เสียงปริศนา

Tags: ลึกลับ,ฆาตกรรม,

ตอน: ตอนที่ 6

เด็กสาวร่างบอบบางในชุดกางเกงยีนส์สามส่วน เสื้อยืดแขนสั้นสีขาว วิ่งลงบันไดมาจากชั้นสองอย่างรวดเร็ว พลางกวาดตามองหาอะไรสักอย่าง ก่อนหันมามองเด็กสาวรุ่นเดียวกัน ที่กำลังทำความสะอาดโต๊ะอาหารอย่างขะมักเขม้น แล้วถามขึ้น

“น้อย เฮียภพกลับมาหรือยัง”

“กลับมาถึงได้สักพักแล้วค่ะ แต่ไม่แน่ใจนะคะ ว่าจะออกไปข้างนอกอีกหรือเปล่า เพราะเมื่อกี้น้อยเห็นคุณภพเดินไปที่โรงเก็บรถค่ะ อ๊ะ นั่นไงคะ คุณเล็ก” เด็กสาวชื่อน้อย ชี้ให้ดูรถกระบะสีบรอนซ์ ที่เคลื่อนออกจากโรงเก็บรถ มุ่งหน้าไปที่ประตูรั้วอัลลอยด์ขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวบ้านเกือบร้อยเมตร

คุณเล็กหรือชื่อเต็มคือสมฤดี หันไปมองก่อนทำตาโต รีบวิ่งออกจากประตูบ้านไล่ตามไปพร้อมกับยกมือป้องปาก ตะโกนเรียกเสียงดัง

“เฮียภพ! เฮียภพ!”

สมภพเหลือบตามองกระจกนิดหนึ่ง ค่อยๆ ชะลอรถ จอดห่างจากประตูรั้วไม่กี่เมตร เปิดประตูลงมายืนกอดอก มองร่างบางที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา

“มีอะไรเหรอ ตัวเล็ก”

“เมื่อคืน เฮียไปไหนมาคะ ทำไมกลับบ้านซะดึกเชียว เห็นลุงชิดบอกว่า เฮียกลับมาเกือบเที่ยงคืนแล้ว”

“ไปธุระมา” สมภพตอบสั้นๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ธุระที่ไหนคะ ใช่ธุระที่โรงพยาบาลของอาก้องหรือเปล่าเอ่ย” ทั้งสีหน้า แววตาและน้ำเสียงตลอดจนท่าทางของคนถาม แสดงความอยากรู้อยากเห็นอย่างปิดไม่มิด จนสมภพอดขำไม่ได้ แสดงว่าต้องมีคนส่ง “ข่าว” มาให้รู้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นตัวเล็ก คงไม่วิ่งแจ้นมาถามเขาแบบนี้หรอก

“เอาอย่างนี้ดีกว่า แหล่งข่าวของตัวเล็ก รายงานอะไรมาบ้าง”

สมฤดีหัวเราะร่วนชอบใจ แหม! เฮียภพนี่ฉลาดจริงๆ พูดนำร่องแค่นี้ก็เดาออกทันที แสดงว่า “ข่าว” ที่ได้รับมาจากโรงพยาบาลนั้นถูกต้อง

“แหล่งข่าวบอกว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา หลานชายสุดหล่อของท่านผู้อำนวยการโผล่ไปที่โรงพยาบาล แต่ไม่ได้ไปคนเดียว เพราะเขาอุ้มร่างหมดสติของหญิงสาวคนหนึ่งไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้จะไม่เป็นประเด็นร้อนขึ้นมาเลย ถ้าหากว่าเขาไม่นั่งเฝ้ารอดูอาการของผู้หญิงคนนั้น อยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ตามรายงานยังบอกอีกว่า ขนาดต้องนั่งรอคำตอบจากคุณหมออยู่นอกห้องตั้งนานสองนาน เขาก็ไม่ปริปากบ่นสักคำ แถมยังช่วยเป็นธุระจัดการติดต่อเรื่องห้องพักพิเศษให้จนเสร็จสรรพ รวมถึงพาญาติ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นน้องสาวของเธอคนนั้น กลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านแล้วพามาส่งอีกด้วย”

“คนที่นั่นจึงสงสัยกันใหญ่ว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ขนาดอาก้องก็ยังแปลกใจว่า ทำไมจู่ๆ คนที่เกลียดการใช้เส้นสายเข้ากระดูกดำอย่างหลานชายสุดที่รัก ถึงได้ต่อสายด่วนถึงแก เพื่อขอใช้สิทธิ์เปิดห้องพักพิเศษสำหรับผู้ป่วยวีไอพี แต่ให้คิดค่าใช้จ่ายในอัตราเดียวกับห้องพักพิเศษทั่วไป โดยส่วนต่างที่เกิดขึ้น ให้มาเรียกเก็บจากหลานชายสุดที่รัก แสดงว่าผู้หญิงคนนั้น ต้องเป็นคนสำคัญมากใช่ไหมคะ เฮียภพ”

สมภพอมยิ้ม ถ้าถึงขนาดรู้แม้กระทั่งเรื่องที่เขาโทรศัพท์หาอาก้อง ก็แสดงว่าแหล่งข่าวคนนั้น คงเป็นแหล่งข่าวระดับสูงทีเดียว ถ้าให้เดาล่ะก็ แหล่งข่าวที่ยายตัวเล็กพูดถึง จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกซะจากอาก้องศักดิ์ ผู้อำนวยการของโรงพยาบาลนั่นเอง

“ทำไมเฮียไม่ตอบคำถามของตัวเล็กล่ะคะ”

“แล้วทำไมต้องตอบด้วยล่ะ จริงอยู่ว่าตัวเล็กมีสิทธิ์ถาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เฮียต้องตอบทุกคำถามที่ตัวเล็กอยากรู้สักหน่อย เฮียพูดถูกไหม”

“โห! เฮียพูดแบบนี้ ทำให้ต่อมอยากรู้ของตัวเล็กเดือดพล่านเลยนะ บอกตัวเล็กได้ไหมคะว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร น่า บอกหน่อยสิ ตัวเล็กสัญญาค่ะ ว่าจะเก็บไว้เป็นความลับขั้นสุดยอด ไม่บอกใครเด็ดขาด ตกลงผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันคะ ใช่แฟนเฮียหรือเปล่า”

สมภพไม่ตอบแต่เดินไปเปิดประตูรถ สมฤดีรีบวิ่งไปที่ประตูรถอีกฝั่ง เปิดประตูขึ้นไปนั่งทันที

“ขึ้นมาทำไม” สมภพถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่อยากฟังจากปากเจ้าตัวมากกว่า

“ก็แล้วทำไมตัวเล็กจะขึ้นมาไม่ได้ล่ะคะ ไหนเฮียเคยบอกว่า ตราบใดที่เฮียยังไม่มีแฟน ผู้หญิงที่เฮียอนุญาตให้นั่งตรงนี้ได้ มีแค่ตัวเล็กเท่านั้น หรือเฮียจะบอกว่าเฮียจำไม่ได้คะ”

“เฮียยังไม่ได้พูดสักคำว่า จำไม่ได้”

“ก็นั่นน่ะสิคะ ในเมื่อเฮียจำได้ แล้วจะถามทำไมล่ะคะว่า ตัวเล็กขึ้นมาทำไม”

“เฮียเพิ่งรู้นะว่า นอกจากวิชาคำนวณจะไม่ได้เรื่องแล้ว ตัวเล็กก็ยังอ่อนวิชาภาษาไทยอีกด้วย เพราะถ้าไม่อย่างนั้น ตัวเล็กก็ต้องเข้าใจคำถามที่เฮียถามแล้วสิว่า ขึ้นมาทำไม”

“โห! เฮียพูดแบบนี้เลยเหรอ ใช่สิ! ใครจะไปเรียนเก่งเหมือนเฮียล่ะคะ ที่จบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ตัวเล็กนับถือเฮียจริงๆ ไม่รู้ว่าเรียนเข้าไปได้ยังไง ยากจะตาย! ถ้าให้ตัวเล็กเรียนวิศวะเหมือนเฮียนะ พนันได้เลยค่ะว่า ไม่ทันขึ้นปีสอง ตัวเล็กต้องเปลี่ยนชื่อเป็นตัวเขียว เพราะเรียนหนักจนซีดเซียวเขียวไปหมดทั้งตัว ไม่ใช่เขียวธรรมดาด้วยนะเฮีย แต่เขียวอื๋อเลยล่ะค่ะ โอ๊ย! แค่คิดไมเกรนก็ถามหาแล้ว”

“แต่เฮียก็แปลกคนเหมือนกันนะคะ แทนที่เรียนจบออกมาแล้ว จะทำงานเป็นวิศวกรคุมงานเหมือนคนอื่นเขา เฮียก็ไม่เอาซะนี่ กลับไปสมัครทำงานเป็นลูกมือช่าง ยอมเป็นลูกน้องให้คนอื่นเขาโขกสับ เพียงแค่ต้องการจะเรียนรู้งานช่าง นี่ถ้าเฮียยอมเข้ามาคุมงานก่อสร้างให้ป๊าตั้งแต่แรก ก็ไม่ต้องเหนื่อยวิ่งรอก ทำงานรับจ้างตามบ้านหรือหอพักแบบนี้หรอกค่ะ เฮ้อ!” สมฤดีถอนหายใจแล้วพูดต่อ

“นี่ละน้า เขาว่าคนชอบความลำบาก ก็มักจะหาความลำบากใส่ตัวอยู่เรื่อย แต่เฮียก็เก่งนะคะ ที่อดทนเรียนรู้งานช่างทุกอย่าง จนเชี่ยวชาญยิ่งกว่าช่างบางคนซะอีก แถมยังก้าวหน้าเร็วอีกด้วย แค่สามปีก็ขึ้นมาเป็นหัวหน้าช่างแล้ว นี่ถ้าพวกนายช่างใหญ่ที่เคยสอนงานให้เฮีย รู้ว่าเฮียจบวิศวกรรมโยธามา มีหวังเป็นลมหงายหลังกันเป็นแถวๆ แน่เลยค่ะ” สมฤดีพูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย ก่อนชะงักเมื่อเห็นสายตาของสมภพที่มองมา

“พูดจบหรือยัง”

“แหะๆ จบแล้วค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น ก็ตอบคำถามของเฮียได้แล้วว่า ตัวเล็กขึ้นมานั่งบนรถเฮียทำไม”

“ตัวเล็กจะไปโรงพยาบาลกับเฮียด้วยค่ะ” สมฤดียิ้มจนตาหยี สมภพปั้นหน้าเคร่งขรึม ถามเสียงเรียบ

“รู้ได้ยังไงว่าเฮียจะไปโรงพยาบาล”

“ก็เฮียขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะเรียบร้อยแบบนี้ แสดงว่าต้องไปเยี่ยมคนป่วยใช่ไหม แล้วคนป่วยจะอยู่ที่ไหนได้ล่ะคะ ถ้าไม่ใช่ที่โรงพยาบาล”

“ทีเรื่องอย่างนี้ล่ะก็ ฉลาดเป็นกรดเชียวนะ แต่กับเรื่องเรียน เฮียไม่เห็นตัวเล็กหัวไวแบบนี้บ้าง”

“เอ้า เรื่องเรียนก็ส่วนเรื่องเรียนสิคะ ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย น่า ให้ตัวเล็กไปด้วยนะคะ ตัวเล็กอยากไปเยี่ยมพี่สาวคนนั้นเหมือนกัน เห็นว่าช็อกหมดสติมาไม่ใช่เหรอคะ”

“อื้อหือ! รู้ลึกถึงขนาดนั้นเชียวเหรอ แสดงว่าตัวเล็กคงจ่ายให้แหล่งข่าวเยอะล่ะสิท่า”

“แหม! ไม่ได้จ่ายสักหน่อย อาศัยความสนิทสนมส่วนตัวต่างหากล่ะคะ น่า เฮียพาตัวเล็กไปแนะนำให้พี่สาวคนนั้นรู้จักเถอะค่ะ เผื่อต่อไปในภายหน้า หากพี่สาวคนนั้นบังเอิญไปเห็นตัวเล็กเดินอยู่กับเฮีย จะได้ไม่เกิดปัญหาเข้าใจผิดกัน นะคะ ให้ตัวเล็กไปด้วย บางทีตัวเล็กอาจช่วยเฮียได้นะ” สมฤดียิ้มหวาน มองสมภพตาแป๋ว

สมภพส่ายหัวเบาๆ นึกแล้วไม่มีผิดจริงๆ ว่าตัวเล็กต้องขอตามไปที่โรงพยาบาลด้วย จากท่าทางที่เห็น หากเขาปฏิเสธไม่ให้ตามไป เชื่อขนมกินได้เลยว่า ตัวเล็กต้องแอบไปที่นั่นจนได้อยู่ดี เฮ้อ! รู้แล้วล่ะว่าคุณนลินดื้อตาใสเหมือนใคร ที่แท้ก็เหมือนยายตัวเล็กนี่เอง

ที่จริงสมภพเอง ก็ไม่ได้อยากจะพานลินไปที่โรงพยาบาลของก้องศักดิ์หรอก เพราะพอจะรู้เหมือนกันว่า อาจตกเป็นเป้าสายตาของพนักงานที่นั่น เพราะสมภพเป็นหลานชายของผู้อำนวยการโรงพยาบาล แต่เขาไม่มีทางเลือก เพราะหอพักของนลิน อยู่ใกล้กับโรงพยาบาลของก้องศักดิ์มากที่สุด นอกจากนี้ อาการของนลินก็น่าเป็นห่วงมาก จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน หากเขามัวแต่กังวลเรื่องตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน และพานลินไปส่งโรงพยาบาลอื่นที่อยู่ถัดไป นลินอาจจะมีอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้

แค่คิดถึงเรื่องนี้ สมภพก็ใจหาย ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงแค่วันเดียวแท้ๆ แต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยและผูกพันกับนลินอย่างน่าประหลาด ลุงของเขาที่เสียไปเมื่อหลายปีก่อน เคยบอกเขาว่า มิตรภาพหรือความผูกพันของคนเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนของระยะเวลาที่ได้รู้จักกัน แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเวลาที่ได้ใช้ร่วมกัน บางที..กรณีของเขากับนลินก็อาจเป็นอย่างนั้น

เมื่อเห็นสมภพไม่พูดอะไร สมฤดีก็ดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดลำตัว แล้วพูดขึ้น

“รีบไปกันเถอะค่ะเฮีย ตัวเล็กอยากเห็นหน้าว่าที่อาซ้อจะแย่อยู่แล้ว”

“อย่าพูดซี้ซั้วนะตัวเล็ก คุณนลินกับเฮียเพิ่งรู้จักกันเมื่อวาน และเราก็เป็นเพียงแค่เพื่อนกันเท่านั้น”

“พี่สาวคนนั้นชื่อนลินเหรอคะ นี่ขนาดเพิ่งรู้จักกันเมื่อวาน เฮียก็ดูแลเอาใจใส่พี่นลินเป็นอย่างดีราวกับว่ารู้จักกันมานานเป็นแรมปี แถมยังห่วงใยพี่นลินมากเป็นพิเศษอีกด้วย แบบนี้มันผิดปกตินะคะ”

“ผิดปกติตรงไหน”

“อ้าว ก็ปกติเฮียเคยสนใจผู้หญิงคนไหนบ้างล่ะ ขนาดป๊าจะแนะนำลูกสาวของเพื่อนให้รู้จัก เฮียก็บอกปัดหน้าตาเฉย พอเขาวางแผนนัดลูกสาวของเพื่อนให้มาหาที่บ้าน เฮียก็หนีไปอยู่ที่บ้านสวน ไม่ยอมกลับมานอนที่บ้านนานนับเดือน จนป๊ายกธงขาวยอมแพ้ ไม่บังคับให้เฮียรู้จักลูกสาวของเพื่อนอีก เฮียถึงได้ยอมกลับมา”

“แต่การกระทำของเฮียที่มีต่อพี่นลิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เฮียไปนั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน หรือช่วยจัดการเป็นธุระในเรื่องต่างๆ ให้จนเสร็จสรรพนั้น เห็นได้ชัดเลยว่า พี่นลินมีความสำคัญกับเฮียมาก คนเราลองถ้าไม่มีใจให้หรือรู้สึกพิเศษอะไรด้วย ไม่มีทางทำให้แบบนี้หรอกค่ะ หรือเฮียจะเถียงว่าไม่จริง”

สมภพมองน้องสาวอย่างหมั่นไส้ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายลอยหน้าลอยตาพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจ เขาก็นึกอยากจะเขกหัวยายตัวเล็กสักโป๊กสองโป๊ก โทษฐานที่รู้มากพอๆ กับพูดมากนั่นแหละ!

“ถ้าตัวเล็กยังพูดมากแบบคนปากไม่มีหูรูดแบบนี้อีกล่ะก็ เฮียจะไม่ให้ตัวเล็กตามไปด้วย” สมภพบอกหน้าตาย สมฤดีอ้าปากค้าง มองพี่ชายตาปริบๆ ก่อนค้อนใส่ให้วงเบ้อเริ่ม แล้วพูดขึ้น

“เฮียรู้อะไรไหม”

“ไม่รู้”

“ตัวเล็กยังไม่ทันได้พูดเลย เฮียอย่าเพิ่งขัดคอได้ไหม” สมฤดีหน้างอ ทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจ

“ขัดคอที่ไหนกันล่ะ ตัวเล็กอย่ามาหาเรื่องเฮียดีกว่า แล้วใครบอกว่าตัวเล็กยังไม่ทันได้พูด ตั้งแต่ตัวเล็กขึ้นมานั่งบนรถ เฮียก็เห็นตัวเล็กพูดเจื้อยแจ้วไม่ยอมหยุด แล้วจะมาบอกว่าตัวเล็กยังไม่พูดอะไรได้ยังไง”

“เฮียภพ! ถ้าเฮียยังพูดจากวนประสาทแบบนี้อีกนะ ตัวเล็กจะกลับเข้าไปในบ้าน แล้วจะขึ้นไปบอกป๊ากับแม่ว่า เฮียไปติดพันสาวที่ไหนก็ไม่รู้ ดูสิว่า ป๊ากับแม่จะว่ายังไง” สมฤดีขู่ฟ่อ

“โอ๊ย! กลัวจังเลยคร้าบ ถ้าตัวเล็กแน่จริงก็ขึ้นไปตอนนี้เลยไป เฮียจะได้รีบไปโรงพยาบาล รู้ไหมว่าเฮียเสียเวลากับตัวเล็กมามากแล้ว” สมภพท้า มองน้องสาวอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า

สมฤดีทำตาโต รีบดึงแขนสมภพเข้ามากอดอย่างประจบ พูดอ้อนเสียงหวาน

“แหม! ใครจะไปทำแบบนั้นล่ะคะ ก็ตัวเล็กสัญญากับเฮียแล้วว่า จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ในเมื่อมันเป็นความลับ ก็แสดงว่าห้ามบอกใคร จริงไหมคะ เฮียภพให้ตัวเล็กไปที่โรงพยาบาลด้วยคนนะ”

สมภพทำทีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าให้

“ก็ได้ แล้วตกลงเมื่อกี้ ตัวเล็กจะพูดอะไร”

“อ๋อ! เมื่อกี้น่ะเหรอ ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่ตัวเล็กจะบอกว่า หากเฮียยังปากจัด ชอบเหน็บไม่เลือกหน้าแบบนี้ ระวังจะหาเมียไม่ได้ เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ชอบผู้ชายปากจัด และผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ว่านั่นก็รวมถึงพี่นลินด้วยแน่นอน ถ้าเฮียสนใจพี่นลิน อยากได้เขามาอิงแอบแนบชิดหัวใจ เฮียก็ต้องเพลาๆ ปากเฮียลงบ้าง ไม่อย่างนั้นเฮียก็เตรียมตัวกินแห้วคลุกบ๊วยแกล้มน้ำใบบัวบกได้เลย”

สมภพหัวเราะเสียงดังลั่นกับคำพูดของน้องสาว ใช้มือขยี้ผมของคนช่างพูดเบาๆ แล้วพูดขึ้น

“เพิ่งรู้นะนี่ ว่าตัวเล็กเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก เอาเป็นว่า เฮียจะจำเอาไว้ก็แล้วกัน แต่จะทำได้หรือเปล่านั้น มันก็เป็นอีกเรื่อง ไปกันเถอะ ป่านนี้คุณนลินคงจะรู้สึกตัวแล้ว อ้อ! เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ตัวเล็กก็อย่าพูดให้มันมากนัก เฮียกลัวคุณนลินจะมึนหัวกับเสียงแจ้วๆ เหมือนนกกระจอกแตกรังของตัวเล็ก จนสลบไปอีกรอบ มันจะยุ่งไปกันใหญ่ เข้าใจไหม”

สมฤดีพยักหน้ารับคำ แต่ก็ไม่วายค้อนใส่สมภพไปหนึ่งวงใหญ่ ขนาดเพิ่งพูดอยู่เมื่อกี้ว่าให้เพลาๆ เรื่องปากจัดลงบ้าง พูดไม่ทันขาดคำ เฮียก็แว้งกัดเราอีกแล้ว มีอย่างที่ไหน คนเขาเสียงออกจะไพเราะเพราะพริ้ง ดันมาหาว่าเราเสียงแจ้วๆ เป็นนกกระจอกแตกรังไปได้ เฮียภพนะเฮียภพ เรื่องปากจัดล่ะก็ ไม่มีใครเกิน!

ครึ่งชั่วโมงต่อมา สมภพกับสมฤดีก็มาถึงโรงพยาบาล ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว วันนี้มีคนเดินทางมาเข้ารับการรักษาไม่มากนัก ผู้คนจึงไม่ค่อยพลุกพล่าน ผิดกับคืนก่อนที่สมภพพานลินมาส่งที่นี่ จำได้ว่า ทั้งๆ ที่เป็นตอนค่ำ แต่ก็ยังมีคนไข้นั่งเข้าคิวรอรับการรักษากันหนาตาพอสมควร

เมื่อพนักงานตลอดจนหมอและพยาบาลเห็นทั้งคู่มาปรากฏตัวที่นี่พร้อมกัน ก็เดาได้ทันทีว่าคงมาเยี่ยมหญิงสาวที่นอนพักฟื้นอยู่ในห้องพักพิเศษสำหรับผู้ป่วยวีไอพี ซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของอาคารหลังนี้

“สวัสดีค่ะ คุณสมภพ คุณสมฤดี มาเยี่ยมคนป่วยหรือคะ” พนักงานต้อนรับเอ่ยคำทักทายด้วยรอยยิ้มพร้อมกับยกมือไหว้ สมภพกับสมฤดีรีบยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน จริงอยู่ว่าทั้งคู่เป็นหลานของผู้อำนวยการ แต่ก็ไม่ชินกับการที่พนักงานของที่นี่พากันยกมือไหว้พวกตน ถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ ทั้งคู่จะไม่เข้ามาที่นี่เป็นอันขาด

“ครับ พวกเรามาเยี่ยมเพื่อนครับ”

“เพื่อนคนที่คุณสมภพอุ้มมาเมื่อคืนใช่ไหมคะ” พนักงานต้อนรับยิ้มหวาน มองสมภพตาเป็นประกาย แต่เขาไม่ทันสังเกต ผิดกับสมฤดีที่ยืนอมยิ้มอย่างนึกขำ โอ้โฮ! เฮียภพนี่เสน่ห์แรงจริงๆ ดูสิ มองตาเยิ้มเชียวนะนั่น

“ครับ”

“เมื่อกี้ คุณหมอณรงค์เพิ่งกลับมาจากไปตรวจอาการของเธอค่ะ เห็นว่ายังนอนหลับอยู่ค่ะ”

“เหรอครับ ขอบคุณมาก ถ้างั้นผมกับน้องขอตัวก่อนครับ” สมภพยิ้มให้ แล้วหันมาดึงมือสมฤดีให้เดินตามมา พนักงานต้อนรับมองตามไปอย่างเสียดาย เฮ้อ! อุตส่าห์ส่งสายตาให้ตั้งหลายปี สุดท้ายก็กินแห้วจนได้

เรื่องที่สมภพพานลินมาที่นี่เมื่อคืนนี้ ทำให้สาวน้อย สาวใหญ่ของที่นี่อกหักกันระนาว เพราะคิดว่านลินคือคนรักของสมภพ เหตุที่คิดแบบนั้น เป็นเพราะสมภพเป็นห่วงนลินมากจนผิดสังเกต ขนาดย้ายนลินออกจากห้องฉุกเฉินไปพักฟื้นในห้องผู้ป่วยวีไอพีแล้ว เขาก็ยังตามขึ้นไปดูอาการของนลินเกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนจะขับรถออกจากโรงพยาบาลไป เมื่อเช้าก็แวะมาตั้งแต่ยังไม่แปดโมง ตอนเย็นก็มาอีกและยังพาสมฤดีมาด้วย แสดงว่านลินต้องเป็นคนรักของสมภพแน่นอน เพราะไม่อย่างนั้น สมภพคงไม่พาน้องสาวมาแนะนำให้รู้จักหรอก

“ท่าทางของพี่สาวคนเมื่อกี้ ดูเหมือนจะชอบเฮียนะคะ” สมฤดีพูดขึ้นมา หลังเดินห่างจากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์มาไกลโข

“พูดเป็นเล่นน่าตัวเล็ก พี่คนเมื่อกี้แก่กว่าเฮียหลายปีเชียวนะ เขาคงไม่มาคิดอะไรกับเฮียแบบนั้นหรอก”

“ใครว่าไม่คิด เฮียไม่เห็นสายตาที่เขามองเฮียเหรอ หวานเยิ้มหยดย้อยเชียวนะคะ ตัวเล็กเห็นแล้วยังอดขนลุกไม่ได้ กลัวว่ามดมันจะพากันแห่มาตอมดวงตาของพี่เขา เดี๋ยวเกิดตาบอดขึ้นมามันจะลำบาก”

“พูดมากอีกแล้วนะตัวเล็ก ไหนบอกว่าจะพูดให้มันน้อยๆ หน่อยไง ยังไม่ทันไร ตัวเล็กก็นินทาคนอื่นซะแล้ว นิสัยแย่จริงๆ” สมภพเอ็ดเสียงดุ มองสมฤดีอย่างตำหนิ แต่แทนที่อีกฝ่ายจะกลัว กลับหัวเราะคิกคักชอบใจ

“ตัวเล็กก็ไม่ได้อยากจะนินทาเขาสักหน่อย แค่อยากพูดให้ฟังว่า สายตาที่เขาใช้มองเฮียน่ะ เหมือนกับกำลังมองขนมหวาน หรือของกินอะไรสักอย่าง ตัวเล็กคิดว่าถ้าเขาหม่ำเฮียได้ ป่านนี้เขาคงหม่ำไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้เฮียมาเดินยั่วน้ำลาย โฉบไปโฉบมาอยู่แบบนี้หรอกค่ะ”

“ตัวเล็ก! จะพูดจะจาอะไรก็ระวังคำพูดหน่อยนะ เฮียไม่ชอบให้ตัวเล็กพูดถึงคนอื่นในทางที่ไม่ดีแบบนี้”

“ตัวเล็กไม่ได้พูดจาไม่ดีสักหน่อย แค่พูดตามสายตาที่เห็น” สมฤดียักไหล่อย่างไม่สนใจ ก็เธอพูดความจริงนี่นา พี่สาวคนเมื่อกี้มองเฮียภพของเธอแบบนั้นจริงๆ เห็นแล้วก็เลยหมั่นไส้ขึ้นมา ที่จริงสมฤดีหวงพี่ชายไม่ใช่ย่อย เพียงแต่ไม่ค่อยแสดงออกมากนัก เพราะสาวๆ ส่วนใหญ่ที่เข้ามาเกาะแกะพี่ชายของเธอ ยังพอมีมารยาทอยู่บ้าง ไม่ได้พูดจาแทะโลมพี่ชายของเธอมากเกินไป เธอจึงให้อภัยและทำเป็นมองไม่เห็น

แต่..ถ้าผู้หญิงคนไหนมาแบบแนวยั่วยวน เหมือนนางแมวยั่วสวาทแล้วล่ะก็ นั่นแหละ ถึงจะได้เจอฤทธิ์เดชของสมฤดีเข้าไปเต็มๆ ซึ่งต้องบอกว่า ร้ายกาจและแสบสันจนคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

สมภพมองท่าทางของสมฤดีแล้วส่ายหัวเบาๆ อย่างระอา แต่ขี้คร้านจะต่อปากต่อคำด้วยในตอนนี้ เอาไว้กลับไปถึงบ้านก่อนเถอะ จะจับยายตัวเล็กมาเข้าห้องเย็น และอบรมบ่มนิสัยกันใหม่ ขืนปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยายตัวเล็กจะนิสัยเสียมากกว่าเดิมจนกู่ไม่กลับ

ทั้งคู่เดินมาถึงหน้าลิฟท์ ขณะที่สมภพกำลังกดหมายเลขชั้นที่ต้องการ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

“เอ๊ะ ใครโทรมาป่านนี้” สมภพหยิบโทรศัพท์ออกมาดู เมื่อเห็นหมายเลขที่โทรเข้ามา สมภพก็ย่นคิ้วเล็กน้อย กดรับสายแล้วกรอกเสียงพูดลงไป

“ครับ คุณชลิต”

“แกเข้าไปทำห้องน้ำให้คุณนลินหรือยัง”

“เข้าไปเมื่อวานตอนเย็นแล้วครับ แต่เพิ่งก่ออิฐผนังไปได้แค่ครึ่งหนึ่ง แต่วันนี้คงไม่ได้เข้าไปครับ”

“ทำไมไม่เข้าไปทำให้มันเรียบร้อยล่ะ แกจะหาเรื่องอู้หรือไง”

“เปล่าครับ พอดีผมมาเยี่ยมคุณนลินที่โรงพยาบาลครับ กว่าจะกลับออกไปจากที่นี่ก็คงค่ำพอดี ถ้าเข้าไปทำก็คงไม่ได้เนื้องานอะไรมากนัก จึงคิดว่าไว้เข้าไปพรุ่งนี้น่าจะดีกว่าครับ”

“หือ..คุณนลินไม่สบายเหรอ เป็นอะไรล่ะ”

“เมื่อคืนตอนที่คุณนลินเข้าไปดูผมทำงานในห้อง จู่ๆ เธอก็เป็นลมหมดสติไปครับ ผมจึงพามาส่งโรงพยาบาล เห็นหมอบอกว่าคุณนลินเกิดภาวะช็อกเฉียบพลันครับ”

“ช็อกเฉียบพลันเหรอ? ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นขึ้นมาได้ แล้วตอนนี้คุณนลินอยู่ที่โรงพยาบาลไหน”

“คุณชลิตจะมาเยี่ยมคุณนลินหรือครับ” สมภพถามอย่างแปลกใจ จึงโดนชลิตต่อว่ากลับมาชุดใหญ่ สุดท้ายสมภพก็เลยต้องบอกให้ชลิตรู้ว่านลินพักอยู่ที่ไหน

“เดี๋ยวแกรอฉันอยู่ที่นั่นนะ ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ฉันคงเดินทางไปถึง” ชลิตบอกแล้วตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง จากนั้นเดินไปหยิบกุญแจรถที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานออกมา ขณะที่กำลังเดินลงบันไดมา เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ชลิตหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กรอกเสียงพูดลงไป

“ว่าไง”

“..........”

“มี ฉันให้ช่างเข้าไปซ่อมให้แล้ว แต่กว่าจะเสร็จก็คงอีกหลายวัน ถามทำไม”

“..........”

“เปล่า ฉันให้ซ่อมเฉพาะผนังห้องน้ำเท่านั้น”

“.........”

“อย่างนั้นเหรอ ขอบใจที่โทรมาบอก ฉันจะได้สั่งช่างเอาไว้ว่าไม่ให้ไปแตะต้องที่นั่น”

“...........”

“สมภพเป็นคนเข้าไปซ่อม แกมีปัญหาอะไรหรือไง”

“……...”

“ใช่ ฉันก็คิดเหมือนแกว่ามันฉลาด และเดาใจยาก แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะกำชับมันเองว่า ไม่ให้ไปยุ่งหรือแตะต้องอะไรในห้อง ยกเว้นผนังห้องน้ำเท่านั้น”

“...............”

“มันไม่กล้าขัดคำสั่งฉันหรอก แกวางใจได้”

“..............”

“เออ ถ้ามีอะไรคืบหน้า ฉันจะติดต่อไปหาเอง แค่นี้ก่อนนะ พอดีฉันมีเรื่องต้องไปตรวจสอบนิดหน่อย”

“................”

“ก็ไม่เชิง แต่คิดว่าน่าจะได้ข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจ”

“................”

“ไม่ใช่หรอก เอาไว้ให้ฉันกลับมาจากการตรวจสอบข้อมูลแล้ว ฉันจะโทรหาแกอีกครั้ง”

“.................”

ชลิตเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า หรี่ตาครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเปิดประตูบ้านเดินออกไปขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน จากนั้นขับรถเคลื่อนออกไป โดยมีจุดหมายอยู่ที่โรงพยาบาลที่นลินพักรักษาตัวอยู่

*******************************************************************************

คำว่า “โลกกลม” ยังคงเป็นคำยอดนิยมที่ใครต่อใครหลายคนมักพูดติดปาก สมภพเองก็ได้ยินคำนี้มานานเหมือนกัน แต่เพิ่งจะมาเข้าใจรู้แจ้งแจ่มชัด ก็ตอนที่พาสมฤดีมาเยี่ยมนลินที่โรงพยาบาลนี่เอง

หลังจากวางสายจากชลิต สมภพก็พาสมฤดีขึ้นลิฟท์มาชั้นบนสุดของอาคาร ซึ่งเป็นชั้นสำหรับรับรองผู้ป่วยวีไอพี เมื่อสมภพเคาะประตูห้องผู้ป่วยแล้วเปิดเข้าไป โดยมีสมฤดีเดินตามหลังมาต้อยๆ ทันทีที่ส้มกับหญิงเห็นสมฤดี ทั้งสองคนก็ร้องเฮ้ย! พร้อมกัน ไม่ต่างกับสมฤดีที่ยกมือชี้หน้าส้มกับหญิง แล้วพูดเสียงดัง

“ทำไมพวกแกสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ไหนบอกว่าต้องไปเฝ้าไข้พี่สาวที่โรงพยาบาลไง!” สมฤดีลดมือลงเมื่อนึกได้ว่า ที่ตัวเองยืนอยู่ในตอนนี้ก็คือโรงพยาบาลเหมือนกัน หรือว่า..พี่สาวที่ส้มกับหญิงพูดถึงก็คือพี่นลิน

“แล้วที่นี่มันไม่ใช่โรงพยาบาลหรือไงฮะ ยายเล็ก” หญิงต่อว่าพลางเดินเข้ามาตีแขนสมฤดีไปหนึ่งเพี๊ยะ

“โอ๊ย! เจ็บนะหญิง แกเล่นตีแขนฉันแบบนี้ เกิดแขนฉันมีรอยช้ำขึ้นมา แกจะว่ายังไง” สมฤดีแกล้งโวยเสียงดัง ใช้มือลูบแขนข้างที่โดนตีเบาๆ ส้มที่ยืนมองอยู่หัวเราะออกมาเบาๆ พูดน้ำเสียงร่าเริง

“โดนตีแค่นี้ทำมาบ่น ปกติแกอึด ถึกและบึกบึนมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอไง ยายเล็ก”

“ขอโทษทียายส้ม ถ้าแกไม่พูดขึ้นมา ก็ไม่มีใครเขาว่าแกเป็นใบ้หรอกนะ” สมฤดีค้อนใส่ให้วงใหญ่

หญิงกับส้มหัวเราะร่วนชอบใจ ก่อนชะงัก เมื่อหันมาเห็นสมภพ

“อ้าว พี่สมภพ มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”

“มาถึงเมื่อเห็นครับ” สมภพตอบเสียงเรียบ ดูเอาเถอะ ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนเปิดประตูเข้ามาในห้องเป็นคนแรกแท้ๆ แทนที่ส้มกับหญิงจะทักเขาก่อน กลับมองไม่เห็นซะนี่ คิดแล้วสมภพก็ยิ้มบางๆ ฟังจากคำพูดโต้ตอบของสามสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาคิดว่าเด็กสามคนนี้น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่เพื่อความแน่ใจ เขาจึงถามขึ้นมา

“ตัวเล็ก รู้จักส้มกับหญิงมานานแล้วเหรอ”

“โอ๊ย! พวกเรารู้จักกันตั้งแต่วันแรกที่เดินเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยแล้วล่ะค่ะ เฮียภพ สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของตัวเล็กเองค่ะ นี่เมื่อเช้าส้มก็โทรหาตัวเล็ก บอกว่าพี่สาวไม่สบายนอนซมอยู่ที่โรงพยาบาล ให้ตัวเล็กช่วยบอกอาจารย์ให้ด้วย แต่ตัวเล็กไม่คิดว่าพี่สาวที่ส้มพูดถึง จะเป็นพี่นลินไปซะได้ แหม! โลกมันกลมจริงๆ”

สรรพนามที่สมฤดีใช้เรียกสมภพ ทำให้ส้มกับหญิงอ้าปากค้าง เฮียภพงั้นเหรอ! อย่าบอกนะว่า พี่สมภพก็คือเฮียภพ พี่ชายคนรองที่ยายเล็กพูดถึงให้ฟังอยู่เป็นประจำ โอ้! อะไรมันจะบังเอิญได้ขนาดนี้ล่ะนี่

เหตุที่ส้มกับหญิงตกใจ เพราะไม่คิดว่าพี่สมภพจะเป็นคนๆ เดียวกันกับเฮียภพ พี่ชายเพื่อนสนิทของพวกตน เท่าที่ส้มกับหญิงรู้มา ครอบครัวของสมฤดีจัดได้ว่ามีฐานะดี เข้าขั้นดีมากเลยทีเดียว เพราะมีธุรกิจในเครือหลายแห่งด้วยกัน แต่ที่เด่นสุดคือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

สมฤดีมีพี่น้องสามคน โดยตัวเองเป็นลูกสาวคนสุดท้อง ส่วนพี่อีกสองคนเป็นผู้ชาย พี่ชายคนโตคือเฮียเอกหรือเอกวิทย์ เรียนจบสถาปัตยกรรม และเข้ามาทำงานเป็นสถาปนิกใหญ่ประจำบริษัทที่อยู่ในเครือของครอบครัว ส่วนเฮียภพ พี่ชายคนรอง จบวิศวกรรมโยธามาด้วยคะแนนสูงลิ่ว จนได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

แต่เฮียภพ เป็นคนที่มีนิสัยแปลกไม่เหมือนคนอื่น หลังจากเรียนจบแล้ว แทนที่จะเข้ามาทำงานเป็นวิศวกรคุมงานก่อสร้างให้บริษัทในเครือของครอบครัว ก็ไม่ยอมมาทำ กลับไปสมัครเป็นลูกมือช่างก่อสร้าง เรียนรู้งานช่างสารพัด จนกระทั่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าช่างที่มีฝีมือดี รับซ่อมแซมงานตามบ้านหรือหอพักทั่วไป

ส้มกับหญิงเคยเจอเฮียเอก พี่ชายคนโตของสมฤดี ที่มหาวิทยาลัยสองสามครั้ง จำได้ว่าสาวๆ ในกลุ่มกรี๊ดกันใหญ่ เพราะเฮียเอกหน้าตาดีมาก แต่สมฤดีบอกเพื่อนๆ ว่า ถ้าได้เห็นเฮียภพ พี่ชายคนรอง ทุกคนจะต้องกรี๊ดหนักยิ่งกว่านี้ แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่เคยมีใครได้เจอเฮียภพเลยสักครั้ง

สมฤดีมองเพื่อนทั้งสองคนที่ยืนอ้าปากค้างอย่างนึกขำ ท่าทางจะตกใจมากล่ะสิ ก็บอกแล้วว่า ถ้าได้เห็นเฮียภพล่ะก็ รับรองว่าร้อยทั้งร้อยต้องยืนตะลึง

“พวกแกสองคนจะยืนอ้าปากค้างอีกนานไหม”

ส้มกับหญิงหุบปากแทบไม่ทัน หันไปมองสมฤดีตาเขียว ไอ้บ้า! พูดซะเสียหายเชียวนะ

สมฤดีหัวเราะชอบใจเสียงดัง แล้วหันไปมองร่างบางที่หลับสนิทอยู่บนเตียงอย่างสนใจ

“นั่นพี่ลินเหรอ”

“ฮื่อ” หญิงตอบสั้นๆ สมฤดีเดินเข้าไปใกล้เตียงแล้วชะโงกหน้าก้มมองดูนลินใกล้ๆ ก่อนยิ้มออกมาอย่างพอใจ หน้าตาน่ารักเหมือนกับตุ๊กตาเลยแฮะ ขนาดนอนซมไม่สบายนะนี่ ก็ยังน่ามองถึงเพียงนี้ มิน่าล่ะ

ที่จริง สมฤดีเคยได้ยินเรื่องราวของนลินมาบ้างเหมือนกัน เพราะส้มกับหญิงพูดถึงนลินให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าสวย น่ารัก เรียบร้อยและนิสัยดี ทำให้สมฤดีสนใจเป็นพิเศษ จนอยากจะเจอตัวสักครั้ง แต่ไม่คิดว่าจะบังเอิญ ได้มาเจอกันในลักษณะแบบนี้ สงสัยเป็นพรหมลิขิตแหงๆ

สมฤดีมองใบหน้ายามหลับสนิทของนลินอยู่นานพอสมควร จนสมภพต้องกระแอมเตือนดังๆ

“ตัวเล็ก ถอยออกมาจากเตียงได้แล้ว ไปยืนจ้องหน้าพี่ลินเขาแบบนั้นได้ยังไง เสียมารยาทจริงๆ”

สมฤดียิ้มกริ่ม หันมามองพี่ชายด้วยสายตาล้อเลียน แล้วแกล้งพึมพำออกมาเบาๆ

“ขี้งกชะมัด! มองนิดมองหน่อยก็ไม่ได้ สงสัยคงจะหวงมากล่ะสิท่า”

“ตัวเล็ก!”

“อะไรล่ะเฮีย เรียกซะเสียงดัง ตัวเล็กก็แค่บ่นพึมพำไปตามประสาคนช่างพูด เฮียยังไม่ชินอีกหรือไง”

สมภพยกมือกอดอก หรี่ตาลงเล็กน้อย เป็นอาการที่คนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ว่า เจ้าตัวเริ่มไม่พอใจ ซึ่งสมฤดีก็รู้แกวเหมือนกัน รีบยิ้มหวานเอาใจทันที

“เฮียอย่าทำหน้าแบบนี้สิคะ ตัวเล็กก็แค่ล้อเฮียเล่นเท่านั้นเอง”

“กลับไปถึงบ้านเมื่อไหร่ เห็นทีเราคงต้องคุยกันยาวแล้วล่ะ ตัวเล็ก!” สมภพพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่งผลให้สมฤดียิ้มเจื่อน อุ้ย! ท่าทางเฮียภพจะเอาจริงแฮะ ซวยแล้วไหมล่ะ

ส้มกับหญิงที่ยืนมองท่าทางของสองพี่น้องอยู่ อดหัวเราะออกมาไม่ได้ แหม! อยากให้เพื่อนในกลุ่มมาเห็นภาพนี้จริงๆ ใครจะไปคิดว่าคนเฮี้ยว ซ่า แก่นแก้วไม่กลัวใครอย่างยายเล็ก จะหน้าจ๋อยกับเขาก็เป็นด้วย

สมฤดีหันมาถลึงตาใส่เพื่อนทั้งสองคนที่ยืนหัวเราะอยู่ไม่ไกลนัก แล้วพูดเป็นการเป็นงาน

“แล้วนี่ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ พี่นลินยังไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาสักครั้งบ้างเลยเหรอ”

“รู้สึกตัวตอนบ่ายสามแล้วครั้งหนึ่ง แต่พวกฉันให้พี่ลินนอนพักต่อ เมื่อกี้คุณหมอก็เพิ่งขึ้นมาดูอาการ แต่พอเห็นพี่ลินหลับสนิทก็เลยยังไม่ได้ตรวจ แค่บอกว่าถ้าพี่ลินรู้สึกตัวเมื่อไหร่ ค่อยกดกริ่งเรียก” ส้มบอกให้รู้

สมภพฟังคำสนทนาของทั้งคู่อย่างสนใจ ที่จริงเขาเองก็อยากจะเดินเข้าไปดูร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงใกล้ๆ เหมือนกัน แต่ติดตรงที่มีสายตาของสามสาวจ้องอยู่ สมภพจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก หยิบหนังสือพิมพ์ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่านเพื่อฆ่าเวลาแทน สมฤดีมองท่าทางของพี่ชายแล้วอมยิ้ม รีบหันมามองเพื่อนสนิททั้งสองคน

“พวกแกออกไปคุยกับฉันข้างนอกดีกว่า ฉันมีเรื่องสงสัยอยากจะถามนิดหน่อย”

“อ้าว แล้วใครจะเฝ้าพี่ลินล่ะ” หญิงท้วงขึ้นมา

“ก็ให้เฮียภพอยู่เฝ้าสิ เฮียภพดูแลคนป่วยเก่งจะตาย น่า ไม่ต้องพูดมาก เฮียภพของฉันไว้ใจได้” พูดจบ สมฤดีก็ดึงมือส้มกับหญิงให้เดินออกไปจากห้อง โดยยกหน้าที่ดูแลคนป่วยให้เฮียภพของตนจัดการแทน

สมฤดีพาส้มกับหญิงออกมานั่งคุยตรงระเบียงด้านนอก ซึ่งจัดเป็นมุมไว้สำหรับให้ญาติผู้ป่วยมานั่งเล่นรับลมชมวิว อากาศยามเย็นใกล้ค่ำแบบนี้ เย็นสบายกำลังดี มีลมพัดผ่านมาบ้างเป็นระยะ

“แกจะถามอะไรพวกฉันเหรอ เล็ก” หญิงเปิดประเด็นทันทีที่หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้หวายตัวใหญ่

“ฉันอยากรู้ว่า เฮียภพกับพี่นลินของพวกแกน่ะ สองคนนี้เขาเป็นแฟนกันหรือเปล่า”

“เปล่าหรอก พี่ลินกับเฮียภพของแก เพิ่งรู้จักกันเมื่อวานนี้เอง แต่พวกฉันก็ลุ้นอยู่เหมือนกัน อยากให้คู่นี้ได้เป็นแฟนกัน ฉันว่าพวกเขาเหมาะสมกันดี” ส้มตอบน้ำเสียงจริงจัง

“แกคิดแบบนี้จริงๆ เหรอ แล้วแกล่ะ คิดแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า” สมฤดีหันมามองหญิง

“ก็คิดเหมือนกัน นี่พวกเรากำลังวางแผนจะจับคู่ให้พี่ลินกับเฮียภพของแกอยู่พอดี”

“จับคู่?” สมฤดีทำตาโต

“ก็ใช่น่ะสิ เมื่อวานตอนเช้า ที่หอของพวกเรา เกิดเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย” หญิงบอก แล้วเล่าเรื่องที่พบศพของส้มโอที่ถูกฝังอยู่ในผนังห้องน้ำให้สมฤดีฟังอย่างละเอียด รวมถึงเล่าเรื่องที่พวกตนได้กลิ่นคาวเลือดและได้ยินเสียงคนถอนหายใจจากห้องพักของนลินให้ฟังอีกด้วย

สมฤดีฟังเรื่องราวจากหญิง โดยมีส้มช่วยเสริมเป็นระยะอย่างสนใจ เพิ่งรู้นะว่า หอพักที่ส้มกับหญิงอยู่จะมีผีดุแบบนี้ จากที่ฟังมา เป็นไปได้ไหมว่า ที่พี่นลินช็อกหมดสติในครั้งนี้ จะเกี่ยวข้องกับวิญญาณของพี่ส้มโอ

“ที่พวกแกสองคนเล่ามาน่ากลัวมากเลยนะ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่า เรื่องนี้มันมีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกันยังไง กับเรื่องที่พวกคิดจะจับคู่ให้เฮียภพกับพี่นลิน” สมฤดีพูดขึ้น หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจบแล้ว

“เกี่ยวสิ ทำไมจะไม่เกี่ยว” ส้มรีบพูด เล่าให้ฟังต่อว่า ตั้งแต่นลินย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ยังไม่เคยเจอพี่สมภพเลยสักครั้ง ทั้งที่ปกติแล้ว พี่สมภพจะเข้ามาซ่อมโน่นซ่อมนี่ให้เป็นประจำ จนกระทั่ง เกิดเรื่องเจอศพของพี่ส้มโอขึ้นมา ทั้งคู่จึงมีโอกาสได้เจอกัน เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หญิงก็เป็นฝ่ายเล่าต่อ

“เมื่อวานตอนเช้า พวกฉันเห็นพี่ลินยืนคุยกับเฮียภพที่ด้านล่างพอดี จึงยืนมองอยู่เงียบๆ แล้วคิดว่าคู่นี้น่ารักดี ทั้งรูปร่างหน้าตาหรือความสูง พอยืนเทียบกันแล้ว เหมาะสมกันมาก”

“อีกอย่างหนึ่งนะ ปกติเวลาเฮียภพมาซ่อมของที่นี่ เฮียภพจะก้มหน้าก้มตาทำแต่งาน พอทำงานเสร็จก็รีบกลับ ไม่มีมาคุยกับสาวๆ ในหอสักคน แต่เมื่อวาน เฮียภพยืนคุยกับพี่ลินได้ตั้งนานสองนาน แถมยังยิ้มให้อีกด้วย เล็กเชื่อไหมว่า เฮียภพของแกยิ้มสวยมาก ขนาดฉันกับส้มยืนดูอยู่ไกลๆ ยังมองตาค้าง เพราะไม่เคยเห็นเฮียภพยิ้มแบบนี้มาก่อน เพิ่งเห็นยิ้มให้พี่ลินเป็นคนแรก”

“ใช่ พอเห็นอย่างนั้นปุ๊บ พวกเราก็คิดเหมือนกันปั๊บว่า ไม่ได้การ ต้องจับคู่ให้สองคนนี้เป็นแฟนกันให้ได้” ส้มรีบบอก ทำให้สมฤดีหัวเราะชอบใจเสียงดัง พูดอย่างอารมณ์ดี

“ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะ ถ้าพวกแกคิดจะจับคู่ให้เฮียภพกับพี่ลิน แต่ปัญหาก็คือ พี่ลินมีแฟนหรือยัง”

“พี่ลินยังไม่มีแฟน เรื่องนี้พวกเราสอบถามมาเรียบร้อยแล้ว”

“เหรอ แล้วครอบครัวพี่ลินล่ะ อยู่ที่ไหน พวกแกรู้หรือเปล่า”

“เท่าที่รู้มา พ่อแม่พี่ลินเป็นเจ้าของสวนยางอยู่ทางใต้ พี่ลินมีพี่น้องสองคน พี่ลินเป็นคนเล็ก ส่วนคนโตเป็นผู้ชาย ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าพี่ชายของพี่ลินจะเป็นปลัดอำเภอ หรือนายอำเภออะไรสักอย่างนี่แหละ”

“งั้นเหรอ แสดงว่าพี่ชายของพี่ลินก็อายุมากแล้วสิ”

“ไม่รู้เหมือนกัน คิดว่าน่าจะสักสามสิบกว่าๆ ประมาณ 34-35 ได้มั้ง”

“โห! แก่กว่าเฮียเอกกับเฮียภพอีกนะ เฮียเอกปีนี้เพิ่งจะ 32 ส่วนเฮียภพเพิ่งจะ 28 เอง”

“แกนี่ล่ะก็ คนอายุ 34-35 สมัยนี้ ส่วนใหญ่ยังดูไม่แก่กันทั้งนั้น บางคนหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว ชนิดที่หนุ่มๆ บางคนยังอายเลยนะ”

“แต่สำหรับฉัน ถ้าอายุขนาดนี้ก็ถือว่าแก่อยู่ดี สมมุติว่าปีนี้พี่ชายของพี่ลินอายุ 34 ปี หากนำมาบวกลบกับอายุของฉันในตอนนี้คือ 19 ปี ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ 16 ปี โอ้โห! ตั้ง 16 ปีเชียวนะพวกแก! แบบนี้พี่ชายของพี่ลินก็เป็นป๊าคนที่สองของฉันได้เลยนะนี่” สมฤดีทำตาโตก่อนหัวเราะเสียงดังลั่น

ส้มกับหญิงส่ายหัวเบาๆ เออ หัวเราะเข้าไปเถอะยายเล็ก เกิดวันไหนแกได้สามีแก่คราวพ่อขึ้นมา พวกฉันจะดูสิว่า แกจะยังหัวเราะออกอีกไหม

“ทำไมพวกแกทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

“เปล่า แค่ตกใจเสียงหัวเราะของแกนิดหน่อย ผู้หญิงอะไรกันนี่ หัวเราะเสียงดังอย่างกับฟ้าผ่า” หญิงแกล้งว่า จึงถูกสมฤดีซัดเข้าให้เข้าที่แขนหนึ่งเพี๊ยะ

“บ้า! เสียงหัวเราะของฉันออกจะน่าฟัง แกนี่หูไม่ถึงจริงๆ เออ แล้วพี่ชายของพี่ลินมีครอบครัวหรือยัง”

“เห็นพี่ลินว่ามีสาวๆ มาติดพันพี่ชายของแกพอสมควร แต่พี่ชายพี่ลินไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษ”

“อื้อฮึ! แสดงว่าคงเป็นคนช่างเลือก หรือไม่ก็เป็นคนเรื่องมาก จุกจิก จู้จี้และขี้บ่นแหงเลย อ้อ แถมดุเหมือนเสือให้อีกข้อหนึ่งด้วยเลยเอ้า ไม่อย่างนั้น ป่านนี้ก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วสิ”

สิ่งที่สมฤดีพูดมาแต่ละอย่างเกี่ยวกับพี่ชายของนลินนั้น ทำเอาส้มกับหญิงสะดุ้ง ดูมันพูดเข้า ยังไม่ทันได้เจอตัวเขาสักหน่อย ก็ไปวิพากษ์วิจารณ์เขาเสียๆ หายๆ ซะแล้ว

“แกนี่ปากเสียจริงๆ บางทีเขาอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่แกพูดก็ได้ แต่เรื่องดุนี่คงจะใช่ เพราะพี่ลินบอกว่า พี่ชายค่อนข้างดุและหวงน้องสาวมาก”

“เห็นไหม ฉันพูดผิดซะที่ไหนกัน” สมฤดียิ้มกว้าง พยักหน้าพอใจกับข้อมูลที่ได้รับรู้ แหงล่ะ! ลองพี่ลินเป็นลูกสาวคนเดียว แถมยังเป็นคนเล็กอีกด้วยแบบนี้ พ่อแม่และพี่ชายก็ย่อมหวงมากเป็นธรรมดา แต่ไม่เป็นไร ตัวเล็กซะอย่าง เรื่องแค่นี้สบายมาก

โบราณกล่าวเอาไว้ว่า ถ้าอยากได้ลูกเสือ เราก็ต้องเดินเข้าถ้ำเสือ อยากรู้เหมือนกันว่า เสือที่ว่าร้ายนั่นจะสักแค่ไหนกันเชียว ให้มันรู้ไปสิว่า ตัวเล็กจะช่วยเฮียภพให้สมหวังไม่ได้ สมฤดีคิดอย่างหมายมาดอยู่ในใจ

“ขอบใจมากนะ ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับฉัน ฉันเองก็อยากได้พี่ลินมาเป็นอาซ้อเหมือนกัน และคิดว่าเฮียภพน่าจะมีใจให้พี่ลินมากพอสมควร ไม่อย่างนั้นเฮียภพคงไม่ทำอะไรให้พี่ลินตั้งหลายอย่างแบบนี้หรอก”

“หือ..แกหมายความว่ายังไง”

สมฤดีจึงเล่าให้ทั้งคู่ฟัง ถึงเรื่องที่สมภพได้โทรคุยกับอาก้องศักดิ์ ซึ่งเป็นอาแท้ๆ ของตนกับสมภพ และมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแห่งนี้ เกี่ยวกับเรื่องห้องพักและค่าใช้จ่ายต่างๆ ของนลิน ทำให้ส้มกับหญิงตาโตด้วยนึกไม่ถึง มิน่าล่ะ ถึงว่าทำไมเมื่อวานตอนที่พี่สมภพอุ้มพี่นลินลงจากรถ จึงได้รับความสนใจจากพนักงานและพวกหมอพยาบาลที่เข้าเวรกันมาก ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง

“อ้อ เกือบลืมไป ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องพวกแกสักสองข้อ” สมฤดีพูดน้ำเสียงจริงจัง มองหน้าเพื่อนสนิททั้งสองคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ส้มกับหญิงทำหน้าแปลกใจ ขยับตัวเข้ามาถามใกล้ๆ

“แกจะขอร้องพวกเราเรื่องอะไรเหรอ”

“มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก ข้อแรก ขอให้พวกแกช่วยกันผู้ชายทุกคน ที่คิดจะเข้าใกล้พี่ลินให้หน่อย ฉันไม่อยากให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับว่าที่อาซ้อของฉัน ยกเว้นเฮียภพเท่านั้น”

“ได้สิ ไม่มีปัญหา ถึงแกไม่บอก พวกเราก็คิดจะทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน”

“ดีมาก ข้อสอง เรื่องที่เฮียภพจบวิศวกรมาน่ะ ขอให้พวกแกปิดเป็นความลับ อย่าบอกให้คนในหอรู้เด็ดขาด แม้กระทั่งพี่ลินก็ห้ามบอก”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

“ฉันอยากให้เฮียภพเป็นคนบอกด้วยปากของเจ้าตัวเอง ฉันรู้จักนิสัยเฮียภพดี ขืนพวกแกปากโป้งไปเล่าให้คนอื่นฟัง ฉันว่าเฮียภพโกรธพวกแกไปจนตายแน่”

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา แต่ว่าป้าสมร แม่บ้านที่หอพัก แกมีหลานชายคนหนึ่ง เป็นเพื่อนกับเฮียภพ แกคิดว่าเขาจะไม่รู้เชียวเหรอว่า เฮียภพจบวิศวกรมา”

“อืม..เรื่องนั้น” สมฤดีนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คิดว่าเขาไม่น่าจะรู้เรื่องนี้นะ เพราะเฮียภพไม่ใช่คนที่จะชอบมานั่งเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครต่อใครฟังหรอก อีกอย่าง ถ้าเขารู้จริงๆ ป้าสมรอะไรนั่นก็ต้องเล่าให้พวกสาวๆ ที่อยู่ในหอฟังอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง แต่นี่ป้าสมรไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลยใช่ไหม ก็แสดงว่ายังไม่รู้ แต่เพื่อความสบายใจของพวกแก ไว้ฉันจะลองถามเฮียภพดูอีกครั้ง”

เหมือนที่สมภพกล่าวเอาไว้ไม่มีผิดว่า ถ้าเป็นเรื่องอื่นที่นอกเหนือไปจากเรื่องเรียนแล้ว ยายตัวเล็กหรือสมฤดีจะฉลาดและหัวไวมากจนไม่น่าเชื่อ เพราะเรื่องที่สมภพจบวิศวกรมานั้น หลานชายของป้าสมร ซึ่งเป็นช่างปูนฝีมือดีและเป็นเพื่อนกับสมภพก็ไม่รู้เรื่องนี้ นั่นเป็นเพราะสมภพไม่ได้เล่าให้ฟัง นับว่าสมฤดีวิเคราะห์ได้ถูกต้อง

“แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน แต่ฉันก็ยังกังวลอยู่ดี” ส้มพูดเสียงอ่อย หญิงกับสมฤดีมองหน้าส้มพร้อมกัน

“คือเรื่องปิดหรือไม่ปิดนี่ฉันไม่กลัว แต่ฉันกลัวว่า หากพี่ลินมารู้เรื่องนี้ทีหลัง ฉันกับหญิงจะพากันซวยไปด้วย บอกตามตรงนะว่า ฉันไม่อยากให้พี่ลินโกรธ”

“จริงด้วย เขาว่าคนที่มีนิสัยเรียบร้อย เวลาโกรธขึ้นมามักจะน่ากลัวมาก ฉันชักปอดขึ้นมาซะแล้วสิ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ พวกแกก็ยืนกระต่ายขาเดียว พูดสั้นๆ คำเดียวว่า ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเฮียภพเคลียร์เอาเอง เชื่อฉันสิ เฮียภพจัดการเรื่องนี้ได้สบายมาก”

“เอางั้นเหรอ แกแน่ใจนะว่า งานนี้จะไม่มีรายการตายหมู่เกิดขึ้น” หญิงถามย้ำเพื่อขอความมั่นใจ

“แน่ใจสิ พวกแกทำตามที่ฉันบอกก็แล้วกัน ส่วนทางด้านเฮียภพ พวกแกไม่ต้องห่วง ฉันจะกันผู้หญิงคนอื่นไม่ให้เข้าใกล้เฮียภพให้เอง หึ ก็ลองมีใครกล้าเข้ามาดูสิ ได้เห็นฤทธิ์ฉันแน่!” สมฤดีพูดยิ้มๆ แต่ดวงตาวาววับ จนส้มกับหญิงอดหนาวไม่ได้ รู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดีว่า บทจะดีก็ดีใจหาย แต่ยามร้ายขึ้นมาก็นางเสือดีๆ นี่เอง

“พวกแกลงไปหาอะไรกินกับฉันข้างล่างดีกว่า” สมฤดีชวนก่อนลุกขึ้นยืน

“นี่แกยังไม่ได้กินข้าวเย็นมาเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ หิวจนจะกินช้างได้ทั้งโขลงอยู่แล้ว ที่จริงก็กะว่าจะหาอะไรกินรองท้องก่อน แล้วค่อยสอบถามเฮียภพเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทีหลัง แต่พอลงมาจากห้องแล้วเห็นเฮียภพกำลังจะขับรถออกไป ฉันก็สวมวิญญาณนักวิ่งลมกรด โกยเต็มฝีเท้าวิ่งไล่รถเฮียภพจนทัน เฮ้อ!” สมฤดีถอนหายใจดังเฮือก แล้วพูดต่อ

“คิดๆ แล้วก็ทุเรศตัวเองชะมัด นี่ละน้าที่เขาว่า ความอยากรู้อยากเห็นไม่เข้าใครออกใคร ถ้าไม่เป็นเพราะอยากรู้ว่า เฮียภพอุ้มผู้หญิงที่ไหนมาส่งโรงพยาบาลแล้วล่ะก็ ป่านนี้ฉันคงกินข้าวจนอิ่มแปล้ นอนตีพุงดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้านไปแล้ว” สมฤดีส่ายหัวพลางกลอกตาไปมา

ส้มกับหญิงหัวเราะเสียงดังลั่น มองสมฤดีอย่างนึกขำ เล็กมันดีตรงนี้แหละ คิดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ไม่มีกั๊ก จนดูเหมือนเป็นคนปากร้าย แต่จริงๆ แล้วเล็กเป็นคนใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่นไม่ต่างจากเฮียภพหรอก เพราะเหตุนี้เพื่อนๆ ในกลุ่มจึงได้รักสมฤดีกันนะ เข้าทำนองที่ว่า ถึงปากร้ายไปหน่อยแต่ก็รักว่างั้นเถอะ

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็ลงไปข้างล่างกันเถอะ เดี๋ยวเล็กมันจะเป็นลมตายขึ้นมาซะก่อน ไว้กินเสร็จแล้วค่อยขึ้นมาก็ได้ ส่วนทางนี้ก็ปล่อยให้เฮียภพจัดการดูแลกันเองก็แล้วกัน” หญิงพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

“ใช่ๆ เห็นด้วยอย่างยิ่ง พวกเราควรจะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้มีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังบ้าง เผื่ออะไรๆ มันจะได้ง่ายขึ้น” ส้มสนับสนุนเต็มที่

“ไม่ต้องห่วง เฮียภพของฉันฉลาดจะตาย เรื่องแค่นี้ เฮียภพรู้ดีว่าควรทำยังไง” พูดจบ สมฤดีก็เกี่ยวแขนส้มกับหญิงไว้คนละด้าน แล้วเดินออกไปจากที่นั่นทันที

**********************************************************



thongyod
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 เม.ย. 2554, 16:28:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 เม.ย. 2554, 18:41:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1988





<< ตอนที่ 5   ตอนที่ 7 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account