ห้วงเสน่หา ปรารถนาแห่งหัวใจ
ความรักได้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าและความปรารถนาของหัวใจย่อมมาก่อน เสน่หา
และนั่นอาจจะเป้นการพลาดเมื่อเขา และเธอรู้จักรักที่แท้จริง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตามทันทั้งกรรมและบุญ


สาลี่นั่งรอป่านแก้วอยู่ที่ร้านอาหารตามที่นัดพบกัน สาลี่ชวนไผ่หลิวมาเป็นเพื่อน คราแรกไผ่หลิวไม่ยอมเพราะไม่ชอบหน้าพี่เขย พี่สาวลงทุนไหว้วอนอยู่นานให้เหตุผลที่น้องสาวยอมใจอ่อน
“เจ๊ไม่เห็นใครแล้วนะหลิว ต้องพึ่งลุงของพี่ป้อ แต่เจ๊ไม่ค่อยกล้า ขอร้องนะหลิว ไปเป็นเพื่อนเจ๊ที”
“เจ๊หมดกับครอบครัวนี้ไม่เหลือแล้วนะทำไมเจ๊โง่อย่างนี้”
สาลี่ก้มหน้าเช็ดน้ำตาป้อยๆ ไผ่หลิวเบือนหน้าหนี
“เจ๊ท้องสามเดือนแล้วนะหลิวไม่สงสารหลานหรือ”
“เจ๊” เธอบีบแขนพี่สาวปลอบใจ คิดเดี๋ยวนั้นหากลูกสาวนายพลไม่ช่วยก็จะช่วยเองสองพี่น้องนั่งรออย่างกระวนกระวายใจผู้ที่นัดให้มาพบกันก็ไม่เคยเห็นหน้ากันเสียด้วย
ป่านแก้วพาร่างบาง เดินมาพร้อมกับทนายความวัยกลางคน เปิดประตูร้านเข้าไป ป่านแก้วมองหาผู้นัดให้พบบิดาบอกรูปพรรณมาว่า ผมบ๊อบสั้นเสื้อสีกรมท่า ไผ่หลิวหันมาเห็นป่านแก้ว จึงสะกิดพี่สาว
“ใช่มั้ยนั่น”
สาลี่ตาแดงช่ำเพราะร้องไห้ เงยหน้าขึ้นมองไปตามที่น้องสาวชี้ให้ดู ป่านแก้วเหลือบมองส่งยิ้มนำมาก่อน สองพี่น้องใจชื้นด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรนั้น ดูสวยสว่างจริงใจ
สองสาวยกมือไหว้ป่านแก้ว เพราะอาวุโสกว่า และดูอีกฝ่ายใจดีไม่น้อย ป่านแก้วแนะนำตัวเอง
“ฉันป่านแก้วค่ะคนที่นัดคุณ ฉันเป็นญาติผู้พี่ของป้อ แต่ปีเดียวกัน ไปหรือยังค่ะ”
ไผ่หลิวเห็นรถป่านแก้วก็จำได้ว่าตนเคยชนประตูครั้งหนึ่ง จึงเอ่ยกับป่านแก้ว
“หลิวว่าเหมือนเคยเห็นคุณที่แท้แล้วหลิวชนประตูรถคุณ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเรียกค่าเสียหายแล้วสิ” ป่านแก้วเอ่ยกลั้วหัวเราะสองสาวดูชอบป่านแก้วมาก
“เฮียมอญดุใหญ่เพราะหลิวชนกับเขาแทบจะรายเดือน”
“คุณคงขับรถเก่งน่าดูล่ะสิ”
“ใบประกาศก็คือค่าปรับ ค่าซ่อมไงคะ”
ป่านแก้วเปิดประตูรถชวนสองสาวให้ขึ้นรถไปด้วยกัน สาลี่เอ่ยกับไผ่หลิว
“ดีเหมือนกันนะเอารถหลิว จอดไว้ที่นี่ก่อน”
“เกรงใจคุณป่านเอาเป็นว่าหลิวขับตามไปดีกว่า เจ๊ ไปกับคุณป่านก็แล้วกัน”
สาลี่เดินคู่ไปกับไผ่หลิวนำป่านแก้วและทนายร่างภูมิฐานไปติดต่อขอประกันตัว สักพักใหญ่เจ้าหน้าที่ไปเบิกตัวปรนัยออกมา สาลี่โผกอดร่างสันทัดของสามีเขากอดภรรยาแนบแน่น
“ขอบใจมากสาลี่ไม่ทิ้งพี่”
“คุณป่านแก้วช่วยค่ะ”ชื่อของผู้มาช่วยเหลือสะท้านใจปรนัยรุนแรง เมื่อมาพบกันที่ห้องของผู้กำกับจึงเผชิญหน้ากันทนายความแนะนำ
“ท่านนายพลสั่งให้มาประกันตัวคุณครับ”
“หวัดดีป้อ” ป่านแก้วทักทายญาติผู้น้อง ส่วนปรนัยรู้สึกอึ้ง กายเย็นวาบราวกับว่าถูกน้ำเย็นราดรดในยามที่เขาร้อนสุดขีด
เขายกมือไหว้ขอบคุณทนายและหันมาไหว้ป่านแก้วญาติผู้พี่ ป่านแก้วรับไหว้อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มแจ่มใส และเต็มไปด้วยความจริงใจ
“ขอบคุณมากครับที่ช่วยป้อ” ใบหน้าของเขายามนี้แยกไม่ได้ว่าดีใจหรือเสียใจเพราะรอยยิ้มปนไปกับน้ำตา
“พ่อบอกว่าช่วยเถอะเป็นพี่น้องกัน ป้อไม่ต้องคิดมากเรื่องคดีความ ให้คุณวิชัยจัดการ เขาเป็นทนายของพ่อ แล้วนี่นามบัตรของป่านมีอะไรก็โทรไปหานะป้อไม่ทิ้งหรอกจะช่วยให้ถึงที่สุด”
ปรนัยรับมาถือด้วยมืออันสั่นเทาปากสั่นระริกเช่นเดียวกับน้ำตาเอ่อท้น ป่านแก้วตบแขนอีกฝ่ายปลอบใจอีกฝ่ายเฉกเช่นผู้ชายกระทำต่อเพื่อน ไม่เอ่ยถ้อยคำใดแต่แสดงความจริงใจให้ปรากฏ
“ป่าน” เขาเรียกเสียงสั่น “ไม่โกรธบ้านเราเหรอที่ทำกับย่า”
“เรื่องของผู้ใหญ่เราเป็นเด็กอย่าไปใส่ใจเลย”
ไผ่หลิวเหยียดปากหยันพี่เขยเมื่อนึกถึงครอบครัวของเขา ฟังคร่าวๆเข้าใจว่าสองบ้านโกรธกัน แล้วป่านแก้วยังมีน้ำใจมาช่วยเหลือ ไผ่หลิวรู้สึกถูกชะตากับป่านแก้วยิ่งนัก เสร็จธุระป่านแก้วกลับทนายความไผ่หลิวขับรถพาพี่สาวพี่เขยไปส่งบ้านปรนัยนั่งเงียบ ไผ่หลิวอ่ยกระทบกระแทก
“พ่อแม่พี่เขาติดธุระเหรอถึงไม่มาดูพี่”
เหมือนตอกย้ำรอยบาดแผลในใจเขาให้เปิดกว้างขึ้น ปรนัยพิงร่างชิดกับประตูรถเบือนหน้าออกมองข้างทางด้วยความละอายเหลือเกินแล้ว
ไผ่หลิวขยับจะพูดแต่พี่สาวซึ่งนั่งคู่มาด้วยแตะขาน้องสาวเบาๆเป็นเชิงขอร้อง ไผ่หลิวมองค้อนแต่ยอมปิดปากไม่เอ่ยให้สะเทือนใจอีก
ถึงบ้านปรนัยขอตัวไปพักผ่อนตามลำพัง สาลี่สั่งคนรับใช้เรื่องงานในบ้านจากนั้นจึงตามขึ้นไป ห้องนอนมิได้ล็อกจึงดึงลูกบิดเข้าไปได้ สามียังนั่งถือนามบัตรของญาติผู้พี่ด้วยน้ำตาเอ่อคลอ เธอจับแขนเขาบีบปลอบโยนแม้ไม่ทราบมาก่อนว่าความเป็นมาของสองครอบครัวมีอะไรเกิดขึ้น แต่พอจะเดาได้ถึงความตื้นตันใจของปรนัย เธอเอ่ยแผ่วเบาอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่าสิ่งที่พูดออกไปจะทำให้สามีเป็นเช่นไร
“คุณป่านรับปากเป็นมั่นเหมาะเธอคงไม่ทิ้งพี่หรอกค่ะ”
“พี่ละอายใจ” น้ำเสียงของเขาปนสะอื้นน้ำตาที่สู้อดกลั้นเอ่อท้นลงมาไม่ขาดสาย
“พ่อแม่ของพี่ตัดขาดญาติมิตรไม่ไปแม้แต่งานศพของย่าทั้งๆที่สมบัติทุกวันนี้เป็นของย่า คุณพ่อคุณแม่พูดกรอกหูว่าย่าไม่เคยให้อะไรเขาเลย พี่นึกทบทวนอยู่ทุกวันทำไมพ่อกับแม่จึงเป็นคนอย่างนี้ เงินทองมันสำคัญมากกว่าลูก แล้วเขาหาเงินมาเพื่ออะไรกันพี่ไม่เข้าใจเลยสักนิด”
สาลี่กอดสามีอย่างปลอบใจ ในยามทุกข์ยาก เธอจะอยู่เคียงข้างเขา ไม่ทอดทิ้งไปไหน เธออยากให้เขารู้ เมียคนนี้คือญาติคนหนึ่งของเขาเช่นกัน!!

ประณตวางหนังสือพิมพ์ลงเพราะอ่านอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องในสมองมีแต่เรื่องของประโยชน์ในที่สุดก็บ่นพรำ
“กำลังได้รับ สัมปทานไม้แล้วปรนัยมาขนของหนีภาษีอย่างนี้เสียชื่อหมดพ่อแม่พลอยบรรลัยไปด้วย”
“ท่านโทรมาเมื่อเช้าขอยกเลิกเรื่องหุ้นสัมปทานบอกว่าทางเรากลิ่นไม่ดี”
“จะได้ยังไง เงินลงทุนไปไม่ใช่น้อยอย่างนี้ต้องคืนเงินเราซิไม่ได้ล่ะต้องไปคุยกันให้รู้เรื่อง”
สองสามีภรรยาออกไปหาท่านซึ่งเป็นคนมีสีและมีอิทธิพลรอยกายของท่านเป็นชายฉกรรจ์ผมตัดสั้นทุกคน ดูก็รู้ว่ามือปืนในเครื่องแบบทั้งนั้น
“เงินทองอะไรกันคุณประณต”
“ก็เงินที่ท่านเรียกมาก่อนจะทำสัญญา”
“ผมทำเป็นใบเบิกทางหมดแล้ว”
“เช่นนั้นท่านจะเลิกสัญญากับผมดื้อๆไม่ได้”ท่านท่าทางอารมณ์เย็นแต่แววตาแข็งกร้าวจ้องสองผัวเมียจนพวกเขารู้สึกหนาวๆร้อนๆ แล้วยังมือปืนคนหนึ่งเข้ามากระซิบอย่างพร้อมเอามือแตะปืนที่พกอยู่ที่เอวที่ยิ่งทำให้ขวัญกระเจิง
“ทางคุณมีกลิ่นไม่ดีจะให้ผมเข้ามาร่วมด้วยได้ไงใครได้ยินก็ต้องคิดว่าผมต้องค้าไม้เถื่อนด้วยล่ะซิ”
“แต่ผมไม่ได้ค้า” ประณตพยายามต่อรองถ้างานนี้ถูกหักหลังเขาก็แทบจะหมดตัว
“ลูกกับพ่อจะหนีกันไม่พ้น”
“ท่านคิดโกงผมชัดๆ” เขาตบโต๊ะบันดาลโทสะ
ชายฉกรรจ์ชะงักเข้ามาประชิดตัวคนทั้งคู่ สุดฤทัยกลัวจนปากคอสั่น ประณตขบกรามแน่น ท่านพูดยิ้มๆ
“คิดจะมีเรื่องกับผมก็ได้นะคุณประณต”
“คุณประณต กลับเถอะค่ะฉันกลัว” สุขฤทัยยกมือไหว้ก่อนรีบลุกอย่างเกรงกลัวไม่สนใจว่าสามีจะตามมาหรือไม่ ขอตัวเองรอดเป็นใช้ได้ ประณตผุดลุกจากเก้าอี้
“ผมยอมท่านเพราะผมมีลูกไม่ดี ผมขอโทษที่ทำให้ท่านอารมณ์เสีย”
“ขอบใจที่พูดกันรู้เรื่อง”
ประณตออกมาจากห้องโถง แค้นแทบกระอักเลือด เมื่อมาถึงรถสุขฤทัยเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญถึงเงินที่สูญเสียไปเป็นจำนวนมาก
“บอกแล้วว่าอย่าเสี่ยงทำ คุณคิดแต่ทางได้เงินอย่างเดียวไม่คิดว่าเขาจะมาไม้นี้”
“เพราะป้อ” ประณตโทษปรนัย
“ถึงไม่มีเรื่องป้อ มันก็คิดหักหลังอยู่แล้ว พี่นั่นแหละไม่น่ามายุ่งกับคนแบบนี้ เสียเงินแทบหมดตัว”
“เงียบเสียที เป็นเงินของกูเรื่องของกู มึงเงียบได้แล้วอีสุขฤทัย” ประณตตวาดใส่หน้าเมียอย่างสุดกลั้น
เขาบันดาลโทสะเมื่อเสียอะไรไม่เท่าเสียรู้คน โดยเฉพาะไม่มีทางจะโต้ตอบทางนั้นเลย เขาเป็นแค่อดีตข้าราชการซีเจ็ดออกมากินบำเหน็จ เส้นสายภายในก็ไม่มี หรือมีก็คงสู้อิทธิพลคนมีสีไม่ได้
ลูกชายหญิงวัยรุ่นสองคนทำท่าจะเข้าหาบิดามารดา หากว่ามารดาเดินกึ่งวิ่งพรวดๆขึ้นบนบ้านไป บิดาก็หน้าเครียดจนดูเขียวคล้ำไป เด็กทั้งสองจึงปิดปากที่จะบอกว่าพี่ชายได้ประกันตัวออกมาแล้ว
ที่บ้านอมร
อมรชะโงกดูแผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมเล็กๆในมือภรรยาไผ่หลิวดูชื่นชมนักหนาอดถามไม่ได้
“นามบัตรใครของผู้ชายหรือถึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”
“บ้าน่า”
“นั่นใคร”
“คนที่หลิวขับรถชนเขาไงเฮีย”
“เขามาทวงค่าเสียหายหรือ”
“เฮีย” เธอทำเสียงดัง“ว่าเขาอย่างนี้ไม่ได้นะ เขาเป็นคนดีมาก ขนาดไม่ได้คบหากับเฮียป้อเป็นสิบๆปียังยอมประกันให้เลย”
“ไอ้ป้อได้ประกันแล้วหรือ”
“อือแล้วไปเรียกเขาว่าไอ้ได้ไงเขาเป็นพี่”
“ปีเดียวกัน”
“รู้จักหรือเฮีย แหมแล้วปิดเงียบเชียว”
“มันเป็นญาติของเพื่อนเฮียเอง หยิ่งเหมือนไม่ใช่คนเดินดิน มันไปบ้านนอกเห็นพวกเฮียแล้วมันมองเหมือนหมูเหมือนหมา เฮียเลยไม่ค่อยชอบหน้า เห็นก็ทำเป็นไม่รู้จัก แล้วใครประกันมันล่ะ” อมรคว้านามบัตรจากมือไผ่หลิวไปทันที เพ่งมองอยู่นาน
“ป่านแก้ว ป่านแก้วหรือนี่”
ไผ่หลิวตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าอมรรู้จักป่านแก้ว
“รู้จักหรือเฮีย”
“นี่แหละเพื่อนรักของเฮีย เราอยู่กลุ่มเดียวกันตั้งแต่สามขวบยันสิบขวบเลยไม่ห่างกันหรอกย่าป่านตาย พวกเฮียก็บวชหน้าไฟให้ ป่านแก้วคนดีของเพื่อนๆจะเป็นยังไงบ้างนี่” อมรยังงงไม่หายครั้ง เมื่อเวลาเรียนบทเรียนสอนว่าโลกกลม เวลานี้มันพิสูจน์ออกมาแล้วว่าชีวิตคนเราเองเป็นวงเวียนกลมเหมือนโลกจริงๆ
“พี่ป่านสวยขาว ท่าทางใจดีมากๆเลยเฮีย เร็วๆรีบโทรไปหาดูซิเขาจำเฮียได้มั้ย” ไผ่หลิวแนะนำเร่งร้อนอยากรู้จักสนิทสนมกับป่านแก้ว อมรพลิกนาฬิกาข้อมือดู เวลากว่าสามทุ่มแล้วเขาลังเลที่จะโทร หากว่าไผ่หลิวกดเบอร์ต่อเข้ามือถือตามหมายเลขที่ปรากฏในนามบัตร
สัญญาณอีกทางดังอยู่นานแสดงว่าติดแล้ว ไม่มีคนรับ แต่อมรก็ใจเย็นรออีกฝ่ายหนึ่งหากเขามีตาทิพย์คงเห็น ขิมทำท่าจะรับหากลังเลเอื้อมมือปิดสัญญาณเสีย ไผ่หลิวทำหน้ายู่
“สำหรับเฮียยังรักพวกมันเหมือนเดิมมีเพื่อนใหม่ก็ไม่รักเท่ากับพวกเพื่อนวัยเด็กอาจจะแปลกสำหรับคนอื่นที่ลืมเรื่องในตอนเด็กๆแต่สำหรับเฮียมีความสุขทุกครั้งที่ได้คิดถึง”
แววตาท่าทางของเขาแสดงออกชัดว่าเป็นเช่นที่เขาพูด!!
ป่านแก้วปล่อยผมยาวสยายนั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวนุ่มในห้องของขิม ใส่ชุดคลุมขนาดสุ่มชุดนอนบางพลิ้ว ขิมวางปากกาปิดแฟ้มงานดึงร่างบอบบางไปชิดใกล้ ป่านแก้วหยิบรีโมทกดดูโทรทัศน์พร้อมปิดเพลงที่ขิมฟัง
“ฟังเพลงทำให้ได้อารมณ์ในการทำงาน”
“โทรทัศน์ทำให้ได้รับข่าวสารโดยเฉพาะงานของคุณ”
ทั้งสองดูโฆษณาทางโทรทัศน์นั่งติชมร่วมกัน ป่านแก้วหยิบมือถือกดบันทึกเบอร์โชว์หมายเลขที่ติดต่อเเรามา
“เบอร์ของใครไม่รู้จักผู้ชายหรือ” ชายหนุ่ม พยายามทำเสียงให้เป็นปกติ แต่ในใจหวงหญิงสาวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“โทรมาเมื่อกี้เราไม่ได้รับให้”
“อ้าวทำไมล่ะ รับก็ได้ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“อยากให้ใครรู้หรือว่าเจ้าของมือถือมีผู้ชายอยู่ด้วย”
“กลัวใช่มั้ยอีตาขิม” ป่านแก้วดักคอ ซึ่งขิมไม่อยากยอมรับ
“กลัวอะไร”
“กลัวว่าพ่อโทรมาแล้วจะต้อง....” เธอไม่เอ่ยคำว่ารับผิดชอบออกจากปาก
ขิมไม่ได้ข่มขืนเป็นความเต็มใจของตัวเอง เฉดเช่นวันนี้เธอก็มาหาเขาถึงที่ ไม่ผิดหรอกถ้าขิมจะไม่รับผิดชอบ ดังนั้นป่านแก้วจึงไม่เคยชวนเขาไปหาบิดา ซึ่งขิมก็พอใจที่ป่านแก้วไม่เรียกร้องอะไรจากเขา ถ้าป่านแก้วต้องการให้มีการแต่งงาน เขาต้องทำตามความต้องการของป่านแก้วแน่ หากว่าเขาตอบได้ไม่เต็มปากหรอกว่าเต็มใจ ขิมอยากใช้ชีวิตเช่นนี้มากกว่าไม้ต้องผูกมัดอะไรกับใคร ในสายตาของคนอื่นขิมมีแต่ได้กับได้ไม่ต้องเสียอะไรให้ป่านแก้ว
“รับงานจากราชการมาหรือขิม” ป่านแก้วเปลี่ยนเรื่องพูดซึงขิมพยักหน้ารับ
“ถูกและมีคุณภาพทำยาก” เขาบอก
“ยากหรือตัวเป็นเจ้าของครีเอทีฟตั้งหลายคนช่วยกันเดี๋ยวเดียวก็ได้”
“คิดมาแล้วลองทำดูผลออกมาไม่ค่อยดีไม่ประทับใจ”
“หัวข้ออะไรล่ะ” ถามอย่างสนใจอยากช่วยเหลือ
“โอกาสการศึกษา” ขิมบอกเรื่อยเรื่องงานหากมือซนเริ่มลวนลามป่านแก้วหักนิ้วมือจนเขาร้องโอ๊ยหันไปสนใจงานเพียงอย่างเดียว
“โอกาสการศึกษา” ป่านแก้วทวนคำคิ้วเรียวหากสีเข้มขมวดมุ่นใช้ความคิด
“โอกาสของเด็กชนบทกับเด็กที่มีโอกาสในเมือง” ขิมขยายความบ้าง
“อย่างพวกเราไงตอนเด็กๆ มีเจ้าพันเป็นนักแสดงแทนโทรทัศน์สมัยนี้”
“ลิเกบนโคก กลางนา ใช่ๆ ป่านโห เธอลาออกมาช่วยเราดีกว่า”
ขิมรีบพลิกแฟ้มงานร่างโครงงานเป็นข้อๆป่านแก้วยิ้มมุมปากลุกไปชงเครื่องดื่มมาให้อีกฝ่าย ขิมเอ่ยโดยไม่ละสายตาจากงานี่ทำอยู่เมื่อป่านแก้วกลับเข้ามาพร้อมกาแฟร้อน
“ว่าไงป่าน”
“เรื่องงาน”
“ยังไม่ตกลงเลยงานที่บริษัทก็ดี”
“ผู้ชายก็หล่อมากแถมยังโสด” เขากระแนะกระแหน
“นั่นสิสาวๆในบริษัทของถวิลหาทุกคนละ”
“เธอหมดสิทธิ์แล้วยายป่าน” เขาบอกเสียงเข้ม
เขาปิดแฟ้มงานอีกครั้ง หันมารวบร่างบางไปกอดปล้ำกลิ้งไปตามพื้นพรมสบตากันนิ่งนาน แววตาหวานของเขาทำให้เธอพริ้มตาหลับไม่สบตาป่านแก้วรักเขาเต็มหัวใจตัวเองรู้ตัวดียอมเขาได้ทุกอย่าง
ขิมหลับสนิทในขณะที่ป่านแก้วพลิกกายออกจากอกอุ่นเดินออกจากห้องปิดล็อกเบาเกรงคนตัวโตจะตื่น ชักม่านออกชมราตรีของบรรยากาศเบื้องล่าง รถบนถนนวิ่งขวักไขว่ไม่ขาดสาย ถอนใจยาวเมื่อนึกถึงชายร่างใหญ่ที่นอนหลับสนิทอยู่ในห้องแม้ว่าเขาจะควงเธอออกหน้าออกตา หากหญิงมากหน้ายังแวะเวียนชิดใกล้ไม่ขาด บางครั้งก็เกิดความเหงาอย่างบอกไม่ถูกเฉกเช่นคืนนี้ห่างกันเพียงผนังกั้นหากว่าเหงาเหลือเกิน ความสุขที่ได้ไม่เต็มอิ่มเพราะอะไรกันหนอ!!




นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ส.ค. 2554, 08:05:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ส.ค. 2554, 08:05:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 2169





<< ตอนที่ 15 ความรักของเรา    ตอนที่ 18 เสือที่รักเดียว >>
silverraindrop 30 ส.ค. 2554, 11:58:25 น.
ขิมเห็นแก่หัวขัง...เชียร์สัจจะแล้ว


kaeka 30 ส.ค. 2554, 12:30:37 น.
ตามอ่านมาจนทันแล้วคร้า ยิ่งอ่านยิ่งไม่อยากเชียร์ขิมเลย
แต่ยังไงได้ป่านยอมด้วยหัวใจรักนี่นา


nutcha 30 ส.ค. 2554, 12:43:02 น.
ขิมก็ยังเห็นแก่ตัวเหมือนเดิม ตัวเองไม่อยากถูกผูกมัดแต่จะมัดป่านแก้วไว้ไม่ให้มองใคร


nutcha 30 ส.ค. 2554, 12:43:28 น.
ขิมก็ยังเห็นแก่ตัวเหมือนเดิม ตัวเองไม่อยากถูกผูกมัดแต่จะมัดป่านแก้วไว้ไม่ให้มองใคร


แพม 30 ส.ค. 2554, 15:30:19 น.
เมื่อไหร่ป่านจะได้เจอสัจจะนะ


Zephyr 1 ก.ย. 2554, 16:30:04 น.
ขิมเห็นแก่ตัวจังค่ะ กักป่านไว้ในกรงความรู้สึกน่ะ เป็นคนทำให้เพื่อนเก่าไม่ได้เจอกันเลยนะเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account