สเน่หานางรำ
เธอทำให้เขาร้อน...อยากได้อยากครอบครอง แค่เห็นเธอร่ายรำ นิโคไล กาซิยาส ก็ปราถนาจินตนาการไปว่าถ้าได้นางรำแสนสวยคนนั้นมามาร่ายรำบิดเร้าอยู่ใต้ร่างเขามันจะวิเศษแค่ไหน
(เรื่องนี้มีแค่ความเร้าร้อน....ร้อน...และร้อน เพราะฉะนั้น 20++ ฮับ) >___< (รอตีพิมพ์กับ สนพ.สื่อวรรณกรรม ค่ะ)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 1



บทที่1



เชียงใหม่ – ประเทศไทย



ณ สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ในช่วงเวลาเกือบห้าโมงเย็น คละคลั่งเต็มไปด้วยผู้โดยสารรวมถึงคนที่มารอรับญาติพี่น้อง หรือเพื่อนสนิทมิตรสหาย ร่างสูงใหญ่เกือบร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตรในชุดเสื้อยืดสีดำคอวีกับกางเกงยีนส์สีเดียวกันกำลังยืนสบถอย่างหงุดหงิดหลังจากวางสายจากเพื่อนสนิท ใบหน้าหล่อเหลาที่ประกอบด้วยคิ้วหนาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำที่พาดเฉียงรับกับดวงตาคมกริบสีดำรัตติกาลที่ตอนนี้กำลังทอประกายดุดัน เหมือนอยากจะฆ่าใครสักคน ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะยกแว่นตาสีชาใบใหญ่ยี่ห้อดังขึ้นมาสวมบดบังดวงตาเอาไว้ เนื่องจากนึกรำคาญสายตาสาวน้อยสาวใหญ่หรือแม้กระทั่งสาวเทียมที่ชะม้ายแลตาสะกิดกันให้หันมามอง เหมือนเขาเป็นสิ่งแปลกประหลาดอย่างไรอย่างนั้น



ริมฝีปากหยักสวยได้รูปเม้มเป็นเส้นตรงอย่างพยายามพยามระงับอารมณ์ ไม่ให้เดินเข้าไปกระชากคอสาวเทียวสามคนที่ยืนเกาะกลุ่มกันพลางชี้มือชี้ไม้มาที่ตัวเอง นิโคไล กาซิยาส นักธุรกิจมหาเศรษฐีหนุ่มวัยสามสิบสัญชาติสเปนิชแดนกระทิงดุดึงกระชากลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สีดำสนิทเดินหันหลังออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะห้ามขาไม่ให้เดินเข้าไปซัดสาวเทียมให้กลับมาเป็นหนุ่มแท้ไม่ได้



ไอ้แพท ไอ้เพื่อนเวร อุตส่าห์ย้ำแล้วย้ำอีกว่าเครื่องลงกี่โมง มันยังเสือกลืมอีก เดี๋ยวเจอหน้า พ่อจะเตะให้รางวัลสักทีสองที



นิโคไลสบถไปบ่นเจริญพรพีรพัทรไปด้วย เพื่อนรักที่นัดแนะกันดิบดีย้ำแล้วย้ำอีกว่าเขาจะมาถึงเชียงใหม่วันนี้ เวลานี้ เขารึก็คิดไว้ว่าเพื่อนรักจะจำได้เลยไม่ได้โทรบอกตอนเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเทพ แต่พอมาถึงไม่เห็นมันมารอรับก็โทรหา แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาจากเพื่อนสนิทชาวไทยคือ...ลืม...และบอกให้เขานั่งรอไปก่อนโดยไม่ระบุเวลา



“คุณค่ะ คุณ...มิสเตอร์!! “



เสียงหวานที่ดังขึ้นด้านหลังที่เขาพอจะรู้ว่าเป็นภาษาของประเทศที่ตัวเองกำลังเหยียบผืนแผ่นดินอยู่ ทำให้นิโคไลชะงักเท้านึกสะดุดกับน้ำเสียงหวานใสเหมือนระฆังแก้วเพราะพริ้ง จนนึกอยากจะหันกลับไปดู ก็ประจวบกับรับรู้ถึงสัมผัสตรงแผ่นหลังพร้อมกับเสียงเรียกเป็นภาษาอังกฤษ



“คุณทำของหล่นน่ะค่ะมิสเตอร์”



หญิงสาวหน้าตางดงามหวานซึ้งพูดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายหันหน้ามา พร้อมกับยื่นตั๋วโดยสารในมือไปตรงหน้า ส่วนนิโคไลเมื่อหันกลับไปตามเสียงและแรงสัมผัส ดวงตาคมกริบที่อยู่ภายใต้กรอบแว่นสีชานั้นฉายแววบางอย่างก่อนจะกลับเป็นปกติ หากแต่ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดไม่คิดจะยื่นมือไปรับตั๋วโดยสารที่ถูกยื่นมาตรงหน้า ราวกับกำลังนิ่งอึ้งตะลึงกับอะไรบางอย่าง



“เอ่อ ไม่ใช่ของคุณเหรอคะ แต่ฉันเห็นว่ามันหล่นออกมาจากกระเป๋าเป้ของคุณ”



คนึงนิจ ถามอย่างไม่แน่ใจเมื่อหนุ่มร่างยักษ์ตรงหน้ายืนนิ่งเป็นรูปสลัก ใบหน้าเรียบเฉย เธอคิดว่าอย่างนั้น เพราะดวงตาที่ถูกปิดบังด้วยแว่นสีชาใบใหญ่ทำให้เดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน



“โอเค งั้นฉันเอาไปให้เจ้าหน้าที่สายการบินนี้ก็แล้วกันค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ” เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเอ่ยอะไร เอาแต่นิ่งเงียบ หญิงสาวก็คิดว่าเธอคงจะเข้าใจผิด คิดว่าตั๋วเครื่องบินในมือคงจะไม่ใช่ของเขาเสียแล้ว



“ไม่ต้อง ของผมเอง” เสียงเรียบนิ่งพูดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะหมุนตัวเดินจากไป พร้อมกับมือหนาที่ยกขึ้นจับมือบางข้างที่ถือตั๋วโดยสารอยู่



“...ค่ะ...ตรงลงของคุณ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” คนึงนิจรู้สึกตกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายรวบมือเธอจับเอาไว้แน่นแทนที่จะรับเอาเฉพาะตั๋วเตรื่องบินของเขาไป หญิงสาวดึงมือออกพลางมองจ้องหน้าเขาและข้อมือของตัวเองสลับกันอย่างบอกให้รู้ว่าเขากำลังเสียมารยาท เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมปล่อยมือของเธอเสียที



“รับตั๋วของคุณแล้วก็ปล่อยมือดิฉันด้วยค่ะมิสเตอร์”



จากเสียงหวานอย่างคนมีน้ำใจในตอนแรก เริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงห้วนแฝงความไม่พอใจเมื่อคนที่ตัวเองแสดงความมีน้ำใจให้ นอกจากจะไม่ขอบคุณแล้วยังเสียมารยาทกับเธออีก หน้าตารึก็ดูดีเข้าขั้นหล่อลากเสียด้วยซ้ำ แต่ทำตัวเป็นพวกมือไวไม่สำนึกบุญคุณคนไปได้ คนึงนิจค่อนขอดร่างสูงตรงหน้าในใจ สายตาก็มองนิ่งที่มือหนา



“...ขอบคุณ” นิโคไลที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำเรื่องเสียมารยาทไปเอ่ยขอบคุณเรียบ ๆ ก่อนจะคลายมือออกและรับตั๋วกลับมาช้า ๆ นึกต่อว่าตัวเองเหมือนกันที่ทำเรื่องไม่สมควรกับคนไม่รู้จักแถมยังมีน้ำใจช่วยเหลือเขา แต่หากคนที่หยิ่งทรนงอย่างเขาก็ไม่คิดจะเอื้อนเอ่ยคำขอโทษ



“ไม่เป็นไรค่ะ ขอตัวนะคะ” คนึงนิจตอบกลับเรียบ ๆ พอกัน แล้วหันหลังเดินออกมาโดยไม่คิดจะสนใจอีกฝ่ายอีก เพราะถือว่าได้ทำหน้าที่พลเมืองดีเสร็จสิ้นแล้ว



พลเมืองดีที่ถูกตอบแทนด้วยการฉวยโอกาส รู้อย่างนี้ฉีกตั๋วนั่นทิ้งให้ตายักษ์นั่นเดือดร้อนก็น่าจะดี





ขณะที่คนึงนิจเดินไปบ่นไปด้วยอย่างไม่ชอบใจ นิโคไลกลับเหม่อมองตามแผ่นหลังบอบบางที่เดินไปหยุดอยู่หน้าร้านขายเสื้อผ้าพื้นเมืองที่อยู่ไม่ไกล เขามีความรู้สึกว่ายังอยากจะได้ยินเสียงหวาน ๆ นั่นต่อไปอีก เมื่อคิดเช่นนั้นขาก็ทำตามใจ แต่ขณะกำลังก้าวขาจะเดินตามก็มีเสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้นจากทางด้านหลังเสียก่อน



“ไอ้นิค!! เฮ้ย โทษทีว่ะ รอนานมั๊ย” เสียงคนถามที่ฟังดูเหนื่อยหอบมาพร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาขาวใสตามแบบฉบับหนุ่มชาวเหนือนั่นแดงนิด ๆ



“โทษที ๆ ฉันลืมไปจริง ๆ ว่ะว่าแกจะมาถึงห้าโมง ดีนะที่ขับรถอยู่แถว ๆ นี้พอดี” พีรพัทรเพื่อนสนิทที่รู้จักกับนิโคไลมาตั้งแต่ตอนเรียนปริญญาตรีด้วยกันที่อังกฤษเมื่อสิบกว่าปีก่อนยกมือขึ้นทำท่าทางขอโทษขอโพยเพื่อนรัก



เขากับนิโคไลรู้จักกันเพราะความเจ้าชู้ฟาดสาวไม่เลือกของเขาเองนั่นแหละ คืนวันนั้นเขากำลังถูกรุมซ้อมกลางกรุงลอนดอนจากคู่หมั่นของสาวคนล่าสุดที่เขาคั่วด้วย คู่หมั้นของเจ้าหล่อนมาพบเขากับเธอกำลังฟาดฟันกันอย่างถึงพริกถึงขิง โดยที่เขาเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าแม่สาวผมบรอนส์หุ่นเอ็กซ์ลีลาเด็ดคนนั้นจะมีเจ้าของแล้ว รู้ตัวอีกทีก็ถูกหิ้วปีกโยนลงกลางถนน และเขาอาจจะถูกยำเละหรือไม่ก็เหลือแต่ชื่อไปแล้วถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหนุ่มร่างยักษ์ที่มาพร้อมกับรถสปอร์ตคันหรู ที่พุ่งเข้ามากลางวงจนเหล่าคนที่กำลังรุมกระทืบเขาแตกกระเจิง



จากนั้นหนุ่มคนนั้นก็ไม่คิดจะพูดจาถามไถ่ให้มากความ ทำแค่ดึงทัจจุราชสีดำออกมา แล้วลั่นไกขึ้นฟ้าสองนัดซ้อน เพียงแค่นั้นกลุ่มนักเลงไม่แท้พวกนั้นก็วิ่งกระเจิง จากนั้นมาเขากับนิโคไลก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันมาถึงทุกวันนี้ แต่จะพูดให้ถูกก็คือเขาเองนั่นแหละที่ตามมันต้อย ๆ ในตอนแรกเพราะถูกชะตาอยากจะเป็นเพื่อนด้วย แต่กว่ามันจะยอมคบเขาเป็นเพื่อนก็เล่นตัวซะเขาหมั่นไส้อยากจะซัดมันสักที ถ้าไม่ติดที่ว่ามันหมัดหนักล่ะก็นะ



“ขับรถหรือกำลังขับผู้หญิงอยู่กันแน่ แล้วที่ลืมนี่ก็เพราะมัวแต่กกสาว ๆ อยู่น่ะสิแกน่ะ” นิโคไลตอบกลับอย่างรู้นิสัยเพื่อนรักจอมเจ้าชู้อย่างพีรพัทรดี และก็มั่นใจว่าคิดไม่ผิดด้วยเพราะดูจากสภาพเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่และหน้าตาเหนื่อยอ่อนมากกว่าแค่เดินจากรถเข้ามาในอาคารผู้โดยสารแห่งนี้



จากนั้นนิโคไลก็หันกลับไปมองทางเดิม หากแต่ในเวลานี้กลับไร้เงาของร่างบางของผู้หญิงใบหน้าหวานซึ้งตรึงตาคนเมื่อกี้เสียแล้ว ตาคู่คมกวาดมองไปทั่วทางเดินก็ไร้แววสาวหน้าหวานคนเมื่อกี้



“เออน่า ๆ เดี๋ยวคืนนี้จะไถ่โทษด้วยการพาแกไปดูอะไรเด็ด ๆ “ พีรพัทรบอกพลางยกนิ้วโป้งขึ้นให้รู้ว่าเด็ดขนาดไหน ก่อนจะทำหน้าสงสัยและมองตามสายตาของเพื่อนรักที่ไม่คิดจะสนใจคำพูดของเขาสักนิด



“แล้วนั่นแกมองอะไรของแกวะนิค อยากได้ชุดพื้นเมืองเหรอ แต่นั่นมันชุดนางรำที่ผู้หญิงเขาใส่กันนะเว้ย” เมื่อเห็นว่าสายตาเพื่อนกำลังมองนิ่งอยู่ที่ไหนก็ถามเสียงกลั้วหัวเราะ



ด้วยความลืมตัวหรืออะไรก็สุดจะรู้ได้ นิโคไลไม่ได้สนใจคำพูดและเสียงหัวเราะของเพื่อน ขายาวก้าวเดินไปยังจุดสุดท้ายที่เคยเห็นร่างบางยืนอยู่อย่างอัตโนมัติ ร้อนให้พีรพัทรที่กำลังพูดอยู่ก้าวเดินตามอย่างงงวย



“อ้าวเอ้ย แกจะไปไหนวะนิค รถจอดอยู่ทางนี้นะโว้ย อะไรของแกวะตกลงอยากได้จริง ๆ เหรอชุดนางรำนี่น่ะ นี่ไม่เจอกันไม่กี่เดือนแกผิดปกติเบี่ยงเบนแล้วเหรอวะ” ถามอย่างสงสัยจริง ๆ เมื่อเดินตามเข้ามาในร้านขายชุดพื้นเมืองและชุดสำหรับฟ้อนรำ แต่นิโคไลก็ไม่ตอบเอาแตกวาดสายตามองไปทั่วภายในร้าน



และเมื่อพนักงานประจำร้านเดินเข้ามาถามว่าต้องการอะไร ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าแล้วหันกลับไปพูดกับเพื่อนเสียงห้วน



“จะไปกันได้หรือยัง ฉันเหนื่อย นั่งเครื่องมาเป็นสิบ ๆ ชั่วโมงนะโว้ยไม่ใช่สิบนาที” สายตาคมตวัดกลับมามองเพื่อนก่อนจะพูดเสียงหงุดหงิด



หงุดหงิดที่มันทำให้เขาต้องคลาดกับร่างบางของผู้หญิงที่...ถูกใจ



“โอเค ๆ คร๊าบ ท่านนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ เชิญทางนี้เลยครับ” แม้จะงงแต่ก็ไม่เซ้าซี้ คิดเองว่าเพื่อนคงจะเหนื่อยจากการนั่งเครื่องมานับสิบชั่วโมงล่ะมั้ง ถึงได้มีอาการแปลก ๆ





“มีอะไรเหรอจ๊ะหนูน้ำ มองอะไรอยู่”



ขณะที่ฝ่ายนิโคไลเดินตามเพื่อนไปด้วยความหงุดหงิด คนึงนิจเองที่เพิ่งจะออกมาจากห้องลองชุดพอดีกับที่ร่างสูงคุ่นตาหันหลังเดินออกไป ก็มองตามแผ่นหลังหนุ่มต่างชาติที่พบกันก่อนหน้านี้ไปอย่างสุดสายตา บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงได้มองตามคนแปลกหน้าไปอย่างนั้น จะว่าเพราะรูปร่างที่สูงใหญ่กำยำอย่างที่ไม่มีให้เห็นบ่อยนักก็อาจจะใช่ แล้วนอกจากจะหุ่นสมาร์ทหน้าตาของเขาก็ยังหล่อเหลาเสียจนเธอใจสั่น ขนาดว่ามีแว่นสีชาปิดดวงตาเอาไว้นะ ไม่อยากจะนึกว่าถ้าเห็นหน้าเขาชัด ๆ เธอจะใจละลายหรือเปล่า คนึงนิจสลัดหัวไปมาเมื่อรู้ตัวว่าเผลอคิดฟุ้งซ่าน มีที่ไหนกันที่คนอย่างเธอจะคิดจินตนาการเรื่องผู้ชายอย่างนี้...แต่ผู้ชายคนนั้นก็ดึงดูดความสนใจเธอมากจริง ๆ นี่นะ



“หือ ว่าไงจ๊ะหนูน้ำ ถามไม่ตอบ แล้วเป็นไงชุดที่ลองมีอะไรต้องปรับต้องแก้หรือเปล่า” เจ้าของร้านถามซ้ำเมื่อลูกค้าคนสนิทที่รักเหมือนลูกหลานนิ่งเงียบมองเหม่อไปนอกร้าน และเมื่อมองตามสายตาก็ไม่เห็นจะมีอะไรนอกจากผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ ก่อนจะหันกลับไปถามถึงชุดนางรำสีแดงเข้มปักดิ้นทองที่คนึงนิจสวมใส่อยู่



“เอ่อ เปล่าจ๊ะะไม่มีอะไรหรอกจ๊ะป้า น้ำแค่เห็นว่าลูกค้าของป้าคนเมื่อกี้เขาดูตัวโตจัง” ตอบกลับเสียงเบา ก่อนจะก้มมองดูชุดแล้วพูดต่อ “ชุดตรงช่วงอกมันคับไปหน่อยจ๊ะป้า ป้าช่วยแก้ให้น้ำทีนะจ๊ะแล้วพรุ่งน้ำจะเข้ามาเอา”



“ได้จ๊ะ ไม่มีปัญหา ป้าก็ลืมไปว่าหนูน้ำมีเยอะกว่าคนอื่นเขา” ป้าเจ้าของร้านพูดแซวยิ้ม ๆ มองใบห้าหวานที่แดงระเรื่องอย่างเขินอายนั่นอย่างรู้สึกเอ็นดู



คนึงนิจอยู่คุยกับเจ้าของร้านวัยกลางคนอีกสักพักก่อนจะขอตัวกลับไปและซ้อมฟ้อนรำกับเพื่อน ๆ เพื่อเตรียมตัวรำในช่วงกลางคืนที่จะถึงเหมือนเช่นปกติทุก ๆ วัน



++++++++++



“ เฮ้ย อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิวะ เห็นเล็ก ๆ แบบนี้แต่เด็ดยิ่งกว่าที่ใหญ่ ๆ อีกนะเว้ย ”



พีรพัทรชายหนุ่มหน้าตาคมสันเชื้อชาติไทยรีบพูดขึ้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทที่มาด้วยกันหันมามองหน้าเขาอย่างไม่ชอบใจนัก ทันทีที่เห็นสถานที่ ‘ รับรองแขกพิเศษ ’ ที่ตัวเองโอ้อวดสรรพคุณเลิศหรูไปเมื่อชั่วโมงก่อน



“นี่แกต้อนรับฉันด้วยร้านเล็ก ๆ มืด ๆ แบบนี้น่ะนะไอ้แพท” เสียงห้าวห้วนถามเพื่อนสนิทเจ้าบ้าน ใบหน้าคมเข้มที่หล่อเหลายิ่งเทพบุตรบึ้งตึงด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจ “รู้อย่างนี้ฉันน่าจะอยู่พักผ่อนที่กรุงเทพไม่น่าแวะมาเยี่ยมแกเลย ให้ตายสิวะ” นิโคไลสบถอย่างหัวเสีย ร้อนให้เจ้าบ้านอย่างพีรพัทรรีบดันร่างสูงของเพื่อนรักเข้าไปข้างในก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินหนีกลับขึ้นรถไป



“เออน่า ๆ ไอ้นิคแกเข้าไปข้างในก่อน รับรองเด็ดจริง ๆ นะเว้ย ไม่งั้นฉันจะพาเพื่อนรักอย่างแกมาทำไม ไป ๆ เร็วสิเดี๋ยวไม่ทันดูโชว์สำคัญกันพอดี“ พีรพัททั้งผลักทั้งดันทั้งฉุดเพื่อนรักที่เรื่องมาก ทำหน้าหงุดงหงิดไม่พอใจอยู่ให้เดินไปตรงทางเข้าหน้าร้าน



“อะไรของแกที่ว่าเด็ด เล็กขนาดนี้อาหารจะอร่อยสะอาดหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วโชว์อีก โชว์อะไร ฉันไม่ได้ชื่นชอบอะไรแบบนั้นแกก็รู้ ฉันหิวเข้าใจมั๊ยฮะ ถ้าอาหารมันไม่ได้เรื่องนะแกเตรียมตัวโดนเตะได้เลยไอ้แพท” ขู่เพื่อนเสียงเหี้ยม ก่อนจะเดินเข้าไปตามแรงฉุดของพีรพัทรอย่างช่วยไม่ได้



หากแต่เมื่อเดินผ่านประตูไม้ที่เกะสลักด้วยรวดลายงดงามอ่อนช้อยตามเอกลักษณ์ของชาวล้านนา โดยมีสาวน้อยหน้าแฉล้มแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองยืนต้อนรับด้วยรอยยิ้มหวาน พร้อมกับส่งพวงมาลัยที่ร้อยจากดอกมะลิหอมกรุ่นให้ นิโคไลก็พบว่าภายในที่เขาคิดไว้ว่าคงจะคับแคบนั้นกลับกว้างขวางกว่าที่คิด ด้านในเปิดโล่งเป็นลานกว้าง ตรงกลางคล้ายเวทียกสูงขึ้นจากพื้นไม่มากนัก โดยที่รอบ ๆ ไม่มีโต๊ะหรือเก้าอี้สักตัวหากแต่ปูพื้นด้วยเสื้อของทางภาคเหนือของไทย และยังคับคั่งไปด้วยแขกเหรื่อจนเขาไม่แน่ใจว่าจะมีที่นั่งให้ตัวเองกับเพื่อนหรือเปล่า ตรงกลางของแต่ละกลุ่มมีบางสิ่งที่เขาไม่รู้จักตั้งอยู่ ภายในนั้นเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายที่เขาไม่เคยเห็น นิโคไลหันไปทางเพื่อนสนิท เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม



“อ้อ นั่นน่ะเขาเรียกว่าขันโตก นิยมใช้ทางภาคเหนือของไทยน่ะแกยังไม่เคยเห็นสิท่า” พีรพัทรมองตามสายตาของเพื่อนอยู่ก่อนแล้วอธิบายขึ้น “เป็นไง เริ่มเชื่อแล้วใช่ไหมว่าที่นี่เด็ดจริง ดูจากจำนวนแขกก็น่าจะรู้” ยักคิ้วให้เพื่อนยิ้ม ๆ ก่อนจะหันไปพูดเสียงหวานกับพนักงานสาวที่เดินนำทั้งสองมายังที่นั่งที่จองไว้



“ขอบคุณครับคนสวย วันนี้เลิกงานแล้วสนใจไปเดทกับผมไหมครับ” ขยิบตาให้อย่างเจ้าชู้จนอีกฝ่ายเขินอาย ตอบกลับเบา ๆ



“วันนี้ไม่ว่างค่ะคุณแพท เจ้าของร้านนัดประชุมหลังเลิกงาน...เอาไว้คราวหน้านะคะ” สาวน้อยก้มหน้าตอบอย่างเขินอาย ส่งยิ้มหวานหยดให้เพราะรู้จักคนถามดี



พ่อเลี้ยงพีรพัทรหนุ่มเพลล์บอยตะกูลผู้ดีเก่าเชื่อสายเจ้า ผู้ที่เป็นที่หมายปองของสาว ๆ และไม่สาวทั้งหลาย เพราะนอกจากพีรพัทรจะมีฐานะร่ำรวย ชาติตระกูลดังแล้ว รูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มก็หล่อเหลาดั่งเทพบุรุษ ไหนจะคารมคมคายตามนิสัยเจ้าชู้ของเขานั่นอีก ที่เวลาพูดจาแต่ละทีสาว ๆ ที่ได้ยินต่างเคลิบเคลิ้มหลงไหลแทบจะมอบกายถวายชีวีให้



“ไม่เป็นไรครับ ผมรอเอื้องคนสวยได้เสมอ...แต่ว่างเมื่อไหร่อย่าลืมโทรหาผมที่เบอร์เดิมนะครับ ผมคิดถึงเอื้องจะแย่อยู่แล้ว” ท้ายประโยคโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบชิดใบหู พลางถือโอกาสหอมแก้มนวล “ไปทำงานเถอะครับ แต่ว่าง ๆ ก็แวะมาให้กำลังใจผมบ้างนะครับ” หนุ่มเจ้าสำราญมองตามร่างระหงที่เดินไปต้อนรับแขกคนอื่น ๆ ด้วยรอยยิ้มพราย จนนิโคไลสงสัย



“นี่หรือเปล่าเหตุผลที่แกบอกว่าที่นี่เด็ด แฟนหรือไง” ถามอย่างรู้จักนิสัยของเพื่อนสนิทดี เพราะตั้งแต่คบกันมาไอ้เพื่อนรักของเขาคนนี้มีแต่เรื่องสาว ๆ มาให้เขาปวดหัวกี่ครั้งไม่รู้กี่ครั้ง ปวดหัวยังไม่พอบางครั้งยังทำให้เขาซวยไปด้วยอีกต่างหาก



“เปล่า แค่คนถูกใจในตอนนี้น่ะ ส่วนสาเหตุจริง ๆ เป็นอีกคน คนนั้นน่ะเด็ดจริง แต่จีบยากฉิบหาย ชวนกี่ครั้ง ๆ ก็ไม่ยอมออกไปด้วยสักที เลยจีบคนอื่นแก้ขัดระหว่างรอ” ตอบเพื่อนอย่างนั้นแต่กลับหันไปส่งยิ้มโปรยเสน่ห์ให้สาวน้อยพนักงานที่อยู่ไม่ไกล



“ถ้าอยากจะมาเฝ้าสาวแล้วแกทำไมไม่มาวันอื่น ฉันทั้งเบื่อทั้งเอียนผู้หญิงจนแทบอ้วกอยู่แล้วแกก็รู้ ไม่งั้นจะหลบมาพักผ่อนที่ประเทศไทยไม่มีกำหนดกลับหรือยังไง นิโคไลคิดต่อในใจอย่างหงุดหงิด “แล้วเมื่อไหร่แกจะเลิกนิสัยฟาดไม่เลือกของแกซักทีวะแพท แกไม่เบื่อบ้างเหรอผู้หญิงน่ะ” เป็นเขาให้มานั่งพูดจาเอาอกเอาใจหวานเลี่ยนกับผู้หญิงแบบที่มันทำนี่คงไม่ไหว น่ารำคาญตายชัก



“ฉันไม่ใช่ฤาษีนี่จะได้ตัดเรื่องพรรค์นี้ได้ เกิดมาชาติหนึ่งต้องใช้ให้คุ้มสิวะ...เอาน่า มันก็ไม่ใช่มีดีแค่ผู้หญิงเสียที่เดียวหรอกที่นี่น่ะ อาหารเขาก็อร่อย โชว์ก็สวย เดี๋ยวดูไปรับรองแกชอบจนอยากจะมาอีกแน่ นั่นไงอาหารมาพอดี” พยายามทำให้เพื่อนผ่อนคลายเลิกทำหน้าตาบูดบึ้งชวนให้หมดอารมณ์สนุก ก็พอดีกับที่พนักงานในชุดพื้นเมืองยกอาหารมาเสริฟ พร้อมกับพนักงานอีกสองคนในชุดแต่งกายชาวเขาที่เข้ามานั่งขนาบข้างแขกหนุ่มทั้งสองคนเพื่อถ่ายรูป



“ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อยสิวะไอ้นิค เขาจะถ่ายรูป” พีรพัทรส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เมื่อเห็นเพื่อนสนิทนั่งหน้าบึ้งกอดอกพิงหมอนอิงอย่างไม่สนใจจะมองกล้อง

“จะถ่ายไปทำไม บอกให้พวกนี้ลุกไปห่าง ๆ ทีได้มั๊ยวะ” ตาคมตวัดมองสาวน้อยในชุดชาวเขาข้างตัว จนอีกฝ่ายหน้าซีดขยับถอยห่างทันที เห็นมากับพ่อเลี้ยงเจ้าสำราญก็นึกว่านิสัยเหมือนกัน ที่ไหนได้ดุยังกับเสือ สองสาวรีบถอยห่างขยับเข้าไปแอบหลังเพลล์บอยหนุ่มอย่างกลัวเกรง



“ไม่ต้องกลัวครับน้อง คือเพื่อนพี่มันอารมณ์เสียนิดหน่อยเพราะหิวข้าวน่ะครับ มานี่ดีกว่าครับมานั่งข้าง ๆ พี่ทั้งสองคนดีกว่า...ไม่ต้องถ่ายเพื่อนพี่นะน้อง” ร้อนให้หหนุ่มไทยหัวใจหลายห้องอย่างพีรพัทรต้องรีบปลอบสาวน้อย พลางหันไปบอกตากล้องที่ทำท่าจะถอยไปอีกคน



นิโคไลนั่งมองเพื่อนสนิทยิ้มแย้มถ่ายรูปจนเสร็จ และเมื่อพนักงานทั้งหมดลุกออกไปบริการแขกอื่น ๆ เสียงห้วนก็เอ่ยขึ้น



“มันอะไรกันนักกันหนาวะ จะกินข้าวทั้งทีต้องทำนั่นทำนี่ แล้วนี่ทำไมต้องมานั่งกับพื้นแบบนี้ด้วยวะเนี่ย ปวดขาฉิบ” บ่นไปพร้อมกับที่ขาแกร่งเหยียดยาวไปด้านหน้าอย่างไม่แคร์สายตาใคร แต่ก็ไม่มีใครให้ความสนใจเพราะว่าการแสดงบนเวทีที่ยกสูงตรงหน้ากำลังจะเริ่มขึ้น



“เฮ้ย มาแล้ว ๆ ขวัญใจฉันจะออกมาแล้วเว้ย” พีรพัทรไม่ได้ตอบคำถามเพื่อน กลับพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น สายตาจดจ้องไปข้างหน้าบนเวทีที่อยู่ห่างไปไม่ถึงเมตร



นิโคไลระบายลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย เขาไม่ชอบดูโชว์ฟ้อนรำอะไรอย่างที่พีรพัทรสาธยายมาว่าสวยงามแค่ไหน เพราะเคยเห็นมานับไม่ถ้วนแล้วตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ หากแต่การฟ้อนรำของทางภาคเหนือเขายังไม่มีโอกาสได้เห็น แต่มันก็คงไม่ต่างกันนัก ชายหนุ่มละสายตาจากบนเวทีที่ตอนนี้มีแต่วงดนตรีเครื่องเล่นพื้นเมืองที่เขาไม่รู้จักกำลังบรรเลงเพลงอยู่เท่านั้น



นักธุรกิจหนุ่มชาวสเปนละสายตาจากเวทีด้านหน้ามาสนใจอาหารหน้าตาหน้าทานบนสิ่งที่เรียกว่า ‘ ขันโตก ’ อย่างที่พีรพัทรอธิบายไว้เมื่อกี้แทน นิโคไลตักอาหารแต่ละอย่างขึ้นชิมอย่างละนิด เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทานได้หรือเปล่า หากกลับพบว่ารสชาดอาหารตรงหน้าอร่อยมากกว่าที่คิดไว้ ชายหนุ่นหันไปทางเพื่อนสนิทหมายจะสอบถามชื่อของอาหารที่ตัวเองถูกปากมากที่สุด หากเสียงอุทานอื้ออึงเหมือนตกตะลึงกับอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นรอบกายเสียก่อน พร้อมกับเห็นพีรพัทรอ้าปากค้างจ้องมองไปข้างหน้าตาไม่กระพริบ ทำให้หนุ่มสเปนหันความสนใจไปยังเวทีเพื่อดูว่าอะไรที่ทำให้คนรอบกายเขาตะลึงกันได้ขนาดนั้น



แล้วเมื่อหันไปมองตามสายตาเพื่อนรักเขาก็มีสภาพไม่ต่างไปจากคนอื่นมากนัก นิโคไลมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง มือที่ถือช้อนเผลอปล่อยช้อนสแตนเลสสีเงินตกลงข้างตัวเสียงดังเคร้ง ที่เห็นร่างอรชรอ้อนแอ้นในชุดไทยล้านนาสีแดงสดปักลายระยิบระยับด้วยด้ายทอง กำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อยงดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ โดยเฉพาะใบหน้างดงามหวานซึ้งตรึงตาที่กำลังแย้มยิ้มส่งมาอย่างหวาดหยดนั่น



สาวหน้าหวานซึ้งตรึงใจที่พบเจอที่สนามบินเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน!!



ใบหน้าหวานในตอนนี้แตกต่างจากตอนพบกันก่อนหน้านี้มากทีเดียว ใบหน้ารูปหัวใจที่มีเครื่องหน้าจิ้มลิ้มรับกันเหมาเจาะนั้นถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางที่เข้มกว่าปกติตามประสานางรำ แต่ก็ไม่ได้เข้มมากมายอะไรนัก ดวงตาคู่หวานที่ล้อมกรอบด้วยแพรขนตางามงอนที่เขาเห็นแล้วในระยะใกล้ว่าออกสีน้ำตาลอ่อนถูกแต่งให้ดูหวานซึ้งยิ่งกว่าเดิม และมันกำลังสะกดเขาและผู้ชายทุกคนในที่นี้ให้นั่งนิ่งจ้องมองนางสวรรค์อย่างเธอกำลังร่ายรำ ยิ่งเมื่อดวงตาคู่หวานคู่นั้นปลายมาสบประสานสายตากับเขา ริมฝีปากอิ่มสีเคลือบด้วยลิปติคสีชมพูหวานกำลังแย้มยิ้มให้บรรดาแขกเหรื่ออย่างอ่อนหวาน



วูบหนึ่งนิโคไลเกิดความรู้สึก ‘ อยากได้ ’ วาบขึ้นมากลางใจ



ความรู้สึกในส่วนลึกของเขากำลังนึกจินตนาการไปไกลว่า...



มันจะดีแค่ไหนถ้า...เปลี่ยนจากการร่ายรำอย่างอ่อนช้อยงดงามนั่น เป็นการบิดเร้าและครวญครางอยู่กลางเตียงกว้างของเขา !!





เธอกำลังรู้สึกถึงความอันตรายที่แผ่กระจายมาจากร่างสูงใหญ่ของชายต่างชาติคนนั้น...ผู้ชายที่ดูคุ้นตาเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน



คนึงนิจเพ่งมองใบหน้าคมหล่อเหลาที่จ้องนิ่งมายังตัวเอง เขานั่งอยู่ตรงหน้าสุดทางมุมซ้ายของเวทีที่เธอกำลังร่ายรำอยู่ สมองครุ่นคิดว่าเธอเคยเจอเขามาก่อนหรือเปล่า และเมื่อมองส่วนประกอบบนใบหน้าคมอย่างถี่ถ้วน ภาพชายต่างชาติที่สวมแว่นสีชาใบใหญ่ที่สนามบินก็วาบขึ้นในความทรงจำ ใช่แล้ว...เขาคือผู้ชายคนเมื่อตอนเย็นที่ทำตั๋วเครื่องบินหล่นนั่นเอง ไม่น่าเชื่อว่าสายตาภายใต้แว่นสีชานั้นจะคมกริบชวนใจสั่นขนาดนี้ และเมื่อสบสายตานานเข้า คนึงนิจก็รู้สึกขนลุกเมื่อเห็นว่าสายตาคู่คมสีดำสนิทดั่งรัตติกาลคู่นั้นนั่นฉายแววปราถนาอย่างไม่คิดจะปิดบัง หญิงสาวหลบสายตาหันไปมองทางอื่น ก่อนจะรวบรวมสติให้จดจ่ออยู่ที่การร่ายรำเพียงเท่านั้น พลางเคลื่อนย้ายก้าวไปตามจังหวะดนตรีถอยออกห่าง



เธอหลบตาเขา...วูบหนึ่งดวงตาคู่คมของนิโคไลวาบขึ้นอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นร่างบางบนเวทีหลบสายตาหันไปมองและส่งยิ้มให้คนอื่น ลืมคิดไปว่าตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีสิทธิ์ในตัวร่างบางของนางรำคนนั้นแม้แต่น้อย ชายหหนุ่มจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าตาไม่กระพริบเช่นเดียวกับแขกคนอื่น ๆ หากต่างกันที่ภายในใจของนักธุรกิจตระกลูดังของสเปนกำลังคิดบางสิ่งบางอย่างที่ต่างไปจากใครหลาย ๆ คนเท่านั้น ยิ่งตอนที่เห็นร่างบางกำลังร่ายรำโดยการนั่งคุกเข้ากับพื้นเวทีแล้วเอี้ยวตัวแอ่นหลังวาดมือไปตามเสียงบรรเลงจากเครื่องดนตรีพื้นเมืองที่เขาไม่รู้จัก กายหนุ่มก็ร้อนฉ่าขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตอนนี้ภายในใจของหนุ่มสเปนกำลังจินตนาการไปถึงว่า ถ้าเปลี่ยนตัวเขาเป็นพื้นเวทีให้เธอแอ่นกายร่ายรำบนตัวเขามันจะ...



นิโคไลสูดหายใจเข้าลึก กายสั่นสะท้านเมื่ออารมณ์ความต้องการบางอย่างแล่นปราดไปทั่วร่าง เขารู้สึกหน้าท้องขมวดเกร็งและบางสิ่งบางอย่างแข็งเกร็งอย่างน่าอายนัก นิโคไลรีบคว้าแก้วน้ำเย็นจัดตรงหน้ายกขึ้นดื่มเพื่อดับความร้อนที่พุ่งขึ้น พลางสลัดศรีษะไล่ความคิดและความต้องการดำมืดออกไป...แต่ไม่ว่าจะทำยังไงมันก็ไม่ได้ผล จนเขาคิดว่าหากจะทำให้ตัวเองหลุดออกจากความทรมานนี้คงมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือ...



เขาต้องได้ครอบครองความงามของนางรำแสนสวยคนนี้!!



เมื่อการแสดงแรกผ่านไปพร้อมกับที่ร่างงดงามของนางรำเดินหายลับไปทางด้านหลังของเวที พร้อม ๆ กับความรู้สึกปั่นป่วนของนิโคไล สายตาของชายหนุ่มจ้องมองไปตามไปยังทิศทางที่หญิงสาวเดินทายไปอยู่อย่างนั้น จนพีรพัทรที่ละสายตาจากจากเวทีหันมาจะเอ่ยพูดกับเพื่อนได้สักพักแล้วทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยถาม



“นิค แกเป็นอะไรวะ” คงไม่ใช่อย่างที่เขาคิดนะ นั่นน่ะสาวในฝันที่เขาหมายมั้นจะเอามาเป็นแฟนนะเว้ย หากแต่ความหวังของพีรพัทรก็พังครืนเมื่อเพื่อนรักตอบกลับมา



“ฉันอยากได้ผู้หญิงคนนั้น” เสียงหนักแน่นจริงจังตอบกลับเพื่อน ก่อนจะผินหน้าไปสบตา “คืนนี้” คำสั่งสั่น ๆ ห้วน ๆ นั่นทำให้พีรพัทรถึงกับหลุดร้องเฮ้ยเสียงดัง



“เอ้ย!! แกจะบ้าหรือวะไอ้นิค นี่ไม่ใช่อ่างหรือสถานที่อย่างว่านะเว้ย ถึงจะได้เลือก ๆ พอถูกใจก็ลากขึ้นเตียงน่ะ ไม่งั้นคุณน้ำค้างก็เสร็จฉันไปนานแล้วสิวะ แล้วอีกอย่างฉันจองคุณน้ำค้างก่อนแกเป็นปีเลยนะโว้ย” มาถึงก็จะเอา ๆ เลยนะไอ้เพื่อนบ้านี่ แล้วถ้ามันจะเอาคนอย่างเขาจะสู้มันได้ที่ไหน แค่หน้าตามันก็กินขาดสาวเห็นสาวรักสาวหลง วิ่งเข้าหาจนเขาอิจฉาแล้ว



“ใครน้ำค้าง? ผู้หญิงคนเมื่อกี้ใช่ไหม งั้นแกเปลี่ยนเป้าหมายซะ แล้วจะทำยังไงก็แล้วแต่คืนนี้ฉันต้องได้ผู้หญิงคนนี้!! “ สั่งเสร็จนิโคไลก็ลุกขึ้นไม่สนเพื่อนที่นั่งอ้าปากค้างนิ่งอึ้งกับคำสั่งของตน



“กะ แก ไอ้นิค...เอ้ย แล้วนั่นแกจะไปไหน นั่งคุยกันให้รู้เรื่องเลยนะโว้ย แกนั่นแหละที่สมควรไปหาเป้าหมายใหม่” ไอ้เพื่อนบ้านี่ เขามองเขาจองของเขามาตั้งนาน อยู่ ๆ มันมาสั่งเอา ๆ ไอ้เวร...



“ไปห้องน้ำ แล้วแกนั่นแหละที่ต้องทำตามที่ฉันบอก รออยู่นี่นั่งคิดเรื่องที่ฉันสั่งอยู่นี่แหละ เดี๋ยวมา” ยกมือห้ามเมื่อพีรพัทรทำท่าจะลุกขึ้นตาม ก่อนจะก้าวเดินออกไปในทิศทางที่ตรงข้ามกับห้องน้ำอย่างที่บอกเพื่อนไว้ ไม่สนใจโชว์ต่อไปที่กำลังเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางเสียงปรบมือและแสงแฟรตของบรรดาแขกเหรื่อ



ใครจะมีกระจิตกระใจไปสนใจอะไรได้อีก เพราะตอนนี้เขาแทบจะตายเพราะความต้องการแม่นางรำแสนสวยนั่นแล้ว!!



++++++++++



คนึงนิจที่เดินกลับเข้าไปในห้องแต่งตัวด้านหลัง เปลี่ยนจากชุดนางรำสีแดงสดเป็นเสื้อยืดกางเกงผ้าทอสามส่วน ก่อนจะรวบข้าวของส่วนตัวออกจากห้องเดินไปตามทางเดินเล็ก ๆ หลังร้านเพื่อกลับบ้าน หากเมื่อเดินเลี้ยวพ้นจากมุมห้องน้ำที่มืดสลัวไร้ผู้คน ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นว่าตรงหน้ามีคนขวางอยู่ คนึงนิจทำใจดีสู้เสื้อบอกตัวเองว่าคงเป็นลูกค้าที่ลุกมาเข้าห้องน้ำและออกมายืนสูบบุหรี่ที่นี่ เพราะในส่วนที่ให้บริการด้านในห้ามสูบบุหรี่



หญิงสาวก้มหน้าลงหลบสายตาที่มองมา แล้วก้าวเดินผ่านไป แต่ก็ต้องร้องอุทานอย่างตกใจเมื่อข้อมือบางถูกกระชากไว้



“ กรุณาปล่อยแขนดิฉันด้วยค่ะมิสเตอร์ ”



เสียงหวานราบเรียบที่ดังขึ้นไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายทำตามแต่อย่างใด หากกลับบีบกระชับข้อมือบางให้แน่นขึ้น พร้อมกับสายตากรุ่มกริ่มที่มองสบดวงตาหวานที่ทอประกายขุ่นมัว



“จะรีบไปไหนครับคนสวย อยู่คุยกันก่อนสิ” เสียงทุ้มเจ้าเล่ห์เอ่ยบอก พร้อมกับยกมืออีกข้างหมายจะลูบไล้ใบหน้าหวาน หากแต่คนึงนิจเบี่ยงหน้าหลบพร้อมกับตวาดไป



“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!! ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย” ขู่ออกไปแต่ในใจกลับเต้นระรัวด้วยความกลัว ยิ่งมองสบสายตาคนตรงหน้าเธอก็ยิ่งหวั่น คนึงนิจพยายามดึงแขนออกจากการเกาะกุมแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะอีกฝ่ายแรงเยอะเหลือเกิน



“เปลี่ยนจากร้องให้คนช่วยเป็นร้องครางดีกว่าไหมคนสวย รู้ไหมว่าคุณสวยถูกใจผมเหลือเกิน คืนนี้ไปด้วยกันหน่อยได้ไหมแล้วคุณอยากได้อะไรผมจะหามาวางแทบเท้าทุกอย่าง”



“ไม่ ปล่อยนะ!!”



“น่า เท่าไหร่ก็เรียกมาได้เลย ผมเต็มใจจ่ายไม่อั๋น ขอแค่คุณยอมไปกับผมคืนนี้” อีกฝ่ายยังคงตื้อไม่เลิก พร้อมกับโน้มใบหน้าเข้าหาหวังจะหอมแก้มนวล



คนึงนิจเบี่ยงหน้าหลบ ก่อนจะออกแรงผลักอีกฝ่ายสุดแรงจนเซไปปะทะกับผนังข้าง ๆ เนื่องจากหยามใจคิดว่าหญิงสาวตรงหน้าคงจะทำท่าทางอิดออดปฏิเสธเพื่อเรียกราคาค่าตัวให้สูงขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อถูกผลักอย่างแรงจนตัวเองเสียหน้าต่อกลุ่มคนที่มาด้วยทำให้เกิดความโมโห ร่างสูงก้าวเข้าหาร่างบางด้วยอารมณ์คุกรุ่นก่อนจะตวาดใส่



“กล้าดียังไงมาผลักฉันวะ นิรุจ สั่งคนของนายจับยัยนี่ไปที่รถซิ คืนนี้ฉันจะสั่งสอนให้ครางจนถึงเช้าเลยคอยดูสิ จากนั้นฉันจะส่งต่อให้นายกับพวนนั้น” สิ่งที่ได้ยินทำให้คนึงนิจเบิกตากว้าง ขาเรียวก้าวถอยหลังเตรียมจะวิ่งหนี หากกลับถูกล้อมด้วยผู้ชายร่างใหญ่



“ยอมไปดี ๆ เถอะน่าคุณน้ำค้าง รับรองจบงานนี้คุณจะสบายไปทั้งชาติ ถึงเพื่อนผมจะกลับประเทศไปแต่ผมรับรองว่าจะเลี้ยงดูคุณต่ออย่างดีที่สุด” นิรุจลูกชายคนเดียวของ ส.ส คนดังของจังหวัดที่อยากจะได้สาวงามตรงหน้าทันทีที่เห็นหน้าบนเวทีเมื่ออาทิตย์ก่อนไม่แพ้คนอื่นเอ่ยบอกอย่างใจดีขัดกับคำพูดและท่าทาง



ไม่เป็นไรถึงจะต้องกินต่อจากเพื่อนร่วมธุรกิจเขาก็ไม่แคร์ ขอแค่ได้เชยชมร่างงามของสาวตรงหน้าเป็นพอ เขาไม่นึกเลยว่าร้านอาหารพื้นเมืองที่ไม่เคยนึกอยากจะมาเลยสักครั้งแห่งนี้จะมีสาวงามดุจเทพธิดาขนาดนี้ นี่ถ้าเขาไม่ตามมารดากับน้องสาวมาเพราะมารดาได้ยินเสียงลำลือเรื่องรดชาติอาหารที่เป็นเลิศและการแสดงที่สวยงามมากกว่าร้านใหญ่โตล่ะก็เขาก็คงจะไม่ได้พบเจอหญิงสาวตรงหน้า จากวันนั้นมาเขาก็มาดูเธอรำทุกวันพยายามจะหาทางเข้าใกล้แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที จนวันนี้เพื่อนร่วมธุรกิจที่เพิ่งมาจากอเมริกาเกิดนึกถูกใจนางรำคนสวย และชวนเขามาตามมาดักเจอ เขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธเพราะคิดไว้อยู่ก่อนแล้วว่าถ้ายังเข้าถึงตัวไม่ได้ ก็คงจะใช้วิธีนี้เหมือนกัน



“คุณนิรุจ ได้โปรดเถอะค่ะ ฉันไม่ได้ขายตัว ฉันเป็นแค่นางรำเท่านั้น”



ทำยังไงดี เธอไม่น่าเดินออกมาทางหลังร้านที่มืดสลัวไร้ผู้คนในช่วงเวลาที่กำลังมีการแสดงอย่างนี้เลย เพราะพรุ่งนี้ต้องไปสอนรำไทยให้นักเรียนที่โรงเรียนนาฏศิลป์ตั้งแต่เช้าแท้ ๆ ทำให้เธอขอตัวกลับก่อน แทนที่จะอยู่รอจนเลิกงานและรอกลับพร้อมบิดาเหมือนวันอื่น ๆ ทำให้ตอนนี้ข้างกายไร้คนคอยปกป้อง คนึงนิจคิดพลางมองหาทางหนี หากกลับพบว่าไม่มีทางออกให้เธอเลย หญิงสาวถูกต้อนจากกลุ่มลูกน้องของนิรุจสามคน รวมทั้งตั้งนิรุจกับเพื่อนชาวต่างชาติของเขาเองด้วยที่ตอนนี้เดินยิ้มเข้ามาหามองเธออย่างหื่นกระหาย



“ช่วยด้วย!! ใครก็ได้ คุณพ่อช่วยน้ำค้างด้วย!! กริ๊ด!! อย่าเข้ามานะ ปล่อย!!“



เสียงตะโกนพร้อมกรีดร้องกับภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ร่างสูงที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ในมุมมืดมาตั้งแต่ต้นขยับกาย





“ แค่ผู้หญิงคนเดียวถึงกับต้องใช้ผู้ชายเป็นฝูงเลยหรือ ”



เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นพร้อม ๆ กับร่างสูงใหญ่เฉียดสองเมตรเดินออกมาจากมุมมืด สายตาคมสีดำรัตติกาลตวัดมองมือของหนุ่มผมบรอนส์ที่จับอยู่ตรงข้อมือบางของหญิงสาวที่นั่งกรีดร้องคุดคู้ตัวอยู่กับพื้น



“อย่ายุ่ง!! อ่อ หรือแกก็อยากได้ผู้หญิงคนนี้เหมือนกัน นั่นสินะสวยหยาดเยิ้มขนาดนี้ใครเห็นก็ต้องอยากโยนขึ้นเตียงทั้งนั้นแหละว่าไหม แต่รอก่อนก็แล้วกันพวก ตามคิวว่ะ ฉันกับเพื่อนขอลองเครื่องก่อนเดี๋ยวส่งต่อให้ ฮะ ๆ ไงสาวน้อย จะไหวไหมนะคืนนี้” หนุ่มต่างชาติคนเดียวในกลุ่มคนทั้งห้าตวาดใส่ในตอนแรก ก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายคงมีเป้าหมายไม่ต่างกัน



“ก็ถูกที่ฉันอยากได้...” นิโคไลไม่ปฏิเสธ สายตาเบนไปจ้องใบหน้างามที่ซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะพูดต่อ “แต่ฉันชอบเป็นคนแรก ไม่ชอบใช้ต่อจากใคร...ถ้าเข้าใจแล้วก็ปล่อยมือผู้หญิงคนนั้นซะ แล้วไสหัวไปในพ้น” บอกเสียงเย็นพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้อย่างไม่เกรงกลัว



“เฮ้ย ไอ้นี่ มึงกล้าดียังไงมาสั่งพวกกูวะ!!” นิรุจชะงักเสียงหัวเราะที่ประสานร่วมไปกับเพื่อน ตวาดกลับก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องทั้งสาม “พวกมึงจัดการไอ้เวรนี่ให้หายปากดีทีซิ”



ไม่ต้องให้สั่งซ้ำ หนุ่มฉกรรจ์ทั้งสามกระโจนเข้าหาร่างสูงที่เดินเข้ามาทันที หากแต่รูปร่างที่เป็นรองอยู่มากกับฝีมือที่อยู่คนละชั้น ทำให้ไม่ถึงนาทีชายทั้งสามก็ลงไปกองร้องโอดโอยอยู่แทบเท้าร่างสูงที่ยกมือขึ้นปัดเสื้อผ้าด้วยท่าทีสบาย ๆ



“ถ้าไม่อยากเป็นอย่างลูกน้องมึง ก็หันหลังแล้วใส่เกียร์หมาวิ่งไปซะ” นิโคไลสั่งเสียงเรียบ และเมื่อสายตาเห็นว่านิรุจเอื้อมมือไปข้างหลัง มัจจุราชสีดำก็ถูกมือหนาดึงออกมาแล้วยกขึ้นเล็งด้วยความเร็วที่เหนือกว่า “ถ้าขยับอีกนิด...หัวมึงแเละแน่” พร้อมกับเสียงปลดไกปืนดังกริ๊ก ทำให้นิรุจชะงักมือไว้เพียงแค่นั้น



นิโคไลตวัดสายตาไปที่มือหนาของหนุ่มผมทองอีกคนที่ยังกำข้อมือบางไว้แน่น ก่อนจะตวัดขึ้นไปมองไปหน้าอีกฝ่าย จนมือหนาคลายออกและปล่อยข้อมือบางของคนึงนิจในที่สุด



“มานี่สิ” เสียงเรียบเอ่ยสั่งร่างบางที่ถอยหนีออกห่างจากคนทั้งสอง



คนึงนิจทำตามอย่างว่าง่าย ในตอนนี้หนุ่มต่างชาติหน้าตาหล่อเหลาแต่ท่าทางเหี้ยมคนนั้นดูจะปลอดภัยกว่านิรุจกับเพื่อนเขาเป็นแน่ หญิงสาวยันตัวลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหลบอยู่หลังร่างสูงใหญ่ เขาตัวสูงและหนามากจาบังร่างเธอจนมิด แถามยังแผ่รังสีเหี้ยมจนเธอรู้สึกได้



“ทีนี้จะไปดี ๆ หรืออยากเป็นผีเฝ้าที่นี่” ตาคู่คมเหลือมมองร่างบางที่ยืนตัวสั่นอยู่ด้านหลัง ก่อนจะหันกลับไป เอียงคอเอ่ยกับสองคนที่ยังยืนมองเขาอย่างอาฆาตแค้นอยู่



“มึงไม่กล้าหรอก” นิรุจยังคงปากดีแม้ในใจจะหวั่นไม่น้อย หากแต่คิดว่าผู้ชายตรงหน้าคงไม่กล้าที่จะเสี่ยงกับกฏหมายลั่นกระสุนในบริเวณร้านอาหารแบบนี้ มันเป็นแค่คนต่างชาติไม่ได้มีเส้นมีสายอะไรคงไม่อยากจะมีเรื่องให้ต้องเข้าคุกเข้าตะรางเป็นแน่



“คิดว่างั้น ?” สิ้นเสียงถามอาวุธคู่กายที่สั่งทำพิเศษก็ถูกเปลี่ยนให้อยู่ในโหมดเก็บเสียง ก่อนที่กระสุนสีเงินจะวิ่งแหวกอากาศเฉียดใบหูลูกชายคนเดียวของ ส.ส คนดังไปไม่กี่มิล จนนิรุจรับรู้ถึงกระแสความร้อนที่วิ่งผ่าน ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด ใจหล่นตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เผลอก้าวถอยหลังไม่รู้ตัว



“กระสุนต่อไปมันคงไม่วิ่งพราดเป้าเหมือนเมื่อกี้อีกหรอกนะ หรือมึงจะลองดูก็ได้ เอาตำแหน่งไหนดี...หัวหรือหน้าอก” คราวนี้เสียงนิโคไลเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด จนคนฟังขนลุก



“โอเค ๆ เรายอมวางมือแล้ว เราจะไม่ยุ่งแล้ว จะรอจนกว่าคุณจะเบื่อ โอเค้? “ หนุ่มต่างชาติอีกคนที่ยืนหน้าซีดไม่ต่างจากนิรุจพูดขึ้น สรรพนามที่ใช้เรียกอีกฝ่ายก็สุภาพขึ้นทันตาเห็น หากแต่ยังไม่วายต่อรองเรื่องคนึงนิจ เพราะความสาวสวยล่อตาทำให้ยากจะตัดใจ



“นับหนึ่งถึงสาม ถ้าพวกมึงยังอยู่...กูยิง” คำตอบคนละอย่างที่ได้รับทำให้นิรุจดึงแขนเพื่อนเดินแกมวิ่งออกไป ภายในใจอาฆาตแค้นรอวันเอาคืน ลูกสมุนทั้งสามคนที่เห็นเจ้านายวิ่งป่าราบหนีไปก็พยายามลากสังขารกระแผลกหนีตายตามหลังเจ้านายไป



เมื่อลับร่างทั้งห้า นิโคไลก็เก็บปืนเหน็บที่กางเกงด้านหลังตามเดิม จากนั้นก็หันไปเผชิญหน้ากับร่างบางที่ยังคงยืนตัวสั่นอยู่ ตาคู่คมกวาดมองจนทั่วร่าง แม้จะอยู่ในชุดธรรมดาเหมือนเด็กอย่างนี้ ผู้หญิงคนนี้ก็ยังทำให้เขาร้อนได้เหมอนเดิม



คนึงนิจก้าวถอยหลังไปสองก้าวเมื่อทันทีที่อีกฝ่ายหันมามองเธอนิ่ง ระยะห่างระหว่างเธอกับเขาอยู่ใกล้ชิดกันมากเกินไป และเมื่อเขาก้าวเข้ามาหาคนึงนิจก็ถอยหลังอย่างตกใจ ละล่ำละลักพูดออกไปพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้เอ่ยขอบคุณ



“ขะ ขอบคุณคุณมากนะคะมิสเตอร์ ถ้าไม่ได้คุณฉันคงเสียทีพวกนั้น” เงยหน้าขึ้นมองแต่เมื่อสบเข้ากับสายตาคู่คมที่ฉายแววบางอย่างที่เธอดูไม่ออกก็รีบก้มหน้าหลบสายตา “งะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ” เมื่อลางสังหรณ์ที่มีร้องเตือนว่าให้รีบออกห่างจากร่างสูงตรงหน้าให้เร็วที่สุด คนึงนิจจึงรีบกล่าวเอ่ยลา พลางทำท่าจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในร้าน



“เดี๋ยว” เสียงเข้มเรียกไว้พร้อมกับมือหนาที่เอื้อมมารับต้นแขนบอบบางไว้แน่น จนยากที่จะสะบัดกายให้หลุดได้



“คะ คุณจะทำอะไร” ร้องถามอย่างตกใจเมื่อร่างสูงตรงหน้าดึงแขนเธอจนเซไปปะทะกับแผงอกแกร่งของเขา พลางคำพูดของเขาก่อนหน้านี้ที่พูดกับกลุ่มของนิรุจก็วิ่งเข้าหัว คนึงนิจหน้าซีดพยายามดันตัวเองออกจากการเกาะกุมของชายแปลกหน้า หากแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อเธอสู้แรงดุจช้างสารของเขาไม่ได้เลย



“ปะ ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ ได้โปรด” ความกลัวพุ่งเข้าสู่หัวใจจนน้ำตาเอ่อคลอ



นี่เธอหนีเสือปะจรเข้หรือนี่...แล้วทีนี้ใครจะช่วยเธอได้...



“จะให้ปล่อยไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อะไรตอบแทนอย่างนั้นนะหรือ อย่าลืมนะเมื่อกี้ผมสร้างศัตรูให้ตัวเองก็เพราะคุณ ผมอาจจะเดือดร้อนถูกเอาคืนได้ทุกเมื่อ” เขาโน้มใบหน้าลงไปใกล้จนปลายจมูกโด่งเป็นสันเตะเข้ากับปลายจมูกเล็ก ๆ ของเธอ



แค่แตะต้องเพียงเท่านี้...แค่ได้กลิ่นกายเพียงนิด ความต้องการของเขาก็พุ่งขึ้นจนสุดกู่เสียแล้ว



“คะ คุณอยากได้อะไรล่ะค่ะ เอาอย่างงี้ไหมฉันเป็นลูกสาวร้านขันโตกที่นี่ ฉันจะให้สิทธิคุณมาทานอาหารและชมการแสดงฟรีตลอดชีพ ระ หรือไม่คุณอยากได้อะไรก็บอกมา ตะ แต่ปล่อยฉันก่อนนะคะ” ยื่นข้อเสนอให้ พยายามเบี่ยงใบหน้าหลบหากใบหน้าคมก็ตามติด และดูเหมือนเขาจะรำคาญที่เธอเบี่ยงหน้าไปมา มือหนาข้างที่ว่างอยู่จึงยกขึ้นมาตรึงท้ายทอยของเธอไว้ไม่ให้ขยับได้อีก



“สิ่งที่ผมอยากได้น่ะหรือ...” นิโคไลยิ้มชิดแก้มนวล ก่อนจะบอกความต้องการที่ทำให้คนฟังเบิกตากว้างอย่างตกใจ



“...ตัวคุณ คือสิ่งที่ผมต้องการ” แล้วริมฝีปากร้อนก็ทาบทับลงบนกรีบปากนุ่มที่ยั่วเย้าความอยากของเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น



ใบหน้างามถูกมือหนาที่กุมท้ายทอยอยู่บังคับให้แหงนเงยขึ้นรับจูบจากเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นิโคไลขบเม้มริมฝีปากอิ่มเบา ๆ ก่อนจะร้อนแรงขึ้นตามลำดับ เมื่อหญิงสาวอ้าปากจะประท้วงเขาก็พลิกให้เป็นโอกาส เรียวลิ้นร้อนชื้นสอดแทรกเข้าไปควานหาความหวานที่ปราถนา ครางในลำคออย่างพึงใจเมื่อพบว่ามันหวานดั่งที่จินตนาการไว้ มือข้างที่จับต้นแขนบอบบางอยู่เปลี่ยนเป็นกอดรัดรอบเอวคอดเมื่อร่างบางพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้น



คนึงนิจใช้สองมือทุบตีไปตามแผงอกแกร่งและไหล่หนาเพื่อให้ได้รับอิสระ หากเขากลับแข็งแกร่งดั่งหินผาไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด แรงต้านทานของหญิงสาวอ่อนลงทีละนิดกับประสบการณ์ที่ไม่เคยพานพบ จูบของเขาทำให้เธอหัวหมุนหัวสมองขาวโพลนไปหมด ไม่นานแรงขัดขืนต่อต้านก็หมดไปเหลือเพียงร่างกายอ่อนปวกเปียกที่สั่นสะท้านไปกับสัมผัสของเขา...สัมผัสจากฝ่ามือร้อนที่โอบรอบเอวเปลี่ยนเป็นลูบไล้ไปตามแผ่นหลัง ก่อนจะสอดเข้าไปตรงชายเสื้อยืดสีขาวสะอาด เลื่อนขึ้นไปกอบกุมทรวงอกอิ่ม เคล้าคลึงจนเจ้าของร่างเผลอส่งเสียงครางผะเผ่วออกมาด้วยความเสียวซ่าน



นิโคไลครางอย่างพึงใจกับปฏิกิริยาตอบรับที่ได้รับ กายหนุ่มรุ่มร้อนปวดร้าวไปทั่วสัพพรางค์ด้วยแรงปราถนาที่มีต่อร่างบางที่หอมกรุ่นยั่วเย้า เมื่อทนต่อไปไม่ไหวอีกต่อไปอ้อมแขนแข็งแรงก็ตวัดช้อนร่างบางแนบอก เดินลิ่วไปยังเรือนเล็ก ๆ ที่เห็นไม่ไกล เขาไม่รู้ว่าเป็นเรือนอะไร หากเมื่อเดินไปถึงนิโคไลก็เปิดประตูไม่สักทองเข้าไปทันที เขาพบว่าด้านในมืดสนิทและเต็มไปด้วยอุปกรณ์การแสดง เครื่องดนตรีที่เหมือนกับที่แสดงบนเวทีก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มปิดประตูแล้วลงกลอนแน่นหนา เขาไม่เปิดไฟเพราะไม่มีเวลาเสาะหาว่าสวิตซ์ไฟอยู่ที่ไหนปล่อยให้มีเพียงแสงจันทร์และแสงไฟจากข้างนอกสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างก็เพียงพอแล้ว



.....................................................................................................





++++++++++++++++++++++++++++++++++





25/9/2011


เรื่องนี้เป็นโรมานซ์เล่มเล็กที่มีแต่ความเร้าร้อน...ร้อน ...และร้อน เพราะฉะนั้นรีดเดอร์ที่ยังอายุไม่ถึง 20 ห้ามอ่าน ฮ่าๆๆๆ ล้อเล่นค่ะ ยังไงก็ขอฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ กำลังรอตีพิมพ์กับ สนพ.สื่อวรรณกรรม ค่ะ



แล้วก้ฝากอีกเรื่องด้วยนะคะ **ทะเลร้อนซ่อนสิเน่หา** นายหัวคเชนทร์กับหนู่น่ารักค่ะ >___<






ลัลลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ย. 2554, 23:48:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ย. 2554, 23:48:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1904





   บทที่ 2 >>
violette 26 ก.ย. 2554, 01:23:38 น.
คุ้นๆเหมือนเคยอ่านเลยค่ะ


ann 26 ก.ย. 2554, 14:58:06 น.
มาต่อเร้วๆนะจ๊ะ ว่าแต่เรื่องนี้ออกทันงานหนังสือมั้ยอ่ะ จะได้ไปจับจอง


ลัลลดา 26 ก.ย. 2554, 15:06:26 น.
คิดว่างานหนังสือคงไม่ทันค่ะ คงหลังจากนั้นสักพักค่ะ

ลดา / ลัลลดา ^___^


anOO 28 ก.ย. 2554, 15:27:58 น.
น่าติดตามมากๆ ค่ะ
ดีนะที่อายุเกินแล้ว 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account