เสียงปริศนา
Tags: ลึกลับ,ฆาตกรรม,
ตอน: ตอนที่ 5
สมภพถือบันไดเหล็กเดินขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงชานพักบันไดชั้นสองก็ได้ยินเสียงเรียกดังมาจากด้านหลังจึงหันไปมอง นลินยิ้มให้พร้อมกับวิ่งขึ้นบันไดมา
“อ้าว คุณลิน ซื้อข้าวเสร็จแล้วหรือครับ” สมภพทักอย่างแปลกใจ เพราะเพิ่งแยกกับนลินยังไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ ในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ นลินไม่มีทางเดินไปซื้อข้าวที่หน้าปากซอยแล้วกลับมาได้เร็วแบบนี้หรอก
“เรียบร้อยแล้วค่ะ รอตั้งนานแน่ะกว่าจะได้ แล้วนี่คุณสมภพเอาบันไดเหล็กขึ้นมาทำไมคะ”
คำตอบที่ได้รับว่าแปลกแล้ว แต่คำถามที่ย้อนถามกลับมานี่สิ แปลกยิ่งกว่า สมภพมองนลินเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน ก็คนที่ทำให้เขาต้องวิ่งจากชั้นสี่ลงมาเอาบันไดเหล็กที่อยู่ข้างล่าง ก็คือเจ้าตัวไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงมาถามแบบนี้ล่ะ งงนะนี่
“เอ๊ะ ทำไมคุณสมภพทำหน้าแบบนั้น มีอะไรหรือเปล่าคะ” นลินสงสัย เมื่อเห็นสีหน้าของสมภพ
“ไม่มีอะไรครับ แค่แปลกใจว่า ทำไมคุณลินจึงถามผมแบบนี้”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ ก็ลินไม่รู้จริงๆ นี่คะว่า คุณสมภพเอาบันไดเหล็กขึ้นมาทำไม”
“คุณลินครับ อำกันเล่นแบบนี้ ไม่ดีนะครับ เมื่อกี้คุณลินเพิ่งจะย้อนกลับเข้าไปในห้อง ขอให้ผมช่วยขึ้นไปดูฝ้าเพดานให้หน่อย เพราะมีน้ำซึมออกมา ผมจึงต้องลงมาเอาบันไดเหล็กนี่ยังไงล่ะครับ อย่าบอกนะครับว่า คุณลินจำไม่ได้” น้ำเสียงของสมภพจริงจัง ไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย
นลินมีสีหน้าตกใจ อะไรนะ! หมายความว่า ช่วงที่เราลงไปซื้อข้าวที่หน้าปากซอย จู่ๆ ก็เกิดมีตัวเราอีกคนหนึ่งโผล่ขึ้นมา แล้วเข้าไปหาคุณสมภพที่อยู่ในห้อง เพื่อขอให้คุณสมภพขึ้นไปดูฝ้าเพดานให้งั้นเหรอ คิดมาถึงตรงนี้ นลินก็หน้าเห่อ ตัวชาไปทั้งร่าง ใจสั่นหวิวๆ เหมือนจะเป็นลม รู้เลยว่า ‘ใคร’ คือนลินอีกคนที่ว่านั่น
“ว่ายังไงครับคุณลิน”
“ลิน..เอ่อ..ลิน..ก็..ตามนั้นล่ะค่ะ” นลินยิ้มจืดเจื่อน ตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง ไม่กล้าบอกว่า คนที่เข้าไปหาสมภพในห้องไม่ใช่ตน เพราะกลัวสมภพไม่เชื่อ ดีไม่ดี อาจจะถูกสมภพหาว่าบ้าหรือประสาทหลอนอีกด้วย
“ตามนั้น? รบกวนคุณลิน ช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยครับว่า ตามนั้น ในความหมายของคุณลิน กับ ตามนั้น ในความหมายของผม เหมือนกันหรือเปล่า” สมภพเน้นเสียงหนักตรงคำว่า “ตามนั้น” ชัดเจน
“ก็..ตามนั้นนั่นแหละค่ะ ไม่มีคำอธิบาย” นลินตอบเสียงอ่อย หลุบตาลงต่ำก้มหน้ามองพื้น บอกไม่ถูกกเหมือนกันว่า ระหว่างส้มโอที่อยู่ในห้องของตนกับสมภพที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ใครน่ากลัวกว่ากัน
“ไม่มีคำอธิบาย ตอบง่ายนะครับ แต่ฟังแล้วเข้าใจยากชะมัด ถ้าอย่างนั้น ผมถามใหม่แล้วกัน”
“คะ” นลินเงยหน้ามองสมภพก่อนหลบตามองพื้นแทบไม่ทัน เมื่อเห็นประกายบางอย่างในแววตาคู่นั้น
“คุณลินกำลังปิดบังอะไรผมอยู่หรือเปล่าครับ”
นลินแทบหงายหลังกับคำถามที่ยิงตรงเป้าจนเกือบน็อกกลางอากาศ รีบปฏิเสธทันที
“มะ..มะ..ไม่มีค่ะ ไม่มีจริงๆ”
“แน่ใจนะครับว่าไม่มี หรือว่ามีแต่ไม่ยอมบอก”
น้ำเสียงของสมภพราบเรียบก็จริง แต่กลับสร้างความกดดันให้นลินอย่างน่าประหลาด ยังไม่นับสีหน้าเรียบเฉยนั่นอีก เห็นแล้วทำเอานลินใจแป้วไปเหมือนกัน เพราะปกตินลินเป็นคนโกหกไม่เก่ง เวลาพูดปดทีไรก็มักจะเผยพิรุธให้ถูกจับได้เสมอ ดังนั้น นลินจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบแทนการพูดปดเพื่อตัดปัญหา ซึ่งวิธีนี้ใช้ได้ผลมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ นลินไม่แน่ใจว่า จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตรงหน้าได้หรือเปล่า ก็สายตาของสมภพที่มองมานี่สิ เจ้าตัวจะรู้ไหมว่า แววตานิ่งสงบที่จ้องมาแบบนี้ ให้ความรู้สึกน่ากลัวกว่าการทำตาดุๆ ใส่ซะอีก
“คุณลินครับ”
“ไม่มีจริงๆ ค่ะ” นลินเงยหน้าขึ้นมองสบตาสมภพ แม้จะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องกับสายตาคู่นั้นอยู่บ้าง แต่นลินไม่มีทางเลือก เขาว่ากันว่า คนพูดโกหกมักจะไม่กล้าสบตาคนอื่น ถ้าอยากให้อีกฝ่ายเชื่อว่าตนไม่ได้พูดปด เวลาคุยก็ต้องสบตาด้วย แต่ว่า..นลินกลืนน้ำลายลงคอ ทำไมพอสบตาตรงๆ แบบนี้ ใจมันถึงได้สั่นไม่ยอมหยุดล่ะ
ไม่ใช่แค่ใจเท่านั้นที่สั่น แต่นลินไม่รู้เลยว่า ตอนนี้ปากของตัวเองก็สั่น มือที่จับถุงข้าวก็สั่นระริกเช่นกัน
ท่าทางของนลินทำให้สมภพต้องกลั้นยิ้มเอาไว้ ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าโกหก ยังจะมาปากแข็งอีก คนพูดความจริงที่ไหน จะมายืนสั่นเป็นเจ้าเข้าไปทั้งตัวแบบนี้ล่ะ เฮ้อ! สมภพส่ายหัวเบาๆ ช่างเถอะ ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร เขาเองก็ไม่ชอบบังคับใครเหมือนกัน ถ้าเจ้าตัวไม่อยากบอก ต่อให้เอาปืนมาจ่อหัวอยู่ใกล้ๆ ก็คงไม่ยอมบอกอยู่ดี
“ไม่มีก็ไม่มีครับ ถ้าอย่างนั้น คุณลินก็หยุดสั่นได้แล้วครับ เดี๋ยวใครผ่านมาเห็นเข้า จะเข้าใจผิดคิดว่าคุณลินกำลังเรียกเจ้ามาเข้าทรง มันจะยุ่งไปกันใหญ่” สมภพพูดปนหัวเราะ แล้วเดินขึ้นบันไดไป นลินถอนหายใจดังเฮือก รู้สึกโล่งอกที่สมภพไม่คาดคั้นต่อ แสดงว่าวิธีมองตาใช้ได้ผล แต่เอ๊ะ เมื่อกี้คุณสมภพพูดว่าอะไรนะ
นลินทวนคำพูดของสมภพอีกครั้งก่อนอ้าปากค้าง เมื่อแปลความนัยที่แฝงไว้ออก คนบ้า! ช่างหาคำพูดมาเหน็บได้ร้ายนักนะ ฮึ! ปากแบบนี้มันน่าจะปล่อยให้ถูกส้มโอหลอกซะให้เข็ด! นลินต่อว่าอยู่ในใจ ก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดไล่ตามสมภพไป แต่สมภพเดินเร็วมาก แค่ครู่เดียวเขาก็เดินมาถึงระเบียงทางเดินชั้นสี่ ในขณะที่นลินเพิ่งจะก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายมา อดบ่นไม่ได้ โอ๊ย คนอะไรเดินเร็วชะมัด จะรีบไปไหนของเขานี่
“คุณสมภพ รอด้วยค่ะ” นลินตะโกนเรียกเสียงดัง สมภพชะงักเท้าก่อนหันมามอง นลินวิ่งมาหยุดหายใจหอบอยู่ตรงหน้าสมภพ ใบหน้าเนียนใสแดงก่ำด้วยความร้อนและชื้นไปด้วยเหงื่อ จนต้องยกมือปาดเหงื่อลวกๆ
สมภพมองนลินที่ยืนหายใจหอบ แล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ถามน้ำเสียงนุ่มนวล
“คุณลินจะไปซ้อมวิ่งแข่งที่ไหนหรือครับ ดูสิ เหงื่อท่วมเชียว”
“ลินไม่ได้ไปซ้อมวิ่งแข่งที่ไหนหรอกค่ะ แค่วิ่งไล่ตามคนขายาวบางคนที่ใจดำ เดินจ้ำเอาๆ ก็เท่านั้นเอง” นลินเน้นคำว่า ‘ใจดำ’ ชัดถ้อยชัดคำ พร้อมกับค้อนใส่ให้อย่างหมั่นไส้
“อ้าว เหรอครับ ผมเห็นคุณลินวิ่งเสียงดังตึงๆ จนระเบียงทางเดินสั่นสะเทือนไปทั้งแถบแบบนี้ ก็นึกว่าคุณลินจะซ้อมวิ่งเพื่อไปแข่งวิ่งชิงแชมป์โลกซะอีก ขอโทษนะครับที่เข้าใจคุณลินผิดไปถนัด ว่าแต่เหนื่อยไหมครับ”
“ไม่เหนื่อยค่ะ” นลินตอบเสียงห้วน อยากจะเอาถุงข้าวฟาดปากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี่จริงๆ ตัวเองเป็นฝ่ายผิดแท้ๆ ที่เดินเร็วจนคนอื่นไล่ตามไม่ทัน แทนที่จะสำนึก ยังมีหน้ามาพูดจากวนประสาทอีกนะ
“ดีแล้วครับที่ไม่เหนื่อย ถึงคุณลินจะตัวเล็ก น้ำหนักตัวไม่เยอะ แต่ถ้าเป็นลมขึ้นมา ผมก็อุ้มลำบากเหมือนกันครับ” สมภพพูดน้ำเสียงจริงจัง แต่ดวงตาพราวระยับเป็นประกายขบขันอย่างปิดไม่มิด
นลินมองสมภพตาเขียว อ้าปากจะว่าสวนกลับไป แต่สมภพยกมือขึ้นขัดแล้วยิ้มให้
“คุณลินอย่าเพิ่งโมโหสิครับ ผมก็แค่ล้อคุณลินเล่นเท่านั้นเอง เอาเป็นว่า ผมขอโทษครับที่เดินเร็วไปหน่อยทำให้คุณลินเดินตามไม่ทัน จนต้องวิ่งไล่มาแบบนี้ ผมสัญญาครับว่า ต่อไปในภายหน้า ผมจะเดินให้ช้าลง คุณลินจะได้ตามทัน แล้วเราค่อยก้าวเดินไปด้วยกัน ดีไหมครับ”
“หือ?” นลินกะพริบตาสองสามครั้งอย่างงุนงง เป็นคำขอโทษที่ฟังแล้วแปลกชอบกลแฮะ แต่แปลกยังไงนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ช่างเถอะ จะสนใจทำไมว่ามันแปลกตรงไหน ในเมื่อเจ้าตัวเขาเอ่ยปากขอโทษแล้วนี่นา
“ไม่เป็นไรค่ะ เอาเป็นว่าลินยกโทษให้” นลินบอกพร้อมกับยิ้มให้ อารมณ์ขุ่นมัวหายเป็นปลิดทิ้ง
“ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ” สมภพคลี่ยิ้มบางๆ นลินแทบลืมหายใจเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและชวนมองที่สุด เท่าที่นลินเคยเห็นผู้ชายยิ้มมา ผู้ชายคนนี้ยิ้มสวยจริงๆ
กว่านลินจะรู้สึกตัว สมภพก็เดินไปถึงหน้าห้อง 404 แล้ว นลินเบิกตากว้าง รีบวิ่งตามมาทันไขกุญแจประตูห้องให้สมภพพอดี สมภพเอ่ยคำขอบคุณเบาๆ แล้วเดินเข้าไปข้างใน โดยมีนลินเดินตามหลังมา
“เอ่อ..คุณสมภพคะ”
“ครับ” สมภพวางบันไดเหล็กไว้กลางห้องแล้วหันมามองอย่างสงสัย
นลินเหลือบตามองฝ้าเพดานอย่างหวาดๆ อยากรู้ก็อยากรู้อยู่หรอก ว่าทำไมส้มโอจึงอยากให้สมภพขึ้นไปดูฝ้าเพดานให้ แต่ความกลัวก็มีไม่น้อยเช่นกัน เผลอๆ อาจจะมากกว่าความอยากรู้ด้วยซ้ำ
“คุณลินมีอะไรหรือครับ”
“คือ..ลินคิดว่า..เราค่อยดูฝ้าพรุ่งนี้ได้ไหมคะ คือ..วันนี้มันมืดแล้ว..ถึงจะขึ้นไปดูก็คงมองไม่เห็นอะไร..แต่ถ้าเป็นพรุ่งนี้ช่วงเย็นๆ เอ่อ..สักห้าโมงหรือห้าโมงครึ่ง..ยังพอจะมีแดดอยู่บ้าง..น่าจะมองเห็นได้ชัดกว่า” นลินพูดพลางใช้มือซับเหงื่อที่ซึมขึ้นมาตามใบหน้าไปพลาง กลัวส้มโอไม่พอใจเหมือนกัน แต่จะให้ทำยังไง ในเมื่อตอนนี้มันทุ่มกว่าแล้ว ขืนให้สมภพเปิดฝ้าเพดานตอนนี้ แล้วจู่ๆ ส้มโอโผล่หัวออกมาร้องแฮ่ใส่หน้า ไม่พากันหัวใจวายตายกันหมดเหรอ แค่คิดนลินก็ขนลุกซู่ ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นยังติดตาอยู่ ทำให้ไม่กล้าเสี่ยง
“เอาอย่างนั้นหรือครับ แต่ความจริงมันก็ไม่ได้มืดมากนะครับ ไฟในห้องก็สว่าง ถ้ามองเห็นไม่ชัดก็ใช้ไฟฉายของผมส่องดูก็ได้ ว่ามีรอยรั่วตรงไหนหรือเปล่า ไม่เสียเวลาหรอกครับ”
“ไว้ดูพรุ่งนี้เถอะค่ะ นะคะ อย่าดูคืนนี้เลย”
สมภพมองนลินอย่างไม่เข้าใจ เมื่อกี้ก็เพิ่งบอกให้ช่วยขึ้นไปดูฝ้าให้หน่อย เขาถึงได้วิ่งลงไปเอาบันไดเหล็กขึ้นมา แต่พอได้บันไดมาแล้ว กลับเปลี่ยนใจให้ดูพรุ่งนี้ซะงั้น ตกลงจะเอายังไงกันแน่
“นะคะ คุณสมภพ เชื่อลินเถอะค่ะ ไว้ดูพรุ่งนี้ดีกว่า” นลินมองอย่างขอร้อง ดวงตาคู่สวยฉายแววหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด สมภพถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดขึ้น
“ก็ได้ครับ ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมจะเข้ามาเร็วหน่อย คิดว่าน่าจะมาถึงที่นี่ก่อนห้าโมงครับ”
“ขอบคุณค่ะ พรุ่งนี้เลิกงานแล้ว ลินจะรีบกลับมานะคะ” นลินยิ้มอย่างดีใจ มองสมภพอย่างขอบคุณ แต่ต้องชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างจากฝ้าเพดาน แผ่นที่อยู่เหนือโต๊ะหนังสือ
“คะ.คะ..คุณ..สะ..สมภพ” นลินเรียกเสียงสั่น จ้องมองฝ้าเพดานแผ่นนั้นตาค้าง
สมภพที่ยืนหันหลังให้ฝ้าเพดาน มองท่าทางของนลินอย่างแปลกใจ รีบเดินเข้ามาถาม
“คุณลินเป็นอะไรไปครับ ทำไมหน้าซีดจัง”
นลินพูดไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ร่างสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ ตาคู่งามจ้องมองรอยนูนที่กำลังยื่นออกมาจากฝ้าเพดานอย่างช้าๆ สิ่งแรกที่นลินเห็นก็คือ ดวงตาแดงก่ำที่ยื่นออกมา ตามด้วยจมูก ปากและใบหน้าที่โผล่ออกมาจนเต็มแผ่นฝ้า ผมสีดำปลิวไสวแผ่สยายปกคลุมแผ่นฝ้าทั้งหมดจนดำมืด
ส้มโอ! นลินครางอยู่ในใจ และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้เช่นกันว่านลินเรียกชื่อตน จึงมองนลินเขม็งพร้อมกับพยักหน้าให้ นลินอยากส่งเสียงร้องแต่ร้องไม่ออก ใจเต้นแรงรัวเร็วจนแทบจะทะลุออกมาข้างนอก
ใบหน้าของส้มโอค่อยๆ เลื่อนลงต่ำจากฝ้าเพดาน เคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ โดยที่สายตาไม่ได้ละไปจากใบหน้าของนลินแม้แต่น้อย ส้มโอเผยอปากขึ้นนิดหนึ่งเหมือนจะส่งยิ้มให้ นลินตัวชาไปทั่วร่าง อวัยวะทุกส่วนคล้ายเป็นอัมพาตไปชั่วคราว ได้แต่เบิกตากว้าง ยืนมองใบหน้าของส้มโอที่เลื่อนมาประชิดอยู่ด้านหลังของสมภพ มีระยะห่างกันแค่ครึ่งก้าว ด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด
สมภพมองท่าทางของนลินอย่างสงสัย จึงหันมามองด้านหลัง แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ นอกจากความว่างเปล่า จึงหันกลับมามองนลินอีกครั้ง แต่ต้องอุทานออกมา เมื่อร่างนลินส่ายโงนเงนไปมาคล้ายทรงตัวไม่อยู่
“คุณลิน!” สมภพรับร่างของนลินไว้ได้ทัน ก่อนที่จะทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น เนื้อตัวของนลินเย็นเฉียบ ใบหน้าหวานซีดเผือดไร้สีเลือด ดวงตาทั้งคู่มองเหม่อ จ้องไปที่ด้านหลังของสมภพไม่กะพริบ
“คุณลิน ทำใจดีๆ ไว้ครับ” สมภพใช้มือตบหน้านลินเบาๆ เพื่อเรียกสติ แต่นลินไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่นลินมองเห็นในตอนนี้มีเพียงแค่ใบหน้าของส้มโอ ที่ลอยอยู่เหนือไหล่ของสมภพเท่านั้น
ใบหน้าของส้มโอลอยข้ามไหล่สมภพ เข้ามาหานลินที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของสมภพอย่างช้าๆ ผมยาวสีดำเปียกชื้นลากผ่านเสี้ยวหน้าด้านข้างและต้นคอของสมภพแผ่วเบา สมภพสะดุ้ง รู้สึกเย็นวาบแถวต้นคออย่างไม่มีสาเหตุ ขนในกายลุกชันจนต้องหันไปมองรอบๆ ตัว แปลกแฮะ หน้าต่างก็ไม่ได้เปิดทิ้งไว้สักหน่อย แล้วลมมันพัดผ่านเข้ามาจากทางไหน สมภพคิดอย่างสงสัย ก่อนหันมามองนลินที่อยู่ในอ้อมแขนด้วยความเป็นห่วง
“คุณลิน ได้ยินเสียงผมไหมครับ” สมภพก้มหน้าลงมาถามใกล้ๆ นลินสะดุ้งเฮือก สิ่งที่นลินมองเห็น ไม่ใช่ใบหน้าของสมภพ แต่เป็นใบหน้าของส้มโอที่ก้มเข้ามาใกล้ จนอยู่ห่างจากใบหน้านลินไม่ถึงคืบ
“ได้..โปรด..ปลด.ปล่อย..ฉัน..ด้วย” ส้มโอพูดเสียงแหบพร่าพร้อมกับสะอื้นออกมาเบาๆ น้ำตาสีเลือดจากดวงตาของส้มโอหยดใส่หน้าของนลินดังเปาะแปะ นลินอยากเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แต่ไม่สามารถทำได้
ใบหน้าของส้มโอเริ่มเปลี่ยนสภาพ จากซีดเซียวเป็นเขียวคล้ำแล้วค่อยๆ บวมเป่ง เลือดสีแดงคล้ำและน้ำหนองปริออกหยดย้อยไหลลงมาตามคาง ร่วงสู่ใบหน้าของนลินจนท่วม กลิ่นคาวเลือดเหม็นเน่าพุ่งทะลักเข้าสู่ตา จมูกและปากของนลินจนหายใจแทบไม่ออก
“ฮึก!” นลินดิ้นทุรนทุราย ดวงตาเหลือกค้าง พยายามอ้าปากเพื่อสูดเอาอากาศเข้าไป แต่ไม่เป็นผล
“คุณสมภพช่วยด้วย!” นลินตะโกนออกมาสุดเสียง แต่กลับไม่มีเสียงหลุดรอดออกมาจากปาก นลินสะอื้นออกมาเบาๆ ความหวาดกลัวแผ่กระจายไปทั่วร่าง เหน็บหนาวไปถึงหัวใจ นลินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังใกล้จะตาย ร่างกายหนักอึ้งขยับไม่ได้ ค่อยๆ ดำดิ่งจมลงสู่ความมืดมิดที่มองไม่เห็น อากาศรอบตัวเย็นลงเรื่อยๆ และเบาบางจางลงทุกที อึดอัด....หายใจไม่ออก....ทรมานเหลือเกิน!
น้ำตาของส้มโอยังคงหยดลงบนหน้าของนลินไม่ขาดสาย เช่นเดียวกับน้ำตาของนลินที่ยังคงไหลรินจากดวงตาไม่ยอมหยุดเช่นกัน นลินพยายามยกมือไขว่คว้าอากาศเพื่อหาคนช่วย แต่สิ่งที่เห็นมีแค่ใบหน้าของส้มโอที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของส้มโอกำลังบิดเบี้ยวพร่ามัว เลือนรางคล้ายกลุ่มควันขนาดใหญ่
ก่อนสติสุดท้ายของนลินจะดับวูบลงไป นลินรู้สึกเหมือนกับมีอ้อมแขนอบอุ่นของใครคนหนึ่งโอบกอดอยู่รอบกาย หูแว่วเสียงทุ้มนุ่มหูร้องเรียกชื่อตนดังมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่แผ่วเบาเหลือเกิน จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัวก็มืดสนิท
***********************************************************
ที่นี่คือที่ไหน? คำถามแรกผุดขึ้นมาในหัว เมื่อเห็นอาคารพาณิชย์สามคูหาสูงสี่ชั้นตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ตัวอาคารมีสภาพค่อนข้างทรุดโทรม สีอาคารซีดจางแลดูเก่า บางส่วนกะเทาะหลุดลอกมองเห็นเนื้อปูนเด่นชัด
นลินยืนมองอาคารตรงหน้าอย่างครุ่นคิด คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นอาคารหลังนี้มาก่อน แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นจากที่ไหน ขณะที่ยืนครุ่นคิดอยู่นั้น หญิงสาวร่างสูงโปร่ง ใบหน้าสวยเฉี่ยว ตาคมดุ ผมยาวสลวยสีดำรวบขึ้นสูง ในชุดเสื้อแขนยาวสีขาว กระโปรงยาวกรอมเท้าสีเดียวกันกับเสื้อ ก็เดินผ่านหน้านลินไป
นลินมองตามหญิงสาวขุดขาวไปอย่างสนใจ รู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก และเหมือนจะรู้ตัวว่าถูกมอง หญิงสาวชุดขาวก็หันมามองนลินพร้อมกับยิ้มให้ แต่เป็นรอยยิ้มที่เศร้าเหลือเกิน
“นลิน” เสียงเรียกจากหญิงชุดขาวลอยมาแผ่วเบา นลินแน่ใจว่าไม่เห็นเธอคนนั้นขยับปาก แล้วเสียงนั่นดังมาจากไหน หญิงสาวชุดขาวเดินเข้ามาใกล้ ลักษณะการเคลื่อนไหวดูแปลกตา เธอเดินเหมือนลอยเอื่อยๆ เรี่ยมาตามพื้นดิน คล้ายภาพสโลว์โมชั่นที่เห็นกันดาษดื่นในภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์ทั่วไป
เธอเดินเข้ามาใกล้ทุกที จนอยู่ห่างจากนลินไม่กี่ก้าว นลินขยับถอยหลังอย่างตกใจ เมื่อเห็นหน้าผู้หญิงชุดขาวชัดๆ ใบหน้าสวยเฉี่ยวสะดุดตา ซีดขาวราวกับกระดาษ โหนกแก้มสูงซูบตอบ ปากบางหยักได้รูปสวยสีม่วงคล้ำ แค่นี้ก็น่ากลัวมากพออยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้นลินใจหายหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ก็คือ นัยน์ตาคมดุคล้ายตาเหยี่ยวที่ลึกโหล คลอไปด้วยหยาดน้ำตาสีแดงสด ที่กำลังหยดลงมาตามร่องแก้มเป็นทางยาวนั่นต่างหาก
นลินหันหลังจะวิ่งหนี แต่ต้องร้องกรี๊ดออกมา เมื่อข้อมือถูกมือขาวซีดฉุดรั้งเอาไว้ แค่หล่อนกระตุกมือเบาๆ ร่างของนลินก็ถูกดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของผู้หญิงคนนั้นอย่างง่ายดาย
“ปละ..ปละ..ปล่อยนะ” นลินพูดเสียงสั่น พยายามดิ้นรนให้พ้นจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย แต่ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไหร่ อ้อมแขนเย็นเยียบก็ยิ่งรัดร่างนลินไว้แน่นมากขึ้นเท่านั้น
“ช่วยฉันด้วย ปลดปล่อยฉันที ทรมานเหลือเกิน” หญิงสาวชุดขาวพูดปนสะอื้น พลางซบหน้าลงบนไหล่ของนลินแล้วร้องไห้ออกมา น้ำตาร่วงพรูเป็นทางยาวราวกับทำนบแตก หยดบนเสื้อผ้าของนลินจนเปียกชุ่ม
นลินยืนตัวแข็งทื่อ ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังกันเข้ามา ทั้งหวาดกลัว ทั้งสงสาร ขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก ผู้หญิงคนนี้คงเป็นส้มโอ เพียงแค่คิด ผู้หญิงชุดขาวก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม ไม่ผิดแน่ ส้มโอจริงๆ ด้วย! ที่ผ่านมา ส้มโอคงเจ็บปวดและทรมานมากสินะ ถูกคนใจร้ายฝังร่างไว้ในผนังห้องน้ำที่เย็นเยียบและมืดมิดแบบนั้น หากมีใครมาทำแบบนี้กับเราบ้าง มันก็คงเจ็บปวดและทรมานไม่ต่างกัน!
คิดแล้วนลินก็น้ำตาซึม รู้สึกสงสารและเวทนาส้มโอจับใจ ความรู้สึกของคนเราสื่อถึงกันได้จริง อย่างที่เคยมีคนบอกเอาไว้หรือเปล่านั้น นลินไม่รู้หรอก แต่เพียงแค่นลินนึกถึงเรื่องราวของส้มโอ คล้ายกับว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงความรู้สึกของนลิน อ้อมแขนเย็นเยียบที่กอดร่างนลินเอาไว้ จึงกระชับวงแขนแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม เสมือนหนึ่งแทนคำขอบคุณจากหัวใจ
นลินสะอื้นออกมาเบาๆ อ้อมกอดของส้มโอเย็นเยียบก็จริง แต่น่าแปลก ที่นลินไม่ได้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย ใครว่าอ้อมกอดของคนตายนั้นน่ากลัว นลินอยากเถียงว่าไม่จริง อ้อมกอดของคนตายก็สามารถสร้างความอบอุ่นให้เกิดขึ้นในหัวใจได้เช่นกัน ยิ่งถ้าอ้อมกอดนั้นเป็นของคนที่เรารักหรือรู้สึกดีๆ ด้วย ต่อให้อ้อมกอดนั้นเยียบเย็นปานน้ำแข็งสักเพียงใด แต่สำหรับเราแล้ว มันก็เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นเสมอ
“ปลดปล่อยฉันด้วยนะ นลิน ได้โปรด” ส้มโอพูดเสียงแผ่วเบา ร่างค่อยๆ เลือนหายละลายไปในอากาศ นลินรู้สึกใจหาย ใช้มือฉุดรั้งร่างนั้นเอาไว้ แต่สิ่งที่คว้าได้มีแค่เพียงความว่างเปล่า
“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป!” นลินตะโกนสุดเสียง แต่เสียงกลับหลุดออกมาแค่แผ่วเบา
เสียงร้องเรียกของนลิน ทำให้ส้มที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียง รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเข้ามาใกล้ ก้มมองหน้าซีดเซียวของนลินอย่างดีใจ แล้วพูดขึ้น
“พี่ลินรู้สึกตัวแล้ว เป็นยังไงบ้างคะ”
นลินหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่เห็นคือใบหน้ายิ้มแป้นของส้มที่ก้มมองมา นลินกะพริบตาถี่ๆ สองสามครั้ง เพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงจ้าของหลอดไฟนีออนขนาดใหญ่ที่อยู่กลางห้อง
“พี่ลินอยู่โรงพยาบาลค่ะ เมื่อคืนตอนที่พี่ลินเข้าไปดูพี่สมภพทำงาน จู่ๆ พี่ลินก็หมดสติไป พี่สมภพเลยพามาส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่าร่างกายพี่ลินเกิดอาการช็อกเฉียบพลัน หากมาช้ากว่านี้อีกนิด อาจช่วยไม่ทัน” ส้มบอกพลางบีบมือนลินเบาๆ นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วอดใจหายไม่ได้
ตอนที่สมภพอุ้มร่างหมดสติของนลินวิ่งลงบันไดมา ส้มกับหญิงเพิ่งกลับมาจากร้านเช่าหนังที่หน้าปากซอยพอดี จำได้ว่านลินหน้าซีดมาก ตัวเย็นเฉียบแต่เหงื่อซึมทั่วร่างจนเสื้อเปียกชุ่ม เห็นแล้วส้มเกือบจะร้องไห้ออกมา แต่โดนหญิงดุใส่ว่า อย่าร้องเดี๋ยวเป็นลางไม่ดี พอพูดจบหญิงก็ฉุดมือส้มให้วิ่งตามสมภพมาที่รถ เพื่อขอตามไปที่โรงพยาบาลด้วย โชคดีที่โรงพยาบาลอยู่ไม่ไกล นลินจึงได้รับการช่วยเหลือทันท่วงที ไม่อย่างนั้นล่ะก็..
“เหรอจ๊ะ แสดงว่าพี่หัวแข็งใช่ไหม ถึงรอดมาได้” นลินพูดพลางยิ้มให้ นึกว่าตัวเองตายไปแล้วซะอีก
“พี่ลินอย่าพูดแบบนี้สิคะ พวกเรากับพี่สมภพเป็นห่วงพี่ลินมากนะคะ พี่ลินรู้ไหม ว่าเมื่อคืนพี่สมภพนั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินตั้งนานสองนานโดยไม่บ่นสักคำ แถมยังช่วยจัดการติดต่อเรื่องห้องพักพิเศษให้พี่ลินอีกด้วย พอจัดการเรื่องห้องพักเสร็จแล้ว พี่สมภพก็ถามพวกเราว่า คืนนี้ใครจะนอนเฝ้าพี่ลิน พอพวกเราบอกว่าจะอยู่ที่นี่ด้วยกันทั้งคู่ พี่สมภพก็ให้หญิงติดรถแกกลับไปเอาเสื้อผ้าที่หอ เสร็จแล้วแกก็พามาส่งที่นี่ค่ะ”
“แล้วพอพี่ลินออกจากห้องฉุกเฉินย้ายเข้ามาอยู่ในห้องนี้ พี่สมภพก็ตามขึ้นมาดูพี่ลินอยู่พักใหญ่ ก่อนจะขอตัวกลับบ้าน เมื่อเช้าพี่สมภพก็แวะมา แต่พี่ลินยังไม่รู้สึกตัว แกก็เลยบอกว่าเดี๋ยวเย็นๆ จะแวะมาใหม่ค่ะ” ส้มเล่าให้ฟังเป็นฉากๆ จนนลินนึกภาพตามได้ทันที นึกขอบคุณความมีน้ำใจของสมภพ ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่วันเดียวแท้ๆ แต่สมภพก็เอาใจใส่และดูแลช่วยจัดการเป็นธุระทุกอย่างให้อย่างดี จนอดตื้นตันใจไม่ได้
“แล้วนี่กี่โมงแล้วจ๊ะ”
“จะบ่ายสามแล้วค่ะ พี่ลินหมดสติไปตั้งหนึ่งคืนกับเกือบหนึ่งวัน ทำเอาส้มกับหญิงใจเสีย กลัวพี่ลินจะไม่ฟื้นขึ้นมา นี่พวกเรากะว่าถ้าเย็นนี้พี่ลินยังไม่ฟื้น พวกเราจะไปบนกับเจ้าที่ที่หอขอให้พี่ลินฟื้นค่ะ”
“ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะ เปลืองเงินโดยใช่เหตุเปล่าๆ”
“ไม่หรอกค่ะ ถ้าได้พี่ลินกลับคืนมา ต่อให้จ่ายเงินซื้อของเซ่นไหว้มากกว่านี้ พวกเราก็ยอมจ่ายค่ะ หญิงบอกว่าถ้าบนด้วยของกินแล้วพี่ลินยังไม่ฟื้น หญิงจะบนด้วยการแก้ผ้ารำถวาย คราวนี้ถ้าไม่ฟื้นก็ให้มันรู้ไป แต่มีข้อแม้ว่าต้องรำกลางคืนหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้ถูกตำรวจจับ ข้อหาทำอนาจารในที่สาธารณะ”
นลินหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำพูดของส้ม ใช่แต่สมภพเท่านั้นที่มีน้ำใจ แต่ส้มกับหญิงก็มีน้ำใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จะว่าไปแล้ว ในสังคมเมืองใหญ่ๆ ที่ต่างคนต่างใช้ชีวิตกันอย่างเร่งรีบ แก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นเพื่อเอาตัวรอดนั้น สิ่งที่หาได้ยากยิ่งก็คือ ความมีน้ำใจและความเอื้ออาทร นลินคิดว่าตัวเองโชคดีเหลือเกิน ที่ได้รู้จักส้ม หญิงและสมภพ อย่างน้อยสามคนนี้ก็ทำให้นลินเชื่อว่า ความมีน้ำใจและความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ยังคงมีหลงเหลืออยู่ในสังคมอันดีงามของคนไทย
“พูดถึงหญิงแล้วนึกขึ้นมาได้ ส้มบอกว่าหญิงก็อยู่เฝ้าพี่ที่นี่ด้วยใช่ไหมจ๊ะ แล้วนี่หญิงหายไปไหน ทำไมพี่ไม่เห็น” นลินถามหลังจากหยุดหัวเราะแล้ว
“หญิงลงไปซื้อของกินข้างล่างค่ะ คิดว่าเดี๋ยวคงขึ้นมา เพราะลงไปนานแล้ว” ส้มพูดไม่ทันขาดคำ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นสองครั้ง ก่อนเปิดเข้ามา หญิงซึ่งถือถุงใส่ขนมขบเคี้ยวเต็มสองมือก็เดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นนลินส่งยิ้มมาให้จากที่นอน หญิงก็ยิ้มกว้าง เดินเข้ามาหาทันที
“ดีใจจัง พี่ลินฟื้นแล้ว”
“จ้ะ เพิ่งรู้สึกตัวเมื่อกี้เอง แล้วนี่ซื้ออะไรมาเยอะแยะเชียว” นลินถาม ขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง หญิงจึงเข้ามาช่วยพยุงร่างนลินให้นั่งพิงพนักเตียงแล้วตอบ
“ขนมกรุบกรอบค่ะ แต่พี่ลินกินไม่ได้ เพราะคุณหมอสั่งห้ามเอาไว้ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหญิงกับส้มจะกินชดเชยในส่วนของพี่ลินให้เอง”
“ขอบใจมากจ้ะ แล้ววันนี้เราสองคนไม่ไปเรียนหรือจ๊ะ” นลินสงสัย
“พวกเราลากิจหนึ่งวันค่ะ เมื่อเช้าส้มโทรไปบอกให้เพื่อนในกลุ่มช่วยบอกอาจารย์ว่า พี่สาวพวกเราไม่สบาย นอนซมอยู่ที่โรงพยาบาล จำเป็นต้องมีคนดูแล จึงขอลาหยุดหนึ่งวันค่ะ แต่พี่ลินไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ที่จริงวันนี้พวกเรามีเรียนช่วงเช้าแค่สองวิชาเอง ถึงจะหยุดเรียนไปหนึ่งวัน พวกเราก็ตามเพื่อนๆ ทันค่ะ เพราะพวกเราเรียนเก่ง” ส้มรีบบอกให้นลินสบายใจ แต่นลินก็ยังกังวลอยู่ดี ที่เป็นสาเหตุให้สองสาวต้องหยุดเรียน
“พี่ลินอย่าทำหน้าแบบนี้สิคะ พวกเราเป็นห่วงพี่ลินจริงๆ ไม่อยากทิ้งพี่ลินให้นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลคนเดียว กลัวว่าเวลาพี่ลินตื่นขึ้นมาไม่เจอใคร แล้วจะเหงา น่า ยิ้มหน่อยนะคะ” หญิงอ้อนเสียงหวาน นลินถอนหายใจเบาๆ อยากจะโกรธก็โกรธไม่ลง รู้ว่าที่ทั้งคู่ยอมหยุดเรียนก็เพราะหวังดีและเป็นห่วงตนจริงๆ
“จ้ะ ยิ้มก็ได้ แต่วันหลัง อย่าทำแบบนี้อีกนะ พี่ไม่อยากให้เราสองคนโดดเรียน”
“ค่า” สองสาวพร้อมใจกันลากเสียงยาวก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ
“พี่ลินนอนพักเถอะค่ะ กว่าน้ำเกลือขวดนี้จะหมดก็คงเย็นๆ พอดี เดี๋ยวพวกเราจะนั่งเฝ้าพี่ลินเองค่ะ” ส้มบอกพลางพยุงร่างนลินให้เอนตัวลงนอน ส่วนหญิงก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้
“ขอบใจจ้ะ” นลินยิ้มให้แล้วหลับตาลง เพียงไม่นานก็หลับสนิท โดยมีส้มกับหญิงนั่งอ่านหนังสือ เฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ยอมไปไหน
****************************************************
“อ้าว คุณลิน ซื้อข้าวเสร็จแล้วหรือครับ” สมภพทักอย่างแปลกใจ เพราะเพิ่งแยกกับนลินยังไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ ในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ นลินไม่มีทางเดินไปซื้อข้าวที่หน้าปากซอยแล้วกลับมาได้เร็วแบบนี้หรอก
“เรียบร้อยแล้วค่ะ รอตั้งนานแน่ะกว่าจะได้ แล้วนี่คุณสมภพเอาบันไดเหล็กขึ้นมาทำไมคะ”
คำตอบที่ได้รับว่าแปลกแล้ว แต่คำถามที่ย้อนถามกลับมานี่สิ แปลกยิ่งกว่า สมภพมองนลินเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน ก็คนที่ทำให้เขาต้องวิ่งจากชั้นสี่ลงมาเอาบันไดเหล็กที่อยู่ข้างล่าง ก็คือเจ้าตัวไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงมาถามแบบนี้ล่ะ งงนะนี่
“เอ๊ะ ทำไมคุณสมภพทำหน้าแบบนั้น มีอะไรหรือเปล่าคะ” นลินสงสัย เมื่อเห็นสีหน้าของสมภพ
“ไม่มีอะไรครับ แค่แปลกใจว่า ทำไมคุณลินจึงถามผมแบบนี้”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ ก็ลินไม่รู้จริงๆ นี่คะว่า คุณสมภพเอาบันไดเหล็กขึ้นมาทำไม”
“คุณลินครับ อำกันเล่นแบบนี้ ไม่ดีนะครับ เมื่อกี้คุณลินเพิ่งจะย้อนกลับเข้าไปในห้อง ขอให้ผมช่วยขึ้นไปดูฝ้าเพดานให้หน่อย เพราะมีน้ำซึมออกมา ผมจึงต้องลงมาเอาบันไดเหล็กนี่ยังไงล่ะครับ อย่าบอกนะครับว่า คุณลินจำไม่ได้” น้ำเสียงของสมภพจริงจัง ไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย
นลินมีสีหน้าตกใจ อะไรนะ! หมายความว่า ช่วงที่เราลงไปซื้อข้าวที่หน้าปากซอย จู่ๆ ก็เกิดมีตัวเราอีกคนหนึ่งโผล่ขึ้นมา แล้วเข้าไปหาคุณสมภพที่อยู่ในห้อง เพื่อขอให้คุณสมภพขึ้นไปดูฝ้าเพดานให้งั้นเหรอ คิดมาถึงตรงนี้ นลินก็หน้าเห่อ ตัวชาไปทั้งร่าง ใจสั่นหวิวๆ เหมือนจะเป็นลม รู้เลยว่า ‘ใคร’ คือนลินอีกคนที่ว่านั่น
“ว่ายังไงครับคุณลิน”
“ลิน..เอ่อ..ลิน..ก็..ตามนั้นล่ะค่ะ” นลินยิ้มจืดเจื่อน ตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง ไม่กล้าบอกว่า คนที่เข้าไปหาสมภพในห้องไม่ใช่ตน เพราะกลัวสมภพไม่เชื่อ ดีไม่ดี อาจจะถูกสมภพหาว่าบ้าหรือประสาทหลอนอีกด้วย
“ตามนั้น? รบกวนคุณลิน ช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยครับว่า ตามนั้น ในความหมายของคุณลิน กับ ตามนั้น ในความหมายของผม เหมือนกันหรือเปล่า” สมภพเน้นเสียงหนักตรงคำว่า “ตามนั้น” ชัดเจน
“ก็..ตามนั้นนั่นแหละค่ะ ไม่มีคำอธิบาย” นลินตอบเสียงอ่อย หลุบตาลงต่ำก้มหน้ามองพื้น บอกไม่ถูกกเหมือนกันว่า ระหว่างส้มโอที่อยู่ในห้องของตนกับสมภพที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ใครน่ากลัวกว่ากัน
“ไม่มีคำอธิบาย ตอบง่ายนะครับ แต่ฟังแล้วเข้าใจยากชะมัด ถ้าอย่างนั้น ผมถามใหม่แล้วกัน”
“คะ” นลินเงยหน้ามองสมภพก่อนหลบตามองพื้นแทบไม่ทัน เมื่อเห็นประกายบางอย่างในแววตาคู่นั้น
“คุณลินกำลังปิดบังอะไรผมอยู่หรือเปล่าครับ”
นลินแทบหงายหลังกับคำถามที่ยิงตรงเป้าจนเกือบน็อกกลางอากาศ รีบปฏิเสธทันที
“มะ..มะ..ไม่มีค่ะ ไม่มีจริงๆ”
“แน่ใจนะครับว่าไม่มี หรือว่ามีแต่ไม่ยอมบอก”
น้ำเสียงของสมภพราบเรียบก็จริง แต่กลับสร้างความกดดันให้นลินอย่างน่าประหลาด ยังไม่นับสีหน้าเรียบเฉยนั่นอีก เห็นแล้วทำเอานลินใจแป้วไปเหมือนกัน เพราะปกตินลินเป็นคนโกหกไม่เก่ง เวลาพูดปดทีไรก็มักจะเผยพิรุธให้ถูกจับได้เสมอ ดังนั้น นลินจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบแทนการพูดปดเพื่อตัดปัญหา ซึ่งวิธีนี้ใช้ได้ผลมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ นลินไม่แน่ใจว่า จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตรงหน้าได้หรือเปล่า ก็สายตาของสมภพที่มองมานี่สิ เจ้าตัวจะรู้ไหมว่า แววตานิ่งสงบที่จ้องมาแบบนี้ ให้ความรู้สึกน่ากลัวกว่าการทำตาดุๆ ใส่ซะอีก
“คุณลินครับ”
“ไม่มีจริงๆ ค่ะ” นลินเงยหน้าขึ้นมองสบตาสมภพ แม้จะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องกับสายตาคู่นั้นอยู่บ้าง แต่นลินไม่มีทางเลือก เขาว่ากันว่า คนพูดโกหกมักจะไม่กล้าสบตาคนอื่น ถ้าอยากให้อีกฝ่ายเชื่อว่าตนไม่ได้พูดปด เวลาคุยก็ต้องสบตาด้วย แต่ว่า..นลินกลืนน้ำลายลงคอ ทำไมพอสบตาตรงๆ แบบนี้ ใจมันถึงได้สั่นไม่ยอมหยุดล่ะ
ไม่ใช่แค่ใจเท่านั้นที่สั่น แต่นลินไม่รู้เลยว่า ตอนนี้ปากของตัวเองก็สั่น มือที่จับถุงข้าวก็สั่นระริกเช่นกัน
ท่าทางของนลินทำให้สมภพต้องกลั้นยิ้มเอาไว้ ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าโกหก ยังจะมาปากแข็งอีก คนพูดความจริงที่ไหน จะมายืนสั่นเป็นเจ้าเข้าไปทั้งตัวแบบนี้ล่ะ เฮ้อ! สมภพส่ายหัวเบาๆ ช่างเถอะ ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร เขาเองก็ไม่ชอบบังคับใครเหมือนกัน ถ้าเจ้าตัวไม่อยากบอก ต่อให้เอาปืนมาจ่อหัวอยู่ใกล้ๆ ก็คงไม่ยอมบอกอยู่ดี
“ไม่มีก็ไม่มีครับ ถ้าอย่างนั้น คุณลินก็หยุดสั่นได้แล้วครับ เดี๋ยวใครผ่านมาเห็นเข้า จะเข้าใจผิดคิดว่าคุณลินกำลังเรียกเจ้ามาเข้าทรง มันจะยุ่งไปกันใหญ่” สมภพพูดปนหัวเราะ แล้วเดินขึ้นบันไดไป นลินถอนหายใจดังเฮือก รู้สึกโล่งอกที่สมภพไม่คาดคั้นต่อ แสดงว่าวิธีมองตาใช้ได้ผล แต่เอ๊ะ เมื่อกี้คุณสมภพพูดว่าอะไรนะ
นลินทวนคำพูดของสมภพอีกครั้งก่อนอ้าปากค้าง เมื่อแปลความนัยที่แฝงไว้ออก คนบ้า! ช่างหาคำพูดมาเหน็บได้ร้ายนักนะ ฮึ! ปากแบบนี้มันน่าจะปล่อยให้ถูกส้มโอหลอกซะให้เข็ด! นลินต่อว่าอยู่ในใจ ก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดไล่ตามสมภพไป แต่สมภพเดินเร็วมาก แค่ครู่เดียวเขาก็เดินมาถึงระเบียงทางเดินชั้นสี่ ในขณะที่นลินเพิ่งจะก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายมา อดบ่นไม่ได้ โอ๊ย คนอะไรเดินเร็วชะมัด จะรีบไปไหนของเขานี่
“คุณสมภพ รอด้วยค่ะ” นลินตะโกนเรียกเสียงดัง สมภพชะงักเท้าก่อนหันมามอง นลินวิ่งมาหยุดหายใจหอบอยู่ตรงหน้าสมภพ ใบหน้าเนียนใสแดงก่ำด้วยความร้อนและชื้นไปด้วยเหงื่อ จนต้องยกมือปาดเหงื่อลวกๆ
สมภพมองนลินที่ยืนหายใจหอบ แล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ถามน้ำเสียงนุ่มนวล
“คุณลินจะไปซ้อมวิ่งแข่งที่ไหนหรือครับ ดูสิ เหงื่อท่วมเชียว”
“ลินไม่ได้ไปซ้อมวิ่งแข่งที่ไหนหรอกค่ะ แค่วิ่งไล่ตามคนขายาวบางคนที่ใจดำ เดินจ้ำเอาๆ ก็เท่านั้นเอง” นลินเน้นคำว่า ‘ใจดำ’ ชัดถ้อยชัดคำ พร้อมกับค้อนใส่ให้อย่างหมั่นไส้
“อ้าว เหรอครับ ผมเห็นคุณลินวิ่งเสียงดังตึงๆ จนระเบียงทางเดินสั่นสะเทือนไปทั้งแถบแบบนี้ ก็นึกว่าคุณลินจะซ้อมวิ่งเพื่อไปแข่งวิ่งชิงแชมป์โลกซะอีก ขอโทษนะครับที่เข้าใจคุณลินผิดไปถนัด ว่าแต่เหนื่อยไหมครับ”
“ไม่เหนื่อยค่ะ” นลินตอบเสียงห้วน อยากจะเอาถุงข้าวฟาดปากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี่จริงๆ ตัวเองเป็นฝ่ายผิดแท้ๆ ที่เดินเร็วจนคนอื่นไล่ตามไม่ทัน แทนที่จะสำนึก ยังมีหน้ามาพูดจากวนประสาทอีกนะ
“ดีแล้วครับที่ไม่เหนื่อย ถึงคุณลินจะตัวเล็ก น้ำหนักตัวไม่เยอะ แต่ถ้าเป็นลมขึ้นมา ผมก็อุ้มลำบากเหมือนกันครับ” สมภพพูดน้ำเสียงจริงจัง แต่ดวงตาพราวระยับเป็นประกายขบขันอย่างปิดไม่มิด
นลินมองสมภพตาเขียว อ้าปากจะว่าสวนกลับไป แต่สมภพยกมือขึ้นขัดแล้วยิ้มให้
“คุณลินอย่าเพิ่งโมโหสิครับ ผมก็แค่ล้อคุณลินเล่นเท่านั้นเอง เอาเป็นว่า ผมขอโทษครับที่เดินเร็วไปหน่อยทำให้คุณลินเดินตามไม่ทัน จนต้องวิ่งไล่มาแบบนี้ ผมสัญญาครับว่า ต่อไปในภายหน้า ผมจะเดินให้ช้าลง คุณลินจะได้ตามทัน แล้วเราค่อยก้าวเดินไปด้วยกัน ดีไหมครับ”
“หือ?” นลินกะพริบตาสองสามครั้งอย่างงุนงง เป็นคำขอโทษที่ฟังแล้วแปลกชอบกลแฮะ แต่แปลกยังไงนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ช่างเถอะ จะสนใจทำไมว่ามันแปลกตรงไหน ในเมื่อเจ้าตัวเขาเอ่ยปากขอโทษแล้วนี่นา
“ไม่เป็นไรค่ะ เอาเป็นว่าลินยกโทษให้” นลินบอกพร้อมกับยิ้มให้ อารมณ์ขุ่นมัวหายเป็นปลิดทิ้ง
“ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ” สมภพคลี่ยิ้มบางๆ นลินแทบลืมหายใจเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและชวนมองที่สุด เท่าที่นลินเคยเห็นผู้ชายยิ้มมา ผู้ชายคนนี้ยิ้มสวยจริงๆ
กว่านลินจะรู้สึกตัว สมภพก็เดินไปถึงหน้าห้อง 404 แล้ว นลินเบิกตากว้าง รีบวิ่งตามมาทันไขกุญแจประตูห้องให้สมภพพอดี สมภพเอ่ยคำขอบคุณเบาๆ แล้วเดินเข้าไปข้างใน โดยมีนลินเดินตามหลังมา
“เอ่อ..คุณสมภพคะ”
“ครับ” สมภพวางบันไดเหล็กไว้กลางห้องแล้วหันมามองอย่างสงสัย
นลินเหลือบตามองฝ้าเพดานอย่างหวาดๆ อยากรู้ก็อยากรู้อยู่หรอก ว่าทำไมส้มโอจึงอยากให้สมภพขึ้นไปดูฝ้าเพดานให้ แต่ความกลัวก็มีไม่น้อยเช่นกัน เผลอๆ อาจจะมากกว่าความอยากรู้ด้วยซ้ำ
“คุณลินมีอะไรหรือครับ”
“คือ..ลินคิดว่า..เราค่อยดูฝ้าพรุ่งนี้ได้ไหมคะ คือ..วันนี้มันมืดแล้ว..ถึงจะขึ้นไปดูก็คงมองไม่เห็นอะไร..แต่ถ้าเป็นพรุ่งนี้ช่วงเย็นๆ เอ่อ..สักห้าโมงหรือห้าโมงครึ่ง..ยังพอจะมีแดดอยู่บ้าง..น่าจะมองเห็นได้ชัดกว่า” นลินพูดพลางใช้มือซับเหงื่อที่ซึมขึ้นมาตามใบหน้าไปพลาง กลัวส้มโอไม่พอใจเหมือนกัน แต่จะให้ทำยังไง ในเมื่อตอนนี้มันทุ่มกว่าแล้ว ขืนให้สมภพเปิดฝ้าเพดานตอนนี้ แล้วจู่ๆ ส้มโอโผล่หัวออกมาร้องแฮ่ใส่หน้า ไม่พากันหัวใจวายตายกันหมดเหรอ แค่คิดนลินก็ขนลุกซู่ ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นยังติดตาอยู่ ทำให้ไม่กล้าเสี่ยง
“เอาอย่างนั้นหรือครับ แต่ความจริงมันก็ไม่ได้มืดมากนะครับ ไฟในห้องก็สว่าง ถ้ามองเห็นไม่ชัดก็ใช้ไฟฉายของผมส่องดูก็ได้ ว่ามีรอยรั่วตรงไหนหรือเปล่า ไม่เสียเวลาหรอกครับ”
“ไว้ดูพรุ่งนี้เถอะค่ะ นะคะ อย่าดูคืนนี้เลย”
สมภพมองนลินอย่างไม่เข้าใจ เมื่อกี้ก็เพิ่งบอกให้ช่วยขึ้นไปดูฝ้าให้หน่อย เขาถึงได้วิ่งลงไปเอาบันไดเหล็กขึ้นมา แต่พอได้บันไดมาแล้ว กลับเปลี่ยนใจให้ดูพรุ่งนี้ซะงั้น ตกลงจะเอายังไงกันแน่
“นะคะ คุณสมภพ เชื่อลินเถอะค่ะ ไว้ดูพรุ่งนี้ดีกว่า” นลินมองอย่างขอร้อง ดวงตาคู่สวยฉายแววหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด สมภพถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดขึ้น
“ก็ได้ครับ ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมจะเข้ามาเร็วหน่อย คิดว่าน่าจะมาถึงที่นี่ก่อนห้าโมงครับ”
“ขอบคุณค่ะ พรุ่งนี้เลิกงานแล้ว ลินจะรีบกลับมานะคะ” นลินยิ้มอย่างดีใจ มองสมภพอย่างขอบคุณ แต่ต้องชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างจากฝ้าเพดาน แผ่นที่อยู่เหนือโต๊ะหนังสือ
“คะ.คะ..คุณ..สะ..สมภพ” นลินเรียกเสียงสั่น จ้องมองฝ้าเพดานแผ่นนั้นตาค้าง
สมภพที่ยืนหันหลังให้ฝ้าเพดาน มองท่าทางของนลินอย่างแปลกใจ รีบเดินเข้ามาถาม
“คุณลินเป็นอะไรไปครับ ทำไมหน้าซีดจัง”
นลินพูดไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ร่างสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ ตาคู่งามจ้องมองรอยนูนที่กำลังยื่นออกมาจากฝ้าเพดานอย่างช้าๆ สิ่งแรกที่นลินเห็นก็คือ ดวงตาแดงก่ำที่ยื่นออกมา ตามด้วยจมูก ปากและใบหน้าที่โผล่ออกมาจนเต็มแผ่นฝ้า ผมสีดำปลิวไสวแผ่สยายปกคลุมแผ่นฝ้าทั้งหมดจนดำมืด
ส้มโอ! นลินครางอยู่ในใจ และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้เช่นกันว่านลินเรียกชื่อตน จึงมองนลินเขม็งพร้อมกับพยักหน้าให้ นลินอยากส่งเสียงร้องแต่ร้องไม่ออก ใจเต้นแรงรัวเร็วจนแทบจะทะลุออกมาข้างนอก
ใบหน้าของส้มโอค่อยๆ เลื่อนลงต่ำจากฝ้าเพดาน เคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ โดยที่สายตาไม่ได้ละไปจากใบหน้าของนลินแม้แต่น้อย ส้มโอเผยอปากขึ้นนิดหนึ่งเหมือนจะส่งยิ้มให้ นลินตัวชาไปทั่วร่าง อวัยวะทุกส่วนคล้ายเป็นอัมพาตไปชั่วคราว ได้แต่เบิกตากว้าง ยืนมองใบหน้าของส้มโอที่เลื่อนมาประชิดอยู่ด้านหลังของสมภพ มีระยะห่างกันแค่ครึ่งก้าว ด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด
สมภพมองท่าทางของนลินอย่างสงสัย จึงหันมามองด้านหลัง แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ นอกจากความว่างเปล่า จึงหันกลับมามองนลินอีกครั้ง แต่ต้องอุทานออกมา เมื่อร่างนลินส่ายโงนเงนไปมาคล้ายทรงตัวไม่อยู่
“คุณลิน!” สมภพรับร่างของนลินไว้ได้ทัน ก่อนที่จะทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น เนื้อตัวของนลินเย็นเฉียบ ใบหน้าหวานซีดเผือดไร้สีเลือด ดวงตาทั้งคู่มองเหม่อ จ้องไปที่ด้านหลังของสมภพไม่กะพริบ
“คุณลิน ทำใจดีๆ ไว้ครับ” สมภพใช้มือตบหน้านลินเบาๆ เพื่อเรียกสติ แต่นลินไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่นลินมองเห็นในตอนนี้มีเพียงแค่ใบหน้าของส้มโอ ที่ลอยอยู่เหนือไหล่ของสมภพเท่านั้น
ใบหน้าของส้มโอลอยข้ามไหล่สมภพ เข้ามาหานลินที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของสมภพอย่างช้าๆ ผมยาวสีดำเปียกชื้นลากผ่านเสี้ยวหน้าด้านข้างและต้นคอของสมภพแผ่วเบา สมภพสะดุ้ง รู้สึกเย็นวาบแถวต้นคออย่างไม่มีสาเหตุ ขนในกายลุกชันจนต้องหันไปมองรอบๆ ตัว แปลกแฮะ หน้าต่างก็ไม่ได้เปิดทิ้งไว้สักหน่อย แล้วลมมันพัดผ่านเข้ามาจากทางไหน สมภพคิดอย่างสงสัย ก่อนหันมามองนลินที่อยู่ในอ้อมแขนด้วยความเป็นห่วง
“คุณลิน ได้ยินเสียงผมไหมครับ” สมภพก้มหน้าลงมาถามใกล้ๆ นลินสะดุ้งเฮือก สิ่งที่นลินมองเห็น ไม่ใช่ใบหน้าของสมภพ แต่เป็นใบหน้าของส้มโอที่ก้มเข้ามาใกล้ จนอยู่ห่างจากใบหน้านลินไม่ถึงคืบ
“ได้..โปรด..ปลด.ปล่อย..ฉัน..ด้วย” ส้มโอพูดเสียงแหบพร่าพร้อมกับสะอื้นออกมาเบาๆ น้ำตาสีเลือดจากดวงตาของส้มโอหยดใส่หน้าของนลินดังเปาะแปะ นลินอยากเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แต่ไม่สามารถทำได้
ใบหน้าของส้มโอเริ่มเปลี่ยนสภาพ จากซีดเซียวเป็นเขียวคล้ำแล้วค่อยๆ บวมเป่ง เลือดสีแดงคล้ำและน้ำหนองปริออกหยดย้อยไหลลงมาตามคาง ร่วงสู่ใบหน้าของนลินจนท่วม กลิ่นคาวเลือดเหม็นเน่าพุ่งทะลักเข้าสู่ตา จมูกและปากของนลินจนหายใจแทบไม่ออก
“ฮึก!” นลินดิ้นทุรนทุราย ดวงตาเหลือกค้าง พยายามอ้าปากเพื่อสูดเอาอากาศเข้าไป แต่ไม่เป็นผล
“คุณสมภพช่วยด้วย!” นลินตะโกนออกมาสุดเสียง แต่กลับไม่มีเสียงหลุดรอดออกมาจากปาก นลินสะอื้นออกมาเบาๆ ความหวาดกลัวแผ่กระจายไปทั่วร่าง เหน็บหนาวไปถึงหัวใจ นลินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังใกล้จะตาย ร่างกายหนักอึ้งขยับไม่ได้ ค่อยๆ ดำดิ่งจมลงสู่ความมืดมิดที่มองไม่เห็น อากาศรอบตัวเย็นลงเรื่อยๆ และเบาบางจางลงทุกที อึดอัด....หายใจไม่ออก....ทรมานเหลือเกิน!
น้ำตาของส้มโอยังคงหยดลงบนหน้าของนลินไม่ขาดสาย เช่นเดียวกับน้ำตาของนลินที่ยังคงไหลรินจากดวงตาไม่ยอมหยุดเช่นกัน นลินพยายามยกมือไขว่คว้าอากาศเพื่อหาคนช่วย แต่สิ่งที่เห็นมีแค่ใบหน้าของส้มโอที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของส้มโอกำลังบิดเบี้ยวพร่ามัว เลือนรางคล้ายกลุ่มควันขนาดใหญ่
ก่อนสติสุดท้ายของนลินจะดับวูบลงไป นลินรู้สึกเหมือนกับมีอ้อมแขนอบอุ่นของใครคนหนึ่งโอบกอดอยู่รอบกาย หูแว่วเสียงทุ้มนุ่มหูร้องเรียกชื่อตนดังมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่แผ่วเบาเหลือเกิน จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัวก็มืดสนิท
***********************************************************
ที่นี่คือที่ไหน? คำถามแรกผุดขึ้นมาในหัว เมื่อเห็นอาคารพาณิชย์สามคูหาสูงสี่ชั้นตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ตัวอาคารมีสภาพค่อนข้างทรุดโทรม สีอาคารซีดจางแลดูเก่า บางส่วนกะเทาะหลุดลอกมองเห็นเนื้อปูนเด่นชัด
นลินยืนมองอาคารตรงหน้าอย่างครุ่นคิด คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นอาคารหลังนี้มาก่อน แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นจากที่ไหน ขณะที่ยืนครุ่นคิดอยู่นั้น หญิงสาวร่างสูงโปร่ง ใบหน้าสวยเฉี่ยว ตาคมดุ ผมยาวสลวยสีดำรวบขึ้นสูง ในชุดเสื้อแขนยาวสีขาว กระโปรงยาวกรอมเท้าสีเดียวกันกับเสื้อ ก็เดินผ่านหน้านลินไป
นลินมองตามหญิงสาวขุดขาวไปอย่างสนใจ รู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก และเหมือนจะรู้ตัวว่าถูกมอง หญิงสาวชุดขาวก็หันมามองนลินพร้อมกับยิ้มให้ แต่เป็นรอยยิ้มที่เศร้าเหลือเกิน
“นลิน” เสียงเรียกจากหญิงชุดขาวลอยมาแผ่วเบา นลินแน่ใจว่าไม่เห็นเธอคนนั้นขยับปาก แล้วเสียงนั่นดังมาจากไหน หญิงสาวชุดขาวเดินเข้ามาใกล้ ลักษณะการเคลื่อนไหวดูแปลกตา เธอเดินเหมือนลอยเอื่อยๆ เรี่ยมาตามพื้นดิน คล้ายภาพสโลว์โมชั่นที่เห็นกันดาษดื่นในภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์ทั่วไป
เธอเดินเข้ามาใกล้ทุกที จนอยู่ห่างจากนลินไม่กี่ก้าว นลินขยับถอยหลังอย่างตกใจ เมื่อเห็นหน้าผู้หญิงชุดขาวชัดๆ ใบหน้าสวยเฉี่ยวสะดุดตา ซีดขาวราวกับกระดาษ โหนกแก้มสูงซูบตอบ ปากบางหยักได้รูปสวยสีม่วงคล้ำ แค่นี้ก็น่ากลัวมากพออยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้นลินใจหายหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ก็คือ นัยน์ตาคมดุคล้ายตาเหยี่ยวที่ลึกโหล คลอไปด้วยหยาดน้ำตาสีแดงสด ที่กำลังหยดลงมาตามร่องแก้มเป็นทางยาวนั่นต่างหาก
นลินหันหลังจะวิ่งหนี แต่ต้องร้องกรี๊ดออกมา เมื่อข้อมือถูกมือขาวซีดฉุดรั้งเอาไว้ แค่หล่อนกระตุกมือเบาๆ ร่างของนลินก็ถูกดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของผู้หญิงคนนั้นอย่างง่ายดาย
“ปละ..ปละ..ปล่อยนะ” นลินพูดเสียงสั่น พยายามดิ้นรนให้พ้นจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย แต่ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไหร่ อ้อมแขนเย็นเยียบก็ยิ่งรัดร่างนลินไว้แน่นมากขึ้นเท่านั้น
“ช่วยฉันด้วย ปลดปล่อยฉันที ทรมานเหลือเกิน” หญิงสาวชุดขาวพูดปนสะอื้น พลางซบหน้าลงบนไหล่ของนลินแล้วร้องไห้ออกมา น้ำตาร่วงพรูเป็นทางยาวราวกับทำนบแตก หยดบนเสื้อผ้าของนลินจนเปียกชุ่ม
นลินยืนตัวแข็งทื่อ ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังกันเข้ามา ทั้งหวาดกลัว ทั้งสงสาร ขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก ผู้หญิงคนนี้คงเป็นส้มโอ เพียงแค่คิด ผู้หญิงชุดขาวก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม ไม่ผิดแน่ ส้มโอจริงๆ ด้วย! ที่ผ่านมา ส้มโอคงเจ็บปวดและทรมานมากสินะ ถูกคนใจร้ายฝังร่างไว้ในผนังห้องน้ำที่เย็นเยียบและมืดมิดแบบนั้น หากมีใครมาทำแบบนี้กับเราบ้าง มันก็คงเจ็บปวดและทรมานไม่ต่างกัน!
คิดแล้วนลินก็น้ำตาซึม รู้สึกสงสารและเวทนาส้มโอจับใจ ความรู้สึกของคนเราสื่อถึงกันได้จริง อย่างที่เคยมีคนบอกเอาไว้หรือเปล่านั้น นลินไม่รู้หรอก แต่เพียงแค่นลินนึกถึงเรื่องราวของส้มโอ คล้ายกับว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงความรู้สึกของนลิน อ้อมแขนเย็นเยียบที่กอดร่างนลินเอาไว้ จึงกระชับวงแขนแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม เสมือนหนึ่งแทนคำขอบคุณจากหัวใจ
นลินสะอื้นออกมาเบาๆ อ้อมกอดของส้มโอเย็นเยียบก็จริง แต่น่าแปลก ที่นลินไม่ได้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย ใครว่าอ้อมกอดของคนตายนั้นน่ากลัว นลินอยากเถียงว่าไม่จริง อ้อมกอดของคนตายก็สามารถสร้างความอบอุ่นให้เกิดขึ้นในหัวใจได้เช่นกัน ยิ่งถ้าอ้อมกอดนั้นเป็นของคนที่เรารักหรือรู้สึกดีๆ ด้วย ต่อให้อ้อมกอดนั้นเยียบเย็นปานน้ำแข็งสักเพียงใด แต่สำหรับเราแล้ว มันก็เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นเสมอ
“ปลดปล่อยฉันด้วยนะ นลิน ได้โปรด” ส้มโอพูดเสียงแผ่วเบา ร่างค่อยๆ เลือนหายละลายไปในอากาศ นลินรู้สึกใจหาย ใช้มือฉุดรั้งร่างนั้นเอาไว้ แต่สิ่งที่คว้าได้มีแค่เพียงความว่างเปล่า
“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป!” นลินตะโกนสุดเสียง แต่เสียงกลับหลุดออกมาแค่แผ่วเบา
เสียงร้องเรียกของนลิน ทำให้ส้มที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียง รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเข้ามาใกล้ ก้มมองหน้าซีดเซียวของนลินอย่างดีใจ แล้วพูดขึ้น
“พี่ลินรู้สึกตัวแล้ว เป็นยังไงบ้างคะ”
นลินหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่เห็นคือใบหน้ายิ้มแป้นของส้มที่ก้มมองมา นลินกะพริบตาถี่ๆ สองสามครั้ง เพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงจ้าของหลอดไฟนีออนขนาดใหญ่ที่อยู่กลางห้อง
“พี่ลินอยู่โรงพยาบาลค่ะ เมื่อคืนตอนที่พี่ลินเข้าไปดูพี่สมภพทำงาน จู่ๆ พี่ลินก็หมดสติไป พี่สมภพเลยพามาส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่าร่างกายพี่ลินเกิดอาการช็อกเฉียบพลัน หากมาช้ากว่านี้อีกนิด อาจช่วยไม่ทัน” ส้มบอกพลางบีบมือนลินเบาๆ นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วอดใจหายไม่ได้
ตอนที่สมภพอุ้มร่างหมดสติของนลินวิ่งลงบันไดมา ส้มกับหญิงเพิ่งกลับมาจากร้านเช่าหนังที่หน้าปากซอยพอดี จำได้ว่านลินหน้าซีดมาก ตัวเย็นเฉียบแต่เหงื่อซึมทั่วร่างจนเสื้อเปียกชุ่ม เห็นแล้วส้มเกือบจะร้องไห้ออกมา แต่โดนหญิงดุใส่ว่า อย่าร้องเดี๋ยวเป็นลางไม่ดี พอพูดจบหญิงก็ฉุดมือส้มให้วิ่งตามสมภพมาที่รถ เพื่อขอตามไปที่โรงพยาบาลด้วย โชคดีที่โรงพยาบาลอยู่ไม่ไกล นลินจึงได้รับการช่วยเหลือทันท่วงที ไม่อย่างนั้นล่ะก็..
“เหรอจ๊ะ แสดงว่าพี่หัวแข็งใช่ไหม ถึงรอดมาได้” นลินพูดพลางยิ้มให้ นึกว่าตัวเองตายไปแล้วซะอีก
“พี่ลินอย่าพูดแบบนี้สิคะ พวกเรากับพี่สมภพเป็นห่วงพี่ลินมากนะคะ พี่ลินรู้ไหม ว่าเมื่อคืนพี่สมภพนั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินตั้งนานสองนานโดยไม่บ่นสักคำ แถมยังช่วยจัดการติดต่อเรื่องห้องพักพิเศษให้พี่ลินอีกด้วย พอจัดการเรื่องห้องพักเสร็จแล้ว พี่สมภพก็ถามพวกเราว่า คืนนี้ใครจะนอนเฝ้าพี่ลิน พอพวกเราบอกว่าจะอยู่ที่นี่ด้วยกันทั้งคู่ พี่สมภพก็ให้หญิงติดรถแกกลับไปเอาเสื้อผ้าที่หอ เสร็จแล้วแกก็พามาส่งที่นี่ค่ะ”
“แล้วพอพี่ลินออกจากห้องฉุกเฉินย้ายเข้ามาอยู่ในห้องนี้ พี่สมภพก็ตามขึ้นมาดูพี่ลินอยู่พักใหญ่ ก่อนจะขอตัวกลับบ้าน เมื่อเช้าพี่สมภพก็แวะมา แต่พี่ลินยังไม่รู้สึกตัว แกก็เลยบอกว่าเดี๋ยวเย็นๆ จะแวะมาใหม่ค่ะ” ส้มเล่าให้ฟังเป็นฉากๆ จนนลินนึกภาพตามได้ทันที นึกขอบคุณความมีน้ำใจของสมภพ ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่วันเดียวแท้ๆ แต่สมภพก็เอาใจใส่และดูแลช่วยจัดการเป็นธุระทุกอย่างให้อย่างดี จนอดตื้นตันใจไม่ได้
“แล้วนี่กี่โมงแล้วจ๊ะ”
“จะบ่ายสามแล้วค่ะ พี่ลินหมดสติไปตั้งหนึ่งคืนกับเกือบหนึ่งวัน ทำเอาส้มกับหญิงใจเสีย กลัวพี่ลินจะไม่ฟื้นขึ้นมา นี่พวกเรากะว่าถ้าเย็นนี้พี่ลินยังไม่ฟื้น พวกเราจะไปบนกับเจ้าที่ที่หอขอให้พี่ลินฟื้นค่ะ”
“ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะ เปลืองเงินโดยใช่เหตุเปล่าๆ”
“ไม่หรอกค่ะ ถ้าได้พี่ลินกลับคืนมา ต่อให้จ่ายเงินซื้อของเซ่นไหว้มากกว่านี้ พวกเราก็ยอมจ่ายค่ะ หญิงบอกว่าถ้าบนด้วยของกินแล้วพี่ลินยังไม่ฟื้น หญิงจะบนด้วยการแก้ผ้ารำถวาย คราวนี้ถ้าไม่ฟื้นก็ให้มันรู้ไป แต่มีข้อแม้ว่าต้องรำกลางคืนหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้ถูกตำรวจจับ ข้อหาทำอนาจารในที่สาธารณะ”
นลินหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำพูดของส้ม ใช่แต่สมภพเท่านั้นที่มีน้ำใจ แต่ส้มกับหญิงก็มีน้ำใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จะว่าไปแล้ว ในสังคมเมืองใหญ่ๆ ที่ต่างคนต่างใช้ชีวิตกันอย่างเร่งรีบ แก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นเพื่อเอาตัวรอดนั้น สิ่งที่หาได้ยากยิ่งก็คือ ความมีน้ำใจและความเอื้ออาทร นลินคิดว่าตัวเองโชคดีเหลือเกิน ที่ได้รู้จักส้ม หญิงและสมภพ อย่างน้อยสามคนนี้ก็ทำให้นลินเชื่อว่า ความมีน้ำใจและความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ยังคงมีหลงเหลืออยู่ในสังคมอันดีงามของคนไทย
“พูดถึงหญิงแล้วนึกขึ้นมาได้ ส้มบอกว่าหญิงก็อยู่เฝ้าพี่ที่นี่ด้วยใช่ไหมจ๊ะ แล้วนี่หญิงหายไปไหน ทำไมพี่ไม่เห็น” นลินถามหลังจากหยุดหัวเราะแล้ว
“หญิงลงไปซื้อของกินข้างล่างค่ะ คิดว่าเดี๋ยวคงขึ้นมา เพราะลงไปนานแล้ว” ส้มพูดไม่ทันขาดคำ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นสองครั้ง ก่อนเปิดเข้ามา หญิงซึ่งถือถุงใส่ขนมขบเคี้ยวเต็มสองมือก็เดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นนลินส่งยิ้มมาให้จากที่นอน หญิงก็ยิ้มกว้าง เดินเข้ามาหาทันที
“ดีใจจัง พี่ลินฟื้นแล้ว”
“จ้ะ เพิ่งรู้สึกตัวเมื่อกี้เอง แล้วนี่ซื้ออะไรมาเยอะแยะเชียว” นลินถาม ขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง หญิงจึงเข้ามาช่วยพยุงร่างนลินให้นั่งพิงพนักเตียงแล้วตอบ
“ขนมกรุบกรอบค่ะ แต่พี่ลินกินไม่ได้ เพราะคุณหมอสั่งห้ามเอาไว้ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหญิงกับส้มจะกินชดเชยในส่วนของพี่ลินให้เอง”
“ขอบใจมากจ้ะ แล้ววันนี้เราสองคนไม่ไปเรียนหรือจ๊ะ” นลินสงสัย
“พวกเราลากิจหนึ่งวันค่ะ เมื่อเช้าส้มโทรไปบอกให้เพื่อนในกลุ่มช่วยบอกอาจารย์ว่า พี่สาวพวกเราไม่สบาย นอนซมอยู่ที่โรงพยาบาล จำเป็นต้องมีคนดูแล จึงขอลาหยุดหนึ่งวันค่ะ แต่พี่ลินไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ที่จริงวันนี้พวกเรามีเรียนช่วงเช้าแค่สองวิชาเอง ถึงจะหยุดเรียนไปหนึ่งวัน พวกเราก็ตามเพื่อนๆ ทันค่ะ เพราะพวกเราเรียนเก่ง” ส้มรีบบอกให้นลินสบายใจ แต่นลินก็ยังกังวลอยู่ดี ที่เป็นสาเหตุให้สองสาวต้องหยุดเรียน
“พี่ลินอย่าทำหน้าแบบนี้สิคะ พวกเราเป็นห่วงพี่ลินจริงๆ ไม่อยากทิ้งพี่ลินให้นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลคนเดียว กลัวว่าเวลาพี่ลินตื่นขึ้นมาไม่เจอใคร แล้วจะเหงา น่า ยิ้มหน่อยนะคะ” หญิงอ้อนเสียงหวาน นลินถอนหายใจเบาๆ อยากจะโกรธก็โกรธไม่ลง รู้ว่าที่ทั้งคู่ยอมหยุดเรียนก็เพราะหวังดีและเป็นห่วงตนจริงๆ
“จ้ะ ยิ้มก็ได้ แต่วันหลัง อย่าทำแบบนี้อีกนะ พี่ไม่อยากให้เราสองคนโดดเรียน”
“ค่า” สองสาวพร้อมใจกันลากเสียงยาวก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ
“พี่ลินนอนพักเถอะค่ะ กว่าน้ำเกลือขวดนี้จะหมดก็คงเย็นๆ พอดี เดี๋ยวพวกเราจะนั่งเฝ้าพี่ลินเองค่ะ” ส้มบอกพลางพยุงร่างนลินให้เอนตัวลงนอน ส่วนหญิงก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้
“ขอบใจจ้ะ” นลินยิ้มให้แล้วหลับตาลง เพียงไม่นานก็หลับสนิท โดยมีส้มกับหญิงนั่งอ่านหนังสือ เฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ยอมไปไหน
****************************************************
thongyod
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 เม.ย. 2554, 16:28:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 เม.ย. 2554, 18:41:26 น.
จำนวนการเข้าชม : 1954
<< ตอนที่ 4 | ตอนที่ 6 >> |