Calculus Tutorial แผนรักฉบับแคลคูลัส
เรื่องราวภายในรั้วมหาวิทยาลัยของ ปุณยวีร์ หรือ ปู นักศึกษาสาวปี 1 สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เธอผู้ถนัดทางด้านวิชาคอมพิวเตอร์ แต่กลับไม่เก่งเอาเสียเลยกับวิชาสายคณิตศาสตร์อย่างแคลคูลัส

แต่เหมือนจะเป็นฟ้าสาปหรือสวรรค์แกล้ง จึงทำให้อดีตพี่ชายร่วมโลกอย่าง จิรันดน์ หรือ พี่บอมบ์ กลับกลายมาเป็นอาจารย์ของภาควิชานี้ เรื่องราววุ่นๆจึงเกิดขึ้น..!!

Tags: นักศึกษา

ตอน: บทที่ 1 : เซตของฉันกับเซตของเธอ


A = {1,2,3,4}

B = {3,4,5,6}

A U B = {1,2,3,4,5,6}

A intersection B = {3,4}



ต้นเดือนสิงหาคม อากาศร้อนอบอ้าวสมกับเป็นฤดูฝน ท้องฟ้าไม่มีแดดมากนัก แต่ก็ไม่มีแม้แต่ลมที่จะช่วยให้จิตใจของเหล่านักศึกษาที่เตรียมสอบมิดเทอมจะเย็นสบายขึ้นได้เลยสักนิด


บนม้านั่งที่วางกระจัดกระจายอยู่รอบๆภาควิชาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ เต็มไปด้วยเหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวในชุดนักศึกษาที่ถูกต้องตรงตามระเบียบ ชุดนักศึกษาชายติดกระดุมเม็ดบนและผูกเนคไท ชุดนักศึกษาหญิงติดเข็มมหาวิทยาลัยเรียบร้อย และการที่แต่งตัวถูกต้องตรงตามระเบียบทุกประการนี่เอง ที่เป็นเหมือนเครื่องชี้บอกให้เห็นว่าพวกเขาเหล่านี้ยังเป็นแค่เด็กปี 1 เท่านั้น


ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมา เสียงพลิกหน้ากระดาษดังคลอกับเสียงขีดเขียน เสียงซุบซิบปรึกษาแนวข้อสอบดังมาจากโต๊ะตัวนั้นตัวนี้ที่มีคนนั่งอยู่ตั้งแต่ 2-3 คนไปจนถึงหลายสิบคน และที่โต๊ะที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าสระน้ำก็มีเด็กสาวสองคนที่กำลังนั่งจมอยู่ท่ามกลางกองหนังสือเช่นกัน


“ข้อนี้เธอทำได้มั้ย?”


เด็กสาวที่รวบผมมัดเป็นหางม้าถามขึ้นด้วยสีหน้าเหมือนคนกำลังท้องผูก ดวงตามองเขม่นใส่ข้อสอบเก่าปีล่าสุดอย่างกับคู่อาฆาต มันเหลือเวลาอีกแค่ 2 อาทิตย์ก็จะถึงวันสอบมิดเทอมแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเธอคนนี้จะยังไม่อาจญาติดีกับ Calculus 1 ได้เลย


“ถ้าทำได้ ป่านนี้ฉันก็คงลุกขึ้นเต้นสวอนเลคไปนานแล้วล่ะ ปู”


สาวผมสั้นตอบด้วยสีหน้าตึงเครียดไม่แพ้กัน มือที่จับดินสอแน่นขึ้นเช่นเดียวกับคิ้วที่ขมวดแล้วขมวดอีกจนแทบคลายไม่ออก บางทีการที่เธอกับปูกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันได้หลังจากที่รู้จักกันในรั้วมหาวิทยาลัยแค่ไม่กี่เดือนนั้น คงเป็นเพราะความไม่เก่งเอาเสียเลยในด้านวิชาคณิตศาสตร์ที่สูสีกันอย่างยากจะหาใครเทียบติด


“แล้วจะทำยังไงดีล่ะ ฟาง ใกล้สอบแล้วด้วย ยังจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง”


เด็กสาวที่ถูกเรียกว่า ปู โอดครวญพลางซบหน้าลงกับกองชีทที่สกปรกด้วยรอยลบครั้งแล้วครั้งเล่า หวังเหลือเกินว่าความรู้จะสามารถออสโมซิสผ่านทางผิวหนังขึ้นมาได้ แต่น่าเสียดายที่มันคงเป็นไปไม่ได้...


“ถึงจะเหลือเวลาอีกตั้ง 2 อาทิตย์ แต่พวกเราต้องสอบตั้ง 7 วิชาเลยนะ แถมแคลฯยังสอบเป็นวันแรกอีก เวลาก็ยิ่งน้อยสุดๆ”


มันช่างเป็นความทุกข์ระทมของนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพียงแค่สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ที่ต้องพบว่า พวกตนกำลังเผชิญกับภัยพิบัติที่มีชื่อว่า Calculus 1 อันเป็นวิชาบังคับของทุกสาขา กล่าวกันว่ามันเป็นวิชาในตำนานที่สามารถชี้ชะตาของนักศึกษาคนหนึ่งได้ หลายคนที่ต้องลิ้มรสกับเกรด D ตั้งแต่เทอมแรกที่เข้าเรียน หลายคนยิ่งกว่าที่จำเป็นต้องดรอปวิชานี้ทันทีหลังจากคะแนนมิดเทอมออกเพื่อป้องกัน F หลายคนกว่านั้นที่ต้องได้เห็นเกรดที่น่ารังเกียจที่สุดปรากฏอยู่บนใบแจ้งเกรดของตน และ F ที่แสนน่ารังเกียจตัวนั้นก็จะกลายมาเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พวกเขาต้องถูกรีไทร์


จากสถิติที่ทางมหาวิทยาลัยรวบรวมไว้ พบว่า ทุกๆปีจะมีนักศึกษาประมาณ 30% ของทั้งมหาวิทยาลัยทำเรื่องขอดรอป Calculus 1 หลังจากที่รู้ผลสอบมิดเทอม ทั้งนี้อันเนื่องมาจากกฎของมหาวิทยาลัยที่อนุญาตให้นักศึกษาสามารถทำเรื่องขอดรอปวิชานั้นๆได้ภายใน 2 อาทิตย์หลังจากทราบผลสอบมิดเทอม หลังจากนั้นจะไม่อนุญาตให้มีการดรอปอีก ดังนั้นเองเพื่อเป็นการป้องกัน F บนใบแจ้งเกรด หลายคนที่ไม่แน่ใจว่าตนเองจะเอาชีวิตรอดได้จึงย่อมทำเรื่องดรอปเสียก่อน


แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งที่จำนวนนักศึกษาที่ดรอปหลังมิดเทอมมีมากถึง 30% แต่เมื่อผลสอบไฟนอลออก ก็จะพบว่ามีนักศึกษาอีกถึง 20% ด้วยกันที่ติด F จากวิชานี้ และเมื่อ 2 ปีก่อนนี้เองที่อาจารย์ผู้ออกข้อสอบได้ทำสถิติสูงสุด ด้วยการทำให้นักศึกษาปี 1 ถึง 70% ของทั้งมหาวิทยาลัยสอบตกวิชา Calculus 1!!


ในตอนนั้นมันกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนถึงกับอธิการยังต้องออกมาจัดการเรื่องวุ่นวายนี้ด้วยตัวเอง ปีนั้นนักศึกษาจึงได้รับอนุญาตให้ทำเรื่องดรอปหลังจากรู้ผลสอบไฟนอลแล้วเป็นกรณีพิเศษ และมันก็กลายเป็นอีกหน้าหนึ่งของเรื่องเล่าชวนสยองในรั้วมหาวิทยาลัย


และในปีนี้ก็เป็นอีกปีที่จะต้องมีคนจำนวนหนึ่งต้องพานพบกับเรื่องราวสยองขวัญนั้น..!!?


ปุณยวีร์ หรือ ปู ถอนใจเฮือกก่อนจะพบว่ามันไม่ใช่แค่เธอที่ถอนหายใจออกมาในเวลานั้น แต่มันรวมถึงเพื่อนสนิทอย่างฟาง และเพื่อนคนอื่นๆที่นั่งโต๊ะข้างเคียงที่ต่างก็มีสีหน้าของคนที่สิ้นหวังแล้วกับชีวิตไม่แพ้กัน นั่นก็เพราะว่า....


“เซตเป็นภาษาคณิตศาสตร์ ใช้แทนกลุ่มคน สิ่งของ หรือตัวเลข ยูเนียนของเซต A และ B คือเซตที่ประกอบด้วยสมาชิกซึ่งเป็นสมาชิกของเซต A หรือ เซต B หรือของทั้งสองเซต เขียนแทนด้วย A U B


อินเตอร์เซคชั่นของเซต A และ B คือเซตที่ประกอบด้วยสมาชิกซึ่งเป็นสมาชิกทั้งในเซต A และ เซต B .....เรื่องแบบนี้ถึงรู้ไปก็ทำข้อสอบไม่ได้อยู่ดี!!”


เสียงท่องตำรากลับกลายเป็นเสียงที่ดังจนแทบเป็นตะโกน มือเรียวกระแทกสันหนังสือแคลคูลัส 1 ลงกับโต๊ะดังปัง ถือโอกาสระบายความหงุดหงิดออกมาผ่านทางเสียงและการกระทำของตน..กับความอยุติธรรมที่ว่า เนื้อหาในหนังสือและแบบเรียนนั้นมักจะง่ายกว่าข้อสอบเสมอ


“ก็นั่นน่ะสิ! ในหนังสือล่ะเขียนซะง่าย แต่ทีในข้อสอบเก่านี่ดันมีทั้งเซต ลิมิต อนุพันธ์ อะไรก็ไม่รู้ ของแบบนี้ใครมันจะไปทำได้!!”


เด็กหนุ่มชื่อ แชมป์ ช่วยร่วมอุดมการณ์ด้วยการทุบโต๊ะดังโครมใหญ่ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงสูดปากจากความเจ็บ มือที่สะบัดเร่าๆแทบไม่ได้รับความเห็นใจจากเพื่อนๆที่ต่างก็กำลังกลัดกลุ้มใจในเรื่องเดียวกัน กับความจริงที่ว่าถ้ายังคงเป็นแบบนี้ต่อไปแล้วล่ะก็..พวกเขารวมแล้วกว่าสามสิบชีวิตคงได้จูงมือกันดรอปวิชานี้แน่ๆ


“ทำไม่ได้ก็ต้องหาทางทำให้ได้” ฟางว่าอย่างปลงตก “อ.สุชาติไม่มีทางให้คะแนนนายแค่เพราะเขียนกลอนสรรเสริญครูบาอาจารย์ลงไปในกระดาษคำตอบแน่ ดีไม่ดีมีหวังอาจารย์จะเอามาอ่านประจานให้ฟังหน้าชั้นล่ะไม่ว่า”


“อาจารย์ที่นี่จะโหดไปไหนเนี่ย” เด็กหนุ่มร้องโหยหวน มือยกขึ้นกุมขมับที่เริ่มปวดแปล๊บๆอย่างน่ากลัวไมเกรนกำเริบ ดูเหมือนว่าคะแนนสอบมิดเทอมเต็ม 45 คะแนนนี่จะดูได้มายากเย็นเสียเหลือเกิน “อาจารย์ไม่คิดจะให้ค่าน้ำหมึกพวกเรากันหน่อยรึไง โหดร้าย...”


“ชู่ว! เบาๆหน่อย มีคนเดินมาโน่นแล้ว”


ฟางรีบให้สัญญาณให้เหล่าเพื่อนๆที่ตั้งท่าจะนินทาอาจารย์ต่อต่างก็รีบงับปากลงอย่างทันท่วงที ทั้งหมดต่างหันมาก้มหน้าก้มตามองชีทบนโต๊ะด้วยท่าทางขยันเรียนสุดชีวิต แม้กระนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะลอบปรายตามองไปยังคนที่กำลังเดินใกล้เข้ามา ก่อนที่ปูจะรีบก้มหน้าลงกระซิบถามลอดไรฟันอย่างสงสัย


“นั่นใครน่ะ?”


มันยากที่จะละเลยความอยากรู้ไปได้ ด้วยเพราะชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าสะอาดตาที่กำลังเดินผ่านเข้ามาในคณะนั้น ให้อย่างไรก็ไม่มีทางจะเป็นนักศึกษาไปได้ หรือถ้าจะบอกว่าเขาคนนี้เป็นนักศึกษาปริญญาโท ก็ไม่น่าที่จะมีเด็กบางคนยกมือขึ้นไหว้ แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นอาจารย์แล้วล่ะก็..นี่มันจะไม่หนุ่มไปหน่อยหรือ?


“นั่น อ.จิรันดน์ ไงล่ะ” แอนกระซิบตอบพลางมองอาจารย์หนุ่มรูปหล่อด้วยสายตาเคลิ้มฝัน “ปูไม่รู้จักสินะ อ.จิรันดน์เป็นอาจารย์พิเศษที่ทางคณะเชิญมาสอนวิชาคอมฯของพวกปี 4 แทนอ.สุกัญญาที่ลาคลอดน่ะ น่าอิจฉาพวกพี่ปี 4 จะตายได้อาจารย์หล่อๆแบบนี้มาสอนด้วย”


“แล้วไม่ใช่แค่หล่ออย่างเดียวนะ” มินท์รีบบรรยายสรรพคุณต่อ “ได้ยินว่า อ.จิรันดน์เป็นศิษย์เก่าที่นี่แล้วพอเรียนจบก็ได้ทุนไปต่อปริญญาโทที่เยอรมัน เพิ่งจะสำเร็จการศึกษาแล้วกลับมาไทยได้ไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง”


ว่าจบก็ตามด้วยข้อมูลอีกมากมายของอาจารย์หนุ่มตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าๆไปจนถึงสัดส่วน ฐานะทางบ้านที่จัดได้ว่าดีมาก ครอบครัวที่มีพ่อแม่กับน้องชายอีกหนึ่ง แล้วยังดีกรีความรู้..อย่างที่หากว่าเขาเป็นยาแก้ไอแล้ว สรรพคุณของอ.จิรันดน์ก็คงไม่ต่างไปจากยาที่มีราคาสูงมากจนยากจะหาได้ในท้องตลาด หรือก็คือเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงเป็นอาหารตาที่ดีอยู่นั่นเอง...


“ถ้าสรรพคุณดีขนาดนี้ แสดงว่าพวกสาวๆในภาคเราก็ต้องตามตื๊ออาจารย์กันน่าดูเลยสิ”


ปุณยวีร์ถามพลางพยายามยืดคอมองชายหนุ่มที่กำลังหยุดยืนตอบคำถามของนักศึกษาชั้นปี 4 แต่น่าแปลกที่แม้จะมีสายตาหลายต่อหลายคู่ลอบมองไปยังอาจารย์หนุ่ม แต่กลับแทบไม่มีสาวคนไหนเลยที่จะลุกขึ้นไปหาอาจารย์..ทั้งที่นานๆจะมีหล่อขนาดนี้ผ่านมาในภาคแท้ๆ


“ไม่มีใครกล้าตื๊ออาจารย์หรอก” เพื่อนสาวตอบพลางส่ายหน้า “เหตุผลก็เพราะ...”


คำพูดที่พลันหยุดลงแค่นั้น เมื่อเสียงซุบซิบจากสาวๆเรียกสายตาของอาจารย์ให้หันมามองแบบกราดผ่าน และเพียงแค่ได้มองสบกับดวงตาคมดุที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกรอบแว่นสีใสคู่นั้น ดวงตาที่เหมือนจะสัญญาถึงการหักคะแนนความประพฤติแบบไม่ให้เหลือแม้แต่แต้มเดียวของอีกฝ่าย มันก็มากพอที่จะทำให้เหล่าคนช่างนินทาต่างก็รีบงับปากลงอย่างรวดเร็ว ไม่เว้นแม้แต่คนชอบอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านอย่างปุณยวีร์ ผู้เพียงแค่มองสบตากับอาจารย์เพียงแวบเดียว ก็รีบเบนสายตาหลบไปหานกหาไม้ทางอื่นทันที


“อื้อหือ ตาดุจัง!” ปุณยวีร์ทำคอหด ไม่รู้ว่าเป็นอุปาทานหรืออย่างไรจึงทำให้เธอรู้สึกว่าดวงตาของเขาชะงักอยู่ที่เธอชั่วขณะ “มิน่าล่ะ ถึงเห็นมีแต่พวกสาวๆคอยแอบมอง แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปหาอาจารย์เลย”


“แน่อยู่แล้ว เห็นหล่อๆแบบนั้นโหดเอาเรื่องเลยนะ แถมได้ยินมาว่าเมื่อเดือนก่อนมีพี่ปี 3 คนนึงพยายามไปจีบอาจารย์ ก็เลยโดนสวดยับแถมหักคะแนนเรียบเลยล่ะ”


“บรื๊อ! น่ากลัวจัง”


ไหล่บางทำท่าสั่นสะท้านจากอาการขนลุกแบบเกินจริง รอยยิ้มใสๆประดับบนใบหน้าหมดจดของปุณยวีร์อย่างคนที่มีนิสัยร่าเริงอยู่เสมอ กระนั้นแล้วรอยยิ้มนั้นก็ยังต้องกลายเป็นยิ้มค้างไป เมื่อเพื่อนๆของเธอที่นั่งอยู่ตรงข้ามต่างก็ชะงักนิ่ง ก่อนจะตามด้วยเสียงกระซิบแผ่วหวิวราวแมงหวี่


“เฮ้ย..อ.จิรันดน์กำลังเดินมานี่แล้ว”


ไวเท่าความคิด มือทุกข้างของคนรอบๆต่างก็คว้าหนังสือขึ้นมาทำท่าอ่านอย่างขะมักเขม้น จริงอยู่ว่าอ.จิรันดน์อาจจะไม่ใช่อาจารย์ที่สอนพวกเธอโดยตรง แต่ว่า..ภายใต้การจับจ้องจากดวงตาที่เข้มงวดถึงเพียงนั้น มันก็มากพอที่จะทำให้เหล่านักศึกษาต่างก็พร้อมใจที่จะทำตัวเป็นคนขยันขึ้นมาอีกนิด


แน่นอนว่าปุณยวีร์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น มือขาวๆรีบคว้าชีทขึ้นมาทำท่าอ่าน ในตำแหน่งที่เด็กสาวนั่งอยู่ซึ่งเป็นการนั่งหันหลังให้กับทางเดิน จึงย่อมไม่อาจเห็นว่าอาจารย์เดินผ่านไปแล้วหรือไม่ เธอจึงได้แต่ก้มหน้าลงมองตัวเลขที่น่าเวียนหัวในกระดาษ พร้อมกับรอคอยสัญญาณอะไรสักอย่างจากเพื่อนของเธอว่าคนคนนั้นเดินผ่านไปแล้ว


ทว่า..น่าเสียดายที่ปุณยวีร์คงไม่มีทางที่จะได้รับสัญญาณนั้น นั่นเพราะ...


“สวัสดีครับ นักศึกษา”


เสียงนุ่มทุ้มพลันดังขึ้นอย่างที่ทำให้ร่างโปร่งถึงกับสะดุ้งสุดตัว ไม่จำเป็นที่ปุณยวีร์จะต้องหันไปดูก็ยังรู้ว่าเสียงนั้นดังมาจากข้างหลัง และเพียงแค่มองเงาที่ทอดยาวทับลงมาบนตัว..เธอก็รู้ว่าเขาคนนั้นไม่ใช่แค่ยืนอยู่แถวๆด้านหลัง แต่เป็นกำลังยืนอยู่ข้างหลังของเธอ..!?


แต่ทำไมล่ะ?


ความคิดวิ่งปราดอย่างรวดเร็ว ปุณยวีร์มั่นใจว่าเธอไม่ได้ทำอะไรให้เป็นที่สะดุดตาหรือระคายเคืองใจแก่ท่านอาจารย์ผู้นี้ เธอมั่นใจว่าเธอไม่ได้แอบมองเขามากไปกว่าที่สาวๆคนอื่นแอบมอง เธอมั่นใจว่าวันนี้เธอยังไม่ได้เผลอทำอะไรที่ผิดระเบียบจนถึงกับให้อาจารย์ต้องมาตักเตือน ก็ถ้าอย่างนั้นแล้วอ.จิรันดน์จะมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเธอทำไม?


ท่ามกลางความคิดอันวุ่นวาย มือเรียวยาวเอื้อมเข้ามาดึงชีทออกจากมือของเด็กสาว มือข้างนั้นช่วยพลิกชีทที่อยู่ในสภาพกลับหัวกลับหางให้กลับมาอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง ก่อนจะส่งคืนให้แก่คนที่รับมันคืนมาด้วยอาการตัวแข็งทื่อ


“เธอชื่อปุณยวีร์ ชื่อเล่นว่า ปู สินะ?”


คำถามที่ทำให้ร่างบางถึงกับสะดุ้ง เวลานี้แม้จะยังอยู่ในสภาพนั่งหันหลังให้ หากปุณยวีร์ก็มั่นใจเต็มร้อยว่าอาจารย์กำลังเพ่งเล็งมาที่เธอ และยังเพ่งเล็งมามากพอที่จะรู้แม้แต่ชื่อของเธออีกด้วย!?


‘นี่เธอไปแอบก่อเรื่องอะไรมาน่ะ ปู?’


ฟางผู้ก้มหน้าลงจนแทบชิดกับโต๊ะทำปากพะงาบๆถามผู้เป็นเพื่อนที่หน้าซีดจนไม่รู้จะซีดมากกว่านี้ได้อย่างไร แต่น่าเสียดายที่ปุณยวีร์ก็ไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้เช่นกัน


แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไง!?


อย่างช้ามากถึงมากที่สุด เด็กสาวค่อยๆหันหน้ามาหาคนที่ยืนค้ำหัวเธออยู่ รอยยิ้มหวานแต่งแต้มบนริมฝีปากอย่างเต็มฝืน เมื่อจำต้องเอ่ยสารภาพความผิดเดียวที่เธอพอจะนึกออกออกมา


“เอ้อ..อาทิตย์นี้หนูวิ่งข้ามถนนหน้าม.โดยไม่ขึ้นสะพานลอยแค่ 2 ครั้งเองนะคะ เพราะงั้นอาจารย์ช่วยอย่าหักคะแนน....”


“ไม่ใช่เรื่องพวกนั้นหรอกน่า”


จิรันดน์ขัดขึ้นก่อนที่เด็กสาวจะทันได้สารภาพบาปจนจบ ดวงตาภายใต้กรอบแว่นดูจะอ่อนแสงลงนิดหนึ่ง เมื่อมองมายังร่างบางที่มีท่าทางกระสับกระส่าย วงหน้าอ่อนเยาว์ไร้เครื่องสำอางพยายามที่จะฝืนยิ้มสู้ให้แก่เขา กระนั้นก็ยังแทบไม่อาจลบเลือนความไม่สบายใจบนสีหน้าได้แม้แต่น้อย และนั่นก็ทำให้อาจารย์หนุ่มกลับเป็นฝ่ายยิ้มออกมา


...เพราะเธอคนนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย...


“ไม่ได้เจอกันเสียนานนะ..น้องปู”


“หา!!?”


ใครอ้ะ!!?


ดวงตากลมโตกวาดมองตั้งแต่หัวลงมาจรดปลายเท้าของชายตรงหน้า ก่อนจะมองจากปลายรองเท้าสีดำผ่านกางเกงแสล็คเนื้อดีขึ้นไปถึงเสื้อเชิ้ตสีฟ้าสะอาด แล้วหยุดอยู่ที่ใบหน้าของคนที่ทักทายเธอเหมือนรู้จักดีเสียเต็มประดา ทั้งๆที่เธอไม่เห็นจะจำเขาได้เลยสักนิด


มั่วนิ่มเปล่าอะพี่?


ถ้าคนตรงหน้าเป็นแค่เพื่อนหรืออย่างน้อยก็รุ่นพี่ ปุณยวีร์คงไม่ลังเลเลยที่จะถามคำถามนั้นออกไป แต่เพราะว่าคนตรงหน้าเป็นหนึ่งในอาจารย์ของภาควิชาที่เธอเรียนอยู่ และเพราะอย่างนั้นเด็กสาวจึงได้แต่พยายามหุบปากที่อ้าค้างเข้าหากัน ก่อนจะทักทายตอบเสมือนว่ารู้จัก


“จริงด้วยสินะคะ อาจารย์ ไม่ได้เจอกันนานเลย”


ร่างบางตอบทั้งรอยยิ้มหวาน มือยกขึ้นเกาหัวแกรกๆพยายามขุดความทรงจำขึ้นมาคิดว่าคนตรงหน้าคือใครกันแน่ หากน่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าจิรันดน์ก็จะรู้เช่นกันถึงการแกล้งเนียนตอบเสมือนว่าจำได้ของอีกฝ่าย...


“ไม่ได้เจอกันหลายปีก็จำไม่ได้แล้วเหรอ น่าผิดหวังจังนะ น้องปู”


อีกครั้งกับสรรพนามที่เรียกว่า ‘น้อง’ และถึงว่านี่จะเป็นครั้งที่สองแล้วที่เธอถูกเรียกด้วยคำว่าน้องจากอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะเป็นครั้งไหน มันก็ยังสั่นคลอนเส้นประสาทของปุณยวีร์ได้ทุกครั้ง กับการที่ต้องถูกอาจารย์เรียกหาเช่นนี้!?


“เอ้อ....อาจารย์พอจะบอก...”


“ได้สิ บอกได้อยู่แล้ว”


มันเป็นอีกครั้งกับรอยยิ้มที่หาดูได้ยากของหนุ่มหล่อ แต่ในขณะเดียวกันสำหรับคนที่ยืนเผชิญหน้ากับคนที่ไม่ใช่แค่หนุ่มหล่อ แต่เป็นอาจารย์หนุ่มหล่อที่อาจจะกุมคะแนนเก็บของเธอไว้ในมือแล้ว ปุณยวีร์ก็พบว่าตนเองไม่สามารถที่จะเคลิ้มไปกับรอยยิ้มของเขาได้เลยสักนิด


แน่ล่ะว่าโดยเฉพาะเมื่อเพื่อนร่วมภาคต่างก็กำลังแอบมองมาจากทุกทิศทุกทางแบบนี้!!


“ตอนเธออายุ 5 ขวบ เธอตัดสินใจว่าการกินหนังสือจะทำให้เธอฉลาดขึ้น เพราะงั้นเธอก็เลยพยายามกินหนังสือวิชาสังคมลงไป โชคดีที่พี่มาช่วยชีวิตหนังสือสังคมเล่มนั้นทันก่อนที่เธอจะแทะหน้าปกขาด”


“หา...!!?”


“ตอนเธออายุ 7 ขวบ เธอมานอนค้างที่บ้านพี่ แล้วก็ทำให้พี่ติดอีสุกอีใสจากเธอ ก่อนพี่จะต้องสอบเข้ามัธยมประมาณ 1 อาทิตย์”


“อะ..”


“ตอนเธออายุ 8 ขวบ เธอต้องเข้าโรงพยาบาลไปผ่าตัดไส้ติ่ง แล้วเธอก็กลัวผีจนนอนร้องกรี๊ดๆทั้งคืน จนพวกพยาบาลตกใจนึกว่าไฟไหม้”


“คะ...คุณคือ...”


“แล้วปีที่พี่กำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอก็ตัดสินใจจะมาเล่นจุดประทัดปีใหม่ที่บ้าน จนบ้านพี่เกือบไฟไหม้ แถมหนังสือเตรียมสอบของพี่บางเล่มก็ปกเกรียมเพราะเธอขว้างประทัดไม่ดูตาม้าตาเรือ...” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถึงตรงนี้ ใบหน้าหล่อเหลาก็ก้มลงมาหาเด็กสาวพร้อมด้วยรอยยิ้มจางๆ “ทีนี้..จำพี่ได้แล้วรึยัง น้องปู..”


“พะ..พี่บอมบ์!!?”


ปุณยวีร์เอ่ยนามที่แทบลืมเลือนไปจากความทรงจำด้วยระดับเสียงเดียวกับเวลาร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเพลิงไหม้ มันเป็นสัญชาตญาณล้วนๆที่ทำให้เธอถลาเข้าไปฉุดแขนของอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะลากตัว ‘คนที่เธอเคยรู้จัก’ ออกไปจากที่นั่นทันที!!


ทิ้งไว้แต่สายลม และฝุ่นที่ตลบขึ้นมาจากความเร็ว....



วิ่ง วิ่ง วิ่ง เธอต้องวิ่ง!!


บนทางเดินที่ทอดยาวจากภาควิชาหนึ่งไปอีกภาควิชาหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งกำลังวิ่งด้วยความเร็วที่เหมือนมีปีศาจไล่ตาม และในความเป็นจริงแล้ว มันก็มีใครคนหนึ่งกำลังไล่ตามเธอมาจริงๆ นั่นเพราะมือของเด็กสาวที่คว้าจับข้อมือของชายหนุ่มไว้มั่น ก่อนจะใช้กำลังลากคนคนนี้ให้ตามมา..แม้ว่าเธอจะยังไม่รู้เลยก็ตามที ว่าควรจะไปวิ่งไปที่ไหน


“พี่คงไม่ได้ขอมากไปใช่มั้ย ถ้าจะหวังว่าเธอจะไม่วิ่งพาพี่หนีเข้าไปในห้องน้ำหญิงแบบนางเอกหนังน่ะ?”


จิรันดน์เอ่ยขึ้นลอยๆ ก่อนที่ผู้ถูกลากตัวจะกลับกลายเป็นฝ่ายลากตัวอีกฝ่ายไว้แทน ด้วยการหยุดยืนนิ่งเพื่อให้ปุณยวีร์ต้องพลอยชะงักเท้าไปด้วย


“ถ้าอยากหาที่สงบๆคุยกันล่ะก็ ตามพี่มาดีกว่าน้องปู”


ว่าทั้งรอยยิ้มอย่างที่ทำให้คนที่มีคดีความติดตัวกับอีกฝ่ายอยู่ถึงกับหนาวเยือก ข้อมือแกร่งบิดออกจากการเกาะกุมของเด็กสาวอย่างง่ายดาย เมื่อเลือกจะเป็นฝ่ายเดินนำหน้า โดยเชื่อเหลือเกินว่าน้องสาวร่วมโลกของเขาคนนี้จะต้องตามมา


และปุณยวีร์ก็เดินตามมาอย่างว่าง่ายดังคาด ร่างโปร่งก้มหน้างุดพยายามไม่สนใจสายตาที่ลอบมองมาจากรอบข้าง เธอรู้เสียยิ่งกว่ารู้ว่าภายใน 1 วันเรื่องนี้จะกลายเป็นข่าวลือที่ปิดกันให้แซ่ดในภาค และภายใน 3 วันข่าวลือนี้ก็จะแตกแขนงออกไปในทางที่เหลือเชื่อมากขึ้น แต่ว่าสำหรับเธอในตอนนี้ก็ยังไม่มีกะใจจะห่วงเรื่องข่าวลือ มากไปกว่าห่วงเรื่องความปลอดภัยของชีวิตตนเอง นั่นเพราะ..แม้ว่าเธอกับเขาจะได้พบกันครั้งสุดท้ายเมื่อหลายปีมาแล้วก็ตาม แต่ว่าปุณยวีร์ก็ยังจำได้ดีว่าเธอกับเขาคนนี้..ไม่เคยเลยที่จะญาติดีกัน!?


มันเป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน โดยไม่รู้ฟ้าสาปสวรรค์สร้างแต่อย่างใดจึงทำให้มีผู้หญิงสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกันมาก ชวนพิศและวิยดารู้จักสนิทสนมกันแต่เด็กและเมื่อเติบโตขึ้นก็แต่งงานมีสามี และมีลูก โดยที่ความสนิทสนมนั้นก็ยังไม่เคยจะลดน้อยลง


ชวนพิศแต่งงานกับนายแพทย์และมีลูกชายด้วยกัน 2 คน ขณะที่วิยดานั้นแต่งงานกับผู้จัดการโรงแรมแห่งหนึ่ง และมีลูกสาวเพียงคนเดียวที่อายุน้อยกว่าลูกชายทั้งสองของเพื่อนรักอยู่หลายขวบปี พวกเธอยังคงติดต่อสนิทสนมกัน และพาลูกๆมาแนะนำให้รู้จักกันและเล่นด้วยกันอยู่เสมอ


สำหรับปุณยวีร์แล้ว...เมื่อจำความได้เธอก็รับรู้ว่ามีพี่ชายร่วมโลกอยู่ 2 คน คนหนึ่งชื่อว่า พี่บีม ซึ่งมีอายุมากกว่าเธอแค่ 3 ปีและยังรักสนุก ชอบก่อเรื่องวุ่นวายอย่างที่เข้ากับเธอได้ในทุกๆด้าน ขณะที่พี่บอมบ์นั้นอาจเป็นเพราะเขาอายุมากกว่าเธออยู่หลายปี จึงทำให้ภาพพจน์ของเขาในความทรงจำของเธอดูจะน่ากลัวอยู่มาก ทั้งนิสัยเงียบขรึม เอาจริงเอาจังแบบพี่ชายคนโต จึงทำให้เธอสนุกที่จะได้แอบหาเรื่องก่อกวนเขาอยู่เสมอ


ปุณยวีร์ทุ่มเทเวลาในวัยเด็กไปกับการเล่นซนกับพี่ชายคนรอง และปณิธานที่จะก่อกวนพี่ชายคนโตในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ พวกเธอต่างก็สนิทสนมกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ หรือจะว่าไปแล้วจากเท่าที่เคยฟังจากแม่มา เหมือนว่าพี่บอมบ์อาจจะเคยแม้แต่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้เธอด้วยซ้ำไป!


จนกระทั่งโรงแรมได้เปิดสาขาใหม่ที่ต่างจังหวัดและพ่อของเธอถูกย้ายให้ไปประจำอยู่ที่นั่น แม่และเธอจึงได้ย้ายตามไปด้วย ภาพของพี่ชายทั้งสองที่มายืนส่งที่สถานีรถทัวร์คือภาพสุดท้ายที่ปุณยวีร์ได้เห็นพวกเขา แล้วหลังจากนั้นเส้นทางชีวิตของเขากับเธอก็ไม่เคยจะตัดผ่านกันอีกเลย แม้ว่าพวกผู้ใหญ่จะยังคงติดต่อกันอยู่ แต่สำหรับเด็กๆที่ต่างก็เริ่มเติบโตแล้ว บางครั้งเรื่องราวในวัยเยาว์ก็เป็นสิ่งที่ลืมเลือนได้ง่ายเหลือเกิน


และถ้าเป็นไปได้ การลืมไปเลยนั้นก็อาจจะเป็นเรื่องดีที่สุด!!


ปุณยวีร์กัดฟันกรอดเมื่อก้าวตามเข้าไปในห้องพักอาจารย์ที่ทางคณะจัดสรรแยกให้เป็นส่วนตัวห้องละคน แม้แต่อาจารย์พิเศษที่จะสอนแทนเพียงแค่ปีเดียวก็ยังได้รับห้องส่วนตัวเช่นกัน และในเวลานี้เธอกับเขาก็กำลังนั่งเผชิญหน้ากันโดยมีโต๊ะคั่นกลาง


“อาจารย์...”


“หืมม์? ตะกี้เรียกพี่ว่าไงนะ น้องปู?”


จิรันดน์โคลงศีรษะน้อยๆ ก่อนจะแสร้งทำท่าเหมือนกำลังเงี่ยหูฟังใหม่


“...........พี่บอมบ์”


“ผิดแล้ว อยู่ที่มหาวิทยาลัยต้องเรียกพี่ว่าอาจารย์สิ”


งั้นแล้วเมื่อกี้นายขัดฉันทำไมล่ะยะ!!


ถ้าดวงตาของปุณยวีร์สามารถพ่นไฟออกไปฆ่าคนได้ล่ะก็ ร่างของจิรันดน์ก็คงจะมอดไหม้จนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่านไปนานแล้ว แต่เพราะดวงตาของเธอไม่อาจปล่อยไฟหรือลำแสงพิฆาตได้ สิ่งเดียวที่ปุณยวีร์มีจึงเป็นเพียงการมองผู้ชายที่กวนอย่างเหลือเชื่อด้วยสายตาอาฆาตเท่านั้น


“ยังขี้โมโหเหมือนเดิมเลยนะเรา” จิรันดน์ว่าเสียงขัน มันช่างน่าสนุกสนานนักกับการได้เอาคืนเล็กๆน้อยๆจากยัยตัวแสบนี่ “พี่แค่อยากจะบอกว่าเวลาอยู่ที่มหาวิทยาลัย พี่กับเธอจะต้องปฏิบัติตัวเหมือนอาจารย์กับนักศึกษา แต่ถ้าอยู่นอกมหาวิทยาลัย พี่ก็อยากให้เธอเรียกพี่เหมือนแต่ก่อนนะ น้องปู”


“งั้นมันก็คงจะสายไปแล้วล่ะค่ะ!” ปุณยวีร์แดกดันใส่อย่างอดไม่ได้ “ในเมื่ออาจารย์เล่นทักทายซะโจ่งแจ้งแบบนั้น ป่านนี้ใครต่อใครคงเอาไปลือให้ทั่วกันแล้ว”


“ถ้าพูดอย่างงั้นแสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจนะครับ นักศึกษา” รอยยิ้มบางปรากฏบนมุมปากได้รูป มันเป็นรอยยิ้มของคนที่ถือไพ่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด “ถึงเด็กในภาคจะเอาไปลือกันสักแค่ไหน แต่จะไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้ามาลือต่อหน้าผม แต่ไม่ใช่ต่อหน้าคุณ..”


ถ้าเอากำปั้นชกหน้าอาจารย์แล้วไม่สอบตก ปุณยวีร์กล้าสาบานต่อพระเจ้าว่าเธอจะซัดเขาให้น่วมเสียเดี๋ยวนี้ เพราะประโยคที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโสนั่นมันบอกชัดว่าเขาอาจรู้ผลกระทบของสิ่งที่ตนเองทำมาตั้งแต่ต้นแล้วก็เป็นได้


แน่ล่ะว่าจะไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าเอาข่าวลือไร้สาระนี้ไปพูดให้อาจารย์ได้ยิน แล้วมันก็แน่นอนพอกันที่หลังจากวันนี้ไป เธอจะต้องทนกับข่าวลือที่จะซัดใส่เข้ามายิ่งกว่าน้ำป่า และถ้าลางสังหรณ์ในแง่ร้ายที่สุดเป็นจริงแล้วล่ะก็ สิ่งที่เธอต้องตั้งรับอาจไม่ใช่แค่ข่าวลือ แต่อาจเป็นสายตาทิ่มแทงจากเหล่าสาวๆที่หมายปองหนุ่มหล่อด้วยนี่สิ


“ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ล่ะก็..หลังจากนี้ฉันจะไม่แอบมองหนุ่มหล่อที่ไหนอีกเลย..”


ปุณยวีร์ว่าด้วยเสียงเกือบสะอื้น ใครเล่าจะคาดว่าการเผลอสบตากับหนุ่มหล่อเพียงแวบเดียว จะนำมาซึ่งสารพัดเรื่องวิบัติแบบนี้


“ขอบคุณนะครับที่ชมพี่ตรงๆ” นิ้วเรียวขยับแว่นน้อยๆ พลางมองมายังคนที่ทำท่าเหมือนจะทรุดลงตรงหน้า “ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมพี่ถึงรู้ว่าเธอมาเข้าเรียนที่นี่”


“ปูไม่เห็นอยากจะรู้เลย” ร่างบางสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างหงุดหงิด ลืมตัวโดยสิ้นเชิงว่าเผลอใช้ชื่อเล่นเรียกแทนตนเองกับเขาอย่างเมื่อหลายปีก่อน “อย่างพี่บอมบ์ก็คงแค่เผอิญเห็นปูเข้า เลยเดินมาหาเรื่องล่ะมั้ง”


“เปล่า พี่รู้ว่าเธอมาเข้าเรียนที่นี่ตั้งแต่วันแรกที่เปิดเทอมแล้ว” ร่างสูงตอบทั้งรอยยิ้ม “คุณอาวิยดาเป็นคนบอกน่ะ”


“แม่บอก???”


ปุณยวีร์หันหน้ากลับมาหาอย่างงุนงง ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองพี่ชายร่วมโลกของเธออย่างไม่เข้าใจเลยสักนิด


“ทำไมแม่ปูถึงต้องโทรมาบอกพี่บอมบ์ด้วยล่ะว่าปูเรียนที่นี่?”


“อืมม์..ขอพี่ลองทบทวนดูสักนิดนะ เธอที่ไม่เคยไปพ้นแถวบ้านตัวเองได้โดยไม่หลงทาง เธอที่อาศัยอยู่แต่ในต่างจังหวัดมาหลายปี และเธอที่ตอนนี้เข้ามาเช่าหอพักอยู่ในกรุงเทพตามลำพัง...พี่ก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมคุณอาวิยดาถึงได้เป็นห่วงลูกสาวคนเดียว จนถึงกับต้องโทรมาฝากให้พี่ช่วยดูแลน่ะ”


ถ้าก่อนหน้านี้คำพูดที่จิรันดน์เอ่ยออกมาคือการฮุคซ้ายแบบเต็มเหนี่ยว ประโยคเมื่อครู่ก็ไม่ต่างไปจากการฮุคขวาตามด้วยอัดเข้ากลางลำตัว ปุณยวีร์พยายามตั้งการ์ดขึ้นรับ แต่น่าเสียดายที่เวลาหลายปีที่เธอไม่ได้พบกับเขาและสถานะอาจารย์กับนักศึกษาในเวลานี้ ดูจะทำให้เธอกลับไร้หนทางสู้โดยสิ้นเชิง


ร่างบางเม้มปากแน่น ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายบอก ปุณยวีร์ก็รู้ว่าพี่ชายของเธอคนนี้ยังไม่ลืมความแค้นแต่เก่าก่อน ตอนที่เธอยังเด็กและถือปณิธานหลักในชีวิตคือการทำให้ชีวิตของจิรันดน์วุ่นวายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอเคยแม้แต่แอบทำอาหารให้กินจนอีกฝ่ายอาหารเป็นพิษมาแล้ว และในเวลานี้ดูเหมือนว่าอายุที่มากขึ้นจะไม่ทำให้เขาคนนี้ใจกว้าง แล้วลืมเลือนอดีตนั่นไปเสียเลย


“อย่าห่วง พี่ไม่ได้คิดแค้นเรื่องเมื่อก่อนอะไรนั่นหรอก”


โกหก!!


ปุณยวีร์เถียงกลับอยู่ในใจ ให้อีกฝ่ายอมพระทั้งวัดมาพูด เธอก็ไม่มีทางเชื่อคำพูดนี้เด็ดขาด!!


“เอาเป็นว่าปูรู้แล้วว่าพี่บอมบ์ทำงานอยู่ที่นี่ ถ้าพี่บอมบ์ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ปูก็จะไปล่ะ” เด็กสาวตัดสินใจลุกขึ้นยืนอย่างหมายจะจบการสนทนาลงแค่นั้น “แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องมาทักปูอีกจะดีมากเลยค่ะ ปูยังไม่อยากกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านหรอกนะ”


“เห็นทีจะไม่ได้น่ะสิ” ร่างสูงค้านทั้งรอยยิ้ม ดวงตาภายใต้กรอบแว่นทอประกายขบขันอย่างที่ทำให้เด็กสาวยิ่งนึกถึงอันตราย “คุณอาวิยดารู้เรื่องที่น้องปูอ่อนวิชาคณิตศาสตร์ดี ก็เลยฝากให้พี่ช่วยติววิชาแคลคูลัสให้น้องปูด้วย แล้วการที่พี่จะติวหนังสือให้ มันก็คงยากที่จะไม่ทักน้องปูอีกน่ะนะ”


โธ่!! แม่นะแม่..!!


เด็กสาวกรีดเสียงร้องอยู่ในใจ แก้มนวลขึ้นสีเรื่อจากความอายที่ถูกคนที่เธอไม่อยากให้รู้จุดอ่อนของเธอที่สุด มารู้ว่าเธอนั้นอ่อนวิชาแคลคูลัสแค่ไหน จริงอยู่ว่าแม่อาจจะหวังดี และจริงยิ่งกว่าว่าเธออาจจำเป็นที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือในวิชานี้อย่างเร่งด่วน แต่ว่า...


“แล้วทำไมปูถึงต้องให้พี่บอมบ์มาช่วยติวแคลให้ด้วยไม่ทราบ ทำยังกับว่ามีพี่บอมบ์มาติวแล้ว ปูจะสอบได้เกรดดีๆอย่างนั้นแหละ” ปุณยวีร์แกล้งทำเสียงดูหมิ่น


“นั่นสินะ อย่างน้อยพี่ก็หวังว่าเธอจะเคยเรียนเกี่ยวกับพื้นฐานของวิชานี้มาบ้างเหมือนกัน” จิรันดน์เอ่ยทั้งยิ้มละไม “สมมุติว่า พี่คือเซตของคนที่ได้เกรด A วิชาแคลคูลัสทุกเทอม และเธอคือเซตของคนที่ทำเทสต์ย่อยแคล 1 เมื่อวันก่อนได้แค่ 2 คะแนนจากเต็ม 30 ไม่ลองคิดดูบ้างเหรอว่าถ้าเราเอาสองเซตนี้มายูเนียนกัน เราก็อาจจะได้เซตของคนที่ไม่สอบตกแคล 1 นะ”


คำพูดที่เชือดกันนิ่มๆมากพอจะทำให้ปุณยวีร์ถึงกับหน้าร้อนผ่าว ไม่อยากแม้แต่จะถามด้วยซ้ำว่าเขาไปรู้มาได้ยังไงถึงคะแนนเทสต์ย่อยที่แสนน่าอับอายของเธอ คะแนนอันสุดแสนอัปยศอย่างที่เธอไม่คิดแม้แต่จะบอกให้เพื่อนสนิทอย่างฟางได้รู้ด้วยซ้ำ


“ทำไมใช้แค่ยูเนียนล่ะคะ ไม่ใช้อินเตอร์เซคไปเลยล่ะ พี่บอมบ์!”


เด็กสาวประชดกลับเท่าที่ภูมิความรู้วิชาคณิตศาสตร์จะพอมีเหลือ แต่บางทีการโต้เถียงกลับนั้นก็อาจจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากความโกรธที่มากกว่าเดิม


“ไม่ได้หรอก ก็ถ้าใช้ความสัมพันธ์แบบอินเตอร์เซคล่ะก็..พี่กับน้องปูก็ไม่มีทางจะได้มาอยู่เซตเดียวกันแน่”


...เพราะพี่กับเธอไม่มีอะไรเหมือนกันเลย...


เสียงนุ่มทุ้มกับวงหน้าหล่อเหลาที่กำลังแย้มรอยยิ้มบางๆ มากพอจะทำให้มือของปุณยวีร์คันยุบยิบด้วยความรู้สึกที่อยากจะปล่อยหมัดขวาออกไป มีหรือที่เธอจะไม่รู้ถึงนัยของคำพูดนั้น..การที่เขากับเธออินเตอร์เซคชั่นกันแล้วไม่มีเซตใหม่เกิดขึ้น มันก็หมายความว่า...พี่ไม่ได้โง่วิชาแคลคูลัสเหมือนเธอเลยสักนิด..


ปัง!!


จากหมัดที่อยากจะปล่อยกลับกลายเป็นฝ่ามือที่ทาบลงกับโต๊ะทำงานอย่างรุนแรง เมื่อเด็กสาวโน้มตัวลงมาหาพี่ชายผู้แสนจะเจ้าคิดเจ้าแค้นตรงหน้า


“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ! ถึงไม่มีพี่บอมบ์มาติวให้ ปูก็สอบผ่านได้อยู่แล้ว!!”


“แน่ใจเหรอ?”


“แน่ใจสิคะ!”


ไม่ว่าเปล่าแต่ยังตามด้วยกำปั้นที่ทุบลงกับโต๊ะแรงๆอย่างหงุดหงิด ให้ชายหนุ่มมองไล่จากกำปั้นน้อยๆที่แสดงอาการคุกคามเขา ไปยังวงหน้าใสๆที่เต็มไปด้วยความโกรธนั่น แล้วจิรันดน์ก็พบว่ามันยากที่จะห้ามรอยยิ้มของตนไว้ได้


“งั้นก็ได้ มิดเทอมคราวนี้พี่จะปล่อยให้เธอลองทำด้วยตัวเองไปก่อน” น่าแปลกที่ชายหนุ่มกลับยอมถอยให้อย่างง่ายดายเกินคาด เมื่อก้มลงหยิบหนังสือแคลคูลัสเบื้องต้นขึ้นมา ก่อนจะเลื่อนส่งให้อีกฝ่าย “จำไว้ว่าพื้นฐานเบื้องต้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พยายามเข้าแล้วกันนะ น้องปู ไม่อย่างนั้นหลังมิดเทอม..พี่ก็คงต้องไปติวเธอด้วยตัวเองแล้ว”


“รับรองว่าปูไม่ต้องพึ่งพี่บอมบ์แน่ค่ะ!”


มันเป็นชั่วขณะที่ดวงตาสองคู่มองสบกัน คู่หนึ่งเต็มไปด้วยความดื้อดึงเชื่อมั่น ขณะที่อีกคู่หนึ่งกลับเต็มไปด้วยความขบขันและแน่ล่ะ..ว่าความเชื่อมั่นที่มากพอจะไม่แพ้กันกับคู่อริในวัยเด็ก


“...แล้วพี่จะรอดูนะ น้องปู!”




พี่บอมบ์ = {คนเก่งแคลคูลัส}

น้องปู = {คนจวนจะสอบตกแคลคูลัส}

พี่บอมบ์ U น้องปู = {???}



- - - TBC. - - -



Langlae
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.ย. 2554, 00:45:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.ย. 2554, 00:50:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1807





   บทที่ 2 : มิดเทอมสยองขวัญ >>
oolong 10 ก.ย. 2554, 01:23:38 น.
น่ารักน่าติดตามค่ะ


แล่นแต๊ 10 ก.ย. 2554, 13:18:30 น.
555+ น่ารักอ่ะ อยากอ่านต่อค่ะ


คิมหันตุ์ 10 ก.ย. 2554, 21:16:43 น.
คนแต่ง....สงสัยจะชอบคณิตศาตร์ มากนะคะเนี่ย..อิอิ


anOO 11 ก.ย. 2554, 11:37:47 น.
แคลคูลัส มันเป็นอะไรที่ยากจริงๆ
เข้าใจผูกเรื่องนะ


Edelweiss 11 ก.ย. 2554, 14:59:56 น.
กรี๊ดดดดด พี่บอมบ์และน้องปูน่ารักนะคะเนี่ย แต่เราไม่รู้เรื่องแคลคูลัสเลยยยย > <"


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account