"หัวใจผูกรัก"
‘คุณไม่ใช่ผู้ชาย...คุณเป็นเกย์!’ ถ้อยคำที่เธอตะโกนใส่หน้าเขาด้วยความเข้าใจผิดในวันแรกที่ได้เจอกัน กลับทำให้เขา...’วสุ’ ด็อกเตอร์หนุ่มหมาดๆ เกิดสนใจในตัวเธอ...’มณีมณฑ์’ หรือ ‘มุก’ สาวน้อยนิสิตเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่สี่ขึ้นมา จนต้องพาตัวมาอยู่ใกล้ๆ ด้วยการเข้าทางทั้งแม่และป้าของเธอ โดยอาศัยความสนิทสนมระหว่างครอบครัวที่มีเป็นทุนเดิม...แต่เมื่อแม่สาวน้อยทั้งดื้อรั้น ปากแข็ง แถมยังขยันเข้าใจเขาผิดบ่อยๆ ชายหนุ่มจะใช้ความรักผูกพันร้อยรัดหัวใจของเธอไว้ได้อย่างไร...
Tags: หัวใจผูกรัก

ตอน: ตอนที่ 1

1…

ทันทีที่หน้าจอโปรเจกเตอร์ดับลงเป็นสัญญาณสิ้นสุดการเรียนการสอนในวันนี้ เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ก็ดังขึ้นทันทีพร้อมๆ กับที่นิสิตจำนวนร้อยกว่าคนทยอยกันออกจากห้องเรียนด้วยท่าทางเหมือนกับหลุดพ้นจากห้องคุมขังนักโทษอย่างไรอย่างนั้น ด้วยเวลาสามชั่วโมงเศษที่ต้องนั่งฟังบรรยายพร้อมจดเลกเชอร์ให้ทันก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกทรมานดีๆ นี่เอง

มณีมณฑ์เองก็ไม่ได้รู้สึกต่างจากคนอื่นๆ เมื่อก้าวพ้นห้องเรียนออกมาสู่ระเบียงทางเดินภายในตึก หญิงสาวจึงถอนใจเฮือกใหญ่เพื่อระบายความเหน็ดเหนื่อย ก่อนจะหัวเราะออกมาได้เมื่อเพื่อนสนิทที่เดินอยู่ข้างๆ ก็ทำกิริยานั้นพร้อมกัน

“เฮ้อ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเพิ่งเปิดเทอมได้แค่สองอาทิตย์เองน่ะ ความรู้สึกมุกเหมือนผ่านมาแล้วสักสองเดือนมากกว่า”

นลินีพยักหน้ารับ ส่งเสียงบ่นอย่างเห็นพ้อง “นั่นสิ แค่สองอาทิตย์ยังได้ชีทเรียนหนาเท่านี้แล้ว กว่าจะถึงวันสอบ กองชีทคงสูงท่วมหัวแหงๆ”

“ฮื่อ นี่ดีนะที่พรุ่งนี้ไม่มีเรียน PT ขืนเจอวิชานี้สองวันติดละก็มุกแย่แน่” มณีมณฑ์เบ้หน้าใส่ชีทเรียนในอ้อมแขน

PT ซึ่งเป็นชื่อเรียกแบบย่อของวิชา Applied Pharmacotherapeutics หรือเภสัชบำบัดประยุกต์ เป็นวิชาเฉพาะที่นิสิตเภสัชศาสตร์หลักสูตรบริบาลเภสัชกรรม (6 ปี) จะได้เจอในภาคเรียนแรกของชั้นปีที่สี่ โดยจะเป็นการนำความรู้ในเรื่องยาทั้งหมดที่เรียนมาเพื่อใช้ในการรักษาคนไข้ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นการเรียนในขั้น clinic ซึ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น

เมื่อเดินมาถึงโถงกลางที่มีทั้งร้านขายอาหารเครื่องดื่มเล็กๆ น้อยๆ และโต๊ะเก้าอี้สำหรับบริการบุคลากรภายในคณะ นลินีก็หันไปโบกมือให้เพื่อนกลุ่มหนึ่งซึ่งจับจองที่นั่งตรงกลางโถง ก่อนหันมาถามเพื่อนสาว

“วันนี้กลุ่มบัวนัดทำรายงานกัน กลุ่มมุกยังไม่นัดเหรอ”

“ยังหรอก กลุ่มมุกพรีเซนท์ทีหลังบัวตั้งอาทิตย์นี่นา แต่อีกไม่กี่วันก็คงจะนัดแหละ” อีกฝ่ายตอบพลางพยักพเยิดให้เพื่อนรีบเข้าไปร่วมวงรายงาน “บัวไปเถอะ เดี๋ยวมุกก็จะกลับบ้านแล้ว”

“โอเค งั้นก็เจอกันพรุ่งนี้จ้า”

ร่างเล็กบางของนลินีเดินแยกไป มณีมณฑ์จึงเดินต่อไปจนถึงบันไดทางลงหน้าคณะ นึกเสียดายที่วิชานี้บังคับให้จับกลุ่มตามรหัสนิสิต ไม่ใช่จับตามความสมัครใจ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ต้องแยกกับนลินี

ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ หญิงสาวก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง ก่อนที่ดวงตากลมโตสีน้ำตาลใสจะเบิกกว้างเมื่อหันไปเห็นที่มาของเสียงเต็มสองตา

“คุณ!”

“ทางนี้ครับ มุก”

เจ้าของเสียงทุ้มนั้นเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวขาวสะอาด ใบหน้าคมคาย...โดดเด่นทั้งด้วยหน้าตาและบุคลิก ยิ่งส่งเสริมด้วยคำว่าด็อกเตอร์ที่นำหน้าชื่อและฐานะทางบ้านที่จัดว่าร่ำรวยก็ยิ่งทำให้เขาไม่น่ามองข้ามเข้าไปใหญ่ ทว่าคุณสมบัติเหล่านั้นกลับสร้างความขัดตาขัดใจให้กับมณีมณฑ์ทุกครั้งที่มอง

แม้กระทั่งชื่อ...ด็อกเตอร์วสุ...เธอฟังแล้วยังขัดหู แต่ก็ไม่รู้ทำไมสองสามเดือนมานี้ชีวิตเธอถึงได้มีเขาเข้ามายุ่งเกี่ยวมากขึ้นทุกที

“คุณมาที่นี่ได้ยังไง” หญิงสาวตั้งคำถามเสียงขุ่น หากคนที่ยืนค้างอยู่ตรงประตูรถเก๋งคันงามก็ยังยิ้มได้เมื่อตอบ

“ผมมาเป็นอาจารย์พิเศษที่คณะเศรษฐศาสตร์น่ะ พอสอนเสร็จแล้วเห็นว่ามุกน่าจะเลิกเรียนพอดี ก็เลยมารับกลับบ้านด้วยกัน”

“มารับ!?” เสียงใสดังแทบเป็นตะโกน ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบลดเสียงลงเมื่อรู้สึกถึงสายตาของคนรอบข้าง “แล้วคุณรู้ยังไงว่าฉันเลิกเรียนกี่โมง”

ร่างสูงอมยิ้ม “ขอเก็บเป็นความลับได้ไหมครับ ถ้ามุกรู้แล้วผมก็ไปสืบมาอีกไม่ได้สิ”

“ไม่ต้องมาทำเป็นเก็บความลับหรอก...ป้าพลอยบอกคุณล่ะสิ” มณีมณฑ์ดักคออย่างมั่นใจ เพราะคุณพลอยรุ้ง ผู้เป็นป้าแท้ๆ นั่นแหละ ที่เป็นคนชักนำชายหนุ่มตรงหน้าเข้ามาในชีวิตเธอนับตั้งแต่เจอกันครั้งแรกเมื่อหลายเดือนก่อน



วันนั้นมณีมณฑ์ไปร่วมงานเลี้ยงเป็นเพื่อนผู้เป็นป้า ที่มักจะพาเธอไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ทดแทนลูกชายซึ่งกำลังเรียนปริญญาโทอยู่ต่างประเทศ เธอได้พบกับคุณวิกานดา เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนของคุณพลอยรุ้ง ที่ควงคู่มากับลูกชายเช่นกัน

แรกทีเดียว หญิงสาวเพียงแค่คุ้นหน้าผู้ชายที่เธอได้รับการแนะนำให้รู้จักว่าชื่อ ‘พี่วสุ’ แต่ยังนึกไม่ออกว่าเคยเห็นหน้าเขาที่ไหนมาก่อน ก็ได้รู้ในเวลาต่อมาว่าคนตรงหน้าเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทสนมกันมากและเพิ่งเรียนจบกลับมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกับที่พชระ ญาติผู้พี่ของเธอกำลังเรียนอยู่ มณีมณฑ์จึงนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นเขาในรูปถ่ายที่พี่ชายอัพเดทขึ้นบน Facebook ในช่วงสองสามปีหลังมานี้นั่นเอง

จำได้ว่าเธอยังเคยล้อเลียนพชระอยู่เลยว่า ‘อะไรเนี่ยพี่เพชร ไหนบอกว่าไปเที่ยวสปริงเบรกกับเพื่อน แล้วไหงมีแต่รูปถ่ายกับผู้ชายอ่ะ ยังไงกัน มีอะไรจะฝากให้มุกช่วยเกริ่นๆ กับป้าพลอยไว้ก่อนไหม’

‘หาเรื่องให้พี่แล้วไง ยัยมุก!’ ญาติผู้พี่ที่สนิทกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ โวยมาเป็นตัวอักษรผ่านการพูดคุยด้วยโปรแกรมสนทนาออนไลน์ ‘อย่าได้ไปพูดอะไรให้แม่พี่เข้าใจผิดเชียว แค่นี้ก็เอาใจไม่ถูกแล้ว...ถ่ายรูปกับผู้หญิงก็กลัวจะมีแฟน พอถ่ายกับผู้ชายก็กลายเป็นเบี่ยงเบนซะงั้น’

‘ช่วยไม่ได้นี่นา ลูกชายคนเดียวก็อย่างนี้แหละ’ หญิงสาวปลอบ อันที่จริงก็รู้อยู่หรอกว่าพี่ชายเธอน่ะไม่มีทางเบี่ยงเบนแน่นอน แค่แกล้งล้อไปอย่างนั้นแหละ ‘ว่าแต่...ใครอ่ะ ที่ถ่ายรูปด้วยกันบ่อยๆ น่ะ’

‘รุ่นพี่ปริญญาเอก...หล่อล่ะสิ สนใจหรือเปล่า เอาอีเมล์ไปเลยไหม เดี๋ยวแนะนำให้รู้จัก’

...โห มาเป็นชุด นี่พี่ชายลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเองมีน้องสาว

‘หล่อแล้วยังไงล่ะ จะเอามาทำไม ไม่ได้อยากรู้จักสักหน่อย’ มณีมณฑ์ตอบห้วนๆ ดูสิ กี่รูปๆ ก็ยืนอยู่ข้างพี่เพชรตลอด แอบคิดอะไรอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้

ยิ่งพิจารณาดูใบหน้าขาวคมคายที่ประกอบด้วยคิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากหยักได้รูป นิ้วมือเรียวสวย และร่างสูงโปร่งนั้นอีก...ไม่แมนแหงๆ ฟันธง!



จากข้อสรุปในครั้งนั้นทำให้หญิงสาวลอบสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่ายแทบจะตลอดเวลาเพื่อเสริมความมั่นใจ จะได้เตือนพี่ชายไม่ให้ทำตัวใกล้ชิดมากจนเกินไป ก่อนจะได้พบว่าวสุนั้นเป็นคนสุภาพอ่อนโยน ซ้ำยังมีมารยาท ให้เกียรติทั้งผู้พูดและผู้ฟังในวงสนทนาโดยไม่ได้ถือตัวหรืออวดฉลาดอย่างบางคนที่เธอเคยเห็น ทำให้ได้รับน้ำเสียงและสายตาชื่นชมจากผู้ใหญ่หลายคน

จนเรียกได้ว่าทั้งงานนี้มีเธอคนเดียวเท่านั้นที่คอยแต่จะมองเขาด้วยสายตาจับผิด!

เมื่อแขกในงานเริ่มทยอยกลับ คุณพลอยรุ้งก็พาหลานสาวไปล่ำลาเพื่อนสนิท ซึ่งมณีมณฑ์ก็ยกมือไหว้สองแม่ลูกอย่างเรียบร้อย ระหว่างที่คู่เพื่อนสนิทกำลังพูดคุยนัดแนะถึงการพบปะกันคราวหน้า ร่างบางที่กำลังมองไปรอบๆ โดยไม่ได้จำกัดสายตาไว้ที่จุดไหนก็หันขวับทันทีเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นในระยะใกล้

‘น้องมุก’

‘มีอะไรเหรอคะ ด็อกเตอร์วสุ’ ...จ้างให้ก็ไม่เรียกว่า ‘พี่’ หรอก จะแอบคิดมิดีมิร้ายกับพี่ชายเราหรือเปล่ายังไม่รู้เลย
อาจเป็นอุปาทานที่เธอเห็นแววขบขันจางๆ พาดผ่านดวงตาคู่คม เมื่อเขาได้ยินสรรพนามที่เธอใช้เรียก

‘ผมน่าจะเป็นคนถามคำถามนั้นมากกว่านะ ก็มุกมองผมตลอดตั้งแต่เริ่มงานเลยนี่นา...มีอะไรหรือเปล่าครับ’ ร่างสูงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ‘หรือว่า...สนใจผม?’

หญิงสาวเบิกตาโตอย่างตกตะลึงกับคำถามนั้น ก่อนจะตั้งสติได้ในวินาทีต่อมา ‘ฉันจะไปสนใจคนอย่างคุณได้ยังไง’

‘คนอย่างผมนี่เป็นยังไงเหรอครับ’

คำถามใคร่รู้ของอีกฝ่ายทำให้คนถูกถามเริ่มออกอาการหงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได้

...ทำมาเป็นสงสัย นึกว่าคนอื่นเขาไม่รู้ทันหรือไงกันนะ ‘ยังจะถามอีกเหรอ จะบอกให้นะ...ฉันรู้ว่าคุณเป็น ‘ยังไง’ แต่พี่เพชรเขาไม่ได้เป็นเหมือนคุณ เพราะฉะนั้นคุณเลิกยุ่งกับเขาได้แล้ว’

‘ผมรู้จักกับนายเพชรมาตั้งหลายปี สนิทกันมากด้วย อยู่ๆ จะให้เลิกคบกันง่ายๆ เลยคงเป็นไปไม่ได้หรอก แล้วอีกอย่างนะครับ...ผมยังไม่เข้าใจเลยว่านายเพชรไม่เหมือนผมตรงไหน’

ท่าทางเหมือนคนไม่ยอมรับตัวเองของฝ่ายตรงข้ามทำให้มณีมณฑ์เลิกล้มความคิดที่จะพูดจาประนีประนอมต่อไป เสียงใสจึงประกาศกร้าวตามความเข้าใจของตน

‘ก็ตรงที่พี่เพชรเขาเป็นผู้ชายไง แต่คุณไม่ใช่...คุณเป็นเกย์!’

‘อะไรนะ! ยัยมุก/วสุ’ เสียงของคุณพลอยรุ้งกับคุณวิกานดาที่บังเอิญเดินมาได้ยินประโยคสุดท้ายของหญิงสาวเข้าพอดี ดังประสานกันลั่นห้องจัดเลี้ยง

‘เมื่อกี้เราสองคนพูดว่าอะไร อธิบายให้แม่กับป้าฟังเดี๋ยวนี้เลย!’



คืนนั้นมณีมณฑ์นอนหลับไม่สนิทนัก หลังจากอธิบายเรื่องราวตามความเข้าใจของตัวเองให้ผู้เป็นป้าฟังแล้ว เธอก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาเมื่อเหลือบตามองสีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งของคนที่กำลังทำความเข้าใจกับมารดาอยู่อีกทางหนึ่ง

...ถึงวสุจะเป็นยังไง เธอไม่ควรพูดจาเหมือนรังเกียจเขาสินะ...อันที่จริงเธอก็ยอมรับความแตกต่างแบบนั้นได้อยู่หรอก แต่จะให้ยอมรับถึงขั้นเป็นพี่สะใภ้นี่ก็เกินไปหน่อยนะ

ขณะที่คิดจะเอ่ยปากขอโทษ ชายหนุ่มก็หันหน้ามองตรงมาที่เธอ ท่าทีเขาเหมือนไม่ต้องการคำขอโทษ...แต่คลับคล้ายกับอ่อนใจอะไรบางอย่างมากกว่า

‘ผมไม่รู้ว่าคุณไปได้ข้อมูลมาจากไหนถึงได้สรุปออกมาแบบนั้นนะ แต่ขอยืนยันเลยว่าผมเป็น ‘ผู้ชาย’ ที่ไม่ได้คิดจะชอบผู้ชายด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นนายเพชรหรือว่าใครก็ตามแน่นอน’

พูดจบแล้ววสุก็ผละไป ทิ้งให้คนฟังอ้าปากค้าง พูดอะไรต่อไม่ออกด้วยความมึนงง ก่อนจะยิ่งมึนหนักเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนสายของวันรุ่งขึ้นด้วยเสียงโทรศัพท์ที่แผดลั่นจากหัวเตียง

‘ฮัลโหล มุกพูดค่ะ’

‘ว่ายังไง ยัยตัวดี! เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยว่าไปเอาเรื่องพี่วสุเป็นเกย์มาจากไหน หา!’ ญาติผู้พี่ว้ากข้ามประเทศมาด้วยน้ำเสียงฉุนจัด ‘พี่แกโทรมาถามตั้งแต่เที่ยง ตอนแรกพี่ก็นึกว่าแค่เรื่องเข้าใจผิดขำๆ ...ที่ไหนได้ พอค่ำๆ แม่ก็โทรมาซักอีกคน ถามไปถามมาถึงรู้ว่าฟังมาจากเธอนี่เอง...คิดได้ยังไงเนี่ย ยัยมุก!’

‘ตอนนี้กี่โมงแล้วอ่ะ’ มณีมณฑ์ถามอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยหลับ ยังมึนๆ อยู่เลย

‘สองทุ่มของที่นี่ ก็แปดโมงเช้าที่บ้านเธอน่ะสิ อย่าบอกนะว่ายังไม่ตื่นอีก’ พชระบ่น หงุดหงิดเป็นกำลังกับเรื่องวุ่นวายทั้งหลายแหล่ของแม่น้องสาวตัวดี

‘ตกลงจะตอบพี่ได้หรือยังว่าไปเอาเรื่องบ้าๆ นี่มาจากไหน’

‘ก็...เอ่อ...’ ต้นตอของเรื่องบ้าๆ เริ่มอึกอัก ‘ก็มุกเห็นพี่เพชรถ่ายรูปคู่กับเขาบ่อยๆ ทุกครั้งที่ไปเที่ยวกันเลยนี่นา ก็เลย...’

‘แค่เนี้ย! แล้วเราก็เอาไปคิดเป็นตุเป็นตะใหญ่โตเลยเนี่ยนะ ยัยบ๊องเอ๊ย’ ผู้เป็นพี่ชายแทบกุมขมับกับความช่างจินตนาการเกินเหตุของน้องสาว ‘พี่วสุเขาจะเป็นเกย์ได้ไง ก็พี่เขาบอกเองว่าสนใจ...’

‘สนใจอะไรอ่ะ พี่เพชร สายหลุดเหรอ’ เสียงใสร้องถามเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็เงียบไป

‘เปล่า ช่างเหอะ เอาเป็นว่าพี่เขามีผู้หญิงที่ชอบอยู่ก็แล้วกัน’ พชระตัดบทดื้อๆ ไม่วายกำชับแกมบ่นก่อนจะวางสายไปว่า ‘เลิกเข้าใจพี่วสุผิดได้แล้วนะ ยัยมุก แล้วก็เลิกคิดเองเออเองซะที นี่ถ้าพี่เขาเป็นอย่างว่าจริงๆ แล้วพี่จะคิดแนะนำให้รู้จักกับเราเรอะ เพี้ยนจริงๆ’

...เอ้า ตกลงว่าเป็นความผิดของเธอเองอย่างนั้นสิ...ก็ใครมันจะไปรู้เล่า โธ่เอ๊ย!!



หลังจากวันนั้นมณีมณฑ์ก็ได้ติดตามผู้เป็นป้าไปร่วมงานเลี้ยงอีกครั้ง แล้วก็ได้เจอกับ ‘โจทก์เก่า’ ที่จนถึงบัดนี้เธอก็ยังไม่ได้ชำระความกับเขาเสียที มาร่วมงานพร้อมกับมารดาเช่นกัน

คุณพลอยรุ้งดึงตัวหลานสาวเข้าไปหาเพื่อนสนิททันทีที่เห็นหน้า ขณะที่ร่างบางพยามยามขัดขืนแบบเงียบๆ อย่างสุดความสามารถ

‘ป้าพลอยขา’ น้ำเสียงออดอ้อนของหลานรักคราวนี้ใช้ไม่ได้ผลกับผู้เป็นป้าที่ยิ้มหวานตอบกลับมา

‘อะไรจ๊ะ มุกก็รู้จักป้าวิกับพี่วสุแล้วนี่นา หรือว่ายังไม่หายเขินที่เข้าใจพี่เขาผิดเมื่อคราวก่อน...ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พี่เขาไม่คิดมากหรอก ไม่ต้องเขิน’

...แต่มุกคิดนี่ แล้วมุกก็ไม่ได้เขินด้วย ป้าพลอยใช้คำผิดแล้วค่ะ หญิงสาวได้แต่โอดครวญในใจขณะทำความเคารพคุณวิกานดาที่ยิ้มรับอย่างใจดีเหมือนเคยโดยไม่มีท่าทีติดใจอะไรกับเรื่องวันก่อน แล้วยังเหมือนจะเอ็นดูเธอมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ก่อนจะไหว้เลยไปถึงลูกชายของเธอโดยไม่มองหน้า แม้จะรู้สึกถึงกระแสตาคมที่จับจ้องมาตลอดเวลาก็ตาม

เพราะมัวแต่ก้มหน้าหรือไม่ก็มองไปทางอื่นที่ไม่มีผู้ร่วมโต๊ะบางคนอยู่ในสายตา มณีมณฑ์จึงไม่เห็นสตรีทั้งสองพยักหน้ายิ้มให้กัน ก่อนจูงมือเดินไปทักทายคนรู้จักที่โต๊ะอื่น...มารู้สึกตัวอีกที ทั้งโต๊ะก็เหลือกันแค่สองคน

...เอาไงดีล่ะทีนี้....เจอกันครั้งแรกก็ไปหาว่าเขาเป็นเกย์ซะแล้ว แล้วจะให้เธอพูดอะไรได้ ดวงตากลมโตเริ่มเหลียวซ้ายแลขวาหาทางหนีทีไล่ หารู้ไม่ว่าท่าทางตื่นๆ นั้นยิ่งสร้างความขบขันแกมเอ็นดูให้กับผู้ร่วมโต๊ะมากยิ่งขึ้น

‘ว่ายังไงครับ มุก’ เสียงเข้มๆ ของอีกฝ่ายทำให้ร่างบางเงยหน้า ก่อนสวนทันควันตามนิสัย

‘ก็ไม่ว่ายังไงหรอกค่ะ ขอโทษด้วยที่เคยเข้าใจคุณผิด...แค่นั้นแหละ’ หญิงสาวรีบจบประโยคหลังจากเผลอไปสบดวงตาแฝงแววยิ้มของวสุเข้าแล้วก็ได้รู้ว่าเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรง เพราะหัวใจเธอพลันเต้นผิดจังหวะขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

‘แปลว่าตอนนี้มุกก็เข้าใจผมถูกแล้วใช่ไหม’

‘แล้วมันสำคัญตรงไหนละคะ ในเมื่อคุณจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันนี่’

‘สำคัญสิครับ ตอนนี้มุกอาจจะยังไม่รู้ แต่ผมบอกได้เลยว่าเกี่ยวกับมุกแน่...เกี่ยวมากๆ เลยด้วย’ ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ ด้วยคำพูดเป็นปริศนา หากคู่สนทนากลับไม่ยอมต่อความ เพราะเกรงว่ายิ่งพูดไปจะยิ่งเข้าตัวเปล่าๆ จึงได้แต่นั่งเงียบจนกระทั่งคุณพลอยรุ้งและคุณวิกานดาเดินกลับมา

เมื่อมณีมณฑ์ถูกผู้เป็นป้าหนีบไปงานเลี้ยงด้วยกันอีกหลายครั้ง และทุกครั้งก็เป็นต้อง ‘บังเอิญ’ พบกับวสุและมารดา บ่อยๆ เข้าหญิงสาวก็เริ่มหวาดระแวงกับการไปไหนมาไหนเป็นเพื่อนผู้อาวุโส เพราะไม่รู้ว่าจะไปเจอคนที่ก่อกวนอารมณ์เธอให้ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนเล่นรถไฟเหาะเข้าเมื่อไหร่

ครั้นจะหันไปพึ่งผู้เป็นมารดา คุณไพลินก็เกิดถูกชะตากับวสุเข้าหลังจากที่ได้พบกันในงานเลี้ยงคราวหนึ่ง จนพลอยสนับสนุนให้สองหนุ่มสาวได้พบปะกันบ่อยครั้งไปด้วยอีกคน



“ขึ้นรถสิครับมุก”

ร่างสูงโปร่งเดินอ้อมมาเปิดประตูรถด้านข้างคนขับให้อย่างเชิญชวน หากหญิงสาวมีหรือจะยอมก้าวขึ้นไปง่ายๆ ใบหน้ารูปหัวใจจึงสะบัดไปอีกทางอย่างต่อต้าน

“ใครบอกว่าฉันจะกลับกับคุณ วันนี้ฉันจะนั่งรถเมล์กลับต่างหาก”

ไม่คาดว่าชายหนุ่มจะตอบกลับมาด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “คุณแม่มุกไงครับ...น้าไพลินบอกว่าเป็นห่วงเวลามุกนั่งรถเมล์กลับบ้านคนเดียว แล้วก็เลยฝากให้ผมรับมุกกลับมาด้วยถ้าเลิกพร้อมกัน”

...โอ๊ย! แม่นะแม่ ไปฝากไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย ทำอย่างกับว่ากลับพร้อมเขาแล้วจะน่าห่วงน้อยกว่างั้นแหละ มณีมณฑ์บ่นในใจ ปัดสายตามองคนที่เปิดประตูรออย่างหมั่นไส้ในความเป็น ‘คนโปรด’ ก่อนจะสอดตัวเข้าไปนั่งโดยไม่ลืมบอกอย่างวางฟอร์มว่า

“เพราะวันนี้มันเย็นแล้ว ฉันขี้เกียจไปเบียดกับคนบนรถเมล์หรอกนะ”

“เข้าใจแล้วครับ” ด็อกเตอร์หนุ่มรับคำด้วยนัยน์ตาพราวระยับ ก่อนจะก้าวขึ้นประจำที่คนขับแล้วเคลื่อนรถออกไป จนพ้นบริเวณมหาวิทยาลัยออกสู่ถนนใหญ่ เขาก็หันมาถามอย่างเอาใจใส่

“มุกหิวหรือเปล่า วิชานี้เรียนตั้งสามชั่วโมงไม่ใช่เหรอ คงไม่ได้ทานอะไรเลยสิตั้งแต่กลางวัน”

หญิงสาวไม่ถามแล้วว่าเขารู้เวลาเรียนของเธอได้ยังไง ค่อนข้างมั่นใจเลยล่ะว่าเขามีตารางเรียนเธออยู่ในมือแน่นอน ลองว่ารู้ละเอียดขนาดนี้ ซึ่งถ้าไม่ใช่ฝีมือผู้เป็นแม่ก็คงเป็นป้าพลอยนั่นแหละที่ประเคนให้

“ถ้าบอกว่าหิวแล้วจะเลี้ยงเหรอ”

“ยินดีเลยครับ ถ้างั้นผมถือว่าเป็นคำตกลงนะ” ถ้อยตอบรับอย่างอารมณ์ดีทำให้มณีมณฑ์อยากถอนคำพูดเมื่อครู่กลับคืนมาเดี๋ยวนั้น

...นั่นไง ไม่น่าปากไวเลยยัยมุก กลายเป็นเปิดโอกาสเข้าจนได้

“ไม่ได้ตกลง! อย่าพูดเองเออเองสิ” แหวใส่เขาไปไม่ทันไร กระเพาะอาหารก็ดันทรยศด้วยการส่งเสียงร้องเตือนเหมือนรู้คิว ทำเอาคนที่วางมาดเข้มถึงกับฟอร์มหลุด ขณะที่วสุแอบกลั้นยิ้ม

“ตกลงว่าหิวจริงๆ สินะ ถ้าอย่างนั้นแวะหาอะไรทานกันก่อนนะมุก ผมเลี้ยงเอง”

ดวงตากลมโตที่ตวัดมองคนพูดเป็นประกายหมายมาด...อยากเป็นเจ้ามือนักใช่ไหม งั้นวันนี้ฉันจะทำให้คุณหมดตัวเลยคอยดู เตรียมตัวไว้ให้ดีเถอะ...



เมษาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.ย. 2554, 23:11:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ย. 2554, 23:22:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1681





   ตอนที่ 2 >>
Auuuu 10 ก.ย. 2554, 23:24:50 น.
คุ้นๆเหมือนเคยอ่าน??


เมษาริน 11 ก.ย. 2554, 00:11:02 น.
Auuuu: เคยลงไว้ในบอร์ดเก่าค่ะ ^^


pattisa 11 ก.ย. 2554, 00:42:12 น.
กำลังจะบอกว่าคุ้นๆเหมือนกันเลยค่ะ :)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account