เสียงปริศนา
Tags: ลึกลับ,ฆาตกรรม,
ตอน: ตอนที่ 8
วันรุ่งขึ้น หลังจากส่งสมฤดีที่มหาวิทยาลัย สมภพก็มาโรงพยาบาลตามที่ได้สัญญาไว้ ตอนที่เขามาถึง ส้มกับหญิงออกไปเรียนแล้ว ส่วนนลินกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ใบหน้าของหญิงสาววันนี้ดูสดชื่นมีเลือดฝาดมากกว่าเมื่อวาน นอกจากนี้ พยาบาลได้ถอดสายน้ำเกลือออกแล้ว รอแค่คุณหมอขึ้นตรวจอาการอีกครั้ง หากไม่มีอะไรผิดปกติ นลินก็กลับบ้านได้ เมื่อเห็นสมภพเดินเข้ามา นลินก็วางหนังสือไว้ข้างเตียงแล้วส่งยิ้มให้
“คุณสมภพมาแต่เช้าเลยนะคะ”
“ครับ ผมรีบแทบแย่แน่ะ กลัวมาไม่ทัน”
“เอ๊ะ มาไม่ทันอะไรคะ”
สมภพอมยิ้ม ไม่ตอบคำถามในทันที แต่เดินมายืนชิดขอบเตียงแล้ว ก้มหน้าลงมาพูดกระซิบข้างหูนลิน
“ก็..กลัวจะมาไม่ทันช่วยคุณลินอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะสิครับ”
“คนบ้า! อย่ามาทะลึ่งแถวนี้นะ!” นลินหน้าร้อนวูบ ใช้มือผลักสมภพให้ถอยห่าง สมภพหัวเราะชอบใจ มองนลินที่ใช้มือข้างหนึ่งถูใบหูไปมาอย่างนึกขำ คุณลินนี่แหย่ขึ้นเหมือนกันแฮะ ดูสิ หน้าแดงเชียว
“ยังจะมาหัวเราะอีก ลินไม่อยากเชื่อเลยว่า คุณจะเป็นคนแบบนี้”
“หือ? เป็นคนแบบไหนครับ ผมไม่เข้าใจ” สมภพตีหน้าซื่อ นลินมองอย่างหมั่นไส้ ดูถามเข้าสิ มันน่านักนะ คิดแล้วก็หยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาม้วนแล้วเคาะลงบนเตียงสองครั้ง
“ไม่ต้องมาทำไก๋ ลินรู้ว่าคุณเป็นคนฉลาด เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะต้องให้อธิบาย บอกไว้ก่อนนะคะ ว่าวันนี้หากคุณเล่นตุกติกกับลินเหมือนเมื่อวานอีกล่ะก็ คุณเจ็บตัวแน่” นลินพูดเสียงเข้ม ชูม้วนหนังสือพิมพ์ที่ถืออยู่ให้ดู
สมภพมองอาวุธในมือนลินแล้วอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ นี่คุณลินเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ถึงได้คิดว่าหนังสือที่ถืออยู่ในมือมีอานุภาพเทียบเท่ากับปืนผาหน้าไม้ ของแค่นี้ถึงโดนตีแสกหน้าเข้าไปจังๆ ก็ไม่ทำให้ถึงตายหรอก เออ ถ้าเป็นหนังสือพิมพ์หุ้มเหล็กแป๊บหรือท่อพีวีซีก็ว่าไปอย่าง รับรองได้เลยว่าตายสนิท
ถึงจะคิดแบบนั้น สมภพก็ไม่พูดออกมาอย่างที่ใจคิด เขาแสร้งถอนหายใจเสียงดัง เดินไปนั่งหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้นวมอย่างคนหมดแรง มองนลินตาละห้อย
“คุณลินนี่ขี้ระแวงจังเลยนะครับ เรื่องเมื่อวานมันเป็นอุบัติเหตุ ผมไม่ได้มีเจตนาจะเล่นตุกติกหรือคิดไม่ซื่อกับคุณลินสักหน่อย มากล่าวหากันอย่างนี้ ผมก็น้อยใจเป็นเหมือนกันนะครับ”
“ลินไม่ได้กล่าวหาคุณ เพียงแต่พฤติกรรมของคุณทำให้ลินไม่ไว้ใจ”
“คุณลินครับ ถ้าคนอย่างผมไว้ใจไม่ได้ ส้มกับหญิงก็คงไม่ยอมให้ผมมานั่งเฝ้าไข้คุณลินอยู่ในห้องคนป่วยตามลำพังแบบนี้หรอกครับ”
“นั่นมันเป็นเรื่องของส้มกับหญิง ไม่เกี่ยวกับลินสักหน่อย”
“อ้าว เป็นงั้นไป รู้ไหมครับว่า คำพูดของคุณลินทำให้ผมนึกถึงสุภาษิตขึ้นมาบทหนึ่งที่กล่าวว่า ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป ผมว่าความหมายของสุภาษิตบทนี้ เหมือนกับสถานการณ์ที่ผมเจอในตอนนี้ไม่มีผิด นี่ถ้าหากผมรู้ล่วงหน้าว่าผลลัพธ์จากความหวังดีของผมจะออกมาในรูปนี้ล่ะก็ รู้งี้ เมื่อวานตอนที่เสาแขวนขวดน้ำเกลือล้มลงมา ผมน่าจะปล่อยให้เสานั่นฟาดใส่หัวคุณลินไปซะก็ดีหรอก”
“คุณสมภพ!”
“ก็มันจริงนี่ครับ คุณลินจะได้ไม่ต้องมาเข้าใจผมผิดๆ แต่หากผมยืนนิ่งดูดายปล่อยให้คุณลินโดนเสาเหล็กฟาดใส่หัว ผมก็อาจโดนกล่าวหาอีก ทำนองว่าเป็นผู้ชายประสาอะไร ทำไมถึงไม่เข้าไปช่วย เห็นไหม ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน ผมก็โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง เฮ้อ เกิดมาเป็นสมภพนี่แย่ชะมัด ทำอะไรก็ผิดไปหมด” สมภพถอนใจ
“เอ่อ..” นลินพูดไม่ออก รู้สึกสับสน ไม่แน่ใจว่า ที่สมภพพูดมาเมื่อกี้ ตกลงแล้วเขาตั้งใจจะตัดพ้อต่อว่า หรือจะพูดจาเหน็บแนมประชดประชันกันแน่
“แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ผมก็ผิดด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าผมระวังมากกว่านี้ ผมก็คงจับเสาแขวนขวดน้ำเกลือไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มลงมา แล้วเราทั้งคู่ก็คงจะไม่ล้มลงไปนอนกอดอยู่บนเตียงด้วยกัน”
“คุณสมภพ! หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลยนะ!” นลินแหวใส่ หน้าแดงซ่านไปถึงใบหู สมภพเลิกคิ้วสูง ทำหน้าฉงน
“ทำไมล่ะครับ ผมแค่อยากอธิบายให้ฟังว่า ต้นเหตุของเรื่องเมื่อวานอยู่ตรงไหน อืม..ผมมาคิดๆ ดูแล้ว สรุปได้ว่าสาเหตุของเรื่องทั้งหมดเกิดจาก เสาแขวนขวดน้ำเกลือ คุณลินไม่แปลกใจบ้างหรือครับ ว่าทำไมจู่ๆ เสาแขวนขวดน้ำเกลือถึงได้ล้มลงมาบนเตียงคนป่วยแบบนั้น จะว่าแผ่นดินไหวรึ ก็ไม่ใช่ เอ มันเพราะอะไรกันน้า”
“คุณสมภพ! ลินบอกให้หยุดพูดยังไงล่ะคะ!”
“ผมขอปฏิเสธครับ เพราะถ้าผมไม่พูดออกมาให้หมด คุณลินก็ไม่เข้าใจน่ะสิครับว่า เรื่องราวจริงๆ มันเกิดจากอะไร ผมไม่อยากให้คุณลินเข้าใจผมผิดๆ แบบนี้” สมภพท้วงเสียงแข็ง ทำหน้าตาขึงขัง ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่หลุดหัวเราะออกมา ผิดกับนลินที่นั่งหน้าหงิก นึกอยากจะหาอะไรมาอุดปากคนช่างพูดเหลือเกิน
“เอาเป็นว่า ลินเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว ฉะนั้น คุณหยุดพูดเถอะค่ะ” นลินตัดบท
“แน่ใจเหรอครับ” สมภพทำท่าลังเล แต่เมื่อเห็นนลินมองมาด้วยสายตาขุ่นเขียว ชายหนุ่มก็พยักหน้า
“ก็ได้ครับ ผมไม่พูดก็ได้ ว่าแต่คุณลินเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ ว่าเรื่องเมื่อวานมันเป็นอุบัติเหตุ”
“ค่ะ เข้าใจแจ่มแจ้งเลยทีเดียว” นลินตอบเสียงห้วน
“เฮ้อ! ผมดีใจจังที่คุณลินเข้าใจผมสักที แต่ผมก็ยังติดใจเรื่องเสาแขวนขวดน้ำเกลืออยู่ดี สงสัยจังว่าทำไมมันถึงได้ล้มลงมา แต่ช่างมันเถอะครับ ในเมื่อคุณลินเข้าใจผมแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่ต้องไปสนใจ จริงไหมครับ”
“ค่ะ” นลินรับคำอย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่ในใจเริ่มหงุดหงิด ฮึ! ทำมาพูดอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายก็วกกลับมาที่เรื่องเสาแขวนขวดน้ำเกลือจนได้ ทำไมนลินจะไม่รู้ว่า เสาแขวนขวดน้ำเกลือล้มลงมาได้อย่างไร ถ้าไม่เป็นเพราะเธอรีบผละออกมาจากอ้อมกอดของคนที่นั่งพูดแจ้วๆ อยู่ตรงหน้า เสาแขวนขวดน้ำเกลือก็ไม่ล้มลงมาหรอก
ยิ่งคิด นลินก็ยิ่งเจ็บใจตัวเองที่ตกใจกับฝันร้ายมากเกินไป จนเผลอไปกอดสมภพเข้า ทำให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถูกอีกฝ่ายต้อนด้วยคำพูดจนพูดไม่ออกแบบนี้ ไม่อยากเชื่อเลยว่า สมภพที่เงียบขรึมกับสมภพที่ขี้เล่นและเจ้าเล่ห์ในตอนนี้จะเป็นคนๆ เดียวกัน
“ทำไมเงียบไปล่ะครับ หรือว่าคุณลินปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ” สมภพถาม เมื่อเห็นนลินนิ่งเงียบ
“จะบ้าหรือไง ใครบอกคุณว่าลินปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ”
“อ้าว ก็ผมเห็นคุณลินทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้าหากัน ก็นึกว่าคุณลินอาจจะปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำซะอีก อืม..พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วทำให้นึกขึ้นมาได้” สมภพเว้นจังหวะเล็กน้อยแล้วถามขึ้น
“คุณลินอาบน้ำหรือยังครับ”
“คุณสมภพ!”
“ผมไม่ได้ทะลึ่งนะครับ ที่ถามก็เพราะว่า หากคุณลินยังไม่ได้อาบน้ำ ผมจะได้ไปเรียกนางพยาบาลให้เข้ามาช่วยคุณลินจัดการทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยต่างหากล่ะครับ” สมภพรีบบอก มองนลินตาปรอย เห็นแบบนั้นแล้ว นลินก็โกรธอีกฝ่ายไม่ลง
“ขอบคุณค่ะที่หวังดี แต่หญิงช่วยจัดการให้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“เหรอครับ มิน่าล่ะ เมื่อกี้ตอนก้มลงกระซิบข้างหู ถึงได้กลิ่นสบู่หอมติดจมูกเชียว” ท้ายประโยค สมภพพูดพึมพำเบาๆ กับตนเอง นลินย่นคิ้วเข้าหากัน เพราะได้ยินคำว่าสบู่แว่วมาจากปากของอีกฝ่าย แต่ได้ยินไม่ถนัด
“เมื่อกี้ คุณสมภพพูดว่าอะไรนะคะ ลินได้ยินไม่ชัด”
“เปล่านี่ครับ” สมภพปฏิเสธ แต่นลินไม่เชื่อ มองสมภพเขม็งพร้อมกับคาดคั้นเพื่อเอาคำตอบ ซึ่งสมภพยืนยันคำพูดเดิมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น นลินจึงยอมแพ้ไม่เซ้าซี้ต่อ ก่อนเปลี่ยนเรื่อง
“คุณสมภพทานอาหารเช้าหรือยังคะ”
“เรียบร้อยแล้วครับ แล้วคุณลินล่ะครับ”
“ลินทานข้าวต้มแล้วค่ะ”
"งั้นเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นคุณลินพักผ่อนเถอะครับ ผมจะนั่งเฝ้าเอง”
“ลินขอนั่งอ่านหนังสือดีกว่าค่ะ ไม่อยากนอนไปมากกว่านี้ เดี๋ยวจะติดนิสัยขี้เกียจกันพอดี”
“ตามใจคุณลินแล้วกันครับ” สมภพคลี่ยิ้มบางๆ หยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่าน นลินมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของสมภพแล้วถอนหายใจ ถ้าเขานั่งอ่านหนังสือเงียบๆ แบบนี้ได้ทั้งวันก็คงจะดีไม่น้อย เพราะเธอไม่อยากโดนอีกฝ่ายต้อนด้วยคำพูดให้จนมุมเหมือนเมื่อกี้อีก
นลินหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ขึ้นมา อดหันไปมองคนที่นั่งบนเก้าอี้นวมไม่ได้ ขนาดแต่งตัวธรรมดาออกจะติดเซอร์ๆ คุณสมภพก็ยังดูดี นี่ถ้าจับตัดผมที่ยาวระต้นคอให้สั้นกว่านี้ รับรองว่า คุณสมภพไปเป็นพระเอกละครได้สบายๆ พลันใบหน้าคมเข้มของใครอีกคนก็ผุดขึ้นมา ถ้าพี่กล้ารู้ว่ามีชายหนุ่มหน้าตาดีหล่อสูสีพอๆ กันกับตนเองแถมยังโสดสนิทมาอาสานั่งเฝ้าไข้เธออยู่ข้างเตียงแบบนี้ จะเกิดอะไรขึ้นหนอ
นลินส่ายหัวเบาๆ เมื่อนึกถึงพี่ชาย รายนั้นนอกจากจะหน้าตาดีอย่างหาตัวจับยากแล้ว ยังขึ้นชื่อเรื่องความดุและหวงน้องสาวเป็นที่สุด หนุ่มๆ แถวบ้านรู้เรื่องนี้ดี จึงไม่มีใครกล้ามายุ่งกับนลินสักคน เพราะกลัวพี่กล้าจนหัวหด ถ้าพี่กล้ารู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเธอล่ะก็ พี่ชายตัวดีต้องรีบขึ้นมาที่นี่และพาเธอกลับบ้านแน่นอน
นลินถอนหายใจ เดิมทีพี่กล้าก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้นลินมาทำงานไกลบ้าน จึงยกเหตุผลร้อยแปดพันเก้ารวมถึงชักแม่น้ำทั้งห้ามาเกลี้ยกล่อมให้นลินเห็นดีเห็นงามกับการทำงานใกล้บ้าน แต่นลินดึงดันจะทำงานไกลบ้านให้ได้ โดยให้เหตุผลว่า ต้องการหาประสบการณ์และอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะหากทำงานใกล้บ้าน เธอไม่แคล้วต้องเป็นนกน้อยในกรงทองของคนในครอบครัวเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด
เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับครอบครัวเชียวล่ะ นลินกับพี่กล้าเถียงกันหน้าดำหน้าแดง แต่เธอเถียงสู้พี่กล้าซึ่งปกติปากจัดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วไม่ได้ จึงลืมตัวเผลอตวาดใส่พี่ชาย จำได้ว่าพี่กล้ามีสีหน้าตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยคิดไม่ถึงว่า น้องสาวที่เรียบร้อยและอยู่ในโอวาทมาโดยตลอด จะกล้าพูดเสียงดังใส่หน้า
จากนั้นคำพูดตัดพ้อต่อว่าต่างๆ นานาก็พรั่งพรูออกมาจากปากพี่ชายจอมหวง ที่ต้องบอกว่าดังลั่นไปสามบ้านแปดบ้านเลยทีเดียว เดือดร้อนพ่อที่กำลังนั่งสวดมนต์อยู่ในห้องพระ ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามบานปลายจนกลายเป็นศึกสายเลือด
ผลจากการเจรจาครั้งนั้น สรุปว่า พ่อแม่ยอมให้นลินมาทำงานที่นี่ ส่วนพี่กล้าแม้จะทำท่าทางฮึดฮัดไม่พอใจแต่ก็ต้องจำใจยอม เพราะมีเสียงน้อยกว่า (ครอบครัวนลินมีด้วยกันสี่คน) แต่พี่ชายตัวดีก็ยังไม่ยอมแพ้ อุตส่าห์ตั้งเงื่อนไขขึ้นมา โดยให้นลินสัญญาว่า จะโทรกลับบ้านทุกๆ สามวัน (ยังดีที่ไม่ให้โทรทุกวัน) เพื่อรายงานชีวิตประจำวันให้ทางบ้านทราบอย่างละเอียด (แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องผู้ชายที่เข้ามาติดพันด้วย) และหากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับนลิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม นลินต้องกลับไปทำงานที่บ้านโดยไม่มีข้อต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น
เงื่อนไขที่พี่กล้าเสนอมานั้น ไม่ใช่เรื่องยากที่ทำให้ไม่ได้ นลินจึงตกลงแต่พี่กล้าก็ยังไม่วางใจอยู่ดี พ่อเจ้าประคุณลงทุนอดตาหลับขับตานอน เพื่อนั่งร่างสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เรียกว่า “สนธิสัญญาระหว่างพี่น้อง” (ไม่รู้ว่าคิดไปได้ยังไง) จากนั้นก็จับนลินเซ็นสัญญาโดยให้เหตุผลว่า ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย (อันที่จริง น่าจะเป็นพี่กล้าคนเดียวมากกว่า) โดยมีพ่อกับแม่ร่วมลงนามเป็นพยาน นลินไม่อยากทะเลาะกับพี่ชาย จึงยอมเซ็นสัญญา นั่นแหละ พี่ชายตัวดีจึงยิ้มแป้นหน้าบาน ยอมให้นลินมาทำงานไกลบ้าน
นับจากวันที่ลงนามในสัญญาฉบับนั้นของพี่ชาย จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสามปีแล้ว ที่นลินมาใช้ชีวิตตามลำพังอยู่ที่นี่ แม้สภาพสังคมของคนเมืองหลวง จะวุ่นวายแก่งแย่งแข่งขันกันชิงดีชิงเด่น แต่นลินก็ไม่เคยพาตัวเองเข้าไปอยู่ในกระแสวังวนของความวุ่นวายเหล่านั้น เธอใช้ชีวิตเรียบง่ายและไม่เคยไปยุ่งวุ่นวายกับใคร
ความที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายเกินไป นลินจึงถูกเพื่อนๆ ที่ทำงานค่อนขอดว่า ใช้ชีวิตได้อย่างน่าเบื่อและขาดสีสัน แต่เธอไม่เคยเก็บคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจ เพราะคนเราต่างมีรูปแบบการดำเนินชีวิตไม่เหมือนกัน คงเป็นเรื่องแปลก หากทุกคนในโลกนี้คิดและทำอะไรเหมือนกันหมด สำหรับนลินแล้ว แม้ว่าการใช้ชีวิตของเธออาจจะดูเรียบง่ายหรือน่าเบื่อไปบ้างในสายตาของใครหลายคน แต่เธอก็พอใจและมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่
ทว่า..ตั้งแต่นลินย้ายเข้ามาอยู่ที่หอพักของชลิต ดูเหมือนว่าความเรียบง่ายที่เธอเคยชินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน กำลังจะหายไป แต่มีความตื่นเต้นปนระทึกขวัญเข้ามาแทนที่ ยังไม่นับรวมปฏิกิริยาแปลกๆ บางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นกับใจของเธอ อาการที่ว่านั่น ทำให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะบ่อยครั้ง ทั้งสามอย่างเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งนลินพอจะเดาได้ว่า สองอย่างแรกมีสาเหตุมาจากเรื่องวิญญาณของส้มโอ แต่..สำหรับอย่างหลังนั้น
นลินเหลือบตามองคนร่างสูงที่นั่งอ่านหนังสือบนเก้าอี้นวมแล้วถอนหายใจ ถึงไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไหร่แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาการสั่นไหวแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับใจของเธอ มีสาเหตุมาจากคนที่นั่งอยู่ตรงหน้านี่เอง
นลินวางหนังสือในมือก่อนหลับตาลง ตั้งแต่เธอย้ายเข้ามาอยู่ที่หอพักของชลิต จนถึงตอนนี้เป็นเวลาสองอาทิตย์พอดี แม้เธอจะโทรกลับบ้านทุกๆ สามวัน เพื่อรายงานความเคลื่อนไหวให้คนที่บ้านทราบ แต่นลินไม่เคยเล่าเรื่องของส้มโอให้คนในครอบครัวฟัง ด้วยเกรงว่าทุกคนจะพากันเป็นห่วง และอาจสั่งห้ามนลินไม่ให้อยู่ที่นี่อีก ซึ่งเป็นสิ่งที่นลินกังวลมากที่สุด เพราะตั้งใจไว้ว่า จะทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางปลดปล่อยวิญญาณของส้มโอให้ไปสู่สุคติ ดังนั้น เรื่องของส้มโอจะให้ที่บ้านรู้ไม่ได้ โดยเฉพาะพี่กล้า หากพี่ชายตัวดีรู้เรื่องนี้ รับรองได้เลยว่าสิ่งที่นลินตั้งใจเอาไว้คงพังไม่เป็นท่า เพราะพี่กล้าไม่มีวันยอมให้เธอไปยุ่งกับเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเด็ดขาด
“บ้าจริง! ทำไมจู่ๆ ถึงได้คิดถึงพี่กล้าขึ้นมาได้” นลินพึมพำเบาๆ พลางสะบัดหัวไปมาสองสามครั้ง เพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่าน พี่กล้าไม่มีวันรู้เรื่องนี้หรอก ในเมื่ออยู่ตั้งไกลซะขนาดนั้น หญิงสาวคิดปลอบใจตนเอง ทว่า..ความรู้สึกหนักอึ้งที่รบกวนจิตใจอยู่ในตอนนี้ มันคืออะไรกันแน่ หรือว่า..มันจะเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง
“คุณลิน คุณลิน คุณลินครับ!” เสียงทุ้มกังวานที่ดังอยู่ข้างตัว ปลุกนลินให้ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ สองสามครั้งแล้วหันมาทางต้นเสียงก่อนสะดุ้ง เมื่อแก้มชนกับจมูกของสมภพที่ยื่นหน้าเข้ามาพอดี
“อุ้ย!”
นลินอุทานด้วยความตกใจ ยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณ ผลักหน้าสมภพเต็มแรง อีกฝ่ายไม่ทันระวังตัว โดนมือพิฆาตเข้าไปอย่างจังถึงกับหน้าหงาย ร่างสูงผงะถอยหลังไปกระแทกขอบโต๊ะเสียงดังพลั่ก ทรุดร่วงลงมานั่งคุกเข่าตัวงอราวกับกุ้ง โดยมือข้างหนึ่งยันพื้นห้องเอาไว้ไม่ให้หน้าคะมำ
“ว้าย! ตายแล้ว คุณสมภพ!” นลินทำตาโต รีบลุกจากเตียงเข้าไปประคองร่างสมภพให้ลุกขึ้นยืน
“โอ๊ย เบาๆ ครับ คุณลิน” สมภพบอกพร้อมกับนิ่วหน้า นลินหน้าเสีย เอ่ยคำขอโทษขอโพยยกใหญ่
“ขอโทษค่ะ ลินไม่ได้ตั้งใจ ว่าแต่เป็นยังไงบ้างคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“เจ็บหลังครับ ไม่รู้ว่ากระดูกสันหลังหักหรือเปล่า” สมภพตอบพลางเป่าปากออกมาเบาๆ ใช้มือคลำบริเวณเหนือบั้นเอวขึ้นไปเล็กน้อย นลินหน้าถอดสี ไม่คิดว่าแค่ผลักเบาๆ เท่านั้นจะทำให้สมภพเจ็บได้ขนาดนี้
“ขอโทษจริงๆ ค่ะ ลินไม่รู้ว่าคุณมาอยู่ข้างตัวตั้งแต่ตอนไหน อีกอย่างหนึ่ง ใครใช้ให้คุณยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ แบบนั้นล่ะคะ” นลินบอกเสียงเบา หน้าเนียนใสเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้คุณลินสักหน่อย ผมแค่สงสัยว่าคุณลินเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก แถมยังทำหน้ามู่ทู่ เอ๊ย ทำหน้ายุ่งสลับกับสะบัดหัวไปมาหลายครั้ง ผมเป็นห่วงจึงลองเรียกชื่อคุณลิน แต่เรียกเท่าไหร่คุณลินก็ไม่ยอมตอบ”
“เอ่อ..คือ..”
“ทีนี้ ผมไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้ามาเรียกใกล้ๆ แต่คุณลินก็ยังนั่งเหม่อไม่รู้สึกตัว ผมจึงตัดสินใจก้มลงเรียกใกล้ๆ เผื่อคุณลินจะได้ยิน ซี่งปรากฏว่ามันได้ผล แต่ผมไม่คิดว่าคุณลินจะประเคนฝ่ามือใส่หน้าผมซะจนหน้าหงายแบบนี้ อูย..พูดแล้วเจ็บชะมัด” สมภพแกล้งโอดครวญ ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาเจ็บไม่มากอย่างที่คิด แต่อยากแกล้งนลินเล่น ซึ่งได้ผล เพราะนลินเชื่ออย่างสนิทใจว่าอีกฝ่ายเจ็บจริง
“ไหนขอลินดูหน่อยสิคะว่า คุณเจ็บตรงไหน เจ็บที่หลังใช่ไหมคะ” นลินถามน้ำเสียงร้อนรน พลางขยับเข้ามานั่งใกล้สมภพมากกว่าเดิม พร้อมกับยื่นมือออกมาจับชายเสื้อของอีกฝ่าย สมภพสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่านลินจะทำแบบนี้ รีบตะครุบมือของหญิงสาวเอาไว้ ร้องถามเสียงหลง
“ดะ..ดะ..เดี๋ยวก่อนครับ นี่คุณลินคิดจะทำอะไรครับ”
“ก็จะดูรอยช้ำที่หลังของคุณสมภพยังไงล่ะคะ ว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า ลินจะได้หายามาทาให้” นลินตอบอย่างที่ใจคิด มองสมภพตาแป๋ว ขณะที่มือบางก็ยังคงจับชายเสื้อของสมภพไว้แน่น
คำตอบของนลินทำให้สมภพชะงักไป ‘คนแกล้งเจ็บ’ มองใบหน้าหวานที่อยู่ห่างกันแค่คืบแล้วต้องลอบถอนใจ ยิ่งมองสบตาดวงตาคู่สวยที่มองมาด้วยความเป็นห่วงแล้ว เขาก็พูดไม่ออก จึงหันไปมองทางอื่นแทน ด้วยเกรงว่าหากจ้องหน้านลินไปมากกว่านี้ เขาอาจอดใจไม่ไหวจนเผลอไปทำมิดีมิร้ายคนป่วยเข้าจริงๆ แล้วมันจะยุ่ง
“คุณสมภพ ทำไมเงียบไปล่ะคะ หรือว่าเจ็บจนพูดไม่ออก” นลินถาม เมื่อเห็นสมภพนั่งนิ่ง
“ไม่มีอะไรครับ ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณคุณลินมากครับที่เป็นห่วง”
“แต่ว่า..”
“ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ แผลฟกช้ำแค่นี้ ทายาไม่กี่วันก็หายแล้ว คุณลินไปอ่านหนังสือต่อเถอะครับ เอ่อ..ผมขอตัวออกไปหานางพยาบาลที่อยู่ข้างนอกสักครู่นะครับ จะไปขอยามาทาแก้ฟกช้ำสักหน่อย” พูดจบ สมภพก็รีบลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้องแล้วเปิดออกไปอย่างรวดเร็ว
นลินมองตามหลังไปอย่างแปลกใจ ไหนเมื่อกี้บอกว่า กระดูกสันหลังอาจจะหัก แล้วทำไมตอนนี้กลับเดินปร๋อเหมือนคนไม่เป็นอะไรเลยล่ะ ตกลงแล้วอาการของคุณสมภพหนักหรือไม่หนักกันแน่ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
**********************************************************
“คุณสมภพมาแต่เช้าเลยนะคะ”
“ครับ ผมรีบแทบแย่แน่ะ กลัวมาไม่ทัน”
“เอ๊ะ มาไม่ทันอะไรคะ”
สมภพอมยิ้ม ไม่ตอบคำถามในทันที แต่เดินมายืนชิดขอบเตียงแล้ว ก้มหน้าลงมาพูดกระซิบข้างหูนลิน
“ก็..กลัวจะมาไม่ทันช่วยคุณลินอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะสิครับ”
“คนบ้า! อย่ามาทะลึ่งแถวนี้นะ!” นลินหน้าร้อนวูบ ใช้มือผลักสมภพให้ถอยห่าง สมภพหัวเราะชอบใจ มองนลินที่ใช้มือข้างหนึ่งถูใบหูไปมาอย่างนึกขำ คุณลินนี่แหย่ขึ้นเหมือนกันแฮะ ดูสิ หน้าแดงเชียว
“ยังจะมาหัวเราะอีก ลินไม่อยากเชื่อเลยว่า คุณจะเป็นคนแบบนี้”
“หือ? เป็นคนแบบไหนครับ ผมไม่เข้าใจ” สมภพตีหน้าซื่อ นลินมองอย่างหมั่นไส้ ดูถามเข้าสิ มันน่านักนะ คิดแล้วก็หยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาม้วนแล้วเคาะลงบนเตียงสองครั้ง
“ไม่ต้องมาทำไก๋ ลินรู้ว่าคุณเป็นคนฉลาด เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะต้องให้อธิบาย บอกไว้ก่อนนะคะ ว่าวันนี้หากคุณเล่นตุกติกกับลินเหมือนเมื่อวานอีกล่ะก็ คุณเจ็บตัวแน่” นลินพูดเสียงเข้ม ชูม้วนหนังสือพิมพ์ที่ถืออยู่ให้ดู
สมภพมองอาวุธในมือนลินแล้วอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ นี่คุณลินเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ถึงได้คิดว่าหนังสือที่ถืออยู่ในมือมีอานุภาพเทียบเท่ากับปืนผาหน้าไม้ ของแค่นี้ถึงโดนตีแสกหน้าเข้าไปจังๆ ก็ไม่ทำให้ถึงตายหรอก เออ ถ้าเป็นหนังสือพิมพ์หุ้มเหล็กแป๊บหรือท่อพีวีซีก็ว่าไปอย่าง รับรองได้เลยว่าตายสนิท
ถึงจะคิดแบบนั้น สมภพก็ไม่พูดออกมาอย่างที่ใจคิด เขาแสร้งถอนหายใจเสียงดัง เดินไปนั่งหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้นวมอย่างคนหมดแรง มองนลินตาละห้อย
“คุณลินนี่ขี้ระแวงจังเลยนะครับ เรื่องเมื่อวานมันเป็นอุบัติเหตุ ผมไม่ได้มีเจตนาจะเล่นตุกติกหรือคิดไม่ซื่อกับคุณลินสักหน่อย มากล่าวหากันอย่างนี้ ผมก็น้อยใจเป็นเหมือนกันนะครับ”
“ลินไม่ได้กล่าวหาคุณ เพียงแต่พฤติกรรมของคุณทำให้ลินไม่ไว้ใจ”
“คุณลินครับ ถ้าคนอย่างผมไว้ใจไม่ได้ ส้มกับหญิงก็คงไม่ยอมให้ผมมานั่งเฝ้าไข้คุณลินอยู่ในห้องคนป่วยตามลำพังแบบนี้หรอกครับ”
“นั่นมันเป็นเรื่องของส้มกับหญิง ไม่เกี่ยวกับลินสักหน่อย”
“อ้าว เป็นงั้นไป รู้ไหมครับว่า คำพูดของคุณลินทำให้ผมนึกถึงสุภาษิตขึ้นมาบทหนึ่งที่กล่าวว่า ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป ผมว่าความหมายของสุภาษิตบทนี้ เหมือนกับสถานการณ์ที่ผมเจอในตอนนี้ไม่มีผิด นี่ถ้าหากผมรู้ล่วงหน้าว่าผลลัพธ์จากความหวังดีของผมจะออกมาในรูปนี้ล่ะก็ รู้งี้ เมื่อวานตอนที่เสาแขวนขวดน้ำเกลือล้มลงมา ผมน่าจะปล่อยให้เสานั่นฟาดใส่หัวคุณลินไปซะก็ดีหรอก”
“คุณสมภพ!”
“ก็มันจริงนี่ครับ คุณลินจะได้ไม่ต้องมาเข้าใจผมผิดๆ แต่หากผมยืนนิ่งดูดายปล่อยให้คุณลินโดนเสาเหล็กฟาดใส่หัว ผมก็อาจโดนกล่าวหาอีก ทำนองว่าเป็นผู้ชายประสาอะไร ทำไมถึงไม่เข้าไปช่วย เห็นไหม ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน ผมก็โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง เฮ้อ เกิดมาเป็นสมภพนี่แย่ชะมัด ทำอะไรก็ผิดไปหมด” สมภพถอนใจ
“เอ่อ..” นลินพูดไม่ออก รู้สึกสับสน ไม่แน่ใจว่า ที่สมภพพูดมาเมื่อกี้ ตกลงแล้วเขาตั้งใจจะตัดพ้อต่อว่า หรือจะพูดจาเหน็บแนมประชดประชันกันแน่
“แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ผมก็ผิดด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าผมระวังมากกว่านี้ ผมก็คงจับเสาแขวนขวดน้ำเกลือไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มลงมา แล้วเราทั้งคู่ก็คงจะไม่ล้มลงไปนอนกอดอยู่บนเตียงด้วยกัน”
“คุณสมภพ! หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลยนะ!” นลินแหวใส่ หน้าแดงซ่านไปถึงใบหู สมภพเลิกคิ้วสูง ทำหน้าฉงน
“ทำไมล่ะครับ ผมแค่อยากอธิบายให้ฟังว่า ต้นเหตุของเรื่องเมื่อวานอยู่ตรงไหน อืม..ผมมาคิดๆ ดูแล้ว สรุปได้ว่าสาเหตุของเรื่องทั้งหมดเกิดจาก เสาแขวนขวดน้ำเกลือ คุณลินไม่แปลกใจบ้างหรือครับ ว่าทำไมจู่ๆ เสาแขวนขวดน้ำเกลือถึงได้ล้มลงมาบนเตียงคนป่วยแบบนั้น จะว่าแผ่นดินไหวรึ ก็ไม่ใช่ เอ มันเพราะอะไรกันน้า”
“คุณสมภพ! ลินบอกให้หยุดพูดยังไงล่ะคะ!”
“ผมขอปฏิเสธครับ เพราะถ้าผมไม่พูดออกมาให้หมด คุณลินก็ไม่เข้าใจน่ะสิครับว่า เรื่องราวจริงๆ มันเกิดจากอะไร ผมไม่อยากให้คุณลินเข้าใจผมผิดๆ แบบนี้” สมภพท้วงเสียงแข็ง ทำหน้าตาขึงขัง ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่หลุดหัวเราะออกมา ผิดกับนลินที่นั่งหน้าหงิก นึกอยากจะหาอะไรมาอุดปากคนช่างพูดเหลือเกิน
“เอาเป็นว่า ลินเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว ฉะนั้น คุณหยุดพูดเถอะค่ะ” นลินตัดบท
“แน่ใจเหรอครับ” สมภพทำท่าลังเล แต่เมื่อเห็นนลินมองมาด้วยสายตาขุ่นเขียว ชายหนุ่มก็พยักหน้า
“ก็ได้ครับ ผมไม่พูดก็ได้ ว่าแต่คุณลินเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ ว่าเรื่องเมื่อวานมันเป็นอุบัติเหตุ”
“ค่ะ เข้าใจแจ่มแจ้งเลยทีเดียว” นลินตอบเสียงห้วน
“เฮ้อ! ผมดีใจจังที่คุณลินเข้าใจผมสักที แต่ผมก็ยังติดใจเรื่องเสาแขวนขวดน้ำเกลืออยู่ดี สงสัยจังว่าทำไมมันถึงได้ล้มลงมา แต่ช่างมันเถอะครับ ในเมื่อคุณลินเข้าใจผมแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่ต้องไปสนใจ จริงไหมครับ”
“ค่ะ” นลินรับคำอย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่ในใจเริ่มหงุดหงิด ฮึ! ทำมาพูดอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายก็วกกลับมาที่เรื่องเสาแขวนขวดน้ำเกลือจนได้ ทำไมนลินจะไม่รู้ว่า เสาแขวนขวดน้ำเกลือล้มลงมาได้อย่างไร ถ้าไม่เป็นเพราะเธอรีบผละออกมาจากอ้อมกอดของคนที่นั่งพูดแจ้วๆ อยู่ตรงหน้า เสาแขวนขวดน้ำเกลือก็ไม่ล้มลงมาหรอก
ยิ่งคิด นลินก็ยิ่งเจ็บใจตัวเองที่ตกใจกับฝันร้ายมากเกินไป จนเผลอไปกอดสมภพเข้า ทำให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถูกอีกฝ่ายต้อนด้วยคำพูดจนพูดไม่ออกแบบนี้ ไม่อยากเชื่อเลยว่า สมภพที่เงียบขรึมกับสมภพที่ขี้เล่นและเจ้าเล่ห์ในตอนนี้จะเป็นคนๆ เดียวกัน
“ทำไมเงียบไปล่ะครับ หรือว่าคุณลินปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ” สมภพถาม เมื่อเห็นนลินนิ่งเงียบ
“จะบ้าหรือไง ใครบอกคุณว่าลินปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ”
“อ้าว ก็ผมเห็นคุณลินทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้าหากัน ก็นึกว่าคุณลินอาจจะปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำซะอีก อืม..พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วทำให้นึกขึ้นมาได้” สมภพเว้นจังหวะเล็กน้อยแล้วถามขึ้น
“คุณลินอาบน้ำหรือยังครับ”
“คุณสมภพ!”
“ผมไม่ได้ทะลึ่งนะครับ ที่ถามก็เพราะว่า หากคุณลินยังไม่ได้อาบน้ำ ผมจะได้ไปเรียกนางพยาบาลให้เข้ามาช่วยคุณลินจัดการทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยต่างหากล่ะครับ” สมภพรีบบอก มองนลินตาปรอย เห็นแบบนั้นแล้ว นลินก็โกรธอีกฝ่ายไม่ลง
“ขอบคุณค่ะที่หวังดี แต่หญิงช่วยจัดการให้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“เหรอครับ มิน่าล่ะ เมื่อกี้ตอนก้มลงกระซิบข้างหู ถึงได้กลิ่นสบู่หอมติดจมูกเชียว” ท้ายประโยค สมภพพูดพึมพำเบาๆ กับตนเอง นลินย่นคิ้วเข้าหากัน เพราะได้ยินคำว่าสบู่แว่วมาจากปากของอีกฝ่าย แต่ได้ยินไม่ถนัด
“เมื่อกี้ คุณสมภพพูดว่าอะไรนะคะ ลินได้ยินไม่ชัด”
“เปล่านี่ครับ” สมภพปฏิเสธ แต่นลินไม่เชื่อ มองสมภพเขม็งพร้อมกับคาดคั้นเพื่อเอาคำตอบ ซึ่งสมภพยืนยันคำพูดเดิมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น นลินจึงยอมแพ้ไม่เซ้าซี้ต่อ ก่อนเปลี่ยนเรื่อง
“คุณสมภพทานอาหารเช้าหรือยังคะ”
“เรียบร้อยแล้วครับ แล้วคุณลินล่ะครับ”
“ลินทานข้าวต้มแล้วค่ะ”
"งั้นเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นคุณลินพักผ่อนเถอะครับ ผมจะนั่งเฝ้าเอง”
“ลินขอนั่งอ่านหนังสือดีกว่าค่ะ ไม่อยากนอนไปมากกว่านี้ เดี๋ยวจะติดนิสัยขี้เกียจกันพอดี”
“ตามใจคุณลินแล้วกันครับ” สมภพคลี่ยิ้มบางๆ หยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่าน นลินมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของสมภพแล้วถอนหายใจ ถ้าเขานั่งอ่านหนังสือเงียบๆ แบบนี้ได้ทั้งวันก็คงจะดีไม่น้อย เพราะเธอไม่อยากโดนอีกฝ่ายต้อนด้วยคำพูดให้จนมุมเหมือนเมื่อกี้อีก
นลินหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ขึ้นมา อดหันไปมองคนที่นั่งบนเก้าอี้นวมไม่ได้ ขนาดแต่งตัวธรรมดาออกจะติดเซอร์ๆ คุณสมภพก็ยังดูดี นี่ถ้าจับตัดผมที่ยาวระต้นคอให้สั้นกว่านี้ รับรองว่า คุณสมภพไปเป็นพระเอกละครได้สบายๆ พลันใบหน้าคมเข้มของใครอีกคนก็ผุดขึ้นมา ถ้าพี่กล้ารู้ว่ามีชายหนุ่มหน้าตาดีหล่อสูสีพอๆ กันกับตนเองแถมยังโสดสนิทมาอาสานั่งเฝ้าไข้เธออยู่ข้างเตียงแบบนี้ จะเกิดอะไรขึ้นหนอ
นลินส่ายหัวเบาๆ เมื่อนึกถึงพี่ชาย รายนั้นนอกจากจะหน้าตาดีอย่างหาตัวจับยากแล้ว ยังขึ้นชื่อเรื่องความดุและหวงน้องสาวเป็นที่สุด หนุ่มๆ แถวบ้านรู้เรื่องนี้ดี จึงไม่มีใครกล้ามายุ่งกับนลินสักคน เพราะกลัวพี่กล้าจนหัวหด ถ้าพี่กล้ารู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเธอล่ะก็ พี่ชายตัวดีต้องรีบขึ้นมาที่นี่และพาเธอกลับบ้านแน่นอน
นลินถอนหายใจ เดิมทีพี่กล้าก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้นลินมาทำงานไกลบ้าน จึงยกเหตุผลร้อยแปดพันเก้ารวมถึงชักแม่น้ำทั้งห้ามาเกลี้ยกล่อมให้นลินเห็นดีเห็นงามกับการทำงานใกล้บ้าน แต่นลินดึงดันจะทำงานไกลบ้านให้ได้ โดยให้เหตุผลว่า ต้องการหาประสบการณ์และอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะหากทำงานใกล้บ้าน เธอไม่แคล้วต้องเป็นนกน้อยในกรงทองของคนในครอบครัวเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด
เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับครอบครัวเชียวล่ะ นลินกับพี่กล้าเถียงกันหน้าดำหน้าแดง แต่เธอเถียงสู้พี่กล้าซึ่งปกติปากจัดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วไม่ได้ จึงลืมตัวเผลอตวาดใส่พี่ชาย จำได้ว่าพี่กล้ามีสีหน้าตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยคิดไม่ถึงว่า น้องสาวที่เรียบร้อยและอยู่ในโอวาทมาโดยตลอด จะกล้าพูดเสียงดังใส่หน้า
จากนั้นคำพูดตัดพ้อต่อว่าต่างๆ นานาก็พรั่งพรูออกมาจากปากพี่ชายจอมหวง ที่ต้องบอกว่าดังลั่นไปสามบ้านแปดบ้านเลยทีเดียว เดือดร้อนพ่อที่กำลังนั่งสวดมนต์อยู่ในห้องพระ ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามบานปลายจนกลายเป็นศึกสายเลือด
ผลจากการเจรจาครั้งนั้น สรุปว่า พ่อแม่ยอมให้นลินมาทำงานที่นี่ ส่วนพี่กล้าแม้จะทำท่าทางฮึดฮัดไม่พอใจแต่ก็ต้องจำใจยอม เพราะมีเสียงน้อยกว่า (ครอบครัวนลินมีด้วยกันสี่คน) แต่พี่ชายตัวดีก็ยังไม่ยอมแพ้ อุตส่าห์ตั้งเงื่อนไขขึ้นมา โดยให้นลินสัญญาว่า จะโทรกลับบ้านทุกๆ สามวัน (ยังดีที่ไม่ให้โทรทุกวัน) เพื่อรายงานชีวิตประจำวันให้ทางบ้านทราบอย่างละเอียด (แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องผู้ชายที่เข้ามาติดพันด้วย) และหากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับนลิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม นลินต้องกลับไปทำงานที่บ้านโดยไม่มีข้อต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น
เงื่อนไขที่พี่กล้าเสนอมานั้น ไม่ใช่เรื่องยากที่ทำให้ไม่ได้ นลินจึงตกลงแต่พี่กล้าก็ยังไม่วางใจอยู่ดี พ่อเจ้าประคุณลงทุนอดตาหลับขับตานอน เพื่อนั่งร่างสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เรียกว่า “สนธิสัญญาระหว่างพี่น้อง” (ไม่รู้ว่าคิดไปได้ยังไง) จากนั้นก็จับนลินเซ็นสัญญาโดยให้เหตุผลว่า ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย (อันที่จริง น่าจะเป็นพี่กล้าคนเดียวมากกว่า) โดยมีพ่อกับแม่ร่วมลงนามเป็นพยาน นลินไม่อยากทะเลาะกับพี่ชาย จึงยอมเซ็นสัญญา นั่นแหละ พี่ชายตัวดีจึงยิ้มแป้นหน้าบาน ยอมให้นลินมาทำงานไกลบ้าน
นับจากวันที่ลงนามในสัญญาฉบับนั้นของพี่ชาย จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสามปีแล้ว ที่นลินมาใช้ชีวิตตามลำพังอยู่ที่นี่ แม้สภาพสังคมของคนเมืองหลวง จะวุ่นวายแก่งแย่งแข่งขันกันชิงดีชิงเด่น แต่นลินก็ไม่เคยพาตัวเองเข้าไปอยู่ในกระแสวังวนของความวุ่นวายเหล่านั้น เธอใช้ชีวิตเรียบง่ายและไม่เคยไปยุ่งวุ่นวายกับใคร
ความที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายเกินไป นลินจึงถูกเพื่อนๆ ที่ทำงานค่อนขอดว่า ใช้ชีวิตได้อย่างน่าเบื่อและขาดสีสัน แต่เธอไม่เคยเก็บคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจ เพราะคนเราต่างมีรูปแบบการดำเนินชีวิตไม่เหมือนกัน คงเป็นเรื่องแปลก หากทุกคนในโลกนี้คิดและทำอะไรเหมือนกันหมด สำหรับนลินแล้ว แม้ว่าการใช้ชีวิตของเธออาจจะดูเรียบง่ายหรือน่าเบื่อไปบ้างในสายตาของใครหลายคน แต่เธอก็พอใจและมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่
ทว่า..ตั้งแต่นลินย้ายเข้ามาอยู่ที่หอพักของชลิต ดูเหมือนว่าความเรียบง่ายที่เธอเคยชินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน กำลังจะหายไป แต่มีความตื่นเต้นปนระทึกขวัญเข้ามาแทนที่ ยังไม่นับรวมปฏิกิริยาแปลกๆ บางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นกับใจของเธอ อาการที่ว่านั่น ทำให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะบ่อยครั้ง ทั้งสามอย่างเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งนลินพอจะเดาได้ว่า สองอย่างแรกมีสาเหตุมาจากเรื่องวิญญาณของส้มโอ แต่..สำหรับอย่างหลังนั้น
นลินเหลือบตามองคนร่างสูงที่นั่งอ่านหนังสือบนเก้าอี้นวมแล้วถอนหายใจ ถึงไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไหร่แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาการสั่นไหวแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับใจของเธอ มีสาเหตุมาจากคนที่นั่งอยู่ตรงหน้านี่เอง
นลินวางหนังสือในมือก่อนหลับตาลง ตั้งแต่เธอย้ายเข้ามาอยู่ที่หอพักของชลิต จนถึงตอนนี้เป็นเวลาสองอาทิตย์พอดี แม้เธอจะโทรกลับบ้านทุกๆ สามวัน เพื่อรายงานความเคลื่อนไหวให้คนที่บ้านทราบ แต่นลินไม่เคยเล่าเรื่องของส้มโอให้คนในครอบครัวฟัง ด้วยเกรงว่าทุกคนจะพากันเป็นห่วง และอาจสั่งห้ามนลินไม่ให้อยู่ที่นี่อีก ซึ่งเป็นสิ่งที่นลินกังวลมากที่สุด เพราะตั้งใจไว้ว่า จะทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางปลดปล่อยวิญญาณของส้มโอให้ไปสู่สุคติ ดังนั้น เรื่องของส้มโอจะให้ที่บ้านรู้ไม่ได้ โดยเฉพาะพี่กล้า หากพี่ชายตัวดีรู้เรื่องนี้ รับรองได้เลยว่าสิ่งที่นลินตั้งใจเอาไว้คงพังไม่เป็นท่า เพราะพี่กล้าไม่มีวันยอมให้เธอไปยุ่งกับเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเด็ดขาด
“บ้าจริง! ทำไมจู่ๆ ถึงได้คิดถึงพี่กล้าขึ้นมาได้” นลินพึมพำเบาๆ พลางสะบัดหัวไปมาสองสามครั้ง เพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่าน พี่กล้าไม่มีวันรู้เรื่องนี้หรอก ในเมื่ออยู่ตั้งไกลซะขนาดนั้น หญิงสาวคิดปลอบใจตนเอง ทว่า..ความรู้สึกหนักอึ้งที่รบกวนจิตใจอยู่ในตอนนี้ มันคืออะไรกันแน่ หรือว่า..มันจะเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง
“คุณลิน คุณลิน คุณลินครับ!” เสียงทุ้มกังวานที่ดังอยู่ข้างตัว ปลุกนลินให้ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ สองสามครั้งแล้วหันมาทางต้นเสียงก่อนสะดุ้ง เมื่อแก้มชนกับจมูกของสมภพที่ยื่นหน้าเข้ามาพอดี
“อุ้ย!”
นลินอุทานด้วยความตกใจ ยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณ ผลักหน้าสมภพเต็มแรง อีกฝ่ายไม่ทันระวังตัว โดนมือพิฆาตเข้าไปอย่างจังถึงกับหน้าหงาย ร่างสูงผงะถอยหลังไปกระแทกขอบโต๊ะเสียงดังพลั่ก ทรุดร่วงลงมานั่งคุกเข่าตัวงอราวกับกุ้ง โดยมือข้างหนึ่งยันพื้นห้องเอาไว้ไม่ให้หน้าคะมำ
“ว้าย! ตายแล้ว คุณสมภพ!” นลินทำตาโต รีบลุกจากเตียงเข้าไปประคองร่างสมภพให้ลุกขึ้นยืน
“โอ๊ย เบาๆ ครับ คุณลิน” สมภพบอกพร้อมกับนิ่วหน้า นลินหน้าเสีย เอ่ยคำขอโทษขอโพยยกใหญ่
“ขอโทษค่ะ ลินไม่ได้ตั้งใจ ว่าแต่เป็นยังไงบ้างคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“เจ็บหลังครับ ไม่รู้ว่ากระดูกสันหลังหักหรือเปล่า” สมภพตอบพลางเป่าปากออกมาเบาๆ ใช้มือคลำบริเวณเหนือบั้นเอวขึ้นไปเล็กน้อย นลินหน้าถอดสี ไม่คิดว่าแค่ผลักเบาๆ เท่านั้นจะทำให้สมภพเจ็บได้ขนาดนี้
“ขอโทษจริงๆ ค่ะ ลินไม่รู้ว่าคุณมาอยู่ข้างตัวตั้งแต่ตอนไหน อีกอย่างหนึ่ง ใครใช้ให้คุณยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ แบบนั้นล่ะคะ” นลินบอกเสียงเบา หน้าเนียนใสเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้คุณลินสักหน่อย ผมแค่สงสัยว่าคุณลินเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก แถมยังทำหน้ามู่ทู่ เอ๊ย ทำหน้ายุ่งสลับกับสะบัดหัวไปมาหลายครั้ง ผมเป็นห่วงจึงลองเรียกชื่อคุณลิน แต่เรียกเท่าไหร่คุณลินก็ไม่ยอมตอบ”
“เอ่อ..คือ..”
“ทีนี้ ผมไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้ามาเรียกใกล้ๆ แต่คุณลินก็ยังนั่งเหม่อไม่รู้สึกตัว ผมจึงตัดสินใจก้มลงเรียกใกล้ๆ เผื่อคุณลินจะได้ยิน ซี่งปรากฏว่ามันได้ผล แต่ผมไม่คิดว่าคุณลินจะประเคนฝ่ามือใส่หน้าผมซะจนหน้าหงายแบบนี้ อูย..พูดแล้วเจ็บชะมัด” สมภพแกล้งโอดครวญ ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาเจ็บไม่มากอย่างที่คิด แต่อยากแกล้งนลินเล่น ซึ่งได้ผล เพราะนลินเชื่ออย่างสนิทใจว่าอีกฝ่ายเจ็บจริง
“ไหนขอลินดูหน่อยสิคะว่า คุณเจ็บตรงไหน เจ็บที่หลังใช่ไหมคะ” นลินถามน้ำเสียงร้อนรน พลางขยับเข้ามานั่งใกล้สมภพมากกว่าเดิม พร้อมกับยื่นมือออกมาจับชายเสื้อของอีกฝ่าย สมภพสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่านลินจะทำแบบนี้ รีบตะครุบมือของหญิงสาวเอาไว้ ร้องถามเสียงหลง
“ดะ..ดะ..เดี๋ยวก่อนครับ นี่คุณลินคิดจะทำอะไรครับ”
“ก็จะดูรอยช้ำที่หลังของคุณสมภพยังไงล่ะคะ ว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า ลินจะได้หายามาทาให้” นลินตอบอย่างที่ใจคิด มองสมภพตาแป๋ว ขณะที่มือบางก็ยังคงจับชายเสื้อของสมภพไว้แน่น
คำตอบของนลินทำให้สมภพชะงักไป ‘คนแกล้งเจ็บ’ มองใบหน้าหวานที่อยู่ห่างกันแค่คืบแล้วต้องลอบถอนใจ ยิ่งมองสบตาดวงตาคู่สวยที่มองมาด้วยความเป็นห่วงแล้ว เขาก็พูดไม่ออก จึงหันไปมองทางอื่นแทน ด้วยเกรงว่าหากจ้องหน้านลินไปมากกว่านี้ เขาอาจอดใจไม่ไหวจนเผลอไปทำมิดีมิร้ายคนป่วยเข้าจริงๆ แล้วมันจะยุ่ง
“คุณสมภพ ทำไมเงียบไปล่ะคะ หรือว่าเจ็บจนพูดไม่ออก” นลินถาม เมื่อเห็นสมภพนั่งนิ่ง
“ไม่มีอะไรครับ ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณคุณลินมากครับที่เป็นห่วง”
“แต่ว่า..”
“ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ แผลฟกช้ำแค่นี้ ทายาไม่กี่วันก็หายแล้ว คุณลินไปอ่านหนังสือต่อเถอะครับ เอ่อ..ผมขอตัวออกไปหานางพยาบาลที่อยู่ข้างนอกสักครู่นะครับ จะไปขอยามาทาแก้ฟกช้ำสักหน่อย” พูดจบ สมภพก็รีบลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้องแล้วเปิดออกไปอย่างรวดเร็ว
นลินมองตามหลังไปอย่างแปลกใจ ไหนเมื่อกี้บอกว่า กระดูกสันหลังอาจจะหัก แล้วทำไมตอนนี้กลับเดินปร๋อเหมือนคนไม่เป็นอะไรเลยล่ะ ตกลงแล้วอาการของคุณสมภพหนักหรือไม่หนักกันแน่ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
**********************************************************
thongyod
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 เม.ย. 2554, 16:29:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 เม.ย. 2554, 18:42:41 น.
จำนวนการเข้าชม : 2233
<< ตอนที่ 7 | ตอนที่ 9 >> |
Siang 11 เม.ย. 2554, 08:01:36 น.
อ่านกี่ครั้งๆ เฮียภพก็ยังน่ารักอยู่เหมือนเดิม รีบๆเอาตอนใหม่มาส่งนะคะ คิดถึงเฮียภพ
อ่านกี่ครั้งๆ เฮียภพก็ยังน่ารักอยู่เหมือนเดิม รีบๆเอาตอนใหม่มาส่งนะคะ คิดถึงเฮียภพ
แมวสามสี 11 เม.ย. 2554, 08:37:23 น.
เห็นด้วยกับคุณเสียงค่ะ (ถ้าอ่านชื่อผิดก็ขอโทษด้วยค่ะ>.<) รอตอนใหม่เช่นกัน
^__^
เห็นด้วยกับคุณเสียงค่ะ (ถ้าอ่านชื่อผิดก็ขอโทษด้วยค่ะ>.<) รอตอนใหม่เช่นกัน
^__^
sai 11 เม.ย. 2554, 09:00:45 น.
เข้ามารอตอนใหม่ด้วยคนค่ะ^^
เข้ามารอตอนใหม่ด้วยคนค่ะ^^
rainbowshadow 11 เม.ย. 2554, 10:43:24 น.
มาตามตอนใหม่ของเอียภพด้วยคนค่า หวังว่าคงไม่ช้านะคะ ^--^
มาตามตอนใหม่ของเอียภพด้วยคนค่า หวังว่าคงไม่ช้านะคะ ^--^
Setia 11 เม.ย. 2554, 16:23:54 น.
แหมๆ เเกล้งเจ็บนี่หว่า ร้ายนะเนี่ย อยากอ่านต่อจัง
แหมๆ เเกล้งเจ็บนี่หว่า ร้ายนะเนี่ย อยากอ่านต่อจัง