากมาเยี่ยมอาการของเจ้าของค่ายหากโชคชัยนั้นสั่งไว้ตั้งแต่วันที่ถูกพาออกจากค่ายมวยมาโรงพยาบาลว่าห้ามให้ใครมาเยี่ยม ให้ตั้งใจฝึกซ้อม ทว่านักชกสถิติชนะน้อยทั้งหลายก็ยังฝากความห่วงใยมากับบุญช่วยบ้าง มนัญชยาหรือยศวันต์บ้าง
“พี่ช่วยอยากมานอนแกร่วอยู่อย่างฉันบ้างไหมล่ะ จะได้รู้ว่ามันน่าเบื่อแค่ไหน แทนที่จะมีเวลาไปหาพวกหน่วยก้านดีมาเป็นนักมวยของค่าย ช่วยเคี่ยวพวกนักมวยให้มันเก่งขึ้นหรือไม่ก็คัดเลือกพวกที่มาสมัคร”
‘พวกที่มาสมัคร’ ซึ่งโชคชัยกล่าวถึงนั้น สมาชิกครอบครัวเจ้าของค่ายต้องนิ่งคิดทบทวนกันอยู่นานว่ามีมาครั้งสุดท้ายเมื่อไร ค่ายช.โชคชัยไม่ใช่ค่ายใหญ่ที่คนอยากเข้าหากไม่จนหนทางคงมีไม่กี่คนที่จะนึกถึงค่ายนี้เป็นอันดับแรก
“ช่วงนี้หมอยังไม่อยากให้พ่อขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปไหนต่อไหนนะจ๊ะ” ลูกสาวเตือน “หมอให้พ่อกลับบ้านได้แต่ต้องพักผ่อนอีกสักระยะ ออกแรงมากก็ไม่ได้ด้วย”
“ไม่อย่างนั้นพ่อก็ต้องนอนอยู่โรงพยาบาล”
“ได้ยังไงไอ้แหนมทอด” โชคชัยโวยทันที “หมอบอกแล้วว่าให้ข้ากลับได้”
“งั้นเอ็งก็ต้องเชื่อหมอ เชื่อลูกมัน เรื่องฝึกนักมวยช่วงนี้ก็ต้องให้ข้าจัดการ เข้าใจไหมไอ้โชค”
คนอยากกลับบ้านได้แต่พยักหน้ารับคำ ไม่วายบ่นปอดแปดที่ถูกห้ามทำโน่นทำนี่
อาการของผู้ให้กำเนิดทำให้ความคาดหวังที่จะได้เข้ารอบต่อ ๆ ไปในการประกวดเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสของมนัญชยาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
ถ้าไม่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับเงินที่จะนำมาใช้จ่ายในบ้าน ในค่ายมวย พ่อก็คงจะไม่กลับไปเครียดจนล้มป่วยอีก เฮ้อ...แต่ถ้าเกิดรู้เข้าว่าเราไปประกวดเพราะอยากจะเอาเงินมาจุนเจือค่ายมวยจะเป็นยังไงนะ
มนัญชยาคิดว่าแม้โอกาสที่จะชนะได้แสดงละครเวทีคู่กับกีรดิตนั้นเป็นไปได้ยากแต่อย่างน้อยการเข้าไปในรอบลึก ๆ อาจทำให้เธอพอเป็นที่รู้จักและมีงานในวงการบันเทิงเพื่อนำเงินมาช่วยเจือจุนค่ายมวยที่กำลังประสบปัญหา ซึ่งการจะเข้าไปสู่รอบลึกได้นั้นหญิงสาวจำต้องเตรียมตัวสำหรับการผ่านด่านการทดสอบการร้องเพลง การแสดงและการเต้นในรอบต่อ ๆ ไป
อย่างแรกนั้นเธอไม่ค่อยกังวลเท่าใดนัก แต่กับสองอย่างหลังมนัญชยาไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้ดี จึงคอยทำสีหน้าต่าง ๆ หน้ากระจก ขณะที่กำลังพยายามตีสีหน้าโศกเศร้า ทำท่าราวกำลังสะอึกสะอื้นอยู่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง
“ทำอะไรน่ะยัยเกี๊ยว”
เธอตกใจอุทานออกมา มือไม้ปัดเอาข้าวของที่อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งลงไปกระจายกับพื้น พี่ชายหัวเราะขณะที่เดินเข้ามาช่วยเก็บเครื่องแต่งหน้า ประทินผิวของน้อง
“ขวัญอ่อนจังนะเรา”
“ก็เกี๊ยวกำลัง...” หญิงสาวมองไปทางประตู ขยับปากเป็นคำว่า ‘ซ้อมการแสดง’ โดยไม่ให้มีเสียงออกมา “พี่แหนมแหละ ไม่มีมารยาทจะเข้าห้องไม่รู้จักเคาะ เกิดน้องนุ่งกำลังไม่นุ่งอยู่จะทำยังไง”
“พี่ก็จะได้รู้น่ะสิ ว่าน้องสาวมีนิสัยชอบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไม่ล็อกประตู ปกติถ้าไม่มีอะไรส่วนตัวเราก็ไม่เคยล็อกสักที”
“แต่ก่อนเข้าก็ควรเคาะนะพี่แหนม”
“ถ้าเคาะก็ไม่ได้เห็นน่ะสิ ว่าน้องสาวกำลังซ้อมบทนางเอกน่าสงสารอยู่หน้ากระจก”
“พี่แหนม” หญิงสาวส่งเสียงเรียกพี่ชายเบา ๆ หากดวงตาขมึงใส่ “เดี๋ยวพ่อหรือลุงก็มาได้ยินเข้าหรอก”
“พ่อหลับไปแล้ว พี่ต้องกำกับอยู่ตั้งนานกว่าจะยอมนอนพักส่วนลุงก็ดูทีวีอยู่ข้างล่างโน่น คงไม่ขึ้นมาง่าย ๆ หรอก รายการนี้เขาชอบ นั่งดูคนเดียวหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่เลย ลองเงี่ยหูฟังก็ได้ยิน”
เสียงหัวเราะของบุญช่วยดังแว่วมาเข้าหูสองพี่น้องจริง ๆ มนัญชยาจึงถอนใจยาวอย่างโล่งอก
“พี่ว่ายังไงเราคงต้องบอกลุงกับพ่อนะยัยเกี๊ยว”
“พ่อจะยอมเหรอพี่แหนม เดี๋ยวก็หาว่าเกี๊ยวไปประกวดเพราะไม่มั่นใจว่าเขาจะจัดการปัญหาในค่ายได้”
“ทั้งที่มันก็เป็นเรื่องจริงนะเกี๊ยว...พี่ก็มองไม่ออกเหมือนกันว่าเราจะไปหาเงินมาจากไหน” ยศวันต์เอ่ยแล้วเห็นสีหน้าท้อของน้องสาวจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เรื่องที่เกี๊ยวกลัวอยู่น่ะ...ก็ไม่ต้องบอกพ่อสิว่าเกี๊ยวอยากชนะการประกวดเพราะอยากได้เงินมาช่วยค่าใช้จ่าย บอกว่าอยากเป็นดารา เป็นนักแสดงหรืออะไรก็ได้ เหตุผลอื่นน่ะ”
“พ่อจะเชื่อรึเปล่าก็ไม่รู้ เกี๊ยวไม่เคยแสดงออกให้เห็นสักหน่อยว่าอยากจะเป็นนักแสดง”
“แต่เกี๊ยวชอบร้องเพลง พ่อเขารู้ ลุงก็รู้” ยศวันต์ตอบแล้วทำตาโต อย่างเพิ่งนึกอะไรออก “ที่จริง ถ้าเราปรึกษาลุง ลุงอาจจะช่วยเราได้นะ”
“ยังไงล่ะพี่แหนม”
“ก็ช่วยคิดหาวิธีพูดกลบเกลื่อนให้พ่อเชื่อไง ยังไงลุงเขาก็อาบน้ำร้อนมาก่อนเราต้องมีความคิดดี ๆ แน่ อีกอย่างพ่อเขาเชื่อลุงมากกว่าเราอยู่แล้ว”
มนัญชยานึกทบทวนคำพูดของพี่ชายแล้วพยักหน้ากับตัวเอง ยอมรับในเหตุผลของยศวันต์
“อะไรนะ แกไปสมัครประกวดเป็นนักแสดงเหรอไอ้เกี๊ยว”
บุญช่วยทำรีโมทคอนโทรลตกพื้นเมื่อหลานสาวเข้าไปกระซิบบอกความจริง มนัญชยาจุปากเป็นเชิงบอกให้เบาเสียง ส่วนยศวันต์ทำมากกว่าน้องสาวเล็กน้อยเอื้อมมือไปปิดปากผู้เป็นลุง หลานชายและหลานสาวนั่งขนาบข้างผู้เป็นลุงนั่งอยู่ตรงกลางบนเก้าอี้ตัวยาวหน้าเครื่องรับโทรทัศน์
“เดี๋ยวพ่อก็ตื่นหรอกลุง” หญิงสาวเตือนชะโงกไปพูดกับพี่ชาย “พี่แหนมนะพี่แหนม บอกให้มาปรึกษาลุง ดูสิตะโกนเสียลั่นบ้านไม่รู้พอจะตื่นรึเปล่า”
“พี่ไม่คิดว่าลุงจะโวยวายอย่างนี้”
“แล้วทำยังไงเนี่ยพี่แหนม”
“อ่อยอืออ่อนอื่นเอย”
เสียงอือ ๆ ของบุญช่วยเรียกให้สองพี่น้องหันไปมอง
“ลุงว่าอะไรนะ”
“อ่อย อุงอายใอไอ้ออก” บุญช่วยใช้มือช่วยตัวเองดันมือของหลานชายที่ปิดปากตนแน่นสนิทอยู่ออก “ปล่อยมือได้แล้วไอ้แหนม เอ็งจะฆ่าลุงหรือไง”
“ลุงก็เบา ๆ สิครับ เดี๋ยวพ่อตื่นก่อน เราสองคนหวังพึ่งลุงนี่แหละครับว่าจะบอกพ่อยังไงเรื่องที่ยัยเกี๊ยวไปสมัครเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสน่ะ”
“ก็ให้เจ้าเกี๊ยวมันบอกมาตรง ๆ สิเจ้าแหนมไม่เห็นจะยาก”
เสียงที่ดังมาจากทางบันไดบ้าน ทำเอาคนที่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์หันหลังขวับกลับไปมองเกือบจะพร้อมกัน โชคชัยเขม่นมองมาโดยเฉพาะใช้สายตาคาดคั้นกับลูกชายและลูกสาว
“ว่าแต่ไอ้เตอร์ ๆ เซส ๆ นี่มันอะไรกัน เล่ามาให้ฟังหน่อยสิ พ่อก็จะอยากจะรู้เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไรถึงต้องแอบลงมาคุยกับลุงเขาทั้งพี่ทั้งน้องนี่น่ะ”
มนัญชยาจำใจต้องเล่าให้พ่อฟังเรื่องที่ตนไปสมัครเข้าแข่งขันคัดเลือกนักแสดงละครเวทีเรื่องแรกของบริษัททีโอพี ซึ่งผู้ที่ชนะจะได้รับบทนำหญิงคู่กับกีรดิต รับเงินรางวัลหนึ่งล้านบาท
“หนึ่งล้าน” บุญช่วยซึ่งเพิ่งได้ฟังรายละเอียดพร้อมกับน้องชายทวนคำเสียงดังลั่น เมื่อหลานสาวพูดถึงจำนวนเงินสำหรับผู้ชนะ “ชนะให้ได้นะเจ้าเกี๊ยว”
“ไหนว่าอะไรนะเจ้าเกี๊ยว เอ็งบอกว่าคนชนะจะได้อะไร”
“เงินหนึ่งล้านบาทจ๊ะพ่อ” หญิงสาวตอบเสียงเบาเพราะเกรงว่าพ่อจะโกรธเรื่องที่เธอเข้าแข่งขันเพราะอยากได้เงินรางวัล “แต่เกี๊ยวคงไม่มีโอกาสชนะหรอกจ๊ะพ่อ แต่ที่สองก็ยังได้เงินหลักแสนแล้วถ้าได้อยู่รอบสุดท้ายออกทีวีบ่อย ๆ ก็อาจจะได้มีงานในวงการ”
“เรื่องนั้นพ่อไม่สนใจหรอก จะเข้ารอบ จะตกรอบ ได้เงินหรือไม่ได้เงินน่ะ พ่อสนใจอีกเรื่องนึงมากกว่า”
“อีกเรื่องอะไรเหรอจ๊ะพ่อ”
“เรื่องผู้ชายน่ะสิ” โชคชัยเอ่ยเสียงขุ่น “คิดว่าพ่อไม่รู้เหรอเรื่องไอ้ดารา นักร้องคนนั้นน่ะ ไอ้เกม ๆ กีรดิตอะไรนั่น”
“เกี่ยวอะไรด้วยวะ ไอ้นักร้องคนนั้นน่ะ”
“โธ่...พี่ช่วย พี่ช่วยก็เลี้ยงเจ้าเกี๊ยวมันมา เห็นมันมาพอ ๆ กับฉันนั่นแหละ พี่ไม่เคยสังเกตห้องหับมันบ้างเหรอว่ามีแต่รูปไอ้ดารานั่นติดเต็มไปหมด มีเพลงออกมาใหม่เมื่อไหร่ก็ซื้อมาเปิดฟังวันละไม่รู้กี่รอบ”
“แล้วยังไงวะ”
“ก็ที่เจ้าเกี๊ยวมันอยากไปประกวดก็เพราะอยากจะได้เล่นละครกับดาราน่ะสิ”
มนัญชยากับยศวันต์หันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ระบายลมหายใจยาวออกมาเกือบจะพร้อมกันที่โชคชัยคิดไปอีกทางหนึ่ง การสนทนาในครอบครัวกลายเป็นการคุยโต้แย้งกันระหว่างบุญช่วยและโชคชัย ฝ่ายแรกนั้นช่วยพูดแทนหลานจะด้วยเห็นแก่เงินรางวัลหรืออยากจะช่วยจริง ๆ ก็ไม่มีใครรู้ได้
เมื่อการโต้เถียงยืดยาวขึ้น ยศวันต์ก็ลอบสะกิดน้องสาวฉวยโอกาสที่พ่อกำลังโต้แย้งกับลุงหน้าดำหน้าแดง ยกมือขึ้นป้ายใต้ตาอย่างจะบอกให้มนัญชยาทำอะไรบางอย่าง คนเป็นน้องเข้าใจสิ่งที่พี่ชายต้องการบอกในทันที
“ลุงจ๊ะ พ่อจ๊ะ อย่าเถียงกันเลย ลุงจ๊ะพอเถอะนะ พ่อเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมาเดี๋ยวจะไม่สบายไปอีก เกี๊ยวขอนะจ๊ะลุง” หญิงสาวตีหน้าเศร้า พูดเสียงสั่น “ถ้าเกิดว่าที่เกี๊ยวไปประกวดมันทำให้ลุงกับพ่อทะเลาะกัน เกี๊ยวไม่ไปเข้าโรงเรียนร้องเพลงตามที่ทีมงานเขานัดก็ได้จ๊ะ”
น้ำเสียงของมนัญชยาหยุดโชคชัยให้ชะงัด จากที่ยืนเถียงกับพี่ชายอยู่หนุ่มใหญ่ก็รีบกระเถิบตัวลงนั่งข้างลูกสาวทันที บุญช่วยขยับจะพูดอะไรแต่แล้วหันไปเห็นว่าหลายชายส่งสัญญาณเป็นทีให้นิ่งก็หุบปากเสียสนิท
“เกี๊ยวไม่เคยบอกพ่อว่าเกี๊ยวอยากเป็นดารา อยากเป็นนักร้องเพราะเกี๊ยวกลัว กลัวว่าพ่อจะไม่สนับสนุน แล้วมันก็จริงอย่างที่กลัว...ถ้าเป็นอย่างนี้เกี๊ยวไม่อยากเป็นแล้วล่ะจ๊ะ”
หญิงสาวคนเดียวในบ้านซุกหน้าลงกับฝ่ามือทั้งสองข้าง ทำเอาโชคชัยต้องรีบเอื้อมมือไปโอบไหล่โยกตัวลูกสาวไปมาอย่างจะปลอบขวัญ
“ไม่เอาน่าเจ้าเกี๊ยว เรื่องประกวดอะไรนั่นมันสำคัญอะไรกันนักหนาสำหรับเอ็งเหรอ”
จบคำถามของผู้เป็นพ่อมนัญชยาก็ส่งเสียงสะอื้นออกมาทันที
“เงียบ ๆ ไม่ร้องนะเจ้าเกี๊ยวไม่ร้อง แต่พ่อเป็นห่วงเอ็งนะ ไม่อยากให้เอ็งคิดไปประกวดอะไรนั่นเพราะอยากจะไปใกล้ชิดกับผู้ชาย มันไม่คุ้มกันหรอกนา”
“ปัดโธ่...ที่แท้ก็หวงลูก” บุญช่วยโพล่งขึ้นอย่างทนไม่ได้ “เอ็งจะกลัวอะไรนักหนาวะไอ้โชค ลูกเอ็งมันไม่ใช่ดาราดัง ไม่ใช่สาวไฮโซ ดาราระดับนั้นเขาจะมาสนใจเหรอ ลูกมันก็อาจจะปลื้มดารานักร้องไปตามประสาไม่ได้คิดอะไรจริงจังหรอก จริงไหมล่ะเจ้าเกี๊ยว”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นตอบเสียงเศร้า “ใช่จ๊ะลุง เกี๊ยวก็ไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้นเลย เพียงแต่เห็นว่ามีโอกาสเข้ามาให้คว้าก็เท่านั้นเอง แล้วอายุอย่างเกี๊ยวก็คงจะประกวดอะไรพวกนี้ได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น คงไม่มีโอกาสหน้าแล้ว”
“เฮ้อ...ทำใจเถอะเกี๊ยว” ยศวันต์โพล่งขึ้น “ถ้าพ่อเขาไม่ให้ทำต่อ ก็หยุดไว้เท่านี้แหละ อย่างน้อยก็ผ่านรอบแรกแล้ว ถือว่าได้ลองแล้วก็แล้วกันนะ”
มนัญชยารับคำพี่ชายพลางปาดน้ำตา หันมาเอ่ยกับโชคชัย “พ่อไม่อยากให้เกี๊ยวทำ เกี๊ยวไม่ทำแล้วจ๊ะ”
“พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรเอ็งนะ ถ้าเอ็งอยากเป็นนักร้อง อยากเป็นดาราจริง ๆ” โชคชัยใจอ่อนกับลูกสาวเสมอ “เห็นเมื่อก่อนตอนส่งเรียนร้องเพลงก็ไม่ได้จริงจังอะไร เห็นก็แค่ชอบร้องเพลงสนุกสนานไปวัน ๆ ก็นึกว่าไม่ได้คิดจะเอาจริงถึงขั้นทำเป็นการเป็นงาน ที่พ่อห่วงน่ะก็แค่อยากให้แน่ใจว่าไม่ได้คิดฝันอะไรเกินตัว อย่างที่ลุงเขาบอกก็ถูกนะ เขาเป็นดารานักร้องดัง ต่อให้เอ็งชนะได้ใกล้ชิดได้เป็นดาราแสดงละครคู่กับเขาจริง เขาก็คงไม่สนใจเอ็งหรอก”
“ผมว่าพ่อกับลุงห่วงกันเกินเหตุไปแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะพี่แหนม”
“ก็ให้เกี๊ยวชนะก่อนค่อยมาคิดเรื่องนี้ไม่ดีเหรอ จะชนะการประกวดรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ไม่แน่อาจจะไม่ได้เข้าถึงรอบสุดท้ายด้วยซ้ำ”
“ไอ้แหนม” โชคชัยมีปฏิกิริยาทันที “พูดอย่างนี้ไม่ให้กำลังใจน้องเลยนะเอ็ง”
“พ่อจ๊ะ” มนัญชยาเขย่าแขนผู้ให้กำเนิดหลังจากได้ยินพ่อดุพี่ชาย “ตกลงพ่ออนุญาตให้เกี๊ยวประกวดต่อใช่ไหม”
หนุ่มใหญ่เจ้าของค่ายมวยพยักหน้าแทนคำตอบก่อนยิ้มออกมาเมื่อลูกสาวโผเข้ากอดตนแน่นแล้วเอ่ยคำขอบคุณซ้ำ ๆ
“เอาล่ะ ๆ พอได้แล้วเจ้าเกี๊ยว ขึ้นไปนอนกันได้แล้วล่ะ พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานที่บริษัท ลุงกับไอ้เจ้าแหนมก็ต้องตื่นมาวิ่งตอนเช้า”
จบคำของโชคชัย ยศวันต์และมนัญชยาก็พากันปิดเครื่องรับโทรทัศน์เดินไปปิดหน้าต่างและประตูชั้นล่างของบ้าน
“พ่อกับลุงไปนอนเถอะจ๊ะ เดี๋ยวเกี๊ยวกับพี่แหนมปิดบ้าน ปิดไฟให้เรียบร้อยก่อนนะ”
เมื่อพ่อและลุงเดินขึ้นไปบนชั้นสองและอยู่กันเพียงลำพัง ยศวันต์ก็เดินมาเอ่ยกับน้องสาว
“พี่ว่าเกี๊ยวไม่ต้องฝึกแอ๊คติ้งแล้วมั้ง ท่าทางจะผ่านฉลุย”
“เหมือนกันเสียทีไหนล่ะพี่แหนม นี่สถานการณ์มันบังคับหรอกถึงต้องเล่นละครหลอกพ่อ...แต่ยังไงก็ขอบคุณที่ชมนะ”
หญิงสาวเอ่ยตอบพี่ชายแล้วระบายยิ้มออกมาอย่างยินดีที่อย่างน้อยเธอก็หมดห่วงเรื่องโชคชัยไปได้ ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ตั้งใจให้เต็มที่ในการไปเรียนร้องเพลงตามหลักสูตรของรายการเพื่อคัดเลือกในรอบที่สองเท่านั้น
สำนักงานใหญ่และโรงเรียนสอนร้องเพลงในเครือบริษัททีโอพีตั้งอยู่ภายในอาคารของบริษัท มนัญชยาจึงได้กลับมาเยือนตึกที่เธอมาเมื่อวันทดสอบรอบแรกอีกครั้ง หากครั้งนี้ผู้คนเริ่มบางตาลง เนื่องจากในรอบสองนี้ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้ามาเก็บภาพทำข่าวเหมือนวันเปิดตัว เรื่องต่อจากนี้ไปทุกสิ่งจะถือเป็นความลับจนกว่าจะมีการเปิดตัวผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายอย่างเป็นทางการในรายการโทรทัศน์
ผู้ผ่านเข้ารอบห้าสิบคนเข้าไปนั่งรวมกันภายในห้องโถงเล็กซึ่งใช้เป็นห้องสำหรับคัดเลือกในวันก่อน หากเปลี่ยนจากห้องโล่งที่มีเพียงโต๊ะสำหรับกรรมการมาเป็นห้องที่วางโต๊ะยาวเรียงกันแบ่งเป็นสองแถว แถวละห้าตัวแต่ละตัวจัดวางเก้าอี้ไว้สำหรับห้าคน ส่วนด้านหน้าห้องนั้นมีเพียงไมโครโฟนบนขาตั้งเพียงอันเดียว กล้องสำหรับบันทึกเทปจัดวางไว้ตามมุมต่าง ๆ ภายในห้อง
บนผนังด้านนั้นห้องติดโลโก้ของรายการรวมถึงป้ายของผู้สนับสนุนรายการจนเกือบเต็ม หญิงสาวทั้งห้าสิบคนนั่งรออย่างใจจดจ่อ นานเข้าหันไปพูดคุยกับคนที่นั่งข้าง ๆ
เสียงพูดคุยเงียบลงเมื่อทีมงานเปิดประตูห้องนำเอกสารและปากกามาวางตรงหน้าผู้เข้าแข่งขันคนละหนึ่งชุด มนัญชยาหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาอ่าน เนื้อความในแผ่นกระดาษเป็นการชี้แจงรูปแบบรายการซึ่งจะมีการบันทึกเทปผู้เข้าแข่งขันขณะที่เข้าเรียนร้องเพลง การแสดงและเต้นรำ โดยในการคัดเลือกจะมีกรรมการเป็นผู้พิจารณาตัดผู้เข้าแข่งขันออกจนเหลือยี่สิบคน หลังจากนั้นจะเป็นการใช้ผลโหวตจากทางบ้านร่วมกับคะแนนจากคณะกรรมการ
ผู้เข้าแข่งขันจะได้รับการสัมภาษณ์เรื่องต่าง ๆ เพื่อเก็บไว้ใช้ประกอบในช่วงแนะนำรายการโดยผู้สมัครจะต้องลงนามยินยอมให้นำเทปเหล่านั้นไปออกอากาศได้
ขณะที่หญิงสาวทั้งห้าสิบคนกำลังอ่านเอกสารอยู่นั้นทีมงานบันทึกเทปรายการก็เข้ามาตรวจสอบมุมกล้องซ้ำอีกครั้ง ก่อนที่เจ้าหน้าที่ซึ่งประจำอยู่หน้าประตูห้องโถงจะดึงประตูเปิดออกอีกครั้ง ร่างของใครคนหนึ่งจะก้าวเข้ามาภายในห้องโถง เรียกเสียงฮือฮาจากผู้เข้าแข่งขัน
“หมอเขาบอกว่าต้องให้พ่อเขาทำใจให้สบาย ไม่เครียด เพราะอาการมันเป็นผลมาจากความเครียดทำให้หัวใจทำงานหนัก ลุงว่าเราช่วยกันทำให้พ่อเขาสบายใจ มีความสุข พ่อเขาก็คงจะดีขึ้นนะ”
“มันก็จริงนะจ๊ะลุง” หญิงสาวเอ่ยตอบด้วยสีหน้าที่ยังไม่คลายวิตก “แต่ถ้าสถานการณ์ของค่ายมวยยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ พ่อก็คงจะอดเครียดไม่ได้”
“ถ้าผมต่อยชนะบ้าง พ่อคงไม่เครียดขนาดนี้”
“เฮ้ย...ไอ้แหนมทอด” คนเป็นลุงตบบ่าหลานชาย แรงจนร่างนั้นเซไปเล็กน้อย “เจ้าหมี่เกี๊ยวด้วย ถ้าเราสองคนยังจะพลอยมาคิดมากไปอีกแบบนี้ แล้วพ่อเขาจะหายเครียดได้ยังไงกัน”
“แล้วเราจะทำยังไงกันล่ะลุง”
“ก็ไม่ต้องทำอะไร ทำตัวให้เป็นปกติ แล้วก็อย่าไปทำหน้าเป็นตูดแบบนี้ให้พ่อเขาเห็นเชียวนา ทั้งสองคนนั่นแหละ ยิ้มแย้มเข้าไว้ เอาล่ะ...ได้เวลาเข้าไปทำให้พ่อเขาสบายใจแล้ว ยิ้มเข้าไว้ไอ้หลาน”
คนเป็นลุงกล่าวจบก็ผุดลุกขึ้นเดินนำหลานทั้งสองเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย
บุญช่วย ยศวันต์และมนัญชยา บอกกับโชคชัยถึงคำเตือนจากหมอว่าอาการของโชคชัยเป็นผลมาจากความวิตกกังวลและความเหนื่อยล้า ดังนั้นต้องพักผ่อนให้มากขึ้น ทว่าเมื่อคนป่วยได้ยินเข้าก็ทำตาเหลือกใส่พี่ชายและลูกทั้งสอง
“แล้วจะให้พักได้ยังไง จะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายในบ้าน ไหนจะยังค่ายมวย พวกนักมวยที่เขายังอยู่กับเราอีกล่ะ ลำพังรายได้ประจำจากเงินเดือนของเจ้าเกี๊ยวน่ะ ไม่พอหรอกนะ”
“ผมจะลองหางานทำดูพ่อ”
“แล้วเอ็งไม่ได้ทำงานมาตั้งหลายปี จะไปหางานอะไรได้วะไอ้แหนม เขาจะรับเอ็งเหรอ” คนที่นอนอยู่บนเตียงถอนใจ “แล้วตกลงมวยนี่เอ็งก็จะเลิกชกแล้วใช่ไหมนิ”
“เรื่องชกมวยผมก็ไม่ได้คิดจะทิ้งนะพ่อ ผมจะตั้งใจฝึกซ้อมแล้วก็ชกชนะให้ได้ พอชนะเราก็จะได้เงินรางวัล ค่ายเราก็จะมีชื่อมากขึ้น นักมวยเก่ง ๆ ก็อาจจะสนใจมาอยู่กับเราก็ได้”
คนพูดตั้งใจทำให้พ่อสบายใจ แต่ไม่ทันสังเกตว่าสีหน้าคนอื่น ๆ ในห้องพักผู้ป่วยนั้นไม่ได้แสดงการตอบรับต่อคำพูดของเขาสักคน ยศวันต์ยังอ่อนเรื่องเชิงมวยอยู่มาก แม้แต่กับนักมวยหน้าใหม่ของค่ายอื่นชายหนุ่มก็ยังเอาชนะได้ยาก ทว่าไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาให้เป็นการทำลายกำลังใจของคนฝันจะชนะ
“ถ้าไม่มีงานประจำ ผมไปขับมอเตอร์ไซค์วินก็ได้นะพ่อ รายได้ไม่เลวหรอก”
“ไอ้รถแมงกะไซค์เก่า ๆ ที่พ่อกับลุงใช้น่ะมันจะมีคนอยากนั่งเหรอไอ้แหนม”
“โธ่...พ่อ ผมก็ออกรถใหม่สิ ร้านมอเตอร์ไซค์แถวนี้เยอะแยะ ค่าดาวน์รถก็ไม่กี่ตังค์เอง เขาขายกันออกจะโครม ๆ”
“แล้วเอ็งจะเอาเวลาที่ไหนมาซ้อมมวยล่ะ”
“คนจะใช้รถกันเยอะก็แค่เช้ากับเย็นหลังเลิกงานระหว่างวันผมก็ซ้อมมวยได้ พ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“ใช่จ๊ะพ่อ เราช่วย ๆ กัน รับรองว่าไม่มีปัญหาแน่”
โชคชัยพยักหน้าเบา ๆ มนัญชยาโผเข้ากอดผู้ให้กำเนิดอย่างเอาใจ และการออดอ้อนจากลูกสาวคนเดียวก็ทำให้คนเป็นพ่อยิ้มได้เสมอ ภาพที่เห็นพลอยทำให้บุญช่วยกับยศวันต์โล่งใจไปด้วย
โชคชัยรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลสองคืน แพทย์ก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ตามคำเรียกร้องของคนไข้โดยจะต้องแม้ว่าญาติจะยังอยากให้ดูอาการไปอีกสักคืน หากคนที่นั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวันโวยวายไม่ยอมทั้งผู้ทำการรักษายังยืนยันว่าอาการไม่น่าวิตก พี่ชายและลูกจึงยอมตามใจทำให้หนุ่มใหญ่พอใจแต่ก็ยังไม่วายบ่นเมื่อบุญช่วย มนัญชยาและยศวันต์พากันมารับออกจากโรงพยาบาล
“ขนกันมาหมดแบบนี้ ไอ้พวกนักมวยมันก็คงคิดว่าเราทิ้งกันหมดนะสิ”
“อย่าห่วงตัวเองเลยนะ เขาก็รู้กันอยู่ว่าเอ็งไม่สบาย” บุญช่วยโต้ “นี่มันยังคุยกับพวกข้าอยู่ว่าทำไมเอ็งออกจากโรงพยาบาลเร็วนัก นึกว่าจะพักรักษาอาการต่ออีกสักพัก”
นักมวยในค่ายอยากมาเยี่ยมอาการของเจ้าของค่ายหากโชคชัยนั้นสั่งไว้ตั้งแต่วันที่ถูกพาออกจากค่ายมวยมาโรงพยาบาลว่าห้ามให้ใครมาเยี่ยม ให้ตั้งใจฝึกซ้อม ทว่านักชกสถิติชนะน้อยทั้งหลายก็ยังฝากความห่วงใยมากับบุญช่วยบ้าง มนัญชยาหรือยศวันต์บ้าง
“พี่ช่วยอยากมานอนแกร่วอยู่อย่างฉันบ้างไหมล่ะ จะได้รู้ว่ามันน่าเบื่อแค่ไหน แทนที่จะมีเวลาไปหาพวกหน่วยก้านดีมาเป็นนักมวยของค่าย ช่วยเคี่ยวพวกนักมวยให้มันเก่งขึ้นหรือไม่ก็คัดเลือกพวกที่มาสมัคร”
‘พวกที่มาสมัคร’ ซึ่งโชคชัยกล่าวถึงนั้น สมาชิกครอบครัวเจ้าของค่ายต้องนิ่งคิดทบทวนกันอยู่นานว่ามีมาครั้งสุดท้ายเมื่อไร ค่ายช.โชคชัยไม่ใช่ค่ายใหญ่ที่คนอยากเข้าหากไม่จนหนทางคงมีไม่กี่คนที่จะนึกถึงค่ายนี้เป็นอันดับแรก
“ช่วงนี้หมอยังไม่อยากให้พ่อขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปไหนต่อไหนนะจ๊ะ” ลูกสาวเตือน “หมอให้พ่อกลับบ้านได้แต่ต้องพักผ่อนอีกสักระยะ ออกแรงมากก็ไม่ได้ด้วย”
“ไม่อย่างนั้นพ่อก็ต้องนอนอยู่โรงพยาบาล”
“ได้ยังไงไอ้แหนมทอด” โชคชัยโวยทันที “หมอบอกแล้วว่าให้ข้ากลับได้”
“งั้นเอ็งก็ต้องเชื่อหมอ เชื่อลูกมัน เรื่องฝึกนักมวยช่วงนี้ก็ต้องให้ข้าจัดการ เข้าใจไหมไอ้โชค”
คนอยากกลับบ้านได้แต่พยักหน้ารับคำ ไม่วายบ่นปอดแปดที่ถูกห้ามทำโน่นทำนี่
อาการของผู้ให้กำเนิดทำให้ความคาดหวังที่จะได้เข้ารอบต่อ ๆ ไปในการประกวดเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสของมนัญชยาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
ถ้าไม่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับเงินที่จะนำมาใช้จ่ายในบ้าน ในค่ายมวย พ่อก็คงจะไม่กลับไปเครียดจนล้มป่วยอีก เฮ้อ...แต่ถ้าเกิดรู้เข้าว่าเราไปประกวดเพราะอยากจะเอาเงินมาจุนเจือค่ายมวยจะเป็นยังไงนะ
มนัญชยาคิดว่าแม้โอกาสที่จะชนะได้แสดงละครเวทีคู่กับกีรดิตนั้นเป็นไปได้ยากแต่อย่างน้อยการเข้าไปในรอบลึก ๆ อาจทำให้เธอพอเป็นที่รู้จักและมีงานในวงการบันเทิงเพื่อนำเงินมาช่วยเจือจุนค่ายมวยที่กำลังประสบปัญหา ซึ่งการจะเข้าไปสู่รอบลึกได้นั้นหญิงสาวจำต้องเตรียมตัวสำหรับการผ่านด่านการทดสอบการร้องเพลง การแสดงและการเต้นในรอบต่อ ๆ ไป
อย่างแรกนั้นเธอไม่ค่อยกังวลเท่าใดนัก แต่กับสองอย่างหลังมนัญชยาไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้ดี จึงคอยทำสีหน้าต่าง ๆ หน้ากระจก ขณะที่กำลังพยายามตีสีหน้าโศกเศร้า ทำท่าราวกำลังสะอึกสะอื้นอยู่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง
“ทำอะไรน่ะยัยเกี๊ยว”
เธอตกใจอุทานออกมา มือไม้ปัดเอาข้าวของที่อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งลงไปกระจายกับพื้น พี่ชายหัวเราะขณะที่เดินเข้ามาช่วยเก็บเครื่องแต่งหน้า ประทินผิวของน้อง
“ขวัญอ่อนจังนะเรา”
“ก็เกี๊ยวกำลัง...” หญิงสาวมองไปทางประตู ขยับปากเป็นคำว่า ‘ซ้อมการแสดง’ โดยไม่ให้มีเสียงออกมา “พี่แหนมแหละ ไม่มีมารยาทจะเข้าห้องไม่รู้จักเคาะ เกิดน้องนุ่งกำลังไม่นุ่งอยู่จะทำยังไง”
“พี่ก็จะได้รู้น่ะสิ ว่าน้องสาวมีนิสัยชอบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไม่ล็อกประตู ปกติถ้าไม่มีอะไรส่วนตัวเราก็ไม่เคยล็อกสักที”
“แต่ก่อนเข้าก็ควรเคาะนะพี่แหนม”
“ถ้าเคาะก็ไม่ได้เห็นน่ะสิ ว่าน้องสาวกำลังซ้อมบทนางเอกน่าสงสารอยู่หน้ากระจก”
“พี่แหนม” หญิงสาวส่งเสียงเรียกพี่ชายเบา ๆ หากดวงตาขมึงใส่ “เดี๋ยวพ่อหรือลุงก็มาได้ยินเข้าหรอก”
“พ่อหลับไปแล้ว พี่ต้องกำกับอยู่ตั้งนานกว่าจะยอมนอนพักส่วนลุงก็ดูทีวีอยู่ข้างล่างโน่น คงไม่ขึ้นมาง่าย ๆ หรอก รายการนี้เขาชอบ นั่งดูคนเดียวหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่เลย ลองเงี่ยหูฟังก็ได้ยิน”
เสียงหัวเราะของบุญช่วยดังแว่วมาเข้าหูสองพี่น้องจริง ๆ มนัญชยาจึงถอนใจยาวอย่างโล่งอก
“พี่ว่ายังไงเราคงต้องบอกลุงกับพ่อนะยัยเกี๊ยว”
“พ่อจะยอมเหรอพี่แหนม เดี๋ยวก็หาว่าเกี๊ยวไปประกวดเพราะไม่มั่นใจว่าเขาจะจัดการปัญหาในค่ายได้”
“ทั้งที่มันก็เป็นเรื่องจริงนะเกี๊ยว...พี่ก็มองไม่ออกเหมือนกันว่าเราจะไปหาเงินมาจากไหน” ยศวันต์เอ่ยแล้วเห็นสีหน้าท้อของน้องสาวจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เรื่องที่เกี๊ยวกลัวอยู่น่ะ...ก็ไม่ต้องบอกพ่อสิว่าเกี๊ยวอยากชนะการประกวดเพราะอยากได้เงินมาช่วยค่าใช้จ่าย บอกว่าอยากเป็นดารา เป็นนักแสดงหรืออะไรก็ได้ เหตุผลอื่นน่ะ”
“พ่อจะเชื่อรึเปล่าก็ไม่รู้ เกี๊ยวไม่เคยแสดงออกให้เห็นสักหน่อยว่าอยากจะเป็นนักแสดง”
“แต่เกี๊ยวชอบร้องเพลง พ่อเขารู้ ลุงก็รู้” ยศวันต์ตอบแล้วทำตาโต อย่างเพิ่งนึกอะไรออก “ที่จริง ถ้าเราปรึกษาลุง ลุงอาจจะช่วยเราได้นะ”
“ยังไงล่ะพี่แหนม”
“ก็ช่วยคิดหาวิธีพูดกลบเกลื่อนให้พ่อเชื่อไง ยังไงลุงเขาก็อาบน้ำร้อนมาก่อนเราต้องมีความคิดดี ๆ แน่ อีกอย่างพ่อเขาเชื่อลุงมากกว่าเราอยู่แล้ว”
มนัญชยานึกทบทวนคำพูดของพี่ชายแล้วพยักหน้ากับตัวเอง ยอมรับในเหตุผลของยศวันต์
“อะไรนะ แกไปสมัครประกวดเป็นนักแสดงเหรอไอ้เกี๊ยว”
บุญช่วยทำรีโมทคอนโทรลตกพื้นเมื่อหลานสาวเข้าไปกระซิบบอกความจริง มนัญชยาจุปากเป็นเชิงบอกให้เบาเสียง ส่วนยศวันต์ทำมากกว่าน้องสาวเล็กน้อยเอื้อมมือไปปิดปากผู้เป็นลุง หลานชายและหลานสาวนั่งขนาบข้างผู้เป็นลุงนั่งอยู่ตรงกลางบนเก้าอี้ตัวยาวหน้าเครื่องรับโทรทัศน์
“เดี๋ยวพ่อก็ตื่นหรอกลุง” หญิงสาวเตือนชะโงกไปพูดกับพี่ชาย “พี่แหนมนะพี่แหนม บอกให้มาปรึกษาลุง ดูสิตะโกนเสียลั่นบ้านไม่รู้พอจะตื่นรึเปล่า”
“พี่ไม่คิดว่าลุงจะโวยวายอย่างนี้”
“แล้วทำยังไงเนี่ยพี่แหนม”
“อ่อยอืออ่อนอื่นเอย”
เสียงอือ ๆ ของบุญช่วยเรียกให้สองพี่น้องหันไปมอง
“ลุงว่าอะไรนะ”
“อ่อย อุงอายใอไอ้ออก” บุญช่วยใช้มือช่วยตัวเองดันมือของหลานชายที่ปิดปากตนแน่นสนิทอยู่ออก “ปล่อยมือได้แล้วไอ้แหนม เอ็งจะฆ่าลุงหรือไง”
“ลุงก็เบา ๆ สิครับ เดี๋ยวพ่อตื่นก่อน เราสองคนหวังพึ่งลุงนี่แหละครับว่าจะบอกพ่อยังไงเรื่องที่ยัยเกี๊ยวไปสมัครเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสน่ะ”
“ก็ให้เจ้าเกี๊ยวมันบอกมาตรง ๆ สิเจ้าแหนมไม่เห็นจะยาก”
เสียงที่ดังมาจากทางบันไดบ้าน ทำเอาคนที่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์หันหลังขวับกลับไปมองเกือบจะพร้อมกัน โชคชัยเขม่นมองมาโดยเฉพาะใช้สายตาคาดคั้นกับลูกชายและลูกสาว
“ว่าแต่ไอ้เตอร์ ๆ เซส ๆ นี่มันอะไรกัน เล่ามาให้ฟังหน่อยสิ พ่อก็จะอยากจะรู้เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไรถึงต้องแอบลงมาคุยกับลุงเขาทั้งพี่ทั้งน้องนี่น่ะ”
มนัญชยาจำใจต้องเล่าให้พ่อฟังเรื่องที่ตนไปสมัครเข้าแข่งขันคัดเลือกนักแสดงละครเวทีเรื่องแรกของบริษัททีโอพี ซึ่งผู้ที่ชนะจะได้รับบทนำหญิงคู่กับกีรดิต รับเงินรางวัลหนึ่งล้านบาท
“หนึ่งล้าน” บุญช่วยซึ่งเพิ่งได้ฟังรายละเอียดพร้อมกับน้องชายทวนคำเสียงดังลั่น เมื่อหลานสาวพูดถึงจำนวนเงินสำหรับผู้ชนะ “ชนะให้ได้นะเจ้าเกี๊ยว”
“ไหนว่าอะไรนะเจ้าเกี๊ยว เอ็งบอกว่าคนชนะจะได้อะไร”
“เงินหนึ่งล้านบาทจ๊ะพ่อ” หญิงสาวตอบเสียงเบาเพราะเกรงว่าพ่อจะโกรธเรื่องที่เธอเข้าแข่งขันเพราะอยากได้เงินรางวัล “แต่เกี๊ยวคงไม่มีโอกาสชนะหรอกจ๊ะพ่อ แต่ที่สองก็ยังได้เงินหลักแสนแล้วถ้าได้อยู่รอบสุดท้ายออกทีวีบ่อย ๆ ก็อาจจะได้มีงานในวงการ”
“เรื่องนั้นพ่อไม่สนใจหรอก จะเข้ารอบ จะตกรอบ ได้เงินหรือไม่ได้เงินน่ะ พ่อสนใจอีกเรื่องนึงมากกว่า”
“อีกเรื่องอะไรเหรอจ๊ะพ่อ”
“เรื่องผู้ชายน่ะสิ” โชคชัยเอ่ยเสียงขุ่น “คิดว่าพ่อไม่รู้เหรอเรื่องไอ้ดารา นักร้องคนนั้นน่ะ ไอ้เกม ๆ กีรดิตอะไรนั่น”
“เกี่ยวอะไรด้วยวะ ไอ้นักร้องคนนั้นน่ะ”
“โธ่...พี่ช่วย พี่ช่วยก็เลี้ยงเจ้าเกี๊ยวมันมา เห็นมันมาพอ ๆ กับฉันนั่นแหละ พี่ไม่เคยสังเกตห้องหับมันบ้างเหรอว่ามีแต่รูปไอ้ดารานั่นติดเต็มไปหมด มีเพลงออกมาใหม่เมื่อไหร่ก็ซื้อมาเปิดฟังวันละไม่รู้กี่รอบ”
“แล้วยังไงวะ”
“ก็ที่เจ้าเกี๊ยวมันอยากไปประกวดก็เพราะอยากจะได้เล่นละครกับดาราน่ะสิ”
มนัญชยากับยศวันต์หันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ระบายลมหายใจยาวออกมาเกือบจะพร้อมกันที่โชคชัยคิดไปอีกทางหนึ่ง การสนทนาในครอบครัวกลายเป็นการคุยโต้แย้งกันระหว่างบุญช่วยและโชคชัย ฝ่ายแรกนั้นช่วยพูดแทนหลานจะด้วยเห็นแก่เงินรางวัลหรืออยากจะช่วยจริง ๆ ก็ไม่มีใครรู้ได้
เมื่อการโต้เถียงยืดยาวขึ้น ยศวันต์ก็ลอบสะกิดน้องสาวฉวยโอกาสที่พ่อกำลังโต้แย้งกับลุงหน้าดำหน้าแดง ยกมือขึ้นป้ายใต้ตาอย่างจะบอกให้มนัญชยาทำอะไรบางอย่าง คนเป็นน้องเข้าใจสิ่งที่พี่ชายต้องการบอกในทันที
“ลุงจ๊ะ พ่อจ๊ะ อย่าเถียงกันเลย ลุงจ๊ะพอเถอะนะ พ่อเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมาเดี๋ยวจะไม่สบายไปอีก เกี๊ยวขอนะจ๊ะลุง” หญิงสาวตีหน้าเศร้า พูดเสียงสั่น “ถ้าเกิดว่าที่เกี๊ยวไปประกวดมันทำให้ลุงกับพ่อทะเลาะกัน เกี๊ยวไม่ไปเข้าโรงเรียนร้องเพลงตามที่ทีมงานเขานัดก็ได้จ๊ะ”
น้ำเสียงของมนัญชยาหยุดโชคชัยให้ชะงัด จากที่ยืนเถียงกับพี่ชายอยู่หนุ่มใหญ่ก็รีบกระเถิบตัวลงนั่งข้างลูกสาวทันที บุญช่วยขยับจะพูดอะไรแต่แล้วหันไปเห็นว่าหลายชายส่งสัญญาณเป็นทีให้นิ่งก็หุบปากเสียสนิท
“เกี๊ยวไม่เคยบอกพ่อว่าเกี๊ยวอยากเป็นดารา อยากเป็นนักร้องเพราะเกี๊ยวกลัว กลัวว่าพ่อจะไม่สนับสนุน แล้วมันก็จริงอย่างที่กลัว...ถ้าเป็นอย่างนี้เกี๊ยวไม่อยากเป็นแล้วล่ะจ๊ะ”
หญิงสาวคนเดียวในบ้านซุกหน้าลงกับฝ่ามือทั้งสองข้าง ทำเอาโชคชัยต้องรีบเอื้อมมือไปโอบไหล่โยกตัวลูกสาวไปมาอย่างจะปลอบขวัญ
“ไม่เอาน่าเจ้าเกี๊ยว เรื่องประกวดอะไรนั่นมันสำคัญอะไรกันนักหนาสำหรับเอ็งเหรอ”
จบคำถามของผู้เป็นพ่อมนัญชยาก็ส่งเสียงสะอื้นออกมาทันที
“เงียบ ๆ ไม่ร้องนะเจ้าเกี๊ยวไม่ร้อง แต่พ่อเป็นห่วงเอ็งนะ ไม่อยากให้เอ็งคิดไปประกวดอะไรนั่นเพราะอยากจะไปใกล้ชิดกับผู้ชาย มันไม่คุ้มกันหรอกนา”
“ปัดโธ่...ที่แท้ก็หวงลูก” บุญช่วยโพล่งขึ้นอย่างทนไม่ได้ “เอ็งจะกลัวอะไรนักหนาวะไอ้โชค ลูกเอ็งมันไม่ใช่ดาราดัง ไม่ใช่สาวไฮโซ ดาราระดับนั้นเขาจะมาสนใจเหรอ ลูกมันก็อาจจะปลื้มดารานักร้องไปตามประสาไม่ได้คิดอะไรจริงจังหรอก จริงไหมล่ะเจ้าเกี๊ยว”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นตอบเสียงเศร้า “ใช่จ๊ะลุง เกี๊ยวก็ไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้นเลย เพียงแต่เห็นว่ามีโอกาสเข้ามาให้คว้าก็เท่านั้นเอง แล้วอายุอย่างเกี๊ยวก็คงจะประกวดอะไรพวกนี้ได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น คงไม่มีโอกาสหน้าแล้ว”
“เฮ้อ...ทำใจเถอะเกี๊ยว” ยศวันต์โพล่งขึ้น “ถ้าพ่อเขาไม่ให้ทำต่อ ก็หยุดไว้เท่านี้แหละ อย่างน้อยก็ผ่านรอบแรกแล้ว ถือว่าได้ลองแล้วก็แล้วกันนะ”
มนัญชยารับคำพี่ชายพลางปาดน้ำตา หันมาเอ่ยกับโชคชัย “พ่อไม่อยากให้เกี๊ยวทำ เกี๊ยวไม่ทำแล้วจ๊ะ”
“พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรเอ็งนะ ถ้าเอ็งอยากเป็นนักร้อง อยากเป็นดาราจริง ๆ” โชคชัยใจอ่อนกับลูกสาวเสมอ “เห็นเมื่อก่อนตอนส่งเรียนร้องเพลงก็ไม่ได้จริงจังอะไร เห็นก็แค่ชอบร้องเพลงสนุกสนานไปวัน ๆ ก็นึกว่าไม่ได้คิดจะเอาจริงถึงขั้นทำเป็นการเป็นงาน ที่พ่อห่วงน่ะก็แค่อยากให้แน่ใจว่าไม่ได้คิดฝันอะไรเกินตัว อย่างที่ลุงเขาบอกก็ถูกนะ เขาเป็นดารานักร้องดัง ต่อให้เอ็งชนะได้ใกล้ชิดได้เป็นดาราแสดงละครคู่กับเขาจริง เขาก็คงไม่สนใจเอ็งหรอก”
“ผมว่าพ่อกับลุงห่วงกันเกินเหตุไปแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะพี่แหนม”
“ก็ให้เกี๊ยวชนะก่อนค่อยมาคิดเรื่องนี้ไม่ดีเหรอ จะชนะการประกวดรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ไม่แน่อาจจะไม่ได้เข้าถึงรอบสุดท้ายด้วยซ้ำ”
“ไอ้แหนม” โชคชัยมีปฏิกิริยาทันที “พูดอย่างนี้ไม่ให้กำลังใจน้องเลยนะเอ็ง”
“พ่อจ๊ะ” มนัญชยาเขย่าแขนผู้ให้กำเนิดหลังจากได้ยินพ่อดุพี่ชาย “ตกลงพ่ออนุญาตให้เกี๊ยวประกวดต่อใช่ไหม”
หนุ่มใหญ่เจ้าของค่ายมวยพยักหน้าแทนคำตอบก่อนยิ้มออกมาเมื่อลูกสาวโผเข้ากอดตนแน่นแล้วเอ่ยคำขอบคุณซ้ำ ๆ
“เอาล่ะ ๆ พอได้แล้วเจ้าเกี๊ยว ขึ้นไปนอนกันได้แล้วล่ะ พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานที่บริษัท ลุงกับไอ้เจ้าแหนมก็ต้องตื่นมาวิ่งตอนเช้า”
จบคำของโชคชัย ยศวันต์และมนัญชยาก็พากันปิดเครื่องรับโทรทัศน์เดินไปปิดหน้าต่างและประตูชั้นล่างของบ้าน
“พ่อกับลุงไปนอนเถอะจ๊ะ เดี๋ยวเกี๊ยวกับพี่แหนมปิดบ้าน ปิดไฟให้เรียบร้อยก่อนนะ”
เมื่อพ่อและลุงเดินขึ้นไปบนชั้นสองและอยู่กันเพียงลำพัง ยศวันต์ก็เดินมาเอ่ยกับน้องสาว
“พี่ว่าเกี๊ยวไม่ต้องฝึกแอ๊คติ้งแล้วมั้ง ท่าทางจะผ่านฉลุย”
“เหมือนกันเสียทีไหนล่ะพี่แหนม นี่สถานการณ์มันบังคับหรอกถึงต้องเล่นละครหลอกพ่อ...แต่ยังไงก็ขอบคุณที่ชมนะ”
หญิงสาวเอ่ยตอบพี่ชายแล้วระบายยิ้มออกมาอย่างยินดีที่อย่างน้อยเธอก็หมดห่วงเรื่องโชคชัยไปได้ ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ตั้งใจให้เต็มที่ในการไปเรียนร้องเพลงตามหลักสูตรของรายการเพื่อคัดเลือกในรอบที่สองเท่านั้น
สำนักงานใหญ่และโรงเรียนสอนร้องเพลงในเครือบริษัททีโอพีตั้งอยู่ภายในอาคารของบริษัท มนัญชยาจึงได้กลับมาเยือนตึกที่เธอมาเมื่อวันทดสอบรอบแรกอีกครั้ง หากครั้งนี้ผู้คนเริ่มบางตาลง เนื่องจากในรอบสองนี้ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้ามาเก็บภาพทำข่าวเหมือนวันเปิดตัว เรื่องต่อจากนี้ไปทุกสิ่งจะถือเป็นความลับจนกว่าจะมีการเปิดตัวผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายอย่างเป็นทางการในรายการโทรทัศน์
ผู้ผ่านเข้ารอบห้าสิบคนเข้าไปนั่งรวมกันภายในห้องโถงเล็กซึ่งใช้เป็นห้องสำหรับคัดเลือกในวันก่อน หากเปลี่ยนจากห้องโล่งที่มีเพียงโต๊ะสำหรับกรรมการมาเป็นห้องที่วางโต๊ะยาวเรียงกันแบ่งเป็นสองแถว แถวละห้าตัวแต่ละตัวจัดวางเก้าอี้ไว้สำหรับห้าคน ส่วนด้านหน้าห้องนั้นมีเพียงไมโครโฟนบนขาตั้งเพียงอันเดียว กล้องสำหรับบันทึกเทปจัดวางไว้ตามมุมต่าง ๆ ภายในห้อง
บนผนังด้านนั้นห้องติดโลโก้ของรายการรวมถึงป้ายของผู้สนับสนุนรายการจนเกือบเต็ม หญิงสาวทั้งห้าสิบคนนั่งรออย่างใจจดจ่อ นานเข้าหันไปพูดคุยกับคนที่นั่งข้าง ๆ
เสียงพูดคุยเงียบลงเมื่อทีมงานเปิดประตูห้องนำเอกสารและปากกามาวางตรงหน้าผู้เข้าแข่งขันคนละหนึ่งชุด มนัญชยาหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาอ่าน เนื้อความในแผ่นกระดาษเป็นการชี้แจงรูปแบบรายการซึ่งจะมีการบันทึกเทปผู้เข้าแข่งขันขณะที่เข้าเรียนร้องเพลง การแสดงและเต้นรำ โดยในการคัดเลือกจะมีกรรมการเป็นผู้พิจารณาตัดผู้เข้าแข่งขันออกจนเหลือยี่สิบคน หลังจากนั้นจะเป็นการใช้ผลโหวตจากทางบ้านร่วมกับคะแนนจากคณะกรรมการ
ผู้เข้าแข่งขันจะได้รับการสัมภาษณ์เรื่องต่าง ๆ เพื่อเก็บไว้ใช้ประกอบในช่วงแนะนำรายการโดยผู้สมัครจะต้องลงนามยินยอมให้นำเทปเหล่านั้นไปออกอากาศได้
ขณะที่หญิงสาวทั้งห้าสิบคนกำลังอ่านเอกสารอยู่นั้นทีมงานบันทึกเทปรายการก็เข้ามาตรวจสอบมุมกล้องซ้ำอีกครั้ง ก่อนที่เจ้าหน้าที่ซึ่งประจำอยู่หน้าประตูห้องโถงจะดึงประตูเปิดออกอีกครั้ง ร่างของใครคนหนึ่งจะก้าวเข้ามาภายในห้องโถง เรียกเสียงฮือฮาจากผู้เข้าแข่งขัน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2554, 10:43:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2554, 10:47:11 น.
จำนวนการเข้าชม : 2250
<< บทนำ+ตอนที่ 1 | ตอนที่ 3 >> |


จุฬามณีเฟื่องนคร 2 เม.ย. 2554, 11:06:24 น.
ยังงง ๆกับสิรินดารูปแบบใหม่
ยังงง ๆกับสิรินดารูปแบบใหม่

อุบลรัตน์ 2 เม.ย. 2554, 15:22:50 น.
^_^
^_^

ก้อนแก้ว 2 เม.ย. 2554, 18:27:27 น.
มาแล้วๆ
มาแล้วๆ

ก้อนแก้ว 2 เม.ย. 2554, 18:28:21 น.
ปั๊ดโธ่! ไอ้เราก็นึกว่าพระเอกมา
ปั๊ดโธ่! ไอ้เราก็นึกว่าพระเอกมา