องค์การบริหารส่วนหัวใจ # เฟื่องนคร
ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน นำมาซึ่งความสุข
Tags: โรแมนติก คอมาดี้

ตอน: 1.ฉบับรีไรท์

1.






“จำเริญๆ เถอะพ่อคุณ ให้บุญรักษา ให้อายุมั่นขวัญยืน เป็นเจ้าคนนายคน ให้ร่ำรวยๆ นะ”

“ครับๆๆ” หลังจากวางปิ่นโตและตะกร้าหวายใส่ขันข้าวไว้ที่ระเบียงนอกชาน ชายหนุ่ม วัยยี่สิบเจ็ด ผิวขาวผมรองทรงสูงหวีเรียบร้อย ในชุดกางเกงหูรูดขายาวผ้าฝ้ายสีกรมท่าเข้มกับเสื้อผ้าผ้ายสีขาวผ่าอกยืนพนมมือรับพรนอบน้อม
เมื่อให้พรเสร็จเรียบร้อย หญิงชราวัยเกือบแปดสิบ ผู้มีมวยผมสีดอกเลาหันซ้ายหันขวา..มองหาใครสักคน..

“ไปไหนของมันนะ ..สายจนป่านนี้ ..รึว่ายังไม่ตื่น” นางเปรยกับตัวเองก่อนจะหันมาหาชายหนุ่ม “รอก่อนนะ..อยากให้รู้จักกันไว้”

“ไม่เป็นไรครับคุณย่า เอาไว้วันหลังก็ได้ครับ..”

“ไหนๆ ก็มาแล้ว รอนิดนึงนะ” ว่าแล้วคนที่ถูกเรียกว่า“ย่า”ก็ตะโกนเสียงดัง..ดังมากๆ..ดังจนคนฟังกลัวว่า คนตะโกนจะล้มตึงหงายหลังไปเสียก่อน “ดวงเดือน ...นังเดือนเอ๊ย....อีนังเดือน..แกอยู่ที่ไหน”

“จ๋า.. อยู่ในห้อง” ชายหนุ่มได้ยินเสียง..กุกกัก ตึงตัง..สักพักประตูห้องในเรือนก็เปิดออกมา..เขาแทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่..ด้วยผู้หญิงที่คุณย่าคุยนักหนาว่าดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ โผล่ออกมาด้วยผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หน้าตางัวเงียเสื้อผ้ายับยู่ยี่

“ว๊าย..” เมื่อขยี้ขี้ตาตื่น..เห็นว่ามีใครยืนอยู่กับย่าหนู..หญิงสาวเปล่งอุทานแล้วรีบปิดประตูหนี..คนเป็นย่ารีบกรากเข้าไปเคาะประตูเสียงดังปังๆ “จะเที่ยงอยู่แล้ว นังเดือน..เอ็งนี่..”

“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ..”

“เดี๋ยวพ่อ..” เสียงทัดทานหาได้มีผลต่อการก้าวย่างลงบันได เขาปรี่มาที่รถแล้วรีบขับรถออกไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ย่าหนูเมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นดังนั้น ยิ่งหัวเสียใหญ่ ทีนี้มือที่เคาะประตูจึงรัวไม่ยั้ง..

“ออกมาเดี๋ยวนี้นะ..ทำย่าขายหน้ารู้ไหม..นังหลานไม่รักดี”

‘นังหลานไม่รักดี’ ค่อยๆ เปิดประตูออกมาด้วยใบหน้าสำนึกผิด..ย่าหนูหยิกหมับที่แขน แล้วก็ดึงมาที่พนักระเบียงนอกชาน..

“ก็หนูง่วงนี่คะ”

“แล้วกลางค่ำกลางคืนทำไมไม่หลับไม่นอน ได้ยินเสียงเปิดโทรทัศน์แจ้วๆ ไม่ได้กลัวเปลืองฟืนเปลืองไฟเล้ย..แล้วนี่ทรงเผ้าทรงผมของแก ทำให้มันดีกว่านี้หน่อยได้ไหม..ผมสีแดงนี่ไปเอาออกซะ”

คนเป็นหลานรับฟัง ด้วยท่ายืนขาชิดกัน ประสานมือสองข้างกุมกันไว้ระดับเอว แล้วก็ค้อมศีรษะลงอยู่เนืองๆ

“ท่าอะไรของแก”

“ค่ะ..ทราบแล้วค่ะ ทราบแล้ว”

“ไม่ใช่ทราบอย่างเดียว แต่แกต้องปฏิบัติตามด้วย..รู้ไหม ย่าขายหน้าเขาขนาดไหน รู้ไหมพ่อรักษ์ไทยน่ะ เขาตื่นแต่เช้า เตรียมของไปวัด ไปทำบุญ ไปถึงก่อนใครๆ ไปช่วยพระที่วัดจัดสถานที่ ขากลับก็มีน้ำใจรับคนแก่กลับบ้านมาด้วย..”
ย่าหนูจาระไนคุณความดีของคนที่เพิ่งจากไปพลางหอบแฮกๆ

“โอ๊ะ..” คนเป็นหลานอุทาน พร้อมทำหน้าใสซื่อ..

“ขายหน้าอย่างไรหรือคะ”

“ขายหน้าอย่างไร..ก็ย่าคุยหนักหนาว่าแก ดีอย่างนั้นอย่างนี้
เรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้ แต่จริงๆ เมื่อก่อนแกก็เป็นอย่างนั้น แต่ทำไมตอนนี้..” สีหน้าของผู้เป็นย่านั้นเหนื่อยหน่ายใจเหลือกำลัง

“ย่าจะเป็นแม่สื่อให้เดลลี่..โอ๊ะ .. ให้เดือน กับเขางั้นเถอะ”

“เดลลี่ ไหน?”

“ไม่มีอะไรค่ะ..ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมค่ะ งั้น ..ขอตัวก่อน” ว่าแล้วแม่หลานสาวก็ค้อมศีรษะลง รีบถอยหลังออกมากลับเข้าห้อง สักพักก็เปิดเพลงภาษาที่ย่าหนูฟังไม่รู้เรื่องสักนิดซะเสียงดังสนั่นลั่นบ้าน

“เฮ้ย..พ่อดนัย นี่เมียแก่ส่งลูกสาวให้มาอยู่เป็นเพื่อนแม่ หรือว่า มาทำให้แม่อกแตกตายเร็วขึ้น”




หลังจากเลี้ยวซ้ายออกมาจากบ้านไม้ใต้ถุนโล่งกลางสวนส้มโอ “เต็มฤทธิ์” แล้ว ชายหนุ่มนามรักษ์ไทย ก็บังคับรถโตโยต้าสี่ประตูให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่รั้วบ้านของตน..ซึ่งสองข้างทางดินฝุ่นระยะประมาณร้อยเมตรก่อนถึงตัวบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ มีต้นส้มโอ ต้นลำไย มะม่วง และต้นกล้วยที่ปลูกให้ร่มเงากับมังคุดที่เพิ่งลงหลุมสลับแถวรายสองข้างทาง ยังไม่ทันที่เขาจอดและดับเครื่องยนต์ เด็กผู้ชายกลุ่มใหญ่ซึ่งอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นเสื้อยืดหลากสีกุลีกุจอมายืนรอรับ

“เฮ้..พี่รักษ์กลับมาแล้ว..เอาบุญมาฝากผมด้วยใช่ป่ะ..”

รักษ์ไทยพยักหน้า

“สาธุ สาธุ สาธุ” เด็กๆ พร้อมใจกันพนมมือแล้วเปล่งเสียงสาธุการ..และหนึ่งในนั้นรีบเอาใจโดยการรับปิ่นโตตะกร้าใส่ขันข้าวขวดน้ำไปไว้ที่โต๊ะไม้สักตัวหนาหน้าห้องครัวซึ่งแบ่งพื้นที่ใต้ถุนก่ออิฐถือปูนตบแต่งทันสมัย..

พอลงจากรถแล้ว รักษ์ไทยก็กวาดตามองไปหาทุกๆ คนโดยสายตานั้นมีคำถามเอาเรื่องจนเด็กๆ พากันยิ้มแหยๆ

“วันนี้พวกเรา..” ชายหนุ่มผมสีดำทรงรองทรงสูง ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลา ตาชั้นเดียวหางตาชี้นิดๆ คิ้วดกดำยาวคลุมหางตาปรายตามอง
ไปยังเด็กชายวัยเจ็ดถึงสิบสองปีที่ตัวเปียกชื้น..

“เมื่อวันพระที่แล้ว พี่ได้ยิน มีใครสัญญาว่าจะไปเจอะกันบนศาลาวัด แต่ทำไม มีไปไม่กี่คนเอง..โดยเฉพาะพวกเรา..” พูดพลางจ้องหน้าคนที่มีอายุมากที่สุด

“ก็..พวกผมลืมนี่ครับ..”

รักษ์ไทยพ่นลมหายใจออกมา พยายามตั้งสติ ทำใจให้เย็นเพื่อหาวิธี ‘แก้นิสัย’ ที่จะส่อไปในทางที่ไม่ดีของเด็กๆ

“คราวหน้าไม่ได้นะ สัญญาต้องเป็นสัญญา โดยเฉพาะสัญญาลูกผู้ชายนี่สำคัญมาก” สั้นๆ แต่ ตรงๆ ด้วยรู้ธรรมชาติของเด็กผู้ชาย เรื่องที่มากไปจะก่อให้เกิดความรำคาญแล้วจิตจะไม่น้อมรับสิ่งดีๆ ที่ได้มอบให้ และเมื่อเห็นว่าทุกคนพยักหน้าพร้อมกับพูดคำว่า “ครับ” พร้อมเพียงกัน รักษ์ไทยจึงต้องถามเพื่อให้รู้ว่าไม่โกรธ และก็เป็นการแสดงน้ำใจ

“กินข้าวเช้ากันหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วครับ” คนที่มีน้อยหน่าสุกอยู่ในมือชิงตอบ..

“เรียบร้อยแล้วก็ดี..วันนี้พี่มีอะไรสนุกๆ ให้เล่น”

ทั้งโขยงชักสีหน้าพอใจและบางก็คนก็ดูจะตื่นเต้นกับคำว่า ‘เล่น’ ของพี่รักษ์ไทย

“พี่ว่าพวกเราน่าจะเล่นกันจนเบื่อแล้ว เอางี้..เล่นนี่ไหม..ถากหญ้ารอบๆ ต้นส้มโอ..ต้นลำไย และก็ถางรอบๆ กอกล้วย รัศมีสักต้นละสองเมตร..”

เด็กๆ พากันโห่ป่า แต่ว่ารักษ์ไทยไหวไหล่

“งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข..” ว่าแล้วเขาก็รีบผละเข้าห้องครัว โดยไม่สนใจเสียงปรึกษาหารือกัน แต่ขณะยืนล้างปิ่นโต ถ้วยชาม หูของชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงเด็กๆ แย่งกันจองต้นไม้ที่จะดายหญ้ารอบๆเพื่อรับเงินค่าจ้างไปใช้จ่ายแทนแบมือขอเงินจากพ่อแม่.. น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า

..ถ้าไม่ได้เด็กพวกนี้ เห็นทีชีวิตที่นี่คงจะเหงาหงอยอยู่ไม่น้อย

ในเวลาบ่ายคล้อย ในอาคารหลังคาจั่วเสาคู่แปดต้นของห้องสมุด ซึ่งสร้างแยกออกมาจากตัวบ้านไม้ทาสีโอ้คทั้งหลัง รักษ์ไทยผลักประตูออกมาจากห้องด้านในสุดซึ่งกั้นกระจกติดเครื่อง ปรับอากาศ ออกมาที่โถงกว้างติดพัดลมเพดานสองตัว ผนังด้านหนึ่งเป็นชั้นหนังสือ และผนังอีกด้านเป็นหน้าต่างบานเกร็ดยาวเกือบจรดพื้น ติดผ้าม่านสีขาวสะอาดตา..ที่โต๊ะตัวยาวมีเก้าอี้ไม้กรุเบาะนุ่มสีน้ำตาล ในวันนี้มีเด็กผู้หญิงสามคน เด็กชายสองคน นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือด้วยท่าทีใคร่รู้กับเรื่องราวที่ดำเนินไป..

แต่ที่หัวโต๊ะ รักษ์ไทยพบหญิงสาวผมซอยเคลียบ่าชี้โด่ชี้เด่นั่งหน้าซบกับหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ เมื่อเข้าไปชะโงกหน้าดูใกล้ๆ จึงเห็นว่า หญิงสาวผมประกายทอง เสื้อยืดสีเขียวปี๋และกระโปรงสั้นเอวต่ำบานกลีบรอบตัว หลับจนน้ำลายไหลยืดลงหนังสือ..เมื่อได้เห็น..ชายหนุ่มหัวเราะกิ๊กๆ แต่ก็รีบปั้นหน้าเคร่งขรึมก่อนจะค่อยๆ สะกิด

“อื้อ..” คนหลับยังไม่รู้สึกตัว..เด็กๆ ที่นั่งอ่านหนังสืออมยิ้มชายตามามอง...

“อื้อ..อย่ายุ่ง คนจะนอน..”

“คุณ คุณ คุณ..นี่มันห้องสมุด ไม่ใช่ที่นอน..ง่วงก็กลับไปนอนที่บ้าน”

หญิงสาวตื่นขึ้นมาหน้าตายับยู่ยี่..หรี่ตามองเขาแล้วก็เบิกตากว้าง..พอตั้งสติได้ก็ลุกลี้ลุกลนรีบจัดแต่งทรงผมเช็ดริมฝีปากด้วยหลังมือและปั้นสีหน้าให้สดชื่น..

“ทำไม ห้องสมุดแล้วทำไม หลับในห้องสมุดผิดด้วยหรือ”..

“ไม่ผิดหรอกครับ..แต่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับเด็กๆ..” ชายหนุ่มทำเสียงแข็ง

“ไม่ดีอย่างไร..เมื่อกี้น้องคนนี้ก็หลับ..ใช่ไหม” หญิงสาวหาพวก..เด็กๆ พากันก้มอ่านหนังสือไม่ร่วมต่อปากต่อคำ..

“เฮ้..เมื่อกี้พี่เห็นน้องหลับนี่ พี่ก็เลยหลับตาม” หญิงสาวตีสีหน้า
เอาเรื่อง

“นี่อย่าโทษคนอื่นเลย คุณอ่านกฎระเบียบการใช้ห้องสมุดที่นี่หรือยัง..นี่อ่านซะ” ชายหนุ่มที่สูงราวๆ ร้อยแปดสิบเซนติเมตรเดินไปที่กระดาษหน้าขาวหลังเทาแผ่นใหญ่ที่ติดไว้ตรงผนัง ใช้ปากกาจี้ไปทีละตัวอักษร แล้วอ่านชัดถ้อยชัดคำ ควบกล้ำ ร.เรือ ล.ลิง ว.แหวน ชัดเจน

“ข้อ 1 ห้องสมุดนี้ ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมโปรดช่วยกันดูแลรักษาเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ข้อ 2 ห้ามนอนหลับทับหนังสือ เพราะจะทำให้หนังสือเสียหายชำรุด..โปรดช่วยกันดูแลหนังสือเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เพราะราคาหนังสือแต่ละเล่มแพงมาก..เน้นว่าแพงมาก..ข้อ 3 อ่านแล้วเก็บเข้าที่ตามเดิมเพราะ ที่นี่ไม่มีบรรณารักษ์.. แล้วดูหนังสือที่คุณค้นออกมา ถามจริงๆ เถอะ อ่านหมดทุกเล่มหรือเปล่า และจำได้ไหมว่า แต่ละเล่มมันอยู่ตรงไหนบ้าง” รักษ์ไทยทำเสียงเข้ม..

“ทำไมต้องดุฉันด้วย ก็ฉันเพิ่งเคยมา ยังไม่ได้อ่านนี่..”

“ผมไม่ได้หวงสมบัติที่นี่นะ แต่อยากให้ช่วยกันดูแลรักษาเพื่อประโยชน์คนอื่นเท่านั้น และถ้าคุณง่วงนะ ข้างๆ ด้านหลังมีเก้าอี้แบบปรับให้นอนได้ แต่อย่าเอาหนังสือไปปิดตานอนเด็ดขาด”

“คุณนี่เรื่องมากจริงๆ นี่ฉันรู้ว่าที่นี่เป็นของคุณนะ ฉันไม่มาหรอก แม๊!!.. เขียนได้ว่า มีห้องสมุดอยู่ด้านใน เชิญอ่านหนังสือได้ฟรี..ที่แท้ก็หวงนี่เอง ถ้าใจไม่ใหญ่พอแล้วจะเปิดให้เป็นสาธารณะทำไม ล็อคกุญแจไปเลยเซ่..ไม่อ่านก็ได้..”

ว่าแล้วหญิงสาวก็ลุกขึ้น..เดินไปดึงประตูทำท่าจะออกไป..แต่ชายหนุ่มตามไปรั้งหัวไหล่ไว้เสียก่อน..

“นี่ คุณ...จะไป ผมไม่ว่าหรอกนะ แต่กรุณาครับ..ข้อสาม อ่านแล้วเก็บเข้าที่เดิมด้วย คุณโอเค”

เมื่อได้ยิน หญิงสาวหันกลับมาทำหน้าบอกให้รู้ว่ารำคาญใจก่อนจะหอบหนังสือหลากหลายประเภทที่ตนเลือกออกมาเดินไปที่ชั้นหนังสือ..

“เก็บเข้าที่เดิม.. ก่อนจะดึงออกมา จำได้หรือไม่”

“ได้..ซิ ทำไมจะจำไม่ได้ก็ฉันดึงออกมากับมือเองนี่..” สักพัก หญิงสาวก็ร้อง “โอ๊ะ” แล้วก็คุยเสียงเบาๆ กับตัวเองว่า “แย่จัง..ทำไมฉันขี้ลืมอย่างนี้นะ เล่มนี้ฉันจำได้นี่ว่ามันอยู่ตรงนี้แล้วทำไม..โอ๊ะ!! ปวดหัวๆ”

“คุณดูหมวดก่อนซิว่า คุณหยิบหมวดอะไรออกมา แล้วก็กลับไปที่หมวดนั้น..คุณนี่จริงๆ.. โตจน..เป็นเยี่ยงอย่างให้กับเยาวชนหน่อยนะ ดูแต่งเนื้อแต่งตัว”

เมื่อได้ยินดังนั้นหญิงสาวยัดหนังสือทั้งตั้งเข้าไปในช่องว่างหลังจากนั้นก็เดินลงเท้าหนักๆ มาหาชายหนุ่ม

“เฮ้!!..นี่คุณจะมากไปแล้วนะ ดุเรื่องหนังสือฉันพอทนได้ แต่ไอ้เรื่องแต่งตัวนี่มันสิทธิของฉัน..ฉันจะใส่เสื้อผ้าสีอะไร มันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับคุณ ทีคุณล่ะ ใส่อะไรนี่..เสื้อผ้าฝ้ายกางเกงผ้าฝ้าย..ยี้!!.. อุบาทว์..” ไม่เฉพาะน้ำเสียง แต่สีหน้านั้นแสดงออกมาพร้อม..

“เฮ้!!..คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาวิพากษ์วิจารณ์” พูดยังไม่ทันจะจบหญิงสาวก็เถียงขึ้นมาทันที..

“แล้วใครว่าฉันก่อน..จำไว้เลยนะ อย่าพูดเรื่องเสื้อผ้ากับฉันอีก..” ว่าแล้วก็ทำทีมีโมโห ก่อนจะผลักประตูแล้วรีบเดินออกไปคว้าจักรยานซึ่งจอดไว้ใต้ต้นมะยม..เมื่อปั่นออกมาได้..หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมา..แล้วยิ้มกับความฉลาดของตนเอง

“ผู้ชายบ้านนอกๆ โง่ๆ มีรึจะมาบังคับผู้หญิงอินเตอร์อย่างฉันได้..นี่ถ้าไม่ติดแม่ ย่า และหลวงพี่ ฉันไม่มีวันกลับมาอยู่ที่บ้านนานี่หรอก มีอะไรดีซะที่ไหน..แดดก็ร้อน ผิวฉันไหม้หมดแล้ว ครีมวันละกี่กระปุกล่ะที่จะทำให้ผิวฉันขาวขึ้นมาได้”
นึกถึงเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องกลับมาถูกแดดเผาที่บ้านนา ดวงเดือนก็ถอนหายใจออกมา พ่อตายเพราะถูกลอบยิง พี่ชายที่บวชตั้งแต่อายุครบบวชก็ไม่ยอมสึกเพราะซึ้งในรสพระธรรม แม่ก็ขายของทุกวัน ย่าไม่มีใครดูแล เธอต้องกลับมาอยู่บ้าน และพอเห็นบ้าน เธอก็นึกถึงเหตุที่ทำให้พ่อจากไป แต่ว่าจนถึงปัจจุบัน ตำรวจก็ยังไม่สามารถสืบหาคนร้ายมาลงโทษได้


ดวงเดือนปั่นจักรยานพลางครุ่นคิด จนกระทั่งรถจักรยานไปจอดอยู่ที่หน้าร้านเสริมสวย
“อ๊าย..นังเดือน..เอ๊ย..คุณเดลลี่ลมอะไรหอบเธอมาที่ร้านของฉันได้”

ดวงเดือนเข้ามานั่งที่โต๊ะรอทำผมแล้วก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะค้อนลมค้อนแล้งไปตามเรื่อง..

“ท่าทางแกนี่พิมพ์นางเอกหนังเกาหลีมาเปี๊ยบเลยนะ..”

“น่ารักใช่ไหมล่ะ” คนพูดเอียงคอจับผมแล้วยิ้มนิดๆ เมื่อถูกชม โดยสีหน้าทดท้อกับชีวิตหาได้มีอยู่ให้คนอื่นร่วมทุกข์ไปด้วย

“น่ารักอยู่หรอก แต่บางทีมันก็น่าหมั่นไส้ มันดูกระแดะอย่างไรก็ไม่รู้..มันไม่เหมือนกับแกสมัยที่ยังมีกลิ่นโคลนสาบควายอยู่ตามเนื้อตัว..”

“นังนี่”

“ตอนนั้นถ้าแกเฉิด! อย่างนี้ รับรองพี่มานะ ไม่ตกหลุมพรางนังวีณาหรอก..ตอนนั้นแกมันทึ่ม! โง่! ไม่ไวไฟ..พี่มานะก็เลยไปติดบ่วงคนที่มันใจถึงกว่า..”

พูดถึงเรื่องเก่า ดวงเดือนหน้าสลดลง แล้วถอนหายใจออกมาโดยไม่มีทีท่าโกรธคู่สนทนาเลยสักนิด “อย่าไปพูดถึงมันเลย ผ่านไปแล้ว..”

“แต่วีณามันก็ตายไปแล้ว..ตอนนี้พี่มานะเป็นโสด แถมรวยมากๆ ต่างหาก ทั้งตำแหน่งหน้าที่การงาน ฐานะทางบ้าน..นึกแล้วเปรี้ยวปาก....สวรรค์โปรดแกแล้วนะ” คนพูดชื่อพรรณนาซึ่งมีลักษณะการแต่งตัวสีสันจี๊ดจ๊าดไม่ต่างกัน ทำนัยน์ตาชวนฝัน

“เรื่องมันนานมาแล้วนะ”

“นานอะไรแค่เจ็ดแปดปี..แกรื้อฟื้นได้..”

“แต่ฉันไม่อยากเป็นคุณนายบ้านนอกนะพรรณนา”

“แต่ก็กลับไปอยู่กรุงเทพไม่ได้แล้วใช่ไหม..เมื่ออยู่ไม่ได้ แกก็ต้องหาวิธีอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขที่สุดให้ได้ แกคิดดูซิ สมบัติทั้งนั้น..เงินทั้งนั้น..แกจะอยู่อย่างมีเกียรติ..เป็นคุณนาย ใครๆ ก็ต้องยกมือไหว้”

“เรื่องยกมือไหว้ไม่ไหว้ ไม่อยู่ในหัวฉันหรอกย่ะ บางคนมันไหว้เราแต่มือแต่ใจมันไม่ได้ไหวเราด้วยซิ...แต่พูดไป ฉันลืมเขาไปแล้ว..จริงๆ นะ”

“แน่ใจ..วันก่อน ฉันยังเห็นแกทักทายเขาที่ตลาดนัดด้วยท่าทีอย่างกับปลากระดี่ได้รับน้ำฝนเดือนหก..”

“มันเป็นตัวฉันอยู่แล้วนะท่าทางแบบนั้น..”

“จ๊ะ แม่ดอกบานชื่น..รู้ไหม ตั้งแต่แกกลับมา ฉันรู้สึกไม่ดีเลยว่ะ รู้ไหมใครๆ ก็สนใจแกทั้งนั้น..ตำรวจที่ สภ.เอย หนุ่มที่ทำงานใน อบต.เอย หมอที่ อนม.เอย มาตัดผมที่ร้าน เขารู้ว่าฉันเป็นเพื่อนแก ใครๆ ก็จ้องจะให้ฉันเป็นแม่สื่อให้..ฉันนี้ทำใจลำบาก รักพี่เสียดายน้อง มีแต่ดีๆ ทั้งนั้น..”

“เสียใจ ฉันจะรักใครชอบใคร ฉันไม่ต้องการแม่สื่อ และใครคิดจะมาจีบฉัน แกบอกไปเลยนะพรรณนา เข้ามาคุยได้เลย..ฉันเปิดประตูรอทุกคน”

“ผัวเขาแกก็โอเครึ”



นั่งคุยกันเรื่อยๆ เปื่อยๆ ไปสักพัก ก็มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการให้พรรณนาทำเล็บมือและเท้า..ดวงเดือนต้องขอตัวออกมา หลังจากนั้นเธอก็เดินเข็นจักรยานไปยังร้านเครื่องมือทางการเกษตร ขายปุ๋ย ขายยาฆ่าแมลง ยากำจัดวัชพืชของแม่จันทรา..ซึ่งอยู่ถัดไปอีกสี่ห้าคูหา

“มาได้แล้วรึ จะเย็นอยู่แล้วแกเพิ่งจะมีอารมณ์มาช่วยฉัน”

“ใครว่าหนูจะมาช่วย..แม่หนูเก่งอยู่แล้ว..เรื่องแค่นี้ขี้ปะติ๋ว” ว่าแล้วก็เดินไปกอดรัดทางด้านหลังแล้วก็คลอเคลีย..

“นี่เรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวให้มันเพลาๆ หน่อยนะเดือน ที่นี่ตำบล
บ้านนานะจ๊ะ ไม่ใช่กรุงเทพฯ..แม่หูชาหมดแล้ว..”

“อุ้มมะ...” ลูกสาวอุทานแบบเกาหลี แกล้งทำสีหน้าไม่พอใจที่ถูกขัดใจ

“แค่นี้หนูก็เซ็งจะแย่อยู่แล้ว ถ้าหนูอยู่กรุงเทพ ป่านนี้หนูคงได้เลื่อนตำแหน่งงานเป็น...”

“อย่าไปพูดถึงมัน ..พูดถึงแต่เรื่องที่นี่ แล้วก็ทำวันนี้ให้ดีที่สุด..”

“แม่เชื่อคนอื่นหรือไงว่าหนูเหลวแหลกใจแตกอยู่ในเมือง” หญิงสาวผละออกไปนั่งหน้างออยู่ที่หน้าโต๊ะบัญชี..

“แม่ที่ไหนก็คิดว่าลูกตัวเองดีที่สุดแหละ..”

“แต่หนูไม่ใช่อย่างที่คนอื่นเขาลือกันนะ” ดวงเดือนถอนหายใจออกมา รู้ว่าใครมันมาลือ ...ใช่ซิ ทำตัวใช้ชีวิตให้คุ้มไม่ได้อย่างตัวก็เลยเอามาเม้าท์..ผิดด้วยหรือแค่เธอกล้าที่จะทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัย ผิดด้วยหรือที่เธอกล้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากสาวบ้านนอกเปิ่นเชยมาเป็นสาวมั่นทันสมัย

..ก็ใช่อีกนั่นแหละ ถ้าเธอเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด..คนก็ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน..แต่จะมีใครรู้ว่ากระบวนการศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างหากที่ทำให้เธอค้นพบว่าตัวเองมีความสามารถมากน้อยแค่ไหน แต่ว่าอธิบายไป ที่นี่ก็มีแต่คนที่ห่างไกลคำว่า ‘การศึกษา’

“แล้วย่าเป็นอย่างไรบ้าง..ดูแลท่านหน่อยนะ เราเหลือญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวแล้ว ..และอีกอย่างถ้าท่านตายไป ที่ตรงนั้น ก็คงยกให้เรา เพราะดูแล้วหลวงพี่ของเธอก็คงไม่สึกหาลาเพศ ท่านมีความสุขในวัดเสียแล้ว..และร้านนี้ก็เหมือนกัน ถ้าว่างมีเวลาก็มารีบเรียนรู้งาน เพราะแม่เองก็แก่ลงทุกๆ วัน ๆ จะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้”

“แม่อ่ะ ทำไมแม่พูดอย่างนั้น..”

แม่จันทรารู้ว่าลูกสาวคนนี้ ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ขืนไปด่าว่า
อย่างเดียวมีหวังได้เตลิดเปิดเปิง..

“มีลูกชายเป็นพระทั้งองค์ ไม่คิดหรือว่าแม่ไม่ปลงใจตามหลวงพี่บ้าง อีกอย่างแม่กับพ่ออยู่บ้านนามาตั้งแต่เล็กจนโต จนพ่อตายไป..แม่มีความสุขมากนะ..ที่นี่เป็นเหมือนสวรรค์ของแม่กับพ่อเมื่อแม่คิดอย่างนี้ แม่ก็อยากให้ลูกสาวของแม่คิดอย่างนี้บ้าง....”

คนเป็นลูกสาวนั่งฟัง ทำท่าคิดหนัก แต่ก็ไม่มีทีท่าจะคล้อยตาม

“รึว่ามีใครอยู่ทางโน้น”

“ไม่มีร็อก ผู้หญิงเปิ่นๆ บ้าบออย่างหนู ใครที่ไหนมันจะมามอง” พูดพลางสะกดน้ำตาไม่ให้ไหล อันที่จริง เธอแอบรักรุ่นพี่คนหนึ่ง เมื่อเขาจบออกไปทำงาน เธอก็ยังตามไปฝึกงานอยู่ใกล้ๆ สุดท้ายเขาก็บอกกับเธอว่า คิดกับเธอได้เพียงน้องสาว เขาแต่งงานกับผู้หญิงเรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้ เขาไม่ชอบผู้หญิงมีสีสันแสบตา เธอไม่ใช่สเป๊คเขา..คิดถึงอดีตแล้วก็พ่นลมหายใจออกมา..ผ่านแล้วให้มันผ่านไป..ทุกข์ไปทำไม ตั้งต้นใหม่ๆ..ปลอบใจตัวเองแล้ว ดวงเดือนก็นึกถึงเรื่องสำคัญ ที่เธอจะต้องไล่จี้ให้พวกเขาไปทำหน้าที่ให้ได้..“แม่ แล้วคดีของพ่อ...ใครเป็นคนทำ”

“แล้วจะไปยุ่งอะไรกับเขา”

“เหอะ หนูอยากรู้ อยากเข้าไปคุยด้วยหน่อย ทำงานอย่างไร ทำไมไม่มีอะไรคืบหน้า..เช้าชามเย็นชามซะมั้ง ต้องไปไล่บี้หน่อย”

แม่จันทราหยิบนามบัตรออกมาให้สีหน้านั้นหนักใจกับลูกสาวที่ดู
จะสนใจเรื่องที่ไม่ค่อยจะเป็นเรื่องมากกว่าเรื่องที่ควรทำ..



ร้านอาหารบ้านนา ตั้งอยู่ทางขวามือก่อนถึงปากทางเข้าน้ำตก..ซึ่งเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ..หลังจากโทรนัด ร.ต.ต ภักดี ภักดีวัฒนา ร้อยเวรผู้รับผิดชอบคดีของผู้เป็นพ่อออกมาเรียบร้อย..ดวงเดือนปั่นจักรยานจากร้านค้าของแม่ขึ้นเนินถนนสูงๆ ต่ำๆ มาที่สุดถนนของหมู่บ้าน..หญิงสาวทิ้งจักรยานคันสีแดงไว้ที่หน้าร้านแล้วเดินรี่เข้าไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร สั่งน้ำส้มอัดลมมาดื่มหนึ่งขวด ขณะนั้นก็กวาดสายตาไปรอบๆ
พบว่าที่มุมบังตาของร้านมีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งตาเชื่อมอยู่ตรงข้ามกัน..

“ผู้ใหญ่บ้านนี่” ผู้ใหญ่คนนี้ดวงเดือนรู้จัก แต่ผู้หญิงคนนั้น..ใครกัน..และสรรพคุณความเจ้าชู้ที่พรรณนาบอกไว้ลอยมาอยู่ในสมอง..ชีกอ..เจ้าชู้ไม่เลือกแม่ใครเมียเขา..

เห็นดังนั้นดวงเดือนสะบัดหน้ากลับไปมองที่ถนน เห็นพยัพแดดระอุ นึกถึงชีวิตที่ผ่านมาของตน ..หลายครั้งหลายหนที่เฉียดจะเป็นเมียน้อย เพราะทำตัวก๋ากั่น เพราะอวดดื้อถือดีไม่ง้อเงินทางบ้าน จนต้องเร่ออกไปหางานทำเพื่อค่าหอพัก ค่าอาหารและค่าเสื้อผ้า..แต่ถึงอย่างไรเธอก็รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ แต่การกระทำล่อแหลมที่ทำลงไป มีใครจะเชื่อว่าเธอบริสุทธิ์ไร้เดียงสา

แม้เพื่อนที่คบๆ กันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายและย้ายเข้าไปเรียนในกรุงเทพด้วยกัน ก็เลิกคบกับเธอแถมพากันพูดให้ร้ายว่าเธอมักชอบเที่ยวไปกับผู้ชายไม่เลือกหน้า..ไม่รักนวลสงวนตัว..เธอผิดด้วยรึ ที่เบื่อเพื่อนผู้หญิงผู้มากเรื่องเหลือกำลัง คุยกับพวกผู้ชายอะไรก็ได้ และที่สำคัญพวกเขาเหล่านั้นก็มองเธอแค่เพื่อนคนหนึ่ง..

ดวงเดือนหันกลับไปมองคู่ผู้ใหญ่บ้านกับผู้หญิงคนนั้นอีกรอบแล้วก็ปลงใจว่า..เธอยังคิดเช่นนั้นได้ แล้วทำไมคนอื่นจะคิดเช่นนั้นกับเธอบ้างไม่ได้..

หลังน้ำส้มแฟนต้าหมดไปหนึ่งขวดดวงเดือนจึงได้เห็นนายตำรวจนามภักดีเดินผึ่งผายเข้ามาในร้านอาหาร..

“สวัสดีครับ..คุณดวงเดือนใช่ไหมครับ..”

หญิงสาวยิ้มหวานรับพร้อมกับผายมือให้หนุ่มร่างสันทันผิวเนื้อดำแดงใบหน้าเหลี่ยมแต่คมที่ดวงตาและคิ้วเข้ม เชื้อเชิญนั่งที่ตรงข้าม
“เบียร์เย็นๆ ไหมค่ะ”

“ของคุณเป็นน้ำส้มนี่..”

“ดื่มเป็นเพื่อนก็ได้ค่ะ..”

เมื่อได้ยินดังนั้น ร้อยตำรวจหนุ่มมีสีหน้าตกใจ..



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.ย. 2554, 09:23:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ย. 2554, 09:23:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1905





   2. ฉบับรีไรท์ >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 11 ก.ย. 2554, 09:26:02 น.
สำหรับ องค์การบริหารส่วนหัวใจ นับเป็นนิยายเรื่องแรกกับนามปากกา 'เฟื่องนคร' ตีพิมพ์ครั้งแรกกับ สนพ. ไฟน์บุ๊ค ซึ่งตอนนั้นตลาดนิยายแนวสนุกสนานกำลังมา..ผมก็กระโดดลงไปเล่นกับเข้าด้วย และก็ได้ค้นพบตัวเองว่า ตัวเองมีอารมณ์ขันอยู่ไม่น้อย จนวันนี้ นามปากกา เฟื่องนคร เป็นนามปากกาที่เน้นทำงานสนุกสนานมีสาระ จะล้น ๆ ขาด ๆ ไปบ้าง ก็เพื่อความบันเทิงเริงใจ..อย่างไรก็ฝากนิยายเล่มนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยครับ ผมจัดพิมพ์ใหม่ จำหน่ายในราคา 200 บาทพร้อมค่าจัดส่ง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยครับ..


minafiba 11 ก.ย. 2554, 20:13:20 น.
ส่งรายละเอียดมาเลยค่ะ จะรอที่ตู้จดหมายนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account