รักอุ้มบุญ
...ความรักของเธอมันแท้ง! กี่ครั้งก็แท้ง! คราวนี้จึงต้องมีเขามาอุ้มบุญ รักครั้งนี้จะได้เป็นตัวเป็นตน...รักอุ้มบุญ
Tags: รักอุ้มบุญ,ปลากัด

ตอน: บทที่ 8

ฝนตกทุกวัน ไปไหนมาไหนอย่าลืมพกร่มติดตัวกันไว้นะคะ ^^
และอย่าลืมดูแลสุขภาพด้วยค่ะ เวลามาอ่านจะได้สนุกเต็มที่ อิอิ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่มาส่งแรงใจแรงเชียร์ให้ผู้เขียนตลอด ^______^

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*


บทที่8


สิ่งที่ภัทริศคิดไว้นั้นไม่ผิดเลย ขนาดเขาออกจากห้องทำงานตรงเวลาพอดิบพอดียังไม่พบร่างของมธุรินอยู่หน้าห้องเลย ดูจากสภาพโต๊ะที่ปิดคอมพิวเตอร์และจัดอย่างเป็นระเบียบบอกให้รู้ว่าเธอออกจากออฟฟิศไปแล้ว ชายหนุ่มพ่นลมหายใจแล้วรีบสาวเท้าไปยังลิฟต์

ไม่น่าจะใช่ความโชคดีหรอกที่ทำให้ชายหนุ่มกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทันหญิงสาวอยู่บริเวณป้ายรถเมล์ห่างจากบริษัทแค่ไม่กี่เมตร แต่เป็นเพราะการจราจรที่เป็นอัมพาตอยู่นั่นต่างหากทำให้เธอไม่สามารถกลับบ้านเร็วได้ดั่งใจ ไม่ว่าจะโดยการอาศัยแท็กซี่หรือรถประจำทางก็ตาม

ประธานบริษัทหนุ่มคว้าหมับที่ข้อมือเรียว ซึ่งเจ้าของกำลังชะเง้อคอยืดคอยาวมองว่าเกิดอะไรขึ้น การจราจรถึงไม่ขยับเขยื้อน แม้เพียงสักคืบ พอรู้สึกถึงแรงบีบน้อยๆ มธุรินหันขวับมามองตกใจเล็กน้อยทว่าไม่แปลกใจเลยสักนิด

“วันนี้คุณไม่ได้เอารถมา ให้ผมไปส่งนะครับ” เขาบอกน้ำเสียงสุภาพ

“อย่าดีกว่าค่ะ ฉันกลับเองง่ายกว่า บ้านคุณอยู่คนละทางกับบ้านฉัน ย้อนไปย้อนมาเสียเวลาเปล่าๆ” เธอเองก็พูดสุภาพเช่นกัน สุภาพเสียจนฟังห่างเหินเกินกว่าคนที่เคยยิ้มให้กัน หัวเราะด้วยกัน หรือกระทั่งแกล้งกันจะพึงสนทนาต่อกัน

“หวาน...กลับกับผมเถอะนะ” ชื่อสั้นๆ ที่เขาไม่เคยเรียกกลับชะงักมือที่กำลังออกแรงดึงให้หลุดจากอุ้งมือใหญ่ได้ในทันที หญิงสาวเงยสบตาเขา เมื่อพบเพียงความสับสนและอ้อนวอนในดวงตา เธอทำได้เพียงเม้มริมฝีปาก แล้วก็เดินตามเมื่อเขาออกแรงรั้งข้อมือ พลางก้าวขาพากลับไปยังรถตัวเอง ที่ลานจอดรถของบริษัท

ภัทริศปล่อยมือออกอย่างสุภาพเมื่อเปิดประตูรถ LEXUS IS 250 สีขาวให้เธอเรียบร้อยแล้ว เขายืนรอจนคนที่ยังทำท่าลังเลตัดสินใจเข้าไปนั่ง จึงปิดประตูให้ก่อนอ้อมหน้ารถไปประจำที่คนขับ

จัดการสตาร์ตเครื่องเปิดแอร์เย็นฉ่ำ หากยังไม่ยอมเคลื่อนรถเก๋งสี่ประตูคันงามออกจากที่จอด จนคนนั่งข้างหันมองด้วยความสงสัย เพียงแค่ไม่ยอมถามคล้ายกลัวดอกพิกุลจะร่วงขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“คุณก็เห็นว่ารถติดไม่ขยับไปไหนเลย เราควรรอสักพัก ถึงออกไปตอนนี้ก็ต้องจอดนิ่งตรงทางเข้าบริษัทอยู่ดี” เขาอธิบาย และได้รับเป็นความเงียบกลับมา ทีท่าหญิงสาวนิ่งเฉยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างสูงระบายลมหายใจอย่างไม่ปิดบัง “หวาน...” เขาเรียกชื่อเธอนุ่มนวลอีกครั้ง มธุรินเพิ่งเรียนรู้สิ่งใหม่ว่า ชื่อเธอเมื่อหลุดจากปากเขาด้วยน้ำเสียงอย่างนี้ ชวนสะอึกจนตัวเกร็งอย่างบอกไม่ถูก “ผมรู้ว่าสิ่งที่ผม...ไม่สิ...พี่สาวผม...อือ...ผมด้วยนั่นแหละ ขอนั้นมันเป็นเรื่องใหญ่ และละเอียดอ่อน แต่ผมแค่ถาม หรือเรียกว่าเสนอให้คุณไปคิดก็ได้ ถ้าคุณพิจารณาแล้วเห็นว่ายากเกินยอมรับ ระหว่างคุณกับผมเราก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”

อย่าว่าแต่คนถูกขอให้ทำเรื่องใหญ่จะช็อกจนตั้งสติไม่ทันเลย แม้แต่ภัทริศที่ทำหน้าที่สื่อกลางยังกระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย ถ้านี่คือเรื่องประหลาดสำหรับมธุริน มันก็คงเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับเขาเหมือนกัน ที่ต้องมาขอให้คนที่ตัวเอง...หลงรัก ไปเป็นแม่ให้ลูกคนอื่น

“ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง?” เธอหันมองเขาพร้อมทวนคำพูดสุดท้ายด้วยใบหน้าติดหยัน “มันเปลี่ยนไปตั้งแต่คุณพูดออกมาแล้วล่ะค่ะ ถ้าฉันไม่รับปากฉันก็จะกลายเป็นคนใจดำ แต่ถ้าฉันตกลง คุณรู้หรือเปล่าคะ ว่าการตั้งท้องหรือเป็นแม่คนนั้น มันไม่ง่ายเหมือนไปจ่ายตลาด หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์นะคะ”

ชายหนุ่มเงียบอย่างใคร่ครวญ...ลองพูดออกมาอย่างนี้แสดงว่าตอนออกมาจากห้องทำงานเขา เธอคงตรึกตรองเรื่องนี้เหมือนกัน

“หวา...”

“หยุด! อย่าเรียกชื่อฉันอีก” มธุรินห้ามทั้งไม่กล้าสบตา

“ทำไมล่ะครับ” อีกฝ่ายถามงงๆ

“เถอะน่า” หญิงสาวตอบน้ำเสียงหงุดหงิด ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ได้ยินเขาเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วพานกลัวว่าจะใจอ่อนรับข้อเสนอประหลาดๆ นั่น

“โอเคครับ ผมไม่เรียกชื่อคุณก็ได้” เขายอมง่ายดาย “ผมแค่จะบอกคุณว่าผมดีใจที่คุณยอมทบทวนเรื่องนี้ แต่ผมไม่อยากให้คุณคิดมากขนาดนั้น เพราะมันสมควรเป็นผมกับพี่สาวต่างหากที่ต้องคิดให้มากและถ้วนถี่ จริงอยู่ผมอาจเป็นแม่คนไม่ได้ แต่ผมก็พอจะรู้นะว่าการเป็นแม่คนมันลำบาก ทั้งด้วยเรื่องระยะเวลาตั้งเก้าเดือน รูปร่างเสีย สภาพจิตใจของคนโสดอย่างคุณ และสภาพจิตใจหลังคลอด คนรอบข้างของคุณ และอีกมากมายที่คุณต้องแคร์ ต้อง...เสียสละ”

เขาระบายลมหายใจอีกครั้ง ปลดปล่อยความอึดอัดภายใน

แน่ละ...เธอต้องคิดหนักเป็นธรรมดา ใครบ้างจะไม่ตกใจ โสดอยู่ดีๆ มีคนมาเสนอให้ตั้งท้อง แถมคนมาเสนอดันเป็นผู้ชาย แม้จะมาเสนอแทนพี่สาวก็ตาม มันน่าอายหรือน่าตกใจน้อยเสียที่ไหน

ทว่าพอนึกถึงภัทรมน ก็ให้นึกเห็นใจอย่างไรบอกไม่ถูก อาจเป็นระยะเวลาแค่สองชั่วโมงที่ได้คุยกัน ความรู้สึกกลับถูกชะตาเหมือนผูกพันกันมาแต่ชาติปางไหน ไม่ก็คงเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันอย่างไรอย่างนั้นเชียว ถึงทำให้เธอไม่ใจแข็งปฏิเสธไปให้เด็ดขาด ราวกับมีบางสิ่งติดค้างต่อกัน

“ฉันก็อยากช่วยนะคะ แต่ฉัน...ไม่เคยเป็นแม่คนเหมือนกัน ฉันไม่พร้อม ฉัน...” ข้อกังวลหลายอย่างถูกอัดอั้นไว้ในอก สีหน้าและท่าทางของเธอมีแววกังวลจนไม่อาจปกปิด ภัทริศมองแล้วระบายยิ้มอ่อนๆ

แค่เธอ ‘อยาก’ จะช่วยนั่นก็มากพอแล้ว แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าหัวใจเธอไม่แห้งแล้ง

“เอาอย่างนี้ดีไหมครับ คุณเก็บเรื่องนี้ไปคิดอีกที นานขนาดไหนก็ได้ ผมกับพี่มนยินดีรอ แต่สิ่งที่ผมให้คุณไปคิดแค่เบื้องต้นก่อน นั่นคือให้คุณไปลองฟังขั้นตอนต่างๆ จากคุณหมอเพื่อช่วยในการตัดสินใจ พร้อมกับฟังเงื่อนไขสำหรับ ‘ความช่วยเหลือ’ ครั้งนี้ ส่วนหลังจากฟังทั้งสองอย่างนั้นแล้ว คุณจะตกลงหรือไม่ตกลง คุณก็จะไม่ใช่คนใจดำ เพราะแค่คุณไม่ตบหน้าผม หรือลาออกไป นั่นคุณก็ใจดีมากแล้ว”

เขาจบคำพูดด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ฝืนให้สบายใจต่อกัน มธุรินเอียงตัวมองเขาตรงๆ สายตากลอกไปมา เพื่อค้นหาบางอย่างในดวงตาเขา มาลบล้างความสับสนในหัวใจตัวเองบ้าง

“แต่ถ้าฉันคิดนาน อาจทำให้คุณกับพี่สาวคุณเสียเวลาหาคนอื่น” คำพูดยังกังวลและเต็มไปด้วยการขาดความมั่นใจ

ยิ่งมองภัทริศยิ่งยิ้มกว้าง ถ้าทำได้...ใช่ ถ้าทำได้ เขาอยากคว้าตัวผู้หญิงคนนี้มากอดแรงๆ แล้วบอกว่าเขาหลงรักเธอมากแค่ไหน ดีใจแค่ไหนที่โชคชะตาเล่นตลกกับเขาอย่างนี้ หากที่ยังนั่งเฉย ทำได้แค่มองแม้อยู่ใกล้แค่เอื้อม นั่นเพราะโชคตาเล่นตลกจริงๆ แต่เป็น...ตลกร้าย!

“ไม่เสียเวลาเลยครับ เพราะในสายตาผมไม่มีใครพร้อมและเหมาะสมเท่าคุณอีกแล้ว” สีหน้าแววตา หรือกระทั่งคำพูดไม่เหมือนพูดเรื่องการอุ้มบุญเลยสักนิด คล้ายๆ เขากำลังละเมอไปเรื่องอื่น

“คุณพูดแบบนี้มันก็เหมือนปิดทางการตัดสินใจฉันนะสิคะ”

“เอ้อ ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่อย่างนั้น ผมหมายถึง ณ ตอนนี้พี่มนไม่ได้มองใครไว้เลย เธอยินดีรอการตัดสินใจของคุณ ถ้าสุดท้ายคุณปฏิเสธ เธอก็ต้องหาคนอื่นอยู่แล้ว ถึงแม้อาจไม่ถูกใจเท่าคุณก็ตาม” ไม่วายหยอดทิ้งท้ายอีกจนได้

คราวนี้เสียงถอนหายใจเปลี่ยนมาเป็นของมธุรินบ้าง หญิงสาวรู้สึกว่าอยากคืนเกรดเฉลี่ยสูงลิ่วของตัวเองให้อาจารย์ไปเพราะตอนสมองตื้อคิดอะไรไม่ออกนี่ละ

“ขอเวลาฉันกลับไปคิดและปรึกษายายก่อนแล้วกันค่ะ ระหว่างนี้ฉันขอให้คุณกับพี่สาวคุณมองคนอื่นไว้บ้าง เพราะนี่แค่คิด...ยังไม่ตกลง”

แค่คิด! ภัทริศก็อยากจะกระโดดให้ตัวลอย แล้วดึงเธอมากอดให้แน่นจนหายใจไม่ออกทีเดียว ชายหนุ่มรู้สึกว่ามือไม้มันเกะกะไปหมด รถก็ดูแคบไปถนัดใจ โอ๊ย เขาทั้งดีใจทั้งอยากจะเป็นบ้าในเวลาเดียวกัน

บังคับให้สีหน้าแค่ยิ้มยินดีไม่ได้เลย มันยิ้มกว้างทั้งปากทั้งตา ยามมองเธออย่างขอบคุณ

...มองคนอื่นไว้บ้าง โธ่...เขาจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ตอนนี้แค่มองคู่หมั้นเขายังไม่อยากละสายตาไปมองเลย...คู่หมั้น! คำนั้นเหมือนมือใครสักคนตบหน้าเขาฉาดใหญ่ จนชาไปทั้งซีก

“รถขยับแล้ว เราไปกันเถอะค่ะ” มธุรินเปลี่ยนเรื่องเมื่อมีจังหวะ

“ครับ” ชายหนุ่มเพียงตอบรับง่ายๆ ไม่สมกับความดีใจที่มี เขามันบ้า ดันนึกหาเรื่องอื่นมาแทรก จนทำลายบรรยากาศที่กำลังจะดีขึ้นอยู่แล้วใ ห้ดิ่งลงนรกไปได้!


-------------------------


รถคันหรูเทียบจอดหน้าบ้านนุ่มนวล สองหนุ่มสาวเพียงยิ้มให้กันเล็กน้อย ตลอดเส้นทางบทสนทนามีแค่นิดหน่อยเท่านั้น เหมือนกับว่าเรื่องที่ต้องการพูดได้หมดไปตั้งแต่เคลื่อนรถออกจากบริษัทแล้ว

มธุรินลงจากรถแล้วไม่ยืนรอส่งเขา เพราะรู้ดีว่าชายหนุ่มจะต้องเป็นฝ่ายรอจนเธอเข้าบ้านถึงจะยอมกลับ ดังนั้นขืนเธอรอก็คงได้อยู่กันตรงหน้าประตูยันเช้าเพราะมัวแต่รอส่งกัน

เมื่อมธุรินหายเข้าไปในตัวบ้านเรียบร้อย ภัทริศจึงเคลื่อนรถออกด้วยหัวใจที่แม้ไม่หม่นมัวเสียทีเดียวแต่ก็ไม่สดใสนัก เขารู้ว่าตอนนี้ความรู้สึกตัวเองมาไกลเกินจะกู่กลับเสียแล้ว หากมันก็มาไกลแบบน่ากลัวว่าจะผิดลู่ผิดทาง ถึงกู่ไม่กลับก็อาจไปไม่ถึง

“เอาน่า...เลือกเองไม่ใช่หรือนายริศ” เขาพึมพำกับตัวเอง

ทุกอย่างเขาเป็นคนเลือก ถ้าจะถอยให้ทันก็สมควรถอยตั้งนานแล้ว ไม่ใช่รุกไปข้างหน้าอย่างนี้ เหตุผลที่เขายอมช่วยเหลือภัทรมนเพราะนั่นคือความสุขของพี่สาวเป็นประเด็นหลัก แต่ประเด็นรองคือ...คงจะดีไม่น้อยถ้ามธุรินยอมรับข้อตกลงนี้ อย่างน้อยเขาจะได้ใกล้ชิดเธออีก เขานี่ล่ะที่จะเสนอตัวเป็นคนดูแลเธอตลอดการอุ้มบุญให้พี่สาว ฟังดูแล้วอาจพิลึกพิลั่นไปสักหน่อยสำหรับวิธีการเข้าใกล้ผู้หญิงสักคน

แต่นี่คือวิธีเดียวที่เขาจะได้ดูแล ใกล้ชิด โดยไม่น่าเกลียด หรือเป็นที่ครหานินทา...เพราะเขาทำตามหน้าที่ (ของหัวใจ)

คิดดังนั้นเหมือนม่านหมอกจางๆ เรื่องคู่หมั้นจะถูกสายลมอ่อนๆ พัดหายไป รอยยิ้มกระจ่างผุดขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง เขาควานมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะแจ้งข่าวดีให้พี่สาวทราบ แต่ยังไม่ทันได้กดหมายเลข เสียงเรียกเข้าก็ดังแทรกมาเสียก่อน จึงกดรับโดยไม่ได้ก้มลงมองว่าใครโทร.เข้ามา

“ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย!”

ถึงไม่เห็นชื่อและน้ำเสียงติดร้อนรน ภัทริศก็จำได้ในทันทีว่าเป็นเสียงของคนที่เพิ่งลงจากรถเขาไป ไม่รอช้า เขาเหลือบมองกระจกทุกด้าน เมื่อเห็นว่าปลอดโปร่งก็เลี้ยวรถกลับทันที

พอมาถึงหน้าบ้านเห็นมธุรินยืนกระวนกระวายสอดส่ายสายตา มองซ้ายแลขวาอยู่ ร่างสูงก้าวลงจากรถแล้วพุ่งไปหาเธออย่างไม่รอช้า

“เกิดอะไรขึ้นครับ”

“ยายฉันค่ะ...ยายฉันลื่นล้มในห้องน้ำ ไม่ได้สติเลย” มธุรินละล่ำละลักบอก

พอเข้าไปในตัวบ้านและเห็นว่าเงียบเหมือนไร้คนอยู่ หญิงสาวจึงเดินตามหาคนเป็นยาย กระทั่งไปพบท่านนอนหมดสติอยู่ในห้องน้ำด้านบน จึงเข้าไปเขย่าปลุก แต่ไม่เป็นผล วิ่งออกมามองหาแท็กซี่หน้าบ้านก็ไร้วี่แวว เวลานั้นหัวใจร้อนรนจนนึกอะไรไม่ออก คนเดียวที่นึกทันคือคนที่เพิ่งมาส่ง จึงยกโทรศัพท์กดหาอย่างไม่ลังเล

“ท่านอยู่ไหนครับ ผมจะได้พาไปโรงพยาบาล” ภัทริศตั้งสติได้ เขารีบถาม และมธุรินเพียงพยักหน้า วิ่งนำเข้าตัวบ้านด้วยหัวใจกระวนกระวาย

นับว่าโชคดีที่วันนี้ภัทริศเปลี่ยนรถมาทำงาน การพาคุณเดือนเพ็ญซึ่งไร้สติไปโรงพยาบาลจึงสะดวกกว่ารถอีกคัน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดและบุรุษพยาบาลนำเตียงเข็นมารับร่างของคุณเดือนเพ็ญพุ่งตรงไปยังห้องฉุกเฉิน โดยพยาบาลกันญาติไว้ข้างนอก มธุรินก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่าการเดินไปเดินมา รอคอยด้วยหัวใจหวาดหวั่น

ร่างสูงซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ เฝ้ามองตามด้วยความเป็นห่วงทั้งคนในห้องฉุกเฉินและคนที่กำลังเดินผ่านหน้าเขาไปมาไม่ยอมหยุด

“นั่งก่อนเถอะคุณ เดินไปมาอย่างนี้จนเช้า ก็ต้องรออยู่ดี”

มธุรินเหมือนจะโต้ตอบอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็พ่นหายใจแรง ก้าวไปทิ้งตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ริมกำแพง ภัทริศก้าวไปทรุดนั่งข้างๆ เธอ

“ฉันไม่น่าชะล่าใจปล่อยให้ยายอยู่คนเดียวเลยค่ะ” แม้น้ำเสียงจะสั่นเครือ และดวงตาแดงช้ำ หากไร้ซึ่งหยดน้ำตาหลั่งรินอาบแก้มให้เห็นความอ่อนแอ

“อย่าโทษตัวเองสิครับ ถ้าคุณไม่ปล่อยให้ยายคุณอยู่คนเดียว แล้วคุณจะอยู่เป็นเพื่อนท่านโดยไม่ทำงานอย่างนั้นหรือ” พูดไปแล้วให้นึกอยากกัดปากตัวเอง นั่นมันไม่ใช่คำปลอบเลยสักนิด “ยายคุณคงไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ไม่มีเลือดออก ท่านคงแค่หมดสติไปชั่วครู่ เดี๋ยวก็ฟื้น” คำพูดนี้เข้าท่า เพียงแต่คำพูดใดๆ ตอนนี้คงช่วยอะไรไม่ได้ การรอใครสักคนที่หายเข้าห้องฉุกเฉินนั้นมันทรมานเกินกว่าจะเยียวยาด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ

ความเงียบจึงน่าจะเป็นคำปลอบโยนอันนุ่มนวลและน่าฟังที่สุด เสียงเข็มนาฬิกาเบาแสนเบากลับได้ยินชัดเมื่อตัดผ่านความเงียบ มันหมุนไปกี่รอบนั่นสุดรู้ คงนานเหลือเกินเมื่อมธุรินนับเป็นวินาทีรอประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกมา

และการรอคอยสิ้นสุดลงเมื่อประตูที่เรียกได้ว่าทั้งน่ากลัวและน่ามีความหวังเปิดออกพร้อมกับหมอที่ยกมือปลดผ้าปิดปากออก เดินออกมาจากห้องตรงมาที่ร่างโปร่ง

สองหนุ่มสาวลุกยืน มธุรินนั้นรีบเขย่าแขนหมอก่อนเขาจะได้อ้าปากบอก

“เป็นไงคะหมอ ยายฉันเป็นไงบ้างคะ ท่านปลอดภัยดีใช่ไหม”

“ใจเย็นๆ สิครับคุณ” ภัทริศเอื้อมสองมือจับไหล่บางไว้พลางบีบเบาๆ เธอจึงได้สติมานิดหน่อย จ้องหน้าหมอรอคำตอบ

สีหน้าลำบากใจของผู้มีหน้าที่รักษา กระตุ้นให้คนรอฟังเผลอกัดฟันแน่น

“ครับ ยายของคุณปลอดภัยดี...แต่อาการน่าเป็นห่วง คงต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลก่อน เพราะอาจมีเลือดคั่งในสมอง รวมถึงบริเวณเข่าก็เหมือนจะมีอาการกระดูกเคลื่อน ต้องตรวจให้รอบคอบอีกครั้ง โดยหมอจะคอยดูแลอย่างใกล้ชิดครับ”

เมื่อหมดหน้าที่กับญาติหมอกลับเข้าไปยังห้องฉุกเฉินอีกครั้ง มธุรินยืนอึ้งตัวแข็งราวถูกสาป นานทีเดียวกว่าไหล่จะค่อยๆ สั่นขึ้นทีละนิด และสั่นเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวโยนพร้อมเสียงสะอื้น ตราบเท่าที่ยังไม่ได้ออกจากห้องฉุกเฉิน หมายถึงเธอยังไม่มีโอกาสได้เยี่ยม และอาการย่อมหมายถึง...

ไม่...เธอไม่อยากคิดต่อ ปล่อยน้ำตาที่อดกลั้นไว้ตั้งนานรินไหล พรั่งพรู

ภัทริศไม่รู้จะหาคำไหนมาปลอบโยน เขาค่อยๆ หมุนไหล่ที่ยังสั่นเทามาหาตัว วินาทีนั้น ตำแหน่งหน้าที่ถูกละวาง ระดับความสัมพันธ์ถูกโยนทิ้ง สองแขนแข็งแรงโอบกอดหญิงสาวไว้ก่อนร่างของเธอจะทรุดลงกับพื้น

“หมอหมายความว่าไงคะ...เขาหมายความว่าไง” คนในอ้อมแขนถามตะกุกตะกัก

“หมายความว่ายายคุณปลอดภัยครับ ท่านไม่เป็นไร เพียงแต่รอดูอาการนิดหน่อยเท่านั้นเอง คุณอย่าห่วงเลย ผมว่าอีกวันสองวันท่านก็จะหายดี”

ถึงอย่างนั้นมธุรินก็ยังซุกหน้าแนบลงไปยังอกกว้างแน่นขึ้นกว่าเดิมอีก เธอโตพอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ทุกคำพูดของเขาคือคำปลอบใจ

นานทีเดียวกว่ามธุรินจะตั้งสติได้เกินครึ่ง ร่างโปร่งถอยห่างออกมาจากอกเจ้านาย ภัทริศปล่อยง่ายๆ หากยังนั่งอยู่ชิดใกล้

“คุณกลับก่อนก็ได้นะคะ...ดึกแล้ว” บังคับเสียงให้ปกติ แม้จมูก ปากและตายังแดงก่ำ สีหน้าแววตาหม่นหมองอย่างไร้ความหวัง

“อย่าห่วงผมเลย ห่วงตัวคุณดีกว่า ถ้าผมกลับคุณจะกลับบ้านยังไง”

“ฉัน...”

“อย่าคิดจะรออยู่ตรงนี้จนเช้า เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไร” เขาดักคออย่างรู้ทัน “กลับเถอะครับ ผมจะไปส่ง หากมีอะไรดีขึ้น ทางนี้ต้องติดต่อคุณไปแน่ แต่ถ้าคุณเป็นลมอยู่หน้าห้อง ยายคุณตื่นมาท่านคงเป็นลมไปอีกรอบ” ชายหนุ่มพูดให้ติดตลกเล็กน้อยเพื่อให้เธอคลายใจบ้าง ไม่หวังให้ดีเต็มร้อยหรอก

มธุรินเม้มริมฝีปากแน่น เงยหน้ามองไปยังห้องฉุกเฉินอีกครั้ง แล้วตัดใจพยักหน้ารับ ภัทริศจึงพยุงเธอให้ลุกยืนอย่างสุภาพ โดยไม่มีท่าทางเบี่ยงตัวหนีหรือเกี่ยงงอน


-------------------


ไม่เพียงขับรถมาส่งมธุรินที่บ้าน แต่ชายหนุ่มยังพาเธอซึ่งดูเหมือนสติยังกลับมาอยู่กับตัวไม่ครบ เข้ามานั่งตรงเก้าอี้ในห้องกลางบ้านอีกด้วย เขาลอบชำเลืองมองรอบบ้านทาวน์เฮาส์หลังเล็กๆ หลังนี้อย่างสำรวจ การตกแต่งแม้ข้าวของจะไม่หรูหรา ราคาแพงอะไรมากนัก แต่จัดวางได้สวยงามเป็นระเบียบ

พอพยุงเธอให้นั่งและตัวเองทรุดนั่งลงข้างๆ สายตาเอ็นดูและสงสารก็จับอยู่กับใบหน้าเธอไม่วางตา

“อย่าคิดมากสิครับ คุณต้องเข้มแข็งให้มากๆ เพื่อรอรับข่าวดีจากหมอพรุ่งนี้”

“ฉันมีแค่ยายคนเดียวค่ะ ฉันไม่มีใคร ฉันกลัว...”

ภัทริศไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเขาจะได้มานั่งในบ้านของเธอ เพราะรู้สึกได้ตลอดเวลาว่าผู้หญิงคนนี้ระมัดระวังตัว สร้างเกราะกำบังจนเกือบต่อต้านเขาเสียด้วยซ้ำ หากสิ่งที่นึกไม่ถึงยิ่งกว่าคือ การได้เห็นความอ่อนแอและได้ยินคำว่า ‘กลัว’ จากผู้หญิงที่เก่งกล้า

“อย่ากลัวครับ เชื่อผมสิ ไม่มีอะไรร้ายแรง” เขาเอื้อมแตะต้นแขนเธออย่างสุภาพ “คุณอยากดื่มอะไรร้อนๆ หรือเปล่า ผมจะได้ขออนุญาตใช้ครัวคุณ”

เสียงพ่นลมหายใจเบาๆ ดังมาก่อน แล้วเสียงพูดค่อยตามมาว่า

“อยากดื่มค่ะ แต่ฉันจัดการเองดีกว่า รบกวนคุณมากแล้ว คุณจะดื่มอะไรดีคะ” ใบหน้าเรียวพยายามฝืนยิ้ม และถามเขากลับอย่างมีมารยาทของเจ้าของบ้าน

“ผมขอกาแฟแล้วกันครับ” ภัทริศตอบง่ายๆ เธอจะได้คลายใจและหาอะไรเล็กน้อยทำเพื่อหยุดความคิดเรื่องหม่นๆ สักชั่วระยะ

“งั้นรอสักครู่นะคะ” พอได้รับการพยักหน้ารับจากอีกฝ่าย เธอจึงลุกและเดินหายเข้าครัวไป

ขณะนั่งรอภัทริศกวาดตามองรอบๆ เรื่อยเปื่อยมากกว่าจะสำรวจอะไร องค์ประกอบในบ้านก็คงไม่แตกต่างจากบ้านไหนๆ มีแจกัน ผ้าม่าน โต๊ะ ตู้ และกรอบรูปต่างๆ

เขาหยิบกรอบรูปอันใกล้มือสุดมาดู เป็นรูปของมธุรินกับคนเป็นยาย ทั้งคู่ยิ้มสดใส ดูแวบเดียวก็มองออกว่าความผูกพันนั้นแน่นแฟ้นยาวนาน อีกรูปที่เขาหยิบขึ้นมาดูเมื่อวางรูปเดิมกลับที่คือรูปของมธุรินกับกังสดาล เป็นรูปที่ทั้งสองคนชูสองนิ้วมาชนกันด้านหน้า ยิ้มกว้างๆ ช่างน่ามองไม่แพ้กัน

น่าแปลกไม่มีรูปพ่อกับแม่ของเธอ หรืออาจจะเก็บไว้ในห้องนอน เขาสันนิษฐาน และที่น่าสงสัยไม่ยักมีรูปเธอกับชายหนุ่มบ้างเลย อายุอาจจะยังไม่เยอะ หากก็ไม่น้อย แถมหน้าตาสะสวยจะไม่มีเลยเชียวหรือ คนรัก?

เป็นความสงสัยที่ภัทริศยินดี เพราะนั่นอาจหมายถึงเธอไม่มีทั้งแฟน ไม่มีทั้งคนรัก

“กาแฟของคุณค่ะ” ร่างสูงสะดุ้งนิดๆ เมื่อแก้วกาแฟถูกยื่นมาตรงหน้า เขารับมาถือไว้แล้วเหลือบมอง เห็นเธอไม่มีสีหน้าขุ่นใจอะไรกับการสำรวจ จึงหมุนตัวไปอีกด้าน เมื่อร่างโปร่งทรุดนั่งลง

ทั้งสองคนเงียบเพื่อดื่มเครื่องดื่มในแก้วของตัวเอง

“อีกเดี๋ยวผมคงต้องขอตัวกลับ ดึกแล้วมันจะดูไม่ดีต่อคุณ...คุณอยู่คนเดียวได้นะครับ” หลังจากดื่มกาแฟไปครึ่งแก้ว และคาดว่าคนนั่งข้างตั้งสติได้เกือบครบ ภัทริศจึงเอ่ยอย่างมีมารยาทและสัญชาตญาณของสุภาพบุรุษ

มธุรินพยักหน้า ยิ้มให้ยามหันมองเขา น่าแปลกขนาดไหน กับบริภัตคบกันมาเป็นปี เขาไม่เคยรู้จักบ้าน ไม่เคยมานั่งตรงนี้ ซ้ำร้ายเธอไม่เคย ‘อุ่นใจ’ ขนาดนี้เวลาอยู่ใกล้เขา ผิดกับผู้ชายที่ดูห่างไกลอย่างภัทริศ ทั้งระยะเวลา ฐานะ หน้าที่ ดูเหมือนเต็มไปด้วยความแตกต่าง เธอเว้นระยะห่างด้วยเกราะป้องกัน แต่ในยามเกิดเหตุวุ่นวาย กลับไม่รู้สึกคลางแคลงระแวงใจกับการมีเขามานั่งในบ้าน ไม่ตะขิดตะขวงใจกับสัมผัสเบาๆ แสนสุภาพ

“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเป็นธุระให้ ฉันเลยทำให้คุณลำบาก แถมกลับบ้านช้าอีกต่างหาก”

“ถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อน แล้วจะให้ใครช่วยล่ะครับ” เวลานี้ความสัมพันธ์อันดีที่สุดคงเป็น ‘ฐานะ’ นี้กระมัง

“ขอบคุณที่ให้เกียรติฉันค่ะ” อยากจะบอกว่าเธอต่างหากที่ให้เกียรติเขา แต่กลัวจะกลายเป็นถ่อมตัวกันไปถ่อมตัวกันมาแล้วยืดยาว จึงทำเพียงยักไหล่เสีย

“ส่วนเรื่องนั้น...” เขาทอดเสียงแล้วหยุดเมื่อเธอเบิกตาขึ้นอีกนิดราวกับตั้งใจฟัง “คุณค่อยคิดก็ได้ครับ รอให้ยายคุณออกจากโรงพยาบาลก่อน จะได้ปรึกษาท่าน ผมกับพี่มนไม่เร่งร้อนอะไร แต่ยังไงผมก็เชื่อว่าพี่มนคงยืนยันจะรอคุณ”

คราวนี้มธุรินฟังอย่างไม่กระวนกระวายใจหรือช็อกเหมือนเมื่อกลางวันอีกแล้ว เธอกำลังคิดย้อนไปยังคำพูดของเขาแทบทุกคำ จนเงียบไปให้อีกคนร้อนรนเล่นว่าพูดประเด็นนี้ผิดเวลาหรือเปล่า

“ฉันถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ” จู่ๆ เธอก็เอียงตัวมาหาเขา จ้องตาแล้วถาม

“ได้สิครับ” เขาเอื้อมวางแก้วกาแฟบนโต๊ะ แล้วให้ความสนใจกับสิ่งที่เธอจะถามเช่นกัน

“เรื่องที่คุณถามฉันวันนี้ บนรถตอนกลับมาจากร้านอาหารน่ะค่ะ เกี่ยวข้องกับเรื่องพี่สาวคุณหรือเปล่าคะ”

เอาแล้วไง...มธุรินเหมาะจะเป็นเลขามากกว่าการตลาดจริงๆ ช่างสังเกต จดจำ และรู้ใจ แล้วที่ถามนี่ด้วยอารมณ์ไหนกันแน่นะ ภัทริศเดาไม่ออกว่าเธอถามเพราะอยากรู้ หรือไม่พอใจ เขาควรตอบแบบไหนให้ไม่มีผลกระทบทางลบกับเรื่องการอุ้มบุญ

ชายหนุ่มประสานมือกันบีบเบาๆ ครุ่นคิดต่ออีกครู่ จึงตัดสินใจตอบ

“จริงๆ ผมไม่อยากพูดเรื่องนี้หรอกนะครับ และไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกับคนอย่างคุณเรื่องเงินคงทำให้คุณตกลงไม่ได้จริงไหมครับ” เธอไม่ตอบด้วยการพูดหรือพยักหน้า แต่สีหน้าบอกว่าใช่อย่างนั้น “ถ้ากรณีที่คุณตกลง สำหรับน้ำใจอันดีงามของคุณ เราคงตอบแทนคุณด้วยความรู้สึกเช่นกัน เพียงแต่คุณอาจต้องเสียเวลาในการทำงาน เสียในเรื่องของรูปร่าง หรืออะไรอีกมากมายที่ผมไม่รู้ แต่คาดว่าน่าจะมี ซึ่งส่วนต่างๆ เหล่านั้น คงต้องใช้เงินในการชดเชย และพี่มนยินดี ‘มอบ’ ให้คุณ จากใจของเธอไม่ใช่การ ‘ซื้อ’ แต่อย่างใดเลยครับ”

มธุรินเพียงนิ่งฟังและยังนิ่งถึงขณะนี้ ถ้าเขาพูดเรื่องนี้ตังแต่ทีแรก เธอเองคงปฏิเสธตั้งแต่ทีแรกเหมือนกัน ไม่ได้หยิ่ง หรือเห็นว่าเงินไม่มีค่า แต่การจะอุ้มบุญแทนใครสักคน เพียงเงินจำนวนหนึ่งไม่สามารถแลกได้เลยกับสิ่งที่ต้องเสียไปเยอะแยะมากมาย

“บางทีชีวิตคนเราก็ไม่มีทางเลือกมากนัก...ถ้าวันนี้คุณไม่ขับรถกลับมา ฉันอาจจะพายายไปโรงพยาบาลช้าจนสายเกินไปก็ได้” เธอเว้นจังหวะหายใจที่เหมือนจะติดขัด เพียงแค่นึกถึงเรื่องร้ายๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ “ฉันมัวแต่คิดว่าข้าวของเครื่องใช้ รถ บ้าน เงินในบัญชี ทุกๆ อย่างแค่มี ไม่ต้องมาก ไม่ต้องดี มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่เหตุการณ์วันนี้ทำให้ฉันรู้และเข้าใจอะไรมากขึ้น” หยุดกลืนก้อนขมๆ บางอย่างลงคอ “คงอย่างนี้มั้งคะ ที่ใครๆ ก็อยากร่ำรวย อยากมีของใช้ดีๆ มีชีวิตเพียบพร้อม...เพราะ ‘ชีวิต’ ล้อเล่นไม่ได้ บางครั้งอะไรมันก็ปัจจุบันทันด่วนชนิด ‘ความจน’ ไม่อาจช่วยเหลือ! ศักดิ์ศรีก็ไร้ประโยชน์ยามเมื่อถึงวินาทีฉุกเฉิน”

สีหน้าเธอทั้งขมขื่นและฝืนยิ้มเยาะตัวเอง ภัทริศไม่มีคำปลอบใจ เพราะนี่คือสัจธรรมอีกข้อของมนุษย์

“ไม่ต้องใจร้อนครับ...คุณยังมีเวลาคิดและทบทวนอีกเยอะ”

“ขอบคุณค่ะ” บอกแล้วกะพริบตาไล่หยดน้ำที่เอ่อคลอ “ฉันจะไปส่งคุณที่รถ”

ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วลุกยืน รอให้เธอเดินนำ จึงก้าวตาม พอมาถึงรถต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันเงียบๆ ด้วยไม่รู้จะยกเรื่องใดมาต่อดี

ประตูรถถูกเปิดออก ร่างสูงก้าวไปยืนตรงช่องประตู แล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย

“ฉันคิดได้เรื่องหนึ่งแล้วล่ะค่ะ” มธุรินชิงพูดเสียเอง “ฉันควรซื้อรถใหม่สักคัน ไว้ขับไปรับยายกลับจากโรงพยาบาล และฉันคงต้องหาเงินเพิ่ม...” ริมฝีปากถูกเม้มแน่น ก่อนคลายออกเพื่อขยับพูด “...โดยไม่ต้องรอปรึกษายาย แต่อาจต้อง...ไปปรึกษาหมอกับพี่สาวคุณก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที”

เท่านั้นประตูรถก็ถูกปิดลง โดยเจ้าของเดินกลับมาหาร่างโปร่งพร้อมรอยยิ้มกว้างแสนกว้าง ขายาวก้าวมาเร็วจนแทบชิดมธุรินแล้วดึงเธอมากอด แต่ก่อนจะได้ทำอย่างนั้น จิตสำนึกก็วิ่งฉิวมาเรียกสติ เขาจึงถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว รักษาระยะห่างเอาไว้

สองมือกำแล้วคลายๆ หลายต่อหลายรอบ ไม่รู้จะระบายความดีใจนั้นกับอะไรดี ในเมื่อคนที่ทำให้เขาดีใจ กลับกลายเป็นคนต้องห้ามเสียนี่

“ขอบคุณ...หวาน ขอบคุณคุณมาก” เขาบอกไม่ปิดบังน้ำเสียงตื่นเต้น

“ยัง...ยังไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกค่ะ ฉันตกลงแค่ไปคุยกับหมอ ยังไม่ตกลงมากกว่านั้น”

เพราะเขาเผลอเรียกชื่อเธอออกมาอีก ทำให้มธุรินรู้สึกร้อนใบหน้าวูบวาบ หญิงสาวไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น อาการประหลาด เหมือนความสนิทสนมมันพุ่งมาทีเดียวสามศอกเพียงแค่เขาเรียกชื่อ

“แค่นั้นก็ดีแล้ว...ดีมากแล้วครับ” เขายังคงดีใจโดยไม่สังเกตความผิดแผกของอีกฝ่าย

“กลับเถอะค่ะ ดึกมากแล้ว” เธอเตือน

ภัทริศพยักหน้ารับซ้ำๆ สายตาเต็มเปี่ยมด้วยความดีใจ ขอบคุณ และความหวัง

“ผมไปก่อนนะครับ...หลับฝันดี เพราะคืนนี้ผมคงฝันดีเช่นกัน”

คำอวยพรของเขาเหมือนการซ้ำความรู้สึกประหลาดในหัวใจให้กดทับลงไปอีก มธุรินไม่ตอบ เพียงแค่มองเขาเดินเข้าไปนั่งในรถด้วยท่าทางอารมณ์ดี เธอถอยเข้าบ้านปิดประตูรั้วแล้วนั่นแหละ รถหรูคันนั้นจึงเคลื่อนออกไป


-----------------------------


ถ้าไม่ติดว่าเป็นเวลาล่วงเข้าช่วงดึกไปแล้วภัทริศจะขับรถไปหาภัทรมนเสียเดี๋ยวนี้เลย ไปบอกข่าวดีให้สมกับที่พี่สาวเขาหวังไว้ แม้จะเป็นข่าวดีแค่ครึ่งเดียวก็ตาม แต่ถ้าเทียบกับเวลาการตัดสินใจที่เขาเพิ่งบอกมธุรินไปวันนี้ก็นับว่าเร็วมาก นั่นหมายถึงว่าการตัดสินใจขั้นต่อไปก็อาจมีผลง่ายตามมาด้วย

ถนนบริเวณสี่แยกที่ชายหนุ่มกำลังจอดรถติดไฟแดงค่อนข้างโล่งว่าง ร่างสูงยังนั่งยิ้มไม่ยอมหยุด แขนข้างขวายกศอกวางบนกรอบหน้าต่างปลายมือลูบปากลูบคางไปมาคล้ายจะระงับรอยยิ้มให้หุบลงบ้าง ก็ไม่เป็นผล

ดีใจหนักเข้า จนทนไม่ไหวมืออีกข้างจึงควานหาโทรศัพท์ขึ้นมาเสี่ยงกดหาพี่สาวเผื่อเธอจะยังไม่หลับ เสียงเรียกเพียงไม่นานฝ่ายนั้นก็กดรับ

“พี่มนหลับหรือยังครับ”

“ยังจ้ะ พี่รอคุณภัตอยู่” น้ำเสียงไม่ห่อเหี่ยว แต่ภัทริศรู้ว่าพี่สาวต้องกำลังหม่นหมองอยู่แน่ๆ คำตอบนั้นสกัดความดีใจของชายหนุ่มลงไปเกือบครึ่ง เขาเหลือบมองนาฬิกาในรถ มันบอกเวลาเกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว

“ช่วงนี้พี่ภัตกลับบ้านดึก หรือไม่กลับบ่อยหรือครับพี่มน...เอาความจริงนะครับ” น้ำเสียงไม่คาดคั้น แต่ห่วงใยและเพียงต้องการความจริงอย่างที่บอก

อีกฝ่ายเงียบไปอึดใจ

“จ้ะ...บ่อยกว่าก่อนไปเมืองนอก” เสียงสั่นเครือที่ส่งมาตามสัญญาณทำให้ภัทริศเป็นห่วงพี่สาวจับใจ เขาสูดลมหายใจลงปอดแทนการพ่นมันออกมา

“แล้วคืนนี้เขาจะกลับมาหรือครับ”

“จ้ะ...เขาบอกจะกลับมาแต่อาจช้าหน่อย พี่เลยรอ”

ระหว่างคนสองคน ในความเป็นครอบครัว...เรื่องของความรัก ยากเหลือเกินที่ ‘คนนอก’ จะแนะนำอะไรได้ ความจริงภัทริศมีความคิดอยู่สองอย่าง หนึ่งคือบอกให้พี่สาวเลิกและถอยห่างจากบริภัต ผู้ชายซึ่งทำผิดต่อเธอโดยไม่คิดเปลี่ยนพฤติกรรม สองอยู่ต่อไปแล้วหาทางประสานทุกอย่างให้เหมือนเดิม เพื่อจะได้ไม่ต้องทนทุกข์

ยากทั้งสองทาง...หัวใจบังคับไม่ได้

“ถ้าพี่มนมั่นใจว่าการมีลูกจะทำให้ทุกอย่างระหว่างพี่มนกับพี่ภัตดีขึ้น...ผมมีข่าวดีจะบอกพี่มนครับ” เมื่อมั่นใจว่าอย่างไรเสียภัทรมนก็คงไม่เลิกราจากบริภัตแล้วเป็นแน่ ภัทริศเองก็ควรเลือกการตัดสินใจของพี่สาว สนับสนุนและเคียงข้างเธอ หรือคอยช่วยเหลือโอบประคองยามผิดหวังเสียใจก็แล้วกัน

“อะไรหรือจ๊ะ” พี่สาวแปลกใจที่วันนี้น้องชายมาแบบตรงๆ ไม่หยอกล้อ ไม่อมพะนำให้ต้องคาดคั้นเหมือนทุกที

“เลขาจอมกวนของผมยอมตกลงจะไปปรึกษาหมอกับเราแล้วครับ...เมื่อกี้นี้เอง”

“จริงหรือริศ จริงไหมเนี่ย โอ๊ย พี่ดีใจจัง พี่ดีใจมากเลยริศ!”

“ใจเย็นๆ ครับเดี๋ยวหายใจไม่ทัน” เขาเตือนทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังนั่งยิ้มกว้าง “เป็นความจริงครับ ผมได้ยินจากปากเธอด้วยตัวเองเลย รับรองข่าวนี้ไม่มีพลาดแน่ๆ”

“ดีมากเลยริศ ขอบใจริศมากที่ช่วยเป็นธุระให้พี่ และพี่ก็อยากขอบคุณน้องหวานด้วยตัวเองด้วย งั้นพรุ่งนี้พี่นัดหมอเลยดีกว่านะจ๊ะ แล้วจะได้นัดน้องหวานมาด้วยเลย คืนนี้พี่จะบอกคุณภัต จะได้ไปทีเดียวพร้อมกันเลย” น้ำเสียงพี่สาวเปลี่ยนไปจากเดิมโดยไม่ทิ้งร่องรอยเศร้าหมองไว้เลย

คนเป็นน้องฟังพี่สาววางแผนต่างๆ แล้วหัวเราะดังก้องรถ

“เร็วขนาดนั้นเลยหรือครับ” เขาถามกลั้วหัวเราะ “แต่ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมถามเธอให้ ถ้าเธอตกลงเราจะได้ไปคุยกับหมอพรุ่งนี้เลย”

“จ้ะ ขอบใจมาก” ภัทรมนตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนนึกเอะใจบางอย่าง “เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ริศบอกว่า ‘เรา’ และก็บอกว่าน้องหวานเพิ่งตอบรับ ‘เมื่อกี้’ จากปากเธอด้วยตัวเอง มันมีอะไรแปลกๆ นะพี่ว่า”

คราวนี้ภัทริศหัวเราะดังกว่าเดิมกับการตั้งข้อสังเกตของพี่สาว

“ก็ถูกต้องทุกอย่างแล้วนี่ครับ เรา...หมายถึงผมด้วย และผมกำลังขับรถกลับจากบ้านคุณหวาน”

“หา! ป่านนี้เนี่ยนะ เพิ่งกลับจากบ้านน้องหวาน ไหนริศบอกว่าจะแค่อยู่ใกล้ เห็นหน้า แค่นั้นไง?” ภัทรมนตกใจจริงๆ ไม่ได้แสร้งทำ เสียงสูงปรี๊ดของเธอทำเอาภัทริศสำลักน้ำลายตัวเองจนต้องรีบแก้ข้อข้องใจ

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับพี่มน อย่าเพิ่งเข้าใจผิด โห นี่มองผมเป็นผู้ชายมือไวใจเร็วเลยหรือครับเนี่ย คุณหวานเธอเกิดปัญหานิดหน่อย พี่มนใจเย็นๆ แล้วฟังผมเล่าแล้วกันครับ”

“ก็พี่ตกใจนี่จ๊ะ เอ้า เล่ามา”

ช่วงแรกๆ ภัทริศตั้งใจเล่าด้วยกลัวจะไม่พ้นข้อกล่าวหา แต่พอหลังๆ กลับเล่าไปยิ้มไป น้ำเสียงเริ่มอ่อนนุ่มลงเรื่อยๆ จนคนอีกปลายสัญญาณจับกระแสผิดปกติได้ พร้อมๆ กับเข้าใจเรื่องทั้งหมด

“ผมน่ะไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกนะครับ มันไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษ”

“ไม่ทำแต่ใจคิดใช่ไหมล่ะ ถึงได้พูดว่า ‘เรา’ ที่รวมตัวเองเข้าไปด้วย” ภัทรมนดักคอ

ภัทริศเลี้ยวรถเข้าจอดในโรงรถของบ้าน จัดการล็อกเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินเข้าบ้านด้วยเสียงหัวเราะ

“เบื่อจริงคนรู้ทันเนี่ย…ผมก็แค่อยากมีส่วนร่วมในการช่วยพี่มนเท่านั้นเอง หรือพี่มนไม่ต้องการครับ ผมจะได้ยกเลิกเรื่องนี้กับเลขาของผมเสียตอนนี้เลย” น้ำเสียงเขารื่นรมย์เกินกว่าจะคิดว่าเขาจะทำจริงดังพูด

“ไม่ต้องมาสร้างภาพ ไหนขอความจริงซิว่าริศกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ เมื่อวานยังทำหน้าเหมือนลำบากใจอยู่เลย วันนี้ทำไมใจร้อนไปพูดกับน้องหวานเสียแล้ว อ้อ อย่าปฏิเสธนะว่าไม่มีอะไร พี่อยู่กับริศมาตั้งแต่เด็ก อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้วจ้ะ”

ไม่เกินจริงเลยที่ภัทรมนบอกว่ารู้จักเขา...แถมรู้ใจให้ด้วยเลยอีกข้อ เมื่อคืนหลังจากหาข้อมูลเกี่ยวกับการอุ้มบุญเพิ่มเติมและได้รู้ข้อมูลว่าคนที่เป็นแม่อุ้มบุญนั้นต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ ทั้งในช่วงแรกๆ ที่ต้องตรวจสุขภาพ เช็กร่างกาย เตรียมความพร้อมทุกด้าน จากนั้นขณะตั้งครรภ์ก็ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี โดยเฉพาะงานนี้ถ้ามธุรินเป็นคนอุ้มบุญ เธอไม่มีความสะดวก ไม่มีคนดูแลอย่างใกล้ชิด...นั่นละ ประเด็นสำคัญ

“การตั้งท้องใช้เวลาเก้าเดือนใช่ไหมครับพี่มน” เป็นการทวนมากกว่าถาม ฝ่ายนั้นอือออกลับมา “และคนตั้งท้องก็สมควรได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ยิ่งคนที่ตั้งท้องให้กับลูกของพี่หลานของผมด้วยแล้ว เธอน่าจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษใช่ไหมครับ” ภัทรมนอืออออีกครั้ง ยังไม่เข้าใจ “และถ้าคุณหวานยอมตกลงจริงๆ พี่มนก็สุขภาพไม่แข็งแรง พี่ภัตเองก็คงไม่มีเวลา ผมเลย...อยากขอดูแลคุณหวานเองในระยะเวลาเก้าเดือนนั้น”

“ริศ…” พี่สาวครางออกมาเสียงแผ่ว เธอเข้าใจความหมายทั้งหมดในทันที

นี่มันเกิดอะไรขึ้น...ภัทริศทุ่มเทขนาดนี้เลยเชียวหรือ น้องชายเธอไม่ใช่แค่หลงรักมธุริน แต่เขากำลังแสดงให้รู้ว่ามันคือหัวใจรักอันแท้จริง โธ่...น้องพี่ หญิงสาวรำพึงในใจ

“การดูแลคนท้องมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะจ๊ะริศ อีกอย่างริศต้องทำงานจะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลน้องหวาน สำคัญที่สุด...น้องแยมไม่มีวันยอมให้ริศทำอย่างนั้นแน่ คุณแม่ก็ด้วย”

ชายหนุ่มไม่ได้ลืมคิดเรื่องนี้ แต่โชคชะตาขีดให้เขามาทางนี้ จะเปลี่ยนก็คงไม่ได้...ใจมันไม่ยอม

“เพราะอย่างนี้ไงครับผมถึงอยากให้คุณหวานเธอรับเป็นคุณแม่อุ้มบุญให้พี่มน เพราะผมไม่มีสิทธิ์ และไม่มีหวังที่จะได้ดูแล หรืออยู่ใกล้เธอไปมากกว่านี้ ถ้าเธอเป็นเพียงเลขาสาวธรรมดาของผมคนหนึ่ง แต่หากเธอตกลงกับพี่มน ในฐานะที่เธอเสียสละเพื่อคนในครอบครัวเรา มันคงไม่น่าเกลียด และสมเหตุสมผลถ้าผมจะเป็นคนดูแลเธอ...อาจฟังเห็นแก่ตัวอย่างที่สุดนะครับ แต่เราไม่ได้บังคับใจเธอ ผมจะรอให้เธอเต็มใจและพอใจกับการตอบรับครั้งนี้”

ภัทรมนยกมือขึ้นปิดปากที่กำลังสั่นระริก เธอกับน้องชายถูกเลี้ยงมาแบบตามใจ และสมบูรณ์พร้อม อยากได้อะไรก็เคยได้ทุกสิ่ง ไม่นึกเลยว่ากับเรื่องสำคัญเท่าหัวใจ ทั้งเธอและภัทริศกลับต้องเจอปัญหาหนักอึ้ง

ตัวเธอบอบช้ำกับการที่สามีไปรักคนอื่น...น้องชายทนทุกข์กับการพบคนที่รักในวันที่สายไป

“ริศช่วยพี่เสมอ คราวนี้...พี่จะช่วยริศอย่างไรดี” เสียงหญิงสาวสั่นสะท้าน ภัทริศยิ้มกับโทรศัพท์ เขาซาบซึ้งน้ำใจพี่สาว และกำลังมีความหวังโชติช่วง

แม้นี่อาจเหมือนการเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด...เอาอนาคตของผู้หญิงคนหนึ่งเข้าแลก แต่ใครจะไปรู้ สุดสายปลายทาง มันอาจเป็นอนาคตที่แลกกับทุ่งดอกไม้แสนสวยและหอมกรุ่นก็เป็นได้

“ช่วยภาวนาให้คุณหวานยอมรับอุ้มบุญให้พี่มนก็พอครับ”

คำตอบของน้องชายทำให้ภัทรมนหัวเราะเบาๆ หัวเราะทั้งน้ำตา...

“จ้ะ พี่จะภาวนาสุดหัวใจเลย”




โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมนะคะ ^^



ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ส.ค. 2554, 09:23:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ส.ค. 2554, 09:23:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 4008





<< บทที่ 7   บทที่ 9 (ลบค่ะ) >>
จิรารัตน์ 29 ส.ค. 2554, 09:53:08 น.
มาอ่านเป็นคนแรกเลยอ่ะปลากัด


ปลากัด 29 ส.ค. 2554, 10:15:06 น.
สวัสดีตอนเช้าค่ะคุณจิรารัตน์ แก้มแดงมาเชียวนะคะ 5555+


จิรารัตน์ 29 ส.ค. 2554, 11:13:25 น.
ค่า สวัสดีตอนเช้าเกือบเที่ยงค่ะปลากัด


แว่นใส 29 ส.ค. 2554, 12:37:04 น.
อีตาภัตคงชอบใจไปหล่ะสิ


ปูสีน้ำเงิน 29 ส.ค. 2554, 13:03:12 น.
น่าเห็นใจพระเอก


แพม 29 ส.ค. 2554, 15:27:47 น.
เหอะ น่าเห็นใจนางเอกมากกว่า หมั้นได้ก็ถอนหมั้นได้ แต่งได้ยังหย่าได้เลย นี่ถ้าบริพัตกับแยมรู้น่าจะมันส์ อ่วมแน่นางเอก


anOO 29 ส.ค. 2554, 16:00:46 น.
ดูท่าทางยัยหวานคงจะรับอุ้มบุญ
ก่อนจะได้รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็กแน่เลย


ann 29 ส.ค. 2554, 18:38:29 น.
พระเอกเรื่องนี้น่ารักนะเนี่ย


แล่นแต๊ 30 ส.ค. 2554, 19:18:23 น.
น่าสงสารคุณริศจังเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account