ถอดสลักรัก ถอดรหัสใจ
รัก...ที่ฉันคิดว่าไม่มีทางจะเป็นไปได้จนฉันต้องใส่กลอนล๊อคไว้ในซอกใจกำลังจะถูกไขออกมาอีกครั้ง เมื่อเขา...ผู้เป็นดั่งกุญแจสำคัญได้ทำให้ชีวิตที่ฉันพยายามทำให้เรียบง่ายนั้นยุ่งเหยิง
ฉัน...ซึ่งไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นเหมือนนางเอกในละครที่เกลียดจะต้องพบกับสถานการณ์ที่จะต้องมานั่งคิดว่า นางเอกในละครเขาจะต้องทำอย่างไร...
ใครว่าละครมันน้ำเน่า...เรื่องจริงมันยิ่งกว่าซะอีก เพียงแต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่า ฉัน...จะเป็นนางเอกของใครได้
ฉัน...ซึ่งไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นเหมือนนางเอกในละครที่เกลียดจะต้องพบกับสถานการณ์ที่จะต้องมานั่งคิดว่า นางเอกในละครเขาจะต้องทำอย่างไร...
ใครว่าละครมันน้ำเน่า...เรื่องจริงมันยิ่งกว่าซะอีก เพียงแต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่า ฉัน...จะเป็นนางเอกของใครได้
Tags: กฤษณ์ นางเอก เขม
ตอน: ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น
สวัสดีค่ะ กลับมาเริ่มเขียนนิยายอีกครั้งหลังจากที่ดองเรื่องอื่น ๆ ไว้เพราะเขียนไม่ออก คิดว่าเรื่องนี้อาจเขียนง่ายเพราะมีรากฐานมาจากเรื่องจริงใกล้ ๆ ตัว (แน่นอนว่าแต่งเติมเข้าไปด้วย) หวังว่าเรื่องนี้จะเขียนจบนะคะ เพราะคิดว่าจะเขียนไม่เยอะน่ะค่ะเลยเอามาลง
ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น
ใครว่าละครมันน้ำเน่า ชีวิตจริงมันยิ่งกว่าละครเสียอีก
หลายครั้งที่ฉันนั่งดูละครหลังข่าวแล้วก่นด่านางเอก ว่าทำไมถึงต้องยอมเป็นผู้เสียสละ ทำไมถึงไม่พูดอะไรให้พระเอกเข้าใจ ทำไมถึงยอมให้เขาเข้าใจผิด แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังดูจนจบทุกเรื่อง ฉันได้แต่คิดว่าในชีวิตจริงจะมีผู้หญิงงี่เง่าแบบนั้นอยู่อีกหรือ ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่ใช่
“อย่าไปยอมมัน ชิชะ ตบมาก็ตบกลับซิวะ” นั่นคือเสียงฉันเอง มีเพียงตอนที่ฉันดูละคร และเม้าท์กับเพื่อนผู้หญิงเท่านั้นที่เสียงของฉันจะ “เหมือน” พูดหญิง อืม...ยังไงดีล่ะ เอาเป็นว่านอกจากนั้น เสียงของฉันค่อนข้างจะ “ทุ้ม” ซึ่งฉันก็คิดว่ามันเป็นข้อดีเหมือนกันนะ เพราะว่าฉันสามารถร้องเพลงได้ทั้งคีย์เสียงผู้ชายและผู้หญิง
เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันเถอะ ฉันเกริ่นถึงไหนนะ อ้อ นางเอก นั่นแหละค่ะ สไตล์นางเอกที่ฉันชอบก็คือ อั้ม พัชราภา ยิ่งประเภทตบมา ต่อยกลับยิ่งชอบ และฉันจะเกลียดพวกเอะอะก็บีบน้ำตา พูดเสียงเครือ จึ๊ ๆ เห็นแล้วหงุดหงิด เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ตอนแรกนางเอกน่ะ สเปคฉันมาก ประเภทตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่พอได้เริ่มหลงรักพระเอกแล้วก็เข้าอีหรอบเดิมของนางเอกไทย ซึ่งมันกำลังทำให้ฉันหงุดหงิดเป็นอย่างมากเลยนะนี่
“บ้าไปแล้วแกยัยเขม แกไปเก็บกดมาจากไหนถึงได้มาระบายกับละครอย่างนี้” ปั้นเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมแขวะใส่ฉัน
“แกก็ดูดิ อยู่ดี ๆ ก็ให้ยัยนางร้ายแอ๊บแบ๊วนั่นมาตบโดยไม่ตอบโต้ซักคำ นี่มันหลอกลวงกันชัด ๆ ไหนตอนแรกสร้างอิมเมจให้ลุยแหลกไง ฮึ้ย! นางเอกเสียเชิงหญิงตอนรักกับพระเอกนี่แหละ มีความรักไม่เห็นดีเลย” ฉันหงุดหงิด
ปั้นละสายตาจากจอโทรทัศน์แล้วหันมาพูดกับฉันอย่างจริงจัง “เหอะ! ปากดี แกก็มีนิ รู้แล้วใช่ไหม ว่าพี่เขาเลิกกับแฟนอีกแล้ว”
ฉันหมดความสนใจจากละครน้ำเน่าที่กำลังอินอยู่ทันที พลันความทรงจำก็ประมวลภาพเรื่องราวต่าง ๆ ที่ฉันพยายามซุกซ่อนไว้ในซอกลึกสุด ๆ ของหัวใจ ...ชักเริ่มเน่าแล้วแฮะ
ฉันเรียนโรงเรียนประจำมาตลอดตั้งแต่เด็ก ซึ่งแน่นอนว่าโอกาสที่จะเจอใครหลาย ๆ คนนั่นมันก็คงจะเฉพาะเด็กนักเรียนในโรงเรียนเท่านั้น ฉันได้โควต้ามาเรียนที่โรงเรียนประจำแห่งหนึ่งโดยไม่ต้องสอบ ฉันเป็นเด็กใหม่ในระดับชั้นมัธยมปลาย การปรับตัวสำหรับฉันมันก็ค่อนข้างลำบาก เพราะลักษณะนิสัยจำเพาะของฉันนั่นเอง
ฉันไม่ค่อยอยากชมตัวเองหรอกค่ะ แต่ด้วยเชื้อสายจีนผสมผสานกับไทยทางภาคเหนือทำให้ฉันได้รับผิวขาว นวลละออมาจากบรรพบุรุษ นัยย์ตาเรียวโต คิ้วคมเข้ม รูปร่างก็...สมัยพิมพ์นิยมเมื่อ 50 ปีก่อนที่เขาเรียกว่า “อวบอิ่ม” โดยเฉพาะหน้าอก ทำให้ฉันมักเป็นที่สนใจของเพศตรงข้ามเสมอ ซึ่งฉันไม่ค่อยชอบนัก เพราะเด็กผู้ชายส่วนใหญ่มักจะชอบมองที่หน้าอกของฉันอย่างไม่เกรงใจฉันบ้างเลย ฉันเลยมีนิสัยที่ค่อนข้างเงียบขรึมและต้องใช้สายตาดุจ้องหน้าพวกที่ชอบมองหน้าอกของฉัน ค่อนข้างที่จะเกลียดและไม่ชอบเพศตรงข้ามมากนัก ฉันไม่ค่อยมีความประทับใจกับเพศตรงข้ามเลย
แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นทอมนะ ถึงแม้ฉันมักจะชอบมองผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็จากประสบการณ์วัยเด็ก ผู้ชายในชั้นเรียนไม่ค่อยน่ามองนี่คะ พวกบ้าพลัง ชอบแกล้งผู้หญิง ลามก และตกเย็นก็มักมีกลิ่นเหงื่อลอยคละคลุ้งจนแทบเฉียดเข้าใกล้ไม่ได้ ยิ่งฉันที่เป็นพวกประสาทสัมผัสทางจมูกไวด้วยแล้วล่ะก็ มันทำให้ฉันไม่อยากจะเฉียดเข้าใกล้ผู้ชายภายในระยะ 1 เมตรโดยไม่จำเป็นเลย
ครั้งแรกที่มีผู้ชายที่สามารถข้ามผ่านข้อห้ามมากมายของฉันเกิดเมื่อตอนที่ฉันแอบโดดเรียน ซึ่งอันที่จริงจะเรียกว่าโดดไม่ได้ เพียงแต่อาจารย์ไม่ว่างเลยให้นักเรียนนั่งอ่านหนังสือทบทวนด้วยตัวเองอยู่ในห้องเรียน แต่ฉันซึ่งอ่านไว้ล่วงหน้าแล้วก็เลยคิดว่าน่าจะหาอย่างอื่นทำมากกว่า ฉันและเพื่อน ๆ ซึ่งก็มี ปั้น อุ๊ ดา หลบออกไปซื้อขนมจากร้านค้านอกโรงเรียนแล้วแอบกลับไปกินที่หอพัก ตามกฏแล้วในเวลาเรียนจะไม่อนุญาตให้นักเรียนกลับไปที่หอโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ดาที่เป็นเด็กเก่า (หมายถึงเด็กนักเรียนที่เลื่อนชั้นจากม. 3 แต่ฉัน ปั้น และอุ๊ เป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเรียนตอนม. 4)ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับกฏพวกนี้รวมถึงทางหนีทีไล่ที่จะไม่ให้โดนจับได้
พวกเราแอบกลับไปยังหอพักและนั่งทานขนม อ่านการ์ตูนและนิยายที่เอามาจากบ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นของฉันและปั้นคอเดียวกัน ในขณะที่ฉันกำลังนอนอ่านการ์ตูน oh my love อยู่บนเสื่อด้านใต้หอ ดาซึ่งหูตาไวเป็นพิเศษก็อุทานและส่งสัญญาณเตือน
“เฮ้ย! อาจารย์อัญกำลังเดินมาทางนี้” เสียงเก็บของพรึ่บพรั่บ ทั้งการ์ตูน ขนม นิยาย เสื่อ รวมถึงเสื้อนักเรียนที่ถอดทิ้งไว้เพราะไม่อยากให้มันยับตอนนอนกลิ้งดังขึ้นเล็กน้อย จากนั้นพวกเราก็รีบวิ่งมุดไปที่ราวตากผ้าด้านหลังเพื่อหลบไปให้พ้นจากสายตาของอาจารย์ประจำหอที่กำลังเดินมา ไม่ต้องให้ใครบอกว่าต้อง “เก็บทำลายหลักฐาน” กันยังไงบ้าง มันเป็นไปตามสัญชาตญาณของการเอาตัวรอดล้วน ๆ
ฉันจำได้ว่าฉันกวาดขนมทั้งหมดมาไว้ในอ้อมแขน คว้าเสื้อนักเรียนแล้วก็วิ่งซุกหัวรอดราวตากผ้าไปอย่างรวดเร็ววิ่งทะลุหอพักหญิงของเด็กม.ต้นเพื่อที่จะออกไปทางด้านหลัง
ตุ้บ! โอ๊ย!
ฉันรู้สึกเหมือนวิ่งชนกำแพงที่ทั้งแข็งและนุ่ม และฉันก็เจ็บจี๊ดที่ลิ้นเพราะว่าตอนที่ชนนั้นฟันของฉันดันไปกระทบกับลิ้นเข้าอย่างจัง เจ็บจนน้ำตาเล็ดเลยแหละ ฉันยกมือข้างนึงกุมไว้ที่ปากเพราะความเจ็บและปล่อยเสียงครางออกมา
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับน้อง” เสียงนั้นทุ้มนุ่มแต่ก็มีแววแห่งความตระหนกอยู่เล็กน้อย นั่นทำให้ฉันรู้สึกตัวว่าตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนหนึ่ง แขนซ้ายหอบขนมไว้แน่น มือขวาที่ถือเสื้อนักเรียนกุมไว้ที่ปาก
ฉันตาเหลือกเงยหน้าขึ้นเพราะส่วนสูงอันน้อยนิดของฉันทำให้ใบหน้าฉันอยู่แค่ระดับอกของเขาเท่านั้น ในเวลาที่ฉันตกใจ ความสามารถในการประมวลของสมองอาจช้าบ้างสัก... 3 – 5 วินาที ซึ่งนั่นก็นานพอที่จะทำให้เขาต้องถามย้ำอีกครั้ง
“เอ่อ...น้องครับ พี่ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เขาเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างสูงมาก ผิวเข้ม จมูกโด่ง ริมฝีปากเรียวบางต่างจากฉันที่เป็นพิมพ์นิยม “อวบอิ่ม” นัยย์ตาคมหวานเหมือนนัยย์ตาแขก ไม่สิ ฉันรีบเรียกสติกลับมาเมื่อได้ยินคำถามอีกครั้ง
“อะ เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ ขอโทษนะคะ โอ๊ย! “ ฉันหลุดเสียงครางออกมาเมื่อแผลที่ลิ้นไปกระทบกับฟันอีกรอบ
“นี่มันเลือดนี่ น้องเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เขาอุทานเมื่อมองเห็นคราบเลือดที่ติดอยู่ที่ปกเสื้อนักเรียนที่ฉันยกขึ้นมาปิดปาก พร้อมกันนั้นก็ยกเสื้อขึ้นมาดู นั่นทำให้เสื้อที่คลุมตัวฉันอยู่หลุดออกมาและทำให้ฉันอุทานอย่างตกใจ เพราะเพิ่งเริ่มสำนึกว่าตอนนี้ท่อนบนของฉันมีแค่เสื้อซับในตัวบางเท่านั้น
“โอ๊ะ! ขอโทษครับน้อง” เขารีบปล่อยเสื้อรวมถึงปล่อยตัวฉันแล้วรีบหันหลังให้ ในหัวฉันตอนนี้มีแต่เสียงวี๊ด ๆ เหมือนกาน้ำร้อนเดือด ความร้อนพุ่งขึ้นมาสู่ใบหน้า ลำคอและหู ฉันรีบหันหลังและใส่เสื้อนักเรียนอย่างสั่น ๆ ขนมที่หอบไว้ในอ้อมแขนหล่นกระจาย เมื่อติดกระดุมแต่งตัวให้เรียบร้อยเสร็จ ฉันก็ได้แต่ก้มหน้าลงอย่างกลัว ๆ เพราะเขาเป็นรุ่นพี่ม. 6 ที่เป็นอดีตรองประธานนักเรียน ฉันซึ่งเป็นรุ่นน้องทั้งยังทำความผิดชนิด “คาตา” พร้อมหลักฐานก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา
“เสร็จแล้วใช่ไหมครับ”
“ค่ะ” เป็นคำเดียวที่ฉันนึกออกในเวลานี้
ฉันรู้ว่าเขาหันมาและรู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง แต่ก็ยังไม่กล้าจะเงยหน้าสู้เหมือนอย่างทุกครั้ง ฉันไม่รู้หรอกว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ที่แน่ ๆ ฉันรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ค่อยออก ในหัวมีแต่เสียงวี๊ด ๆ อยู่ตลอดเวลา
“น้องเป็นอะไรไหมครับ” เขายังคงตั้งคำถามอีก
ฉันส่ายหัว แล้วนึกขึ้นได้ว่าต้องตอบ “ไม่ค่ะ”
“แล้วน้องกำลังวิ่งหนีอะไรอยู่”
“อะ เอ่อ...” ท่าทางอึกอักของฉันของทำให้เขาเดาออก เราเงียบกันไปพักใหญ่ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมา
“งั้นพี่ไปนะครับ” เขาบอกและหมุนตัวเดินจากไป แต่ก็หยุดชะงักแล้วหันมาบอกกับฉันว่า
“อมยิ้มของลุงไหว กินมาก ๆ ระวังฟันผุนะครับ” แล้วเขาส่งยิ้มมุมปากให้ฉันที่เงยหน้ามองตาค้าง ซวยแล้วยัยเขม ฉันคิดในใจ เขารู้ว่าอมยิ้มนี้ซื้อมาจากที่ไหน และนั่นเขาก็ต้องรู้ว่าฉันแอบออกนอกโรงเรียนไปซื้อขนมด้วย โอ๊ย...โดดเรียน แอบออกไปนอกโรงเรียน แอบกลับหอพัก แถมยังชนแล้วก็...แอ๊กก...
หลังจากนั้นสายตาฉันก็เริ่มจับจ้องแต่เขา พี่กฤษณ์ หนึ่งในอันดับ 5 หนุ่มฮอตของโรงเรียน ทั้ง ๆ ที่เขามีแฟนอยู่แล้ว พี่นก ผู้หญิงอ่อนหวาน เรียบร้อย นุ่มนวล ที่ทำให้ฉันนึกถึง แม่พลอย ในเรื่อง สี่แผ่นดิน
ฉันให้เหตุผลกับตัวเองว่าเพราะต้องคอยจับตามองว่าเขาจะเอาเรื่องที่ฉันโดดเรียนไปบอกอาจารย์ไหม ทำให้ฉันได้รู้รายละเอียดเขาเพิ่มมาทีละนิด และมันก็คงซึมลงไปในใจฉันนับแต่นั้นมา
พี่กฤษณ์เป็นคนนุ่มนวล พูดจาไพเราะกับผู้หญิง นิสัยขี้เล่น แอบมีแววเจ้าชู้นิด ๆ แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าพี่เขารักแฟนมาก กระนั้นก็ยังไม่วายมีกลุ่มแฟนคลับที่จะต้องคอยให้ขนม ให้จดหมายรักกับเขาอยู่เกือบทุกวัน ซึ่งฉันรู้มาจากเพื่อนชายในห้องที่อยู่หอเดียวกันกับพี่ (เพระเขาทำให้ฉันมีความรู้สึกที่ดีขึ้นกับผู้ชายและมีเริ่มมีเพื่อนผู้ชาย) ว่าเขาไม่เคยเปิดอ่านจดหมายพวกนั้นเลยสักครั้ง ส่วนขนม ถ้าไม่ให้เพื่อน ก็มักจะส่งมาให้รุ่นน้อง แน่นอนว่าเพื่อนของฉันมักได้รับอานิสงส์นั้นบ่อยครั้ง เพราะมันตะกละ
ฉันไม่รู้หรอกว่านับวันความรู้สึกตอนที่แอบมองพี่กฤษณ์มันจะพิเศษกว่าตอนที่มองผู้ชายคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ก็มีหลายคน ที่พยายามเอาตัวเองมาให้ฉันมอง วันไหนที่พี่กฤษณ์จะต้องไปเรียน รด.ข้างนอก วันนั้นฉันมักจะรู้สึกโหวง ๆ ตัวเบา ๆ เหมือนลอย ๆ ยังไงก็ไม่รู้
“เขม ฉันถามแกตรง ๆ นะ แกแอบชอบพี่กฤษณ์ใช่ไหม” ดา เพื่อนของฉันถามในระหว่างที่พวกเรากำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาค ทำให้ปั้นและอุ๊ที่นั่งอ่านอยู่ด้วยกันเงยหน้าขึ้นพร้อมกันและมองฉันด้วยสายตาอยากรู้ทันที
“บ้าเหรอแก พี่เขามีแฟนแล้วนะ” ฉันเอ็ดไปไม่ดังนักเพราะไม่อยากรบกวนคนอื่น
“แกอย่ามาโกหก ฉันเห็นแกแอบมองพี่เขาทุกครั้งที่กินข้าว เข้าแถวเคารพธงชาติ เปลี่ยนคาบเรียน และทุกครั้งที่พัก” ดายังคงคาดคั้นเอาความจริงกับฉันด้วยเสียงเกือบกระซิบเหมือนกัน
“จริง” “จริง” นกขุนทองคู่เอ่ยสนับสนุน ทั้งยังผนึกกำลังส่งสายตาคาดคั้นใส่ฉัน
ฉันรีบตั้งสติแล้วโต้กลับไป “แล้วไง ชอบแล้วไง ไม่ชอบแล้วไง ยังไงพี่เขาก็มีแฟนแล้ว พี่นกก็ทั้งสวย เพรียบพร้อม น่ารัก เป็นกุลสตรี พี่กฤษณ์ไม่มีทางเลิกกับพี่นกแล้วมาคบกับฉันหรอก” พูดไปแล้วก็จี๊ดแฮะ ฉันนี่มันมาโซคิสต์ชัด ๆ
ดามองหน้าฉันอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอนหายใจ “เฮ้อ ดีแล้วที่แกรู้ตัว จะได้ไม่เจ็บ” แล้วก็กลับไปสนใจหนังสือในมือต่อ ส่วนปั้นกับอุ๊ยังคงมองหน้าฉันและเมื่อฉันเลิกคิ้วใส่ทั้งสองก็ส่ายหน้าทำท่าถอนใจ จากนั้นก็ก้มลงไปอ่านหนังสือเหมือนเดิม
ฉันยังทำเป็นไม่แคร์แล้วหันกลับไปอ่านหนังสือต่อทั้ง ๆ ที่มันไม่เข้าหัวสักนิด ถึงแม้ว่าฉันจะพยายามตั้งสมาธิเพื่อที่จะทบทวนเนื้อหาที่ได้เรียนมาเพื่อเตรียมสอบในอีกไม่กี่วัน โชคดีที่รุ่นพี่ม. 6 ไม่ได้อยู่แถวนี้เพราะอาจารย์จะให้ม. 6 ติวพิเศษเพื่อเตรียมสอบเอนทรานซ์
ฉันรู้ว่ามาพี่กฤษณ์สนใจคณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนพี่นกจะเอนท์คณะพยาบาล เฮ้อ สมกับเป็นพี่นกจริง ๆ เรียบร้อย อ่อนหวาน น่ารัก ฉันไม่รู้สึกเกลียดพี่นกเลยสักนิด ฉันคิดว่าทั้งสองเหมาะสมกันดีออก ถึงแม้ว่าบางครั้งจะรู้สึกเหมือนหายใจไม่ค่อยออกเวลาเห็นพี่กฤษณ์อยู่กับพี่นก ซึ่งพี่กฤษณ์จะกลายเป็นผู้ชายที่ดูดีที่สุดในสายตาของฉัน
จากนั้นมาฉันก็ได้รู้ว่าพี่กฤษณ์เอนท์ติดคณะวิศวกรรมศาสตร์โยธาของมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ส่วนพี่นกก็ติดคณะพยาบาลศาสตร์ตามที่หวังไว้ เพียงแต่...ทั้งสองติดกันคนละที่ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็มั่นใจว่าความห่างไกลไม่เป็นอุปสรรคของทั้งสองแน่นอน เพราะพี่กฤษณ์ดูจะรักพี่นกมาก ส่วนพี่นก ฉันก็คิดว่าคงรักพี่กฤษณ์เช่นกัน ก็พี่กฤษณ์ทั้งสมบูรณ์แบบออกอย่างนี้ และฉันก็ไม่เห็นพี่นกจะมีวี่แววว่าจะปรายตามองใครเลย
แต่ฉันคิดผิด หนึ่งปีหลังจากที่ทั้งสองจบจากโรงเรียนและเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ฉันก็ได้ยินข่าวความระหองระแหงของทั้งสอง ตอนแรกฉันก็คิดว่าคงเป็นเหมือนอย่างทุกครั้งที่พี่กฤษณ์มักจะมีสาว ๆ มาปลื้มและชอบพอ ซึ่งนั่นอาจทำให้พี่นกหวั่นไหว แต่ฉันก็ยังคงคิดว่าทั้งคู่จะไม่เลิกกัน
จนในที่สุดเมื่อฉันกำลังจะเตรียมสอบเอนทรานซ์ซึ่งเป็นระบบที่เริ่มใช้ GPA และ percentile ประกอบในการให้คะแนน ฉันสละสิทธิ์โควต้าคณะแพทย์ฯ รวมถึงโควต้าอื่น ๆทางสายนี้ ที่ฉันได้รับสิทธิ์เพราะฉันมี percentile และ GPA สูง ฉันเลือกที่จะสอบเอนท์ทรานซ์และเลือกคณะที่มีฉันเป็นผู้หญิงคนแรกของโรงเรียนที่เลือกคณะนี้ ฉันเลือกเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งปกติเด็ก ๆ ในโรงเรียนของฉันโดยเฉพาะผู้หญิงมักจะเลือกเรียนทางด้านแพทย์ฯ เทคนิคการแพทย์พยาบาล เภสัชฯ สหเวช หรือสายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน ฉันซึ่งให้เหตุผลกับตัวเองว่าเป็นเพราะฉันเบื่อที่จะเรียนวิชาชีววิทยาซึ่งเป็นวิชาที่ฉันทำคะแนนได้ดีมาก ฉันอยากลองเน้นทางด้านอื่นบ้าง แต่ลึก ๆ แล้วฉันรู้ว่าฉันเลือกเรียนวิศวะเพราะอะไร
ซึ่งฉันก็ไม่ผิดหวัง ฉันสอบติดวิศวกรรมศาสตร์และเป็นที่เดียวกับที่พี่กฤษณ์เรียนอยู่ แต่ในรุ่นของฉันคณะวิศวกรรมศาสตร์ยังไม่ได้แยกเอก จะต้องไปเลือกเรียนทีหลัง ปั้น ดา และอุ๊ เอนท์ไม่ติด ปั้นเลือกเรียนตชด.เพื่อที่จะเป็นครู ดาและอุ๊เรียนมหาวิทยาลัยเอกชน เราทั้งสี่ต่างก็เดินตามเส้นทางที่เลือก แต่ยังคงติดต่อกัน
ในวันรับน้องฉันดีใจมากเพราะฉันคิดว่าฉันจะต้องได้เจอกับพี่กฤษณ์ซึ่งเป็นทั้งรุ่นพี่โรงเรียนและเป็นทั้งรุ่นพี่คณะ แต่ฉันก็ต้องผิดหวัง ตลอดช่วงเวลารับน้องอันแสนหฤโหดที่เรียกว่า “ประชุมเชียร์” (ที่มหาวิทยาลัยยังใช้ระบ SOTUS : S = Seniority, O = Order, T = Tradition, S = Spirit) ภายหลังถูกต่อต้านจากผู้ปกครองเพราะเห็นว่าเป็นการทารุณกรรมรุ่นน้องมากกว่าจึงถูกยกเลิกไป ฉันไม่เห็นพี่กฤษณ์แม้แต่เงา
วันสุดท้ายของการประชุมเชียร์ เราต้องเข้าไปทดสอบในแต่ละฐานซึ่งใช้เวลาเกือบทั้งคืน ทั้งนี้ก่อนที่จะทำกิจกรรมนี้ รุ่นพี่ได้ถามความสมัครใจของรุ่นน้องก่อนแล้วว่าจะยินดีรับการทดสอบหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตอบรับ แหงล่ะ เหนื่อยแทบตาย ให้มาล้มเลิกวันสุดท้ายมันก็ไม่คุ้มกับที่ลงแรงไปสิ ฉันมีโอกาสได้พบกับพี่กฤษณ์ในฐานสุดท้าย
“ไหนใครคิดว่าตัวเองเจ๋งพอ มีคุณสมบัติพอที่จะเรียนวิศวะ” น้ำเสียงดุกร้าวที่กระโชกออกมา ทำให้ผู้หญิงหลายคนในกลุ่มมีอาการกระตุกนิด ๆ แต่ไม่ใช่ฉันที่กำลังจ้องมองนัยย์ตาคมหวานที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นเย้ยหยัน กับใบหน้าเย็นชาที่แสดงออกมา
“ทำไมไม่มีใครตอบ หา! ไม่มีปากกันหรือไง” เสียงรุ่นพี่คนเดิม ตะโกนถามอีกครั้ง แต่ฉันก็ไม่สะท้านเพราะบัดนี้ ความสนใจเดียวของฉันคือพี่กฤษณ์ที่ยืนอยู่ข้างรุ่นพี่ที่ตะโกนถามพวกเรา
“น้อง มองหน้าเพื่อนพี่ทำไม คิดว่าเจ๋งเหรอ ลืมไปแล้วเหรอ SOTUS น่ะ ไหนลองบอกพี่หน่อยสิ ว่า SOTUS คืออะไร” ในที่สุดฉันก็ต้องละสายตาจากพี่กฤษณ์และต้องตอบคำถามของรุ่นพี่ ซึ่งฉันจะต้องทำให้ดีเพราะถ้าไม่ นั่นหมายถึงทั้งกลุ่มจะถูกลงโทษ
“ดิฉัน นางสาวเข็มอัปสร จันทรภาค นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย....รุ่นที่ 42 ขอตอบเรื่อง SOTUS
S คือ Seniority, O คือ Order, T คือ Tradition และ S สุดท้ายคือ Spirit ค่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงดังฟังชัดอย่างมั่นใจ เพราะหากพูดเสียงเบาหรืออ่อนมักจะถูกทำโทษ เพราะเป้าหมายคือฝึกความแข็งแกร่งและความสามัคคี
นั่นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่ฉันได้เห็นพี่กฤษณ์ เขาเปลี่ยนไปมาก ทั้งแววตาและการแสดงออกทางสีหน้า แน่นอนว่าพี่กฤษณ์ดูคมเข้มขึ้น สูงขึ้น แต่พี่กฤษณ์ที่ฉันรู้จักที่โรงเรียนนั้นได้หายไป แววตาที่เคยดูอบอุ่น ขี้เล่นเปลี่ยนเป็นเย้ยหยัน ดูถูก แนวสันกรามแข็งแรงนั่นยิ่งทำให้พี่กฤษณ์ดูเคร่งขรึมเมื่อไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างเคย เกิดอะไรขึ้นกับเขานะ
โย่ว ๆ จริง ๆ อยากเขียนต่อมาก ๆ แต่ต้องไปนอนละ เช้าแล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น
ใครว่าละครมันน้ำเน่า ชีวิตจริงมันยิ่งกว่าละครเสียอีก
หลายครั้งที่ฉันนั่งดูละครหลังข่าวแล้วก่นด่านางเอก ว่าทำไมถึงต้องยอมเป็นผู้เสียสละ ทำไมถึงไม่พูดอะไรให้พระเอกเข้าใจ ทำไมถึงยอมให้เขาเข้าใจผิด แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังดูจนจบทุกเรื่อง ฉันได้แต่คิดว่าในชีวิตจริงจะมีผู้หญิงงี่เง่าแบบนั้นอยู่อีกหรือ ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่ใช่
“อย่าไปยอมมัน ชิชะ ตบมาก็ตบกลับซิวะ” นั่นคือเสียงฉันเอง มีเพียงตอนที่ฉันดูละคร และเม้าท์กับเพื่อนผู้หญิงเท่านั้นที่เสียงของฉันจะ “เหมือน” พูดหญิง อืม...ยังไงดีล่ะ เอาเป็นว่านอกจากนั้น เสียงของฉันค่อนข้างจะ “ทุ้ม” ซึ่งฉันก็คิดว่ามันเป็นข้อดีเหมือนกันนะ เพราะว่าฉันสามารถร้องเพลงได้ทั้งคีย์เสียงผู้ชายและผู้หญิง
เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันเถอะ ฉันเกริ่นถึงไหนนะ อ้อ นางเอก นั่นแหละค่ะ สไตล์นางเอกที่ฉันชอบก็คือ อั้ม พัชราภา ยิ่งประเภทตบมา ต่อยกลับยิ่งชอบ และฉันจะเกลียดพวกเอะอะก็บีบน้ำตา พูดเสียงเครือ จึ๊ ๆ เห็นแล้วหงุดหงิด เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ตอนแรกนางเอกน่ะ สเปคฉันมาก ประเภทตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่พอได้เริ่มหลงรักพระเอกแล้วก็เข้าอีหรอบเดิมของนางเอกไทย ซึ่งมันกำลังทำให้ฉันหงุดหงิดเป็นอย่างมากเลยนะนี่
“บ้าไปแล้วแกยัยเขม แกไปเก็บกดมาจากไหนถึงได้มาระบายกับละครอย่างนี้” ปั้นเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมแขวะใส่ฉัน
“แกก็ดูดิ อยู่ดี ๆ ก็ให้ยัยนางร้ายแอ๊บแบ๊วนั่นมาตบโดยไม่ตอบโต้ซักคำ นี่มันหลอกลวงกันชัด ๆ ไหนตอนแรกสร้างอิมเมจให้ลุยแหลกไง ฮึ้ย! นางเอกเสียเชิงหญิงตอนรักกับพระเอกนี่แหละ มีความรักไม่เห็นดีเลย” ฉันหงุดหงิด
ปั้นละสายตาจากจอโทรทัศน์แล้วหันมาพูดกับฉันอย่างจริงจัง “เหอะ! ปากดี แกก็มีนิ รู้แล้วใช่ไหม ว่าพี่เขาเลิกกับแฟนอีกแล้ว”
ฉันหมดความสนใจจากละครน้ำเน่าที่กำลังอินอยู่ทันที พลันความทรงจำก็ประมวลภาพเรื่องราวต่าง ๆ ที่ฉันพยายามซุกซ่อนไว้ในซอกลึกสุด ๆ ของหัวใจ ...ชักเริ่มเน่าแล้วแฮะ
ฉันเรียนโรงเรียนประจำมาตลอดตั้งแต่เด็ก ซึ่งแน่นอนว่าโอกาสที่จะเจอใครหลาย ๆ คนนั่นมันก็คงจะเฉพาะเด็กนักเรียนในโรงเรียนเท่านั้น ฉันได้โควต้ามาเรียนที่โรงเรียนประจำแห่งหนึ่งโดยไม่ต้องสอบ ฉันเป็นเด็กใหม่ในระดับชั้นมัธยมปลาย การปรับตัวสำหรับฉันมันก็ค่อนข้างลำบาก เพราะลักษณะนิสัยจำเพาะของฉันนั่นเอง
ฉันไม่ค่อยอยากชมตัวเองหรอกค่ะ แต่ด้วยเชื้อสายจีนผสมผสานกับไทยทางภาคเหนือทำให้ฉันได้รับผิวขาว นวลละออมาจากบรรพบุรุษ นัยย์ตาเรียวโต คิ้วคมเข้ม รูปร่างก็...สมัยพิมพ์นิยมเมื่อ 50 ปีก่อนที่เขาเรียกว่า “อวบอิ่ม” โดยเฉพาะหน้าอก ทำให้ฉันมักเป็นที่สนใจของเพศตรงข้ามเสมอ ซึ่งฉันไม่ค่อยชอบนัก เพราะเด็กผู้ชายส่วนใหญ่มักจะชอบมองที่หน้าอกของฉันอย่างไม่เกรงใจฉันบ้างเลย ฉันเลยมีนิสัยที่ค่อนข้างเงียบขรึมและต้องใช้สายตาดุจ้องหน้าพวกที่ชอบมองหน้าอกของฉัน ค่อนข้างที่จะเกลียดและไม่ชอบเพศตรงข้ามมากนัก ฉันไม่ค่อยมีความประทับใจกับเพศตรงข้ามเลย
แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นทอมนะ ถึงแม้ฉันมักจะชอบมองผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็จากประสบการณ์วัยเด็ก ผู้ชายในชั้นเรียนไม่ค่อยน่ามองนี่คะ พวกบ้าพลัง ชอบแกล้งผู้หญิง ลามก และตกเย็นก็มักมีกลิ่นเหงื่อลอยคละคลุ้งจนแทบเฉียดเข้าใกล้ไม่ได้ ยิ่งฉันที่เป็นพวกประสาทสัมผัสทางจมูกไวด้วยแล้วล่ะก็ มันทำให้ฉันไม่อยากจะเฉียดเข้าใกล้ผู้ชายภายในระยะ 1 เมตรโดยไม่จำเป็นเลย
ครั้งแรกที่มีผู้ชายที่สามารถข้ามผ่านข้อห้ามมากมายของฉันเกิดเมื่อตอนที่ฉันแอบโดดเรียน ซึ่งอันที่จริงจะเรียกว่าโดดไม่ได้ เพียงแต่อาจารย์ไม่ว่างเลยให้นักเรียนนั่งอ่านหนังสือทบทวนด้วยตัวเองอยู่ในห้องเรียน แต่ฉันซึ่งอ่านไว้ล่วงหน้าแล้วก็เลยคิดว่าน่าจะหาอย่างอื่นทำมากกว่า ฉันและเพื่อน ๆ ซึ่งก็มี ปั้น อุ๊ ดา หลบออกไปซื้อขนมจากร้านค้านอกโรงเรียนแล้วแอบกลับไปกินที่หอพัก ตามกฏแล้วในเวลาเรียนจะไม่อนุญาตให้นักเรียนกลับไปที่หอโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ดาที่เป็นเด็กเก่า (หมายถึงเด็กนักเรียนที่เลื่อนชั้นจากม. 3 แต่ฉัน ปั้น และอุ๊ เป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเรียนตอนม. 4)ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับกฏพวกนี้รวมถึงทางหนีทีไล่ที่จะไม่ให้โดนจับได้
พวกเราแอบกลับไปยังหอพักและนั่งทานขนม อ่านการ์ตูนและนิยายที่เอามาจากบ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นของฉันและปั้นคอเดียวกัน ในขณะที่ฉันกำลังนอนอ่านการ์ตูน oh my love อยู่บนเสื่อด้านใต้หอ ดาซึ่งหูตาไวเป็นพิเศษก็อุทานและส่งสัญญาณเตือน
“เฮ้ย! อาจารย์อัญกำลังเดินมาทางนี้” เสียงเก็บของพรึ่บพรั่บ ทั้งการ์ตูน ขนม นิยาย เสื่อ รวมถึงเสื้อนักเรียนที่ถอดทิ้งไว้เพราะไม่อยากให้มันยับตอนนอนกลิ้งดังขึ้นเล็กน้อย จากนั้นพวกเราก็รีบวิ่งมุดไปที่ราวตากผ้าด้านหลังเพื่อหลบไปให้พ้นจากสายตาของอาจารย์ประจำหอที่กำลังเดินมา ไม่ต้องให้ใครบอกว่าต้อง “เก็บทำลายหลักฐาน” กันยังไงบ้าง มันเป็นไปตามสัญชาตญาณของการเอาตัวรอดล้วน ๆ
ฉันจำได้ว่าฉันกวาดขนมทั้งหมดมาไว้ในอ้อมแขน คว้าเสื้อนักเรียนแล้วก็วิ่งซุกหัวรอดราวตากผ้าไปอย่างรวดเร็ววิ่งทะลุหอพักหญิงของเด็กม.ต้นเพื่อที่จะออกไปทางด้านหลัง
ตุ้บ! โอ๊ย!
ฉันรู้สึกเหมือนวิ่งชนกำแพงที่ทั้งแข็งและนุ่ม และฉันก็เจ็บจี๊ดที่ลิ้นเพราะว่าตอนที่ชนนั้นฟันของฉันดันไปกระทบกับลิ้นเข้าอย่างจัง เจ็บจนน้ำตาเล็ดเลยแหละ ฉันยกมือข้างนึงกุมไว้ที่ปากเพราะความเจ็บและปล่อยเสียงครางออกมา
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับน้อง” เสียงนั้นทุ้มนุ่มแต่ก็มีแววแห่งความตระหนกอยู่เล็กน้อย นั่นทำให้ฉันรู้สึกตัวว่าตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนหนึ่ง แขนซ้ายหอบขนมไว้แน่น มือขวาที่ถือเสื้อนักเรียนกุมไว้ที่ปาก
ฉันตาเหลือกเงยหน้าขึ้นเพราะส่วนสูงอันน้อยนิดของฉันทำให้ใบหน้าฉันอยู่แค่ระดับอกของเขาเท่านั้น ในเวลาที่ฉันตกใจ ความสามารถในการประมวลของสมองอาจช้าบ้างสัก... 3 – 5 วินาที ซึ่งนั่นก็นานพอที่จะทำให้เขาต้องถามย้ำอีกครั้ง
“เอ่อ...น้องครับ พี่ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เขาเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างสูงมาก ผิวเข้ม จมูกโด่ง ริมฝีปากเรียวบางต่างจากฉันที่เป็นพิมพ์นิยม “อวบอิ่ม” นัยย์ตาคมหวานเหมือนนัยย์ตาแขก ไม่สิ ฉันรีบเรียกสติกลับมาเมื่อได้ยินคำถามอีกครั้ง
“อะ เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ ขอโทษนะคะ โอ๊ย! “ ฉันหลุดเสียงครางออกมาเมื่อแผลที่ลิ้นไปกระทบกับฟันอีกรอบ
“นี่มันเลือดนี่ น้องเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เขาอุทานเมื่อมองเห็นคราบเลือดที่ติดอยู่ที่ปกเสื้อนักเรียนที่ฉันยกขึ้นมาปิดปาก พร้อมกันนั้นก็ยกเสื้อขึ้นมาดู นั่นทำให้เสื้อที่คลุมตัวฉันอยู่หลุดออกมาและทำให้ฉันอุทานอย่างตกใจ เพราะเพิ่งเริ่มสำนึกว่าตอนนี้ท่อนบนของฉันมีแค่เสื้อซับในตัวบางเท่านั้น
“โอ๊ะ! ขอโทษครับน้อง” เขารีบปล่อยเสื้อรวมถึงปล่อยตัวฉันแล้วรีบหันหลังให้ ในหัวฉันตอนนี้มีแต่เสียงวี๊ด ๆ เหมือนกาน้ำร้อนเดือด ความร้อนพุ่งขึ้นมาสู่ใบหน้า ลำคอและหู ฉันรีบหันหลังและใส่เสื้อนักเรียนอย่างสั่น ๆ ขนมที่หอบไว้ในอ้อมแขนหล่นกระจาย เมื่อติดกระดุมแต่งตัวให้เรียบร้อยเสร็จ ฉันก็ได้แต่ก้มหน้าลงอย่างกลัว ๆ เพราะเขาเป็นรุ่นพี่ม. 6 ที่เป็นอดีตรองประธานนักเรียน ฉันซึ่งเป็นรุ่นน้องทั้งยังทำความผิดชนิด “คาตา” พร้อมหลักฐานก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา
“เสร็จแล้วใช่ไหมครับ”
“ค่ะ” เป็นคำเดียวที่ฉันนึกออกในเวลานี้
ฉันรู้ว่าเขาหันมาและรู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง แต่ก็ยังไม่กล้าจะเงยหน้าสู้เหมือนอย่างทุกครั้ง ฉันไม่รู้หรอกว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ที่แน่ ๆ ฉันรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ค่อยออก ในหัวมีแต่เสียงวี๊ด ๆ อยู่ตลอดเวลา
“น้องเป็นอะไรไหมครับ” เขายังคงตั้งคำถามอีก
ฉันส่ายหัว แล้วนึกขึ้นได้ว่าต้องตอบ “ไม่ค่ะ”
“แล้วน้องกำลังวิ่งหนีอะไรอยู่”
“อะ เอ่อ...” ท่าทางอึกอักของฉันของทำให้เขาเดาออก เราเงียบกันไปพักใหญ่ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมา
“งั้นพี่ไปนะครับ” เขาบอกและหมุนตัวเดินจากไป แต่ก็หยุดชะงักแล้วหันมาบอกกับฉันว่า
“อมยิ้มของลุงไหว กินมาก ๆ ระวังฟันผุนะครับ” แล้วเขาส่งยิ้มมุมปากให้ฉันที่เงยหน้ามองตาค้าง ซวยแล้วยัยเขม ฉันคิดในใจ เขารู้ว่าอมยิ้มนี้ซื้อมาจากที่ไหน และนั่นเขาก็ต้องรู้ว่าฉันแอบออกนอกโรงเรียนไปซื้อขนมด้วย โอ๊ย...โดดเรียน แอบออกไปนอกโรงเรียน แอบกลับหอพัก แถมยังชนแล้วก็...แอ๊กก...
หลังจากนั้นสายตาฉันก็เริ่มจับจ้องแต่เขา พี่กฤษณ์ หนึ่งในอันดับ 5 หนุ่มฮอตของโรงเรียน ทั้ง ๆ ที่เขามีแฟนอยู่แล้ว พี่นก ผู้หญิงอ่อนหวาน เรียบร้อย นุ่มนวล ที่ทำให้ฉันนึกถึง แม่พลอย ในเรื่อง สี่แผ่นดิน
ฉันให้เหตุผลกับตัวเองว่าเพราะต้องคอยจับตามองว่าเขาจะเอาเรื่องที่ฉันโดดเรียนไปบอกอาจารย์ไหม ทำให้ฉันได้รู้รายละเอียดเขาเพิ่มมาทีละนิด และมันก็คงซึมลงไปในใจฉันนับแต่นั้นมา
พี่กฤษณ์เป็นคนนุ่มนวล พูดจาไพเราะกับผู้หญิง นิสัยขี้เล่น แอบมีแววเจ้าชู้นิด ๆ แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าพี่เขารักแฟนมาก กระนั้นก็ยังไม่วายมีกลุ่มแฟนคลับที่จะต้องคอยให้ขนม ให้จดหมายรักกับเขาอยู่เกือบทุกวัน ซึ่งฉันรู้มาจากเพื่อนชายในห้องที่อยู่หอเดียวกันกับพี่ (เพระเขาทำให้ฉันมีความรู้สึกที่ดีขึ้นกับผู้ชายและมีเริ่มมีเพื่อนผู้ชาย) ว่าเขาไม่เคยเปิดอ่านจดหมายพวกนั้นเลยสักครั้ง ส่วนขนม ถ้าไม่ให้เพื่อน ก็มักจะส่งมาให้รุ่นน้อง แน่นอนว่าเพื่อนของฉันมักได้รับอานิสงส์นั้นบ่อยครั้ง เพราะมันตะกละ
ฉันไม่รู้หรอกว่านับวันความรู้สึกตอนที่แอบมองพี่กฤษณ์มันจะพิเศษกว่าตอนที่มองผู้ชายคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ก็มีหลายคน ที่พยายามเอาตัวเองมาให้ฉันมอง วันไหนที่พี่กฤษณ์จะต้องไปเรียน รด.ข้างนอก วันนั้นฉันมักจะรู้สึกโหวง ๆ ตัวเบา ๆ เหมือนลอย ๆ ยังไงก็ไม่รู้
“เขม ฉันถามแกตรง ๆ นะ แกแอบชอบพี่กฤษณ์ใช่ไหม” ดา เพื่อนของฉันถามในระหว่างที่พวกเรากำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาค ทำให้ปั้นและอุ๊ที่นั่งอ่านอยู่ด้วยกันเงยหน้าขึ้นพร้อมกันและมองฉันด้วยสายตาอยากรู้ทันที
“บ้าเหรอแก พี่เขามีแฟนแล้วนะ” ฉันเอ็ดไปไม่ดังนักเพราะไม่อยากรบกวนคนอื่น
“แกอย่ามาโกหก ฉันเห็นแกแอบมองพี่เขาทุกครั้งที่กินข้าว เข้าแถวเคารพธงชาติ เปลี่ยนคาบเรียน และทุกครั้งที่พัก” ดายังคงคาดคั้นเอาความจริงกับฉันด้วยเสียงเกือบกระซิบเหมือนกัน
“จริง” “จริง” นกขุนทองคู่เอ่ยสนับสนุน ทั้งยังผนึกกำลังส่งสายตาคาดคั้นใส่ฉัน
ฉันรีบตั้งสติแล้วโต้กลับไป “แล้วไง ชอบแล้วไง ไม่ชอบแล้วไง ยังไงพี่เขาก็มีแฟนแล้ว พี่นกก็ทั้งสวย เพรียบพร้อม น่ารัก เป็นกุลสตรี พี่กฤษณ์ไม่มีทางเลิกกับพี่นกแล้วมาคบกับฉันหรอก” พูดไปแล้วก็จี๊ดแฮะ ฉันนี่มันมาโซคิสต์ชัด ๆ
ดามองหน้าฉันอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอนหายใจ “เฮ้อ ดีแล้วที่แกรู้ตัว จะได้ไม่เจ็บ” แล้วก็กลับไปสนใจหนังสือในมือต่อ ส่วนปั้นกับอุ๊ยังคงมองหน้าฉันและเมื่อฉันเลิกคิ้วใส่ทั้งสองก็ส่ายหน้าทำท่าถอนใจ จากนั้นก็ก้มลงไปอ่านหนังสือเหมือนเดิม
ฉันยังทำเป็นไม่แคร์แล้วหันกลับไปอ่านหนังสือต่อทั้ง ๆ ที่มันไม่เข้าหัวสักนิด ถึงแม้ว่าฉันจะพยายามตั้งสมาธิเพื่อที่จะทบทวนเนื้อหาที่ได้เรียนมาเพื่อเตรียมสอบในอีกไม่กี่วัน โชคดีที่รุ่นพี่ม. 6 ไม่ได้อยู่แถวนี้เพราะอาจารย์จะให้ม. 6 ติวพิเศษเพื่อเตรียมสอบเอนทรานซ์
ฉันรู้ว่ามาพี่กฤษณ์สนใจคณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนพี่นกจะเอนท์คณะพยาบาล เฮ้อ สมกับเป็นพี่นกจริง ๆ เรียบร้อย อ่อนหวาน น่ารัก ฉันไม่รู้สึกเกลียดพี่นกเลยสักนิด ฉันคิดว่าทั้งสองเหมาะสมกันดีออก ถึงแม้ว่าบางครั้งจะรู้สึกเหมือนหายใจไม่ค่อยออกเวลาเห็นพี่กฤษณ์อยู่กับพี่นก ซึ่งพี่กฤษณ์จะกลายเป็นผู้ชายที่ดูดีที่สุดในสายตาของฉัน
จากนั้นมาฉันก็ได้รู้ว่าพี่กฤษณ์เอนท์ติดคณะวิศวกรรมศาสตร์โยธาของมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ส่วนพี่นกก็ติดคณะพยาบาลศาสตร์ตามที่หวังไว้ เพียงแต่...ทั้งสองติดกันคนละที่ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็มั่นใจว่าความห่างไกลไม่เป็นอุปสรรคของทั้งสองแน่นอน เพราะพี่กฤษณ์ดูจะรักพี่นกมาก ส่วนพี่นก ฉันก็คิดว่าคงรักพี่กฤษณ์เช่นกัน ก็พี่กฤษณ์ทั้งสมบูรณ์แบบออกอย่างนี้ และฉันก็ไม่เห็นพี่นกจะมีวี่แววว่าจะปรายตามองใครเลย
แต่ฉันคิดผิด หนึ่งปีหลังจากที่ทั้งสองจบจากโรงเรียนและเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ฉันก็ได้ยินข่าวความระหองระแหงของทั้งสอง ตอนแรกฉันก็คิดว่าคงเป็นเหมือนอย่างทุกครั้งที่พี่กฤษณ์มักจะมีสาว ๆ มาปลื้มและชอบพอ ซึ่งนั่นอาจทำให้พี่นกหวั่นไหว แต่ฉันก็ยังคงคิดว่าทั้งคู่จะไม่เลิกกัน
จนในที่สุดเมื่อฉันกำลังจะเตรียมสอบเอนทรานซ์ซึ่งเป็นระบบที่เริ่มใช้ GPA และ percentile ประกอบในการให้คะแนน ฉันสละสิทธิ์โควต้าคณะแพทย์ฯ รวมถึงโควต้าอื่น ๆทางสายนี้ ที่ฉันได้รับสิทธิ์เพราะฉันมี percentile และ GPA สูง ฉันเลือกที่จะสอบเอนท์ทรานซ์และเลือกคณะที่มีฉันเป็นผู้หญิงคนแรกของโรงเรียนที่เลือกคณะนี้ ฉันเลือกเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งปกติเด็ก ๆ ในโรงเรียนของฉันโดยเฉพาะผู้หญิงมักจะเลือกเรียนทางด้านแพทย์ฯ เทคนิคการแพทย์พยาบาล เภสัชฯ สหเวช หรือสายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน ฉันซึ่งให้เหตุผลกับตัวเองว่าเป็นเพราะฉันเบื่อที่จะเรียนวิชาชีววิทยาซึ่งเป็นวิชาที่ฉันทำคะแนนได้ดีมาก ฉันอยากลองเน้นทางด้านอื่นบ้าง แต่ลึก ๆ แล้วฉันรู้ว่าฉันเลือกเรียนวิศวะเพราะอะไร
ซึ่งฉันก็ไม่ผิดหวัง ฉันสอบติดวิศวกรรมศาสตร์และเป็นที่เดียวกับที่พี่กฤษณ์เรียนอยู่ แต่ในรุ่นของฉันคณะวิศวกรรมศาสตร์ยังไม่ได้แยกเอก จะต้องไปเลือกเรียนทีหลัง ปั้น ดา และอุ๊ เอนท์ไม่ติด ปั้นเลือกเรียนตชด.เพื่อที่จะเป็นครู ดาและอุ๊เรียนมหาวิทยาลัยเอกชน เราทั้งสี่ต่างก็เดินตามเส้นทางที่เลือก แต่ยังคงติดต่อกัน
ในวันรับน้องฉันดีใจมากเพราะฉันคิดว่าฉันจะต้องได้เจอกับพี่กฤษณ์ซึ่งเป็นทั้งรุ่นพี่โรงเรียนและเป็นทั้งรุ่นพี่คณะ แต่ฉันก็ต้องผิดหวัง ตลอดช่วงเวลารับน้องอันแสนหฤโหดที่เรียกว่า “ประชุมเชียร์” (ที่มหาวิทยาลัยยังใช้ระบ SOTUS : S = Seniority, O = Order, T = Tradition, S = Spirit) ภายหลังถูกต่อต้านจากผู้ปกครองเพราะเห็นว่าเป็นการทารุณกรรมรุ่นน้องมากกว่าจึงถูกยกเลิกไป ฉันไม่เห็นพี่กฤษณ์แม้แต่เงา
วันสุดท้ายของการประชุมเชียร์ เราต้องเข้าไปทดสอบในแต่ละฐานซึ่งใช้เวลาเกือบทั้งคืน ทั้งนี้ก่อนที่จะทำกิจกรรมนี้ รุ่นพี่ได้ถามความสมัครใจของรุ่นน้องก่อนแล้วว่าจะยินดีรับการทดสอบหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตอบรับ แหงล่ะ เหนื่อยแทบตาย ให้มาล้มเลิกวันสุดท้ายมันก็ไม่คุ้มกับที่ลงแรงไปสิ ฉันมีโอกาสได้พบกับพี่กฤษณ์ในฐานสุดท้าย
“ไหนใครคิดว่าตัวเองเจ๋งพอ มีคุณสมบัติพอที่จะเรียนวิศวะ” น้ำเสียงดุกร้าวที่กระโชกออกมา ทำให้ผู้หญิงหลายคนในกลุ่มมีอาการกระตุกนิด ๆ แต่ไม่ใช่ฉันที่กำลังจ้องมองนัยย์ตาคมหวานที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นเย้ยหยัน กับใบหน้าเย็นชาที่แสดงออกมา
“ทำไมไม่มีใครตอบ หา! ไม่มีปากกันหรือไง” เสียงรุ่นพี่คนเดิม ตะโกนถามอีกครั้ง แต่ฉันก็ไม่สะท้านเพราะบัดนี้ ความสนใจเดียวของฉันคือพี่กฤษณ์ที่ยืนอยู่ข้างรุ่นพี่ที่ตะโกนถามพวกเรา
“น้อง มองหน้าเพื่อนพี่ทำไม คิดว่าเจ๋งเหรอ ลืมไปแล้วเหรอ SOTUS น่ะ ไหนลองบอกพี่หน่อยสิ ว่า SOTUS คืออะไร” ในที่สุดฉันก็ต้องละสายตาจากพี่กฤษณ์และต้องตอบคำถามของรุ่นพี่ ซึ่งฉันจะต้องทำให้ดีเพราะถ้าไม่ นั่นหมายถึงทั้งกลุ่มจะถูกลงโทษ
“ดิฉัน นางสาวเข็มอัปสร จันทรภาค นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย....รุ่นที่ 42 ขอตอบเรื่อง SOTUS
S คือ Seniority, O คือ Order, T คือ Tradition และ S สุดท้ายคือ Spirit ค่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงดังฟังชัดอย่างมั่นใจ เพราะหากพูดเสียงเบาหรืออ่อนมักจะถูกทำโทษ เพราะเป้าหมายคือฝึกความแข็งแกร่งและความสามัคคี
นั่นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่ฉันได้เห็นพี่กฤษณ์ เขาเปลี่ยนไปมาก ทั้งแววตาและการแสดงออกทางสีหน้า แน่นอนว่าพี่กฤษณ์ดูคมเข้มขึ้น สูงขึ้น แต่พี่กฤษณ์ที่ฉันรู้จักที่โรงเรียนนั้นได้หายไป แววตาที่เคยดูอบอุ่น ขี้เล่นเปลี่ยนเป็นเย้ยหยัน ดูถูก แนวสันกรามแข็งแรงนั่นยิ่งทำให้พี่กฤษณ์ดูเคร่งขรึมเมื่อไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างเคย เกิดอะไรขึ้นกับเขานะ
โย่ว ๆ จริง ๆ อยากเขียนต่อมาก ๆ แต่ต้องไปนอนละ เช้าแล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ต.ค. 2554, 04:25:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ต.ค. 2554, 04:26:09 น.
จำนวนการเข้าชม : 1836
ตอนที่ 2 กวนตะกอนให้คละคลุ้ง? >> |

ปอแก้ว 16 ต.ค. 2554, 11:57:59 น.
อ่า...คุ้นๆกับการประชุมเชียร์แบบนี้จังค่ะ เห็นแล้วคิดถึงจัง
นางเอกนี่กล้าดีค่ะ เพราะปกติพวกปีหนึงถ้าไม่กล้าพอไม่ค่อยมีใครยกมือขึ้นตอบหรอก 555
อ่า...คุ้นๆกับการประชุมเชียร์แบบนี้จังค่ะ เห็นแล้วคิดถึงจัง
นางเอกนี่กล้าดีค่ะ เพราะปกติพวกปีหนึงถ้าไม่กล้าพอไม่ค่อยมีใครยกมือขึ้นตอบหรอก 555

แพม 16 ต.ค. 2554, 17:00:19 น.
ไม่ได้ยกมือตอบหรอกค่ะ เพราะโดนถามเลยต้องตอบ ไม่ตอบมีโดนทั้งกลุ่ม
ไม่ได้ยกมือตอบหรอกค่ะ เพราะโดนถามเลยต้องตอบ ไม่ตอบมีโดนทั้งกลุ่ม

เก่งวิชา 17 ต.ค. 2554, 01:43:16 น.
แต่งได้ใกล้ตัวมากกกกกกกกกก
ตัวเองชัดๆนังแพม
แต่งให้จบนะเฟ้ย อย่าให้ชั้นเสียอารมณ์
กรุณาหาพระเอกให้ตัวเองซะด้วย อิอิอิ
แต่งได้ใกล้ตัวมากกกกกกกกกก
ตัวเองชัดๆนังแพม
แต่งให้จบนะเฟ้ย อย่าให้ชั้นเสียอารมณ์
กรุณาหาพระเอกให้ตัวเองซะด้วย อิอิอิ