The Authority วังวนกลรัก
แฟนตาซีการเมือง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 2


หากถามว่า ตระกูลใดที่ทรงอำนาจที่สุดในราชอาณาจักรเอเวอเรีย คำตอบนั้นย่อมเป็นตระกูลตะวันออกและตระกูลตะวันตก


แต่หากจะถามว่าหน่วยงานไหนที่มีบทบาทมากที่สุดในราชอาณาจักรเอเวอเรีย คำตอบนั้นย่อมเป็น ‘สภาขุนนาง’


แล้วสภาขุนนางมีบทบาทอย่างไรกันแน่?


เริ่มแรกเลยสภาขุนนางประกอบด้วยสมาชิกทั้งสิ้น 99 คน คุณสมบัติขั้นต่ำสุดในการได้รับเลือกเข้ามาคือการสอบวัดระดับทักษะด้านใดด้านหนึ่งได้ระดับ A และสำหรับผู้นำของสภาซึ่งมี 2 คนนั้นจำเป็นต้องมีใบรับรองทักษะด้านใดด้านหนึ่งในระดับ S และเพราะผู้นำฝ่ายตะวันออกและตะวันตกผูกขาดความเป็นผู้นำสภาขุนนางตลอดมา การได้ทักษะในระดับ S จึงเป็นเงื่อนไขของการขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเช่นกัน


แม้ว่าผู้นำของแต่ละตระกูลจะมี 2 คน แต่สิทธิ์ในการออกเสียงถูกนับเป็นหนึ่ง นั่นคือแม้ในทางปฏิบัติจะมีสมาชิกทั้งสิ้น 101 คน แต่เสียงที่ออกมาจะมีแค่ 99 เสียงเท่านั้นเสมอ และนั่นคือกฎตายตัวว่าผู้นำของตระกูลเดียวกันย่อมไม่อาจเห็นต่างกันได้


บทบาทของสภาขุนนางนั้นมีตั้งแต่เรื่องยิบย่อยตั้งแต่ติดตามดูแลจัดการกับเรื่องลักเล็กขโมยน้อยไปจนถึงการติดต่อกับอาณาจักรเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ประกาศสงคราม กฎหมายทุกข้อจะถูกออกผ่านทางสภาขุนนางและถูกกระทำตามทุกข้อโดยสภาขุนนางเช่นกัน


ผู้ที่นั่งอยู่ในสภาขุนนางแม้จะกล่าวได้ว่าเต็มไปด้วยยศศักดิ์และอำนาจ แต่มันก็ตามมาด้วยภาระหน้าที่ที่ถูกจัดสรรอย่างชัดเจน หากผู้ใดไม่อาจปฏิบัติตามหน้าที่ของตนได้ โทษต่ำสุดคือการปลดออกจากตำแหน่ง และโทษสูงสุดคือการประหารชีวิต


นอกจากนี้ สภาขุนนางยังมีการจัดประชุมตั้งแต่เรื่องมดยันเรื่องช้าง ซึ่งการจะเข้าร่วมประชุมหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่โดยปกติแล้วสมาชิกของสภาขุนนางส่วนใหญ่มักจะวิ่งวุ่นวายตรากตรำอยู่ตามเมืองต่างๆมากกว่าที่จะอยู่ในเมืองหลวง มีเพียงการประชุมใหญ่ที่จัดขึ้นสี่เดือนครั้งเท่านั้นที่ทุกคนจะต้องมารวมตัวกันในเมืองหลวงอย่างพร้อมหน้า ไม่เว้น..แม้แต่ผู้นำของสองตระกูลที่ต่างก็มีภาระยุ่งอยู่เสมอเช่นกัน


ซึ่งหากสามารถพูดออกมาได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอำนาจมืดแล้ว มันก็ยากจะปฏิเสธว่าพวกเขาไม่ว่าจะเป็นคนในสภาขุนนางหรือชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป ต่างก็เฝ้ารอการประชุมสี่เดือนครั้งที่จะเกิดขึ้นนี่เสมอ และสาเหตุนั้นก็ย่อมเป็นเพราะ.......


“มาแล้วๆ คนของตระกูลตะวันตกมาแล้ว!”


เสียงตะโกนดังมาจากเหล่าคนที่ยืนออกันอยู่บริเวณหน้าตึกสูงสีเทาหม่น เมื่อเสียงตะโกนดังต่อๆกันมา เหล่าคนที่เคยยืนเบียดเสียดต่างก็พร้อมใจกันหลบออกสองข้างทาง เปิดเส้นทางสายหนึ่งที่ทอดยาวเข้าสู่รั้วประตูสีขาวให้ แล้วไม่ถึงอึดใจสิ่งที่พวกเขาเฝ้ารอก็มาถึง


ม้าสีดำพ่วงพีตัวหนึ่งควบมาตามทางที่ถูกเปิดให้ บนหลังม้าคือชายหนุ่มผมสีดำผู้อยู่ในอาภรณ์สีเดียวกับราตรีกาล ขลิบริมด้วยเส้นไหมทองคำที่มีเพียงเชื้อพระวงศ์และผู้นำตระกูลเท่านั้นที่จะใช้ได้ ดวงตาคู่สีม่วงเหลือบมองผู้คนที่แออัดกันอยู่สองข้างทาง แล้วรอยยิ้มจางๆก็ปรากฏบนริมฝีปากอีกครั้ง


และนั่นคือสิ่งที่ยันยืนตัวตนของคนผู้นี้ได้ดียิ่งกว่าสิ่งอื่นใด...


“ท่านซาบีน!!”


เสียงกรีดร้องของเหล่าหญิงสาวดังขึ้นจากสองข้างทาง เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่ต่างก็พยายามชะโงกหน้ามาดูให้ชัดเจนขึ้น มันเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่พอถึงช่วงเวลานี้ของปี พวกเขาก็จะได้ชมโฉมเหล่าผู้นำรูปงามของสองตระกูล ซึ่งไม่ว่าจะเป็นท่านจากตะวันออก หรือท่านจากตะวันตก ก็ล้วนแล้วแต่มีใบหน้าที่สามารถช่วงชิงลมหายใจของพวกเขาไปได้ แม้ว่าจะต่างสไตล์ต่างบุคลิกกันก็ตามที


ผู้นำของตระกูลตะวันออกในรุ่นนี้มีนามว่า เนเรียส และ นีอัล เป็นฝาแฝดแท้ที่มีดวงตาสีน้ำเงินกับผมสีทอง ในเดือนที่ผ่านมาทั้งชาวบ้านและขุนนางต่างก็ได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดครบรอบ 27 ปีของท่านทั้งสอง และได้ประจักษ์กับตาว่าแม้จะมีรูปลักษณ์เช่นเทพบุตรทั้งคู่ หากท่านเนเรียส ผู้มักจะออกเดินทางไปเชื่อมความสัมพันธ์ยังอาณาจักรเพื่อนบ้านนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นท่านที่มีอารมณ์ขันมากกว่า ขณะที่ท่านนีอัล ผู้เป็นน้องชายกลับเป็นท่านที่เครียดขรึมและเป็นที่เล่าลือถึงความอำมหิตยิ่งกว่า


สำหรับตระกูลตะวันตกในรุ่นนี้ ผู้นำคนปัจจุบันคือ ท่านเซเรีย และ ท่านซาบีน ทั้งสองท่านต่างก็มีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงจนเกือบจะเข้าใจผิดว่าเป็นฝาแฝดแท้ ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาของท่านเซเรียเป็นสีเดียวกับหยกเนื้อดี ขณะที่ดวงตาของท่านซาบีนนั้นกลับเป็นสีเดียวกับพลอยอเมธิสต์ ทั้งสองท่านอายุน้อยกว่าผู้นำตระกูลตะวันออกห้าปี และให้ความรู้สึกที่สุภาพนุ่มนวลกว่ามาก แต่บรรยากาศของท่านเซเรียนั้นให้ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความน่าเชื่อถือ ขณะที่ท่านซาบีนนั้น........


“เหลือเวลาก่อนเริ่มประชุมอีก 5 นาที 17 วินาทีค่ะ ท่านซาบีน”


หญิงสาวบนหลังม้าสีขาวชะโงกหน้าเข้ามากระซิบบอกแก่นายเหนือ ผู้ติดอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าชาวบ้าน ซึ่งต่างก็ห้อมล้อมเข้ามาในทันทีที่แน่ใจว่าตัวแทนผู้นำของฝ่ายตะวันตกในครั้งนี้คือใคร


“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ไปสายอยู่แล้ว”


แม้จะกล่าวเช่นนั้น หากซาบีนกลับไม่ได้กระตุ้นม้าให้วิ่งต่อ ในทางตรงข้ามชายหนุ่มกลับชะลอจากความเร็วในระดับควบม้ากลายมาเป็นขี่ม้าชมวิว เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อผู้คนที่ห้อมล้อมอยู่นี้ และนั่นก็คือความใจดีและเข้าถึงได้ง่ายที่เป็นทั้งจุดแข็งซึ่งทำให้ประชาชนชื่นชม แต่ขณะเดียวกันก็เป็นจุดอ่อนอันใหญ่หลวงสำหรับเหล่าองครักษ์ที่ต้องการปกป้องผู้เป็นนาย


“ท่านซาบีนคะ...”


เสียงหวานที่กำลังจะเอ่ยเตือนเป็นคำรบสองมีอันต้องชะงักลง เมื่อเห็นนายเหนือกำลังก้มหน้าลงไปคุยกับหญิงชรานางหนึ่ง และอะไรก็คงไม่เลวร้ายเท่ากับการที่แสงแดดบังเอิญส่องมาสะท้อนกับอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือของผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังหญิงชราอีกที


“ระวัง!!”


โดยไม่เสียเวลาคิดซ้ำสอง เฟรย์ชักม้าให้ก้าวเข้าไปขวางอยู่ตรงหน้านายเหนือ มือซ้ายคว้าจับคมมีดที่พุ่งเข้าหาตัว ขณะที่มือขวาลั่นไกกระสุนในทันที!


ปัง!!


ร่างของผู้คิดร้ายล้มลงไปจมกองเลือดของตนโดยไม่มีโอกาสได้ทำร้ายใครอีก เสียงกรีดร้องดังระงม ขณะที่เหล่ากองทหารรีบโอบล้อมเข้ามากันฝูงชนออกไปอย่างรวดเร็ว


“ไม่เป็นไรใช่มั้ย เฟรย์?”


ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและความชุลมุนที่เกิดขึ้น วงหน้าคมคายยังคงประดับด้วยรอยยิ้มบางๆยามเมื่อเอ่ยถามหัวหน้าองครักษ์ของตน ถุงมือคู่สีดำยื่นออกไปรับมีดเล่มนั้นมาจากมือที่ชุ่มไปด้วยเลือดของลูกน้อง ก่อนจะพิจารณาจากปลายอันคมปลาบไปจนถึงลวดลายเรียบๆบนด้ามสีดำของมัน


“มีดดี ไม่ได้เคลือบพิษเอาไว้” นิ้วเรียวลูบปลายคมของมันเบาๆ “ลักษณะแบบนี้น่าจะซื้อมาจากร้านเรลี่ย์ที่เมืองวิลด์ ส่งคนไปตรวจสอบที่นั่นด้วย”


“รับทราบค่ะ”


เฟรย์รับมีดเล่มนั้นกลับมาเก็บไว้ โดยไม่คิดแม้แต่จะเสียเวลาทำแผลที่มือ และหญิงสาวก็คงจะออกคำสั่งให้เหล่าทหารตั้งแถวเพื่อเคลื่อนขบวนต่อไป ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาสีอเมธิสต์คู่นั้นกำลังจับจ้องมาที่เธอ


“เฟรย์ ฉันรู้ว่าเธอยึดมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ แต่ว่าตอนนี้..ไปทำแผลซะ” หากไม่นับว่าเสียงนั้นอ่อนโยนมาก มันก็คือคำสั่งที่ไม่อนุญาตให้เธอได้ปฏิเสธ เมื่อชายหนุ่มตบลงมาบนบ่าของหญิงสาวเบาๆราวจะหยอกเล่น หากใบหน้าที่ก้มลงมาใกล้และกระซิบถ้อยคำนั้น ไม่ได้เจือไว้ด้วยการล้อเล่นแม้แต่น้อย “จับตัวหญิงชราคนเมื่อกี้มา คืนนี้ฉันจะสอบสวนด้วยตัวเอง”


“รับทราบค่ะ ท่านซาบีน”


คำสั่งถูกถ่ายทอดออกไปเป็นการลับ และเพราะคำสั่งที่ให้เธอไปทำแผลก่อนจึงทำให้เฟรย์ไม่อาจติดตามเจ้านายของตนไปได้ในทันที เธอจำต้องฝากให้รองหัวหน้าหน่วยเป็นผู้คุ้มกันท่านซาบีนแทน และกว่าที่หญิงชรานางนั้นจะถูกจับตัว และเฟรย์เดินทางมาถึงห้องพักของผู้ติดตามที่อยู่ติดกับห้องประชุมสภาขุนนางก็เป็นเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงให้หลัง


ภายในห้องพักด้านข้างที่มีไว้สำหรับให้นายทหารระดับสูงรอคอยผู้เป็นนายที่กำลังประชุมเป็นการลับอยู่ในสภาขุนนาง ตามปกติแล้วห้องนี้มักจะเต็มไปด้วยผู้คนที่มานั่งพักผ่อนตามอัธยาศัย แต่ในเวลานี้เนื่องจากการที่มันเป็นการประชุมใหญ่จึงทำให้มีนายทหารระดับสูงตัวจริงอยู่ในห้องพักนี้ จึงย่อมทำให้แทบไม่มีใครที่จะก้าวเข้ามาอยู่ในห้องเดียวกัน ยกเว้นก็แต่ผู้ที่มีตำแหน่งเทียบเท่า..


“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”


เสียงทักทายดังขึ้นแทบจะเป็นในทันทีที่เฟรย์ก้าวเข้ามาในห้อง ดวงตาคู่สีน้ำตาลเหลือบมองชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารสีน้ำเงินเข้มที่ลุกเดินเข้ามาหา ก่อนจะคว้ามือของเธอขึ้นมาดูแผลอย่างถือวิสาสะ


“ปล่อยได้แล้ว พี่คาล!”


หญิงสาวพยายามสะบัดมือให้หลุดออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แต่น่าเสียดายที่แรงผู้หญิงให้ยังไงก็ยังไม่อาจสู้แรงผู้ชายได้ มิหนำซ้ำยังเป็นแรงของผู้ชายที่เห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธจัดอีกด้วย


“นี่เธอบาดเจ็บอีกแล้วเหรอ!?”


ตามปกติแล้ว พล.ท.คาลวิน รองหัวหน้าหน่วยกองพลทหารส่วนพระองค์ มักจะเป็นคนที่มีอารมณ์เย็นอยู่เป็นนิจ ตลอดระยะเวลาสามปีที่เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้สร้างผลงานเอาไว้มากมาย ทั้งยังเป็นที่น่าเชื่อถือของเหล่าลูกน้องอีกจำนวนมาก แต่มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขาเปลี่ยนมาเป็นคนใจร้อนได้ นั่นก็คือ เรื่องของน้องสาวตัวน้อยผู้เป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งแต่เด็กคนนี้


“ก่อนจะเข้ามานี่ พี่ได้ยินข้างนอกลือกันให้แซ่ดว่ามีเหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำตระกูลตะวันตกอีกแล้ว พอพี่รู้ว่าเจ้าคนอ่อนแอนั่นยังมีชีวิตอยู่ พี่ก็รู้เลยว่าต้องเป็นเพราะเธอหาเรื่องเจ็บตัวด้วยการปกป้องมันอีก!!”


“ฉันไม่ได้หาเรื่องเจ็บตัว และท่านซาบีนก็ไม่ได้อ่อนแอด้วย!!” ด้วยความโกรธที่แทบจะทัดเทียมกัน ร่างบางสะบัดมือหลุดจากมืออีกฝ่าย ถึงแม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าหวังดีต่อเธอ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะอภัยให้กันได้กับการมาว่าร้ายเจ้านายที่เธอสาบานว่าจะภักดี “ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เป็นเหมือนพี่ชายของฉัน ฉันคงท้าดวลกับพี่ไปแล้ว!!”


คำพูดที่ไร้ความเกรงกลัว ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าหากเกิดการต่อสู้กันขึ้นแล้ว ใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายรอดชีวิตในการดวล นั่นเพราะคาลวินคือหนึ่งในคนจำนวนน้อยที่ได้ทักษะการต่อสู้ในระดับ S กล่าวกันว่าทันทีที่เขาตัดสินใจเข้าร่วมในกองพลทหารส่วนพระองค์ ชายหนุ่มก็ถูกวางตัวไว้ในตำแหน่งหัวหน้าหน่วยคนต่อไป ซึ่งเมื่อดูจากอายุที่ย่างเข้าเลขห้าสิบของหัวหน้าหน่วยคนปัจจุบันแล้ว ก็คงอีกไม่นานก่อนที่คาลวินจะได้นั่งตำแหน่งหัวหน้ากองพลทหารส่วนพระองค์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์


แต่ว่า...แม้จะเป็นชายผู้มีประวัติอันยอดเยี่ยมสักแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่ตนแอบหลงรักแล้ว ก็กลับทำได้เพียงแค่สะบัดมืออย่างหงุดหงิดเท่านั้น


“ตอนนั้นพี่น่าจะขัดขวางไม่ให้เธอเข้าหน่วยทหารตะวันตกเสียก็ดี!” ร่างสูงเดินวนไปมาด้วยความโกรธ ในโลกนี้นอกจากเจ้าตัวเองแล้วก็คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ ว่าเพราะเหตุใดเฟรย์จึงได้ยืนกรานที่จะเข้าร่วมกับตระกูลตะวันตกมาตลอด “เธอเข้าหน่วยกองพลองครักษ์ของตระกูลตะวันตกมากว่าเจ็ดปีแล้ว แต่ตลอดเจ็ดปีมานี่เธอก็ยังค้นหาคนที่เป็นเป้าหมายของเธอไม่พบ ไม่คิดเหรอว่ามันอาจถึงเวลาแล้วที่เธอควรจะหยุดการค้นหาลงแค่นี้”


ร่างสูงหยุดเท้าลงตรงหน้าของหญิงสาวผู้ที่เขาเห็นเธอมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความทระนงที่หยุดสายตาของเขาเอาไว้ได้เสมอ และในเวลานี้ความรู้สึกนั้นก็ยังไม่เคยเปลี่ยนไป


“เชื่อพี่เถอะ เฟรย์ เธอเป็นผู้หญิงที่เก่งที่สุดที่พี่รู้จัก ถ้าหากว่าแม้แต่เธอก็ยังสอบไม่ผ่านระดับ S แล้ว พี่ก็ไม่เชื่อว่าจะมีผู้หญิงคนไหนที่จะสอบผ่านระดับ S ได้อีก” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความจริงจัง ความเชื่อมั่นอย่างแท้จริง “...เรื่องของผู้หญิงคนนั้นน่ะมันเป็นเรื่องโกหก....”


“ไม่ใช่เรื่องโกหก”


แม้จะขมขื่นหากเฟรย์ก็จำต้องพูดประโยคนี้ออกมา จริงอยู่ว่ามันอาจง่ายกว่าที่จะเชื่ออย่างที่คาลวินบอก แต่ว่าหลังจากเข้าร่วมในตระกูลตะวันตกเป็นต้นมา สิ่งหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้ก็คือ แม้จะเป็นผู้นำของตระกูลตะวันตกก็ไม่อาจแก้ไขข้อมูลในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ได้!


ย้อนกลับไปหลายปีก่อน หลังจากค่ำคืนที่ตื่นตาตื่นใจในวันนั้น เฟรย์ก็ได้ทุ่มความพยายามในการฝึกซ้อมเพื่อจะได้ระดับ S อันเป็นเหมือนใบผ่านทางสำหรับการได้พบกับพวกเขาอีกครั้งมาไว้ในมือ เธอฝึกซ้อม เธอทุ่มเท เธอตั้งใจ แต่สุดท้ายแล้ว...เธอก็ไม่เคยทำได้สำเร็จ


“เสร็จสิ้นการสอบวัดระดับ ระดับที่ได้ A”


ยังคงเป็นประโยคเดิมๆที่หลอกหลอนอยู่ในความทรงจำ หลายต่อหลายครั้งที่เพียรพยายามโดยไม่ย่อท้อ หากทุกครั้งผลลัพธ์ที่ได้ก็บอกชัดว่าตัวเธอเองก็เป็นเหมือนผู้คนที่เธอเคยปรามาส เธอเองก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจข้ามผ่านเพื่อก้าวไปถึงระดับสูงสุดได้


...อัจฉริยะ..มันก็แค่นี้เอง...


ถ้อยคำที่ถูกซุบซิบกันลับหลัง สายตาชื่นชมที่เปลี่ยนแปลงเป็นความเวทนา เหนืออื่นใดสิ่งที่เฟรย์ยากจะยอมรับได้ที่สุด นั่นก็คือการที่ในฐานข้อมูลของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เปิดเผยให้ประชาชนได้เข้าถึง โดยสามารถเห็นถึงสถิติของจำนวนคนที่สอบได้ระดับต่างๆแยกตามเพศและอายุนั้น กลับมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ระดับ S ในด้านทักษะการต่อสู้!?


นั่นกลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกพูดถึงกันในวงกว้าง แต่สุดท้ายก็ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนออกมายอมรับว่าใช่ มีเพียงข่าวลือว่าตระกูลตะวันตกได้ยื่นมือเข้ามาจัดการในเรื่องนี้ทันทีที่ผลสอบทักษะเป็นที่รู้ไปทั่ว ด้วยการรับผู้หญิงคนนั้นเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลตะวันตก


และเพราะเหตุนั้นเอง..เฟรย์จึงได้ตัดสินใจที่จะเข้ากองพลทหารของตระกูลตะวันตก เธอต้องการจะเห็นคนที่เอาชนะเธอได้ เธอต้องการจะเห็นคนที่ได้มาในสิ่งที่เธอไม่อาจทำได้ และบางทีด้วยความทระนงในศักดิ์ศรีที่ถูกเพาะบ่มตั้งแต่เด็ก..เธอก็คงอยากที่จะลองสู้กับผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เหนือกว่าเธอ..


“ฐานข้อมูลของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ไม่มีทางถูกแฮคโดยบุคคลภายนอก และบุคคลภายในก็ไม่มีทางที่จะทำแบบนั้น ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าข้อมูลในนั้นมันเกี่ยวพันในระดับวงกว้างแค่ไหน มันไม่คุ้มตั้งแต่แรกที่จะเล่นสนุกด้วยการเพิ่มข้อมูลของผู้หญิงคนหนึ่งลงไป แล้วเสี่ยงกับการที่ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งเมืองหลวงต้องเสียหาย”


ร่างบางเอ่ยในสิ่งที่เธอได้รับรู้มาด้วยตนเอง หลังจากที่ราชอาณาจักรเอเวอเรียเริ่มมีการพัฒนาทางเทคโนโลยีมากขึ้น สิ่งแรกที่ถูกนำมาใช้ก็คือซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่กลายเป็นฐานข้อมูลของประชาชนไม่ใช่แค่เพียงในเมืองหลวง หากรวมถึงทั้งราชอาณาจักร นอกจากนี้ระบบต่างๆที่มีทั่วเมืองตั้งแต่ด้านสาธารณูปโภคไปจนถึงเศรษฐกิจก็ยังเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลหลัก ด้วยเหตุนั้นเอง มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครแก้ไขข้อมูลเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตระกูลตะวันตกหรือตะวันออกก็ตาม


“ก็จริงอย่างที่พี่ว่าว่าฉันยังหาตัวผู้หญิงคนนั้นไม่เจอ แต่ว่า..ก็ใช่จะไม่มีเบาะแสเลย” เฟรย์นิ่งไปเล็กน้อย เบาะแสที่ว่านั้นไม่มีหลักฐานใดๆมารองรับ มีก็เพียงแค่สัญชาตญาณของเธอเท่านั้น “บางที..ข่าวที่ว่าตระกูลตะวันตกรับผู้หญิงคนนั้นเข้าตระกูลอาจเป็นเรื่องลวง ที่จริงเธอคนนั้นอาจเป็นคนตระกูลตะวันตกตั้งแต่แรกอยู่แล้วก็ได้...”


คาลขมวดคิ้ว “เธอคงไม่ได้หมายถึง ท่านหญิงซีเนีย หรอกนะ?”


“ตอนนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะใช่ที่สุดแล้ว”


เฟรย์เม้มปากน้อยๆ ตั้งแต่เธอเข้ากองพลองครักษ์ของตระกูลตะวันตกก็ผ่านมา 7 ปีแล้ว หากยิ่งอยู่ในกองพลนานเท่าไหร่ เธอกลับพบว่าตระกูลยิ่งมีความลับมากกว่าที่เธอทราบ และนามของ ‘ซีเนีย’ ก็เป็นความลับกึ่งเปิดเผยกึ่งซ่อนเร้นของตระกูลตะวันตก


‘ท่านหญิงซีเนีย’ คือชื่อของน้องสาวเพียงคนเดียวของผู้นำตระกูลตะวันตก ลือกันว่าสาวน้อยคนนี้คลอดก่อนกำหนดถึงสามเดือน ทำให้ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด และแม้จะมีชีวิตรอดผ่านวัยเด็กมาได้หากก็ต้องแลกด้วยการใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตในการนอนพักฟื้นอยู่บนเตียง จนถึงวันนี้คนที่เคยเห็นท่านซีเนียมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แม้แต่ผู้ที่เป็นถึงหัวหน้าหน่วยองครักษ์อย่างเฟรย์ก็ยังไม่เคยได้พบกับหญิงสาวผู้สูงศักดิ์คนนี้เลยสักครั้ง


’น่าเสียดายที่ซีเนียไม่ค่อยชอบพบคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่’ ซาบีนเคยพูดถึงน้องสาวให้ฟังในครั้งหนึ่ง ‘เด็กคนนั้นน่ะเล่นเปียโนเก่งมากเลย มันน่าเสียดายที่คนได้เห็นพรสวรรค์ของซีเนียกลับมีน้อยเหลือเกิน’


เรื่องเดียวที่คนทั่วไปรู้เกี่ยวกับเด็กสาวคนนั้นมีเพียงการที่เธอได้ทักษะทางด้านเปียโนในระดับ S แต่ก็อย่างที่ซาบีนพูดไว้ นั่นก็คือคนที่เคยได้ฟังเสียงอันไพเราะนั่น..ในเวลานี้อาจมีเพียงแค่พี่ชายทั้งสองเท่านั้น


“ทุกคนต่างรู้ว่าท่านหญิงซีเนียร่างกายอ่อนแอ แต่ถ้าหากว่านี่เป็นข่าวลวงล่ะก็..แสดงว่าตระกูลตะวันตกก็จะมีไพ่ตายอันร้ายกาจอยู่ในมือ..ไพ่ที่จะไม่มีใครสงสัยเลยด้วย”


“ก็อาจใช่หรืออาจจะไม่” คาลวินไม่กล้าสรุปว่ามันเป็นไปได้หรือไม่โดยสิ้นเชิง จริงอยู่ว่าการปล่อยข่าวเพื่อหลอกลวงคนทั้งราชอาณาจักรฟังดูเป็นสิ่งที่น่าอับอาย ทว่าเขาก็คลุกคลีอยู่ในวงการทหารมานานพอที่จะรู้ว่าเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจและความได้เปรียบแล้ว..ก็ไม่จำเป็นต้องมีความชอบธรรมแต่อย่างใด “ถ้าเกิดว่าใช่ขึ้นมางั้นเธอก็เลิกคิดเรื่องที่จะท้าสู้ด้วยได้เลย ตระกูลตะวันตกไม่มีทางยอมให้ท่านหญิงของพวกเขามาสู้กับหัวหน้าหน่วยองครักษ์อย่างเธอแน่”


ชายหนุ่มเบือนสายตากลับมาที่ผ้าพันแผลบนมือของเฟรย์อีกครั้งอย่างไม่สบอารมณ์นัก


“ตอนนี้ที่พี่เป็นห่วงที่สุดไม่ใช่เรื่องที่เธออยากสู้กับใคร แต่เป็นเรื่องที่เธอเป็นองครักษ์ประจำตัวของไอ้หมอนั่น” น้ำเสียงยามเอ่ยถึงชายคนนั้นเต็มไปด้วยความชิงชัง “ใครๆก็รู้ว่ามันเกลียดการต่อสู้แค่ไหน แถมยังท่าทางอ่อนแอ วันๆเอาแต่พูดถึงศิลปะกับดนตรีแบบนั้น ก็สมควรแล้วที่พวกนักฆ่าจะพุ่งเป้าไปที่มันเป็นคนแรก...และถ้าเธอยังคงอยู่ข้างกายมันต่อไป พี่กลัวว่าเธออาจจะ...”


“ฉันไม่เป็นไรหรอก พี่คาล”


เฟรย์ตัดบท หญิงสาวเลือกที่จะไม่พูดออกมาว่าถึงซาบีนจะย้ำอยู่บ่อยๆว่าไม่ชอบการต่อสู้ แต่เพียงครั้งเดียวที่เธอได้เห็นซาบีนจำต้องต่อสู้นั้น มันก็ทำให้เธอรู้ว่า บางครั้งการชอบหรือไม่ชอบก็ไม่ได้เกี่ยวข้องเลยสักนิดกับฝีมือ จริงอยู่ว่าซาบีนอาจจะเกลียดการต่อสู้ แต่เฟรย์ก็เชื่อว่าฝีมือที่แท้จริงของซาบีนน่าจะอยู่ในระดับ S เช่นเดียวกับผู้นำตระกูลคนอื่นๆ และบางที..ภาพพจน์ที่ดูอ่อนแอนั้นก็อาจจะเป็นสิ่งที่ท่านซาบีนจงใจสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้คนตายใจนั่นเอง...


“พี่เป็นห่วงเธอนะ เฟรย์” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความกังวล กี่ครั้งแล้วที่เขาได้ยินข่าวว่าเธอคนนี้บาดเจ็บ กี่ครั้งแล้วที่เขาได้เห็นผู้หญิงคนเดียวที่เขารักปกป้องผู้เป็นนายด้วยชีวิต “...เธอกำลังถูกหมอนั่นหลอกใช้เป็นโล่ เธอน่ะ....”


“หมอนั่นที่ว่าหมายถึงน้องชายของฉันอย่างนั้นรึ นายพลคาลวิน?”


เสียงของใครคนหนึ่งทะลุขึ้นมากลางปล้อง ให้คนสองคนที่ยืนสนทนากันในระยะใกล้ถึงกับผงะออกห่าง ดวงตาสองคู่หันไปจ้องมองชายหนุ่มผมสีดำผู้เดินเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้ วงหน้าคมคายเรียบเฉย ไร้รอยยิ้มบนริมฝีปาก ร่างสูงเพียงยืนรอคำตอบ พลางมองมาด้วยดวงตาสีเขียวที่เย็นชาคู่นั้น


“ฯพณฯเซเรีย ขออภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับครับ”


คาลวินยกมือขึ้นทำความเคารพแก่ผู้มีศักดิ์สูงกว่า เช่นเดียวกับเฟรย์ที่ก้มศีรษะลงให้แก่นายเหนือของตน


“ท่านเซเรีย..”


ดวงตาสีหยกคล้ายจะอ่อนแสงลงนิดหนึ่งยามเมื่อมองร่างบางตรงหน้า กระนั้นความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาในดวงตาเพียงชั่วขณะก็ผ่านพ้น กลับคืนสู่ความเย็นชาดังเช่นบุรุษผู้ทรงอำนาจคนหนึ่งจะพึงมี


“ไม่คิดจะตอบคำถามของฉันอย่างนั้นรึ นายพลคาลวิน?”


เสียงนุ่มทุ้มสร้างแรงกดดันลงมาบนตัวของรองหัวหน้ากองพลทหารส่วนพระองค์อย่างเงียบๆ คาลวินยังคงเลือกที่จะก้มหน้านิ่ง..ไม่มีความจำเป็นต้องแก้ตัวเนื่องด้วยอีกฝ่ายย่อมได้ยินแต่แรกแล้วว่าเขาหมายความถึงใคร และต่อให้แก้ตัวได้..คนที่เถรตรงอย่างเขาก็ไม่คิดจะกลับคำพูดเช่นกัน


“ซาบีนเป็นน้องชายของฉัน และไม่ว่าเขาจะทำตัวเช่นไร เขาก็ยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำของตระกูลตะวันตก” เสียงทุ้มเจือไว้ด้วยความผยอง มันเป็นเฉกเช่นทุกครั้งกับความทระนงในศักติแห่งตน “..อย่าให้มีครั้งหน้าอีก ไม่อย่างนั้นบางทีตำแหน่งรองหัวหน้าหน่วยกองพลส่วนพระองค์อาจจะต้องเปลี่ยนคนใหม่เร็วๆนี้”


ไม่ใช่คำขู่ แต่นั่นคือความเป็นจริงอันน่าชิงชัง แม้ว่าคาลวินจะก้าวขึ้นมาถึงตำแหน่งรองหัวหน้าหน่วยด้วยอายุเพียงแค่ 23 แต่ว่าถึงจะมีความเก่งกาจหรือทักษะใดๆมากกว่านี้อีกหลายเท่าก็ยังไม่อาจเทียบเทียมกับอำนาจของตระกูลตะวันตก


และนั่นก็คือสิ่งที่ชายหนุ่มย่อมรู้ดี และก็เพราะรู้จึงทำได้เพียงเงียบงัน ซ่อนความชิงชังไว้เบื้องหลังความนบนอบที่แสดงออกมา แม้ว่าลึกลงไปแล้วมันก็ยากนักที่จะไม่นึกยำเกรงต่อชายผู้อยู่บนจุดสูงสุดของตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุดแห่งเอเวอเรีย...


เซเรีย แห่งตระกูลตะวันตก ผู้เป็นที่เลื่องชื่อทั้งในด้านทักษะการต่อสู้และด้านเทคโนโลยี...ผู้ชายที่คู่ควรแล้วแก่คำว่าผู้นำ!!


“การประชุมหยุดพักชั่วครู่อย่างนั้นหรือคะ ท่านเซเรีย จะให้ข้ารินน้ำชาให้สักถ้วยมั้ยคะ??”


เสียงหวานช่วยทำลายความอึดอัดภายในห้องไปไม่มากก็น้อย แม้ว่าความเย็นชาจะยังคงอวลอายอยู่ในบรรยากาศ กระนั้นรอยยิ้มละมุนก็กลับคืนสู่ในดวงตาคู่สีหยกอีกครั้ง


“สักถ้วยก็ได้”


ร่างสูงตอบพลางเบือนสายตาไปยังประตูห้องที่เปิดค้างอยู่ จริงอยู่ว่าอาจจะไม่มีใครกล้าชะโงกหน้าเข้ามาดูตรงๆ แต่ก็มีหรือที่เขาจะไม่รู้ถึงสายตาที่ลอบมุงดูจากเหล่าทหารองครักษ์ที่ยืนแวดล้อมอยู่นอกห้อง มันเห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นทหารจากตระกูลตะวันตกหรือจากส่วนกลางก็แล้วแล้วแต่อยากรู้อยากเห็นถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนี้ทั้งสิ้น


“ที่นี่คึกคักดีนะ” ถุงมือคู่สีดำรับถ้วยน้ำชามายกขึ้นจิบน้อยๆ “อย่างน้อยก็แก้เบื่อสำหรับการรอไปได้มากทีเดียว”


“เกิดอะไรขึ้นในห้องประชุมอย่างนั้นหรือครับ?”


คาลวินจำต้องถามตามหน้าที่ของทหารจากส่วนกลางที่รับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของสภาขุนนางโดยตรง ซึ่งหลายครั้งที่การประชุมมักจะยืดเยื้อไปนานกว่าที่เคยกำหนดเวลาไว้ แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้นำตระกูลตะวันตกต้องเอ่ยคำว่า’รอ’ ออกมา


“ไม่มีปัญหาอะไรหรอก” ตอบพลางวางถ้วยชาลงกับโต๊ะข้างกาย “ก็แค่...”


“ก็แค่ต้องรอคนมาสายเท่านั้นเอง”


คำตอบกลับดังมาจากทางประตูห้อง เรียกสายตาของคาลวินและเฟรย์ให้หันไปมองพร้อมกัน เพียงเพื่อจะได้เห็นร่างสูงของบุรุษในชุดดำที่ยืนอยู่ที่กรอบประตูด้วยสีหน้าเฉยชา ดวงตาคู่นั้นไม่เหลือบมองใครอื่น นอกจากเพียงร่างที่เป็นเหมือนเงาสะท้อนของตนเองนั่น..เงาที่เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่ดวงตาสีหยกคู่นั้น...


“แกล้งคนเล่นอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ ซาบีน?”


“ท่าน..ซาบีน..?”


คาลวินทวนคำก่อนจะตวัดสายตากลับมายังร่างที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ วงหน้าคมคายยังคงแกล้งทำเหมือนไม่เข้าใจในคำพูดอีกฝ่าย แต่เมื่อต้องตกอยู่ท่ามกลางสายตาสามคู่ที่จับจ้องมองมานั้น มันก็ยากเหลือเกินที่จะไม่หลุดหัวเราะขำ


“ฮะฮะ ก็แค่หยอกเล่นนิดหน่อยเท่านั้นเองน่า เซเรีย”


ท่าทางอันสูงศักดิ์กับความทรงอำนาจที่แฝงอยู่ถูกทำให้เลือนหายไปภายใต้เสียงหัวเราะอย่างขบขัน ชายหนุ่มมองตอบสีหน้ายิ้มน้อยๆของผู้พี่ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้แก่คนสนิทของตนที่ไม่มีท่าทางแปลกใจสักเท่าไหร่นัก


“เธอเองก็รู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะว่าฉันไม่ใช่เซเรีย..”


“ก็พอจะเดาได้บ้างค่ะ” เฟรย์ตอบ “ถึงท่านเซเรียกับท่านซาบีนจะเหมือนกันมาก แถมท่านซาบีนยังใส่คอนแทคเลนส์สีเดียวกันอีก แต่ว่า..ก็มีบางอย่างที่ไม่เหมือนกันค่ะ"


..อย่างเช่นความรู้สึกที่ปรากฏอยู่ในดวงตาคู่นั้น..ทุกครั้งที่ท่านซาบีนมองมายังเธอ โดยที่คิดว่าเธอไม่เห็น...เพียงแค่นั้นก็อบอุ่นใจเหลือเกินแล้ว


ร่างบางก้มหน้าลงซ่อนใบหน้าที่แดงระเรื่อไว้ นี่คือความลับที่เฟรย์จะไม่มีวันบอกแก่ใคร ว่าถึงจะไม่สามารถหาตัวผู้หญิงที่เธอถือว่าเป็นคู่ต่อสู้คนนั้นพบ แต่เธอก็คงไม่มีวันจะไปจากตระกูลตะวันตกได้..ไม่มีทางจะจากไปในสถานที่ที่ไม่อาจมองเห็นดวงตาที่อ่อนโยนและรอยยิ้มที่อบอุ่นนี้อีก


น่าเสียดายที่คาลวินไม่ทันได้สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนไปของหญิงสาว เมื่อชายหนุ่มผู้ยังคงยืนตรงอยู่ด้านข้าง ทำได้เพียงแค่ลอบกำมือแน่น ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองจำต้องก้มลงมองเท้าของตน ไม่ใช่กับเป้าหมายที่ยังคงนั่งจิบชาพลางหัวเราะพูดคุยกับพี่ชาย ทั้งที่เพิ่งทำเรื่องอย่างการหลอกลวงให้เขาต้องขายหน้ามา


...ก็เพราะอย่างนี้ฉันถึงได้เกลียดคู่แฝดที่สุด..!!


ความในใจที่พ้องกันกับความคิดของหลายคน จริงอยู่ว่าในสายตาของประชาชน คู่แฝดแห่งตะวันออกและตะวันตกอาจเป็นที่กล่าวขานถึงความรูปงามและความสามารถอันยอดเยี่ยมในด้านต่างๆ แต่ว่ากับผู้คนที่จำต้องพบปะพูดคุยดังเช่นคนในสภาขุนนางหรือทหารจากกองพลส่วนพระองค์แล้ว คู่แฝดทั้งสองคู่นั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรจากการจำแลงกายมาจากขุมนรก!


เริ่มแรกเลยคือคู่แฝดจากตระกูลตะวันตก สีสันของดวงตาที่แตกต่างกันทำให้การสลับตัวกันยิ่งกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น นั่นเพราะคนโง่ย่อมคิดว่าขอเพียงแค่อีกฝ่ายมีดวงตาสีเขียวก็ย่อมเป็นเซเรีย และหากอีกฝ่ายมีดวงตาสีม่วงแล้วก็ย่อมต้องเป็นซาบีน แต่ก็เพราะในโลกนี้ดันมีสิ่งประดิษฐ์ที่ไร้สาระอย่างคอนแทคเลนส์อยู่ จึงทำให้พวกเขาสลับตัวกันได้อย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะซาบีนที่ขึ้นชื่อเรื่องการชอบแกล้งผู้คนด้วยการทำให้อายจากการจำคู่แฝดผิดตัว แต่ถึงจะรู้เรื่องนี้ ถึงจะเคยมีประสบการณ์จากการถูกหลอกมาแล้ว แต่ว่าการเลียนแบบท่วงท่าที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วนั่น มันก็ทำให้ต้องถูกหลอกใหม่อีกครั้งอยู่ดี


ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับในกรณีฝาแฝดแห่งตระกูลตะวันออกซึ่งเป็นแฝดแท้แล้ว เรื่องนี้ก็ยิ่งเลวร้ายกว่าเดิมมาก...


“นึกไม่ถึงเลยว่าเดี๋ยวนี้สภาขุนนางจะย้ายที่ประชุมมาอยู่ในห้องพักผู้ติดตามแทนเสียแล้ว”


อีกครั้งกับเสียงนุ่มทุ้มที่ดังมาจากทิศทางของประตูห้อง หากในครั้งนี้เฟรย์กลับรีบถอยไปยืนอยู่ด้านหลังผู้เป็นนาย เช่นเดียวกับที่คาลวินก็ก้าวหลบไปด้านข้างเปิดทางให้ผู้มาใหม่ก้าวเข้ามา


“ไง คุณชายสายเสมอ..”


หนึ่งในคู่แฝดที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้เอ่ยทักทายตัวการที่ทำให้พวกเขาต้องรอด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทั้งที่วันนี้มีการประชุมในประเด็นสำคัญ แต่บุคคลสำคัญสองคนที่ควรมาปรากฏตัวกลับไม่อยู่ในที่ประชุม ดังนั้นเองทุกคนจึงได้แต่รอ ดังเช่นที่คู่แฝดแห่งตระกูลตะวันตกก็ทำได้แค่รอ


เมื่อดวงตาสีหยกสองคู่มองชายหนุ่มในชุดสีขาวสะอาดขลิบริมด้วยไหมทองคำผู้ก้าวเข้ามาในห้อง วงหน้าที่หล่อเหลาจนเกือบจะเรียกได้ว่างดงามไม่แสดงออกซึ่งความรู้สึกใด ยกเว้นก็แต่ในดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้นที่มันกลับเจือไว้ซึ่งความระอาอยู่ลึกๆ


“ว่าผิดคนแล้ว คนที่สายตัวจริงอยู่นั่นต่างหาก”


มือที่สวมทับไว้ด้วยถุงมือคู่สีขาวอีกชั้นชี้ไปยังด้านหลัง ที่ชายหนุ่มผมสีทองอีกคนกำลังเดินตามเข้ามา ดวงตาสีน้ำทะเลที่เจือด้วยความขบขันเหลือบมองคู่แฝดที่โยนความผิดมาให้ตนเองแวบหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาไปยังชายหนุ่มอีกสองคนในห้อง


“จะมาว่าเป็นความผิดของฉันซะทีเดียวก็ไม่ถูกนะ” ในคำโต้แย้ง ร่างสูงก้าวออกมาจากด้านหลังของผู้เป็นน้องชาย เผยให้เห็นชุดเครื่องแบบสีขาวขลิบริมด้วยเส้นไหมสีทองคำเช่นเดียวกัน หากจะมีต่างก็เป็นที่เนื้อผ้าที่ควรเป็นสีขาวสะอาดนั้น เวลานี้กลับมีรอยเลือดสีแดงสดเปรอะเปื้อนอยู่แถบหนึ่ง “ควรต้องบอกว่าเป็นความผิดของตระกูลวันตกครึ่งหนึ่งที่ดูแลความปลอดภัยด้านระบบขนส่งไม่ดีพอ..”


ชายหนุ่มเท้าความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อน ทันทีที่เขาก้าวเท้าลงจากยานเหาะที่เพิ่งมาจอดที่ท่าอากาศยานนั้น บริเวณที่ควรมีเฉพาะผู้โดยสารก็กลับเต็มไปด้วยผู้คนที่ปิดหน้าปิดตาพร้อมด้วยอาวุธร้ายเต็มสองมือเสียแทน


“ช่างน่าสงสารคนโง่ที่หาเรื่องเสียกำลังคนไปโดยใช่เหตุเสียจริง”


เซเรียกวาดตามองรอยเลือดที่เปรอะเปื้อนชุดสีขาวของคนตรงหน้า และยังถุงมือสีขาวที่ชุ่มไปด้วยเลือดนั่นอีก แล้วชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าสมควรพัฒนาการศึกษาของประชากรให้ดีกว่านี้หรือไม่ เผื่อบางทีจะได้หายโง่พอที่จะเลิกคิดมาลอบสังหารผู้ชายที่เป็นเสมือนสัตว์ร้ายคนนี้


“ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้วแทนที่จะบอกว่าเป็นความผิดของพวกฉัน สู้บอกว่าเป็นเพราะนายไม่ยอมทำตามมาตรการรักษาความปลอดภัยไม่ดีกว่ารึไง?” เมื่อแฝดคนพี่ทำท่าปลง แฝดคนน้องย่อมพูดต่อให้ด้วยคำเสียดสี “มีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะที่รู้ทั้งรู้ว่าอาจจะถูกลอบสังหารเอาได้ แต่ก็ยังจะเดินทางร่วมกับผู้โดยสารอื่นๆ แทนที่จะใช้ยานเหาะส่วนตัวอีก”


มันเป็นคำว่าต่อคนที่มีหน้าที่ในการออกไปเชื่อมความสัมพันธ์กับเมืองเพื่อนบ้านอยู่บ่อยๆ อีกทั้งด้วยนิสัยชีพจรลงเท้าจึงทำให้น้อยครั้งที่เขาคนนี้จะกลับมายังราชอาณาจักรเอเวอเรียอันเป็นบ้านเกิด วันเวลาส่วนมากของคนผู้นี้ฟังว่ามักเป็นการเดินทางผ่านทางยานเหาะอันเป็นเทคโนโลยีชนิดใหม่ที่เพิ่งถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย อันจะช่วยร่นระยะเวลาในการเดินทางลงได้กว่า 90%


และแน่ล่ะว่าในฐานะของผู้นำตระกูลตะวันออก ย่อมมีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะครอบครองยานเหาะส่วนตัว ไม่ใช่แค่หนึ่งลำแต่อาจเป็นสิบหรือยี่สิบลำก็ตามแต่ปรารถนา หรือแม้แต่บริเวณสำหรับจอดยานเหาะในท่าอากาศยานก็สามารถเช่าสถานที่การเป็นส่วนตัวเพื่อเพิ่มความปลอดภัยได้ แต่คนคนนี้ก็กลับเลือกที่จะเดินทางไปมาโดยใช้ยานเหาะที่ปะปนไปด้วยคนธรรมดาเสียแทน


ชายหนุ่มผมทองทำหน้าคิดตามคำต่อว่าของอีกฝ่าย ก่อนจะเอียงศีรษะน้อยๆให้เรือนผมสีทองลู่ลงมาบนไหล่กว้าง


“ถ้าพูดอย่างนั้นล่ะก็..ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ก็เพิ่งมีคนโง่คนหนึ่งเกือบจะถูกลอบสังหารเหมือนกันไม่ใช่รึไง?” ไม่ใช่แค่ย้อนถามกลับ หากดวงตาคู่สีน้ำเงินกลับเหลือบมองไปยังหญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังผู้เป็นนาย แล้วรอยยิ้มละไมก็ยิ่งปรากฏชัดในดวงตา “มีเจ้านายไม่ได้เรื่องแบบนี้ ไม่คิดเสียใจบ้างรึไง เฟรย์ ถ้ายังไงไม่คิดจะลองย้ายมาอยู่กับตระกูลตะวันออกดูหรือ? ฉันจะเพิ่มเงินเดือนให้มากกว่าเดิมอีก 20% เลยนะ”


“ขอบคุณที่ชวนค่ะ ฯพณฯ เนเรียส แต่คงต้องขอปฏิเสธ” แม้ว่าบทสนทนาของเหล่าผู้ทรงอำนาจในเอเวอเรียจะถูกเบนมาถึงตัว แต่หญิงสาวก็ยังคงตอบได้อย่างฉาดฉาน “แค่นี้ก็เป็นเกียรติของดิฉันมากแล้วที่ได้รับใช้ตระกูลตะวันตก”


“ยังคงภักดีไม่เปลี่ยนเลยนะ..”


รอยยิ้มปรากฏบนมุมปากได้รูปของคนที่เพิ่งเอ่ยประโยคซื้อตัวคนสนิทของคนอื่นและยังเพิ่งถูกปฏิเสธมาหยกๆ ดวงตาคู่สีน้ำทะเลเพ่งพิศมองร่างโปร่งบางในชุดทหารเข้ารูป มันเป็นการมองอย่างจริงจัง เป็นการมองโดยไม่คิดจะปิดบังว่ากำลังมอง และกับสายตาเช่นนี้แม้ว่าเฟรย์จะเยือกเย็นได้มากกว่านี้อีกสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังคงอดรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวไม่ได้ภายใต้สายตาคู่นั้นที่มองมา


“เลิกลวนลามผู้หญิงทางสายตาได้แล้วมั้ง เจ้าโลลิค่อน..”


เสียงนุ่มเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างไม่สนใจถึงความนัยในดวงตาคู่นั้นที่จับจ้องมาที่ลูกน้องของตน แต่ชายหนุ่มกลับเลือกที่จะเบี่ยงประเด็นไปในทางขบขันเสียแทน


“คิดว่าฉันไม่รู้รึไงว่านายเล็งเฟรย์มาตั้งแต่ตอนที่เจอกันครั้งแรกที่เฟรย์เพิ่งจะอายุแค่ 8 ขวบแล้ว” เสียงหัวเราะละมุนคลอไปกับคำพูด “...อยากกินหญ้าอ่อนขนาดนั้นเลยรึไง เนเรียส?”


‘หญ้าอ่อน’ หน้าแดงก่ำ แต่คนที่ถูกเสียดสีหนักกว่าว่าเป็น ‘โคแก่’ นั้นกลับเพียงแค่ถอนสายตามาอย่างเสียดาย ดวงตาคู่สีน้ำเงินหันกลับมาจ้องเจ้าเด็กปากดีที่แกล้งทำสีหน้าเหมือนรู้เท่าทันเขา แล้วชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา


“ถ้าว่าอย่างนั้น นายที่อายุมากกว่าเฟรย์แค่ปีเดียวก็น่าจะถูกเรียกว่าหญ้าอ่อนเหมือนกันนี่ นึกไม่ถึงเลยนะว่าจะมีวันที่คนของตระกูลตะวันตกถูกเรียกว่าหญ้าอ่อนกับเขาด้วย”


สวนกันไปคนละหมัดสองหมัดอย่างไม่มีใครยอมแพ้แก่กัน มันเป็นเช่นทุกครั้งที่พวกเขาผ่านมาเจอกัน แล้วการปะทะคารมย่อยๆก็จะเกิดขึ้นทุกครั้งไป และในครั้งนี้ก็ดูว่าจะเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะ..พวกเขาต่างก็มีงานรัดตัวเกินกว่าจะเถียงกันต่อได้


“เอาเถอะ ยังไงตอนนี้ก็อยู่ครบสี่คนแล้ว” นีอัล แห่งตระกูลตะวันออก เอ่ยขัดขึ้นก่อนที่จะมีการปะทะคารมมากกว่านี้ “ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มประชุมที่นี่กันเลยมั้ย?”


‘ที่นี่’ หรือก็คือ ห้องพักผู้ติดตาม ที่มีผู้กุมอำนาจแห่งราชอาณาจักรทั้งสี่คนนั่งอยู่ในห้อง ขณะที่ผู้ติดตามตัวจริงกลับต้องถอยหลบไปยืนเบียดชิดกับผนังอยู่ด้านข้าง บรรดาทหารระดับล่างยิ่งถอยห่างออกจากห้องที่เคยเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจนี้ออกไปจนไกลสุดกู่ และแน่ล่ะว่าขณะเดียวกันบรรดาสมาชิกในสภาขุนนางก็ยังคงอยู่ในห้องประชุม


เซเรียและซาบีนหันมามองกันแวบหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องอาศัยคำพูดในการสื่อสาร แค่เพียงมองสบตาและเห็นรอยยิ้มที่ผุดพรายบนใบหน้า มันก็เพียงพอสำหรับคำตอบ


“ยังโชคดีนะที่พวกเราสี่คนบังเอิญมาเจอกันในห้องนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าบังเอิญพวกเราไปเจอกันในห้องน้ำล่ะก็..รายละเอียดการประชุมคราวนี้คงเปิดเผยออกไปให้คนนอกรู้ไม่ได้แน่ๆ”


ซาบีนว่าด้วยเสียงขบขัน ขณะที่เซเรียก็พยักหน้าน้อยๆด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นเดียวกับน้องชายฝาแฝด


“ตกลง ประชุมกันที่นี่เลยก็ดี”


มือเรียวยกขึ้นกลางอากาศ ให้จอใสขนาดเล็กพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าของชายหนุ่มผู้กำลังป้อนโค้ดข้อมูลเพื่อเชื่อมต่อการสนทนาในที่นี้เข้ากับระบบในห้องประชุม แล้วในเวลาเพียงชั่วอึดใจตรงหน้าของคู่แฝดสองคู่ต่างก็ปรากฏหน้าจอแสดงข้อมูลขนาดเล็กขึ้นคนละจอ ขณะที่ภาพรวมของภายในห้องได้ถูกถ่ายทอดผ่านกล้องวงจรปิดออกไป ฉายขึ้นบนจอขนาดใหญ่ในห้องประชุมสภาขุนนาง


ชายหนุ่มสี่คนผู้ต่างกุมอำนาจสูงสุดในราชอาณาจักรมองสบตากันแน่วนิ่ง วงหน้าคมคายต่างประดับด้วยรอยยิ้ม หากลึกลงไปในใจแล้ว..การต่อสู้ระหว่างสองตระกูลกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง


“เริ่มประชุมกันเถอะ”



- - - - TBC. - - - -



Langlae
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ต.ค. 2554, 02:43:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ต.ค. 2554, 02:43:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1396





<< บทที่ 1   
ชลวารี 7 ต.ค. 2554, 11:20:23 น.
ดีใจจัง ในที่สุดก็มาต่อแล้ว สนุกมากค่ะ อยากอ่านต่อจัง มาต่อเร็วๆ นะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account