"หัวใจผูกรัก"
‘คุณไม่ใช่ผู้ชาย...คุณเป็นเกย์!’ ถ้อยคำที่เธอตะโกนใส่หน้าเขาด้วยความเข้าใจผิดในวันแรกที่ได้เจอกัน กลับทำให้เขา...’วสุ’ ด็อกเตอร์หนุ่มหมาดๆ เกิดสนใจในตัวเธอ...’มณีมณฑ์’ หรือ ‘มุก’ สาวน้อยนิสิตเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่สี่ขึ้นมา จนต้องพาตัวมาอยู่ใกล้ๆ ด้วยการเข้าทางทั้งแม่และป้าของเธอ โดยอาศัยความสนิทสนมระหว่างครอบครัวที่มีเป็นทุนเดิม...แต่เมื่อแม่สาวน้อยทั้งดื้อรั้น ปากแข็ง แถมยังขยันเข้าใจเขาผิดบ่อยๆ ชายหนุ่มจะใช้ความรักผูกพันร้อยรัดหัวใจของเธอไว้ได้อย่างไร...
Tags: หัวใจผูกรัก
ตอน: ตอนที่ 2
2…
หากชายหนุ่มก็ไม่ได้หมดเนื้อหมดตัวอย่างที่ใครบางคนแอบหวัง เพราะหลังจากพากันเข้าไปนั่งในร้านขนมชื่อดังใกล้มหาวิทยาลัยที่มณีมณฑ์เป็นผู้เจาะจง แล้วได้รับเมนูมาคนละเล่ม ว่าที่เจ้ามือก็เอ่ยกับคนที่ทำท่าลิงโลดจนออกนอกหน้ายิ้มๆ ว่า
“สั่งได้ตามสบายนะครับมุก แต่ถ้าสั่งมาเยอะจนเหลือทานไม่หมดก็ไม่เป็นไรนะ ผมจะได้ให้เขาเอาใส่ห่อกลับไปช่วยมุกทานต่อที่บ้านไง ดีไหม”
“ฮึ! คงไม่ต้องให้คุณลำบากขนาดนั้นหรอกค่ะ ด็อกเตอร์วสุ” ร่างบางเน้นเสียงอย่างหมั่นไส้
...โดนรู้ทันจนได้สิ ไม่น่าลืมเลยว่านายคนนี้ฉลาด...เกินไป
หญิงสาวสั่งชาผลไม้มาทานคู่กับพายแอปเปิล ก่อนจะทำหน้าแปลกใจเมื่อพนักงานนำกาแฟร้อนและบัตเตอร์เค้กมาเสิร์ฟให้คนที่นั่งตรงข้าม จนอดไม่ได้ต้องเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน
“ไม่คิดว่าคุณจะทานขนมแบบนี้ด้วย”
“ถ้าไม่หวานมากก็พอทานได้นะ แปลกเหรอครับ” วสุเลิกคิ้ว “ไม่มีผู้ชายคนอื่นที่มุกรู้จักชอบทานขนมหวานเลยเหรอ”
ความคิดเธอกระหวัดไปถึงบิดาและญาติผู้พี่ ซึ่งจัดเป็นผู้ชายสองคนที่เธอรู้จักดีที่สุด...และทั้งคู่ก็เป็นประเภทที่ทานอะไรได้ทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่ขนมหวานให้เธอเห็นจนชินตา
...แล้วเกิดสะดุดใจอะไรกับผู้ชายตรงหน้าขึ้นมาได้ล่ะเนี่ย ยัยมุกเอ๊ย ชักจะเพี้ยนไปกันใหญ่แล้ว
แต่ชายหนุ่มไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีเหมือนอยากจะทึ้งผมตัวเองด้วยความสับสนของหญิงสาว จึงเอ่ยต่อด้วยประโยคที่ทำให้คนที่เกิดอาการ ‘สะดุด’ เมื่อครู่ แทบจะเสียหลักไปเลยทีเดียว
“ป้าพลอยบอกว่ามุกก็ทำขนมอร่อยนี่...บลูเบอร์รี่ชีสพายใช่ไหม วันหลังทำให้ผมทานบ้างสิ”
“ไหนบอกว่าไม่ชอบหวานจัดๆ ไง” มณีมณฑ์รีบทำเสียงแข็งกลบเกลื่อน
“บลูเบอร์รี่ชีสพายก็ไม่หวานมากนี่ครับ อีกอย่างผมอยากทานขนมฝีมือมุกด้วย จริงๆ นะ”
“ไม่มีทาง...ถึงฉันจะทำ คุณก็ไม่ได้ทานหรอก!”
...ในตอนนั้น ทั้งคนพูดและคนฟังต่างก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าคำพูดนั้นจะกลายเป็นความจริงขึ้นมา...ในอนาคตอันใกล้...
เมื่อเสร็จภารกิจจากร้านขนม วสุก็พามณีมณฑ์มาส่งที่บ้าน ซึ่งก็ได้รับคำขอบอกขอบใจจากคุณไพลินที่ไม่ลืมชักชวนชายหนุ่มให้อยู่รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่เขาก็ตอบปฏิเสธอย่างสุภาพก่อนจะขอตัวกลับไปหลังจากพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง
“ไปไหนกันมาบ้างละจ๊ะ กลับกันเกือบค่ำเชียว” คุณไพลินเดินมานั่งลงข้างบุตรสาวพลางซักถามอย่างอารมณ์ดี
“แวะทานขนมอย่างเดียวค่ะ แต่ว่าขากลับเจอรถติดเลยถึงบ้านช้าไปหน่อย” ร่างบางตอบ ก่อนจะทำหน้าง้ำ บ่นกระปอดกระแปดกับมารดาว่า “แม่น่ะ อยู่ๆ ก็เอามุกไปฝากไว้กับเขาได้ยังไงกันคะ มุกไม่รู้เรื่องด้วยเลยนะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ ก็แม่เห็นว่าวสุเขาเป็นผู้ใหญ่กว่า น่าจะดูแลมุกได้ แล้วป้าพลอยกับพี่เพชรของมุกก็รับรองแข็งขันว่าเขานิสัยดี แม่เองก็คิดว่าเขาดี ก็เลยฝากให้ดูแลลูกแม่แค่นี้เอง” คุณไพลินอธิบาย หัวเราะเบาๆ เมื่อลูกสาวร้องหน้าตาตื่น
“แม่ขา มุกอายุแค่ยี่สิบเอ็ดเองน้า ทำไมถึงพูดเหมือนจะยกมุกให้คนอื่นแล้วล่ะ”
“คิดมากไปได้ ลูกคนนี้นี่” เธอส่ายหน้าอย่างขบขันแกมระอา “ที่จริงอายุยี่สิบเอ็ดก็ไม่เด็กแล้วจ้ะ แต่แม่ไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้นหรอก แค่เห็นว่าทางนั้นเขาก็เป็นคนดี น่าสนับสนุน...ถ้าลูกชอบกันได้จริงๆ ก็คงดี เท่านั้นแหละ”
“แต่มุกไม่ได้ชอบเขานี่คะ” หญิงสาวย้อนทันควัน ใบหน้าใสงอง้ำลงอีกเมื่อมารดาย้อนถามยิ้มๆ
“หมายถึงตอนนี้ใช่ไหมจ๊ะ”
“อนาคตก็ด้วยค่ะ!”
“มั่นใจมากๆ แบบนี้ ระวังกลืนน้ำลายตัวเองนะ แล้วจะหาว่าแม่ไม่เตือน” คุณไพลินว่า ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าครัวไป ทิ้งให้ลูกสาวคนเดียวนั่งหน้ามุ่ย เพราะไม่มีใครแม้แต่มารดาจะยอมเชื่อคำพูดของเธอสักคน
พชระที่อยู่ห่างกันครึ่งโลกนั้นยิ่งแล้วใหญ่ แทนที่จะเห็นใจและเข้าข้างน้องสาวอย่างเธอ กลับกลายเป็นยอมเสียค่าโทรศัพท์ทางไกลมาเพื่อบอกว่าเธอนั้นแสนจะโชคดี ขณะที่ ‘น่าเสียดายคนดีๆ อย่างพี่วสุ ไม่รู้ว่ามาตกหลุมยัยมุกได้ไง’ ส่งผลให้มณีมณฑ์เกิดอาการคันปากจนอดโต้ตอบกลับไปไม่ได้
‘ถ้าเสียดายนัก ทำไมไม่เก็บไว้เองเลยล่ะ’
‘หาเรื่องกันอีกแล้วไง ยัยมุก...ถ้าพี่เป็นผู้หญิงก็คงทำได้อยู่หรอก แต่เผอิญว่าพี่คนนี้เป็นผู้ชายที่ไม่คิดจะชอบผู้ชายด้วยกันเว้ย ถึงจะเป็นผู้ชายดีๆ อย่างพี่วสุก็เหอะ’ ก่อนจะวางสายไป ผู้เป็นพี่ชายก็ไม่วายเตือนแบบวอนกำปั้นชุดใหญ่ทิ้งท้ายว่า
‘ทำปากแข็งใจแข็งดีนัก ระวังเถอะ ถ้าวันไหนพี่วสุเขาเกิดคิดได้...ตะกายขึ้นจากหลุมไปหาคนอื่นเมื่อไหร่ แล้วเราจะมานั่งเสียใจไม่รู้ด้วย’
เวลานั้นหญิงสาวยังคงมั่นใจว่าไม่มีทางที่ความคิดของเธอจะเปลี่ยนไป โดยหารู้ไม่ว่าความรู้สึกของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้ง่ายดายยิ่งนัก...และอนาคตก็เป็นสิ่งที่เกินจะคาดเดา เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ
หญิงสาวร่างโปร่งบางที่นั่งก้มหน้าจนแทบจะชิดหนังสือพลางกวาดสายตาไปตามแถวตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เรียงรายเต็มหน้ากระดาษเพื่อหาคำตอบที่ต้องการ ค่อยยิ้มออกเมื่อประสบความสำเร็จในที่สุด มือเรียวรีบจดข้อความที่แปลได้ลงในกระดาษ ก่อนจะชะงักเมื่อเพื่อนร่วมกลุ่มคนหนึ่งชะโงกหน้าข้ามบ่ามาดู
“ส่วนของมุกใกล้เสร็จแล้วนี่ พักกินน้ำกินขนมก่อนเถอะ นี่ไง...โกโก้ปั่นที่มุกฝากซื้อ”
“ขอบใจจ้า พักหน่อยก็ดี ชักจะตาลายแล้วเหมือนกัน” มณีมณฑ์รับแก้วน้ำมาจากเพื่อน ขณะที่อีกมือก็เลื่อนกระดาษสอดเก็บไว้ในหนังสือ
ดวงตาสีน้ำตาลใสเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก็พบว่าเลยเวลาหกโมงเย็นไปแล้ว แต่โถงตึกที่กลุ่มของเธอจับจองพื้นที่ตรงมุมหนึ่งไว้ยังเต็มไปด้วยเพื่อนนิสิตร่วมชั้นปีอีกหลายสิบคนที่ดูเหมือนจะใจตรงกัน...นัดทำงานกลุ่มในวันเดียวกันพอดิบพอดี
หญิงสาวหันไปทางเพื่อนสนิทข้างๆ ที่ยังนั่งทำงานไม่หยุด โชคดีที่อาจารย์ประจำวิชานี้ให้จับกลุ่มทำรายงานตามอัธยาศัย เธอจึงไม่ต้องแยกกับนลินี
“พักกินน้ำหน่อยสิบัว เอาโกโก้นี่ไปก็ได้ น้ำปั่นของบัวละลายจนกินไม่ได้แล้วมั้ง”
เพื่อนสาวร่างเล็กพยักหน้าหงึกๆ ยอมปิดหนังสือแล้วรับแก้วน้ำไปแต่โดยดี จนน้ำเกือบหมดแก้วนั่นแหละ นลินีจึงดูเหมือนจะหาเสียงตัวเองเจอในที่สุด
“สงสัยวันนี้คงไม่เสร็จแหง ถ้ายังไงก็แบ่งหนังสือกันไปคนละเล่มแล้วกัน ช่วยๆ กันหาข้อมูลมา แล้วพรุ่งนี้ค่อยเอามารวมกันอีกที”
“ก็ได้นะ วันนี้นั่งทำกันมาทั้งบ่าย คงไม่ไหวกันแล้วล่ะ” มณีมณฑ์ยิ้มรับเพลียๆ รู้สึกเมื่อยล้าไปทั้งตัวเพราะนั่งอยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน สมองก็เริ่มเบลอๆ แล้วด้วย
เมื่อข้อเสนอได้รับการอนุมัติจากเสียงส่วนใหญ่ สมาชิกในกลุ่มก็เริ่มช่วยกันแบ่งงาน แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดจังหวะทำให้หญิงสาวรีบควานหามันขึ้นมาจากกระเป๋าสะพายแล้วกดรับโดยไม่ทันได้ดูชื่อ
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับมุก ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ ทางนั้นเสียงดังมากเลย” เสียงทุ้มนุ่มที่เธอจำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ดังกังวานอยู่ริมหู ให้ความรู้สึกราวกับเจ้าของเสียงมาพูดอยู่ใกล้ๆ ส่งผลให้มณีมณฑ์ต้องรีบดึงโทรศัพท์ออกห่างอีกนิดด้วยความรู้สึกแปลกๆ
“ก็มีนัดทำรายงานกลุ่มน่ะสิ แต่ก็กำลังจะแยกย้ายกันกลับแล้วล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นรออยู่ที่คณะก่อนได้ไหม ผมเพิ่งออกจากบริษัท กำลังจะไปถึงมหาวิทยาลัยมุกแล้ว ขอเวลาไม่เกินสิบนาที”
“ตกลงว่านี่เป็นประโยคคำถามหรือว่าคำสั่งกันแน่คะ ด็อกเตอร์วสุ” เสียงใสเอ่ยประชด ไม่รู้ตัวหรอกว่าปลายสายกำลังยิ้มขำ เพราะจับทางเธอได้แล้วว่าถ้าลองเรียกเขาด้วยสรรพนามนี้เมื่อไหร่...แปลว่าเธอกำลังหงุดหงิด แต่ทำอะไรไม่ได้
และเขาก็รู้สึกสนุกสนานกับการยั่วอารมณ์สาวน้อยจุดเดือดต่ำคนนี้เหลือเกิน
“คำขอร้องต่างหากครับ...ตกลงว่ารอผมก่อนนะ?”
วสุได้ยินเสียงถอนใจดังๆ อย่างจงใจ ก่อนที่หญิงสาวจะตัดสายไป หลังจากทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ทำให้เขาอดยิ้มกว้างไม่ได้ว่า
“อยากจะมารับก็มา ส่วนเวลาสิบนาทีนั่น ฉันเพิ่มให้เป็นยี่สิบก็ได้...ไม่อยากเพิ่มสถิติการเกิดอุบัติเหตุให้กรมทางหลวง!”
ไม่ถึงยี่สิบนาทีต่อมา วสุก็เคลื่อนพาหนะประจำตัวมาจอดเทียบบันไดหน้าคณะที่มณีมณฑ์ยืนรออยู่ พร้อมกับหอบหนังสือเล่มใหญ่ไว้ในอ้อมแขน
สีหน้าแฝงรอยเหนื่อยล้าของคนที่เปิดประตูก้าวขึ้นมานั่งเงียบๆ ทำให้ชายหนุ่มยังไม่ออกรถ แต่กลับขยับตัวเข้ามาใกล้ ก่อนถือวิสาสะเลื่อนมือใหญ่ไปแตะหน้าผากเกลี้ยงอย่างเบามือ ถามเสียงนุ่มบ่งบอกความห่วงใย
“สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะมุก งานเยอะเหรอครับ”
ร่างบางสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะนิ่งค้างเหมือนถูกแช่แข็งด้วยท่าทางอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยคาดถึงมาก่อน ใบหน้ารูปหัวใจร้อนผ่าวและอาจจะแดงก่ำขึ้นทันตา แต่โชคดีว่าในรถค่อนข้างมืดสลัวทำให้สังเกตได้ยาก กว่าจะตั้งสติได้ก็เผลอไปสบตาคมเข้มคู่นั้นอยู่ตั้งนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
“ฉวยโอกาส!” ปัดมืออีกฝ่ายออกก่อนจะรีบดีดตัวหนี ด็อกเตอร์หนุ่มจึงเป็นฝ่ายถอยห่างออกมาเล็กน้อย หัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี
“ค่อยยังชั่วหน่อย ตอบโต้ได้แบบนี้แปลว่ายังมีแรงสินะ”
“ยังมีมากกว่าเมื่อกี้อีก ลองเข้ามาใกล้อีกทีสิ โดนแน่” หญิงสาวทำปากเก่ง แม้ว่าเมื่อครู่นี้จะตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่ โดยหารู้ไม่ว่าอีกคนต้องกลั้นยิ้มแทบแย่ที่เห็นเธอออกอาการขนาดนั้น
ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ยั่วโมโหเธอต่อด้วยการเคลื่อนรถออกไปตามคำสั่งของผู้โดยสารกิตติมศักดิ์แต่โดยดี แต่เมื่อเห็นหนังสือเล่มโตที่มณีมณฑ์วางไว้บนตัก เขาก็นึกถึงบทสนทนาก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้
“วันนี้มุกมีเรียนถึงแค่สิบเอ็ดโมงไม่ใช่เหรอ แปลว่าหลังจากนั้นก็ทำงานมาตลอดเลยสิ”
ร่างบางพยักหน้าแทนคำตอบรับ ก่อนจะขยายความ “ก็ปลายเดือนหน้าจะสอบแล้ว เลยอยากรีบทำงานให้เสร็จ จะได้ไม่ไปเร่งทำตอนใกล้สอบไง”
วสุคลี่ยิ้มอย่างเอ็นดูสาวน้อยข้างๆ ไม่วายแกล้งแหย่เจ้าหล่อนเล่น เพราะปฏิกิริยาของเธอทั้งน่ารักน่าขำระคนกัน และมันก็สร้างรอยยิ้มให้เขาได้เสมอ
“ขยันอย่างนี้ น่าให้รางวัลจริงๆ”
ดวงตาสีน้ำตาลใสเบิกโตเมื่อผู้เป็นเจ้าของหันมามองเขาอย่างระแวง ชายหนุ่มเลยหัวเราะออกมาจริงๆ เมื่อเอื้อมมือไปโยกศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มเบาๆ อย่างหยอกล้อ
“ทำหน้าตาระแวงเชียว แอบคิดอะไรไม่น่าไว้ใจอยู่หรือเปล่าครับ”
“คุณน่ะสิคิด! คนบ้า” หญิงสาวเอี้ยวตัวหลบไปชิดประตูรถแล้วแหวใส่ “เอ๊ะ ฉวยโอกาสอีกแล้วนะ”
...สองครั้งแล้วนะวันนี้ มือเล็กกอดหนังสือเล่มหนาไว้แนบอกราวกับจะใช้เป็นเกราะป้องกันตัว พยายามหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อระงับอาการใจเต้นแรง เหลือบมองตัวต้นเหตุที่หัวเราะหึๆ แล้วหันกลับไปบังคับทิศทางรถต่อด้วยท่าทางสบายใจ เธอก็ยิ่งหงุดหงิด
...มาทำให้คนอื่นเค้าหัวใจเกือบวาย แต่ตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสินะ ฮึ! หมั่นไส้จริง
ใบหน้ารูปหัวใจสะบัดหนีไปทางอื่นที่ไม่มีร่างสูงอยู่ในลานสายตา แต่ก็พบว่าช่างทำได้ยากเย็น เพราะจะมองตรงไปข้างหน้า...ก็ยังเห็นเขาจากปลายตา ครั้นพอหันออกนอกหน้าต่าง...ก็กลับเห็นภาพใบหน้าคมสะท้อนกลับมาใส่ตาเต็มๆ ซะนี่ สุดท้ายเธอจึงเลือกปิดเปลือกตาลงตามเสียงเรียกร้องจากร่างกายที่ต้องการการพักผ่อนในที่สุด
เมื่อรถติดไฟแดง ชายหนุ่มจึงได้หันมามองคนข้างตัวที่นั่งเงียบมาตลอดทาง ก่อนที่รอยยิ้มบางจะแต้มใบหน้าคม เมื่อเห็นว่าศีรษะเล็กๆ ที่ปกคลุมด้วยเรือนผมหยักศกเอนพับไปพิงกับกระจกหน้าต่าง หากเจ้าตัวคงไม่รู้ตัวด้วยกำลังจมอยู่ในภวังค์นิทรา
วสุขยับร่างเล็กให้กลับมานอนพิงเบาะที่ปรับให้เอนลง เปลือกตาบางขยับไหวแต่ก็ไม่ยอมตื่น แสดงให้เห็นว่าหญิงสาวคงเพลียจัดจริงๆ เขาหยิบหนังสือเล่มหนาไปวางไว้ที่เบาะหลัง ก่อนคว้าเสื้อคลุมที่มีติดรถมาคลี่ห่มให้คนที่กำลังหลับสนิทอย่างเบามือ
ดวงตาสีดำสนิทคู่คมที่บัดนี้ทอประกายอ่อนโยนทอดมองหญิงสาวด้วยความรู้สึกของคนที่ได้ค้นพบบางสิ่งซึ่งเคยค้นหามานาน และบัดนี้ได้ลอยมาอยู่ใกล้มือ
...ไข่มุกเม็ดน้อยของเขา
มณีมณฑ์เงยหน้าขึ้นจากการจดโน้ตย่อไว้อ่านทบทวนสำหรับการสอบกลางภาคที่กำลังจะมาถึง เมื่อโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ตรงมุมโต๊ะส่งเสียงร้องเป็นเพลงที่เธอตั้งไว้สำหรับใครบางคน...ที่วันไหนไม่ได้เจอหน้าก็ส่งเสียงมาทักทายไม่เคยขาด แม้ว่าบางครั้งจะต่างฝ่ายต่างยุ่งจนได้คุยกันไม่กี่ประโยคก็ตาม จนเธอเริ่มชินกับการได้ยินเสียงทุ้มนุ่มที่เจนหูแทบทุกวัน
“สวัสดีครับมุก อ่านหนังสือสอบอยู่เหรอ”
“ใช่สิ อ่านจนหัวจะฟูอยู่แล้วเนี่ย” หญิงสาวว่าพลางเก็บปากกากับชีทเรียน ก่อนลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือไปยืนพิงกรอบหน้าต่าง มองออกไปในความมืดด้านนอก แล้วเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง “ไหนคุณบอกว่าไปทำงานที่ฮ่องกง กลับอาทิตย์หน้าไง ทำไมยังโทรมาได้อีก”
“ก็ผมกลัวว่าจะมีคนคิดถึง เลยต้องรีบโทรมารายงานตัวก่อนไงครับ”
“พูดจาน้ำเน่าขึ้นทุกวัน”
คำตอบของเธอทำเอาปลายสายหัวเราะขำ ก่อนจะยอมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ปรับให้จริงจังขึ้น
“ผมก็โทรมาชวนมุกคุยให้หายเครียดน่ะสิ รู้ว่าใกล้สอบแล้วคงอ่านหนังสือหนัก”
“ฮึ โทรมากวนประสาทกันสิไม่ว่า” เสียงใสแกล้งค่อนแคะ คิ้วเรียวเหนือดวงตากลมโตเริ่มขมวดมุ่น เมื่อถ้อยคำที่เธอย้อนกลับเรียกเสียงหัวเราะจากเขาได้อีกระลอก
...เอ้า ขำเข้าไป ตกลงว่าโทรมาเพื่อจะหัวเราะใช่ไหมเนี่ย
“ไหนบอกว่าโทรมาชวนคุยให้ฉันหายเครียดไง ตัวเองกลับมานั่งหัวเราะอยู่ได้ เปลืองค่าโทรศัพท์จริงๆ เลย” หญิงสาวว่า “แล้วนี่คุณไม่ได้อยู่ที่โรงแรมหรอกเหรอ เสียงคุยดังมาถึงนี่เลย”
“อ๋อ ผมออกมาเดินเล่นน่ะ กำลังจะกลับโรงแรมแล้วครับ” วสุตอบ ขณะที่คนฟังหันขวับไปมองนาฬิกาที่ผนังห้อง เทียบเวลาในใจแล้วร้องลั่น
“สี่ทุ่มเนี่ยนะเพิ่งกลับ!”
“สี่ทุ่มที่นี่ยังไม่ดึกนี่ครับมุก ไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่ได้ไปเหลวไหลที่ไหนแน่นอน ไว้ใจได้เลย”
“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น” มณีมณฑ์รีบบอกเป็นเชิงป้องกันตัว แอบย่นจมูกอย่างหมั่นไส้ไปด้วยเมื่อนึกถึงสีหน้ายิ้มๆ ของคนพูด
...หลงตัวเองเกินไปแล้วย่ะ ชิ!
ชายหนุ่มชวนคุยเรื่องสัพเพเหระอีกครู่ใหญ่ ซึ่งก็เรียกเสียงตอบรับอย่างเห็นด้วยบ้าง ขัดแย้งกันบ้างจากคู่สนทนา และก่อนที่เขาจะวางสายก็ไม่ลืมทิ้งท้ายว่า
“พรุ่งนี้ผมต้องไปงานเลี้ยง อาจจะไม่ได้โทรหา งั้นอวยพรล่วงหน้าเลยแล้วกัน...ขอให้มุกโชคดีในการสอบนะครับ”
หญิงสาวดึงโทรศัพท์ออกห่าง จ้องมองหน้าจอที่มีชื่อ ‘ด็อกเตอร์วสุ’ ปรากฏอยู่ รับรู้ว่าเขายังไม่ได้ตัดสัญญาณไป และอาจจะกำลัง...รอฟัง
“สมพรปากแล้วกัน สวัสดีค่ะ”
ขณะเดียวกัน...ที่ฮ่องกง
ร่างสูงยืนนิ่งค้างอยู่ในห้องพักของโรงแรมชื่อดัง นึกถึงประโยคสุดท้ายที่ได้ยินแล้วใบหน้าคมคายก็แต้มรอยยิ้มกว้าง
...ไม่มีใครเหมือนเธอจริงๆ...มณีมณฑ์...
นับตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนกระทั่งถึงวันนี้ สาวน้อยคนนั้นมีอะไรให้เขาแปลกใจไม่ได้หยุด...จากความเข้าใจผิดที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาเกิดความสนใจในตัวเธอเมื่อแรก ความน่ารักสดใสและแสนจะเป็นตัวเองของเธอที่เขาได้สัมผัสในเวลาต่อมาก็กลับทำให้เขาละสายตาไปจากเธอไม่ได้
มือเรียวแข็งแรงล้วงหยิบกล่องกำมะหยี่ใบน้อยขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ สิ่งที่วางอวดโฉมอยู่ภายในนั้นคือสร้อยข้อมือทองคำขาวเส้นเล็กห้อยจี้รูปดอกไม้ที่มีเกสรเป็นไข่มุกสีชมพูเม็ดเดี่ยว รายล้อมด้วยกลีบดอกที่ทำจากเพชร
การออกแบบที่แปลกตาด้วยการนำไข่มุกมาทำเป็นเกสรดอกไม้ แลดูโดดเด่นอยู่ท่ามกลางประกายแวววาวจากกลีบดอกที่อยู่ล้อมรอบนั้น สะดุดตาวสุตั้งแต่แรกเห็น และเขาก็ไม่ลังเลเลยเมื่อก้าวเข้าไปในร้านนั้นแล้วกลับออกมาโดยมีกล่องใบนี้อยู่ในมือ
สร้อยข้อมือเส้นนี้ทำให้เขานึกถึงมณีมณฑ์
...ความพิเศษของไข่มุกที่มีเพียงหนึ่งเดียว
+++++++++++++++++++++
สำหรับ "หัวใจผูกรัก" ก็เป็นเรื่องสั้น 5 ตอนจบที่คนเขียนเคยลงไว้ในบอร์ดเก่านะคะ ขอบคุณคุณ Auuuu กับคุณ pattisa ที่ยังจำกันได้และมาทักทายกันค่ะ :) ยินดีรับฟังคำติชมจากผู้อ่านทุกท่าน และถ้าใครยังจำพี่วสุกับหนูมุกได้ก็อย่าลืมมาทักทายกันอีกนะคะ ^^
หากชายหนุ่มก็ไม่ได้หมดเนื้อหมดตัวอย่างที่ใครบางคนแอบหวัง เพราะหลังจากพากันเข้าไปนั่งในร้านขนมชื่อดังใกล้มหาวิทยาลัยที่มณีมณฑ์เป็นผู้เจาะจง แล้วได้รับเมนูมาคนละเล่ม ว่าที่เจ้ามือก็เอ่ยกับคนที่ทำท่าลิงโลดจนออกนอกหน้ายิ้มๆ ว่า
“สั่งได้ตามสบายนะครับมุก แต่ถ้าสั่งมาเยอะจนเหลือทานไม่หมดก็ไม่เป็นไรนะ ผมจะได้ให้เขาเอาใส่ห่อกลับไปช่วยมุกทานต่อที่บ้านไง ดีไหม”
“ฮึ! คงไม่ต้องให้คุณลำบากขนาดนั้นหรอกค่ะ ด็อกเตอร์วสุ” ร่างบางเน้นเสียงอย่างหมั่นไส้
...โดนรู้ทันจนได้สิ ไม่น่าลืมเลยว่านายคนนี้ฉลาด...เกินไป
หญิงสาวสั่งชาผลไม้มาทานคู่กับพายแอปเปิล ก่อนจะทำหน้าแปลกใจเมื่อพนักงานนำกาแฟร้อนและบัตเตอร์เค้กมาเสิร์ฟให้คนที่นั่งตรงข้าม จนอดไม่ได้ต้องเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน
“ไม่คิดว่าคุณจะทานขนมแบบนี้ด้วย”
“ถ้าไม่หวานมากก็พอทานได้นะ แปลกเหรอครับ” วสุเลิกคิ้ว “ไม่มีผู้ชายคนอื่นที่มุกรู้จักชอบทานขนมหวานเลยเหรอ”
ความคิดเธอกระหวัดไปถึงบิดาและญาติผู้พี่ ซึ่งจัดเป็นผู้ชายสองคนที่เธอรู้จักดีที่สุด...และทั้งคู่ก็เป็นประเภทที่ทานอะไรได้ทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่ขนมหวานให้เธอเห็นจนชินตา
...แล้วเกิดสะดุดใจอะไรกับผู้ชายตรงหน้าขึ้นมาได้ล่ะเนี่ย ยัยมุกเอ๊ย ชักจะเพี้ยนไปกันใหญ่แล้ว
แต่ชายหนุ่มไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีเหมือนอยากจะทึ้งผมตัวเองด้วยความสับสนของหญิงสาว จึงเอ่ยต่อด้วยประโยคที่ทำให้คนที่เกิดอาการ ‘สะดุด’ เมื่อครู่ แทบจะเสียหลักไปเลยทีเดียว
“ป้าพลอยบอกว่ามุกก็ทำขนมอร่อยนี่...บลูเบอร์รี่ชีสพายใช่ไหม วันหลังทำให้ผมทานบ้างสิ”
“ไหนบอกว่าไม่ชอบหวานจัดๆ ไง” มณีมณฑ์รีบทำเสียงแข็งกลบเกลื่อน
“บลูเบอร์รี่ชีสพายก็ไม่หวานมากนี่ครับ อีกอย่างผมอยากทานขนมฝีมือมุกด้วย จริงๆ นะ”
“ไม่มีทาง...ถึงฉันจะทำ คุณก็ไม่ได้ทานหรอก!”
...ในตอนนั้น ทั้งคนพูดและคนฟังต่างก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าคำพูดนั้นจะกลายเป็นความจริงขึ้นมา...ในอนาคตอันใกล้...
เมื่อเสร็จภารกิจจากร้านขนม วสุก็พามณีมณฑ์มาส่งที่บ้าน ซึ่งก็ได้รับคำขอบอกขอบใจจากคุณไพลินที่ไม่ลืมชักชวนชายหนุ่มให้อยู่รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่เขาก็ตอบปฏิเสธอย่างสุภาพก่อนจะขอตัวกลับไปหลังจากพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง
“ไปไหนกันมาบ้างละจ๊ะ กลับกันเกือบค่ำเชียว” คุณไพลินเดินมานั่งลงข้างบุตรสาวพลางซักถามอย่างอารมณ์ดี
“แวะทานขนมอย่างเดียวค่ะ แต่ว่าขากลับเจอรถติดเลยถึงบ้านช้าไปหน่อย” ร่างบางตอบ ก่อนจะทำหน้าง้ำ บ่นกระปอดกระแปดกับมารดาว่า “แม่น่ะ อยู่ๆ ก็เอามุกไปฝากไว้กับเขาได้ยังไงกันคะ มุกไม่รู้เรื่องด้วยเลยนะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ ก็แม่เห็นว่าวสุเขาเป็นผู้ใหญ่กว่า น่าจะดูแลมุกได้ แล้วป้าพลอยกับพี่เพชรของมุกก็รับรองแข็งขันว่าเขานิสัยดี แม่เองก็คิดว่าเขาดี ก็เลยฝากให้ดูแลลูกแม่แค่นี้เอง” คุณไพลินอธิบาย หัวเราะเบาๆ เมื่อลูกสาวร้องหน้าตาตื่น
“แม่ขา มุกอายุแค่ยี่สิบเอ็ดเองน้า ทำไมถึงพูดเหมือนจะยกมุกให้คนอื่นแล้วล่ะ”
“คิดมากไปได้ ลูกคนนี้นี่” เธอส่ายหน้าอย่างขบขันแกมระอา “ที่จริงอายุยี่สิบเอ็ดก็ไม่เด็กแล้วจ้ะ แต่แม่ไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้นหรอก แค่เห็นว่าทางนั้นเขาก็เป็นคนดี น่าสนับสนุน...ถ้าลูกชอบกันได้จริงๆ ก็คงดี เท่านั้นแหละ”
“แต่มุกไม่ได้ชอบเขานี่คะ” หญิงสาวย้อนทันควัน ใบหน้าใสงอง้ำลงอีกเมื่อมารดาย้อนถามยิ้มๆ
“หมายถึงตอนนี้ใช่ไหมจ๊ะ”
“อนาคตก็ด้วยค่ะ!”
“มั่นใจมากๆ แบบนี้ ระวังกลืนน้ำลายตัวเองนะ แล้วจะหาว่าแม่ไม่เตือน” คุณไพลินว่า ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าครัวไป ทิ้งให้ลูกสาวคนเดียวนั่งหน้ามุ่ย เพราะไม่มีใครแม้แต่มารดาจะยอมเชื่อคำพูดของเธอสักคน
พชระที่อยู่ห่างกันครึ่งโลกนั้นยิ่งแล้วใหญ่ แทนที่จะเห็นใจและเข้าข้างน้องสาวอย่างเธอ กลับกลายเป็นยอมเสียค่าโทรศัพท์ทางไกลมาเพื่อบอกว่าเธอนั้นแสนจะโชคดี ขณะที่ ‘น่าเสียดายคนดีๆ อย่างพี่วสุ ไม่รู้ว่ามาตกหลุมยัยมุกได้ไง’ ส่งผลให้มณีมณฑ์เกิดอาการคันปากจนอดโต้ตอบกลับไปไม่ได้
‘ถ้าเสียดายนัก ทำไมไม่เก็บไว้เองเลยล่ะ’
‘หาเรื่องกันอีกแล้วไง ยัยมุก...ถ้าพี่เป็นผู้หญิงก็คงทำได้อยู่หรอก แต่เผอิญว่าพี่คนนี้เป็นผู้ชายที่ไม่คิดจะชอบผู้ชายด้วยกันเว้ย ถึงจะเป็นผู้ชายดีๆ อย่างพี่วสุก็เหอะ’ ก่อนจะวางสายไป ผู้เป็นพี่ชายก็ไม่วายเตือนแบบวอนกำปั้นชุดใหญ่ทิ้งท้ายว่า
‘ทำปากแข็งใจแข็งดีนัก ระวังเถอะ ถ้าวันไหนพี่วสุเขาเกิดคิดได้...ตะกายขึ้นจากหลุมไปหาคนอื่นเมื่อไหร่ แล้วเราจะมานั่งเสียใจไม่รู้ด้วย’
เวลานั้นหญิงสาวยังคงมั่นใจว่าไม่มีทางที่ความคิดของเธอจะเปลี่ยนไป โดยหารู้ไม่ว่าความรู้สึกของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้ง่ายดายยิ่งนัก...และอนาคตก็เป็นสิ่งที่เกินจะคาดเดา เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ
หญิงสาวร่างโปร่งบางที่นั่งก้มหน้าจนแทบจะชิดหนังสือพลางกวาดสายตาไปตามแถวตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เรียงรายเต็มหน้ากระดาษเพื่อหาคำตอบที่ต้องการ ค่อยยิ้มออกเมื่อประสบความสำเร็จในที่สุด มือเรียวรีบจดข้อความที่แปลได้ลงในกระดาษ ก่อนจะชะงักเมื่อเพื่อนร่วมกลุ่มคนหนึ่งชะโงกหน้าข้ามบ่ามาดู
“ส่วนของมุกใกล้เสร็จแล้วนี่ พักกินน้ำกินขนมก่อนเถอะ นี่ไง...โกโก้ปั่นที่มุกฝากซื้อ”
“ขอบใจจ้า พักหน่อยก็ดี ชักจะตาลายแล้วเหมือนกัน” มณีมณฑ์รับแก้วน้ำมาจากเพื่อน ขณะที่อีกมือก็เลื่อนกระดาษสอดเก็บไว้ในหนังสือ
ดวงตาสีน้ำตาลใสเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก็พบว่าเลยเวลาหกโมงเย็นไปแล้ว แต่โถงตึกที่กลุ่มของเธอจับจองพื้นที่ตรงมุมหนึ่งไว้ยังเต็มไปด้วยเพื่อนนิสิตร่วมชั้นปีอีกหลายสิบคนที่ดูเหมือนจะใจตรงกัน...นัดทำงานกลุ่มในวันเดียวกันพอดิบพอดี
หญิงสาวหันไปทางเพื่อนสนิทข้างๆ ที่ยังนั่งทำงานไม่หยุด โชคดีที่อาจารย์ประจำวิชานี้ให้จับกลุ่มทำรายงานตามอัธยาศัย เธอจึงไม่ต้องแยกกับนลินี
“พักกินน้ำหน่อยสิบัว เอาโกโก้นี่ไปก็ได้ น้ำปั่นของบัวละลายจนกินไม่ได้แล้วมั้ง”
เพื่อนสาวร่างเล็กพยักหน้าหงึกๆ ยอมปิดหนังสือแล้วรับแก้วน้ำไปแต่โดยดี จนน้ำเกือบหมดแก้วนั่นแหละ นลินีจึงดูเหมือนจะหาเสียงตัวเองเจอในที่สุด
“สงสัยวันนี้คงไม่เสร็จแหง ถ้ายังไงก็แบ่งหนังสือกันไปคนละเล่มแล้วกัน ช่วยๆ กันหาข้อมูลมา แล้วพรุ่งนี้ค่อยเอามารวมกันอีกที”
“ก็ได้นะ วันนี้นั่งทำกันมาทั้งบ่าย คงไม่ไหวกันแล้วล่ะ” มณีมณฑ์ยิ้มรับเพลียๆ รู้สึกเมื่อยล้าไปทั้งตัวเพราะนั่งอยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน สมองก็เริ่มเบลอๆ แล้วด้วย
เมื่อข้อเสนอได้รับการอนุมัติจากเสียงส่วนใหญ่ สมาชิกในกลุ่มก็เริ่มช่วยกันแบ่งงาน แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดจังหวะทำให้หญิงสาวรีบควานหามันขึ้นมาจากกระเป๋าสะพายแล้วกดรับโดยไม่ทันได้ดูชื่อ
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับมุก ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ ทางนั้นเสียงดังมากเลย” เสียงทุ้มนุ่มที่เธอจำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ดังกังวานอยู่ริมหู ให้ความรู้สึกราวกับเจ้าของเสียงมาพูดอยู่ใกล้ๆ ส่งผลให้มณีมณฑ์ต้องรีบดึงโทรศัพท์ออกห่างอีกนิดด้วยความรู้สึกแปลกๆ
“ก็มีนัดทำรายงานกลุ่มน่ะสิ แต่ก็กำลังจะแยกย้ายกันกลับแล้วล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นรออยู่ที่คณะก่อนได้ไหม ผมเพิ่งออกจากบริษัท กำลังจะไปถึงมหาวิทยาลัยมุกแล้ว ขอเวลาไม่เกินสิบนาที”
“ตกลงว่านี่เป็นประโยคคำถามหรือว่าคำสั่งกันแน่คะ ด็อกเตอร์วสุ” เสียงใสเอ่ยประชด ไม่รู้ตัวหรอกว่าปลายสายกำลังยิ้มขำ เพราะจับทางเธอได้แล้วว่าถ้าลองเรียกเขาด้วยสรรพนามนี้เมื่อไหร่...แปลว่าเธอกำลังหงุดหงิด แต่ทำอะไรไม่ได้
และเขาก็รู้สึกสนุกสนานกับการยั่วอารมณ์สาวน้อยจุดเดือดต่ำคนนี้เหลือเกิน
“คำขอร้องต่างหากครับ...ตกลงว่ารอผมก่อนนะ?”
วสุได้ยินเสียงถอนใจดังๆ อย่างจงใจ ก่อนที่หญิงสาวจะตัดสายไป หลังจากทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ทำให้เขาอดยิ้มกว้างไม่ได้ว่า
“อยากจะมารับก็มา ส่วนเวลาสิบนาทีนั่น ฉันเพิ่มให้เป็นยี่สิบก็ได้...ไม่อยากเพิ่มสถิติการเกิดอุบัติเหตุให้กรมทางหลวง!”
ไม่ถึงยี่สิบนาทีต่อมา วสุก็เคลื่อนพาหนะประจำตัวมาจอดเทียบบันไดหน้าคณะที่มณีมณฑ์ยืนรออยู่ พร้อมกับหอบหนังสือเล่มใหญ่ไว้ในอ้อมแขน
สีหน้าแฝงรอยเหนื่อยล้าของคนที่เปิดประตูก้าวขึ้นมานั่งเงียบๆ ทำให้ชายหนุ่มยังไม่ออกรถ แต่กลับขยับตัวเข้ามาใกล้ ก่อนถือวิสาสะเลื่อนมือใหญ่ไปแตะหน้าผากเกลี้ยงอย่างเบามือ ถามเสียงนุ่มบ่งบอกความห่วงใย
“สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะมุก งานเยอะเหรอครับ”
ร่างบางสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะนิ่งค้างเหมือนถูกแช่แข็งด้วยท่าทางอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยคาดถึงมาก่อน ใบหน้ารูปหัวใจร้อนผ่าวและอาจจะแดงก่ำขึ้นทันตา แต่โชคดีว่าในรถค่อนข้างมืดสลัวทำให้สังเกตได้ยาก กว่าจะตั้งสติได้ก็เผลอไปสบตาคมเข้มคู่นั้นอยู่ตั้งนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
“ฉวยโอกาส!” ปัดมืออีกฝ่ายออกก่อนจะรีบดีดตัวหนี ด็อกเตอร์หนุ่มจึงเป็นฝ่ายถอยห่างออกมาเล็กน้อย หัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี
“ค่อยยังชั่วหน่อย ตอบโต้ได้แบบนี้แปลว่ายังมีแรงสินะ”
“ยังมีมากกว่าเมื่อกี้อีก ลองเข้ามาใกล้อีกทีสิ โดนแน่” หญิงสาวทำปากเก่ง แม้ว่าเมื่อครู่นี้จะตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่ โดยหารู้ไม่ว่าอีกคนต้องกลั้นยิ้มแทบแย่ที่เห็นเธอออกอาการขนาดนั้น
ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ยั่วโมโหเธอต่อด้วยการเคลื่อนรถออกไปตามคำสั่งของผู้โดยสารกิตติมศักดิ์แต่โดยดี แต่เมื่อเห็นหนังสือเล่มโตที่มณีมณฑ์วางไว้บนตัก เขาก็นึกถึงบทสนทนาก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้
“วันนี้มุกมีเรียนถึงแค่สิบเอ็ดโมงไม่ใช่เหรอ แปลว่าหลังจากนั้นก็ทำงานมาตลอดเลยสิ”
ร่างบางพยักหน้าแทนคำตอบรับ ก่อนจะขยายความ “ก็ปลายเดือนหน้าจะสอบแล้ว เลยอยากรีบทำงานให้เสร็จ จะได้ไม่ไปเร่งทำตอนใกล้สอบไง”
วสุคลี่ยิ้มอย่างเอ็นดูสาวน้อยข้างๆ ไม่วายแกล้งแหย่เจ้าหล่อนเล่น เพราะปฏิกิริยาของเธอทั้งน่ารักน่าขำระคนกัน และมันก็สร้างรอยยิ้มให้เขาได้เสมอ
“ขยันอย่างนี้ น่าให้รางวัลจริงๆ”
ดวงตาสีน้ำตาลใสเบิกโตเมื่อผู้เป็นเจ้าของหันมามองเขาอย่างระแวง ชายหนุ่มเลยหัวเราะออกมาจริงๆ เมื่อเอื้อมมือไปโยกศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มเบาๆ อย่างหยอกล้อ
“ทำหน้าตาระแวงเชียว แอบคิดอะไรไม่น่าไว้ใจอยู่หรือเปล่าครับ”
“คุณน่ะสิคิด! คนบ้า” หญิงสาวเอี้ยวตัวหลบไปชิดประตูรถแล้วแหวใส่ “เอ๊ะ ฉวยโอกาสอีกแล้วนะ”
...สองครั้งแล้วนะวันนี้ มือเล็กกอดหนังสือเล่มหนาไว้แนบอกราวกับจะใช้เป็นเกราะป้องกันตัว พยายามหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อระงับอาการใจเต้นแรง เหลือบมองตัวต้นเหตุที่หัวเราะหึๆ แล้วหันกลับไปบังคับทิศทางรถต่อด้วยท่าทางสบายใจ เธอก็ยิ่งหงุดหงิด
...มาทำให้คนอื่นเค้าหัวใจเกือบวาย แต่ตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสินะ ฮึ! หมั่นไส้จริง
ใบหน้ารูปหัวใจสะบัดหนีไปทางอื่นที่ไม่มีร่างสูงอยู่ในลานสายตา แต่ก็พบว่าช่างทำได้ยากเย็น เพราะจะมองตรงไปข้างหน้า...ก็ยังเห็นเขาจากปลายตา ครั้นพอหันออกนอกหน้าต่าง...ก็กลับเห็นภาพใบหน้าคมสะท้อนกลับมาใส่ตาเต็มๆ ซะนี่ สุดท้ายเธอจึงเลือกปิดเปลือกตาลงตามเสียงเรียกร้องจากร่างกายที่ต้องการการพักผ่อนในที่สุด
เมื่อรถติดไฟแดง ชายหนุ่มจึงได้หันมามองคนข้างตัวที่นั่งเงียบมาตลอดทาง ก่อนที่รอยยิ้มบางจะแต้มใบหน้าคม เมื่อเห็นว่าศีรษะเล็กๆ ที่ปกคลุมด้วยเรือนผมหยักศกเอนพับไปพิงกับกระจกหน้าต่าง หากเจ้าตัวคงไม่รู้ตัวด้วยกำลังจมอยู่ในภวังค์นิทรา
วสุขยับร่างเล็กให้กลับมานอนพิงเบาะที่ปรับให้เอนลง เปลือกตาบางขยับไหวแต่ก็ไม่ยอมตื่น แสดงให้เห็นว่าหญิงสาวคงเพลียจัดจริงๆ เขาหยิบหนังสือเล่มหนาไปวางไว้ที่เบาะหลัง ก่อนคว้าเสื้อคลุมที่มีติดรถมาคลี่ห่มให้คนที่กำลังหลับสนิทอย่างเบามือ
ดวงตาสีดำสนิทคู่คมที่บัดนี้ทอประกายอ่อนโยนทอดมองหญิงสาวด้วยความรู้สึกของคนที่ได้ค้นพบบางสิ่งซึ่งเคยค้นหามานาน และบัดนี้ได้ลอยมาอยู่ใกล้มือ
...ไข่มุกเม็ดน้อยของเขา
มณีมณฑ์เงยหน้าขึ้นจากการจดโน้ตย่อไว้อ่านทบทวนสำหรับการสอบกลางภาคที่กำลังจะมาถึง เมื่อโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ตรงมุมโต๊ะส่งเสียงร้องเป็นเพลงที่เธอตั้งไว้สำหรับใครบางคน...ที่วันไหนไม่ได้เจอหน้าก็ส่งเสียงมาทักทายไม่เคยขาด แม้ว่าบางครั้งจะต่างฝ่ายต่างยุ่งจนได้คุยกันไม่กี่ประโยคก็ตาม จนเธอเริ่มชินกับการได้ยินเสียงทุ้มนุ่มที่เจนหูแทบทุกวัน
“สวัสดีครับมุก อ่านหนังสือสอบอยู่เหรอ”
“ใช่สิ อ่านจนหัวจะฟูอยู่แล้วเนี่ย” หญิงสาวว่าพลางเก็บปากกากับชีทเรียน ก่อนลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือไปยืนพิงกรอบหน้าต่าง มองออกไปในความมืดด้านนอก แล้วเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง “ไหนคุณบอกว่าไปทำงานที่ฮ่องกง กลับอาทิตย์หน้าไง ทำไมยังโทรมาได้อีก”
“ก็ผมกลัวว่าจะมีคนคิดถึง เลยต้องรีบโทรมารายงานตัวก่อนไงครับ”
“พูดจาน้ำเน่าขึ้นทุกวัน”
คำตอบของเธอทำเอาปลายสายหัวเราะขำ ก่อนจะยอมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ปรับให้จริงจังขึ้น
“ผมก็โทรมาชวนมุกคุยให้หายเครียดน่ะสิ รู้ว่าใกล้สอบแล้วคงอ่านหนังสือหนัก”
“ฮึ โทรมากวนประสาทกันสิไม่ว่า” เสียงใสแกล้งค่อนแคะ คิ้วเรียวเหนือดวงตากลมโตเริ่มขมวดมุ่น เมื่อถ้อยคำที่เธอย้อนกลับเรียกเสียงหัวเราะจากเขาได้อีกระลอก
...เอ้า ขำเข้าไป ตกลงว่าโทรมาเพื่อจะหัวเราะใช่ไหมเนี่ย
“ไหนบอกว่าโทรมาชวนคุยให้ฉันหายเครียดไง ตัวเองกลับมานั่งหัวเราะอยู่ได้ เปลืองค่าโทรศัพท์จริงๆ เลย” หญิงสาวว่า “แล้วนี่คุณไม่ได้อยู่ที่โรงแรมหรอกเหรอ เสียงคุยดังมาถึงนี่เลย”
“อ๋อ ผมออกมาเดินเล่นน่ะ กำลังจะกลับโรงแรมแล้วครับ” วสุตอบ ขณะที่คนฟังหันขวับไปมองนาฬิกาที่ผนังห้อง เทียบเวลาในใจแล้วร้องลั่น
“สี่ทุ่มเนี่ยนะเพิ่งกลับ!”
“สี่ทุ่มที่นี่ยังไม่ดึกนี่ครับมุก ไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่ได้ไปเหลวไหลที่ไหนแน่นอน ไว้ใจได้เลย”
“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น” มณีมณฑ์รีบบอกเป็นเชิงป้องกันตัว แอบย่นจมูกอย่างหมั่นไส้ไปด้วยเมื่อนึกถึงสีหน้ายิ้มๆ ของคนพูด
...หลงตัวเองเกินไปแล้วย่ะ ชิ!
ชายหนุ่มชวนคุยเรื่องสัพเพเหระอีกครู่ใหญ่ ซึ่งก็เรียกเสียงตอบรับอย่างเห็นด้วยบ้าง ขัดแย้งกันบ้างจากคู่สนทนา และก่อนที่เขาจะวางสายก็ไม่ลืมทิ้งท้ายว่า
“พรุ่งนี้ผมต้องไปงานเลี้ยง อาจจะไม่ได้โทรหา งั้นอวยพรล่วงหน้าเลยแล้วกัน...ขอให้มุกโชคดีในการสอบนะครับ”
หญิงสาวดึงโทรศัพท์ออกห่าง จ้องมองหน้าจอที่มีชื่อ ‘ด็อกเตอร์วสุ’ ปรากฏอยู่ รับรู้ว่าเขายังไม่ได้ตัดสัญญาณไป และอาจจะกำลัง...รอฟัง
“สมพรปากแล้วกัน สวัสดีค่ะ”
ขณะเดียวกัน...ที่ฮ่องกง
ร่างสูงยืนนิ่งค้างอยู่ในห้องพักของโรงแรมชื่อดัง นึกถึงประโยคสุดท้ายที่ได้ยินแล้วใบหน้าคมคายก็แต้มรอยยิ้มกว้าง
...ไม่มีใครเหมือนเธอจริงๆ...มณีมณฑ์...
นับตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนกระทั่งถึงวันนี้ สาวน้อยคนนั้นมีอะไรให้เขาแปลกใจไม่ได้หยุด...จากความเข้าใจผิดที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาเกิดความสนใจในตัวเธอเมื่อแรก ความน่ารักสดใสและแสนจะเป็นตัวเองของเธอที่เขาได้สัมผัสในเวลาต่อมาก็กลับทำให้เขาละสายตาไปจากเธอไม่ได้
มือเรียวแข็งแรงล้วงหยิบกล่องกำมะหยี่ใบน้อยขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ สิ่งที่วางอวดโฉมอยู่ภายในนั้นคือสร้อยข้อมือทองคำขาวเส้นเล็กห้อยจี้รูปดอกไม้ที่มีเกสรเป็นไข่มุกสีชมพูเม็ดเดี่ยว รายล้อมด้วยกลีบดอกที่ทำจากเพชร
การออกแบบที่แปลกตาด้วยการนำไข่มุกมาทำเป็นเกสรดอกไม้ แลดูโดดเด่นอยู่ท่ามกลางประกายแวววาวจากกลีบดอกที่อยู่ล้อมรอบนั้น สะดุดตาวสุตั้งแต่แรกเห็น และเขาก็ไม่ลังเลเลยเมื่อก้าวเข้าไปในร้านนั้นแล้วกลับออกมาโดยมีกล่องใบนี้อยู่ในมือ
สร้อยข้อมือเส้นนี้ทำให้เขานึกถึงมณีมณฑ์
...ความพิเศษของไข่มุกที่มีเพียงหนึ่งเดียว
+++++++++++++++++++++
สำหรับ "หัวใจผูกรัก" ก็เป็นเรื่องสั้น 5 ตอนจบที่คนเขียนเคยลงไว้ในบอร์ดเก่านะคะ ขอบคุณคุณ Auuuu กับคุณ pattisa ที่ยังจำกันได้และมาทักทายกันค่ะ :) ยินดีรับฟังคำติชมจากผู้อ่านทุกท่าน และถ้าใครยังจำพี่วสุกับหนูมุกได้ก็อย่าลืมมาทักทายกันอีกนะคะ ^^
เมษาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.ย. 2554, 14:34:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.ย. 2554, 14:37:57 น.
จำนวนการเข้าชม : 1608
<< ตอนที่ 1 | ตอนที่ 3 >> |
violette 19 ก.ย. 2554, 17:38:03 น.
น่ารักจังค่ะ เรื่องสั้นๆแปลว่าคงไม่ต้องวิ่งหนีกันไปมาเรือยๆสินะคะ
รออ่านต่อค่า
น่ารักจังค่ะ เรื่องสั้นๆแปลว่าคงไม่ต้องวิ่งหนีกันไปมาเรือยๆสินะคะ
รออ่านต่อค่า
Pat 19 ก.ย. 2554, 23:21:46 น.
เคยอ่านแล้วค่ะ เรื่องน่ารักดี^^
เคยอ่านแล้วค่ะ เรื่องน่ารักดี^^