หอรักตำหนักเทียมฟ้า
ท่านชายผู้สูงศักดิ์ ถูกม่านประเพณีบีบบังคับให้แต่งงาน แต่ท่านยังเป็นสุภาพบุรุษ จวบจนกระทั่งท่านมีรักแท้ รักที่ต้องห้ามได้ทำให้ท่านเอาแต่ใจ
Tags: ช่วงชิง แก่งแย่ง ริษยา

ตอน: กฏบ้านอันเคร่งครัด

วันเวลาแห่งการรอคอยมาถึง
ขบวนแห่เจ้าสาวเป็นระเบียบ และดูสวยงามเพราะเจ้าสาวเป็นถึงพระธิดาฮ่องเต้ นางกำนัลเดินเป็นแถว บางช่วงบางขณะ นางโบกพัด สลับกับเพลงที่ประโคมอย่างครึกครื้น
วันนี้วังวสันต์นับว่ามีความครึกครื้นยิ่งนัก ขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต่างเร่งรุดเข้าอวยพร ท่านชายเทียนจง เนื่องในวันพระราชทานสมรสกับองค์หญิงองค์หญิงเล่อฉาง
เจ้าสาวสวมชุดแดงคลุมม่านไข่มุกมากค่า ประทับนั่งบนเตียงรอคอยเจ้าบ่าวเข้ามาสู่หอห้อง
หญิงสาวสวยงามหลายนางเดินถือถาดสิ่งของมลคลเข้ามาในห้องหอ หนึ่งนั้นมีผ้าเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวเป็นสิ่งสุดท้าย หญิงผู้ประคองถามยื่นส่งให้ ร่างสูงสง่างามสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงซึ่งก้าวย่างเข้ามายืนหน้าเตียง ไท้เทียนจงหยิบไม้เกี่ยวขึ้นมาถือไว้ สาวใช้ย่อเข่าข้างหนึ่งกล่าวอวยพร
“ขอให้ท่านชายสมหวังดังใจเจ้าค่ะ”
ท่านชายโบกมือให้เหล่าสาวงามออกไป ท่านใช้ไม้เกี่ยวผ้านิด ก่อนยื่นมือเรียวยาวไปเปิดผ้าออกชื่นชมเจ้าสาว
องค์หญิงองค์หญิงเล่อฉางตื่นพระทัยเป็นที่ยิ่ง ไท้เทียนยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แตะต้องม่านไข่มุกแต่เพียงเบามือ องค์หญิงเล่าฉาง หวาดหวั่นในใจยิ่งนัก นางรู้สึกแตกตื่น ด้วยความหวังกำลังเป็นจริง และนาง...กับท่านชายจะรวมเป็นหนึ่งเดียวในเวลาไม่กี่ชั่วยามนี้ ชีวิตของหนุ่มสาว เรื่องที่สาวใช้บอกว่าเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์
องค์หญิงองค์หญิงเล่อฉางเบือนพักตร์หนีด้วยความเก้อเขิน ราชนิกุลสูงศักดิ์กล่าวทุ้มนุ่มนวล
“องค์หญิงเล่อฉางเรายังไม่ดื่มสุรามงคลเชิญทางนี้” กล่าวพลางแตะท่อนแขนนำพาไปโต๊ะกลมกึ่งกลางห้อง บรรจง ท่านประคองอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอมให้นั่งลง และถอดหมวกม่านไข่มุกออกวางไว้
กาทองคำและจอกสุรา สองจอก วางในถาดขนาดกลาง ท่านชายรินใส่ทั้งสองจอก ก่อนยื่นส่งให้
“เรายินดีที่ได้เจ้ามาเป็นภรรยาองค์หญิงเล่อฉาง”
“ข้าขอฝากชีวิตให้ท่านได้ดูแล โปรดทะนุถนอมข้าด้วย”
สองท่านคล้องแขนยกถ้วยสุรามงคลขึ้นดื่มโดยพร้อมเพรียง องค์หญิงองค์หญิงเล่อฉาง เบือนหน้าหลบสายตามพราวระยับของเจ้าบ่าว เขาเชยคางนางขึ้นมอง จึงได้เห็นอีกฝ่ายริมฝีปากสั่นระริกด้วยความประหม่าอาย
ท่านชายแตะต้องแก้มนวลเนียน สัมผัสแรกทำให้ท่านเกิดกระแสร้อนไหลซ่านไปทั่วอก องค์หญิงกระพริบตาไม่กล้าสานสบตาอีกฝ่าย ริมฝีปาดแดงจัดด้วยสีชาด ทำให้ทานชายอยากจุมพิตท่านจึงแตะลงไปแต่แผ่วเบา เพียงเนื้อนุ่มของทั้งสองแตะต้องแก่กัน ท่านชายรวบร่างอีกฝ่ายเข้ามาโอบกอดโดยแน่นอย่างลืมตัว ด้วยเป็นหนุ่มรีกรุ่น ความร้อนแรงย่อมนำพา ก่อนหน้านี้ท่านได้รับการอบรมมาจากท่านพ่อเพื่อไม่ให้เกิดอาการแตกตื่นในยามเข้าหอ
แต่ท่านกำลังตื่นเต้นแทบทนไม่ไหว ท่านกอดจูบอีกฝ่ายหนักหน่วง จนกระทั่งองค์หญิงรู้สึกเจ็บไม่น้อย นางร่ำร้องบอกอีกฝ่ายเสียงสั่น
“ท่านชายโปรดถนอมข้าด้วย”
“ขอโทษองค์หญิงเล่อฉาง เจ้างามจนข้าไม่อาจห้ามใจได้”ท่านกล่าวแล้วค้อมกายโอบอุ้มอีกฝ่าย ขึ้นสู่วงแขน ดวงตาพราวพรายเต็มไปด้วยความปรารถนาร้อนแรง
ร่างบอบบางถูกวางลงบนเตียง ก่อนท่านนั่งลงวางแขนคร่อมร่างอีกฝ่าย ซึ่งมีท่าทีตื่นเต้น
“หากเจ้าไม่พร้อม เราจะไม่ตามใจตัวเอง เราจะหักห้ามใจตัวเองไม่ทำให้เจ้าต้องกลัว”
องค์หญิงเล่อฉางยิ่งแตกตื่นใจ ด้วยคำสอนของพระมารดาเริ่มวิ่งแล่นกลับมาในสมองอีกครั้ง เพียงวันแรกนางไม่สามารถทำตามใจสามีเสียแล้ว
“ท่านชาย”ด้วยความกลัว นางผวากอดไท้เทียนจงแน่น หอมแก้มอีกฝ่ายเอาใจ “ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านผิดหวังค่ะ”
“โธ่เจ้าอย่าวิตกไปเลย แล้วเจ้าพร้อมหรือเปล่า”
ท่านกล่าวแล้วไม่ฟังคำตอบ แกะกระดุมผ้าของนางออก กลิ่นกายหอมจากมวลดอกไม้ที่เจ้าสาวอบร่ำมาทั้งวันส่งกล่านกรุ่น เอี๊ยมตัวในถูกปลดสายออก เรือนกายขาวโพลนราวกับจันทร์ค้างฟ้าปรากฏแก่สายตาชายหนุ่มประทุมถันแม้โดนรัดไม่ตูมตั้ง หากสิ่งนี้ยังยั่วยวนให้ท่านชายโน้มหน้าลงไปเคล้าคลึง องค์หญิงเอนกายลงนอน รู้สึกประหลาดล้ำจนอดครวญครางออกมาราวกับเจ็บปวด หากว่าเป็นความเจ็บที่นางรู้สึกอยากได้รับให้มากกว่าที่กำลังเป็นอยู่
ริมฝีปากนุ่มถูกแนบประกบทับรับรอยจุมพิตแน่นสนิท ปลายลิ้นควานใส่ดังลิ้มชิมรสกลิ่นเกสรภายใน
ร่างเปลือยเปล่ากำลังสวมกอดนางอยู่ หญิงสาวร้อนผ่าวไปทั้งกาย ก่อนยกมือผลักพระอุระ แต่กำลังของนางช่างน้อยเหลือเกิน
ดวงหน้าคมคายก้มลงมาที่ความอ่อนหวานละมุน องค์หญิงเบือนหลบเลี่ยง ออกห่าง แต่ไม่ว่าหลบไปทางใด ล้วนไม่พ้นปาก หรือจมูกของเขาไปได้ กระทั่งริมฝีปากรุ่มร้อนของเขาคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปากนุ่มนวลของนาง ท่านขยับขึ้นบนยั่วยวน
เรือนกายท่านชายทอดกายลงกอดแนบชิด ลูบไล้สัมผัสผิวเนื้อเรียบลื่น ดุจแพรชั้นดี ความอบอุ่นจากมือเรียวยาวถ่ายทอดเข้าผิวกาย สร้างความรุมร้อน มากขึ้นเรื่อย มากขึ้นทุกที ราวกับร่างกายขององค์หญิงบวมพองผิดธรรมชาติ ความหวาดกลัว เริ่มเยี่ยมกรายเข้ามาเยือน ทำให้นางแตกตื่น หากท่านชายกลับทำให้นางเกิดความอยากรู้ตามธรรมชาติที่เรียกร้อง ท่านชายไท้ตามไปประกบร่างตามแนบชิด ริมฝีปากอุ่นชื้นทำหน้าที่อย่างแสนฉลาดด้วยความเข้าใจ องค์หญิงหนีไม่พ้นความลึกลับของธรรมชาติอีกแล้ว นางรับรอยจูบอ่อนหวาน นุ่มนวล
ท่านชายขยับกายเลื่อนลง นางสะท้านร่างแอ่นรับเมื่อเคราสากๆเกลี่ยเบาบนนาภีเป็นลอนสวยมือใหญ่บีบเคล้นบัวตูมซึ่งเบ่งบานรับเต็มที่
น่าอายเหลือเกินเมื่อองค์หญิงองค์หญิงเล่อฉางร้อนเร่าไปทั้งวรกายอย่างหักห้ามใจตัวเองไม่ได้
นางได้รับสัมผัสนุ่มนวล และรุนแรงในบางครั้งจะสร้างความสุข ลึกล้ำ และแปลกประหลาดได้มากมายถึงเพียงนี้
****องค์หญิงเกร็งรับอย่างไม่อาจปิดบังความต้องการของ เสียงครวญครางเบาพลิ้วอย่างที่เจ้าตัวจำไม่ได้
ปลายลิ้นอ่อนนุ่ม ทำให้องค์หญิงเร่าร้อนมากขึ้น จนบิดเรือนกายร้องครวญ
องค์หญิงสาวสั่นสะท้านเฮือก เมื่อท่านชายไท้สัมผัสเกสรเล็กๆที่ซุกซ่อนอยู่ในกลีบกุหลาบ หยอกล้อกับมัน เกสรแห่งกายสตรีมีประสาทสัมผัสของความปรารถนาที่เร้นลับแอบแฝง สิ่งนั้นสร้างความเสียวซ่านจนร่างกายแทบแหลกสลายด้วยความสุขอย่างร้ายกาจ
คลื่นแห่งความสุขกำลังถาโถมเข้าใส่องค์หญิงระลอกแล้วละลอกเล่า
มือเรียวเลื่อนลงจากเนินถัน ลงวกวนรุกรานส่วนล่าง และคุมคามขึ้นมาส่วนบนอีกครั้ง ผ้าปูแท่นบรรทมสีขาวสะอาด อันเป็นประเพณีการเข้าหอแรกของเจ้าสาว ถูกขยุ้มกำเต็มมือขณะที่องค์หญิงสู้รบกับธรรมชาติของตัวเองไม่ไหวอีกแล้ว
ความบริสุทธิ์ครบถ้วนเป็นปราการซึ่งมิอาจให้ผู้จู่โจมรุกล้ำเข้าไปง่ายดายนัก
ท่านชายไท้กัดริมริมฝีปากสอดมือลงช้อนสะโพกองค์หญิงเข้าไปแนบกระชับ ขณะที่กดร่างเข้าไปหา องค์หญิงรัดรึงยิ่งทำให้ยากแก่การฝ่าฝืน ท่านจูบเนินถัน ซ้ายสลับขวา ก่อนรวมกันทั้งคู่ ก่อนที่เลื่อนมือ แยกปลีขาของนางออกจากกัน
“เจ็บ”องค์หญิงองค์หญิงเล่อฉางครางออกมาด้วยความรู้สึกคล้ายดังร่างกายจะปริแตกออกได้
นางถอนสะอื้น ซึ่งท่านชายอดครางไม่ได้ เพราะท่านเองรู้สึกถึงการบีบรัดมากเกินของเจ้าสาว ท่านค่อยลูบไล้เรียวขาของนางราวกับปลุกปลอบให้นางผ่อนคลายออกบ้าง องค์หญิงเล่อฉางค่อยสะบัดปลายขาเปิดกว้างอีก นางผ่อนลมหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อนและสุขล้ำ ช่วงที่นางผ่อนคลายกายรัดรึงนั้นเองที่ท่านชาย ผ่านปราการล้วงล้ำเข้าไปได้อีกครึ่งหนึ่ง ปราการแห่งพรหมจรรย์ของสตรีที่สงวนตัว เป็นธรรมชาติที่สร้างความล้ำค่านี้ให้เพียงครั้งเดียวในชีวิต ท่านชายเอ่ยปลอบโยน
“ข้าจะช่วยนะ ไม่ทำให้เจ็บมากหรอก”
“โปรดเมตตาข้าด้วยท่านชาย”
“เมียรักของข้า”ท่านกล่าวอ่อนหวาน
เคลื่อนกายเข้าหาดอกเหมยซึ่งเผยกลีบออกมาบ้างเล็กน้อย ในซอกกลีบสีชมพูสดกว่ากลีบนอกมากนักท่านชายค่อยๆขยับกายเข้าไปในซอกลึกภายในอย่างช้า ช้า และนุ่มนวล แม้ความต้องการบีบบังคับ แต่ท่านชายฉุดรั้งไว้ แม้ไม่ผ่านงานศึกด้านสตรี แต่สัญชาติญาณของความเป็นชายอาชาไนยสองท่านโดยธรรมชาติว่า ต้องอดกลั้น ไม่ให้หลั่งรินก่อนที่จะส่งคู่ร่วมภิรมย์ให้ได้รู้จักความสุขอันพึงได้รับ ดังนั้นองค์หญิงเล่อฉางจึงได้รับรู้ถึงความสุขพร่างพราวราวกระแสลมพัดพาความร้อนและเย็นเข้าสู่กายสลับกัน นางรู้สึกหนาว และร้อน ความเจ็บแปลบในทีแรกมิได้เจ็บมากอย่างที่หวาดกลัว ท่านชายทะนุถนอมความสาวราวกับเป็นของมีค่า ท่านเล้าโลมด้วยความอ่อนโอนและทะนุถนอมดังคำที่ให้ไว้
ดังนั้นท่านชายไท้เทียนจงใช้ความชำนาญและการเอาใจใส่อย่างดี ฉุดพาให้ องค์หญิงกายสั่นระริก ก่อนจะเกร็งสุดโอบกอดร่างใหญ่ซุกหน้ากับซอกพระศออย่างลืมตัว ลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง กระแสเลือดพุ่งฉีดซ่านจนขนลุกชันทั้งกาย
ความสุขสม ของหนุ่มสาวเพิ่งผ่านการสมรส ย่อมไม่อยากห่างกัน เช่นองค์หญิงเล่อฉาง ซึ่งนางอยากใกล้ชิดท่านชายมากนักโดยเฉพาะในหอห้อง ท่านชายทำให้นางติดใจยิ่ง และท่านชายเป็นดังคำร่ำลือ ท่านเป็นคนอ่อนโยน และรักครอบครัวว่างเว้นจากงาน ซึ่งงานท่านมีมากล้นจนองค์หญิงนึกตำหนิพระบิดา ว่าแกล้งใช้คน จนนางอ้างว้างในบางครั้ง แม้ท่านชายจะมีนางเพียงคนเดียวก็ตามทีหากว่า คนที่เคยได้รับความสุขอย่างเร้นลับ เหมือนดังได้อาหารที่พิเศษ และติดใจในรสชาติ เมื่อนานวันนางย่อมรุ่มร้อนทุรนทุราย
ท่านชายไท้เทียนจง ได้รับคำสั่งนำสาสน์ไปมอบให้แคว้นฉี พร้อมกับให้นำของจากแคว้นฉีกลับมา การเดินทางนับว่าลำบาก แต่ในที่สุดท่านชายรูปงามได้มาถึง กระโจมใหญ่ของชาวแคว้นฉีแล้ว เจ้าแคว้นได้ต้อนรับ พร้อมมเหสีเอก เทียนจงได้เห็นจินเหลียนดำรงตำแหน่งนี้ เขาเองรู้สึกปลาบปลื้มใจแทนนางไม่น้อยเลย
“ท่านทูติ การเดินทางมาที่นี่มีความลำบากไม่น้อย เชิญท่านพักอยู่หลายวันเถิด”
“ขอบพระทัยท่านข่านไม่น้อย หากว่า ข้าไม่อาจอยู่สำราญตามที่ท่านข่านมีน้ำพระทัยประทานมาให้ได้นานนัก เพราะงานราชการของข้ายังคงมีอีก”
“ใช่แล้วเพคะท่านข่าน” พระนางจินเหลียนเอ่ยขัดขึ้นกลางปล้อง แม้นางจะเป็นที่รักในพระสวามี แต่ในใจที่ห่างบ้านเกิดนางย่อมเงียบเหงาไม่สร่างซา ยิ่งเห็นเทียนจงในวันนี้ ไม่ผิดแผกจากวันวาน นางยิ่งรู้สึกเหมือนตนเองไม่มีความหมายต่อการจากมาในสายตาของชายหนุ่มสักนิดเดียว
“ท่านทูติท่านนี้เป็นคนเอางานเอาการจนเป็นที่ร่ำลือ นี่หากท่านมีสาวงามควรที่จะนำมาต้อนรับเขามากกว่าเพคะ”
“พระมเหสี ข้าพระองค์ไม่ได้หวังสิ่งใดมากไปกว่า ผ้าห่มและที่นอนพักผ่อน ก่อนรีบเดินทางกลับเท่านั้นพะย่ะค่ะ”
พระนางจินได้พยักหน้ารับก่อนเอ่ยกับท่านข่านว่า
“จริงสินะ หม่อมฉันลืมไปว่า มีข่าวว่าท่านเพิ่งสมรส ไม่นานนี้ การรีบไปรีบกลับย่อมต้องทำโดยเร็ว ถึงชมหญิงอื่นคงไม่ชื่นใจแล้วล่ะ”
ไท้เทียนจงได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวของพระมเหสี ดูนางมีความแข็งกว่าเดิม หรือการแย่งชิงของสตรีเป็นอย่างนี้ทั่วไป ท่านล่ะ ท่านเติบโตในวัง และต่อไปเป็นท่านอ๋อง ซึ่งอำนาจในตอนนี้มีอยู่ในมือไม่ใช่น้อยแล้ว ท่านเองจะมีภรรยามากเหมือนวังอื่นหรือเปล่า แต่เวลานี้ท่านตั้งใจไว้ว่าจะมีเพียงทายาทให้ท่านแม่ของท่านเท่านั้นเอง
ท่านข่านมีรับสั่งให้ไท้เทียนจงไปพำนักยังที่จัดรับรอง มีการเลี้ยงดูมากก็จริง หากว่า เทียนจงเลี่ยงที่จะออกมาชมลานกว้างของทุ่งหญ้ามากกว่า ล้อมรอบทุ่งหญ้าเป็นแนวป่า การป้องกันวังที่พักของท่านข่านหละหลวมเต็มที
“เทียนจง”เสียงพระเมหสี เรียกมาจากทางด้านหลัง เทียนจงสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนรีบหมุนกายไปทำท่าจะถวายบังคม แต่พระนางยกมือโบกห้ามเสียก่อน
“อย่ามากพิธี ให้เราได้คิดว่าอยู่บ้านสักชั่วยามได้หรือไม่”
“พระมเหสี ดูท่านสำราญดีไม่น้อย เหตุไฉนจึงมีดำรัสออกมาเช่นนั้นเล่า”
พระนางจินเหลียนเผยให้เห็นความเศร้าและความทุกข์ออกมาอย่างไม่ปิดบัง ไท้เทียนจงไม่ใช่เด็กหนุ่มอย่างเมื่อก่อน ดังนั้นวันนี้ท่านจึงได้อ่านอีกฝ่ายออก ชายหนุ่มรีบเบือนหน้าหลบไม่สบตา ตามฐานะ ต่ำสูง ผิดกัน
“ท่านเห็นทุ่งหญ้าที่นี่ กับที่วังหลวงต่างกันหรือไม่เทียนจง”
“เอ่อ พระมเหสีเอ่อ ท่านไม่ได้รับความเอ็นดูจากท่านข่านหรือ แต่ข้าเห็นท่านข่านเอ็นดูท่านไม่น้อย”
“แล้วเจ้าเล่า เอ็นดูต่อองค์หญิงเล่อฉางมั้ยเทียนจง”
ไท้เทียนจงนิ่งอึ้ง อย่างไม่ทันตั้งตัวว่าจะพบกับคำถามที่ท่านไม่อยากตอบ
“ข้าเพิ่งทราบเมื่อวันเดินทางจากนางกำนัลว่า คนที่จะต้องมาที่นี่คือองค์หญิงเล่อฉางไม่ใช่ข้า แต่ข้าเป็นกำพร้าข้าจึงไม่มีคนคุ้มครอง”
“พระมเหสี”
พระนางจินเหลียนมองไท้เทียนจงนิ่งนาน สายตาเว้าวอนของพระนางทำให้ชายหนุ่มเบือนหลบทางอื่น
“ข้าได้รับความเอ็นดูจากท่านข่าน แต่ยิ่งได้รับการดูแลมาก ข้ายิ่งห่างท่านไม่ได้ เพราะศัตรูต่างแดนเคยวางยาพิษให้ข้า ดีที่มีคนตายแทน หรือบางทีการตายของข้าอาจดีกว่านี้ก็เป็นได้”
“เหตุใดกันท่านจึงไร้ความอบอุ่นถึงเพียงนี้ ทำไมต้องอ้างเอ่ยการตาย มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนต้องการใกล้ชิดสักนิดไม่ใช่หรือ”
“ความตายที่ผู้อื่นให้มา ข้าย่อมไม่ต้องการเท่ากับที่ข้าต้องการในเวลานี้”
“เอ่อ...”เทียนจงนิ่งอึ้งไปสนิท พระมเหสีทอดสายตา มองท้องฟ้าที่สดใส ไร้เมฆหมอกใดๆ พระนางจึงค่อยเอ่ยเอื้อนออกมาว่า
“เจ้าเห็นท้องฟ้านั่นหรือไม่” ไท้เทียนจงมองตาม ยามที่เขาเห็น เขาจึงได้เข้าใจ ความอ้างว้างของนาง
“หากมีเมฆแต้มสักรอย นกกาบินผ่านสักตัว ข้าคงได้เห็นเพื่อน แต่ท้องฟ้าที่นี่ยามแล้ว ว่างเปล่าเช่นนี้และเฉพาะเป็นเมื่อเจ้าเดินทางมาถึงที่นี่ รู้มั้ยข้าไม่เคยเงยมองท้องฟ้าเลยนอกจากวันนี้”
“เอ่อข้า ไม่อาจเอื้อม” ไท้เทียนจงรีบทูล พร้อมก้มหน้าไม่สบตา แต่พระมเหสีกลับไม่เห็นว่าพระนางสูงค่าสักนิดเมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้นี้
“ข้าต่างหากที่ไม่อาจเอื้อม ไม่มีวาสนา แต่ข้ายอมรับชะตาของข้า ยอมรับการเป็นราชนิกุลของต้าชิง แม้การมาของข้าจะเป็นการโดนกลโกงขององค์หญิงเล่อฉางก็ตาม แต่นั่นเพราะข้าไม่มีวาสนาเองต่างหาก”
“เอ่อ...ข้าพระองค์มีหน้าที่สืบสกุลเพราะเป็นลูกคนเดียว จะสมรสเพราะรักก็หาไม่ แต่เมื่อได้รับผิดชอบต่อหญิงนางใด ข้าย่อมเมตตาต่อหญิงนางนั้น”
“จะปลอบข้าหรือเปล่า ว่าเจ้าไม่ได้รักฮูหยินเจ้า”พระมเหสีถาม สีหน้าระเรื่อแดงขึ้นเล็กน้อย
“ท่านได้รับเมตตาจากท่านข่าน บางทีท่านจะมีความสุขกว่าองค์หญิงเล่อฉาง ที่ต้องรับมือต่อการตั้งครรภ์ที่ยากจะมีได้”
“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ”
“ข้าไม่มีเวลาว่างอยู่วัง อีกทั้งท่านแม่เร่งรัดให้มีทายาท ไม่ช้าไม่นานท่านต้องสั่งให้มีสะใภ้อีกไม่รู้เท่าไหร่ อาจบางทีการมาอยู่ใกล้คนที่เมตตาย่อมดีกว่าการได้อยู่กับคนที่รักงานรักหน้าที่มากกว่า”
“เทียนจง เจ้าเป็นคนอ่อนโยนดังนี้เอง เจ้าจึงไม่รู้สินะว่าหัวใจของข้าไม่เคยได้ออกจากคนที่เป็นเจ้าของหอเทียมฟ้าเลย”
“ข้าพระองค์ไม่อาจเอื้อม”
“เป็นเราต่างหากที่ไม่รู้จักระงับใจ”พระนางตรัสทิ้งท้าย แล้วจึงจากไป โดยพระนางคิดตัดใจจากอีกฝ่ายอย่างที่พระนางเคยคิดล่วงหน้ามาก่อนว่าจะทำได้ แต่แล้วความจริงย่อมเป็นความจริง พระนางจึงเหงาเสมอแหมท่านข่านจะเมตตาพระนางมากอย่างที่หญิงในแคว้นฉีต้องอิจฉา
ความรักที่ไม่มีวันได้สมหวัง การเป็นหญิงเหนือแผ่นดินมีประโยชน์สำหรับพระนางเมื่อใดกัน ในเมื่อหัวใจของพระนางร่ำร้องหาแต่เพียงความรักจากชายผู้ยืนหันหลังให้อย่างตลอดกาลอย่างนี้
....ความรักที่เปิดอย่างเงียบงัน และจบลงอย่างไร้คำตอบในที่สุดนี้เอง
จากการได้สนทนากับสตรีสูงศักดิ์ในวันนี้ ทำให้ไท้เทียนจงอดนึกถึงฮูหยินของเขาเสียไม่ได้...เขาเฝ้าทบทวนถึงเรื่องการสมรสที่ผ่านมา
เขารักนางหรือเปล่าหนอ หรือการได้อยู่ร่วมกันกับนางไปตามเวลาที่ว่าง จะเรียกว่ารักได้...แม้ยามนี้เขายังเห็นแก่งานมาก่อนเสมอ ‘เขายังมีหัวใจอ่อนโยนดังที่สตรีนางผู้จากไปบอกอีกหรือนี่’
...พระนางจินเหลียนคงไม่รู้ และแม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ของเขาย่อมไม่รู้ว่า ตลอดเวลาที่ทำงาน ไท้เทียนจงทำงานจนลืมตาย ลืมสิ้นไม่คิดถึงใครนอกจากหน้าที่ของตนเองเท่านั้น เขาต่างหากคือผู้ชายเย็นชายิ่งนัก ช่างน่าสงสารหญิงที่เข้ามาข้องเกี่ยวในชีวิตของเขาเหลือเกิน !
..........................
วันนี้องค์หญิงองค์หญิงเล่อฉาง ชะเง้อชะแง้แลหาสามี ที่หอเทียมฟ้า ซึ่งเป็นที่พำนักของท่านชาย เวลาเดียวกันนั้นพระชายาหลี่ฉิง ลงจากเกี้ยว ก่อนเสด็จไปตำหนักจันทร์ลอยดวง ท่านผ่านหอเทียมฟ้า เห็นองค์หญิงมาถึงที่นี่ท่านมีสายตาที่อดตำหนิไม่ได้ เพราะว่าเวลาผ่านมาครึ่งปี ไม่มีแววที่จะมีทายาทให้กับสกุลไท้ได้ชื่นชม เอี้ยนเอ๋อ กระซิบองค์หญิง
“พระชายาเสด็จมาทางนี้แล้วเพคะองค์หญิง”
“กระแทกเราเรื่องลูกอีกล่ะ ทีหน้าที่นี้เป็นเรื่องของลูกนางแท้ๆไม่คิดบ้าง” องค์หญิงเล่อฉางแอบตัดพ้อแม่สามี
แต่เมื่อพระชายามาถึงนางย่อเข้าเคารพพลางทักทายว่า
“ท่พระมารดา ไปวัดแม่ชีหินขาวมาหรือเพคะ”
“เจ้าเล่า ทำไมถึงออกหน้ามาถึงหอเทียมฟ้า”
“เอ่อ ท่านชายไปราชการกำหนดกลับวันนี้ ลูกจึงมารอรับเพคะ”
“รอรับกันมานาน แต่ไม่มีทายาทเสียที นี่หากครบ2ปีไม่มีทายาทเห็นทีว่าจะต้องคุยกับเทียนจงแล้ว”
“จะคุยเรื่องอะไรเพคะพระมารดา”
“รับสะใภ้รอง ข้าต้องการหลานมาสืบสกุล”
“พระมารดา”องค์หญิงเล่อฉางสะอึกก้อนขมขวางในคอ หัวใจของนางโดนบีบแทบแหลกคาน้ำคำที่คมกริบของพระชายา ที่สำคัญ เมื่อนางกล่าวแล้ว นางไม่มองดูคนที่เป็นสะใภ้ว่าจะมีความเสียใจมากเพียงใด นางยังกล่าวว่า
“หอเทียมฟ้าเป็นที่พำนักของเทียนจง และยังเป็นที่รับรองแขกชั้นผู้ใหญ่ หรือเจ้าจะมายืนรับแขกตรงนี้”
“ลูกผิดไปแล้วเพคะ ลูกจะกลับตำหนักแรกอรุณเดี๋ยวนี้”
“รู้ตัวก็ดี เพราะข้าเป็นแม่ ข้ายังไม่ก้าวก่ายออกหน้ามาถึงที่นี่เลย”
องค์หญิงเล่อฉางก้มหน้า ไม่ให้ใครได้เห็นน้ำตาของนางที่เอ่อท้นด้วยความเจ็บใจ ที่ถูกกระทบกระแทกแดกดัน ต่อหน้าธารกำนัล
พระชายาเสด็จจากไปแต่ไม่วายทิ้งสายตามองว่า องค์หญิงเล่อฉางเดินออกจากหอเทียมฟ้าหรือยัง องค์หญิงเล่อฉางจำต้องรีบเดินตาม ด้วยความเจ็บใจยิ่งนัก
เมื่อถึงตำหนักแรกอรุณ องค์หญิงใช้ปลายผ้าเช็ดหน้าซึ่งหญิงชั้นสูงถือติดมือประจำสะบัดใช่แมลงที่เกาะข้างฝา เมื่อแมลงตกถึงพื้นจากนั้นนางใช้รองเท้าสมัยชิง ซึ่งนิยมตัดให้หนาช่วงกลางฝ่าเท้า ทำให้เวลาเดินสง่างาม ขยี้มันจนแหลก
“ข้าเกลียดนัก ข้าเกลียดมันเหลือเกิน”
“องค์หญิงเพคะ เอ่อเรื่องนี้ มีโคลงกล่าวไว้เพคะ”
“โคลงอะไรของเจ้า”
เอี้ยนเอ๋อหลุบตามองพื้นเล็กน้อย ก่อนค่อยๆกล่าวโคลงโบราณอย่างระมัดระวังว่า

“แม่น้ำสายใหญ่ แตกแยกสาขา
เจ้าสาวงดงามไปหาเจ้าบ่าว
ปล่อยพวกเราอย่างไม่เห็นค่า
สุดท้ายต้องพาพวกเราไป”

องค์หญิงองค์หญิงเล่อฉางย่นคิ้วด้วยเข้าใจความหมายทั้งหมด ความหมายในเนื้อโคลง ซึ่งมีอย่างลึกซึ้งนักว่า
**หากเจ้าสาวคนใดไม่ใช้ญาติตน หรือคนสนิท ผูกมัดใจสามี นางจะไม่มีเพื่อนที่รู้ใจ หรือเมียน้อยที่เมียหลวงสามารถกดให้อยู่ใต้อำนาจได้ สุดท้าย เจ้าบ่าวอาจไปหาเมียคนใหม่และนางจะไม่มีพวก ท้ายที่สุดจะเห็นค่าของคนใกล้ชิดมากกว่า**
ในที่นี้เอี้ยนเอ๋อย่อมหมายถึงนาง องค์หญิงโกรธกริ้วยิ่งนัก นางกรีดเสียงด่าโดยแรง
“นางคนชั่วช้า”ร้องด่าแล้วนางตวัดฝ่ามือตบแก้มเอี้ยนเอ๋อฉาดใหญ่ เอี้ยนเอ๋อถลาไปตามแรงจนล้มลงกับพื้น ก่อนนางจะถลาเข้าไปกอดขาองค์หญิงร้องไห้วิงวอน
“บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตาย”
“เจ้าไปตายนางเอี้ยนเอ๋อเจ้าไปกระโดดน้ำตายเดี๋ยวนี้ “องค์หญิงชี้หน้าอีกฝ่าย สะบัดเท้าหนี ด้วยความชิงชัง “นี่เจ้าวางแผนมาเพื่อแย่งสามีข้าแต่แรกเลยสินะ นางคนเจ้าเล่ห์”
เอี้ยนเอ๋อร้องไห้ นางโขกศีรษะกับพื้น องค์หญิงไม่นำพาที่จะมองหน้าอีกฝ่าย นางยืนน้ำตาไหลด้วยความเจ็บช้ำใจ ก่อนกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาทอแววอาฆาตพระชายายิ่งนัก
“อยากฆ่ามันเหลือเกิน มันช่างใจดำนัก”
“เรื่องนี้จะให้บ่าวทำอย่างไรเพื่อไถ่โทษก็ได้เพคะ”
องค์หญิงองค์หญิงเล่อฉางเหลือบหางตามองสาวใช้ ซึ่งโขกพื้นจนหน้าผากแตก นางสะบัดผ่าก่อนว่า
“พอแล้ว ไม่ต้องทำอย่างนั้นอีก แล้วเจ้าอย่าได้คิดทรยศหักหลังข้าเรื่องท่านชายเด็ดขาด”
“บ่าวไม่กล้าแล้วเพคะ ให้บ่าวกรีดหน้าให้เสียโฉมก็ได้เพคะ”
“เอาล่ะ เอาล่ะพอที เจ้าว่ามีวิธีอะไรลองว่ามาที ข้าจะทำยังไงให้พ้นเรื่องนี้”
“องค์หญิงต้องบอกท่านชาย ต้องเอ่อปรนนิบัติท่านชายให้มาก เอ่อท่านผ่อนคลายท่าทีตามใจท่าน”
“ผ่อนคลาย หมายความว่าอย่างไร”
เอี้ยนเอ๋อเป็นสาวใช้คนสนิทนางย่อมรู้ว่า เวลานายสาว และท่านชายได้ร่วมหลับนอนกันนั้น องค์หญิงยังแข็งขืน ไม่โอนอ่อน เพราะยึดถือเรื่องประเพณีชนชั้นสูง เก็บกดเรื่องการหลับนอน
“ข้าไม่ใช่นางโลม”องค์หญิงต่อว่าสาวใช้ ซึ่งนางเอยแผ่วเบาแนะนำตามที่เคยได้แอบเห็นว่า
“ท่านชายมีความต้องการมากเกินธรรมดาบ่าวทราบ แต่ท่านต้องอ่อนโยนเพื่อองค์หญิงแต่ เอ่อ เรื่องนี้ท่านชายอาจจะไม่มีความสุขอย่างพึงใจ”
“ข้าไม่เชื่อ เจ้าเป็นคนใช้ เจ้าคงระริกอยากให้เขาทำกับเจ้าเช่นเดียวกับพวกลาพวกม้าหรือไร หรือเจ้าอยากให้ข้าทำอย่าง*ฮองเฮาจ้าวจิ้น*ทำกับพวกคนใช้ของนาง”
(ฮองเฮาจ้าวจิ้น เป็นสตรีที่มีจิตใจวิปริตนางมักลงโทษคนด้วยวิธีการโหดร้าย เช่นการหล่อเสากลวง ให้สตรีเปลือยกายผูกมัดไว้กับเสา แล้วใช้ถ่านแดงเทลงไปในเสานั้น หรือที่โหดเหี้ยมผิดนิสัยคนจะทำได้คือ กรอกยาให้หับลา แล้วให้ข่มขืนสตรีที่นางลงโทษจนขาดใจตาย แม้บางคนถูกลงโทษด้วยการใช่เข็มแหลมเผาไฟทิ่มแทงจนไม่สามารถทนทรมานได้ จึงกระโดดบ่อจะฆ่าตัวตาย แต่นางไม่ยอมให้ตาย นางลากมาตัดมือตัดเท้า นับว่าเป็นฮองเฮาที่วิปริตเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นคนได้ นางจึงมีฉายาว่าปีศาจจิ้งจอก)
“องค์หญิงเป็นธิดาสวรรค์ องค์หญิงมีเมตตา”
องค์หญิงแม้ยังโกรธ ก็ยังอดมีเมตตาต่อคนสนิทไม่ได้ นางจึงผ่อนคลายท่าทีลงมาบ้างก่อน
“ข้าจะไม่ให้เทียนจงมีเมียอีกคน คอยดูเถอะ ข้าจะไม่ให้เขาตามใจไหนไน่ (แม่ย่า ซึ่งสตรีชาวจีนจะนับถือแม่สามีว่าแม่ย่า ซึ่งนำมาเพื่อเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆเท่านั้น)
เวลาเดียวกันนั้น เสียงผู้คนเดินมาทางตำหนักจันทร์ลอยดวง องค์หญิงรีบไปที่หน้าต่างจึงได้พบว่าสามีกลับมาพร้อมคนติดตามคนสนิท และทุกครั้งที่กลับบ้าน เขาจะไปที่ตำหนักจันทร์ลอยดวงก่อนเพื่อนเคารพท่านพ่อท่านแม่ และรายงาน
นี่ถ้าเป็นบ้านอื่นองค์หญิงคงไม่ต้องมาอยู่ตำหนักต่างหาก และมีโอกาสได้ต้อนรับสามีพร้อมหน้า แต่ที่นี่มีความพิเศษที่กฎบ้านไม่เหมือนที่อื่น
วังแห่งนี้ให้สะใภ้ถูกเก็บไว้ในตำหนัก องค์หญิงจึงรู้สึกเหมือนกับว่านางเหมือนอยู่ในวัง ไร้อิสระอย่างสตรีบ้านอื่นที่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้สะดวก
พระชายาเก็บสะใภ้ไว้ราวกับกลัวว่าองค์หญิงจะไม่รักศักดิ์ศรี(มีชู้)จึงป้องกันจนองค์หญิงเล่อฉางรู้สึกว่าน่าชิงชังเสียนัก!!
นางต้องรอสามีอยู่แต่ที่หอห้อง ในความรู้สึกขององค์หญิงแล้วนางรู้สึกเหมือนยังอยู่ในวังที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบมากมายเช่นเดิม!
………………
ที่ตำหนักจันทร์ลอยดวง
ท่านชายเข้าเฝ้าพระบิดา และพระมารดา พวกท่านนั่งรอรับการกลับมาของลูกชายด้วยความเป็นห่วงเพราะงานที่ได้รับพระราชทานครั้งนี้มีเรื่องลับมาก และมีอันตรายไม่น้อย การที่ท่านได้เห็นลูกปลอดภัยทำให้ท่านใจชื้นขึ้นมาก
ท่านชายเข้าไปน้อมกายคุกเข่าต่อเบื้องหน้าท่านทั้งสองอย่างใกล้ชิด ท่านอ๋องก้มกายตบไหล่ทั้งสองของพระโอรสด้วยความเต็มตื้นใจ
“พ่อได้รับคำชมจากฮ่องเต้ ไม่มีความยินดีเท่าที่ได้พบหน้าเจ้าเลยเทียนจงลุกขึ้นมานั่งคุยกันเถอะ”
ท่านชายผุดลุกแล้วเหลียวมองหาภรรยา ซึ่งท่านคาดหวังว่าจะเข้ากับพระมารดาได้จนสามารถมาอยู่ตำหนักนี้ แต่ท่านกลับไม่เห็น นั่นย่อมหมายความว่าพระมารดาไม่อนุญาตให้เข้ามาที่นี่ ท่านเห็นใจองค์หญิงไม่น้อย แต่ท่านก็เคารพกฎบ้านของพระมารดา เพราะที่วังของท่านใหญ่มาก ผู้ชายไม่ได้ตอนตนเป็นขันทีอย่างวังใน พระมารดาจะป้องกันไว้ก็ไม่เห็นแปลก เดี๋ยวท่านเสร็จธุระทางนี้ท่านก็ไปคลุกอยู่กับนางให้นางหายคิดถึงก็ได้
“แต่งงานมานานไม่มีวี่แววว่าจะมีทายาททั้งที่เจ้าเอ็นดูองค์หญิงเล่อฉางไม่น้อย วันนี้นางยังไปที่หอเทียมฟ้า เจ้าต้องไปอบรมนางให้เคารพกฎบ้านเราให้ขึ้นใจเทียนจง ที่นั่นมีแต่ข้าราชการลูกน้องที่เป็นผู้ชายทั้งนั้น สตรีแทบไม่มี นางยังไปเฝ้ารอเจ้าอยู่ แม่ไม่เห็นสมควรทำตัวอย่างนั้น”
“ครั้งนี้ลูกไปนานเดือน นางคงเป็นห่วงเท่านั้นครับพระมารดา”
“แต่คนที่นี่ไม่มีใครเป็นขันที”
“ลูกจะตักเตือนนางเองครับ”
“แม่ยังมีเรื่องจะปรึกษาเจ้าเรื่องฮูหยินรอง”
“เรื่องนี้เพราะลูกไม่มีเวลา ไม่ใช่ความผิดขององค์หญิงเล่อฉางเพียงฝ่ายเดียวนะครับ”
“แต่แม่อยากได้ทายาทสืบสกุล ที่ดีอย่างเจ้า อายุเจ้าก็สมควรจะเป็นพ่อคนแล้ว ยิ่งองค์หญิงเล่อฉางอายุมากกว่าเจ้าอย่าลืม นางจะเพิกเฉยใจแคบไม่รับสะใภ้ แม่เห็นจะไม่มีทางยอม ให้ทายาทมาสิ้นสุดเพราะพวกเจ้าไม่มีปัญญา”
“ลูกรออีกสองปีครับพระมารดา”
“อะไรนะเทียนจง เจ้าว่าอะไร นี่ผ่านมาเกืบสองปีแล้วนะ”
“ลูกจะรออีกสองปี หากว่าไม่สามารถมีบุตรได้ พระมารดาค่อยจัดการ แต่เวลานี้ลูกยังไม่อยากปวดหัวทั้งเรื่องภายนอกภายใน”
พระชายาเชิดพระพักตร์เล็กน้อยเมื่อฟังเหตุผลของท่านชาย ซึ่งแม้ท่านจะกดศีรษะให้ลูกยอมรับ หากการเข้าหอท่านจะไปบีบคั้นให้คนทำตามกระไรได้ ดังนั้นเมื่อท่านชายลั่นวาจาย่อมเป็นไปตามประสงค์ตามนั้น
ท่านอ๋องปรองดองสองแม่ลูกไม่ให้มีเรื่องกันจึงเอ่ย
“เจ้าได้เข้าพรรคดอกไม้ได้หรือยัง”
“ยังครับพระบิดา คนของพรรคนี้แตกตัวออกไปมากนัก ลูกไม่ระวังไม่ได้เลยครับ นี่ลูกต้องรีบกลับเพราะเกรงจะโดนจับได้ และคงอีกนานกว่าจะได้เข้าไป พวกพรรคดอกไม้แดงกว่างกว่าที่เราคิด ในวังก็ยังมีพวกแทรกซึม”
“คงพวกองค์ชายสิบสี่ หวังโค่นล้มองค์ฮ่องเต้เป็นหลานและเป็นฮ่องเต้ที่ประชาชนรัก”
“ไม่แน่ว่าจะใช่ครับพระบิดา”
“หมายความว่า เจ้าเชื่อว่าไม่ใช้องค์ชายสิบสี่ผู้หายสาบสูญไปเป็นตัวการอย่างนั้นหรือ”
“ลูกว่าน่าจะเป็นคนภายในครับ เพียงแต่ยังไม่สามารถจับได้ เพราะลูกเข้าตัวไม่ถึง องค์ชายสิบสี่ลูกเห็นว่าน่าจะหมดอิทธิพลไปแล้ว ถ้าพูดถึงหัวหน้าพรรค ลูกได้รับแต่รายงานว่ามีทิฐิแรงกล้าที่จะโค่นให้ได้ ปลุกระดมให้คนชิงชังไม่น้อย พวกขอทานที่ไม่ใช่ขอทาน และยังมีขันทีอีก ลูกยังคิดว่าน่าจะมีเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงมากกว่า”
“หา...เช่นนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว ฝ่าบาทชอบปลอมตัวออกเที่ยว หากเรื่องแพร่งพรายไปจะแย่”
“พระบิดาต้องทูลแล้วครับ”
ท่านอ๋องพยักพระพักตร์รับ พระชายาเอ่ยว่า
“เจ้าไปพักผ่อนเถอะเทียนจงจะได้หายเหนื่อย”พระชายา ยังมีแผนกำเนิดทายาท เรื่องชาติบ้านเมืองพระนางรับรู้อยู่บ้าง แต่เรื่องในครอบครัวพระนางเห็นเป็นเรื่องใหญ่กว่า
ท่านชายจึงไปหอแรกอรุณโดยไม่ได้รีบร้อย ท่านมีความสง่างาม ยิ่งมากวัยยิ่งงามสง่า ดูเหมือนท่านจะมีเรือนร่างที่สูงใหญ่กว่าเดิม!
เอี้ยนเอ๋อสาวใช้ขององค์หญิงเล่อฉางมีหัวใจวาบหวาม และรู้สึกท้องน้อยนางเจ็บแปลบทุกครั้งเมื่อนางได้อยู่ใกล้ท่านชาย นางปรารถนาเพียงสักครั้งที่จะได้อยู่ในอ้อมแขนของท่านชาย ได้สมรักกับท่าน และถ้านางโชคดีมีบุตรชาย
...นางสะดุดความคิดลงเพียงแค่นั้น เพราะว่า องค์หญิงองค์หญิงเล่อฉางเป็นคนที่สามารถจับนางถ่วงน้ำทิ้งได้ไม่ยาก หากนางหึงหวงจนสุดทน เอี้ยนเอ๋อจึงได้แต่นางต้องระวังองค์หญิงมากขึ้นกว่าเดิมเป็นสิบเท่าตัวทีเดียว เพราะวันนี้นางได้เห็นความหึงหวงอย่างร้ายกาจขององค์หญิงมาแล้ว
“เทียนจง”องค์หญิงโผผวาเข้าไปกอดสามี เขารับกอดนางพลางก้มหน้าทำท่าจะจุมพิตให้หายคิดถึงแต่นางเบือนหลบก่อนเอ่ยท้วงติง
“นี่ต่อหน้าธารกำนัลท่านไม่อาจทำเช่นนี้นะคะ”
ท่านชายส่งยิ้มเล็กน้อย ก่อนเปลี่ยนเป็นประคองบ่านาง พลางเอ่ย
“ทำอะไรไว้ให้เราทานบ้าง หิวเต็มที”
“ท่านจะทานข้าวที่นี่หรือคะ”
“ข้าคงไม่ไปไหนอีกนานทีเดียว แต่เจ้าอาบน้ำให้ข้าได้มั้ย”
“แหมเรื่องแค่นี้เองทำไมข้าจะทำไม่ได้ล่ะ เอี้ยนเอ๋อเจ้าไปเตรียมอ่างน้ำให้เรียบร้อย”
เอี้ยนเอ๋อออกไปแล้วท่านชายจึงได้โอบอุ้มองค์หญิงเข้าห้องนอน นางทุบตี ดีดดิ้นเล็กน้อยก่อนสบตาวาวามด้วยความเสน่หาในอีกฝ่ายยิ่งนัก
ท่านชายไม่ทันวางนางลงบนเตียง ชายหนุ่มปลดสายเชือกผูกกางเกงนางออกพลางสอบขานางเข้ากับเอวเขาพลางวางนางบนโต๊ะ หนวดเคราซึ่งยังไม่ได้โกนให้เรียบร้อยก่อนทิ่มแทงแก้มนวลเนียนทำให้องค์หญิงระคาย เคือง องค์หญิงก็ช่างกระไรเลย นางเจ็บเพียงนิดก็ไม้ทนเสียแล้วนางจึงส่ายหน้าหนีท่านชายไท้เทียนจงไปมา
“ไม่นะเทียนจงไม่นะ เราไม่ทำอย่างนี้ ท่านประหลาดจริง”องค์หญิงเอ็ดอึง
“เราเป็นผัวเมียกันไม่ใช่หรือ”ท่านกล่าวเสียงสั่น ร่นกางเกงนางถอดเหวี่ยงทิ้ง องค์หญิงทุบอีกฝ่ายเต็มแรงด้วยความไม่ชอบใจต่อการกระทำของเขา ท่านชายเต็มไปด้วยความพิศวาสจึงไม่นำพาอีกทั้งประคองบั้นท้ายของนางเข้ามาแนบลำกาย
“ข้าคิดถึงเจ้าจนรุ่มร้อนทนไม่ไหว เราไม่มีใครแม้สักคน ทำไมให้เราไม่ได้ ทำไมหรือ”
“แต่เจ้าทำเหมือนขืนใจข้า หรือเจ้าไม่เห็นข้าเป็นองค์หญิงแต่เห็นเป็นคณิกาหรือจึงไม่ร่วมภิรมย์ในที่ทางอันควร”
“อืมม์”ท่านชายค่อยวางนางลง องค์หญิงละอายใจที่ต้องก้มกายลงสวมกางเกง และเมื่อเห็นท่านชายหันหลังให้นางรู้สึกว่าผิดท่าแล้ว นางรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของเขา
“เทียนจง ท่านไม่พอใจข้าหรือ”
“เปล่า ข้าจะไปอาบน้ำ เจ้าไปเตรียมอาหารให้ข้าด้วยก็แล้วกัน”เขากล่าวไม่มองหน้า แต่ความนุ่มนวลแทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
“ข้า ข้ายอมท่านแล้วเทียนจง”
“ไม่เป็นไร ข้าจะไปอาบน้ำ”
ท่านชายเดินเข้าไปในห้องน้ำ องค์หญิงรีบเข้าไป นางเห็นนางเห็นสาวใช้สามคนหน้าตาสวยงามรวมทั้งเอี้ยนเอ๋อ องค์หญิงองค์หญิงเล่อฉางรีบไล่พวกนางออกไปทันที
“พวกเจ้าออกไปให้หมด ไปเตรียมอาหาร ท่านชายชำระกายแล้วเขาจะไปทานอาหาร”
“ค่ะ ฮูหยิน”
เทียนจงยืนรอให้องค์หญิงเล่อฉางปรนนิบัติ องค์หญิงเล่อฉางแม้แต่งงานกับอีกฝ่ายมานานแล้วงแต่นางไม่เคยเอาใจท่านชายด้วยการปรนนิบัติอย่างนี้ นางจึงดูเงอะงะจนท่านชายเอ็นดู ดึงนางเข้ามากอดพลางเอ่ยแผ่วเบา
“ไม่ต้องแล้วองค์หญิงเล่อฉาง ไม่ต้องแล้ว ข้าไม่แกล้งเจ้าล่ะ”
“ท่านแปลกไปยิ่งนัก หรือท่านมีใครมาปรนนิบัติให้ท่าน”
“ข้ามีแต่อาอู๋เท่านั้นที่คอยดูแลแม้แต่เสื้อผ้า”ท่านชายถอดเสื้อผ่าออกจนเปลือยเปล่า องค์หญิงทอดตามองเรือนกายที่ดูสง่างาม แข็งแรง นางเองที่รู้สึกหวั่นไหว แต่เก็บกลั้นเอาไว้
ท่านชายก้าวลงไปในอ่างอาบน้ำพลางแสร้งกล่าวชวนทั้งที่รู้ว่าภรรยาเป็นคนเคร่งครัดไม่มีวันยอม
“มาอาบน้ำในอ่างกับข้าอีกว่าองค์หญิงเล่อฉาง”
“ไม่ล่ะ ท่านอาบเถอะข้าจะถูตัวให้”นางกล่าวพลางไปถูกตัวให้อีกฝ่ายแผ่วเบาจนอีกฝ่ายแทบไม่รู้ว่านั่นเป็นการถูกเนื้อหรือลูบไล้ให้ท่านมีอารมณ์แต่ท่านคงไม่ได้ตามเคย นอกจากบนเตียงนอน
“พระมารดาพูดแต่เรื่องให้รับเมียรอง ข้าบอกเจ้าก่อนนะเทียนจงว่าข้าไม่ยอม”
“ข้าบอกกับพระมารดาไปแล้วว่าให้รอสองปี” ท่านกล่าวพลางลุกจากอ่างอาบน้ำ ต้องเอื้อมมือหยิบผ้าเช็ดกายเอง เพราะองค์หญิงไม่รู้จักการปรนนิบัติจริงๆ
“เจ้าพูดว่าสองปี หมายความว่าเจ้าคิดจะมีคนอื่นนอกจากข้า”ท้ายเสียงขององค์หญิงเล่อฉางแหลมสูง “ข้าไม่มีทางให้ท่านมีใครเด็ดขาด”
“ข้าไม่เคยคิดถึงคนอื่นหรอกองค์หญิงเล่อฉาง ไปทานข้าวกันเถอะ เราอยากพักแต่วันสักหน่อย”
องค์หญิงเล่อฉางมองค้อนสามีด้วยเข้าใจในความหมายนั้น แต่นางพึงพอใจต่อคำตอบ อดเหยียดหยันไปถึงแม่สามีไม่ได้ว่า นางไม่สามารถเอาชนะความรักของเทียนจงที่มีต่อองค์หญิงเล่อฉางคนนี้ได้!
แสงตะเกียงจุดให้แสงสลัว ร่างบอบบางเป็นสีทองเลือนราง องค์หญิงเล่อฉางทอดกายให้สามีเชยชม ไท้เทียนจงฟอนเฟ้นทั่วร่างของภรรยา หากเมื่ออารมณ์ฝังลึกภายในแสดงออกมาอย่างรุนแรงลืมตัว องค์หญิงเล่อฉางร่ำร้องด้วยความเจ็บไม่อาจทน
“เทียนจง ถนอมข้าบ้าง ข้าเจ็บ ท่านอย่าได้ขยี้ข้าดังเหมยเหี่ยวเฉาอย่างนี้ ท่านไม่เห็นหรือข้าบอบช้ำมากแล้ว”
“ข้าขอโทษ ขอโทษ”ท่านชายค่อยคลายมือจากอกทั้งสองข้างของนาง ก่อนค่อยค่อยทำหน้าที่อย่างทะนุถนอม เช่นเคยที่เป็นมา
ความเอื้อเอ็นดูมีเช่นเดิม หน้าที่การสืบวงศ์วานยังคงทำต่อไปแต่หากถามท่านชายต้องบอกว่า ท่านต้องบอกว่าได้ทานแต่อาหารจืดชืดมาตลอด แต่ความเป็นสามีที่ดีท่านจึงไม่แสวงหารสชาติใหม่ๆ นับว่าเป้วาสนาขององค์หญิงที่มีสามีคนนี้
แต่วาสนาของนางนั้นต้องมีบุญมากพอที่จะให้กำเนิดทายาท หาไม่พระชายาคงไม่ปล่อยไว้อย่างนี้แน่นอน!



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 เม.ย. 2554, 19:11:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 เม.ย. 2554, 19:11:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 19686





<< สมรสพระราชทาน   
Zephyr 11 เม.ย. 2554, 19:32:32 น.
อืม องค์หญิงขา ไม่ยอมแบบนี้ เดี๋ยวสามีเบื่อน้าาา ดูท่าเริ่มมีเค้าแล้วด้วย ว่าแต่รักต้องห้าม อืมม กับจินเหลียนเหรอคะ
ไรเตอร์คะ ทำไมเวลาเขียนองค์หญิงเล่อฉางถึงมีองค์หญิงซ้ำกันสองครั้งอ่ะ แบบองค์หญิงองค์หญิงเล่อฉาง อย่างนี้น่ะค่ะ


นางแก้ว 11 เม.ย. 2554, 19:35:55 น.
อ้อ
ไม่ได้แก้ไขนะค่ะ จะแก้ไขต่อไปนะคะ ขอบคุณค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account