หยกซ่อนลาย สนพ.เดซี่
ชายหนุ่มหลับตาลงใช้ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลรับรู้ถึงบรรยากาศรอบตัว ลมทะเลที่พัดเข้ามาปะทะผิวเป็นระยะ กลิ่นอายของทะเล กลิ่นอายของความหลัง เกมแห่งความเจ็บปวดมันกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง เขาจะเป็นผู้เปิดเกมนี้เองและเชื่อว่าครั้งนี้เขาต้องชนะ!!

ตีพิมพ์กับสนพ.เดซี่ ก.พ. ปี 2556 ค่ะ
Tags: คีตา ณิชนิตา หยกซ่อนลาย

ตอน: บทที่ 1(แก้ไข)

บทที่ 1

หนึ่งปีหลังจากนั้น...

เสียงจอแจในห้องจัดเลี้ยงดังมาตั้งแต่ช่วงเย็น ห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ดูคับแคบไปถนัดตาเมื่อผู้คนที่มาร่วมงานมากมายทั้งผู้มีชื่อเสียง นักธุรกิจไฮโซ นักข่าวจากหลายสำนัก ต่างก็อยากเห็นการเปิดตัว เพชรคอลเล็คชั่นใหม่ของ ร้าน เกรซ หนึ่งในสาขาของศิริกรกรุ๊ป ผู้นำเข้าและส่งออกอัญมณี อันดับหนึ่งของประเทศไทย
อากิระ สวมสูทสีดำดูเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า รอบๆ ตัวเขามีนักธุรกิจหลายคนยืนรอที่จะพูดคุยด้วย

“สวัสดีครับผมขอแนะนำนะครับคุณอากิระ เจ้าหุ้นส่วนของร้านเกรซคนใหม่” ชายหนึ่งในกลุ่มสนทนาเอ่ยแนะนำ

“พูดไทยได้ไหมครับ” ชายคนหนึ่งถาม

“ครับ ผมเป็นลูกเสี้ยวมีส่วนหนึ่งที่เป็นไทย” อากิระพยักหน้ารับ

“มิน่าถึงเลือกลงทุนในไทย ได้ยินมาว่าที่ผ่านมาคุณทำธุรกิจบันเทิงมากกว่านี่ครับทำไมมาจับธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องประดับนี่ละ” อีกคนเอ่ยถามขึ้นมาอย่างสนใจ

“มันก็น่าทำไม่ใช่เหรอครับ อะไรที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ผมก็อยากจะทำทั้งหมดนั่นแหละครับ” อากิระบอกพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก เขามางานเลี้ยงนี้ก็เพื่อเจรจาธุรกิจที่เพิ่งเริ่มเป็นหุ้นส่วนกันและจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคนของตระกูลศิริพัฒนากรเกือบทุกคน นี่ต่างหากเป้าหมายหลักของเขา

“มาทำธุรกิจในไทยอย่างนี้ ชอบสาวไทยหรือเปล่าครับคุณอากิระ” ถามจบหัวเราะในลำคอเหตุเพราะอยากหยอกล้อหนุ่มลูกครึ่งที่หล่อใสจนสาวๆ ต้องเหลียวหลัง

อากิระเข้าใจว่าข่าวของเขากับสาวไทยออกหน้าสังคมทุกวันนั้นแทบจะเป็นเรื่องปกติโดยเฉพาะสาวคนนั้นคือ จีดานันท์ สาวสวยแสนเปรี้ยวเจ้าของร้านเสื้อผ้าชื่อดัง ที่สำคัญชายหนุ่มไม่เคยปฏิเสธข่าวนั้นเลยซักครั้ง มันยิ่งย้ำชัดเจนว่าทั้งคู่เป็นอะไรกัน เขายังคงใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่รอยยิ้มเริ่มกว้างขึ้นอีกเมื่อได้ยินคำถาม

“ผมว่าผู้หญิงไทยเป็นผู้หญิงที่สวยนะครับ สวย สง่า เป็นที่ชื่นชมสำหรับผู้ชายหลายเชื้อชาติ”

“แล้วรวมคนที่อยู่บนเวทีหรือเปล่าครับ” เสียงหนึ่งเย้าแหย่

อากิระเงยหน้าขึ้นไปมองบนเวที สาวสวยร่างสูงเพรียวเดินโฉบเฉี่ยวมาบนเวทีด้วยชุดสีแดงเพลิง เธอดูทรงพลังเมื่ออยู่บนเวที ชายหนุ่มยิ้มกว้างกำลังจะตอบคำถามนั้น แต่อยู่ๆ ก็มีเสียงเหมือนอะไรบางอย่างลอยหล่นลงมากระทบพื้นเวทีเสียงดัง
ทุกคนในห้องเงียบกริบทันทีที่เห็นว่ามีร่างของใครบางคนหล่นลงมากลางเวที นางแบบสองสามคนที่เพิ่งก้าวออกมารีบถอยกรูทันที ร่างใหญ่นอนคว่ำหน้าแน่นิ่งลงกับพื้นเวทีซึ่งปูด้วยพรมสีแดงเลือดหมู น้ำข้นสีแดงสดนั้นไหลออกมาจากปากและศีรษะเจิ่งนองเปื้อนพรมสวยนั้นด้วยเวลาไม่กี่นาที เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจเริ่มดังไปทั่วบริเวณงาน

อากิระรีบวิ่งเข้าไปดูสีหน้าเรียบนั้นตื่นตระหนกเพียงเล็กน้อย เจ้าของร่างตรงหน้าไม่มีลมหายใจแล้ว ชายหนุ่มที่นอนแน่นิ่งอยู่นั้น อากิระจำเค้าหน้าเขาได้อย่างดีเพราะเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าเข้ามาในงานเขาเพิ่งได้พูดคุยกัน ธนวัฒน์ ศิริพัฒนากร เจ้าของงานแสดงเครื่องเพชรที่กำลังดำเนินมาถึงเกือบครึ่งงานแล้ว ธนวัฒน์สวมสูทสีดำทั้งชุด ข้อมือขาวใหญ่บิดไปด้านหลังมีรอยเขียวช้ำเพียงเล็กน้อย

อากิระเงยหน้าขึ้นมองจุดที่คาดว่าเขาจะตกลงมา ชั้นบนมีเพียงโครงเหล็กหนึ่งชั้นและมีเหล็กทึบกั้นไว้อีกชั้นหนึ่งเพื่อกั้นระหว่างโครงไฟแสงสีที่จะส่องลงมาบนเวที...เขาตกลงมาระหว่างการดูและเรื่องของไฟบนเวทีอย่างนั้นหรือ?

ไม่นานหน่วยรักษาความปลอดภัยของโรงแรมก็มาถึงพร้อมกับตำรวจสองนาย แสงแฟลชเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อนักข่าวได้สติและกรูกันเข้ามาถึงที่เกิดเหตุแทบจะชิดติดกับคนตายเลยทีเดียว

นายตำรวจหนุ่มคนหนึ่งมาถึงที่เกิดเหตุด้วยท่าทีไม่เร่งรีบอย่างเช่นคนอื่น เขาเหลือบมองไปรอบๆ บริเวณงานก่อนจะสังเกตเห็นหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นยืนอยู่ข้างร่างที่นอนนิ่งเลือดมีเพียงหย่อมหนึ่งเท่านั้นไม่มากอย่างที่คาดคิดเอาไว้ นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้วแปลกใจพร้อมกับหันมามองอากิระอีกครั้ง

“สวัสดีครับคุณอากิระ” หมวดชัชพลทักนิดหนึ่งก่อนจะก้มลงมองศพ

“สวัสดีครับ” อากิระกล่าวทักทายตอบพร้อมกับยืนขึ้น เมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงแล้วเขาก็ไม่มีหน้าที่ต้องยืนอยู่ตรงนี้อีกต่อไป

“ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่นะเนี่ย ปกติเจอแต่ที่ร้านอาหารเลยรู้สึกเหมือนแปลกๆ ” นายตำรวจหนุ่มหันมายิ้มให้อากิระอีกครั้ง อากิระยิ้มตอบ เขารู้จักนายตำรวจคนนี้มาตั้งแต่ย้ายมาอยู่เมืองไทยในช่วงต้นปีด้วยความบังเอิญ หมวดชัชพลเงยหน้าขึ้นจากร่างที่นอนนิ่งซึ่งตอนนี้ไม่หายใจแล้วก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง

“บอกให้รปภ.ห้ามคนในห้องนี้ออกไปจนกว่าผมจะสั่ง สอบปากคำทุกคนและลงบันทึกชื่อไว้ให้หมดหามเล็ดลอดแม้แต่คนเดียว” หมวดชัชพลหันไปสั่งลูกน้องที่มาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“มีใครรู้บ้างว่าเขาคือใคร”

“คนตายชื่อ ธนวัฒน์ ศิริพัฒนากร เจ้าของงานงานนี้” อากิระตอบน้ำเสียงเรียบแต่คนฟังกลับทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที ดวงตาทั้งคู่ของนายตำรวจหนุ่มดูเหมือนจงใจที่จะจ้องหน้าอากิระทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น

“คุณรู้อะไรอีกไหม” นายตำรวจหันกลับมาเผชิญหน้าอากิระ แต่เขากลับส่งยิ้มให้

“ผมรู้แค่นั้นแหละครับ” อากิระตอบกลับทันที

“โอเค ถ้าอย่างนั้นขอสอบปากคำคนที่เห็นเหตุการณ์หน่อย” หมวดชัชพลหันไปบอกลูกน้องโดยไม่เจาะจงไปที่ใครกวาดสายตามองหาพยานที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
อากิระถอยออกมาพอดีกับจีดานันท์เดินเข้ามาหา สีหน้าของหญิงสาวดูเครียดขรึมแต่แววตาไม่แสดงอาการเสียใจหรือตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

“พี่เป็นอะไรไหมคะ” จีดานันท์เอ่ยถามอากิระทันที เขาส่ายหน้าเล็กน้อย แววตาคู่นั้นเหมือนกับยิ้มมากกว่าหญิงสาวคิดว่า อากิระ กำลังยิ้มเยาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกหวั่นกลัวผู้ชายตรงหน้า เธอรู้ว่าอากิระเป็นผู้ชายที่ดูภายนอกเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดูเป็นสุภาพบุรุษมากแต่จริงๆ แล้วเขามีเงาดำที่น่ากลัวซ้อนทับอยู่เสมอ

เสียงกรีดร้องอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมกับร่างเล็กของหญิงวัยสี่สิบที่ฝ่าวงล้อมของคนที่มุงดูเหตุการณ์

“วัฒน์!! เกิดอะไรขึ้นทำไมวัฒน์ถึงได้เป็นแบบนี้” เสียงสั่นพร่านั้นทำเอาคนมองดูต่างสะเทือนใจ

“ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลทีสิ” น้ำเสียงนั้นสั่นเครือทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด แม้ว่าทางตำรวจจะเข้ามาช่วยพยุงและเอาตัวของเธอออกมาแต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้เรื่องยุ่งไปกว่าเดิม

“ผมต้องรบกวนญาติออกจากตรงนี้ก่อนได้ไหมครับ ไปสงบจิตใจเสียก่อนนะครับ ผมเสียใจที่ต้องพูดแบบนี้แต่เขาเสียชีวิตแล้วครับ” หมวดชัชพลเอ่ยปรามไว้แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเท่าใดนัก

“พอได้แล้วแก้วตา กลับไปพักตรงโน้นก่อน ฉันจะจัดการตรงนี้เอง” เสียงนั้นเป็นเหมือนระฆังช่วยหยุดแก้วตาไม่ให้ดิ้นรน น้ำเสียงเฉียบนั้นมาจากปากเล็กสีแดงของหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของศิริกรกรุ๊ป ยาใจ ศิริพัฒนกร

“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อ ยาใจ ศิริพัฒนากร เป็นป้าของธนวัฒน์ค่ะ”

“สวัสดีครับ ตอนนี้เราต้องรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน คุณยาใจช่วยจัดการเรื่องแขกด้วยได้ไหมครับ ผมอยากได้รายชื่อแขกที่มางานทั้งหมด ตอนนี้เราปิดทางเข้าออกงานไว้หมดแล้ว ต้องตรวจ...”

“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกคะ แขกที่มางานนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีชื่อเสียงในวงสังคมถ้าจะสอบปากคำคนที่เข้ามาร่วมงานทั้งหมดคงต้องใช้ตำรวจทั้งโรงพักกระมัง เอาเป็นว่าฉันจะให้รายชื่อและเบอร์โทร.ไว้เพื่อให้คุณนัดสอบปากคำทีหลัง ตอนนี้ต้องให้พวกเขากลับไปก่อน” ยาใจค้านขึ้นทันทีสีหน้าเครียด หมวดชัชพลได้แต่ถอนหายใจเหมือนชั่งใจที่จะจัดการเรื่องดังกล่าว ก่อนจะยอมทำตามยาใจพูด

อากิระที่มองดูเหตุการณ์ แววตาคมนั้นจ้องมองแทบไม่กระพริบ รอยยิ้มเหยียดผุดขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเบือนหน้าหนี เดินจากมาอย่างเงียบเชียบ

“ชัชเฮ้!” เสียงแหลมๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้นายตำรวจหนุ่มหันกลับไปมอง เพราะคิดว่าคงมีใครซักคนเรียกชื่อเขาอยู่เป็นแน่ พอหันไปก็เจอหญิงสาวร่างเล็ก ใบหน้าคม ผมยาวสีน้ำตาลแดงที่ถูกมวยสูงไว้บนหัวแทนการปล่อยยาวสลวย เธอสวมกางเกงยีนส์สีดำกับเสื้อเชิ้ตสีขาวสะพายย่ามลายดอกอย่างที่เคยเห็นจนเจนตา นี่คือเอกลักษณ์ของเพื่อนสนิทของเขา วิรตา อัครพล นักข่าวสายอาชญากรรมของสำนักข่าวชื่อดัง

“อ้าว!! แอ้มเข้าเวรเหรอ” เขาทักท่าทางคุ้นเคย หญิงสาวยักคิ้วให้แต่สีหน้าเหมือนระอากับสิ่งที่จะทำเหลือเกิน

“ไอ้เต้มันลาน่ะ เมียป่วยกะทันหันแล้วเรื่องเป็นยังไงบ้างชัชเล่าให้ฟังหน่อยสิ” วิรตากล่าวเข้าเรื่องแม้จะแอบบ่นอยู่บ้าง นายตำรวจหนุ่มหัวเราะก่อนจะทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที

“ยังบอกไม่ได้ครับคุณนักข่าว ตอนนี้ผมกำลังทำงานอย่างเต็มที่ขอตัวนะครับ” เท่านี้หมวดชัชพลก็หันกลับไปทำงานต่อ

วิรตาได้แต่มองตามหลังเพื่อนรักด้วยความหงุดหงิดอุตส่าห์คิดว่าจะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวทำให้งานราบรื่นแล้วแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าโดนเพื่อนแกล้งกลับ เธอเข้าเวรดึกมาสองวันแล้วหลังจากเพื่อนร่วมงานมีปัญหากับภรรยาที่บ้านปล่อยให้คนโสดอย่างเธอต้องมาทำงานกลางดึกอยู่คนเดียว หญิงสาวหันไปหาคนที่อยู่ในงานเพื่อสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ้างแต่กลับไม่ได้อะไรเลยแม้คนที่ให้ข้อมูลจะยืนอยู่ใกล้ศพที่สุดก็ตาม

“ไม่รู้หรอกเห็นก็แค่ตอนที่ตกลงมาเลือดงี้เปรอะไปหมด อ้อ!!คุณอากิระไงเขาเป็นคนเข้าไปดูศพเป็นคนแรก” หญิงวัยกลางคนในชุดราตรีสีน้ำเงินซึ่งตอบคำถามเธอด้วยสีหน้าตระหนก

“ใครหรือคะ?”

“อ้าว...หนูไม่รู้จักหรอกหรือนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นกำลังรุ่งนะเป็นนักข่าวประสาอะไรไม่รู้จักคุณอากิระ” คุณนายชุดราตรีสีน้ำเงินมองหน้าวิรตาเหมือนเป็นสิ่งประหลาดมหัศจรรย์

วิรตากระพริบตาถี่ๆ เมื่อโดนว่าเอาอย่างนั้น ก็เธอเป็นนักข่าวอาชญากรรมไม่ได้เป็นนักข่าวสายเศรษฐกิจนี่นา หญิงสาวบ่นในใจ แม้รู้ตัวว่ามันเป็นข้ออ้างแต่การที่เธอไม่ค่อยชอบทำความรู้จักกับคนรวยมันผิดด้วยหรือ

“ขอบคุณนะคะ คุณนายช่วยได้มากเลยค่ะ” เธอกล่าวทั้งยิ้มหวานส่งให้แม้ในใจคือคำพูดประชดก็ตามที

วิรตากวาดสายตาไปหาใครซักคนที่หน้าตาออกโทนเชื้อชาติชาวญี่ปุ่นจนเจอชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าคมคาย ดวงตาชั้นเดียว ผิวขาวจนเกือบจะซีด ที่กำลังเดินออกไปจากงาน หญิงสาวรีบวิ่งไปหาแต่ด้วยคนเยอะกำลังเบียดเสียดกันเพื่อจะเข้าชี้แจงกับตำรวจจนกลายเป็นสิ่งกีดขวางของเธอ ภาพล่าสุดที่เธอพยายามมองหาเขาก็คือ ชายหนุ่มเดินออกไปจากตัวโรงแรมพร้อมกับหญิงสาวสวยแล้วอย่างหวุดหวิด

“พลาดจนได้ แล้วนี่ตำรวจทำไมไม่กักตัวไว้เป็นพยานเนี่ย” หญิงสาวบ่นออกมาพลางคิดถึงคำพูดของคุณหญิงชุดราตรีสีน้ำเงินได้

“คงจะเส้นใหญ่น่าดูขนาดเกิดเรื่องคนตายในงานยังออกไปก่อนได้ โลกนี้ไม่ยุติธรรมเสียเลย” เธอบ่นก่อนจะเดินกลับเข้าไปในงานแล้วหันไปมองหาหมวดชัชพลทันที นึกคาดโทษเพื่อนที่ยอมให้นักธุรกิจคนนั้นหลุดออกไปจากงานเลี้ยงได้

เมื่อรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดแล่นออกจากโรงแรมได้ไม่นาน หญิงสาวในชุดราตรีสีแดงก็ถอนหายใจยาว สีหน้ากังวลและเหน็ดเหนื่อย ชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถมองผ่านกระจกแล้วอมยิ้ม ดวงหน้าเข้มของเขาดูจะขบขันสีหน้าของหญิงสาวมากกว่าจะแสดงความกังวลใจร่วมไปด้วย

“เรื่องเมื่อครู่ฝีมือพี่หรือเปล่าค่ะ” จีดานันท์กลั้นใจถามไปแม้จะเชื่อใจชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ แต่มันก็ยังแอบคิดว่า...จะใช่เขาหรือเปล่า...

“พี่ไม่ทำแบบนั้นหรอกการฆ่าคนไม่ใช่ทางที่พี่เลือกพวกนั้นไม่สมควรได้รับแค่ความตาย” น้ำเสียงเรียบขรึมแต่ลึกไปด้วยความรู้สึกทำให้คนฟังสองคนเงียบไปด้วย

เช้าวันต่อมาเสียงโทรศัพท์มือถือของอากิระดังขึ้นมานานแล้วแต่เจ้าของไม่มีทีท่าว่าจะกดรับเลย จีดานันท์มองเหตุการณ์นั้นเงียบๆ จนทนไม่ไหวจึงถามขึ้นน้ำเสียงออกรำคาญ

“พี่หยกไม่รับโทรศัพท์ละคะ” จีดานันท์ถามก่อนจะตักข้าวเข้าปาก

“ไม่ละปล่อยไปอย่างนั้นเถอะ” อากิระยังคงไม่สนใจ

“ใครกันเหรอคะทำไมถึงไม่ยอมรับ”

“พวกนักข่าวนิตยสารมาขอสัมภาษณ์พี่ยังไม่อยากคุย”

“การเป็นคนดังนี่น่ารำคาญขนาดนั้นเลยเหรอคะ” ว่าพลางหัวเราะเสียงใส กับข้าวบนโต๊ะที่มีสองสามอย่างซึ่งคนที่สั่งชุดกับข้าวยังไม่มาถึงโต๊ะเลยทำให้หญิงสาวกวาดสายตามองหาไปทั่ว

“เพชรไปไหนคะไม่เห็นแต่เช้าเลย” จีดานันท์ขมวดคิ้วพยายามสอดส่ายมองหาเพทายหวังว่าเขาจะกำลังเข้าเดินเข้ามาในห้องอาหาร

“เขาบอกว่าต้องไปโรงพยาบาลเช้านี้ลาหยุดไปวันหนึ่งคงมีเรื่องที่ต้องไปทำ” อากิระบอกน้ำเสียงเรียบ

จีดานันท์พยักหน้ารับเข้าใจแต่โดยดีไม่มีคำถามต่อไป เพทายเป็นอดีตนักเรียนแพทย์แต่ลาออกมาทั้งๆ ที่เหลืออีกแค่ปีเดียวก็จบแม้เธอจะพยายามห้ามแต่ดูไม่เป็นผลเท่าไหร่ เขาคงไปหาแม่บุญธรรมเพื่อดูแลเธออย่างที่ทำเป็นประจำ

ชายหนุ่มจิบกาแฟอีกนิดเดียวก็ลุกขึ้นเตรียมตัวออกไปข้างนอก ลูกน้องคนสนิทเดินเข้ามาพร้อมกับเสื้อสูทส่งให้เจ้านายก่อนจะโค้งตัวคำนับ

“พี่คงต้องไปโรงพักเขาโทร.มาให้ช่วยเล่าเรื่องเมื่อคืนอีกครั้งนะ”

“อ้าว งั้นอาหารเช้าวันนี้ก็เป็นหมันน่ะสิ ลินอุตส่าห์ทำนะพี่หยก ทั้งพี่หยกทั้งนายเพชรก็ไปกันหมดเลย” จีดานันท์อุทานเสียงเศร้าลืมตัวว่าได้เอ่ยชื่อเดิมของพี่ชายและน้องชายอย่างลืมตัว

“เอาเถอะเย็นนี้พี่จะชดเชยให้ พี่จะรีบกลับมานะ” อากิระลูบผมน้องสาวเบาๆ นึกขอบคุณที่เธอยังมีชีวิตอยู่และเป็นคนดี

“จริงสิ ลินเห็นพี่หยกพูดกับนายตำรวจคนนั้นเหมือนสนิทกันรู้จักกันมาก่อนหรือคะ” จีดานันท์สงสัยมาตั้งแต่เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาแต่ยังตกใจกับเหตุการณ์เลยไม่ได้ถามพอนึกได้จึงรีบถามทันที

“พี่เคยเจอกับเขาตอนกลับมาจากญี่ปุ่นบนเครื่องบินน่ะเราถือว่า...เป็นเพื่อนในระดับหนึ่ง” อากิระพูดแค่นั้นแม้ว่าจะมีเรื่องที่ทำให้เขาวิตกเกี่ยวกับนายตำรวจคนนี้ เขาจำครั้งแรกที่ได้เจอกัน นายตำรวจหนุ่มมีมนุษยสัมพันธ์ทักดี ทักเขาก่อนด้วยสีหน้าแช่มชื่น

“สวัสดีครับ” หมวดชัชพลเอ่ยขึ้นก่อนพร้อมกับรอยยิ้มส่งให้เพื่อเริ่มมิตรภาพ

“ผมชื่อชัชนะครับพูดไทยได้ไหมครับ”

อากิระเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ เขายิ้มแทนคำตอบเพราะไม่อยากพูดด้วย เขาต้องการความเป็นส่วนตัวมากกว่า ก่อนจะเอ่ยภาษาญี่ปุ่นง่ายๆ ออกไปเพื่อแสดงว่าเขาไม่รู้ภาษาที่ชายหนุ่มพูด ทว่าหมวดชัชพลกลับหัวเราะขึ้นมาแทน

“ผมเห็นคุณอ่านหนังสือภาษาไทยคิดว่าน่าจะพูดได้น่ะครับ ถ้าไม่อยากคุยด้วยก็ไม่เป็นไรครับ” ชัชพลอธิบายในสิ่งที่สังเกตเห็น

“ขอโทษครับผมแค่อยากอ่านหนังสือเงียบๆ เลยเสียมารยาทกับคุณ” อากิระถอนหายใจ เขาพลาดเองที่เผลอลืมไปว่าถือหนังสือไทยอยู่

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าผมเป็นคุณ... ผมก็อาจจะทำแบบเดียวกันก็ได้” ชัชพลไม่ถือโกรธหนุ่มชาวญี่ปุ่น

“พอดีผมเห็นหน้าคุณแล้วนึกถึงเพื่อนสมัยเด็กน่ะครับเขาอยู่ข้างบ้านผมเราเป็นเพื่อนสนิทกันแต่โชคร้ายครอบครัวนี้ถูกไฟครอกเสียชีวิตทั้งครอบครัวตอนนั้นผมยังเด็กแทบช็อกที่ได้รู้ข่าวร้าย ไฟลามออกมาเกือบถึงบ้านผมแต่โชคยังดีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงสกัดไว้ทัน” คำบอกเล่าของหมวดชัชพลนั้นทำให้อากิระนั่งนิ่งมือเริ่มสั่นเทาเพราะภาพในอดีตหวนกลับมาอีกครั้ง

“เสียใจด้วยครับ” อากิระว่าพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนร่วมทาง

“ลูกครึ่งญี่ปุ่นเยอะนะครับ คงไม่ใช่ผมคนเดียวมั้ง”

“ผมยังไม่ได้บอกเลยนะครับว่าเขาเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น” ชัชพลหัวเราะออกมา แค่นั้นอากิระก็รู้ว่าตัวเองพลาดไปแล้ว

“ผมคิดว่าถ้าเขาเหมือนผมก็น่าจะเป็นลูกครึ่งเหมือนผมแค่นั้นเองไม่คิดว่าจะเดาถูก” อากิระซ่อนสีหน้าเจื่อนอาการหวั่นใจไว้อย่างมิดชิดภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้น

“คุณเป็นคนเก่งจริงๆ เดาถูกเสียด้วย “ หมวดชัชพลยกยอน้ำเสียงสูงทำให้อากิระเข้าใจว่า ประโยคนี้เป็นลักษณะการประชดมากกว่า

“ถ้าเขาตายไปแล้วถึงผมเหมือนเขาแค่ไหนผมก็ไม่ใช่เขาอยู่ดี” อากิระว่าพร้อมกับส่งยิ้มให้
“ใช่ทุกคนลงความเห็นว่าพวกเขาตายในกองไฟแต่ไม่มีใครพบศพพวกเขาเลยมีแต่ศพของแม่กับพ่อแต่ไม่เห็นศพของเด็กและพี่เลี้ยง” ชัชพลทำหน้าเครียดเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกครั้ง
“พวกเขา?” อากิระขมวดคิ้วทำเสียงสูงหน้าตาแปลกใจเหลือเกิน
“ครอบครัวนั้นมีลูกสามคน เพื่อนผม ชื่อหยกมีน้องฝาแฝดคู่หนึ่ง เรื่องนี้ทำให้ผมคิดอยากเป็นตำรวจมาตั้งแต่เด็กเพราะผมอยากตามหาพวกเขาแม้ว่าจะเป็นแค่เรื่องฝันลมๆ แล้งๆ ของผมเอง” น้ำเสียงนั้นเหมือนเล่าเรื่องทั่วไปแต่ดวงตาคมดูมุ่งมั่นและจริงจัง
อากิระมองตาของคู่สนทนาที่ดูเหมือนเจ็บช้ำกับเหตุการณ์ในอดีตเหลือเกิน เขาเองอยากบอกคนที่เจ็บปวดกับเรื่องในอดีตอีกคนหนึ่งว่า เขาสบายดีและจะกลับมาในไม่ช้านี้แล้ว...แต่ก็ได้แค่เงียบและส่งยิ้มบางๆ ให้
“ถ้าคุณคิดว่าผมเป็นเขาแล้วสบายใจก็คิดเถอะครับให้ผมเป็นเพื่อนคุณอีกคนก็ได้และผมเสียใจด้วยจริงๆ ” อากิระทำสีหน้าเห็นใจก่อนจะยื่นมือไปหาชัชพล นายตำรวจหนุ่มจับมือเพื่อนใหม่เขย่าเบาๆ ถือว่าเหตุการณ์นี้เป็นการเริ่มความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง เหตุการณ์เมื่อคืนแววตาของชัชพลแสดงออกเหลือเกินว่าไม่ไว้ใจเขา ชัชพลยังคิดเสมอว่า อากิระอาจจะเป็น ปกรณ์ หรือ หยก ในอดีตแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้แต่การตายของธนวัฒน์ก็เป็นเหมือนจุดด่างในหัวใจของชัชพลเสียแล้ว

อากิระหนุ่มนั่งดื่มกาแฟในร้านประจำ เหลือบมองบรรยากาศของสวนสวยในร้านด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย ร้านกาแฟร้านนี้จัดร้านได้สวยงามและเรียบง่ายมองดูแล้วสบายตา ด้านนอกประดับด้วยไม้ประดับและน้ำตกขนาดย่อม มีโต๊ะสำหรับนั่งดื่มอยู่สามสี่ที่
ส่วนด้านในติดกระจกใส มีโต๊ะอยู่สี่ห้าที่ เขาเลือกที่จะนั่งอยู่ด้านในสุดของร้านได้มองออกไปดูบรรยากาศข้างนอก ทั้งช่วงค่ำคืนที่ผ่านมามีฝนตก พื้นด้านนอกชื้นแฉะเกินไปที่จะนั่งลงเสพบรรยากาศปล่อยความคิดอะไรได้
ปกติเขามักหนีความวุ่นวายของเรื่องที่ทำอยู่มานั่งทอดอารมณ์ขบคิดเรื่องที่ต้องตัดสินใจที่นี่เสมอ แต่วันนี้เขาอยากให้หัวเขาว่างไม่มีข้อมูลใดๆ ก่อนที่จะไปให้การกับตำรวจ
อากิระเหม่อมองออกไปยังถนนด้านนอกร้าน หญิงสาวร่างร่างเล็กที่เพิ่งก้าวลงจากรถจักรยานยนต์รับจ้างเดินตรงเข้ามาในร้านกาแฟ เธอก้มลงค้นหาอะไรบางอย่างในย่ามลายดอกโดยไม่ได้สนใจทางข้างหน้าสักนิด ชายหนุ่มลุ้นอยู่ในใจเรื่องประตูกระจกของร้าน แล้วก็เป็นไปดังที่เขาคิด เสียงหัวโขกกระจกค่อนข้างดังพอสมควรเพราะตอนนี้ในร้านไม่ได้เปิดเพลงแถมยังเช้าอยู่ไม่มีคนในร้านมากนัก หญิงสาวกุมหน้าผากตัวเองไปมา
อากิระปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้ เป็นเรื่องตลกเรื่องแรกสำหรับเช้านี้และคงจะเป็นเรื่องเดียวในรอบสัปดาห์หรือรอบเดือนเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มแอบคิดและลอบมองหญิงสาวคนนั้นอีกครั้งเธอเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับส่งยิ้มให้คนขายที่พยายามกลั้นหัวเราะอยู่เช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ
“ม็อคค่าเย็นแก้วหนึ่งค่ะ”
“ค่ะ รอซักครู่นะคะ” พนักงานกล่าวก่อนจะหันไปจัดการตามคำสั่ง
หญิงสาวลูบหน้าผากตัวเองไปมาเพื่อจะลดทอนอาการปวดหนึบๆ อากิระลุกจากโต๊ะกำลังจะเดินออกไป ชายหนุ่มเอื้อมมือยื่นกระปุกเล็กๆ ของยาหม่องไปให้หญิงสาวเธอรับมันมามองหน้าเขางงๆ อากิระยิ้มให้นิดหนึ่งก่อนจะเดินจากไป หญิงสาวได้แต่มองตามมือค้างเหมือนจะกวักเรียกแต่ไม่ทันเสียแล้ว...วิรตาจำเขาได้...ผู้ชายที่ทำให้เธอวิ่งตามเมื่อคืนนี้!!

เมื่อไปถึงโรงพักก็มีนักข่าวนั่งรอคอยกันอยู่แล้ว ชายหนุ่มขมวดคิ้วแปลกใจทำไมเรื่องถึงไปถึงนักข่าวได้ เขาแค่เป็นพยานรู้เห็นไม่ได้ฆ่าใครเสียหน่อย
“คุณอากิระคะขอสัมภาษณ์หน่อยได้ไหมคะ” เสียงหนึ่งจากนักข่าว เขาหันไปมองนิดหนึ่งก่อนจะส่ายหน้า เดินเข้าไปในห้องที่ถูกเตรียมไว้แล้ว หมวดชัชพลนั่งรออยู่แล้ว
“ขอโทษด้วยนะครับพอดีนักข่าวเขาสนใจตัวคุณอยู่แล้วไม่รู้ข่าวรั่วไปได้ยังไง” นายตำรวจหนุ่มบ่นแม้จะรู้อยู่แล้วว่ารั่วมาจากใคร
“เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับคุณรู้จักตระกูลศิริพัฒนากรไหม”
“แน่นอนสิครับตระกูลดังนักธุรกิจใหญ่ใครจะไม่รู้จักเจ้าสัวไพศาลเจ้าของธุรกิจอัญมณีรายใหญ่ที่สุดแถมยังมีธุรกิจค้าขายอื่นๆ อีกเยอะแยะ” อากิระตอบด้วยท่าทีสบายๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็คงรู้ว่าคนตายเป็นหลานชายทายาทของท่าน” นายตำรวจหนุ่มยังคงรุกคำถามต่อไป
“ครับแต่ผมก็เคยเจอเขาแค่สองสามครั้งเท่านั้นเรา เคยคุยกันเรื่องเพชร ผมสนใจที่จะลงทุนด้วย ก็เลยอยู่ในขั้นพูดคุยกันแต่เขาก็มาตายเสียก่อน”
“จากที่สอบปากคำคนอื่นๆ ก็บอกคล้ายๆ คุณที่ให้การไปเมื่อคืนแต่ผมก็อยากคุยกับคุณอยู่ดีเพราะคุณเป็นคนแรกที่เข้าไปสำรวจศพจากที่ผมเห็นคุณเหมือนมีความรู้เรื่องนิติเวชมาก่อน”
“ผมแค่อยากรู้ผิดหรือครับ” อากิระหัวเราะ
“แค่อยากรู้คงไม่สำรวจแบบนั้นหรอกมั้งผมเห็นคุณดูชีพจรเขาแล้วก็สำรวจที่แขนของผู้ตายด้วย” เรื่องนี้หมวดชัชพลสังเกตเห็นชัดเจนเขาออกจะแปลกใจด้วยซ้ำที่เห็นอากิระทำท่าทางสำรวจศพ
“คุณตำรวจ คุณยืนอยู่ที่นั่นนานแล้วเหรอครับ” อากิระไม่ตอบคำถามแต่กลับถามกลับดวงตาคมนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“ผมมาทันเวลาเท่านั้นเองบอกมาดีกว่าครับคุณอากิระ”
“ผมก็แค่เคยเรียนปฐมพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้นเอง สงสัยอะไรผมหรือไง ถ้าผมจะฆ่าใครนะผมไม่ทำแบบนี้หรอก มันสิ้นเปลือง ที่สำคัญพยานรู้เห็นเยอะเกินไป ผมไม่รู้จะฆ่าเขาไปทำไมด้วยเพราะถ้าเขาตายผมก็ทำธุรกิจต่อกับคนอื่นยาก ต้องเริ่มใหม่อีกเสียเวลาเปล่า” ปลายประโยคคล้ายบ่นมากกว่า
“ผมไม่ได้คิดว่าคุณมีส่วนเกี่ยวข้องหรอก เพราะจากพยานทุกคนในเหตุการณ์ทั้งเด็กช่างไฟ เด็กที่ดูเวทีต่างก็บอกว่านายธนวัฒน์ ศิริพัฒนากร ตื่นเต้นกับงานนี้มาก อะไรที่พอทำด้วยตัวเองได้เขาก็จะทำ แม้แต่การดูไฟแสงสีบนเวที เขาอาจจะพลาดตกลงมา พอดีไม่มีใครเห็นว่าเขาโดนผลักหรือผลัดตกลงมาเอง จากการสำรวจตรงโครงเหล็กตรงนั้นมันก็ลื่น แล้วคนที่ไม่ชำนาญอย่างธนวัฒน์คงจะเป็นการยากเหมือนกัน คดีนี้เลยลงได้แค่อุบัติเหตุ” นายตำรวจหนุ่มอธิบาย
“แล้วเรียกผมมาทำไม” แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วแต่อากิระก็ยังอยากถาม
“ผมทำตามหน้าที่ครับ เรียกคนที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยสอบปากคำเป็นเรื่องปกตินะครับ”
“ถ้าให้พูดในส่วนความเห็นของผมนะครับ ผมก็ว่าเขาอาจจะถูกฆาตกรรมโดยทำให้เหมือนอุบัติเหตุเพราะดูจากข้อมือที่มีรอยเขียวช้ำเหมือนโดนมัด หรือไม่ก็ถูกจับบิดอย่างแรง อีกอย่างตาของผู้ตายปิดสนิทแปลกไปหน่อยไหมครับสำหรับคนที่ตกใจจนตกลงมาจากที่สูง ผมแนะนำดูผลชันสูตรให้ดี ถ้าเดาไม่แน่อาจจะโดนจับบิดแขนให้หันหน้าออกไปไม่ให้เห็นตัวฆาตกร แล้วถูกปิดปากด้วยอะไรซักอย่างไม่อย่างนั้นคงร้องเรียกคนช่วยไปแล้ว ผมก็คิดได้แค่นี้” รายละเอียดที่อากิระพูดออกมานั้นทำเอาคนเป็นตำรวจอ้าปากค้าง
หมวดชัชพลจ้องนักธุรกิจหนุ่มตรงหน้าออกอาการอึ้ง นี่เขาประเมินความสามารถของอากิระผิดไปได้อย่างไร เขาไม่ได้เก่งแค่ทำงานด้านบริหารแต่กลับเป็นคนช่างสังเกตช่างคิดจริงๆ
“แน่ใจนะว่าคุณไม่ได้เป็นตำรวจปลอมตัวมา” หมวดชัชพลเอ่ยติดตลก อากิระจึงหัวเราะ
“เย็นนี้ว่างไหมครับไปทานข้าวด้วยกันซักหน่อย นานแล้วที่เราไม่ได้เจอกันนะเนี่ย” หมวดชัชพลเอ่ยชักชวน
อากิระเห็นด้วยว่าเขากับนายตำรวจหนุ่มไม่ได้เจอกันมานานหลายเดือนแล้วเพราะต่างคนก็ต่างมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำไม่ค่อยได้พบปะกันอย่างช่วงแรกๆ
“งั้นขอโทร.บอกเลขาหน่อยนะครับว่าจะกลับดึก” อากิระบอกพร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
“ได้สิ” หมวดชัชพลว่าพลางเก็บของบนโต๊ะ เสียงพูดคุยนั้นทำให้นายตำรวจรู้ทันทีว่าเลขาที่กล่าวถึงนั้นเป็นใคร ข่าวสังคมซุบซิบมากมายทำให้พอรู้ว่า อากิระมีสาวไทยที่ชื่อ จีดานันท์ เป็นคนที่คบหาอยู่ด้วย

วิรตานั่งหาวนอนอยู่ที่โต๊ะทำงานหลังจากเธอปิดงานในช่วงบ่ายเรียบร้อยแล้ว กาแฟสดที่ซื้อมาตั้งแต่เช้าเป็นได้แค่น้ำดื่มเท่านั้นเอง มันไม่ได้ช่วยให้เธอหายง่วงงุนมีแต่เพิ่มความงงงวยให้เสียมากกว่า ในสมองน้อยๆ ของวิรตายังมีความคลางแคลงใจมันทำให้เธอหลับไม่ลง ทั้งคำพูดของหมวดชัชพลด้วยเรื่องความเป็นไปได้ของคดีซึ่งไม่มีพยานรู้เห็นก่อนการเสียชีวิตของนายธนวัฒน์ เรื่องมันอาจจะจบลงที่อุบัติเหตุ?

ตอนที่เธออาศัยรถหมวดชัชพลกลับบ้านเขาเล่าเรื่องของ อากิระ ให้ฟังคร่าวๆ เป็นข้อมูลสำหรับเธอ

“อากิระ เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น – ไทย เขาเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง แถมหน้าตาดี สาวๆ ก็เลยชื่นชอบ ตอนนี้เห็นเล็งทำธุรกิจอัญมณีด้วยเลยรู้จักคนตายละมั้ง” นายตำรวจหนุ่มอธิบายเริ่มต้น

“อ้าวไม่แน่นะอาจจะมีผลประโยชน์ซ่อนอยู่ก็ได้” เธอค้านเสียงดัง หมวดชัชพลส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“อย่าคิดมากขนาดนั้นฉันว่าเขาคงไม่เสี่ยงกับชื่อเสียงด้วยเงินไม่เท่าไหร่หรอก คืนหนึ่งๆ เขาได้เยอะกว่านั้นมาก”

“ตกลงเขาทำธุรกิจอะไรทำไมถึงได้รวยขนาดนั้น” วิรตาเริ่มสงสัย

“ธุรกิจของผู้ชาย” คำตอบของเพื่อนรักทำให้หญิงสาวขมวดคิ้ว

“ก็ธุรกิจบันเทิงพวกผับบาร์แล้วก็อาบอบนวด” หมวดชัชพลอธิบายต่อ คราวนี้วิรตาอ้าปากค้าง หน้าตาอย่างนั้นน่ะเหรอทำธุรกิจแบบนั้นได้

“หน้าตาไม่ได้เหมือนคนทำธุรกิจแบบนั้นเลยนะ”

“ใช่ แต่เธอน่าจะเข้าใจนะ ตามที่อากิระเล่าให้ฟังเขาทำจากประเทศเขามาก่อน แล้วค่อยมาลงทุนในไทย เรียกว่าเป็นธุรกิจครอบครัวน่ะ พ่อเขาทำมาก่อนส่วนเขาก็รับมรดกตกทอดมาอีกที ที่มาทำเมืองไทยก็เพราะอยากกลับมาดูบ้านเกิดทางฝ่ายแม่บ้าง”

“นี่หมวดชัชรู้ดีจัง”

“โธ่ ก็ฉันรู้จักเขามาก่อนนี่ อากิระน่ะ”

“มันก็น่าแปลกนะ ที่อยู่ๆ พอนายอากิระจะเข้าร่วมลงทุนกับตระกูลศิริพัฒนากร กลับเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เขาเรียกลางไม่ดีตั้งแต่เริ่ม” หมวดชัชพลหัวเราะ

“ฉันว่าไม่ได้เกิดจากลางไม่ดีอะไรหรอกแต่เพราะตระกูลนี้มีอาถรรพ์ เธอรู้ไหมว่าใครก็ตามที่เป็นทายาทของเจ้าสัวไพศาลจะต้องมีอันเป็นไปทุกคน” นายตำรวจหนุ่มยิ่งพูดวิรตาก็ยิ่งทำหน้างง

“หมายความว่ายังไง”

“เมื่อสิบปีที่แล้ว ลูกชายคนโตของตระกูลคุณลุงโยธิน แต่งงานกับสาวญี่ปุ่นก็เลยหนีไปอยู่กับภรรยา ไม่ยอมรับสมบัติของเจ้าสัว สละให้กับน้องชายคนรองแต่ไม่นานน้องชายคุณลุงโยธินรถคว่ำเสียชีวิต แล้วก็ไม่นานอีกนั่นแหละ ตัวคุณลุงโยธินก็เสียชีวิตด้วยเหมือนกัน เกิดไฟไหม้บ้าน ทุกคนในบ้านเสียชีวิตหมดรวมทั้งภรรยาและลูกๆ สามคน ตอนนี้ที่เหลืออยู่ในตระกูลนี้ก็คือ นายธนวัฒน์ ที่เพิ่งเสียไป เป็นลูกชายของคุณอิษฎา ลูกชายคนรองของเจ้าสัวไพศาล แต่ก็...ตายจนได้ จนถึงตอนนี้พินัยกรรมของเจ้าสัวยังไม่เปิดเลยนะ แปลกจริงๆ ” หมวดชัชพลออกแนวบ่นปลายประโยค

“เหมือนตำนานอะไรซักอย่างเลยนะเนี่ย? หรือเจ้าสัวเคยไปขโมยเพชรใครเข้าเลยเป็นคำสาป”

“คิดไปใหญ่แม่คุณ”

“ว่าแต่ว่าทำไมนายถึงรู้เรื่องนี้ดีนักละ” คำถามนั้นทำให้สีหน้านายตำรวจหนุ่มเศร้าลงทันที

“เพราะฉันเป็นเพื่อนของลูกชายคุณลุงโยธินไงละ เขาเป็นเพื่อนรักสมัยเด็กของฉัน ตอนนั้นเราเพิ่งเข้าวัยรุ่นอายุสิบสี่เขาก็จากไป ทั้งๆ ที่เมื่อวานเรายังสัญญากันว่า จะไปเล่นน้ำท้ายหมู่บ้านด้วยกันอยู่เลย” น้ำเสียงนั้นเศร้าจนคนฟังอดเศร้าไปด้วยไม่ได้

“มิน่า ตอนที่นายย้ายมาอยู่ข้างบ้านฉัน ถึงได้สีหน้าอมทุกข์นัก ยังไงก็มีฉันเป็นเพื่อนน่า” วิรตาตบบ่าเพื่อนชายเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ

“นี่ๆ อย่าตบแรงเดี๋ยวดาวร่วง” วิรตาหมั่นเขี้ยวหลังจากได้ฟังคำพูดของเพื่อนรัก

วิรตาถอนหายใจอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา คิดตามที่หมวดชัชพลเกริ่นไว้ คดีในอดีตมันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้หรือเปล่า คนที่เคยทำข่าวอาชญากรรมมาก่อนน่าจะรู้บ้าง

“ลุงอี๊ดคะ” วิรตาหันไปหาบรรณาธิการซึ่งนั่งอยู่ด้านในสุดของสำนักงานฝ่ายข่าว

“อะไรวะ ไอ้แอ้มเรียกซะตกอกตกใจหมด” อิทธิพลบรรณาธิการวัยเลยกลางคนไปนานแล้วเอ่ยน้ำเสียงรำคาญเต็มที

“ลุงรู้เรื่องคดีไฟไหม้บ้านของนายโยธิน ศิริพัฒนากรไหมคะ” วิรตาตั้งคำถามสีหน้ามุ่งมั่นจนผู้เป็นหัวหน้าชักแปลกใจ

อิทธิพลทำหน้านึกนานก่อนจะตอบ “พอจำได้ลางๆ มันนานมาแล้วนี่ถามทำไมวะ”
“โธ่...ลุงค่ะ คดีเมื่อคืนก็ทายาทตระกูลนี้เหมือนกันนะ ไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่ทายาทตระกูลนี้ทยอยตายกันทีละคน”

“คงอาถรรพ์มั้ง” อิทธิพลตอบพร้อมยักไหล่พยายามหันกลับมาทำงานของตัวเองใหม่

“โอยเบื่อคนไทยจริงอะไรๆ ก็ผีสาง อาถรรพ์ ขอเลขเด็ด” วิรตาบ่นอุบเพราะนึกเบื่อเรื่องแบบนี้จริงๆ

“อ้าว...ไอ้เด็กนี่แกไม่รู้อะไรนี่แหละขายได้” อิทธิพลหัวเราะตบท้ายขบขันในเรื่องที่หลานสาวบ่น

“ขายได้แน่สิ พอออกไปนะต้นไม้ไม่เหลือเปลือกเลยละค่ะ”

“แล้วแกจะถามทำซากอะไรวะแอ้ม ถามแล้วมาบ่นให้ฉันเนี่ย ถ้าแกไม่ใช่หลานฉันนะไม่รับมาเปลืองเงินเดือน เรื่องมากแถมยังขี้บ่นอีก”

“ทำอย่างกับเงินเดือนสูงย้ายไปอยู่ที่อื่นได้เยอะกว่านี้อีก เชอะ...เห็นว่าเป็นลุงหรอกถึงมาทำด้วยใช้งานเยี่ยงทาส หยุดก็ไม่ได้หยุด เข้าเวรดึกดื่นไม่คิดว่าหลานเป็นผู้หญิงมั่งหรือไง” วิรตาเบ้ปากพึมพำเบาๆ

ทว่าเสียงเบาก็จริงแต่ปากก็ทำขมุบขมิบทำให้อิทธิพลขว้างกระดาษที่ขยำทิ้งไปที่หัวหลานรักเต็มที่ วิรตากุมหัวบริเวณที่โดน

“ทำงานไปบ่นอะไรของแก ฉันรู้นะว่าแกบ่น”

วิรตาหันขวับกลับมาเก็บกระดาษก้อนกลมๆ นั้นทิ้งถังขยะ หันไปมองตุลาเพื่อนร่วมงานที่เพิ่งเดินมาถึงสีหน้าบอกบุญไม่รับเต็มที่

“ไอ้เต้เป็นไร หน้าหงิกมาเลยแก” หญิงสาวรีบอ้าปากถามทันที

“ก็ไม่ได้อะไรน่ะสิ วันนี้ที่แกบอกว่านายอากิระจะมาให้ปากคำน่ะ พอไปถึงนะไม่ยอมให้สัมภาษณ์อะไรเลย เซ็งวะ เออ...เห็นเจ๊แดงที่อยู่ฝ่ายเศรษฐกิจไปดักรออยู่สงสัยจะขอสัมภาษณ์ลงคอลัมน์นักธุรกิจแต่หน้าหงิกเหมือนกัน คงไม่ได้เรื่อง เข้าถึงยากชะมัดนายคนนี้”

“แหม ใครจะพูดเดี๋ยวก็เข้าตัวเองแหละวะ แล้วตำรวจละว่าไงบ้าง” วิรตาว่าก่อนจะซบหน้าลงบนโต๊ะทำงานเหมือนหมดแรง

“ยังไม่คืบ รอผลชันสูตร แล้วก็ดูที่เกิดเหตุอีกรอบมั้ง” ตุลาเอ่ยอย่างเสียไม่ได้เนื่องจากหงุดหงิดกับเรื่องที่ได้เจอเหลือเกิน

“นั่นสินะ ถ้าจะสรุปว่าอุบัติเหตุก็เร็วไป ฉันชอบคดีนี้จังให้ฉันทำไหมเต้ นายทำเรื่องอื่นแทน” วิรตาพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาทำดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กที่เริ่มได้ของเล่นใหม่

“ดีๆ เอาเลย...ก็แกเห็นที่เกิดเหตุนี่หว่า ฉันนี่ไม่รู้อะไรเลย แถมเจ้าของคดีก็เป็นเพื่อนรักแกด้วย คงเข้าถึงได้ง่ายกว่าฉันเป็นแน่” ตุลายิ้มกว้างเมื่อเห็นทางออกรำไร

“อ้าว...ก็นั่นเวรแกนี่แต่ฉันช่วยอยู่แทนให้”

“เฮ้ย! พูดเสียงดังเดี๋ยวลุงก็ได้ยินหรอก” ตุลารีบเอานิ้วชี้แตะปากบอกใบ้ให้พูดเบาเสียงลง

“เออ...ฉันได้ยิน ถ้าอย่างนั้นก็ทำอย่างที่อยากทำนั่นแหละ เจ้าเต้ไปทำข่าวอื่นให้เจ้าแอ้มทำข่าวนี้แทน” เสียงแหบใหญ่ของบรรณาธิการตัดบทขึ้นมา

“แล้วถ้าแอ้มจะทำเป็นสกู๊ปละคะ ได้ไหมคะลุง” วิรตาเสนอแววตาจริงจัง

“ตามใจแต่ข้อมูลต้องแน่นนะ แล้วที่สำคัญอย่าให้ตัวเองเดือดร้อน” อิทธิพลกำชับก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

“ลุงอี๊ดแกนี่หูทิพย์ตาทิพย์จริงๆ นะพูดอะไรก็ได้ยิน” ตุลาบ่นพลางเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้า

“รู้ไว้ซะนี่แหละข้อเสียของเจ้านาย” วิรตาว่าพลางก้มลงไปหาหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง อาการเบื่อๆ นี่ทำให้หญิงสาวทำงานไม่ได้เอาเสียเลย วิรตากดโทรศัพท์มือถือไปหาเพื่อนรักทันทีหวังว่ามันจะมีทางออกให้ เมื่อเช้าเธอไม่น่าพลาดเลยเขามาให้เจอแบบไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ

อากิระนั่งรอหมวดชัชพลอยู่ที่บาร์ของเขาเองเพียงไม่นานนายตำรวจหนุ่มก็มาถึง เขามองหาเพื่อนไม่นานก็เจอ อากิระโดดเด่นอยู่แล้วการหาตัวเขาไม่ใช่เรื่องยากเลย

“โทษทีมาช้าไปหน่อย ติดงานด่วนน่ะครับ” ชัชพลกล่าวขอโทษก่อนจะนั่งลงข้างๆ อากิระ

“ไม่เป็นไร มันเป็นเวลางานของผมเหมือนกัน แค่นั่งดูไม่เสียเวลาอะไรเลยครับ” อากิระมองมือของชัชพลที่ยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองลูบไปมาเบาๆ เขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามแทน

“หมวดชัชมีอะไรจะพูดกับผมเหรอ” คำถามของอากิระทำให้ชัชพลหัวเราะออกมาทันที

“นี่คุณรู้ได้ยังไงว่าผมมีเรื่องจะพูด คุณอ่านจิตคนได้หรือไง” ชัชพลออกอาการทึ่งในสิ่งที่อากิระทักท้วงมา ตั้งแต่คบเป็นเพื่อนอากิระมีเรื่องให้เขาทึ่งอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำอะไร อากิระจะรู้ไปเสียหมดเขาแทบไม่ต้องอ้าปากเลยด้วยซ้ำ

“ก็ท่าทางคุณมันบอกเอง” อากิระอธิบายเรียบๆ

“คือวันนี้ฉันชวนเพื่อนมาด้วยคุณคงไม่ว่านะ” สีหน้าของนายตำรวจหนุ่มดูวิตกมากจนอากิระเริ่มเอะใจกับ ‘เพื่อน’ ของชัชพล

“เรื่องแค่นี้เองทำไมทำเหมือนลำบากใจนัก” อากิระยิ้มทำท่าทีเหมือนไม่ได้สนใจเรื่องนั้นนัก

ชัชพลเม้มปากแน่นกล้ำกลืนความหนักใจลงไป แน่สิเพราะเพื่อนคนนี้ไม่น่าแนะนำให้รู้จักเลยซักนิด ร่างบางของคนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอากิระเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวผมยาวใบหน้ากลมผิวขาว เธอแต่งตัวด้วยเชิ๊ตสีขาวกับกางเกงยีนส์สีดำสะพายย่ามลายดอก หมวดชัชพลถอนหายใจหนึ่งทีก่อนจะผายมือไปที่หญิงสาว
“วิรตา เพื่อนผมเองเพื่อนสมัยเรียนมัธยมน่ะครับ” ชัชพลแนะนำและขยายความในประโยคเดียว

วิรตาโบกมือหยอยๆ ดวงตากลมโตใส ใบหน้ากลม ทำเอาอากิระซึ่งมองอยู่นึกถึงการ์ตูนเด็ก ถ้าเธอสวมแว่นกลมๆ อีกอันคงเป็น หนูน้อยอาราเล่ แน่ๆ

“อาริงาโตะ...สวัสดีคะคุณอากิระ” เธอเอ่ยสีหน้ายิ้มๆ

อากิระที่กำลังดื่มแทบจะสำลักน้ำที่ดื่มเข้าไปเมื่อได้ยินคำทักทายของเจ้าหล่อน
“ผมพูดไทยได้ครับ ถ้ามันลำบากนักก็อย่าพยายามดีกว่า” เขาว่าพลางหาทิชชูมาซับน้ำที่เลอะบนริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะพยายามไอให้น้ำเสียงกลับมาสู่สภาพเดิม
หมวดชัชพลกุมขมับนิดหน่อย นี่ถ้าไม่โดนขู่ว่าจะฟ้องแม่เรื่องผู้หญิงละก็เขาไม่มีวันพาวิรตามาแน่ๆ

“แหม นึกว่าจะพูดไทยไม่ได้เพราะเห็นไม่เคยเสวนากับนักข่าวเอาเสียเลย อ้อ...ลืมแนะนำตัวไปอีกนิด แอ้มเป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์มหาชนค่ะ เห็นคุณในวันเกิดเหตุเมื่อคืนก่อนแต่ทักไม่ทัน” วิรตาบอกด้วยท่าทีง่ายๆ

“ครับ” เขาตอบได้แค่นั้น อากิระพยักหน้าเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาลางๆ
วิรตาเป็นฝ่ายจ้องหน้าเขาแทบไม่กระพริบตาเลยด้วยซ้ำ

“แหม คุณอากิระหน้าตาดีอย่างนี้นี่เอง ถึงว่าทำไมใครๆ ถึงสนใจนัก”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะพูดอะไรตรงจนคนฟังแอบตกใจ หมวดชัชพลสะกิดเพื่อนสาวเบาๆ

“แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ ฉันไม่คิดอะไรหรอกถึงจะหล่อเป็นเทพบุตรมายังไง ฉันก็ไม่เคยสนใจ” หญิงสาวรีบอธิบายเกรงว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าเธอชื่นชอบเขาเหมือนคนอื่นๆ

“ทำไมเหรอครับ” อากิระอมยิ้มเขาแทบจะหลุดหัวเราะออกมาแต่ก็หยุดตัวเองไว้ได้

“เพราะฉันไม่ชอบผู้ชาย” วิรตาหยุดคำต่อไปว่า ‘สำอาง’ ไว้ก่อนเมื่ออีกฝ่ายหัวเราะออกมา

“เหรอครับ...งั้นก็ดีผมกลัวคุณจะหลงรักผมเหมือนกัน” อากิระตอบไปอย่างนั้นแม้ว่าเขาจะรู้สึกชอบลักษณะท่าทางของคนตรงหน้าก็ตาม

“ได้ยินข่าวว่าคุณจะเข้าร่วมลงทุนกับตระกูลศิริพัฒนากร...”

“ผมไม่ให้สัมภาษณ์” อากิระตัดบทขึ้นมาเสียก่อน

หญิงสาวจึงได้แต่อ้าปากค้าง เขาเข้าถึงยากเหมือนเพื่อนร่วมงานเธอพูดไม่มีผิด
“โอเค ฉันก็แค่ถามเฉยๆ ไม่ได้จะสัมภาษณ์นี่ แหม...ช่างเป็นคนที่ระมัดระวังตัวเสียจริง” วิรตาพูดทั้งยิ้มแต่อากิระเข้าใจว่านั่นเป็นประโยคเหน็บแนมเขามากกว่า
ทว่าคนที่นั่งเป็นหุ่นยนต์ในตอนนี้ก็คือ หมวดชัชพล นายตำรวจหนุ่มไม่เข้าใจว่าทำไมหมากเกมนี้ถึงได้ล้มทั้งกระดาน แถมพ่วงตัวเขาเป็นที่รองรับเสียด้วย




ณิชนิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.ย. 2554, 11:39:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ม.ค. 2555, 11:12:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1829





<< บทนำ (แก้ไข)   บทส่งท้าย >>
nako 17 ก.ย. 2554, 09:24:02 น.
รออ่านตอนต่อไปนะค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account