Calculus Tutorial แผนรักฉบับแคลคูลัส
เรื่องราวภายในรั้วมหาวิทยาลัยของ ปุณยวีร์ หรือ ปู นักศึกษาสาวปี 1 สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เธอผู้ถนัดทางด้านวิชาคอมพิวเตอร์ แต่กลับไม่เก่งเอาเสียเลยกับวิชาสายคณิตศาสตร์อย่างแคลคูลัส

แต่เหมือนจะเป็นฟ้าสาปหรือสวรรค์แกล้ง จึงทำให้อดีตพี่ชายร่วมโลกอย่าง จิรันดน์ หรือ พี่บอมบ์ กลับกลายมาเป็นอาจารย์ของภาควิชานี้ เรื่องราววุ่นๆจึงเกิดขึ้น..!!

Tags: นักศึกษา

ตอน: บทที่ 2 : มิดเทอมสยองขวัญ


...เหลือเวลาอีก 3 วันก่อนจะถึงวันสอบมิดเทอม...


ว่ากันว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เหล่าอาจารย์จะพอใจมากที่สุดอันเนื่องมาจากความเงียบสงบที่เกิดขึ้น จากเดิมที่เคยเต็มไปด้วยเสียงจอแจของเหล่านักศึกษา เสียงเตะบอลอัดกำแพงอย่างไร้ฝีมือ..เวลานี้สุ้มเสียงเหล่านั้นกลับเบาบางลงมาก จนแทบไม่อาจจัดเข้าเป็นหนึ่งในมลพิษทางเสียงได้อีก


และนั่นก็เป็นเพราะ..วันสอบที่กำลังใกล้เข้ามา...


“ใกล้สอบแล้วจะทำไมเหรอ?”


คำถามง่ายๆที่อาจเกิดขึ้นได้กับที่อื่น แต่ไม่มีทางเกิดได้กับมหาวิทยาลัยแห่งนี้ อันเนื่องมาจากระบบสุดโหดที่ไม่ยอมปราณีให้แก่นักศึกษาคนไหน และเป็นระบบที่จะชี้เป็นชี้ตายว่าเขาหรือเธอคนนั้นคู่ควรที่จะศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น...


กฎระเบียบข้อที่ 28 ของมหาวิทยาลัยได้ระบุไว้ว่า ‘ในภาคการศึกษาที่ 1 ถ้านักศึกษาคนใดทำเกรดเฉลี่ยได้ต่ำกว่า 1.25 จะต้องถูกรีไทร์’ออกจากมหาวิทยาลัย’


และตามมาด้วยกฎระเบียบข้อที่ 29 ‘ถ้านักศึกษาคนใด ติดโปรฯ (ได้เกรดเฉลี่ยต่ำกว่า 2.00) ติดต่อกัน 2 ภาคการศึกษา จะต้องถูกรีไทร์ออกจากมหาวิทยาลัย’


และยังมีกฎระเบียบข้อที่ 30 ‘เกรดเฉลี่ยขั้นต่ำที่จะถูกรีไทร์จะเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.25 ทุกภาคการศึกษา เช่น ภาคการศึกษาที่ 1 คือ 1.25 และภาคการศึกษาที่ 2 จะกลายเป็น 1.50’


อย่าเห็นว่าเกรดเฉลี่ย 1.25 ช่างเป็นเกรดที่น้อยแสนน้อยเสียจนไม่มีทางที่ใครจะทำได้ แต่ว่านั่นคือความคิดที่ใช้ได้ก็แต่ในระดับประถมถึงมัธยมเท่านั้น ทว่าในเวลานี้..ที่นี่คือมหาวิทยาลัยที่การติด F ง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก และโดยเฉพาะเมื่อวิชายากๆทั้งหลายนั้นต่างก็ระดมพลมาพร้อมในปีแรกของการศึกษา ดังนั้นเอง..ว่ากันว่าจากสถิติจำนวนนักศึกษาที่ถูกรีไทร์มากที่สุด ผู้ที่ครองแชมป์ตลอดกาลก็คือนักศึกษาปี 1 ขณะที่กำลังเรียนภาคการศึกษาที่ 1 นั่นเอง...!


และด้วยเหตุนี้ แม้จะเป็นคนที่ไม่เคยทุกข์ร้อนกับอะไรก็ยังคงต้องรู้สึกทุกข์ร้อนขึ้นมาบ้าง กิจกรรมรับน้องถูกระงับชั่วคราวจนกว่าจะสอบเสร็จ กิจกรรมอื่นๆแทบไม่มีผู้สนใจจะเข้าร่วม อาจยกเว้นก็แค่กิจกรรมเดียวที่ทางสภานักศึกษาเป็นผู้จัดขึ้นในทุกปี


“ขอเชิญร่วมทำบุญ ตัก A ปล่อย F ได้ที่ตึกอธิการบดี วันพุธนี้”


ป้ายเชิญชวนถูกติดอยู่แทบทุกตารางเมตร เพื่อเชิญชวนให้นักศึกษาทุกคนเข้าร่วมกิจกรรมตามประเพณีที่สืบทอดกันมาทุกยุคสมัย ซึ่งตามปกติแล้วทางมหาวิทยาลัยจะจัดให้มีการตักบาตรทุกวันพุธ แต่จะมีเฉพาะวันพุธก่อนสอบเท่านั้นที่พิเศษกว่าพุธอื่นๆ


นั่นคือ อาหารชนิดเดียวที่ถูกนำมาใส่บาตรในวันพุธนี้ คือ แอปเปิ้ล ผลไม้สีแดงสดที่มาพร้อมกับตัวอักษรแรกของชื่อที่เต็มไปด้วยสิริมงคลอย่างตัว A และเมื่อตักบาตรเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมก็จะเดินไปยังสระน้ำบริเวณหน้ามหาวิทยาลัย เพื่อปล่อยสัตว์ชนิดหนึ่งที่ชื่อของมันนั้นไม่ได้เป็นสิริมงคลเอาเสียเลยเพื่อเป็นการแก้เคล็ด และชื่อของสัตว์ชนิดนั้นก็คือ ปลา...


อาจจะกล่าวได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ดูเหลวไหลอย่างที่สุด แต่สำหรับคนที่อยู่ในสภาพการณ์ใกล้เคียงกับการกำลังจะจมน้ำตายแล้ว แม้ว่าจะเป็นท่อนไม้ท่อนไหนก็คงต้องลองเสี่ยงเกาะดูเพื่อเอาชีวิตรอดฝ่ามรสุมที่ชื่อว่าการสอบไปให้จงได้


และนั่น..ก็รวมถึงปุณยวีร์และผองเพื่อนเช่นกัน.......


เด็กสาวในชุดนักศึกษาเรียบร้อยพยายามชะเง้อคอออกจากแถวนักศึกษาที่มารอตักบาตร เพื่อมองว่าพระสงฆ์เดินมาใกล้ถึงหรือยัง.....


“...อีกสิบกว่าคนก็จะถึงคิวพวกเราแล้วล่ะ ฟาง”


“โอเค ทางนี้ก็พร้อมแล้วเหมือนกัน”


เด็กสาวผมสั้นพยักหน้ารับ ก่อนจะยกตะกร้าใส่แอปเปิ้ลหลายลูกขึ้นมาถืออย่างเตรียมพร้อม แต่ถึงฟางจะพร้อมแล้วสำหรับการตักบาตรแอปเปิ้ลเสริมดวงชะตา แต่ว่า..กว่าที่พระสงฆ์จะเดินบิณฑบาตมาถึงพวกเธอ มันก็ยังมีเวลาอยู่มากพอที่จะทำให้เด็กสาวแอบถามอย่างอดไม่ได้


“นี่ แล้ววันนี้เธอจะบอกฉันได้รึยังว่าตกลงเธอกับอ.จิรันดน์มีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่?”


ปุณยวีร์เริ่มหนังตากระตุกเล็กน้อย หากผู้เป็นเพื่อนยังไม่รู้สึกตัว และยังคงเล่าข่าวซุบซิบที่ได้ยินมาต่อไป


“วันก่อนฉันแอบได้ยินพวกพี่ๆปี 3 เค้าเดากันล่ะว่าปูกับอ.จิรันดน์ดูไม่น่าจะเป็นแฟนกันได้ เพราะฉะนั้นความเป็นไปได้ก็เหลือแค่ว่า...” ฟางลดเสียงให้เบาลงจนกลายเป็นกระซิบ “จริงรึเปล่า ที่เขาลือกันว่าเธอเป็นลูกเมียเก็บของอ.จิรันดน์น่ะปู!?”


“จะไปจริงได้ไงเล่า!!?”


ถ้ากำลังดื่มน้ำอยู่ ปุณยวีร์เชื่อมั่นว่าเธอคงสามารถพ่นน้ำออกมาได้ไกลพอกับปลาวาฬ แต่เพราะเธอไม่ได้กำลังดื่มน้ำ และเพราะแอปเปิ้ลในถุงที่ถืออยู่นี่มีไว้เพื่อเสริมดวงชะตา ไม่อย่างนั้นแล้วบางทีฟางอาจเป็นคนแรกที่ได้ชิมรสชาติของแอปเปิ้ลพวกนี้แทน


พี่บอมบ์นะพี่บอมบ์...เล่นทักซะโจ่งแจ้งแบบนั้น คนอื่นถึงได้เอาไปลือกันแปลกๆแบบนี้!!


ร่างโปร่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อคู่กรณีโชคดีที่เป็นถึงอาจารย์จึงทำให้ไม่มีนักศึกษาหน้าไหนกล้าไปถาม แต่ในทางกลับกัน..นี่กลับไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนมาเลียบๆเคียงๆถามเรื่องนี้กับเธอ และไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้ฟังสมมุติฐานเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเธอจากข่าวลือเพี้ยนๆพวกนี้ มันมีตั้งแต่ข่าวลือว่าพี่บอมบ์เป็นพี่ชายที่พลัดพรากจากกันไปนานของเธอ หรือข่าวลือว่าพี่บอมบ์เป็นอดีตแฟนที่เคยหักอกเธอ และเป็นต้นเหตุให้เธอมาเข้าเรียนที่นี่เพื่อล้างแค้น แต่จะข่าวลืออะไรก็ตาม..ก็ยังไม่มีข่าวไหนที่ย่ำแย่เท่ากับเรื่องที่เธอเป็นลูกลับๆของพี่บอมบ์อีกแล้ว!!


และเธอก็เหลือจะทนแล้วด้วย...


“จะบอกอะไรให้นะฟาง ฉันกับผู้ชายประสาทคนนั้นน่ะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันทั้งนั้นแหละ!!”


ปูโพล่งออกมาด้วยความโมโห ตั้งใจว่าครั้งนี้แหละที่จะต้องทำให้เพื่อนสนิทคนนี้เชื่อเธอให้จงได้ ทว่าน่าเสียดายที่....


“แน่ใจเหรอ?”


ถ้าจะมีใครสักคนที่ควรได้รับการกล่าวขานว่าตายยาก คนคนนั้นก็คงไม่พ้นไปจากเจ้าของเสียงนุ่มทุ้มที่ดังอยู่ข้างหูอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้ทำให้ปูเต็มไปด้วยความงุนงงอีกแล้ว เพราะมันจะมีก็แต่ความตกใจที่มากพอจะทำให้เด็กสาวถึงกับสะดุ้งจนตัวลอย..


..มะ..มันมาอีกแล้ว...!!?


ดวงตากลมโตหันขวับไปมองผู้ชายที่มายืนอยู่อีกข้างของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ ผู้ชายคนนั้นที่กำลังส่งยิ้มจางๆมาให้อย่างที่อาจจะเป็นรอยยิ้มที่กระชากใจสาวๆที่ยืนอยู่ใกล้ แต่ว่าสำหรับผู้ตกเป็นเป้าหมายแล้ว..รอยยิ้มนั้นกลับมีแต่จะทำให้เด็กสาวถึงกับขนลุกเกรียวด้วยความหวาดระแวง


แน่ล่ะว่าจิรันดน์ย่อมไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนในใจของน้องสาวร่วมโลก แต่กับแค่สีหน้าที่เหมือนคนท้องผูกระยะสุดท้ายของอีกฝ่าย มันก็มากพอที่จะทำให้รอยยิ้มจางๆยิ่งเพิ่มความขบขันกว่าเดิม


“ไม่ต้องทำหน้าดีใจที่ได้เจอกันขนาดนั้นก็ได้..ลูกปู”


สรรพนามแปลกใหม่ที่ถูกเรียกหา ทำให้เด็กสาวชะตาขาดถึงกับอ้าปากค้าง ปุณยวีร์ตกใจเสียจนไม่ทันคิดจะปัดมือที่กำลังลูบหัวเธออย่างเอ็นดูออก ตกใจจนไม่แม้แต่จะทันคิดว่าเพื่อนของเธอก็ได้ยินคำคำนั้นเช่นกัน


...ไหนบอกว่าไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันไง!!?


สายตาของฟางทะลุทะลวงออกมาเป็นคำถามที่พุ่งตรงไปยังเพื่อนสาวที่ยืนอยู่ข้างกายอาจารย์หนุ่ม จริงอยู่ว่าจากสายตาของฟางนั้นจะสามารถสังเกตเห็นว่าเพื่อนสนิทของตนกำลังตกอยู่ในสภาพที่แปรจากความตกใจไปเป็นความโกรธ แต่ว่าในความโกรธนั้น..กลับแทบไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรเลยต่อคนที่ถูกโกรธ


“พะ..พี่บอมบ์คิดจะหาเรื่องกับปูให้ได้ใช่มั้ย?”


มือนุ่มกำแน่นจนแทบเห็นเส้นเลือดผุดขึ้นที่หลังมือ และมือนั้นก็อาจพร้อมที่จะปล่อยหมัดตรงออกไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะ...


“เอ้า! ใส่บาตรได้แล้ว จะปล่อยให้พระท่านรออีกนานแค่ไหน”


จิรันดน์ชิงตัดบทด้วยน้ำเสียงเหมือนเวลาอาจารย์ใช้กับลูกศิษย์ เมื่อจับไหล่ของเด็กสาวให้หมุนหน้ากลับไปยังพระสงฆ์ที่กำลังหยุดรออยู่ มือเรียวจับมือของปูให้หยิบแอปเปิ้ลใส่ลงในบาตรพระอย่างรวดเร็ว


“อย่าลืมอธิษฐานด้วยนะน้องปู..ใครจะรู้เผื่อว่าอานิสงค์ผลบุญจากแอปเปิ้ลพวกนี้จะช่วยให้ได้ A ขึ้นมาจริงๆ”


เสียงทุ้มเอ่ยข้างหูของคนที่ยืนชิดใกล้ และเสียงนั้นก็คงจะเป็นเหมือนคำอวยพร ถ้าไม่ใช่เพราะปุณยวีร์ยิ่งกว่ารู้ดีว่าเขากำลังเยาะเย้ยเธอ โดยเฉพาะเมื่อจิรันดน์ตบบ่าของเธอเบาๆก่อนจะก้มลงมากระซิบบางอย่างที่ข้างหู......


“ไอ้พี่บอมบ์บ้า!!”


ประโยคนั้นที่มากพอจะเรียกเสียงร้องอย่างโกรธจัด หากมือที่กำลังจะประทุษร้ายพี่ชายร่วมโลกมีอันต้องพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย เมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะถอยหลังออกมา ก่อนจะเดินฝ่าฝูงชนที่มาตักบาตรออกไปอย่างรวดเร็ว ให้เด็กสาวได้แต่ยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เท้าขยี้พื้นอย่างหงุดหงิดพลางจินตนาการว่านั่นคือหน้าของคนที่เพิ่งจะเดินจากไป เพราะคำพูดที่เขาเอ่ยทิ้งท้ายไว้กับเธอนั้น..


‘แล้วพี่จะรอติวให้หลังคะแนนมิดเทอมออกนะ น้องปู!!’




...เวลาคือสิ่งที่ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่บางครั้งมันก็เคลื่อนเร็วเกินไป...มาก


“เหลือเวลาอีก 5 นาทีนะคะ”


นั่นคือความคิดที่อยู่ในหัวของนักศึกษาแทบทุกคนที่กำลังตวัดปากกาเป็นวงสวิงครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากได้ยินเสียงของอาจารย์ผู้คุมสอบ คนที่ทำใกล้แล้วเสร็จยิ่งเพิ่มสปีดในการเขียนให้เร็วกว่าเดิม คนที่ทำไม่ใกล้เสร็จยิ่งลนลานเขียนจนกระดาษแทบขาด คนที่หน้ากระดาษยังว่างเปล่า เริ่มพลิกข้อสอบตั้งแต่หน้าแรกกลับมาหน้าสุดท้ายอีกครั้งเผื่อจะโชคดีทำได้สักข้อ จนกระทั่งในที่สุด คำพูดที่ไม่มีใครอยากได้ยินก็ดังขึ้น


“หมดเวลา! ทุกคนวางปากกาด้วยค่ะ”


แว่วเสียงปากกาหลายด้ามทิ้งลงกับโต๊ะอย่างสิ้นหวัง เสียงถอนหายใจของเหล่านักศึกษาและเสียงขีดเขียนของคนที่ยังคงพยายามในวินาทีสุดท้ายก่อนที่อาจารย์จะเดินมาถึงตัว แต่แน่ล่ะว่ามันก็เพิ่มมาแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น แล้วการสอบวิชาแคลคูลัส 1 ก็สิ้นสุดลง


“เป็นไงบ้าง?”


ปุณยวีร์ถามทันทีที่เดินออกมาเจอเพื่อนสนิทที่รออยู่ ทว่าถ้าสภาพของเธอเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงจากการขยี้หัวตัวเองระหว่างสอบแล้ว สภาพของฟางก็แทบจะไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย


“แล้วแต่ฟ้าจะลิขิต”


ฟางตอบทั้งรอยยิ้มระรื่น ที่แปลออกมาได้ง่ายๆว่า ห่วยแตก และเมื่อดูจากสีหน้าที่เกือบๆจะคาดหวังแต่กลับดูสิ้นหวังเสียมากกว่าของคนถามแล้ว ดูท่าครึ่งวันเช้านี้ก็คงไม่ใช่วันที่ดีของปูเช่นกัน


“เอาน่า ช่างมันเถอะ ไงๆก็สอบไปแล้วจะมัวมากลุ้มอะไรอยู่ได้” ฟางหัวเราะอย่างปลงตก “เดี๋ยวตอนบ่ายต้องสอบชีวะนะ เตรียมตัวมาพร้อมรึยัง?”


“แน่นอนอยู่แล้ว”


แม้จะอยู่ในสภาพจิตตก แต่ปุณยวีร์ก็ยังอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมากับการเตรียมพร้อมของพวกเธอ เพราะสิ่งที่ต้องเตรียมมาพร้อมนั่นคือ เครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์ที่เด็กภาคแมทต่างก็มีกันคนละเครื่อง มันเป็นเครื่องคิดเลขที่มีฟังก์ชั่นต่างๆให้กดมากมาย แต่สำหรับนักศึกษาทั่วไปในภาคนี้แล้ว ลำพังแค่กดบวกลบคูณหารได้ก็คงเป็นอะไรที่มากสุดที่พวกเขาจะใช้เป็น


แน่นอนว่าทางภาควิชาไม่ได้บังคับให้ซื้อมาใช้ แต่เนื่องจากหลายวิชาสามารถนำเครื่องคิดเลขเข้าห้องสอบได้ ดังนั้นการที่คุณไม่มีมันจะไม่ใช่แค่ตกเทรนด์ แต่อาจจะกลายเป็นการสอบตกอีกด้วย เพราะทุกคนต่างก็พกเครื่องคิดเลขนี้เข้าห้องสอบในทุกวิชาที่อนุญาต


สำหรับวิชาแคลคูลัส แน่นอนว่าเครื่องคิดเลขเป็นสิ่งจำเป็นโดยพื้นฐาน


สำหรับวิชาเคมี บางทีเครื่องคิดเลขก็อาจเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐาน


แต่สำหรับวิชาไมโครฯ หรือที่เรียกกันว่า ชีววิทยานั้น เครื่องคิดเลขมีความจำเป็นแค่ไหนในการใช้?


คำตอบคือ มันเป็นสิ่งที่จำเป็นมากพอๆกับปากกาที่ใช้เขียนชื่อ นั่นเพราะสำหรับข้อสอบปรนัยแล้ว สิ่งที่มาคู่กันเสมอย่อมเป็นการมั่วชอยส์ที่มีเกิดขึ้นเป็นประจำ แต่ว่าสำหรับใจมนุษย์แล้ว..การมั่วที่เกิดขึ้นโดยการเดาสุ่มย่อมไม่มีความน่าเชื่อถือเทียบเท่ากับการใช้โปรแกรมคำนวณ ดังนั้นเอง เครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์เครื่องนี้จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง!


ขอเพียงแค่กดใช้สูตร Random บนเครื่องคิดเลข โดยกดเครื่องหมาย shift , dot , X , 4 , + , 1 บนเครื่องคิดเลขตามลำดับ เครื่องอันสวยหรูก็จะเข้าโหมดแรนด้อมและทำการสุ่มตัวเลขต่างๆออกมาให้คุณ...เพื่อใช้สำหรับกามั่วลงบนข้อสอบแบบปรนัย


มีหลายคนเชื่อว่าการกด ‘เครื่องหมายเท่ากับ’ ซ้ำเป็นจำนวนเท่ากับข้อนั้นๆจะทำให้ได้ตัวเลขที่ถูกต้อง หลายคนเชื่อว่าควรกดเครื่องหมายเท่ากับ 4 ครั้ง แล้วนำเลขที่ได้ทั้งหมดมาหาค่าเฉลี่ย แน่นอนว่าไม่มีใครยืนยันได้ว่าความเชื่อแบบไหนเป็นสิ่งที่ถูกต้องกว่ากัน แต่ว่าสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือความจริงที่กว่า 80% ของนักศึกษาเลือกจะใช้วิธีนี้ในการเดาข้อสอบ


“เอาล่ะ เครื่องคิดเลขจ๋า...” อีกหลายชั่วโมงต่อมาในห้องสอบ เมื่อปุณยวีร์มองเครื่องคิดเลขในมือด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ใช้มองอาหาร “ช่วยแรนด้อมชอยส์ที่ถูกออกมาให้ทีเถอะนะ...”


และแล้วพร้อมกับที่สัญญาณให้เริ่มทำข้อสอบดังขึ้น..ภายในห้องสอบที่ไม่ควรจะมีการคำนวณเกิดขึ้น ก็กลับปรากฏเสียงกดเครื่องคิดเลขดังกระหึ่มจากทุกสารทิศ ท่ามกลางเสียงถอนหายใจของอาจารย์คุมสอบผู้เห็นภาพอันน่าสมเพชเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน...


และเพราะเห็นมามากแล้ว เหล่าอาจารย์คุมสอบจึงคร้านที่จะบอกว่า บางครั้งแม้จะพยายามพึ่งดวงมากแค่ไหน แต่สำหรับคนที่ไม่มีดวงแล้ว..ไม่ว่าจะสุ่มคำตอบด้วยลูกเต๋าหรือเครื่องคิดเลข มันก็ไม่มีดวงอยู่นั่นเอง...



...1 สัปดาห์ให้หลัง ฟ้าก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าใครบ้างที่เป็นหนึ่งในคนที่ไม่มีดวงเหล่านั้น...


เสียงออดหมดคาบ 5 ดังขึ้น พร้อมกับที่ร่างของเด็กสาวในชุดนักศึกษาคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องเรียนบนชั้นสามด้วยอาการเหี่ยวเฉา ที่เดินตามหลังมาคือเหล่าเพื่อนๆที่หลายคนก็ตกอยู่ในสภาพวิญญาณออกจากร่างไม่แพ้กัน อันเป็นผลมาจากการบอกคะแนนสอบในคาบชีวะที่ผ่านมา


“ไม่เป็นไรนะ แอน?” ในฐานะของเพื่อนชั้นปีเดียวกัน ปุณยวีร์พยายามปลอบเท่าที่จะทำได้ “วิชานี้มีคะแนนเก็บตั้ง 20 คะแนน ถ้าขยันเข้าเช็คชื่อก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ....มั้ง”


คำสุดท้ายที่เบาเสียยิ่งกว่าเบา เพราะตัวเธอเองก็ยังไม่เข้าใจเรื่องเกณฑ์การให้เกรดในระดับมหาวิทยาลัยดีนัก แล้วจะให้มาปลอบเพื่อนนั้นก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่


“นี่ไง วันนี้ตอนบ่าย 3 อาจารย์ที่ปรึกษานัดให้พวกปี 1 ไปพบที่ห้อง SCL601 ด้วย..ถ้าไงเดี๋ยวลองถามอาจารย์ดูก็ได้ว่ายังพอมีหวังมั้ย” ฟางร้องบอกเสียงใส ร่างโปร่งยกมือขึ้นไพล่หลังพลางเอียงคอมองเด็กสาวที่เพิ่งได้คะแนนไม่ดีวิชาแรกก็เล่นเอาจ๋อยเสียแล้ว “ไม่ต้องไปคิดมากหรอกน่า ดูอย่างเราสิ เคมี ภาษาอังกฤษ ทฤษฎีกราฟ..ยังหาวิชาไหนที่ได้คะแนนดีๆไม่เจอเลย”


ว่าพลางก็หัวเราะขบขันอย่างที่น้อยคนนักจะทำได้เมื่อต้องตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกันนี้ เมื่อหลังจากผ่านมิดเทอมมาได้ 1 สัปดาห์ คะแนนของแต่ละวิชาก็เริ่มทยอยออกมาเรื่อยๆ และในตอนนี้ที่ห่างจากวันสุดท้ายในการทำเรื่องถอนวิชาเพียงแค่ 3 วัน ก็เหลือวิชาที่ยังไม่ประกาศผลอีกไม่มากแล้ว ซึ่งน่าเสียดายที่วิชาที่ปุณยวีร์รอคอยด้วยใจตุ๊มๆต่อมๆนั้น..ก็เป็นหนึ่งในวิชาที่ยังไม่บอกผลเช่นกัน


แม้ว่าความทรมานจากการรอคอยนั้นกำลังจะสิ้นสุดลงในวันนี้...!?


“เฮ้ย พวกเรา..!!”


เสียงตะโกนดังมาก่อนที่จะเห็นตัว เมื่อในนาทีต่อมา ร่างของเพื่อนคนหนึ่งก็เลี้ยวโค้งวิ่งมาตามระเบียงอย่างเร่งรีบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นโบกเป็นสัญญาณฉุกเฉิน


“อะ..อาจารย์เอาผลสอบแคลฯมาติดที่บอร์ดชั้น 1 แล้วล่ะ..”


“ว่าไงนะ!?”


วินาทีแรกคำพูดนั้นมันทำให้นักศึกษากว่าครึ่งถึงกับตัวชาวาบ รับรู้ถึงความเย็นที่แล่นปราดจากสมองไปจนถึงปลายเท้า และจากปลายเท้าเด้งกลับมาที่ตำแหน่งหัวใจซึ่งกำลังเต้นตึกตักด้วยส่วนผสมของความอยากรู้มากพอกับที่ไม่อยาก แต่ว่า..ไม่ว่าจะอยากรู้หรือไม่ก็ตาม พวกเขาก็จำเป็นต้องรู้..ก่อนที่จะถอนวิชาไม่ทัน!


ด้วยความว่องไวที่อาจเร็วยิ่งกว่าการกระพริบตา ภายในไม่กี่นาทีหลังจากที่ผลสอบถูกติดประกาศ นักศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์ชั้นปีที่ 1 กว่าสามร้อยคนก็กรูกันเข้าไปเบียดเสียดยัดเยียดอยู่ที่หน้ากระดานบอร์ดที่ตั้งอยู่บนทางเดินเชื่อมระหว่างภาคคณิตศาสตร์กับภาคฟิสิกส์ มันจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในความโหดร้ายบนความบันเทิงของพวกอาจารย์ที่สนุกกับการให้นักศึกษาได้เห็นผลสอบอันน่าอายของคนอื่นๆอย่างทั่วถึง และเวลานี้กับความพยายามที่แทบจะขี่คอกันดูผลสอบของเหล่านักศึกษา..มันก็เห็นได้ชัดว่าแคลคูลัส 1 คือวิชาที่ทุกคนตั้งตารอคอยแค่ไหน!!


มันใช้เวลากว่าสิบนาทีกว่าที่ปูและฟางจะฝ่าฝูงชนเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าบอร์ดได้ ลูกตาสองคู่สี่ข้างมองคัวอักษรเบ้งๆบนสุดที่เขียนว่า คะแนนเต็มคือ 90 ก่อนจะเริ่มกราดมองไล่ตามรหัสนักศึกษาที่มีกว่าร้อยคนลงมา เพื่อจะพบชื่อของพวกเธอ..และคะแนนของพวกเธอ


54215715 น.ส.ปุณยวีร์ พจน์มณี 11 คะแนน


ปุณยวีร์เบิกตากลมกว้างมองคะแนนของตนด้วยอาการที่ใกล้เคียงกับคำว่าอ้าปากค้าง มันไม่สำคัญหรอกว่าคะแนนของคนอื่นก็อยู่ในระดับไล่เลี่ยกัน เพราะสำหรับเธอแล้วคะแนนนี้ไม่ว่าจะดูยังไงมันก็...


“ไม่นะ...” ถ้ามีพื้นที่เหลือพอให้ทรุดลงไปกองกับพื้น เด็กสาวก็อาจที่จะทำอย่างนั้น แต่เพราะฝูงชนที่แออัดกันเข้ามาจนแม้อยากล้มก็ยังล้มไม่ได้ ปุณยวีร์จึงได้แต่มองไปทางเพื่อนของตนด้วยอาการสิ้นหวัง “...แย่ที่สุดเลย”


มันแย่มาก..ทั้งที่เธอทุ่มเทเวลาในการอ่านสอบกว่าครึ่งมาที่วิชานี้ แต่ของที่มันไม่เข้าใจ ให้ยังมันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี และเพราะความไม่เข้าใจนั่นเอง มันก็ได้ส่งผลตอบกลับมาผ่านทางคะแนนแบบนี้


“เอาน่า เราก็ได้แค่ 15 คะแนนเท่านั้นเอง ไม่ห่างกันมากหรอก” ฟางช่วยปลอบใจเพื่อนสนิทไปตามมีตามเกิด “ดูคะแนนคนอื่นๆสิ แทบไม่ห่างกันเท่าไหร่เลย แบบนี้คงไม่เป็นไรหรอก..”


มั้งนะ...


คำต่อท้ายที่เด็กสาวทั้งสองคนต่างก็เลือกจะเก็บเอาไว้ในใจ เมื่อในตอนนั้นเองคลื่นฝูงชนก็พลันส่งเสียงฮือฮาออกมาจากการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มผิวคล้ำที่เดินมาหยุดยืนอยู่หน้าบอร์ด ใบหน้าคมสันคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิงยิ้ม ขณะมองคะแนนของตนด้วยท่าทางของผู้ที่คาดหมายเอาไว้อยู่แล้ว


“โว้ว! ท็อปอีกแล้วนี่หว่า ไอ้พีท!!”


กลับเป็นเพื่อนๆที่แสดงอาการดีใจออกมามากกว่า มือตบลงไปบนไหล่ของเด็กหนุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดทุกวิชา จนกลายเป็นที่ล่ำลือไม่เพียงแต่ในภาคคณิตศาสตร์ แต่รวมถึงคณะวิทยาศาสตร์ทั้งหมด และเมื่อดูจากคะแนนของวิชาแคลคูลัส 1 อันเป็นวิชาที่เด็กทั้งมหาวิทยาลัยต้องเรียนแล้ว ชื่อเสียงในฐานะ ‘เทพประจำชั้นปี’ ของ ‘นิติธร’ หรือ ‘พีท’ ก็คงจะขจรขจายไปทั่วอย่างแน่นอน


ปุณยวีร์มองไปทางเด็กหนุ่มผู้เป็นเพื่อนในชั้นปีเดียวกัน แต่ก็อยู่กันคนละกลุ่มจนแทบไม่ค่อยได้พูดคุยด้วยความรู้สึกทอดถอน ก็ 82 คะแนนที่อีกฝ่ายได้มานั้น คิดยังไงมันก็น่าอิจฉาจนอยากจะเข้าไปขอแบ่งมาสักสิบยี่สิบคะแนนเพื่อมาโปะรวมกับคะแนนของเธอเหลือเกิน


“น่าอิจฉาเนอะ” ฟางพยักเพยิดไปยังคนที่อาจเรียกได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามของเธอ ผู้ได้คะแนนชวนสิ้นหวังแทบทุกวิชา “...ขนาดหมอนั่นไม่ได้ไปใส่บาตรแอปเปิ้ลสักหน่อย ยังได้คะแนนลุ้น A มาซะทุกวิชาเลย”


“นั่นสิ”


ปุณยวีร์และผองเพื่อนที่ร่วมอุดมการณ์ตักบาตรแอปเปิ้ลต่างก็พากันพยักหน้า และทั้งหมดก็คงจะได้ยืนถกเรื่องความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ของแอปเปิ้ลกันต่อ ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงตะโกนบอกจากรุ่นพี่ที่ยืนอยู่นอกวงล้อมของฝูงชนออกไป


“เฮ้! พวกปี 1 ภาคแมท! อ.พิบูลย์ให้มาเรียกพวกนายไปพบที่ห้อง SCL601 เดี๋ยวนี้เลย!!”


เหล่านักศึกษาต่างหันมามองกันด้วยความสงสัย มีบ้างที่ยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาด้วยความงุนงง นั่นเพราะอ.พิบูลย์ก็คือหนึ่งในอาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษาภาคคณิตศาสตร์ชั้นปีที่ 1 และยังเป็นคนที่เรียกให้พวกเขามาพบวันนี้ตอนบ่าย 3 โมง แต่ว่าทั้งที่นี่ยังห่างจากเวลานัดอยู่กว่าครึ่งชั่วโมงได้ แต่อาจารย์กลับสั่งให้พวกเขาไปรวมตัวด่วนเช่นนี้ หรือจะเป็นเพราะ...การประกาศคะแนนของแคลคูลัส 1 กันแน่?


“นี่ๆ อ.พิบูลย์เรียกพวกเรามาทำไมน่ะ?”


มินท์แอบกระซิบถาม หลังจากเข้ามานั่งอยู่ในห้องเรียบร้อย


“ดูเหมือนว่าอาจารย์จะอธิบายเรื่องการให้เกรดให้พวกเราฟังน่ะ” แชมป์กระซิบตอบด้วยระดับเสียงเดียวกัน “เห็นว่าไม่ใช่แค่ภาคเรานะ พวกภาคฟิสิกส์ เคมี อะไรก็โดนอ.ที่ปรึกษาเรียกไปพบหมดเลย”


“นั่นก็เพราะวิชาแคล 1 ไม่ใช่เหรอ?” ปูยื่นหน้าจากแถวหลังมาร่วมวงกระซิบด้วย “เมื่อกี้ฉันถามรุ่นพี่มา เห็นว่าคะแนนปีนี้ตกต่ำที่สุดในรอบสิบปีเลยล่ะ”


“จริงน่ะ?” เอกหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “งั้นก็ดีน่ะสิ จะได้มีเพื่อนตกกันเยอะๆหน่อย”


“ชู่ว..อ.พิบูลย์มาแล้วนะ”


สรรพเสียงจ้อกแจ้กจอแจพากันเงียบสงบลงทันควัน เมื่ออาจารย์หนุ่มใหญ่ผู้รับผิดชอบสอนวิชาด้านคอมพิวเตอร์เดินเข้ามาในห้อง


สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ภาคคณิตศาสตร์ สาขา วิทยาการคอมพิวเตอร์ประยุกต์แล้ว..พวกเขาได้รับการจัดสรรอาจารย์ที่ปรึกษามาให้เป็นจำนวน 2 คน โดยที่อาจารย์ทั้งสองคนจะรับผิดชอบนักศึกษาโดยตัดแบ่งตามเลขที่ นักศึกษาครึ่งแรกจะมีอ.พิบูลย์เป็นอ.ที่ปรึกษา และนักศึกษาครึ่งหลังจะมีอ.ชูศักดิ์เป็นที่ปรึกษา


แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจารย์ทั้งสองท่านก็มักจะช่วยกันดูแล และในครั้งนี้ผู้ที่มาให้คำปรึกษาในด้านการเรียนกับพวกเขาก็คือ อ.พิบูลย์ นั่นเอง


“ผมเชื่อว่าพวกคุณทุกคนน่าจะรู้คะแนนแคลฯของตัวเองหมดแล้ว” อาจารย์เข้าเรื่องโดยไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า “แต่ก็มีหลายคนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำยังไงต่อไปกับคะแนนที่ได้มา เพราะฉะนั้นขอให้พวกคุณลองฟังผม และใช้สิ่งที่ผมอธิบายมาช่วยในการตัดสินใจว่าจะสู้ต่อไปหรือจะดรอปวิชานี้ทิ้ง”


อาจารย์พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก และนี่ก็เป็นอีกแค่หนึ่งครั้งในบรรดาหลายสิบครั้งที่เขาต้องอธิบายเรื่องนี้ให้แก่เด็กปี 1 ฟัง ซึ่งถ้าจะมีต่างไปบ้างแล้วก็คงเป็นการที่ปีนี้ดูท่าจะร่อแร่กว่าปีก่อนๆเท่านั้นเอง


“อย่างที่พวกคุณน่าจะรู้อยู่แล้วว่าการตัดเกรดทุกวิชาจะกระทำโดยการอิงกลุ่มหรืออิงเกณฑ์ แต่สำหรับวิชาแคลคูลัสจะใช้สองอย่างนี้ควบคู่กันไป สำหรับการอิงกลุ่มเราจะดูที่ค่า Mean เป็นหลัก”


จอขนาดใหญ่ด้านหลังปรากฏคำภาษาอังกฤษขึ้น 4 คำ และตัวเลขอีกจำนวนหนึ่ง


“อย่างแรกเลยพวกคุณจะต้องรู้ค่า MAX ซึ่งก็คือคะแนนสูงสุดของแคล 1 สำหรับปีนี้คือ 82 คะแนน” ซึ่งไม่จำเป็นต้องบอกซ้ำก็ยังรู้ว่าใครที่เป็นเจ้าของคะแนนนี้ ที่เหยียบแม้แต่พวกวิศวะให้ยังต้องด้อยกว่า “และค่า MIN คะแนนต่ำสุดของครั้งนี้คือ 0 คะแนน”


...และนี่ก็เป็นคะแนนที่ปรากฏทุกปีเช่นกัน...


“แคลคูลัส1 จะตัดเกรดรวมทั้งมหาวิทยาลัย ดังนั้นเราจึงต้องหาค่า Mean หรือค่าเฉลี่ยจากจำนวนนักศึกษาประมาณพันกว่าคน วิธีคำนวณคือเอาคะแนนของทุกคนบวกกันแล้วหารด้วยจำนวนนักศึกษาทั้งหมดที่สอบก็จะได้ออกมาเป็นค่า Mean ซึ่งตามปกติแล้วทางอาจารย์จะเป็นฝ่ายคำนวณแล้วบอกให้ทราบอยู่แล้ว สำหรับปีนี้ค่า Mean คือ 13 คะแนน”


เสียงฮือฮาเริ่มดังออกมาจากเหล่านักศึกษาที่ต่างก็เริ่มใจชื้นขึ้นกับค่ามีนที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเสียจนจัดได้ว่าพวกเขายังมีหวัง อย่างไรก็ตามมันก็ยังอีกตัวเลขหนึ่งที่เป็นตัวแปรอยู่..


“ต่อไปคือค่า SD หรือค่าความแปรปรวน สูตรของมัน พวกเธอส่วนใหญ่ต้องเคยเรียนมาแล้วในระดับมัธยม แต่ถ้าลืมไปแล้วก็จะได้เจอมันใหม่ในวิชาสถิติตอนเทอม 2 สำหรับปีนี้ค่า SD ของวิชานี้ คือ 2”


นั่นหมายความว่า สำหรับการตัดเกรดโดยใช้หลักการอิงกลุ่มของมหาวิทยาลัยนี้ ผู้ที่ได้คะแนนพอดี Mean โดยบวกลบไม่เกิน 2 คะแนนตามค่า SD หรือก็คือคะแนนในช่วง 11 – 15 จะมีโอกาสได้เกรดที่ C+


และสำหรับผู้ที่ได้คะแนนเกินไป 1 SD หรือก็คือ ตั้งแต่ 16 ขึ้นไป ก็จะมีโอกาสลุ้นตั้งแต่ C+ ขึ้นไปเป็นลำดับ และสำหรับคนที่ได้ 82 คะแนนด้วยแล้วก็เหมือนกับมี A มาอยู่ในกำมือแล้วนั่นเอง!


อย่างไรก็ตาม โลกเราก็มักจะไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้....


“ต่อไปคือเรื่องของการอิงเกณฑ์ แม้ว่าคะแนนของพวกเธอจะเกาะมีนหรืออย่างไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับวิชาแคลคูลัสมีเกณฑ์อยู่ว่า จะตัด F ที่ 25 คะแนน ซึ่งก็คือถ้าพวกเธอไม่สามารถทำคะแนนรวมได้เกิน 25 ก็จะได้ F ไปอยู่ดี”


ประโยคที่ทำให้เหล่านักศึกษาถึงกับช็อคค้าง รอยยิ้มที่เพิ่งจะแสดงถึงความดีใจออกไปยังคาอยู่บนปากที่เริ่มสั่นน้อยๆ แล้วเสียงตะโกนถามก็ดังออกมาจากทั่วสารทิศ..ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับอาจารย์ผู้เจอปรากฏการณ์เช่นนี้มาทุกปีแล้ว คำถามเหล่านั้นล้วนแต่ลอยผ่านหูออกไปโดยสิ้นเชิง


“แคลฯ1 มีคะแนนเต็มทั้งหมด 100 คะแนน โดยแบ่งเป็น มิดเทอม 45 คะแนน ไฟนอล 45 คะแนน และคะแนนเก็บอีก 10” อาจารย์อธิบายต่ออย่างไม่สนใจเสียงนกเสียงกา “มิดเทอมที่ผ่านมา ข้อสอบคะแนนเต็ม 90 จะต้องเอาไปหารสองให้เหลือเต็ม 45 ดังนั้นถ้าพวกคุณได้พอดีมีน ก็จะได้คะแนนจริงๆคือ 6.5”


คะแนนที่ได้ฟังมันช่างชวนให้สิ้นหวัง โดยเฉพาะเมื่ออาจารย์ยังคงอธิบายต่อ


“สมมุติว่าพวกคุณเข้าเรียนทุกครั้ง คะแนนเก็บได้เต็ม 10 ก็แปลว่าพวกคุณมีคะแนนอยู่ในมือแล้ว 16.5 คะแนน ก็จะต้องทำอีก 8.5 คะแนนจาก 45 หรือ 17 คะแนนจาก 90 ก็จะรอด F พอดี” อาจารย์เริ่มเก็บข้าวของและแผ่นสไลด์ “อย่างไรก็ตามในฐานะที่ปรึกษาของพวกคุณ ผมขอแนะนำว่าเนื่องจากไฟนอลข้อสอบมักจะยากกว่ามิดเทอมเสมอ เพราะฉะนั้นใครที่ได้คะแนนดิบต่ำกว่า 20....พวกคุณสามารถไปขอใบถอนวิชาได้ที่ตึกอธิการบดี แล้วนำมาให้ผมเซ็นวันพรุ่งนี้”


ว่าจบก็พยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงทำความเข้าใจตรงกันแล้ว ก่อนที่อาจารย์จะฉวยโอกาสที่นักศึกษายังตะลึงไม่หายรีบเดินจ้ำออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเมื่อขาก้าวพ้นประตูไปแล้ว เขาจะอดใจไม่ได้ที่จะชะโงกคอกลับมาบอกรายละเอียดเพิ่ม


“พรุ่งนี้ผมต้องไปรับลูกตอน 5 โมงเย็น เพราะฉะนั้นผมจะรออยู่ที่ห้องถึงแค่ 4 โมงเย็นเท่านั้นนะ”


ตามด้วยเสียงเลื่อนประตูกระจกปิดดังแกร๊ก และมันก็เป็นเสียงแกร๊กเบาๆที่มากพอจะเรียกสติของนักศึกษาทุกคนให้กลับคืนมา เมื่อในชั่วพริบตาหลังจากนั้นเสียงเอะอะโวยวายก็ดังลั่นไปทั่วด้วยความตื่นตระหนกที่ทัดเทียมกันของแทบทุกคน


“ทำไงดี!! แบบนี้ต้อง F แน่ๆเลย...”


“ถ้าถอนวิชาแล้วต้องทำไงต่อน่ะ? แล้วแบบนี้จะได้ค่าหน่วยกิตคืนมั้ย??”


“ได้ 20 คะแนนพอดีแบบนี้ จะถอนหรือจะต่อดีล่ะเนี่ย??”


กับอีกคำถามมากมายที่ดังมาจากทุกทิศทางด้วยเสียงที่มากพอจะทำร้ายแก้วหูของคนปกติได้ แต่สำหรับคนที่ก็ตกอยู่ในสถานภาพเดียวกันแล้ว...ปุณยวีร์กลับเพียงมองคะแนนของตนที่ต้องทำเพิ่มในไฟนอลอีกถึง 19 คะแนนดิบหรือ 9.5 คะแนนจริง ก่อนจะถอนหายใจยาว..


..บางทีถึงจะอยากหรือไม่อยาก แต่ก็ยังดีกว่าให้แม่รู้ว่าสอบตกแน่...


ร่างบางถอนใจออกมาอีกเฮือก ถึงจะไม่อยากเลยแม้แต่นิดเดียวแต่มันก็คงมีแต่ทางนี้แล้วเท่านั้น


“ไปด้วยกันมั้ย ฟาง?”


ปุณยวีร์หันมาถามเพื่อนสนิทผู้ส่ายหน้าปฏิเสธทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น เพราะความที่สนิทกันจนรู้ใจในบางเรื่อง ทำให้ฟางรู้ว่าปูคิดจะทำอะไร และแน่ล่ะว่า..แม้ว่าเขาคนนั้นจะดูมีดีกรีดีแค่ไหน แต่เมื่อคิดถึงดวงตาคมดุคู่นั้นแล้ว เธอก็ไม่อยากไปติวด้วยอย่างแน่นอน


“ถ้าไม่ไปแล้วฟางจะทำยังไงล่ะ? คะแนนก็ยังเสี่ยงอยู่เหมือนกันนี่นา”


“อย่าห่วงเลยปู” ฟางตอบ พลางเหลือบตามองไปที่เด็กหนุ่มผิวคล้ำที่แทบจะเป็นคนเดียวในห้องที่ยังรักษาความเยือกเย็นไว้ได้ มิหนำซ้ำยังไม่ใช่แค่ความเยือกเย็น แต่ยังรื่นรมย์พอที่จะคว้ากีตาร์ขึ้นมาดีดเบาๆอย่างสนุกสนาน “...ฉันคิดว่าพอจะหาทางเอาตัวรอดได้นะ”


ขณะเดียวกัน..ไม่รู้ว่าเป็นเพราะในห้องเปิดแอร์แรงไปหรืออย่างไร จึงทำให้พีทรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ...


+++++++++++++


“วันนี้กลับเย็นจังนะ จิรันดน์”


เสียงทักทายเรียกสายตาที่จับจ้องอยู่หน้าจอโนตบุคให้เลื่อนขึ้นมาที่ประตูห้อง ซึ่งมีร่างของชายวัยใกล้เกษียณยืนอยู่


“อ.อุตสาหะเองก็เหมือนกันนี่ครับ” จิรันดน์ตอบกลับยิ้มๆ “พอดีผมมีงานค้างอยู่นิดหน่อย อีกอย่างนี่ก็เพิ่งจะ 6 โมงเท่านั้นเอง”


อุตสาหะเลิกคิ้วน้อยๆ จากเดิมทีที่ตั้งใจเพียงแค่เข้ามาทักทายก่อนกลับบ้าน กลับเปลี่ยนเป็นปิดประตูลง ก่อนจะเดินมานั่งตรงข้ามลูกศิษย์คนโปรดที่ถูกเขาชวนให้กลับมาเป็นอาจารย์ที่นี่


“คิดจะหลอกครูมันยังเร็วเกินไปนะ จิรันดน์” อาจารย์วัยเลยกลางคนมองดวงตาภายใต้กรอบแว่นที่คล้ายจะกำลังยิ้มน้อยๆของอดีตลูกศิษย์อย่างพิจารณา “ปกติครูเห็นเธอเคลียร์งานเสร็จก่อนเวลาทุกที ยังไม่เคยเห็นมีสักครั้งที่เธอต้องทำงานล่วงเวลาด้วย จริงๆแล้วเธอนั่งทำอะไรอยู่กันแน่”


บางทีมันอาจเป็นคำถามที่ละลาบละล้วงเกินไป แต่สำหรับความสัมพันธ์ของอาจารย์ลูกศิษย์ที่เคยเป็นทั้งอ.ที่ปรึกษา เป็นอ.ดูแลโปรเจ็คจบให้ และก็ยังติดต่อกันเรื่อยในช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้ว คำถามนั้นก็อาจไม่ได้มากเกินไปนัก


“ไม่มีอะไรหรอกครับ” จิรันดน์หัวเราะเบาๆ นิ้วเรียวยาวคลิกเมาส์เซฟงานที่กำลังทำอยู่ ก่อนจะปิดโนตบุคลง “ก็แค่รออะไรนิดหน่อย”


อะไรนิดหน่อยที่ไม่จำเพาะเจาะจงลงไปว่าเป็นคน สัตว์หรือสิ่งของ กระตุ้นความสนใจของอุตสาหะขึ้นมาอย่างยากจะอดใจได้ และเขาก็คงจะเลียบๆเคียงๆถามออกไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสายตาสอดรู้ที่บังเอิญสังเกตเห็นหนังสือ Calculus 1 ที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างน่าผิดแปลก


“หนังสือแคลฯบนโต๊ะอาจารย์สาขาคอมพิวเตอร์งั้นเหรอ?” มือหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาพลิกเปิดดูผ่านๆ มองสภาพของหนังสือที่บอกชัดว่าผ่านการใช้งานมาแล้ว ทั้งยังมีโน้ตย่อสอดอยู่ในเล่มแบบละเอียดยิบ “คงไม่ใช่ว่า....”


ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นขัดคำพูดที่แสดงถึงความคาดเดาของอาจารย์ผู้สูงวัยลง เมื่อผู้ที่อยู่ในห้องทั้งสองต่างก็หันไปมองยังประตู ก่อนที่ผู้แก่วัยกว่าจะหัวเราะออกมาเบาๆ


“ที่แท้ก็รอใครอยู่งั้นเหรอ ถ้างั้นครูไม่กวนล่ะนะ” ร่างสูงลุกขึ้นยืน พลางเลื่อนหนังสือแคลคูลัสส่งคืนให้แก่เจ้าของห้อง “ยังไงก็....ระวังข่าวอื้อฉาวไว้บ้างก็ดีนะ อ.จิรันดน์”


คำว่า อาจารย์ ถูกเน้นมากกว่าที่ควรจะเป็น เรียกรอยยิ้มบางๆจากผู้ถูกกล่าวหา


“อย่าห่วงเลยครับ ผมรู้ว่าอะไรควรไม่ควรดี” มือขาวสะอาดรับหนังสือมาอย่างสุภาพ “นี่มันก็แค่..พี่ชายติวให้น้องสาวเท่านั้นแหละครับ”


อ.อุตสาหะกลอกตานิดหน่อย เพราะถึงอีกฝ่ายจะยืนยันมั่นคงแค่ไหน ถึงว่าคนคนนี้จะเป็นลูกศิษย์ที่เขาไว้วางใจได้ แต่ว่าในฐานะของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนแล้ว..เขาก็รู้ดีว่าเรื่องบางเรื่องนั้นมันยากจะห้ามกันได้


โดยเฉพาะแพทเทิร์นพี่ชายกับน้องสาวร่วมโลกที่มีให้เกร่อในนิยายนี่อีก...


ผู้แก่วัยกว่าลอบถอนใจเบาๆ ตัดสินใจว่าเรื่องนี้ยังไม่ใช่ปัญหาสำคัญอะไรนัก เมื่อเพียงแต่พยักหน้าให้กับอดีตลูกศิษย์ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูออก...


“หวา..!!”


สิ่งแรกที่สะท้อนในดวงตาที่ฝ้าฟางด้วยวัยแต่ยังคมกริบด้วยความอยากรู้อยากเห็น นั่นคือกำปั้นน้อยๆที่ยกค้างขึ้นสูงอย่างหวิดจะประเคนลงมาบนดั้ง หากโชคยังดีที่ปฏิกิริยาของเด็กสาวจะรวดเร็วพอที่จะชะงักมือไว้กลางอากาศ ไม่เช่นนั้นจากการเคาะประตูอาจได้เป็นการเคาะดั้งจมูกของอาจารย์หัวหน้าสาขาวิชาคอมพิวเตอร์แทนก็เป็นได้


...1...2...3....


อ.อุตสาหะนับเลขในใจอยู่สามวินาทีกว่าจะรวบรวมสติกลับมาจากเหตุการณ์ที่เกือบถูกลอบประทุษร้ายได้ มันต้องใช้ความอ่อนโยนในฐานะอาจารย์เต็มหัวใจเพื่อที่เขาจะเค้นรอยยิ้มน้อยๆออกมา


“จิรันดน์รออยู่ข้างในแน่ะ”


“อ๊ะ! ค่ะ..ขอบคุณค่ะ”


เด็กสาวผู้เกือบได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยรีบก้มหัวประหลกๆ ก่อนจะฉวยโอกาสที่อาจารย์เดินเฉียดตัวผ่านไป รีบแทรกตัวเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูตามหลังอย่างรวดเร็ว แผ่นหลังภายใต้ชุดนักศึกษายันกับประตูไว้ราวกับกลัวว่าจะมีใครเปิดเข้ามา เมื่อเงยหน้าที่ยังดูตื่นๆขึ้นมองไปยังทิศทางที่เธอต้องการมาพบมากพอกับที่ไม่ต้องการ..


“ไง น้องปู?”


จิรันดน์ทักทายด้วยเสียงเรียบเฉย วงหน้าคมคายไม่ปรากฏซึ่งความรู้สึกใด ยกเว้นก็แต่ริมฝีปากที่คล้ายจะยิ้มอยู่บางๆ


“มาหาพี่มีเรื่องอะไรเหรอ?”


คำถามที่ทำให้ปุณยวีร์ถึงกับสะอึก เธอน่าจะรู้อยู่แล้วว่าผู้ชายคนนี้ไม่มีทางทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้นสำหรับเธอ ด้วยนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นพยาบาทจองเวรของพี่บอมบ์..ที่แม้แต่ความแค้นตั้งแต่หลายปีก่อนก็ยังไม่ลืมนั่น มีหรือที่จะยอมปล่อยโอกาสที่จะได้กลั่นแกล้งเธอให้หลุดไปจากมือ!?


ไม่เป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย..!!


เด็กสาวก่นด่าอยู่ในใจ โดยเลือกจะทำเป็นลืมว่าตัวเธอก็มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่แพ้กัน แต่อันว่าคนเรายกขึ้นได้ก็ต้องวางลงได้ ในบางครั้งบางสถานการณ์ก็ต้องเก็บความแค้นเอาไว้ก่อน และยึดถือสถานการณ์ใหญ่เป็นหลัก เหมือนดังคำคมที่ว่า แพ้ในศึกเล็ก แต่ชนะในศึกใหญ่ และศึกเล็กที่ว่านั้นก็คือพี่ชายร่วมโลกตรงหน้า ขณะที่ศึกใหญ่นั้นย่อมเป็น....


ปุณยวีร์ฝืนแย้มรอยยิ้มหวาน มันเป็นรอยยิ้มอย่างที่น้องสาวพึงประจบประแจงต่อพี่ชาย และรอยยิ้มนั้นก็คงจะน่ารักกว่านี้มาก ถ้าไม่ใช่เพราะมือที่ซ่อนเอาไว้โดยการยกขึ้นไพล่หลังซึ่งกำแน่นเสียจนน่าเป็นห่วง เมื่อจำต้องพูดในประโยคที่แทบจะกัดลิ้นตัวเองเพื่อพูดออกมา


“ปูมาขอร้องให้พี่บอมบ์ช่วยติวแคลฯให้น่ะค่ะ!”



- - - - TBC. - - - -



Langlae
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.ย. 2554, 19:42:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ย. 2554, 19:42:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 2063





<< บทที่ 1 : เซตของฉันกับเซตของเธอ   
Edelweiss 11 ก.ย. 2554, 21:03:12 น.
ชอบเวลาที่พี่บอมบ์เรียก น้องปู จังเลย


แล่นแต๊ 11 ก.ย. 2554, 22:06:21 น.
555 คิดได้ไงเนี่ยว่าน้องปูเป็นลูกอาจารย์บอมบ์


ใจใส 11 ก.ย. 2554, 22:55:05 น.
สนุกมากค่ะ เราเป็นแบบน้องปูเลยล่ะ แคล1 สุดสยอง บรื้ออออออ!!
คิดแล้วยังงงไม่หายไม่รู้ตอนนั้นผ่านมาได้ไง


anOO 12 ก.ย. 2554, 11:45:15 น.
ยัยฟางคิดจะใช้เทพอย่างนายพีทติวให้เหรอ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account