The Authority วังวนกลรัก
แฟนตาซีการเมือง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1


“เสร็จสิ้นการสอบวัดระดับ ระดับที่ได้ A”


เสียงคอมพิวเตอร์ส่วนกลางดังขึ้นแทบจะเป็นทันทีกับที่เสียงปืนที่ดังรัวเร็วสงบลง เด็กหญิงผมสีน้ำตาลอายุประมาณ 8-9 ขวบถอดที่ครอบหูออกด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เช่นเดียวกับความเบื่อหน่ายยามเมื่อครูฝึกวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ


“สุดยอดเลย เฟรย์! เธอสอบยิงปืนผ่านระดับ A แล้ว รู้มั้ยว่าคนส่วนมากใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังมาไม่ถึงระดับนี้เลยนะ แต่เธอกลับทำได้ทั้งที่อายุแค่..”


“อายุแค่ 8 ขวบ หนูรู้แล้วไม่ต้องบอกซ้ำหรอก”


เฟรย์ซีนตัดบทอย่างเบื่อๆ เธอได้ยินได้ฟังคำพูดประเภทนี้มาตั้งแต่ที่เธอจำความได้ ตั้งแต่ที่เธอแสดงความสามารถในหลายๆด้านออกมาไม่ว่าจะเป็นการยิงปืน ขี่ม้าหรือฟันดาบ และทำให้พ่อแม่ผู้ร่ำรวยของเธอแตกตื่นดีใจสุดขีด และนับจากนั้นมาพวกเขาก็สรรหาครูฝึกมาให้เพื่อให้แน่ใจว่าพรสวรรค์นั้นจะยิ่งถูกขัดเกลาให้ดียิ่งขึ้น


“วันนี้หนูเหนื่อยแล้ว จะกลับบ้านล่ะ”


“ได้สิ เฟรย์ เดี๋ยวครูจะติดต่อให้รถม้าที่บ้านของเธอมารับนะ แล้วอย่าลืมว่าคืนนี้ก็ต้องฝึกซ้อมตามโปรแกรมด้วยล่ะ” ครูฝึกว่าทั้งรอยยิ้มที่ยังหุบไม่ลง ใจยังคงตื่นเต้นยินดีกับผลงานของลูกศิษย์คนโปรดที่จะทำให้เขาพลอยได้หน้าไปด้วย “อายุแค่ 8 ขวบก็สอบผ่านระดับ A แล้ว เธอนี่มันอัจฉริยะจริงๆ เฟรย์”
อัจฉริยะ คำที่ใครต่อใครอาจจะหวังได้ยินมันสักครั้ง แต่สำหรับเฟรย์แล้ว..เด็กหญิงกลับเบ้หน้าด้วยความเบื่อหน่ายกับคำชมเชยที่ได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน และยิ่งเบื่อกับการที่ถูกรุมล้อมด้วยคนที่ต่างก็ตีหน้ายิ้มมาเอาอกเอาใจเธอ ผู้ซึ่งเป็นที่คาดหวังว่าจะได้รับตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงในอนาคต


ด้วยแผนการศึกษาและพัฒนาบุคลากรของตระกูลตะวันตก ได้กำหนดให้ประชาชนทุกคนต้องเข้าสอบวัดระดับความสามารถในทุกด้าน โดยการสอบนั้นจะกระทำผ่านระบบเน็ตเวิร์คซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของส่วนกลางซึ่งเป็นผู้ให้คะแนน โดยระดับนั้นแบ่งออกเป็นตั้งแต่ระดับ A – F เพื่อคัดแยกความสามารถของแต่ละบุคคลและเพื่อสรรหาบุคลากรชั้นเลิศให้แก่อาณาจักร


ว่ากันว่าสำหรับผู้ที่ได้ระดับ B ขึ้นไปในความสามารถทางด้านความรู้นั้น อย่างน้อยที่สุดก็จะได้เป็นผู้ติดตามของเหล่าคนในสภาขุนนาง แต่หากได้ระดับ A แล้วมันก็คือใบเบิกทางชั้นดีสำหรับที่นั่งในสภานั่นเอง


ในทางเดียวกันหากเป็นระดับ A ทางด้านความสามารถในการต่อสู้ เขาหรือเธอคนนั้นก็จะเป็นที่คาดหวังว่าจะได้รับการบรรจุเข้ารับตำแหน่งนายทหารระดับสูงในกองพลองครักษ์ตะวันออก กองพลองครักษ์ตะวันตก หรือกองพลทหารส่วนพระองค์ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นหน่วยใดก็ล้วนแล้วแต่เป็นตำแหน่งหน้าที่อันทรงเกียรติทั้งสิ้น


เวลานี้ด้วยอายุแค่ 8 ขวบ เฟรย์สอบวัดระดับผ่านในระดับ A ทางด้านทักษะการใช้อาวุธ ระดับ B ด้านการต่อสู้ด้วยมือเปล่า และยังมีใบขับขี่ยานยนต์รวมถึงอากาศยานทุกประเภทอยู่ในมือ อนาคตในฐานะนายพลเรียกได้ว่ามั่นคงอย่างแน่นอน แต่แค่นี้ยังไม่เพียงพอสำหรับเธอ สิ่งที่เด็กหญิงต้องการไม่ใช่แค่ระดับ A ที่ง่ายแสนง่าย สิ่งที่เธอต้องการนั้นคือ ระดับ S อันเป็นระดับสูงสุดที่เล่าลือกันว่า ในปัจจุบันนี้..นอกเหนือจากคนในตระกูลตะวันออกและตะวันตกแล้ว ก็มีคนที่ได้ครอบครองทักษะในระดับนี้อีกไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ


และเฟรย์ก็มีเหตุผลเต็มที่ที่จะเชื่อมั่นว่า สักวันเธอก็จะเป็นหนึ่งในผู้ที่สามารถก้าวขึ้นไปสู่ระดับ S ได้เช่นกัน!


“อีกไม่นานหรอกน่า...”


ร่างเล็กเอ่ยเบาๆกับตัวเอง เด็กหญิงกำลังนั่งรอคนมารับอยู่บริเวณด้านหน้าของศูนย์สอบวัดระดับทักษะการใช้อาวุธ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยังคงแน่วนิ่ง ไม่สนใจเสียงปืนหรือเสียงอาวุธอื่นๆที่ดังเล็ดลอดออกมาจากห้องทดสอบใกล้ๆ เสียงเหล่านั้นมันบ่งบอกถึงทักษะที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลาของผู้เข้าทดสอบคนอื่น และไม่มีค่าอะไรที่จะให้เธอเหลือบตามอง..


“นี่ ทำอะไรอยู่เหรอ?”


เสียงใสๆที่พลันดังขึ้นมากพอจะทำให้เด็กหญิงตัวน้อยถึงกับผงะ ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองร่างเล็กๆในชุดคลุมรุ่มร่ามที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอด้วยความตกใจ ถึงเฟรย์จะอายุแค่แปดขวบแต่เธอก็คือคนที่ผ่านหลักสูตรการต่อสู้มามากมาย จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครเข้ามาอยู่ในระยะประชิดตัวได้โดยที่เธอไม่รู้สึกตัว แต่ว่า..กับการมาของคนแปลกหน้าที่ดูอายุน่าจะใกล้เคียงกันคนนี้ เธอกลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย


“เห..ตกใจเหรอ..” เสียงใสที่เอ่ยถามเจือด้วยความอบอุ่นราวกับรุ่งอรุณ แขนเล็กๆยกขึ้นเท้าคางพลางเอียงคอมองสีหน้าตกใจของเด็กผู้หญิงที่น่ารักราวกับตุ๊กตา แต่กลับมีท่าทางเครียดขรึมเสียจนตนอดถือวิสาสะเข้ามาทักไม่ได้ “ขอโทษทีนะ พอดีฉันเห็นเธอนั่งอยู่คนเดียวก็เลยเข้ามาทักน่ะ คงไม่ได้รบกวนเธอใช่มั้ย?”


เฟรย์ซีนอยากจะตอบเหลือเกินว่า ‘ใช่ เขากำลังรบกวนเธออยู่’ แต่ก่อนที่จะได้พูดออกไปอย่างที่คิด เด็กหญิงก็พบว่าเจ้าของร่างเล็กที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอนั้น แม้จะสวมใส่ชุดที่ดูรุ่มร่าม ทั้งยังมีเงาจากหมวกของเสื้อคลุมทาบทับลงมาจนไม่อาจเห็นใบหน้าได้ชัดเจน หากเพียงแค่รอยยิ้มจางๆบนริมฝีปากสีอ่อนนั้นมันก็ราวกับทำให้โลกสดใสไปด้วย


และทำให้ใจดวงน้อยๆของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน..คล้ายจะอ่อนยวบลง


“เฟรย์!!”


เสียงตะโกนเรียกดังมาจากอีกทิศทาง ดึงสายตาสองคู่ให้หันไปมองชายวัยกลางคนที่กำลังวิ่งเข้ามาหา


“ที่บ้านของเธอติดต่อมาว่าดูเหมือนรถม้าจะขัดข้องเอากลางทาง เพราะฉะนั้นคงจะมาถึงอย่างเร็วสุดก็อีกไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง ถ้ายังไงจะให้ครูพากลับไปส่งที่บ้านแทนมั้ย?”


เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองครูฝึกของตนอย่างลังเล หากเป็นเวลาปกติเฟรย์ก็คงจะทำตามที่ว่า แต่ในครั้งนี้ยังไม่ทันที่เด็กหญิงจะได้ตอบอะไรออกไป เจ้าของถุงมือสีดำคู่หนึ่งก็พลันวางมือลงบนหลังมือของเธออย่างสุภาพ


“ที่แท้ก็รอคนมารับอย่างงั้นเหรอ ฉันเองก็กำลังรอจะเข้าห้องทดสอบอยู่เหมือนกัน” ร่างที่สวมชุดคลุมสีเข้มทับลงมาบนชุดตัวในสีดำสนิทพลันลุกขึ้นยืน เผยให้เห็นร่างโปร่งที่ดูจะสูงกว่าเฟรย์อยู่เล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกระจ่างใสกว่าเดิม “ถ้าไม่รีบล่ะก็อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับฉันก่อนสิ คนเยอะขนาดนี้ท่าทางกว่าหมายเลขของฉันจะถูกเรียกเข้าห้องทดสอบก็คงอีกนานเลย”


มันเป็นครั้งแรกกับสัมผัสที่ได้รับจากเพื่อนมนุษย์ที่ไม่ใช่ญาติหรือครูฝึก สัมผัสนั้นแม้จะผ่านเนื้อผ้าของถุงมืออีกชั้นหากมันก็ยังคงอบอุ่นนัก และก็เพราะความอบอุ่น..และเพราะรอยยิ้มที่สดใสอย่างที่เฟรย์ไม่เคยมีนั่นเอง มันจึงเป็นครั้งแรกที่เด็กหญิงผู้เคยมีชีวิตที่ปิดกั้นอยู่กับการฝึกทักษะต่างๆนานา กลับรู้สึกปรารถนาที่จะได้เป็นเพื่อนกับใครสักคน


“ได้สิ”


เฟรย์ได้ยินเสียงตัวเองตอบออกไปอย่างไม่สนใจต่อสีหน้าที่เต็มไปด้วยการคัดค้านของครูฝึก มันก็ไม่แปลกอะไรที่ครูฝึกจะไม่อยากให้เธอมาสุงสิงกับเด็กคนนี้ที่เห็นได้ชัดว่าอยู่คนละระดับกับเธอโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้ารุ่มร่ามที่เหมือนไปขโมยของใครมาใส่ หรือการที่มาเข้ารับการทดสอบโดยไม่ได้รับสิทธิพิเศษด้วยการจองคิวก่อนล่วงหน้า แต่ว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่มีใครสักคนยื่นมือมาหาเธออย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ได้คาดหวังถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากเธอในอนาคต


“...ยังไงฉันก็ต้องรอคนมารับอีกร่วมครึ่งชั่วโมงอยู่แล้ว”


“เยี่ยมเลย! ถ้างั้นพวกเราออกไปเล่นไล่จับกันข้างนอกมั้ย ในนี้อึดอัดออกจะตาย..”


โดยไม่รอฟังคำตอบ มือที่จับมือของเฟรย์ซีนไว้ก็ฉุดดึงเด็กหญิงให้วิ่งตามออกไปด้วยแรงที่ดูจะมากผิดจากรูปร่างที่สูงกว่าเธอเพียงแค่เล็กน้อยนั่น พวกเขาวิ่งออกมาทางด้านหลังของศูนย์ทดสอบ เวลานั้นฟ้ามืดลงแล้ว ทั้งยังเป็นคืนที่ไร้ดาวหรือแสงจันทร์ แสงสว่างมีเพียงสลัวๆจากหลอดไฟที่ตั้งอยู่ห่างออกไป

ทว่า..อาจเพราะความเป็นเด็ก หรือเพราะนิสัยรักการผจญภัยที่เฟรย์ซีนไม่รู้ว่าตนเคยมีอยู่ จึงทำให้พวกเธอกลับวิ่งเล่นในทิศทางที่ห่างออกจากแสงสว่างไปเรื่อยๆ


“ระ..รอเดี๋ยวสิ..”


หลังจากผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมง เฟรย์ก็ยอมแพ้..ร่างเล็กหยุดยืนนิ่งพร้อมด้วยลมหายใจหอบสั่น เธอไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาวิ่งเล่นไล่จับกันท่ามกลางพงหญ้าที่สูงจนแทบจะท่วมหัวนี่ แต่บางทีมันก็คงจะเกินขีดจำกัดของเธอแล้ว


“...นายไม่เหนื่อยบ้างรึไง?”


เด็กหญิงมองเพื่อนใหม่ผู้เดินกลับมาหาด้วยย่างก้าวสบายๆกับลมหายใจที่ยังคงเป็นปกติด้วยความรู้สึกที่เกือบจะเป็นขุ่นขวาง คนคนนี้นอกจากไม่มีท่าทางว่าจะเหนื่อยแล้ว มันยังเหมือนกับว่าเขาแค่เพิ่งออกกำลังกายเบาๆหลังอาหารด้วยซ้ำไป


“หืมม์? ก็...นิดหน่อยล่ะมั้ง” คำตอบรับอย่างไม่ใส่ใจนัก เมื่อเท้าก้าวมาหยุดอยู่ข้างกายของเด็กหญิง ก่อนที่มือที่สวมถุงมือทับอีกชั้นหนึ่งจะยื่นมาให้ “มาสิ เหนื่อยไม่ใช่เหรอ?”


เฟรย์มองมือนั้นอย่างลังเลอยู่ชั่วอึดใจ เธอไม่ชอบที่จะแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น การแสดงความอ่อนแอออกมามักให้ความรู้สึกเสมือนว่าพ่ายแพ้ แต่ว่า..กับมือนี้ที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจถึงเพียงนี้ เธอก็พบว่าตนเองกลับยอมวางมือลงบนมือข้างนั้น เพื่อให้เด็กผู้ชายที่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอช่วยพยุงให้ก้าวต่อไป


“วันนี้เฟรย์มาทดสอบทักษะอาวุธชนิดไหนเหรอ?”


ท่ามกลางเสียงลมพัดหวีดหวิว เด็กสองคนกำลังเดินกลับไปยังทิศทางที่ตั้งของศูนย์ทดสอบ ในตอนแรกที่ผ่านมาพวกเขาต่างก็สนุกสนานกับการวิ่งไล่กันจนไม่ทันได้สนใจอะไร หากในครั้งนี้กลับเป็นการเดินช้าๆเพื่อให้คลายความเหนื่อยล้าลงบ้าง


“อาวุธปืน” เฟรย์ยอมตอบหลังจากนิ่งคิดไปเล็กน้อย


“ปืนเนี่ยนะ!? อาวุธที่ทั้งอันตรายทั้งหนวกหูแบบนั้นเนี่ยนะ” เด็กชายทำหน้าเบ้พลางโบกไม้โบกมือประกอบท่าทาง “เฟรย์ชอบแบบนั้นเหรอ? อย่างฉันเนี่ย..ถ้าไม่ใช่เพราะถูกที่บ้านบังคับ ไม่มีทางมาเข้าทดสอบทักษะด้านปืนเด็ดขาดเลย”


“ไม่เกี่ยวกับว่าชอบหรือไม่ชอบหรอก มันแค่เป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อยกระดับตัวเองต่างหาก” เด็กหญิงเอ่ยเสียงเรียบ นั่นคือสิ่งที่เธอถูกสั่งสอนตลอดมา..การขัดเกลาพรสวรรค์ในด้านการต่อสู้ของตน เพื่อยกระดับตัวเองให้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุด “ปืนน่ะไม่อันตรายหรอกถ้ารู้จักใช้ให้เป็น ยังไงนายก็เป็นผู้ชาย ก็ควรหัดเอาไว้บ้างสิ”


“เหอะ! ของที่ไม่ชอบมันก็คือไม่ชอบนี่นา” เพื่อนใหม่ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างล้อเลียน “ถ้าให้เลือกระหว่างยิงปืนกับนอนอ่านหนังสืออยู่บ้านล่ะก็ ไงๆฉันก็เลือกนอน....”


ทันใดนั้นเองเสียงที่เคยช่างเจรจาก็พลันหยุดลง เท้าที่เคยขยับก้าวรวดเร็วกลับชะงักค้างอยู่กับที่ เฟรย์รับรู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นของเพื่อนใหม่อย่างรวดเร็ว เด็กหญิงรีบก้าวเท้าเข้าไปหาด้วยความสงสัย ทว่าก่อนที่ตัวเธอจะได้ก้าวล้ำหน้าเพื่อนไปอีกก้าว ก็กลับมีอันถูกหยุดลงด้วยแขนที่ยื่นออกมากันไว้


“อย่าขยับ”


เสียงที่เคยเต็มไปด้วยความสดใส เวลานี้กลับเจือไว้ด้วยความกังวลเล็กน้อย ดวงตาที่ถูกบดบังภายใต้เงาของเสื้อคลุมจับจ้องไปยังทิศทางเบื้องหน้าที่มีธงรูปสามเหลี่ยมสีขาวขลิบสีทองปักอยู่กับพื้น ก่อนจะรีบสอดส่ายสายตาหมายจะหาสัญลักษณ์อื่น


“เกิดอะไรขึ้น? ธงนั่นคืออะไร?”


เฟรย์มองตามสายตาเพื่อนใหม่ของตนไปด้วยความงุนงง ในระยะที่ห่างออกมาหลายเมตรเช่นนี้ แม้แต่เธอเองก็ยังยากจะระบุว่าธงเล็กๆผืนนั้นมีสัญลักษณ์อะไรอยู่ แต่หากคาดคะเนจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว..ธงนั่นย่อมไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน


ขณะที่เฟรย์ถาม คนที่กำลังมองหาสัญลักษณ์ก็พบธงลักษณะเดียวกันอีกผืนหนึ่งที่ปักเยื้องออกไปทางทิศตะวันออก คิ้วเรียวเริ่มขมวดน้อยๆเมื่อตระหนักว่าตำแหน่งของสัญลักษณ์ทั้งสองนั้นอยู่ในลักษณะโอบล้อมตำแหน่งที่พวกตนยืนอยู่ แต่ว่า..ก็ใช่จะเหลือบ่ากว่าแรงนัก


“ดูท่า..พวกเราจะเดินหลงเข้ามาในเขตล่าสัตว์ของตระกูลตะวันออกแล้วล่ะ”


เด็กน้อยบอกด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความกังวลนิดหน่อย ขบขันอีกเป็นส่วนมาก บางทีสุภาษิตที่ว่า คู่แค้นทางคับแคบ นั้นอาจจะเป็นจริงกว่าที่คิดไว้ก็ได้


“มาเถอะ เราต้องรีบออกไปให้พ้นจากเขตของธงพวกนี้”


โดยไม่รอช้า มือขาวนุ่มเนียนของเฟรย์ถูกกุมไว้ในมือภายใต้ถุงมือสีดำสนิทอีกครั้ง แม้ว่าเด็กหญิงจะยังคงไม่เข้าใจเรื่องเขตล่าสัตว์ดีนัก แต่คำว่า ‘ตระกูลตะวันออก’ ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งอำนาจที่แม้แต่เด็กก็ยังเคยได้ยินนั่น มันก็ทำให้เฟรย์ไม่กล้าชะลอฝีเท้าแม้แต่น้อย และเพื่อนของเธอที่แม้จะยังคงหลุดหัวเราะขำออกมาก็ยังไม่กล้ารีรอเช่นกัน


แต่บางครั้งเภทภัยก็เป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ ด้วยธงสีขาวผืนนั้นคือสัญลักษณ์แสดงการครอบครองอาณาเขตชั่วคราวของตระกูลตะวันออก ซึ่งมักใช้ในเวลาที่ชนชั้นสูงของตระกูลออกหาความบันเทิงด้วยการล่าสัตว์ ธงเหล่านี้จะถูกปักขึ้นล่วงหน้าเพื่อแสดงถึงอาณาเขตนั้นๆ มันเป็นทั้งสัญลักษณ์ที่บอกถึงอำนาจ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจนำมาซึ่งความอับอายได้ เพราะสัญลักษณ์นี้เป็นเหมือนการรับประกันถึงการสิ้นสุดเขตล่าสัตว์ หรือก็คือสัตว์ที่ล่าอยู่นั้นจะไม่อาจและไม่สามารถก้าวออกมาพ้นเขตแดนนี้ได้แม้แต่ก้าวเดียว ซึ่งหากว่าเจ้าของสัญลักษณ์นี้ไม่อาจทำได้เช่นนั้น..แม้แต่การผูกคอตายเพื่อหนีความอับอาย..ก็คงจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไป


“ทางนี้ เร็วเข้า!!”


แว่วเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังมาแต่ไกล เสียงเห่าหอนที่ดังมากับลมทำให้รู้ว่าเป็นฝูงหมาป่า เด็กทั้งสองคนยิ่งออกแรงวิ่งสุดฝีเท้า จุดหมายของพวกเขาคือการออกไปให้พ้นจากเขตของธงเหล่านั้น นั่นเพราะคนของตระกูลตะวันออกจะไม่มีวันทำพลาดด้วยการปล่อยให้สัตว์ร้ายวิ่งหนีออกมานอกเขตที่จัดสรรได้ ดังนั้นหากวิ่งเลยธงออกไปก็เท่ากับปลอดภัยแล้วนั่นเอง


ทว่า..น่าเสียดายที่ถึงเฟรย์จะเข้มแข็งแค่ไหน แต่เธอก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุแปดขวบคนหนึ่ง เด็กหญิงพยายามแล้วที่จะวิ่งสุดชีวิตจนภายในอกแสบร้อนด้วยความเหนื่อยหอบ ดวงตาพร่าเลือนจับจ้องไปยังแผ่นหลังของคนที่วิ่งนำอยู่ด้านหน้า เขาคนนั้นที่ยังคงมีฝีเท้ามั่นคงและลัดเลาะผ่านดงไม้ออกไปอย่างรวดเร็ว เฟรย์รู้ว่าเขายังคงชะลอฝีเท้าเพื่อรอเธอ แต่ว่า...


“โอ๊ย!!”


ร่างเล็กๆสะดุดก้อนหินล้มลงกับพื้น แขนขาที่เคยขาวนวลเนียนกลับถลอกปอกเปิกไปด้วยเลือด กลิ่นอันหอมหวานของโลหิตฉุดดึงให้ฝูงหมาป่าหลายสิบตัวรีบรี่เข้ามาหา มันสายเกินไปสำหรับเฟรย์ที่จะลุกขึ้นเพื่อวิ่งหนี และมันอาจสายเกินไปที่จะดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอด เมื่อร่างเล็กบางเพิ่งจะเอามือจับที่ด้ามปืนพก เงาขนสีเทาของหมาป่าตัวใหญ่ที่กระโดดเข้ามาหาก็พลันสะท้อนอยู่ในดวงตาของเธอ!!


ปัง!


หมาป่าตัวเขื่องร่วงลงไปกองกับพื้นก่อนที่จะทันได้แตะต้องกายของเหยื่อ เลือดสีเข้มทะลักออกมาจากรอยแผลรูปกลมที่หน้าผาก ช่วงเวลาสั้นๆนั้นเองที่เปิดโอกาสให้เฟรย์ได้หันไปมองผู้ช่วยชีวิต..นั่นคือ เพื่อนใหม่ของเธอที่เวลานี้ฮู้ดสีเข้มได้ร่วงลงไปเคลียอยู่กับบ่า เผยให้เห็นใบหน้าหมดจดคมคายรับกับเรือนผมสีดำตัดสั้นระต้นคอ คนที่เคยออกปากว่าเกลียดอาวุธนั้น เวลานี้กลับกำลังถือปืนอยู่ในมือ และกำลังเล็งเป้ามาที่หมาป่าตัวอื่นๆ


“อย่าขยับนะ เฟรย์”


เสียงใสยังคงเรียบเรื่อยไร้ความตื่นตระหนก มือของเขาไม่สั่นแม้แต่น้อยขณะที่ยิงปืนออกไปนัดแล้วนัดเล่า ระเบิดสมองของหมาป่าให้แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ท่าทางที่เขาแสดงออกมานั้นมันช่างเหมือนกำลังยิงใส่เป้ากระดาษมากกว่าจะเป็นเป้ามีชีวิตที่กำลังแยกเขี้ยวและผลัดกันกระโจนเข้าหาอย่างดุร้าย


“เจ้าพวกโง่พวกนี้นี่” เด็กน้อยถอนหายใจอย่างเอือมระอาเมื่อตระหนักว่าการล้มตายของพรรคพวกไม่อาจหยุดยั้งสัตว์เดรัจฉานพวกนี้ได้ ปืนในมือที่กระสุนหมดเกลี้ยงถูกใช้จนหยดสุดท้ายด้วยการเขวี้ยงมันใส่หัวของหมาป่าตัวหนึ่ง อันแทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ปืนสั้นอีกกระบอกถูกหยิบขึ้นมาจากใต้เสื้อคลุม พลางขยับเท้าเปลี่ยนตำแหน่งให้ถอยห่างออกมาจากเพื่อนใหม่มากขึ้น “ปืนนี่มีกระสุนแค่ 6 นัด เพราะงั้นฉันจะล่อให้พวกมันมาทางฉัน ส่วนเธอก็รีบวิ่งออกไปให้พ้นธงผืนนั้นนะเฟรย์”


“ยะ..อย่าพูดอะไรบ้าๆนะ” เฟรย์ซีนกรีดเสียงใส่คนที่ยังทำท่าไม่ทุกข์ร้อนแม้ว่าจะถูกตีวงล้อมเข้ามาเรื่อยๆด้วยฝูงหมาป่าก็ตาม “ถ้าฉันหนีไป แล้วตัวนายจะทำยังไงล่ะ!?”


“ไม่ต้องห่วงน่า” เด็กชายขยิบตาให้อย่างติดจะขบขัน มือโบกปืนในมือด้วยท่าทางทีเล่นทีจริง “ถ้าฉันไม่รอดขึ้นมาจริงๆ ก็แปลว่าพวกตระกูลตะวันออกไร้ฝีมือยังไงล่ะ”


แม้จะเป็นเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่กับคำพูดที่แสดงออกถึงความไม่เคารพหนึ่งในตระกูลสูงศักดิ์นั้นก็ทำให้เด็กหญิงถึงกับอ้าปากค้าง แต่นี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะต่อว่า และยิ่งไม่ใช่เวลาที่จะถามว่าเขาหมายความว่ายังไงกันแน่ มือเล็กๆที่ถือปืนสั่นน้อยๆอย่างไม่มั่นใจว่าควรจะลั่นไกออกไปหรือไม่ เพราะหากว่าเธอลั่นไกออกไปก็เท่ากับเป็นการเปลี่ยนทิศทางให้ฝูงหมาป่าหันมาทางเธอ ซึ่งก็ไม่ได้มีกระสุนมากไปกว่าผู้เป็นเพื่อนสักเท่าไหร่ แล้วนั่นจะยิ่งกลายเป็นการทำให้เสียเรื่องหรือเปล่า?


..ควรทำยังไงดี..!?


ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความเป็นและความตาย เด็กหญิงเต็มไปด้วยความว้าวุ่น อย่างไรก็ตามอาจจะเป็นโชคดีที่เฟรย์ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจอีก เมื่อในตอนนั้นเองเด็กชายก็ลั่นกระสุนนัดสุดท้ายออกไป!!


“วู้ว! ตระกูลตะวันออกย่ำแย่ขนาดนี้จริงๆเหรอเนี่ย....”


ร่างใหญ่ของหมาป่าล้มลงมาแทบเท้าของคนที่กำลังตะโกนเสียงดังอย่างคึกคะนอง รอยยิ้มอวดดียังคงไม่จางหายไปจากใบหน้า เด็กชายกอดอกยืนนิ่ง ไม่สนใจแม้ว่าหมาป่าอีกตัวหนึ่งกำลังกระโจนเข้ามาหาก็ตาม...


“ไม่นะ..!!”


ปัง!!


มันราวกับเป็นย้อนคืนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นให้กลับคืนมาอีกครั้ง หมาป่าตัวเขื่องร่วงลงกระแทกกับพื้นก่อนจะทันได้ฝังคมเขี้ยวลงบนร่างของเด็กน้อย เลือดทะลักออกมาจากรูกระสุนที่หน้าผากเช่นเดียวกับหมาป่าตัวแรก หากจะต่างก็ตรงที่เสียงปืนไม่ได้หยุดลงแค่นัดเดียว หากกลับดังขึ้นติดต่อกันอีกหลายสิบนัดก่อนที่เสียงขู่คำรามที่เคยดังก้องอยู่ในบริเวณจะหายไปจนหมดสิ้น


“ดูสิว่าพวกเรามาเจออะไรที่นี่..”


มันต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่เฟรย์จะปรับสายตาให้ชินกับความมืดที่อวลอายไปด้วยควันจางๆจากอาวุธปืน กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นสาบสางของซากสัตว์ช่างชวนให้เวียนหัว เด็กหญิงกระพริบตาถี่ๆขณะพยายามเพ่งมองเงาร่างที่โผล่พ้นกลุ่มควันออกมา...


ชั่วขณะนั้นมันราวกับว่าเธอตกอยู่ในห้วงฝัน ท่ามกลางกลุ่มควันอันเลือนรางปรากฏเสียงฝีเท้าม้าเหยียบย่างออกมา บนหลังม้าตัวพ่วงพีคือร่างของเด็กหนุ่มวัยประมาณ 13-14 ในชุดสีขาวสะอาด เรือนผมสีทองเป็นประกายถูกรวบไว้ด้านหลัง วงหน้านั้นงดงามจนผู้ได้เห็นแทบลืมหายใจ โดยเฉพาะเมื่อดวงตาที่เป็นสีเดียวกับน้ำทะเลคู่นั้นตวัดมองมาที่ร่างของเด็กชายที่เอ่ยท้าทายเป็นอย่างแรก ก่อนจะเบือนมาหยุดลงยังร่างของเด็กหญิงตัวน้อย...


“ที่แท้ก็หนูน้อยหมวกแดงสองคนที่ดึกดื่นแล้วก็ยังไม่ยอมกลับบ้านไปนอนนี่เอง”


อีกเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง ให้เฟรย์ซีนถึงกับสะดุ้ง เท้าถอยหนีออกมาสองก้าวตามสัญชาตญาณ ความตื่นตระหนกยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้ที่ขี่ม้าอยู่ข้างหลังเธอนั้นมีใบหน้าเป็นพิมพ์เดียวกับเด็กหนุ่มคนแรก ทั้งวงหน้า สีผม หรือแม้แต่โทนเสียงต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นเช่นเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน


“พะ..พวกคุณ....”


“เฮ้ๆ เป็นผู้ชายทั้งทีอย่ามาขู่ให้เด็กผู้หญิงกลัวสิ” เจ้าตัวพูดโดยไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองก็เป็นแค่เด็ก เมื่อสาวเท้าเข้ามายืนบังเพื่อนใหม่เอาไว้ แต่เพราะความที่ม้าสองตัวยืนหยัดอยู่ในทิศทางตรงข้ามโดยมีเฟรย์ซีนยืนอยู่ตรงกลาง เด็กชายจึงทำได้เพียงแค่ยกมือขึ้นกางกั้นราวกับกำลังจะห้ามมวยกระนั้น “อีกอย่างนี่ก็แค่ 3 ทุ่มเท่านั้นเอง มีแต่พวกวัยรุ่นที่คิดว่าตัวเองแก่เท่านั้นแหละถึงจะไล่ใครให้ไปนอนเอาเวลานี้”


เด็กน้อยปัดป้องคำสบประมาทพร้อมโต้กลับด้วยวาจาอย่างถือดี เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากเด็กหนุ่มสองคนที่ยังคงนั่งอยู่บนหลังม้าตระหง่านค้ำศีรษะเล็กๆที่สูงยังแทบไม่ถึงคอม้านั่น


“คิดอยู่เหมือนกันว่าใครหน้าไหนถึงได้ปากดีขนาดนี้” ดวงตาคู่คมมองเรือนผมสีดำของเด็กน้อย ก่อนจะตวัดสายตาไปยังเด็กหญิงที่ถูกปกป้องอีกครั้งอย่างนึกสนใจ “นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้นอกจากล่าหมาป่าแล้วยังเกือบจะได้ล่าสัตว์เล็กชนิดอื่นด้วย..”


“เหยื่อตัวเล็กแค่นี้ถึงล่าไปก็คงไม่คุ้มหรอกมั้ง” เสียงโทนเดียวกันรับช่วงต่ออย่างขบขัน “หมาป่าฝูงเมื่อกี้คงหิวโซจนตาลาย ถึงได้คิดจะกินเนื้อชิ้นเล็กๆที่ไม่น่าพอยาไส้แบบนี้”


“ถึงจะเป็นเนื้อชิ้นเล็กก็เป็นเนื้อมีคุณภาพแหละน่า” ผู้อ่อนวัยกว่าโต้กลับ พลางก้มลงเก็บกระบอกปืนขึ้นมาปัดฝุ่นเบาๆก่อนจะสอดเก็บไว้ใต้เสื้อคลุมอีกครั้ง “ยังไงก็ดูดีกว่าพวกกระดูกติดมันตั้งเยอะ”


‘กระดูกติดมัน’ ทั้งสองชิ้นต่างหันมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะเบาๆด้วยความขบขัน ดวงตาที่เป็นเฉดสีเดียวกันจับจ้องมองร่างโปร่งภายใต้ชุดคลุมรุ่มร่ามอย่างนึกสนใจ จริงอยู่ว่าพวกเขาอาจจะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่ว่า..มันก็ไม่ยากเลยที่จะคาดเดาว่าเด็กน้อยของบ้านไหนจึงจะกล้าพอที่จะมาต่อปากต่อคำกับคนของตระกูลตะวันออก


และเหนืออื่นใดคือเด็กหญิงของบ้านไหน..ที่ทำให้คนตระกูลตะวันตกที่ขึ้นชื่อเรื่องเจ้าเล่ห์กว่างูพิษนั้นกลับยอมปกป้องได้..


“นี่ คุณพี่ชายทั้งสองคนถ้าจ้องพอแล้วก็ช่วยทำตัวให้สมเป็นผู้ใหญ่กว่าสักหน่อยจะได้มั้ย?” เด็กน้อยได้โอกาสสั่งสอนไปในตัว “เห็นๆอยู่ว่ามีเด็กผู้หญิงได้รับบาดเจ็บ น่าจะรีบอาสาพาคุณหนูคนนี้กลับไปส่งที่ศูนย์ทดสอบทักษะได้แล้วล่ะมั้ง”


“หึ ตัวแค่นี้แต่ปากดีจริงนะเรา”


หนึ่งในสองคนยอมโดดลงมาจากหลังม้า ไม่ใช่เพราะเชื่อฟังคำสั่งของเด็กน้อยแต่เป็นเพราะนี่คือสิ่งที่สมควรกระทำอยู่แล้ว เมื่อเท้าก้าวยาวๆแค่สองก้าวก็เข้าถึงตัวของเด็กหญิงตัวน้อยที่มีแต่บาดแผลเต็มไปหมด


“ว่าไง คุณหนู?”


รอยยิ้มปรากฏบนมุมปากได้รูปราวจะช่วยปลอบประโลมเด็กน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ แขนแกร่งอุ้มร่างเล็กๆขึ้นมาในอ้อมแขนอย่างง่ายดาย ก่อนจะตวัดกายกลับขึ้นไปนั่งบนหลังม้าโดยมีร่างของเฟรย์นั่งซ้อนอยู่ด้านหน้า มือหนึ่งของเด็กหนุ่มโอบประคองเด็กหญิงตัวน้อยเอาไว้ ขณะที่มืออีกข้างก็จับสายบังเหียน


“แล้วคุณหนูน้อยหมวกแดงอีกคนล่ะ อยากให้พากลับไปด้วยกันมั้ย?”


เสียงทุ้มที่เริ่มแตกวัยหนุ่มเต็มไปด้วยความขบขัน มันอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคำถามตามมารยาท ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขารู้ดีอยู่แล้วว่าเจ้าเด็กน้อยอวดดีตรงหน้าจะตอบเช่นไร


“ฉันหาทางกลับเองได้หรอกน่า”


เด็กชายตอบเสียงขุ่นกับสรรพนามน่าโมโหที่ถูกเรียกหาอีกครั้ง ต่อให้ที่นี่เป็นขุมนรกและเจ้าแฝดตรงหน้าเป็นเทพเพียงสองคนที่จะพาเขาออกไปจากที่นี่ได้ เขาก็คงยินยอมที่จะตะเกียกตะกายออกไปด้วยแรงของตัวเอง ดีกว่าจะร้องขอความช่วยเหลือจากคนพวกนี้


อย่างไรก็ตาม..วงหน้าคมรีบเปลี่ยนกลับเป็นยิ้มแย้ม เมื่อเด็กน้อยสังเกตเห็นถึงความหวั่นกลัวที่เจืออยู่ในดวงตาของเพื่อนใหม่..ที่นับจากนี้ไปอาจจะไม่มีวันได้พบกันอีกแล้ว


“ไม่ต้องกลัวนะเฟรย์ ถึงสองคนนี้จะดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจเท่าไหร่ แต่รับรองว่าพวกเขาจะพาเธอกลับไปส่งที่ศูนย์ทดสอบแน่”


ประโยคที่ไม่ได้ชวนให้นึกสบายใจขึ้นมาสักเท่าไหร่ หากแต่น้ำเสียงที่อบอุ่นนั้นต่างหากที่กลับทำให้เฟรย์รู้สึกวางใจ กระนั้นเด็กหญิงก็ยังคงจับจ้องมองมาที่เพื่อนผู้เต็มไปด้วยปริศนาของเธอ..ราวอยากรู้ ราวกับอยากจะถามถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาสั้นๆที่กลายเป็นการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ของเธอ


“นาย..เป็นใครกันแน่?”


เสียงใสเอ่ยถามขึ้นในที่สุด ดวงตาคู่สีน้ำตาลก้มลงมองเด็กชายผู้มีสีหน้าลำบากใจนิดหน่อย เฟรย์ไม่แน่ใจว่าความลำบากใจนั้นมีต่อเธอหรือเป็นมีต่อเด็กหนุ่มที่นั่งยิ้มอยู่ด้านหลังเธอกันแน่ ก่อนที่ความลำบากใจนั้นจะแปรเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบาๆอย่างอับจน


“ที่จริงแล้วมันก็ไม่ดีนักหรอก แต่ไหนๆก็ไหนๆ..ถือซะว่าเป็นการขอโทษที่พาเธอออกมาเจ็บตัวก็แล้วกัน”
เด็กชายตัวน้อยยิ้มบางๆ เวลานี้ที่พวกเขาต่างจับจ้องมองกัน มันก็ทำให้เฟรย์ได้เห็นว่าดวงตาของเพื่อนของเธอนั้น มันเป็นสีเดียวกับพลอยอเมธิสต์


“จำไว้นะ เฟรย์ ชื่อของฉันคือ..ซาบีน”




.............ซาบีน..?


“หัวหน้า! ตื่นเถอะครับ หัวหน้า!!”


เสียงตะโกนเรียกสลับกับเสียงเคาะประตู ปลุกให้หญิงสาวที่เผลอเคลิ้มหลับไปกับโต๊ะทำงานตั้งแต่กลางดึกที่ผ่านมาสะดุ้งตื่น ดวงตาคู่สีน้ำตาลกระพริบน้อยๆราวจะแยกแยะระหว่างความเป็นจริงในปัจจุบันกับภาพฝันของอดีตอันแสนไกล...เมื่อครั้งที่ได้พบกับเขาเป็นครั้งแรก...


“จวนจะได้เวลาแล้วนะครับ หัวหน้า!”


“รู้แล้ว เดี๋ยวฉันออกไป”


เสียงหวานหากทรงอำนาจตะโกนตอบกลับเพื่อหยุดเสียงดังรบกวนนั่น ร่างเพรียวระหงเดินเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายภายในห้องน้ำส่วนตัวอย่างรวดเร็ว มันใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาทีก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดออก แล้วหญิงสาวในชุดเครื่องแบบทหารสีดำสนิทก็ก้าวออกมา


“อรุณสวัสดิ์ครับ หัวหน้า”


ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบสีดำเช่นเดียวกันยกมือขึ้นทำความเคารพ ร่างสูงเบี่ยงกายออกเปิดทางให้หญิงสาวก้าวนำหน้า โดยมีตนเองก้าวตามหลังมาติดๆ


“เตรียมม้าพร้อมรึยัง?” หญิงสาวเอ่ยถามโดยไม่แม้แต่จะชะลอฝีเท้าลง ดวงตาคู่สีน้ำตาลก้มลงตรวจสอบจำนวนลูกกระสุนในปืนพกที่ถืออยู่ ก่อนจะเสียบปืนกลับเข้าซองที่ข้างเอวอีกครั้ง “วันนี้เป็นเวรของหน่วยไหน?”


“ทุกอย่างเตรียมพร้อมเรียบร้อย หน่วยที่ 3 รออยู่ที่ด้านหน้าแล้วครับ”


“การสำรวจเส้นทางล่วงหน้าล่ะ?”


“ทุกอย่างปลอดโปร่ง ไม่พบร่องรอยว่าจะมีการก่อการร้าย ไม่พบวัตถุระเบิดในบริเวณใกล้เคียงครับ”


ชายหนุ่มตอบพลางเดินตามผู้เป็นนายข้ามสะพานสระบัวที่โอบล้อมรอบตึกรูปทรงแปดเหลี่ยมเข้าไปด้านใน เวลานี้ยังเป็นยามเช้าอยู่มาก แต่เหล่าสาวใช้ก็เริ่มเดินเหินไปมาตามระเบียงเช่นเดียวกับเหล่าคนในชุดเครื่องแบบทหารสีดำที่ยืนเฝ้าอยู่ตามจุดต่างๆ เมื่อคนเหล่านั้นเห็นคนทั้งคู่ที่กำลังเดินผ่านมา เหล่าคนในชุดเครื่องแบบก็ยกมือขึ้นทำความเคารพแก่หญิงสาวผู้ไต่เต้าขึ้นมาจนถึงระดับนายพลด้วยอายุเพียง 21 ปี พลางเปิดทางให้เธอเดินมาจนหยุดอยู่ที่สุดทางเดิน ตรงหน้าของประตูบานหนึ่งที่แกะสลักด้วยหยกนิล


“หัวหน้ากองพลองครักษ์ตะวันตก พล.ต.เฟรย์ ขอเข้าพบค่ะ”


เสียงใสเต็มไปด้วยความนบนอบ เข่าข้างหนึ่งที่แตะลงบนพื้นแสดงถึงความภักดี แม้ว่าผู้ที่เธอภักดีด้วยจะเคยบอกหลายครั้งว่าไม่จำเป็นต้องมากพิธีการ แต่การแสดงออกเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เฟรย์ปรารถนาจะได้ทำเสมอ


“เข้ามาสิ”


แว่วเสียงนุ่มทุ้มดังออกมาจากในห้อง อนุญาตให้หญิงสาวลุกขึ้นยืน ก่อนจะผลักประตูก้าวเข้าไปตามลำพังภายในห้องอันกว้างใหญ่ สมฐานะของหนึ่งในสองผู้นำแห่งตระกูลตะวันตก


“อรุณสวัสดิ์ เฟรย์”


คำทักทายรับอรุณดังมาจากร่างสูงของผู้ที่ยืนอยู่กลางห้อง วันเวลาได้ลบเลือนความน่ารักเฉกวัยเด็กออกไป หากกลับกลายเป็นความคมคายของบุรุษหนุ่มผู้มีรอยยิ้มที่ทำให้โลกสดใส และดวงตาคู่สีม่วงที่เคยเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกก็ทอประกายพราวราวล่อหลอกให้ลุ่มหลง สิ่งเดียวที่แทบไม่เปลี่ยนแปลงไปคงจะเป็นเรือนผมสีดำที่ยังคงตัดสั้นระต้นคอตามประสาคนขี้ร้อน และชุดสีดำขลิบริมด้วยเส้นไหมทองคำที่ตัดกับผิวขาวสะอาดนั่น...


“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านซาบีน”


เฟรย์ทักทายตอบคนที่ได้ทิ้งความทรงจำต่างๆเอาไว้ให้แก่เธอในวัยเด็ก หลังจากวันนั้นที่เธอถูกพากลับมาส่งที่ศูนย์ทดสอบ ก็ไม่มีวันใดเลยที่เธอจะไม่เฝ้าครุ่นคิดถึงนามนี้...


จากเหตุการณ์ในคืนนั้น ตัวเธอที่ยังคงเป็นแค่เด็กหญิงตัวน้อยพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้แค่ว่าคู่แฝดสองคนนั่นคือคนจากตระกูลตะวันออก และบางทีเพื่อนใหม่ของเธอก็อาจจะเป็นคนจากตระกูลตะวันตก หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องเป็นคนจากตระกูลที่สูงศักดิ์พอที่จะไม่เกรงกลัวอำนาจของตระกูลตะวันออก อย่างไรก็ตามมันไม่มีอะไรพอจะเป็นหลักฐานให้เธอยืนยันแน่ชัดได้ และอาจบางทีมันคงจะดีกว่าถ้าจะลืมเลือนเรื่องในคืนนั้นไป แล้วกลับไปใช้ชีวิตปกติเช่นที่เคยมีมา


แต่ถึงอย่างนั้น เฟรย์ก็พบว่าตนไม่อาจลืมเลือนได้..ค่ำคืนนั้นได้เปิดโลกกว้างให้แก่เธอ มันกระตุ้นความกระหายใคร่รู้ มันทำให้เธอหลงใหลกับความซับซ้อนและลึกลับของเรื่องราว แต่ก็เพราะมันเป็นคืนเดือนมืด แสงสว่างในคืนนั้นจึงไม่พอที่จะทำให้เธอจดจำใบหน้าของพวกเขาได้ชัด สิ่งเดียวที่เป็นเบาะแสที่เหลืออยู่ มีเพียงชื่อของเด็กชายคนนั้น..ซาบีน..


ด้วยเหตุนี้..และด้วยเหตุผลอีกข้อหนึ่ง ความไม่สนใจที่จะรับใช้ใครก็กลับกลายเป็นความมุ่งมั่นที่จะเข้าร่วมในกองกำลังทหารของราชอาณาจักร เธอเข้าร่วมการทดสอบทักษะ เธอเข้าร่วมการสอบข้อเขียน การสอบภาคปฏิบัติและเข้ารับการคัดเลือกเพื่อบรรจุเข้าเป็นหนึ่งในกองกำลังพล และเมื่อสอบผ่านในชั้นแรกแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกว่าจะสอบคัดเลือกเข้ากองกำลังใดต่อไป ซึ่งในเวลานั้นด้วยเหตุผลที่เธอไม่คิดจะบอกใครมาก่อน เฟรย์ก็ตัดสินใจโดยไม่ลังเลที่จะเลือกกองพลองครักษ์ของตระกูลตะวันตก


การทดสอบเข้ากองพลใช้เวลารวมทั้งสิ้นสองปี คัดผู้เข้าสอบจาก 1,174 คนเหลือเพียงแค่ 30 คนที่ได้รับการบรรจุเข้าในกองพลตะวันตก เมื่อได้เข้าหน่วยแล้วสิ่งที่รอคอยอยู่คือการฝึกซ้อมอย่างหนัก การร่วมรบในสถานที่จริง การออกกวาดล้างผู้ก่อการร้าย ท่ามกลางวันคืนเหล่านั้น 5 ปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเฟรย์ได้เลื่อนขั้นจนมาถึงระดับที่สามารถเข้าเป็นหนึ่งในองครักษ์ข้างกายของผู้นำตระกูลได้ และในวันที่เข้าพิธีสาบานตัวต่อผู้นำตระกูลตะวันตกนั้นเอง..ที่เฟรย์ได้พบกับซาบีนอีกครั้ง!


“เตรียมการเรียบร้อยหมดแล้วสินะ?”


“ทุกอย่างพร้อมหมดแล้วค่ะ กองกำลังหน่วยที่ 3 รออยู่ที่ด้านหน้าแล้ว คาดว่าจะถึงที่หมายได้ภายใน 30 นาทีค่ะ”


เฟรย์ตอบพลางมองชายหนุ่มใส่ถุงมือคู่สีดำทับลงมาบนมือ มันเป็นกิจวัตรประจำวันที่เธอเห็นอีกฝ่ายทำเช่นนี้ในทุกเช้า และถุงมือคู่นั้นก็คงจะถอดออกภายหลังจากที่ค่ำคืนมาถึง เมื่อนายเหนือของเธอกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง


“งั้นเหรอ...” มือขยับกำแล้วคลายเพื่อให้ความแน่ใจถึงความกระชับของถุงมือ ดวงตาคู่สีม่วงตวัดมองไปยังกระจกเพื่อสำรวจความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพยักหน้าให้แก่หญิงสาวผู้เป็นองครักษ์ “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”


ร่างสูงก้าวเท้าออกเดินนำหน้า ชายผ้าคลุมสีดำสะบัดปลิวตามหลัง แม้จะอยู่ในอาภรณ์ที่เป็นสีเดียวกับราตรีกาล หากทุกก้าวที่ชายหนุ่มก้าวเดินกลับเสมือนถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแสงสว่าง ด้วยความอ่อนโยนจากรอยยิ้มที่ประดับบนมุมปากได้รูป และด้วยความทรงอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกหากสามารถสัมผัสได้ด้วยความรู้สึก


...และคงเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เธอยอมก้มศีรษะให้แก่เขาจากใจ...


เฟรย์เดินตามหลังมาโดยเว้นระยะห่างจากผู้เป็นนายประมาณสามก้าว ในมือของเธอคือวิทยุสื่อสารที่ติดต่อกับคนของตระกูลตะวันตกที่รออยู่ยังที่หมาย


“แจ้งทางสภาขุนนางด้วย ฯพณฯ ซาบีน แห่งตระกูลตะวันตก กำลังจะไปถึงภายใน 30 นาทีนี้”


“รับทราบ!!”



- - - - TBC. - - - -



Langlae
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ก.ย. 2554, 20:02:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ก.ย. 2554, 20:02:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1430





<< บทนำ   บทที่ 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account