ห้วงเสน่หา ปรารถนาแห่งหัวใจ
ความรักได้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าและความปรารถนาของหัวใจย่อมมาก่อน เสน่หา
และนั่นอาจจะเป้นการพลาดเมื่อเขา และเธอรู้จักรักที่แท้จริง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 21 แผลใจที่ต้องรักษา

มือถือของป่านดังขึ้นในรถของขิม เขาขยับจะรับแต่ก็ลังเลโชว์เบอร์เดิมที่ติดต่อมาเมื่อหลายวันก่อน
“ฮัลโหลสวัสดีครับ”
เสียงห้าวตอบมาทำให้อมรแปลกใจต้องย้อนถามเบอร์
“โทรไม่ผิดหรอก เจ้าของไม่อยู่มีอะไรจะฝากไหมครับ” เพราะปลายทางเสียงเป็นผู้ชายเดาได้ว่ายังหนุ่มเสียด้วย ขิมจึงกันท่าไปด้วยความหวง
อมรเข้าใจว่าป่านแก้วแต่งงานแล้ว เพราะอายุน่าจะถึงวัยอันควร ดังนั้นเขารีบบอกสถานะของเขาว่า
“ฝากบอกป่านด้วยครับยังจำอมรหมูอ้วนได้ไหม เพื่อนสมัยประถมของเขา”
“อมรหมูอ้วน” ขิมทวนคำ “มอญเหรอฉันขิมเองขิม หัวหน้าห้องไง”
“เฮ้ย” หลิวตกใจแทบโดดหนีเมื่อสามีเอะอะเสียงดังหน้าแดงเข้มอย่างคนดีใจสุดขีด“ไปไงมาไงมือถือยัยป่านถึงอยู่ที่นาย แต่งงานกันแล้วหรือบ้ามาให้เตะซะดีๆ”
ขิมหัวเราะอ้า อ้า ทั้งที่หัวใจกำลังวอกแวกบอกไม่ถูกว่า เขาฝากหัวใจไว้ผิดคนหรือเปล่า ผากไว้ทั้งที่กลัว สัจจะควรมีโอกาส แต่เขาก็ไม่อยากเสียป่านแก้ว เขาไม่ได้ดูถูกคนรัก แต่เขาอาจจะเป็นบ้าไปแล้ว ที่คิดเองเออเองอย่างนี้ เมื่อนั่งกระวนกระวายจึงรู้ว่า เขานั้นนิ่งได้ไม่เท่าสัจจะเอาเสียเลย
“ว่างมั้ยมอญวันนี้วันเกิดป่าน บอกทางมาสิเราจะไปรับ มาเลี้ยงสังสรรค์กัน”
“ไม่ไปกูก็บ้าแล้ว หลิวขนของไม่อั้น”เสียงอมรดังลอดสายเข้ามา ให้ขิมได้นึกเดาว่า อมรคงได้เป็นอาเสี่ยร้านขายส่งสมดังใจไปแล้ว
ขิมไปรับอมรยังจุดนัดหมาย อาเสี่ยร่างอ้วนดูสมบูรณ์แต่ไม่ทิ้งความหล่อ ทักทายคนร่างสูง
“ขิมโอ้โหยังกับยักษ์สูงเท่าไร”
“185 เท่านั้นเอง ไปกันเถอะ” ขิมรับไหว้จากไผ่หลิว
“หลิวเกรงใจจังค่ะ มีแต่เพื่อนเก่าทั้งนั้น”
“ไม่เป็นไร” ขิมบอก “จะได้เป็นผู้หญิงเป็นเพื่อนป่าน ที่นี้ผู้หญิงทำครัวผู้ชายจะคอยกิน”
ไผ่หลิวลอบมองขิม ซึ่งเธอคิดตามประสาผู้หญิงที่เห็นหนุ่มหล่อว่า ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้มีเสน่ห์ไปทั้งตัว!!
“ตายแล้วใครนั่น” ป่านแก้วถลาลงจากบันไดไม่นับขั้นวิ่งเข้าไปกอดชายในเครื่องแบบครึ่งท่อนซึ่งพึ่งเดินห่างออกจากมอเตอร์ไซด์ได้ไม่กี่ก้าว น้ำตาลค้อนตาแทบกลับเมื่อเห็นคุณพันของเธอกอดอีกฝ่ายแน่นเมื่อได้ยินหญิงสาวแนะนำตัว
“ป่านเองป่านแก้ว”
“ป่านหรือนี่” เขากอดจนแน่น สัจจะลุกขึ้นมากอดราวระเบียงตะโกน
“ระวังขิมเตะเอานะโว้ยพัน”
อ้าวนายกับขิม” เขาพึมพำเงยขึ้นมองสัจจะเห็นเพื่อนยิ้มควักมือเรียกสัจจะทำใจได้เรู้วอย่างไม่น่าเชื่อ น้ำตาลเเราใจได้ใหม่แล้วว่าหญิงที่เธอขวางตานักหนาที่แท้เป็นแฟนของขิม ป่านแก้วยังจูงมือประพันธ์ขึ้นไปบนบ้าน
“คิดถึงพันจังเลยดูสิได้เป็นตำรวจแล้ว จับโจรขโมยความได้มั้ย”
“อยากจับคนปิดมากกว่านายขิมเป็นแฟนนายไหงไม่ยอมบอกเราทั้งที่เจอเราตั้งหลายเดือนแล้ว ดูสิจ๊ะวาดภาพยัยป่านเสียเหมือน” เขามองป่านแก้วแล้วยิ่งชัดว่าเหมือน
“ภาพวาดอะไร”
“ก็รูปนายจ๊ะกับเราเจอนายที่บริษัทขิมกลับมาก็มาวาดรูปไปดูสิที่ห้องภาพนั่นไง”
ประพันธ์พูดโพล่งๆ ป่านแก้วลุกขึ้นไปดูจริงๆ สัจจะเงียบจนผิดปกติ พงประพันธ์จึงรู้สึกตัวว่าไม่ควรพูดอะไรออกไป
“ขิมพาป่านมาหาเมื่อเช้ามันไม่อยากทำร้ายเราถึงไม่ยอมบอกแต่แรก นายอย่าไปโกรธมันเลยพัน”
“ฉันลืมตัวไป” สัจจะตามป่านแก้วเข้าไปในห้องภาพพร้อมประพันธ์
หญิงสาวยกมือแตะต้องภาพวาดที่ตั้งโชว์อยู่ภายในห้องเพียงสัมผัสราวกับได้รับรู้ถึงความรู้สึกของคนวาดหากไม่รักจักทำได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ครู่เดียวที่เห็นได้ถ่ายทอดออกมาบนผืนผ้าใบชัดเจนป่านแก้วอยู่ที่ไหนแล้วได้เติบโตขึ้นมาพร้อมๆหัวใจของเขา
“เราให้ป่าน” สัจจะดูเหมือนจะเข้าใจความคิดอ่านของป่านแก้วได้ดี เขาตัดใจได้เมื่อเป็นของเพื่อนรักสัจจะเข้าไปยืนข้างๆวางมือไว้บนบ่าอีกฝ่ายเอ่ยแผ่วเบา
“ถ้าป่านเป็นของคนอื่นเราจะชิงแต่นี่ป่านเป็นของเพื่อนรักป่านจะอยู่ในฐานะเพื่อนรักตลอดไป”
“จ๊ะ” ป่านแก้วหันมาโอบรอบคอคนร่างสูงเขาค่อมตัวลงให้อีกฝ่ายโอบแต่โดยดี หากหัวใจนี้แบ่งได้เป็นสัตส่วนหนึ่งจะเป็นของสัจจะคนนี้ หากว่าทั้งหมดได้ให้แล้วแก่ขิม
“มีผู้หญิงดีๆอีกมากจ๊ะต้องได้พบคบๆนั้นแน่นอนป่านจะเอาใจช่วย” บอกเขาทั้งน้ำตา
“ตกลงเราจะหาคนดีๆสักคน” เขาบอกริมหูเพื่อนรักที่รักยิ่ง ประพันธ์เบือนหน้าเดินหลบออกมายืนเกาะระเบียงมุมทอดสายตาออกไปไกลความคิดในวัยเยาว์คิดว่าใครสักคนป่านแก้วรักบางทีก็คิดว่ารักทั้งสองคนขิมมือยาวกว่าจึงสาวเอาไปครองหากมั่นใจในความเป็นเพื่อนถ้าพบกันก่อนขิมจะไม่เห็นแก่ตัว
“ป่านไปนอนเล่นในสวนดีกว่า” ป่านแก้วเดินไปพับเตียงผ้าใบซึ่งเก็บไว้มุมหนึ่งแบกลงจากบ้านไป สัจจะเอ่ยกับพงพันเมื่ออยู่ตามลำพัง
“ขิมบอกว่าถ้าเจอเราก่อนป่านก็จะห้ามใจไว้ แต่เวลามันย้อนกลับไม่ได้”
“เราก็คิดอย่างนั้นเหมือนจ๊ะแต้ก็ดีแล้วนะที่ยายป่านเป็นของเพื่อนเราฉันเคยคิดว่าคนอย่างยายป่านเหมาะแล้วกับขิมหรือไม่ก็นาย”
“เหมาะกับขิมมากกว่า วันนี้วันเกิดป่านเสียด้วยค้างกันที่นี่เลยเป็นไง”
“เรื่องค้างมันของแน่อยู่แล้ว” ประพันธ์หัวเราะเสียงดังกังวาน
“ยัยป่านหมูอ้วนมาแล้วยายป่าน”
อมรแหกปากเรียกหน้าบันไดบ้านกะเซอร์ไพรซ์หากสองชายที่วิ่งไปยืนหากสองชายที่วิ่งไปรับแทบทำให้เขาหงายหลัง คลับคล้ายคลับคลาเต็มที่
“มอญกูเองจ๊ะ แล้วนี่”
“ไอ้พัน ไอ้พระเอกลิเกของกู มึง มึงอยู่ตรงนี้แล้วพัน มึงรู้มั้ยกูคิดถึงมึงมากแค่ไหน” อมรกอดสองเพื่อนร้องไห้โฮไม่อายใคร ทำให้หลิวต้องพลอยร้องไห้ไปด้วย ขิมถามน้ำตาลถึงป่านแก้ว น้ำตาลบอกว่าอยู่ในสวน
“น้ำตาลช่วยคุณเขาจัดของที่นี่นะ ฉันจะไปตามป่าน”
คนตัวโตตามหาคนรักจนพบ ภาพที่เขาเห็นคือ หญิงสาวร่างอรชรบาดใจชายหนุ่มทุกครั้งที่เขาเห็น นอนหลับอยู่บนเตียงผ้าใบ ความคิดถึงและความแหนหวง ทำให้ขิมก้มจุมพิตแผ่วที่แก้มนวลเธอยังไม่รู้สึกตัว เขาจึงจูบหนักที่ริมฝีปาก ป่านแก้วตกใจตบเผียะไปที่เงาดำที่ลอยอยู่ตรงหน้า
“โอ๊ย” ขิมกุมแก้มร้องลั่น
“ขิมตายแล้วเจ็บมั้ย ป่านขอโทษโถทำไมพิเรนทร์อย่างนี้ปลุกก็ได้”เธอลูบแก้มเขา
ขิมรวบร่างบางไปกอดแน่นเขาต้องทำใจแค่ไหนที่ฝากปลาย่างไว้กับแมว ความไว้ใจในเพื่อน ความเชื่อใจในคนรัก หากกระนั้นความดีพร้อมของสัจจะทำให้เขาหวั่นไหวใจ
“คิดถึงป่านไม่อยากอยู่ห่างเลย”
“ทิ้งไปทำไมเล่า” เธอต่อว่าก่อนจุมพิตริมฝีปากหนาได้รูปของคนรักขิมจูบต่อเนิ่นนานก่อนจะปล่อยอย่างสุดแสนจะเสียดายดึงผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ออกจากกระเป๋ากางเกงเตรียมมาแล้วผูกตาป่านแก้ว
“ทำไมล่ะ ผูกตาแล้วป่านจะเดินยังไง”
“ขิมจะอุ้มไปเอง ตัวแค่นี้อุ้มไปไหนก็ได้”
“แหมป่านสูงตั้ง 161นะ”
“โอ้โหช่างสูงไล่เลี่ยกับขิมเลยนะเนี่ย”
“ก็ตัวเองสูงผิดมนุษย์มนาเองนี่นา อะ” เธอกางแขนให้ราวกับเด็กกำลังรอให้ผู้ใหญ่อุ้ม
หากขิมช้อนอีกฝ่ายอุ้มตัวปลิวออกจากสวน เพียงเท้าก้าวขึ้นเรือน ขิมวางป่านแก้วลงจับแขนเธอไว้ไม่ให้เปิดผ้าผูกตาเสียงผู้ชายหลายคนร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้ป่านแก้วริมฝีปากแดงย้อยลื่นระริกด้วยความรู้สึกตื้นตันใจอย่างยิ่งยวด ผู้ชายหลายคนร้องไชโย
“แด่ป่านแก้วเพื่อนรักของพวกเรา” ขิมเปิดผ้าผูกตาออก
ป่านแก้วลืมตามองผู้ชายสามคนที่รายล้อมอยู่ตรงหน้าและหยาดน้ำใสๆก็รินไหลออกมาไม่ขาดสายต้องป้ายทิ้งราวกับยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยๆไผ่หลิวแอบมองมาจากประตูในครัวเห็นความผูกพันอันแน่นแฟ้นแล้วอดที่จะร้องไห้ออกมาเสียไม่ได้ ความรักอันยิ่งใหญ่ที่ผู้ชายสี่คนมีต่อหญิงสาวแสนสวยในชุดขาวช่างบริสุทธ์เหลือเกิน ความสุขของป่านแก้ว!!

บ้านพลตรีประนาท
เรวดีแทบจะต้องลากปารมีออกจากห้องเมื่อหญิงสาวไม่ยอมมาพบกับเสี่ยหนุ่มผู้ที่มารดาหมายมั่นจะจองเป็นเขย
“ปิ๋มไม่ชอบ”
“แต่แม่ชอบ ลงไปเดี๋ยวนี้นะ” คุณนายเหน็บลูกสาวให้ทีหนึ่ง ใบหน้าสวยหมดจดอยู่ด้วยความเจ็บจากลอยเล็บคลำป้อยน้ำตาซึม
วันๆคุณเรวดีคิดแต่ว่าผู้ชายคนนั้นหล่อ รวย คนนี้ลูกคุณหญิงนายพล ปารมีแทบอยากจะผูกคอตายเสียหลายครั้ง คุณนายจะรู้มั้ยหนอว่าลับหลังคุณนาย ปารมีจะกรอกยานอนหลับจนหลับไปกับที่นอนด้วยความที่หาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้

“ปิ๋มคุณผจญมาแล้วลูก” คุณนายเคาะประตูหน้าเรียกลูกสาวปารมีหน้างอเง้า ผจญเวรผจญกรรมอะไรกันอีกเธอลงไปรับแขกด้วยสีหน้าบึ้งตึงจนแขกแทบจะเผ่นหนี
“เอ๊ะยายปิ๋มแกจ้ะอายังไง” คุณนายทุบลูกสาวเมื่อแขกรีบลากกลับเพราะเห็นชัดว่าปิ๋มไม่ต้อนรับมาไงยกมือไหว้แล้วเอ่ย จะกลับแล้วใช่ไหมค่ะ สวัสดีค่ะ ใครเล่าจะด้านอยู่ได้ผลสุดท้ายจึงถูกทุบตี
“ปิ๋มโตแล้วนะค่ะคุณแม่ตีปิ๋มทำไม ปิ๋มเจ็บนะ”
“แกเป็นลูกฉันขัดคำสั่งฉันทำไมจะหาคนดีๆรวยๆให้ทำไมไม่รักดี”
“ปิ๋มไม่เอา ปิ๋มไม่อยากมี ไม่อยากได้”
“จะเอาสา ก...” เกือบลงคำสุดท้ายก็ยั้งปากได้ทันว่าไม่บังควรอย่างยิ่ง จึงทุบตีโดนไม่ด่าว่าจนพอใจ
ปิ๋มยกเสื้อซับน้ำตาเด็กรับใช้รีบหายามาทาเมื่อคุณนายเรวดีออกไปแล้ว
“คุณปิ๋มอย่าขัดใจท่านสิค่ะถูกทุบทุกที”
“ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมอยากให้ฉันแต่งงานนักหนาฉันเพิ่งเรียนจบเท่านั้น”
“คงกลัวคุณจะหาลูกเขยไม่ได้อย่างใจกระมั้ง” สาวใช้พูด
ปารมีกำมือแน่นเชิดหน้าถือดีความอ่อนแออ่อนโยนหายไปจนหมด เมื่อคิดจะเอาชนะผู้ให้กำเนิดชอบบงการชีวิตให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ จากนี้เธอจะเดินไปตามทางชีวิตที่เธอเลือกประชดมารดา!!
ขิมชะโงกหน้าจากหน้าต่างรถ เมื่อขับรถผ่านมาพบสัจจะถือของพะรุงพะรังตามเคยลงจากรถยนต์รับจ้าง
“ไปไหนจ๊ะ”
“อ้าวขิม ไปไหนมา”
“เราถามนายไม่ใช่ให้นายมาถามเรา”
“จะไปต่างจังหวัดจะเหมารถไป”
“เดี๋ยวไปส่ง”
“เฮ้ยไม่ต้อง”
ขิมลงมาคุยกับเพื่อน
“ไปไหน”
“แค่ทะเลนี่แหละจะวาดภาพนางเงือกสักภาพอาศัยเสียงคลื่นเสียงลมช่วยหน่อย
“ทำไมไม่หาซื้อรถใช้วะจ๊ะไปไหนมาไหนจะได้สะดวก จะเก็บเงินให้ปลวกกินหรือไง”
“ก็ว่าจะดูรถเก่าๆสักคัน”
“ฉันมีพวก จะดูไว้ให้ จะกดราคาให้”ขิมมีพรรคพวกเยอะเสมอ “แล้วไปนานมั้ย”
“อาจจะสักเดือน”
“จ๊ะ” ขิมเรียกเพื่อน “นายเป็นอะไรมากหรือเปล่า เอ่อเรื่องป่านใช่มั้ย” สัจจะหลบตาเล็กน้อยก่อนฝืนหัวเราะ
“เฮ้ยไม่เป็นไรน่าไม่แน่อาจจะมีนางเงือกกลับมาก็ได้”
สัจจะเอ่ยอย่างปลอบใจตนเองและปลอบใจเพื่อนไม่ให้คิดว่าเป็นความผิดของเขา และเรื่องของความรัก ไม่ใช่ความผิดของใคร หากเขาคนนั้นคิดมีรักเพื่อรัก มิใช่เพื่อทำลายอีกฝ่าย!!
กาลเวลาและความเงียบสงบ คือยารักษาแผลใจได้ดีที่สุด
ป่านแก้วขัดสระปลาทองโดยมีบัวเป็นลูกมืออยู่ข้างๆรถเบนซ์สีขาวของท่านประนาทมาจอดพรืดกดกริ่งเรียกร้อนรนป่านแก้วรีบวางมือเอาน้ำล้างมือแล้ววิ่งไปหาบิดา ส่วนแม่เลี้ยงยืนปากคอสั่นคล้ายคนจะเอาเรื่องให้ได้ถ้าที่นี่มีเรื่อง
“ปิ๋มอยู่ที่นี่ใช่มั้ย บอกมานะหนูป่าน”
“เปล่าค่ะคุณอา ปิ๋มไม่เคยมาที่นี่”
“แล้วปิ๋มไปไหนปิ๋มอยู่ที่ไหน” ประนาทโอบไหล่เรวดีประคองให้เดินเข้าบ้านลูกสาวคนโต เรวดีกวาดตามองหาราวกับจับผิด บัวศรีออกมาต้อนรับ คุณนายเรวดีมองค้อนสาวใช้ที่ประนาทไปรับมา แล้วบัวศรีรีบมาทันทีเช่นกัน
“บ้านหลังใหญ่ดีนี่หนูป่าน” ขนาดมาหาลูกตัวที่หายไปจากบ้าน ยังมีแก่ใจอิจฉาลูกเลี้ยง ที่มีบ้านเป็นส่วนตัว
ประนาทมีสีหน้าไม่ดีเอาเสียเลย ถ้าเป็นคนโตจะไม่ห่วงขนาดนี้เพราะป่านแก้วดูแลตัวเองได้
“ปิ๋มจะไปไหนได้คะคุณพ่อ น้องไม่เคยไปไหนนี่คะ”
“นั่นสิรู้แต่ว่าเขาหนีออกจากบ้าน เขาเขียนจดหมายแค่ว่าแม่จะได้สะใจ”
“คุณอาไปทำอะไรน้องปิ๋มล่ะ” ป่านแก้วคาดเดาได้ เพราะเรวดีร้ายแม้กับลูกตัวเอง
“เอ๊ะหนูป่านหาเรื่องอาแล้วนะ อา แค่อยากให้ได้กับผู้ชายดีๆ”
“อะไรนะคุณ” ประนาทจะไม่ค่อยรู้เรื่องนัก พอเมียหลุดปากถึงเดาได้ว่าลูกสาวคงอึดอัด ดังนั้นจึงหันมาไล่เรียงกับเรวดีแต่เธอไม่พูดอะไรนอกจาก
“ท่านก็มีหูตากว้างขวาง หาลูกแค่นี้ไม่เจอครอบครัวจะพึ่งอะไรได้”
“ปากดีนักนะเออ ถ้ามันกลับบ้านมาเมื่อไหร่ลองเที่ยวหาผัวให้มันอีกสิจะเตะให้ออกจากบ้านไม่ทัน” ประนาทคาดโทษเมียจอมงก แล้วแทบไม่อยากรอเวลา อยากเตะกลิ้งเดี๋ยวนั้น
“คุณนาทหยาบคาย” ประนาททำหน้าเบื่อหน่าย ป่านแก้วเห็นไม่เข้าเค้าจึงออกความเห็น
“ลองสืบหาดูดีกว่านะคะ ว่าน้องปิ๋มเอาอะไรติดตัวไปบ้างอย่างรถ”
“ขับเป็นเสียที่ไหนมีรถรับส่งตลอด”
“ถ้าตามหาที่บ้านเพื่อนน้องปิ๋มไม่เจอก็คงต้องตามสถานีขนส่ง”
ป่านแก้วออกความคิด จากนั้นประนาทจึงได้ส่งคนออกตามสืบหา ส่วนเรวดีเอาแต่ร้องไห้ ตีโพยตีพายว่าลูกเอาแต่ใจ ไม่เห็นใจแม่ที่แสนดีอย่างเธอ!!
ที่จังหวัดภาคตะวันออก
เรือโดยสารข้ามฝากไปเกาะแห่งหนึ่งมีคนโดยสารไม่มากเพราะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว รวมทั้งสัจจะหอบของพะรุงพะรังเสื้อผ้าเซอๆ เขาแทบจะผุดลุกหนีเมื่อหญิงสาวร่างโปร่งบางนั่งเบียดกระแซะ หน้าอ่อนเยาว์ละหม้ายคล้ายใครคนหนึ่งดูก็ทราบว่าไม่มีอาชีพพิเศษแต่ทำไมมาทำท่าอ่อยเหยื่อขนาดนี้เขาเหลือบมองเธอส่งยิ้มหวานจ๋อยดวงตาหรี่ปรือคล้ายดาวยั่วในหนังอาร์ท่าปากห่อๆนั่นก็รู้ว่าลอกแบบมาจากดาวยั่ว ดูตลกมากกว่าจะทำให้เคลิบเคลิ้มพอเรือเอียงวาบเธอกรีดร้องลืมมาด เขาขบขันยิ่งกับตาเหลือกโตของเธอ
“เรือเป็นอะไรคะพี่”
“ไม่รู้ ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า”
“ตายแล้วปิ๋มว่ายน้ำไม่เป็น” ท่าทางตกใจไม่เสแสร้งสัจจะตบแขนอีกฝ่ายเบาๆปลอบโยน
“ไม่เป็นไรเรือไม่เป็นไรหรอก”
เด็กในเรือบอก มีเชือกพันหางเสือ เขาลงดำน้ำไปพันเชือกออก พักใหญ่จึงติดเชือกแล่นได้ส่งต่อขึ้นท่าแล้ว มีรถโดยสารประจำเกาะบ้างก็เหมาเที่ยวสัจจะไม่สังเกตว่าพอเขาขึ้นรถปารมีก็ขึ้นตามแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้
“ผมจะไปอ่าวพร้าว” เขาบอกเป็นอ่าวที่อยู่ไกลและค่อนข้างสงบ
“เขาก็จะไปที่นั่นแชร์เงินกันออกก็ได้” ทำท่าเป็นผู้ใหญ่เสียเต็มที่ สัจจะไม่ได้สนใจอีก
ห่างจากความเจริญพอสมควร แสงสีมาไม่ถึงอ่าวนี้ บังกาโลอยู่ห่างๆ สัจจะเลือกพักที่ไกลจากผู้คนที่สุดหากว่าร่างบางยังบางต้อยๆ ชายหนุ่มเห็นไม่เข้าทีจึงหันมาตะคอกดุ
“นี่คุณ จะไปไหน อย่าบอกนะว่า”
“จะพักอยู่ด้วย” เธอบอกราวเด็กเอาแต่ใจ ทำดื้อดึงน่าตี
“ไม่สนุกนะ” เขาดุดังลั่น จนป่านนี้แล้วสัจจะทำอะไรไม่ถูกเจ้าของที่เปิดห้องให้ ไม่เข้าใจคนทั้งคู่ เพราะส่วนใหญ่มาพักก็จู๋จี๋แทบไม่รอให้คนอื่นไป แต่คนคู่นี้ทำท่ายังกะจะรบกัน
เจ้าของบ้านพักถามเรื่องอาหารเป็นการเบนไม่ให้คนที่เขาเข้าใจว่าคู่รักกำลังงอน ไม่ให้ทะเลาะกันมากกว่านี้
“คุณจะเอายังไงครับเรื่องอาหาร”
“ผมไปทานเองครับ คุณมีร้านใช่มั้ย เปิด ปิดเมื่อไหร่”
“เปิดหกโมงปิดสามทุ่ม ไฟที่นี่ปิดสี่ทุ่มนะครับ เอ่อแล้วคุณผู้หญิง”
“ฉันจะอยู่กับผัวฉันที่นี่” ปารมีบอก สัจจะตาเหลือกค้างตกใจกับสรรพนามใหม่ พอเจ้าของบังกะโลไปเขากระชากเธอขึ้นไปบนบังกะโลไม้ยกพื้น เขย่าร่างเธอแรงจนหัวสั่นหัวคลอน
“ไม่สนุกเลยนะไอ้เด็กบ้า”
“ใครว่าไม่สนุก” ปารมีลอยหน้าลอยตาตอบ “อยู่กับผู้ชายสิสนุกดี” คำพูดก๋ากั่น ทำให้สัจจะหมั่นเขี้ยว
ปากสีระเรื่อคู่สวยก้มลงบดขยี้ไม่ปราณี ปารมีตกใจจนตาโพลง เบิกค้าง พอเขาปล่อยเธอทรุดฮวบลงกับพื้น
สัจจะเดินลงไปหิ้วสัมภาระขึ้นมาจัดเก็บไม่สนใจปารมีซึ่งนั่งตะลึงตัวแข็งทื่อ เด็กใจแตกอยากลองของดีนัก ยุ่งยากมากนักจะข่มขืนซะให้เข็ด เขาคิดคำรามในใจขณะเดินผ่านหญิงสาวผิวเนื้อเนียนละเอียดอย่างคนไม่ค่อยถูกแดดมากนัก
ห้องนอนมีเตียงไม้ปูที่นอนขนาดห้าฟุต เก้าอี้นวมตั้งอยู่มุมห้อง ขวดน้ำสะอาดบรรจุเต็มยังไม่ได้เปิดใช้ตั้งอยู่สามขวด ถัดไปเป็นตู้ไม้ขนาดสามคูณห้าฟุตไว้แขวนเสื้อผ้า สัจจะลื้อของออกจากกระเป๋าเสื้อผ้าที่นำมาเป็นเสื้อยืด เสื้อกล้ามและกางเกงชาวเลเป็นส่วนใหญ่ ปารมีเดินเข้ามานั่งกระแทกนั่งบนเตียงแรงๆ หวังจะให้เขาสนใจ
เมื่ออีกฝ่ายทำเฉย ปารมีจึงรื้อของออกจากกระเป๋าเดินทางซึ่งมีติดมาเพียงสองชุดล้วนแต่เป็นกระโปรงวันพีชสั้นสายเดี่ยว หญิงสาววัยยี่สิบตั้งใจจะเอาชนะผู้ให้กำเนิด เธอคิดว่าจะพาใครก็ได้ไปเย้ยมารดา ซึ่งชายผู้นี้ดูเซอ เธอคิดเองว่าถ้าผู้ให้กำเนิดเห็นคงร้องกรี๊ดสลบ
จะเป็นไรไปเดินมาจนถึงชั้นนี้แล้ว เธอหยิบไม้แขวนออกจากตู้มาแขวนผ้าของตัวเองบ้าง ยามรีบร้อนไม่ได้ติดเครื่องสำอางออกมาซักชิ้น ช่างเถอะ เธอทำใจแข็ง
“คุณเป็นจิตรกรหรือค่ะ” เธอถามเมื่อเห็นเขาตั้งขาหยั่งวาดภาพติดกระดาษสเกตวาง ดินสอบนเก้าอี้ซึ่งลากออกมาจากห้อง ไม่สนใจตอบคำของปารมี
เธอเชิดปากแง่งอน เดินตะบึงตะบอนปึงๆลงไปอาบน้ำห้องน้ำชั้นล่าง ในห้องน้ำคับแคบมีชั้นวางสบู่ก้อนเล็กเป็นสบู่หอมซึ่งยังไม่แกะใช้ น้ำบรรจุไว้เต็มถัง เจ้าของคงมาจัดทำให้ โดยที่ผู้มาพักไม่ทันสังเกต
ปารมีอาบน้ำเพื่อให้สดชื่น ทั้งที่ไม่สนใจในความสะอาดของน้ำนัก เมื่อก้าวขึ้นมาบนที่พักสัจจะนั่งทำงานงุดอยู่มุมสุดของระเบียงซึ่งไม่กว้างมากนัก จากที่พักมองไม่เห็นทะเลแต่เสียงคลื่นชัดเจน เธอเข้าไปเปลี่ยนชุดเป็นสายเดี่ยวสีดำขับผิวขาวให้นวลเนียนราวกับผ้าเนื้อดีที่เนื้อผ้าเป้นสีเดียวกันทั้งผืน
“หิวข้าวแล้วลุกเถอะ” เธอลากอีกฝ่ายเสียดื้อๆเขาขืนตัวไว้
“เอ้า ก็ไปเองซี้ มายุ่งกับผมทำไม”สัจจะ รู้สึกรำคาญที่เธอวุ่นวายเหมือนเด็กดื้อ
“ผัวเมียกันก็ต้องไปด้วยกันซี่ เรู้วปิ๋มยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันฟังสิท้องร้องจ๊อกๆ”เธอตีหน้าท้องเบาๆ
เขาเหลือบมองแวบหนึ่ง จึงได้สังเกตเห็นนิ้วเรียวขาว เล็บเป็นมันวับ นิ้วของคนไม่เคยทำงานหนัก พานคิดไปว่าถือช้อนจะไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้ สัจจะดูถูกในใจปล่อยให้เธอคล้องแขนเดินเบียดกระแซะจนถึงร้านอาหารเล็กๆ มีฝรั่งมานั่งทานอาหารเย็นอยู่เท่านั้นคงมีคนมาพักแค่นี้ปารมีดูรายการอาหารซึ่งมีอยู่แผ่นเดียวสองหน้า
“ของทะเลรับสดๆชาวบ้านตกขาย”เจ้าของร้านโฆษณาความสดของอาหาร ปารมีสั่งเป็นการใหญ่ด้วยความหิว
“พี่ชื่ออะไรค่ะ” เธอถามเขายิ้มมุมปากคล้ายเหยียดหยัน
เกาะเขาเหมือนปลิงโดยไม่รู้หัวนอนปลายเท้าสำหรับเธอถ้าเป็นบ้าสักคนก็คงจะมาด้วยในเรือคงมีแต่เขาละมั้งที่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวจึงคว้าจับแน่น หากคิดจะใคร่โดยไม่รักจะเป็นไรไปเขาไม่รู้จะรักษาหัวใจและร่างกายไว้ให้ใครอีก ดูแต่งตัวเข้าสิเหลือแต่ถ่างขารอเท่านั้นเอง สัจจะดูถูกเธอเป็นที่สุด
ปารมียังกอดแขนยาวๆเขาไม่คลายระหว่างเดินกลับที่พัก เด็กมันอยากลองต้องสงเคราะห์มันหน่อยผิดหวังแล้วมันก็หอบผ้าหนีไปเองแหละเขาไม่ใช่หนุ่มบึกบึนเสียด้วย
“ตายจริงฝนตก” เธอเงยขึ้นมองสายฝนซึ่งไม่อาจมองเห็นด้วยความมืดครึ้มของอากาศเมื่อลงเม็ดหนักเข้าก็ฉุดร่างสูงให้วิ่งขึ้นบนห้องพักสัจจะดึงมือกลับ
“เรู้วซิ” เธอเร่งเพราะฝนเริ่มลงเม็ดหนาหากสัจจะเข้าใจไปอีกอย่าง ก้าวยาวๆตามเข้าไป
“อยู่ข้างนอกก่อนปิ๋มจะเปลี่ยนผ้าเปียกหมดแล้ว” หญิงสาวผัดเปลี่ยนเสื้อซึ้งก็เป็นชุดวันพีชสายเดี่ยวสั้น ยังไม่ทันสวมใส่มือใหญ่ๆคว้าไปทางศีรษะเธอร่างเปลือยอกขาวโพลนตรงหน้า
ปารมีตื่นตะลึง นิ่งอึ้ง ปากคอสั่น ด้วยความหวาดกลัวหากเขาเข้าใจไปอีกทาง;อีกฝ่ายมีความพิศวาสจนตัวสั่น
“อย่า” ปารมีร้องอุทาน เมื่อร่างสูงกดทับลงบนเตียง
“อย่าดูถูกความเป็นผู้ชายของผมนะ” เขาพูดรอดไรฟัน
“ปล่อยปิ๋มนะ ปล่อย”เธอดิ้นรนเขาเข้าใจว่าเรียกค่าตัว เมื่อร้องห้าม มือใหญ่ก็ปิดปากแน่น
ปารมีดีดดิ้น ท่อนล่างดิ้นส่ายให้พันเขาเข้าใจว่ายั่วยวน คิดสั่งสอนเธอจนเลยเถิดความเงียบเหงาในหัวใจฉุดดึงความนึกคิดจากส่วนดีไปเสียหมด
สัจจะประคองความกำยำสู่ภายในอันร้อนผ่าวของหญิงสาว ปารมีกระตุก ร้าวกัดริมปาก ด้วยความเจ็บ ไม่ว่าหญิงคนนี้ประสงค์สิ่งใดจึงตามเขามา แต่สัจจะได้รับรู้ว่า เธอไม่เคยผ่านชายใดมาก่อน ความอ่อนโยนอันเป็นนิสัยของสัจจะ จึงไม่อาจบุ่มบ่ามเหมือนการข่มขืนคนไม่รู้จักได้ เมื่อเขาพลาดเข้าไปแล้วจึงต้องมะระมัดระวัง อารมณ์ชายหญิง และการสมรัก เป็นอารมณ์ที่แม้ไม่ปรารถนาแต่แรก หากว่า เมื่อถึงเวลานี้ ไม่ว่าใคร ต้องประคองจนถึงฝั่ง
เวลานี้สัจจะรู้สึกตัวเองว่าเป็นปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ชายหนุ่มกระเส่าราวกับกำลังได้รับความเจ็บปวดสุดชีวิต แต่แท้ที่จริงเขาพบความเสียวซ่านอย่างไม่เคยได้รับมาก่อน ความคับแน่นตลอดทางที่เขาสอดแทรกเข้าไปกว่าจะเบียดผ่านเข้าไป ราวกับว่าเขาถูผิวเนื้อกับเส้นทางแสนคับ ทั้งนุ่มนวลและโดนบีบรัดราวโดนเส้นเชือกมัด เป็นระยะที่โดนรวบรัดบีบแน่น สองหนุ่มสาวหอบหายใจแรงเสียวจัด ยิ่งเขาพอดันผ่านเข้าไปจนหมดทั้งกาย เขาพบกับการรัดแนบแน่น
ธรรมชาติสอนให้ชายหนุ่มถอนออกมาช้าๆ ครวญครางแทบขาดใจ ก่อนกลับลงไปใหม่เป็นอย่างนี้อย่างเริ่มช้าเนิบ และแรง เรู้ว
ปารมีชักผ้าห่มคลุมร่างโผล่พ้นเพียงใบหน้าซีขาวน้ำตารินไหลชื้นหมอน ความสิ้นคิดของตัวเองจบลงโดยความเศร้า
“ทำไมถึงทำอย่างนี้ทำไมไม่บอกว่ายังไม่เคยมาก่อน” สัจจะกดฟันกับริมฝีปากไม่พูดต่อปารมีกล่าวเบาแทบไม่ได้ยินเพราะเสียงฟ้าคำรามพร้อมสายฝนกระหน่ำ
เธอปล่อยเสียงร้องไห้โฮสัจจะดึงเธอขึ้นมาพูดใส่หน้าดวงตาดุดันจนน่ากลัว
“ใครก็ได้ใครซักคนที่ไม่ใช่คนที่คุณแม่เลือก คุณแม่ต้องการใครใครก็ได้”
“บ้า บ้า บ้า ไม่มีหัวคิด เอาตัวเข้าเสี่ยงแล้วได้อะไรขึ้นมา ผมไม่รับผิดชอบหรอกนะ”
“ปิ๋มเกลียดแม่เกลียดที่สุดชอบแต่ความร่ำรวยใครก็ได้ที่มีเงินไม่คิดถึงปิ๋ม ทำไมปิ๋มจะประชดไม่ได้ นี่ตัวของปิ๋มจะให้ใครก็ได้” สัจจะผลักเธอลงนอนตามเดิม
ชายหนุ่มตัดสินใจลุกจากที่นอนโดยมีผ้าพันกายเพียงผืนเดียว เดินกายตรงจากไปโดยนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เขาไม่อยากฟังเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเธออีก เพราะคิดว่าพรุ่งนี้ หญิงคนที่ทำท่าว่าเสียใจกับการเสียสาวคนนี้ คงร่อนไปหาคนอื่น เขาไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยอยู่เฉยๆดีแล้วบริสุทธิ์อยู่ก็ดีไม่ต้องระแวงว่าจะติดโรคร้าย
สายฝนตกพรำๆตลอดจนรุ่งสาง เขากลับเข้ามานอนอีกครั้ง ปารมีนั่งมองดูเขาเหยียดการลงนอน เขาหันหลังให้ข่มตาหลับ แต่ได้ยินเธอขยับกายลุกขึ้น ไฟดับวูบเธออุทานตกใจลืมไปว่าได้เวลาดับไฟแล้ว สัจจะเอ่ยถาม
“จะไปไหน”
“ห้องน้ำค่ะ”ปารมี บอกเบาไม่เต็มเสียง สัจจะคลำหาไฟฉายขนาดเล็กที่ติดตัวมา ฉายส่องหาของในกระเป๋า เป็นไฟไลซ์กลมๆเพียงกดก็สว่าง ห้องนั้นจึงสว่างอีกครั้ง ปารมีถือไฟฉายลงไปข้างล่าง เธอคงชำระคราบไคลเพราะได้ยินเสียงน้ำราดตัวความเย็นวูบวาบในอกนี่คือความรู้สึกอย่างไรกันหนอระบายลมหายใจยาวๆติดกันหลายครั้ง
คลื่นซัดสาดโครมครามปลุกสัจจะให้งัวเงียตื่นขึ้นมาแสงสลัวเห็นว่าเป็นเวลากลางวันหากฝนยังตกพรำทำให้อากาศไม่แจ่มใส เหลือบมองข้างกายปารมียังหลับสนิทอยู่บนผ้าห่มผืนเดียวกันผู้หญิงคนนี้ต่างจากคนอื่นที่ให้ท่าเขาแล้วเขาไม่เคยให้ความสนใจเพราะเวลานั้นมีป่านแก้วคอยฉุดรั้งอยู่ในส่วนลึก
หากหญิงคนนี้มาได้ผิดเวลายิ่งนักเกิดขึ้นในเวลาที่เขาขาดที่พึ่งทางใจยังมีอีกหรือความบริสุทธิ์ของผู้หญิงสมัยนี้
“อ้าวคุณเปียกหมดเลยครับเอาร่มผมไปดีกว่า” เจ้าของบ้านพักหาร่มเอาให้สัจจะไว้ใช้ เขาสั่งอาหารเผื่อมื้อเย็นเลย
“คุณจะพักอีกนานไหมครับพรุ่งนี้เรือจะข้ามฟาก ฤดูนี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเกรงว่าคุณจะกลับไม่ทัน”
“ผมพักนานครับซักเดือน” เจ้าของยิ้มรับอย่างดีใจยิ่งหมายความเดือนนี้ห้องพักเขาไม่ว่างแน่ ดังนั้นเขาบริการให้อย่างดียิ่ง สัจจะรับอาหารและเงินทอนกลับที่พัก
“เห็นแต่งตัวรุ่มร่ามไหนได้มีเงินเยอะเนี่ยเขาจ่ายล่วงหน้าครบเดือนเลย” หันไปบอกภรรยาอย่างดีใจ
“คนสมัยนี้ดูยากคิดว่าพวกเร่ร่อนเที่ยวเสียอีก ผู้หญิงที่มาด้วยก็สวยนะ หน้าเด็ก อายุสักเท่าไรเชียวหรือจะเป็นพวกเด็กสาวคลั่งศิลปินหนีตามมา”
ปารมีมัดกางเกงแพรไม่ใคร่อยู่ต้องขมวดเป็นปมสัจจะกลับมาพร้อมอาหารจึงเห็นปารมีเอาเสื้อผ้าของเขามาใส่
“ปิ๋มไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาค่ะ ขอยืมหน่อยนะค่ะ”
“ตามสบายหิวหรือยังซื้ออาหารมาให้แล้ว”
เธอพับเพียบเท้าแขนกินอาหารกล่องเมื่อสบตากับเธอหลบตามพื้นแก้มเป็นสีชมพูระเรื่อกิริยาท่าทางต่างจากวันวานราวคนละคน
“อายุเท่าไรแล้ว” เค้าถามเพราะดูเธออ่อนเยาว์ ยิ่งวันนี้ไม่มีเครื่องสำอางแต่งแต้มจึงเห็นใบหน้าที่แท้จริง ปารมีช่างคล้ายใครคนหนึ่ง คนที่ทำให้สัจจะคนนี้มารักษาแผลใจ ยังมีคนสวยได้อย่างนั้นอีกหรือ
“ยี่สิบแล้วค่ะ พี่ล่ะค่ะอายุเท่าไร” น่าขันจนนอนกับเขาแล้วยังไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม
“อายุมากกว่าเยอะ เรียกจ๊ะก็ได้”
“พี่จ๊ะเคยได้ยินที่ไหนก็ไม่ทราบนึกไม่ออกค่ะ” เธอตักข้าวเข้าปากไม่คิดจะฟื้นความจำว่าคุ้นชื่อมาจากที่ไหน
สัจจะทำงาน ปารมีไม่ได้ไปที่ใด เธอจึงนั่งมองอีกฝ่ายวาดภาพ จับตาจ้องมองตาแป๋ว ขณะที่สัจจะร่างภาพหากแล้วเขาก็ฉีกทิ้งแผ่นแล้วแผ่นเล่าด้วยไม่มีสมาธิจะวาดได้
“ปิ๋มขอโทษค่ะถ้ารบกวนการทำงาน” เธอเอ่ยปากแล้วรีบลุก ปมผ้าที่ขมวดไว้หลุดจนต้องรีบคว้าจับแทบไม่ทันสัจจะอดหัวเราะเสียไม่ได้
“ปิ๋มไม่เคยนุ่งนี่ค่ะ” เธอบ่นกระปอดกระแปดแสนงอน “ คุณแม่ไม่อนุญาต” ดูเธอจะถูกตีกรอบไปหมดเสียทุกอย่างความสัมพันธ์ทางร่างกายที่ไม่มีการผูกมัด
สัจจะปล่อยให้ร่างบางๆหนุนแขนของเขาหลับอย่างสบาย ตลอดทั้งคืนเขาได้อาศัยไออุ่นจากร่างนุ่มให้คลายความเย็นชื้นของอากาศ
วันนี้แดดออกปารมีกระโดดโลดเต้นแข่งกับนกตัวเล็กๆบนต้นไม้อย่างดีใจเมื่อฟ้าเปิดเธอนั่งบนโขดหินทอดมองดูชะลอกคลื่นนางเงือกสัจจะเก็บภาพไว้ในมโนภาพเมื่อเห็นร่างสูงเดินไปหาเธอโบกมือเรียกไหวๆ เมื่อเข้าไปใกล้ก็โผลงให้เขาอุ้ม “ปิ๋มรักคุณค่ะ” เธอบอกเมื่อเขาวางร่างเธอลงบนพื้นทรายขาวละเอียด“ไม่ต้องตอบปิ๋มหรอกค่ะปิ๋มเลือกเดินมาเอง”
เธอรีบปิดปากสวยเหมือนผู้หญิงไม่ให้ตอบ
“ปิ๋มขี่หลังนะค่ะ” เธอกระโดดเกาะหลังแนบหน้ากับแผ่นหลังกว้าง เขาเอี้ยวคอมองไม่พูดว่าอะไร เขานิ่งฟังเสียงหวานๆเล่าเรื่องของเธอให้ฟังแจ้วๆ
“ตอนเด็กๆซักสี่ห้าขวบปิ๋มชอบขี่หลังพี่สาวค่ะ พี่สาวปิ๋มตัวเล็กนิดเดียว ตอนนี้เล็กกว่าปิ๋มอีกนะคะ แต่ก็ยอมให้ปิ๋มขี่คอไปซื้อของไกลๆ บางทีปิ๋มก็อิจฉาพี่เขานะ เขาแยกไปอยู่คนเดียวไม่ต้องอยู่ใกล้ๆแม่ที่เอาแต่ใจ”
“หนีออกจากบ้านมาใช่มั้ยปิ๋ม”
“ค่ะใช่ ปิ๋มอยากจะทำให้แม่รู้ว่าลูกสาวเป็นคนที่มีชีวิตจิตใจคุณแม่ไม่เคยให้ปิ๋มไปไหนเลยมีรถรับส่งจนเรียนจบ
ปิ๋มเรียนไม่เก่งหรอกค่ะ พี่สาวบอกว่าสงสัยโดนตีมากสมองเลยฝ่อ”
“ไม่ใช่แม่ตัวหรือ” เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าถามไปทำไมอยากรู้เรื่องของเธอเพื่ออะไร
“ปิ๋มบาปจังนะค่ะที่รู้สึกเกลียดท่านจนทนไม่ได้เมื่อท่านขังปิ๋มไว้ในบ้านทุกวันรอว่าท่านจะนัดใครให้มาพบ
และปิ๋มต้องพร้อมที่จะพบพวกเขาทุกเวลา พวกนั้นรวยล้นฟ้าเลยค่ะ บางทีปิ๋มก็ไล่เขากลับทางอ้อม พอเขากลับไปคุณแม่ก็จะทุบๆๆปิ๋มอยากตายแต่ไม่ค่ะ ไม่สมใจ”
“ทำอย่างนี้สะใจกว่าหรือ”
เธอแนบหน้าซบนิ่งอยู่กับแผ่นหลังของเขานิ่งไม่ตอบคำใดๆหากในใจนั้นหม่นมองยิ่งนักเมื่อเธอไม่ตอบเขาก็หยุดพูดเสียงคลื่นลมดังกว่าความเป็นจริงมากนักเมื่อความเงียบคลอบงำ
ถึงที่พัก สัจจะมีอารมณ์ในการสร้างสรรค์ผลงาน เขาร่างภาพได้รวดเรู้วและเป็นรูปเป็นร่างเห็นได้ชัด
“นางเงือกหรือค่ะนี่” ปิ๋มชะโงกหน้าเข้าไปถามจนแก้มชนแก้ม เขาหันมาจูบเบาๆที่แก้มนวล ปารมีเป็นสุขลึกล้ำยิ่งนักโอบรอบบ่าเขารั้งจนหงายหลังทับตัวเอง เขาแกล้งกดร่างไว้อย่างนั้นเธอดิ้นขลุกขลักไม่มีแรงผลักใสให้พ้นได้ ลงท้ายได้แต่ร้องโอยๆๆ
“พี่จ๊ะแกล้งปิ๋ม หนักจังเลย”
“คนอ่อนแอ ไหนดูหน่อยส่วนไหนอ่อนที่สุด”
“แหมบ้า ทะลึ่ง”ปารมีต่อว่า ผุดลุกหนีเข้าห้องโดยมีสัจจะมองตามด้วยดวงตาของเสือจ้องมองลูกกวาง ก่อนรีบตามเข้าไป
ประนาทตัดสินใจว่าจะพึ่งตำหากลูกชอบเที่ยวจะรู้ได้ทันทีว่าไปไหน แต่นี่ปารมีไม่เคยไปไหนมาก่อนเลยจึงเหมือนกับกำลังเดินฝ่าความมืดไปหาเงากระนั้น
ป่านแก้ว มาหาบิดาด้วยท่าทีร้อนใจ เสนอแนะว่า
“ประกาศแจ้งความดีกว่าหายตัวไปเกือบเดือนแล้ว ถูกหลอกไปขายเสียก็ไม่รู้ ตำรวจเขาไม่ได้เบาะแสเลย”
“จ้างนักสืบเถอะค่ะ” เรวดีสอดคำ “คุณอย่าถึงตำรวจเลยเดี๋ยวคุณผจญจะทราบว่าปิ๋มไม่อยู่”
“อย่าได้แม้แต่จะคิดเรื่องหาผู้ชายเชียวนะเรวดี” ประนาทขู่จริงจัง คนเป็นภรรยาปิดปากเงียบ
หากใจยังดื้อด้านคิดแต่ว่าให้ได้ตัวลูกกลับมาก่อนเถอะ ยังไงต้องลากให้แต่งงานกันโดยเร็ว!!



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.ย. 2554, 09:31:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ย. 2554, 09:31:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 2376





<< ตอนที่ 20 วันเวลาที่ผ่านมาของสัจจะ   ตอนที่ 22 เข้าใจผิด >>
saralun 3 ก.ย. 2554, 11:25:56 น.
เชียร์จ๊ะ กับ หนูปิ๋ม อิอิ


kaeka 3 ก.ย. 2554, 12:08:42 น.
อ๊ายยยย จ๊ะออกทะเลได้เนื้อคู่โดยบัดดล แต่งานจะเข้ารึเปล่านี่ ที่ไม่สมหวังกับป่าน เพราะเนื้อคู่จ๊ะเพิ่งจะหนีมาเจอนี่เอง^^
ชอบจิง มิตรภาพ เพื่อนแท้ และความรัก รอขิมขอป่านแต่งงานนะนี่ไหนๆก็เพื่อนก็สนับสนุน ใจตัวก็แน่นอนแล้วช้าอยู่ใย


nutcha 3 ก.ย. 2554, 21:58:09 น.
จ๊ะไดเมียเด็กซะนี่ คิดว่าจะร้างคู่ซะแล้ว


nutcha 3 ก.ย. 2554, 21:58:12 น.
จ๊ะไดเมียเด็กซะนี่ คิดว่าจะร้างคู่ซะแล้ว


Canopus 3 ก.ย. 2554, 22:12:52 น.
ดีจังที่จ๊ะจะมีคู่ซะที


แพม 4 ก.ย. 2554, 03:55:49 น.
จ๊ะได้คนดามอกแล้ว ด่านคุณนายคงไม่เท่าไหร่ (หรือเปล่า) เพราะมีท่านนายพลเป็นโล่อยู่ (เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็นกำแพง) แต่ขิมนี่สิ ยังไม่ชัดเจน


Zephyr 5 ก.ย. 2554, 00:51:42 น.
โห หนูปิ๋มหนีคลุมถุงชนมาเจอคนอกหัก เก่งนะเนี่ยทำจ๊ะตบะแตกได้เลย หุหุ


silverraindrop 6 ก.ย. 2554, 16:17:54 น.
บุพเพอาละวาดจนได้...เอาใจช่วยน้องเค้าให้ จ๊ะรัก จ๊ะหลงค่ะ


OHO 7 ก.ย. 2554, 15:08:18 น.
ดีจัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account