ถอดสลักรัก ถอดรหัสใจ
รัก...ที่ฉันคิดว่าไม่มีทางจะเป็นไปได้จนฉันต้องใส่กลอนล๊อคไว้ในซอกใจกำลังจะถูกไขออกมาอีกครั้ง เมื่อเขา...ผู้เป็นดั่งกุญแจสำคัญได้ทำให้ชีวิตที่ฉันพยายามทำให้เรียบง่ายนั้นยุ่งเหยิง

ฉัน...ซึ่งไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นเหมือนนางเอกในละครที่เกลียดจะต้องพบกับสถานการณ์ที่จะต้องมานั่งคิดว่า นางเอกในละครเขาจะต้องทำอย่างไร...

ใครว่าละครมันน้ำเน่า...เรื่องจริงมันยิ่งกว่าซะอีก เพียงแต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่า ฉัน...จะเป็นนางเอกของใครได้
Tags: กฤษณ์ นางเอก เขม

ตอน: ตอนที่ 2 กวนตะกอนให้คละคลุ้ง?

การเผชิญหน้าครั้งที่ 2 เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเราผ่านการทดสอบจนได้รับเกียร์อันมีค่าที่เป็นสัญลักษณ์ของรุ่น พวกรุ่นพี่ได้สอนให้เรารู้จักความอดทน สามัคคี และความแข็งแกร่ง เพราะสายงานทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ต้องการคุณสมบัติเหล่านี้ ต้องเจอกับภาวะกดดันในทุก ๆ ด้าน ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่และบางครั้งอาจรวมถึงชีวิตของลูกน้อง นั่นแหละ คือวัตถุประสงค์ของการประชุมเชียร์ที่พวกรุ่นพี่พยายามปกป้อง ฉันจำได้ว่าในรุ่นของฉัน ได้มีนักข่าวพยายามนำเสนอข่าวของการประชุมเชียร์ในแง่ของการทรมานรุ่นน้อง จนบางครั้งถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล อันที่จริงฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะหนักสาหัสอะไรนัก เมื่อผ่านการทดสอบมา พวกที่มีโรคประจำตัวก็จะถูกแยกออกไปอีกกลุ่มซึ่งไม่ต้องใช้กำลัง และความถึกอย่างกลุ่มของฉัน แต่ก็นั่นแหละ ร้อยพ่อพันแม่เอามารวมกัน จะทำให้ถูกใจทุกคนย่อมไม่มีทางเป็นไปได้

ในวันรับมอบเกียร์รุ่นซึ่งพวกรุ่นพี่ได้ทำเป็นเชือกหนังคล้องคอให้รุ่นน้องแต่ละคน ฉันไม่รู้ว่าตัวเองโชคดีหรือเปล่าเพราะคนที่กำลังสวมสร้อยเกียร์ให้ฉันคือพี่กฤษณ์

“ขอให้น้องตั้งใจเรียนนะครับ ในวันข้างหน้าน้องมีภาระและหน้าที่รับผิดชอบที่หนักหนา พี่ก็ขอให้น้องเก็บเกี่ยวทุกประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ในวันนี้เพื่อที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในวันข้างหน้า” เสียงทุ้มที่เกือบจะเหมือนเมื่อ 3 ปีดังขึ้นเหนือหัวทำให้ฉันที่กำลังก้มหน้าอยู่แทบอยากจะเงยหน้าขึ้นไปมอง ด้วยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบกับพี่กฤษณ์คนเดิม และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหันในขณะที่คนพูดกำลังตั้งใจรูดเชือกให้กระชับกับคอเล็ก ๆ ฉันทันได้เห็นแววประหลาดบางอย่างในขณะที่สบตากับพี่กฤษณ์ แต่ฉันก็คิดว่าคงเป็นเพราะพี่เขาตกใจที่จู่ ๆ ฉันก็เงยหน้าขึ้นมา

“เอาล่ะ เสร็จแล้วครับ” ฉันยังไม่ทันอ้าปากพูดทักทาย ปลายนิ้วสัมผัสที่ส่งผ่านความอบอุ่นที่ผิวบริเวณคอก็ละออกไปพร้อมกับอาการถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างทันที

“ขอบคุณค่ะ” ฉันได้แต่พึมพำกล่าวขอบคุณ

รอยยิ้มที่เกือบจะเหมือนเมื่อ 3 ปีที่แล้วส่งมาจากใบหน้าคมเข้ม เพียงแต่แววตาพี่กฤษณ์ที่ดูเหมือนจะมีความมืดหม่น ไร้ความสดใสเหมือนเมื่อก่อน ฉันคิดว่างั้นนะ

ถึงอย่างนั้นฉันก็ทำได้เพียงยิ้มให้อย่างดีใจให้พี่กฤษณ์ มือขวายกขึ้นมือกำเกียร์ที่ห้อยคออยู่ด้วยจังหวะหัวใจที่รัวเร็วขึ้นเล็กน้อย เกียร์อันนี้ฉันคงรักษามันไว้ด้วยชีวิต เพราะมันเป็นเกียร์ที่พี่กฤษณ์เป็นคนมอบให้ฉัน ตลอดเวลาที่พี่กฤษณ์จบจากโรงเรียนไป ฉันได้แต่ทำใจให้ยอมรับกับความรักครั้งแรกของฉันที่ไม่สมหวัง มีคำกล่าวบ่อยครั้งว่ารักครั้งแรกของเรามักไม่สมหวังและฉันก็คิดว่ามันคงเป็นเช่นนั้นเสมอ

แต่ข่าวคราวที่ได้รู้มาแม้จะพยายามไม่สนใจ ฉันก็อดคิดและหวังขึ้นมาไม่ได้ว่า บางที...ฉันอาจอยู่ในข่ายข้อยกเว้น ฉันไม่รู้รายละเอียดของสาเหตุที่ทั้งสองเลิกกัน ได้แต่ฟังความจากที่มีเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่โรงเรียนพูดต่อ ๆ กันมาอีกที ซึ่งนั่น ฉันก็ลงความเห็นว่าเป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือน้อย เพราะฉันรู้อิทธิฤทธิ์ของการพูดปากต่อปากมานักต่อนักแล้ว เนื้อสารมักเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ตราบใดที่ฉันไม่ได้เป็นจุลินทรีย์ที่ล่องลอยในอากาศหรือเป็นจิ้งจกที่อยู่ข้างเสาในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ฉันไม่เชื่อ...มากนัก

ด้วยความที่คณะของฉันยังไม่ได้เลือกเอกตอนปีหนึ่งและความห่างเหินที่พี่กฤษณ์คงฉันไว้ในฐานะรุ่นน้องคณะ เพียงเท่านั้น...

ฉันได้รับรู้ประสบการณ์ใหม่หลาย ๆ อย่างในรั้วมหาวิทยาลัย ทั้งที่ดี และไม่ดี แน่นอน รวมไปถึงการลิ้มรสเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นครั้งแรก

“เอาเลยครับน้อง ต่อไปเวลาเข้าสังคมจะได้ไม่ถูกมอมเหล้า เราต้องทำตัวให้ชินกับมันเข้าไว้ เมาที่นี่เดี๋ยวมีคนเก็บ” เสียงเชียร์ของรุ่นพี่สันทนาการคนหนึ่งส่งเสียงเชียร์พร้อมกับแก้วเครื่องดื่มที่ฉันรู้แน่นอนว่าต้องมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์แน่นอน

พวกเรา หมายถึง กลุ่มรุ่นน้องซึ่งมีฉันและกลุ่มเพื่อนๆ ที่เข้าฐานทดสอบพร้อมกัน ได้รับการชักชวนจากรุ่นพี่สันทนาการกลุ่มหนึ่งที่ค่อนข้างสนิทกันกับเพื่อน ๆ ในกลุ่ม กลุ่มรุ่นน้องก็มีกันซัก 15 คน ซึ่งฉันก็ไม่ได้สนิทกับทุกคนหรอก ในกลุ่มนั้นฉันรู้จักแค่ 4 คน ขวัญตา เอ๋ ปอ และสริ่ม ขวัญตาและเอ๋เป็นรูมเมทของฉัน ส่วนปอและสริ่มเป็นเพื่อนคณะข้างห้อง รุ่นน้องมีผู้หญิง 5 ผู้ชาย 10 ส่วนรุ่นพี่ เท่าที่ฉันจำได้มีประมาณ 8 คน ผู้หญิง 3 ผู้ชาย 5 เป็นรุ่นพี่ในกลุ่มสันทนาการที่สนิทกับขวัญตา ขวัญตาเป็นสาวสุโขทัยร่างท้วมผิวเข้ม ใบหน้ากลมนั้นฉันคิดว่าน่ารัก จุ๋มจิ๋มดี แต่ขวัญตามักเป็นจุดศูนย์กลางของเพื่อน ๆ ด้วยความที่อัธยาศัยดี และเด็ดขาดในบางครั้ง ฉันก็ได้อานิสงฆ์เพื่อนใหม่จากขวัญตามาเหมือนกัน พวกรุ่นพี่ชักชวนให้มาที่ร้านเหล้าหลังมหาวิทยาลัยซึ่งมักเป็นแหล่งบันเทิงใจของเหล่านิสิตที่คร่ำเคร่งกับการเรียนอย่างพวกคณะวิศวกรรมศาสตร์ อาจเรียกได้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่เกือบ 80% คือนิสิตคณะวิศวะฯ ก็ว่าได้ ไม่รู้ว่าเพราะนิสิตคณะอื่นไปที่อื่นหรือว่าพวกเด็กวิศวะฯเป็น “พวกขี้เมา” อย่างที่เขาว่ากันหรือเปล่า

ฉันยื่นมือออกไปรับอย่างลังเล ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี แต่ด้วยความอยากลองทำให้ฉันรับแก้วเครื่องดื่มนั้นมา

“โหพี่ จะมอมเหล้าไอ้เขมเหรอ ถ้ามันเมาใครจะเก็บมัน” ขวัญตาแทรกมาอย่างทันท่วงที พร้อมกับฉวยแก้วเครื่องดื่มในมือของฉันไป

“อะไรวะ ไอ้ขวัญ แก้วเดียวไม่เมาหรอก ดื่มไว้ให้รู้ว่ามันไม่ดีไง จะได้ไม่โดนมอมเหล้าไง ยิ่งน้องน่ารัก ๆ อย่างน้องเขมยิ่งน่าอันตราย ต้องรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมพวกผู้ชาย” รุ่นพี่สันทนาการที่ส่งแก้วเครื่องดื่มโต้ต่อล้อต่อเถียงกับขวัญตา

“รวมพี่ด้วยใช่ป่ะ” ขวัญตายังคงยอกย้อน

ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังเถียงกึ่ง ๆ ล้อเล่นหรือเอาจริงก็ไม่รู้ ฉันรู้สึกเหมือนถูกมอง จึงละความสนใจหันไปมาต้นตอ และฉันก็ได้พบกับพี่กฤษณ์ที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของร้านฝั่งตรงข้ามกับเพื่อน ๆ และพี่เมธ รุ่นพี่อีกคนที่มาจากโรงเรียนเดียวกับฉันและพี่กฤษณ์

ฉันมองเห็นไม่ถนัดนักเพราะมุมที่พี่กฤษณ์นั่งอยู่ค่อนค่างมืด แต่ฉันรู้สึกเหมือนเด็กที่กำลังแอบทำความผิดแล้วถูกจับใจ ฉันรู้สึกขนลุกขึ้นมาพักนึงจึงลูบแขนตัวเองเบา พี่กฤษณ์มองมาทางฉัน อยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปพูดคุยกับเพื่อนต่อ โดยไม่สนใจฉันอีกเลย ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกแย่ยิ่งขึ้นไปอีก ฉันไม่รู้ว่าระหว่างการมีสายตาจับผิดคอยจับจ้องมา กับการถูกเพิกเฉยอย่างสิ้นเชิง อย่างไหนทรมานกว่ากัน

ฉันได้แต่นั่งมองขวัญตาต่อล้อต่อเถียงกับพวกรุ่นพี่ และเพื่อน ๆ หลายคนที่เริ่มสนุกกับการลิ้มลองเครื่องดื่มมืนเมาโดยเฉพาะเพื่อนผู้ชาย ส่วนผู้หญิงยังคงนั่งรักษาสภาพให้เป็นอยู่เหมือนเดิม เพียงแค่จิบนิด ๆ เพราะฉันไม่เห็นแก้วใครพร่องลงไปมากนัก ยกเว้นปอ ที่ดูเหมือนจะเริ่มยิ้มแย้มบ่อยขึ้น มิน่า เขาถึงเรียกว่า “น้ำเปลี่ยนนิสัย” เพราะปกติปอมักจะไม่ค่อยยิ้ม โดยเฉพาะกับฉัน ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ...หรืออาจจะเป็นเพราะลักษณะนิสัยจำเพาะของฉัน อย่างนั้นเหรอ?

ความรู้สึกว่างเปล่า และอึดอัดทำให้ฉันหยิบแก้วเครื่องดื่มที่วางอยู่ตรงหน้าฉันยกขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว รสชาติขม เฝื่อน และแสบร้อนไหลผ่านลงคอฉันทำให้ฉันสำลักไอออกมา ฉันรู้สึกแสบร้อนไปหมดทั้งจมูกและคอ น้ำตาไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“แค่ก ๆ “

“เฮ้ย! เขมเป็นไร” ขวัญตากับเอ๋ลูบหลังฉันเบา ๆ เอ๋รินน้ำเปล่าส่งให้ฉันดื่ม พักนึงอาการสำลักก็ดีขึ้น

“ดื่มไม่เป็นแล้วยังจะริดื่มอีก” ขวัญตาบ่นแล้วผลักหน้าผากฉันเบา ๆ

“ก็เพราะไม่เป็นไง ถึงต้องฝึกให้เป็น” ฉันยังเถียง

“เฮ่อ...เออ อย่าเมาแล้วกัน” ขวัญตาไม่ได้ห้ามปรามมากนัก เพราะมันมักจะพูดเสมอว่าเราโต ๆ กันแล้ว และรู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ สิ่งที่เราตัดสินใจทำก็ต้องรับผิดชอบในผลของการกระทำด้วย

ใช่ ฉันรู้ว่ามันไม่ควรทำ ถึงแม้จะหาเหตุผลมาสนับสนุนการกระทำของตนเองมากแค่ไหน แต่บางครั้ง สิ่งที่เราตัดสินใจทำไป ก็ไม่ได้มาจากการใช้เหตุผลเสมอ ...อารมณ์ล้วน ๆ

“กรุว่าแล้ว ว่ามันต้องเมา” เสียงบ่นแว่ว ๆ ดังขึ้นมาเหนือหัวของฉันที่กำลังก้มหน้าแทบจะมุดรูชักโครกในขณะที่กำลังโก่งคออาเจียนอย่างเอาเป็นเอาตาย ฉันจำได้ว่าเป็นเสียงของขวัญตา ฉันอาเจียนเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เพิ่งทานเข้าไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาจนหมด ซึ่งตอนนี้ก็มีเพียงลมเท่านั้นที่ออกมา ฉันรู้สึกทรมาน หมดเรี่ยวแรง โลกหมุนทับซ้อนกันจนโฟกัสภาพไม่ได้ ที่ยังอาเจียนถูกที่อยู่นี่ก็คงเพราะการประคับประคองของขวัญตาและเอ๋

น้ำดื่มถูกส่งมาให้ฉันบ้วนปากและบางส่วนนำไปราดผ้าเช็ดหน้าของฉันเพื่อใช้เช็ดหน้าฉันเอง ฉันปรือตามองเพื่อนผู้มีพระคุณทั้งสองอย่างยากลำบาก เพราะฤทธิ์เดขน้ำเมาที่ฉันจำได้ว่าฉันดื่มเข้าไปไม่กี่แก้ว แต่ก็นั่นแหละ ฉันมีสตินับแก้วได้เพียงแค่ 3 แก้ว หลังจากนั้น...ก็อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

“เอาไงดีขวัญ ฉันว่ามันไม่ไหวแล้วว่ะ พามันกลับเหอะ” เสียงเอ๋นี่นา ฉันจำได้

“เออ ดี กลับเหอะ ขืนปล่อยมันไว้อย่างนี้มีหวังถูกใครอุ้มไปก็ไม่รู้” นั่นก็ขวัญ เอ...ฉันไม่ใช่เด็กนะ จะได้ถูกอุ้มได้ง่ายขนาดนั้น ฉันก็มีน้ำหนักเหมือนผู้หญิงทั่ว ๆ ไปที่มีความสูงไม่ถึง 160 เซนติเมตร น่า...ขาดแค่เซ็นต์เดียวเอง และแน่นอนฉันน้ำหนัก 45 กิโลกรัมซึ่งฉันก็คิดว่ามันเยอะพอสมควรที่จะไม่ถูกใคร “อุ้ม” ไปนะ

“งั้นแกอยู่กับเขมที่นี่ เดี๋ยวฉันไปหาไอ้ปอกับสริ่มก่อน ไม่รู้ไอ้ปอเมาหรือยัง ดื่มเยอะกว่าไอ้เขมอีก” แล้วขวัญตาก็กลับไปในร้าน ทิ้งฉันและเอ๋ให้นั่งรออยู่ข้าง ๆ ร้านใกล้กับห้องน้ำ ฉันไม่ร้ว่าฉันกับเอ๋นั่งรอกันอยู่นานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าตอนนี้โลกมันหมุนติ้วไปหมด และฉันก็ง่วงนอนสุด แต่ก็นอนไม่ได้ เพราะทันทีที่ฉันล้มตัวลงนอน เอ๋ก็จะเข้ามาดึงให้ฉันลุกขึ้นนั่งพิงไหล่มัน

“อยู่นิ่งๆ สิเขม นอนตรงนี้ไม่ได้ กลับไปนอนที่หอ” เอ๋ดุใส่ฉัน

“ม่ายอาว จานอนน” เอ...ทำไมฉันพูดยานคางอย่างนั้นละ

“โอย ตรูจะบ้า ไอ้ขวัญหายไปไหนเนี่ย ทำไมไปนานจัง” เอ๋บ่นขึ้นมาอย่างหงุดหงิดนิด ๆ เอ๊ะ! แล้วมันความผิดฉันหรือที่ขวัญหายไป ทำไมต้องมาหงุดหงิดใส่ฉันด้วยนะ ฉันอดหงุดหงิดบ้างนิด ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะกว่าที่ฉันจะพูดแต่ละคำพูดนั้นช่างแสนอย่างลำบาก ฉันรู้สึกว่าอวัยวะทุกส่วนในร่างกายทุกส่วนมันทำงานไม่สัมพันธ์กันยังไงก็ไม่รู้ ลิ้นกับปาก ขาซ้ายกับขาขวา และ...ทุกอย่างแหละ

“เฮอะ! ไปนานจัง เขมแกไหวไหม รออยู่นี่แป๊ปนะ เดี๋ยวมา ไหวไหม” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเอ๋ พยายามทรงตัวให้มั่นใจ และทำสีหน้าให้เหมือนปกติ ฉันไม่ได้เมาซักหน่อยนี่ แค่ความสมดุลของร่างกายเพี้ยนไปนิด ๆ เท่านั้นเอง ฉันผงกหัวขึ้นลง ทำให้ครบ 3 ครั้งและยกนิ้วแสดงว่า “โอเค”

แล้วเอ๋ก็เดินจากไปอีกคน ฉันพยายามทรงตัวนั่งอยู่ตรงม้านั่งข้าง ๆ ร้านอย่างมั่นคง แต่ดูเหมือนคนอื่นจะไม่คิดอย่างนั้นนะ

“อ้าว น้องครับ เป็นอะไรหรือเปล่า ไหวไหม” รุ่นพี่คนหนึ่ง ซึ่งฉันไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ที่รู้ว่าเป็นรุ่นพี่เพราะเขาเรียกฉันว่า น้อง ไง ฉันเงยหน้ามองแต่ก็มองเห็นไม่ค่อยชัดนักเพราะมุมตรงนี้ค่อนข้างมืด

“มะ..ม่ายเป็นรายค่า” ความพยายามในการพูดให้เหมือนปกติของฉันไม่ประสบผลสำเร็จ ปากและลิ้นยังคงไม่สัมพันธ์กัน

“ให้พี่ไปส่งไหมครับ ป่ะเดี๋ยวพี่ไปส่ง” นี่มันไม่ใช่คำถามนิ เพราะทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็คว้ามือขวาของฉันที่เพิ่งโบกไปมาเพื่อตอบคำถามเขา ดูเหมือนสติของฉันจะกลับมาบ้างแล้วหลังจากที่สัญชาตญาณของฉันบอกว่าชักไม่ค่อยดีแล้วแฮะ

ฉันพยายามใช้มืออีกข้างแกะมือของเขาที่ยังจับมือของฉันไว้ “เดี๋ยว...หนูรอ...เพื่อนค่ะ เพื่อน...กำ.ลังมา” ในที่สุดอวัยวะในร่างกายของฉันก็สามัคคีกันได้

“ไหน พี่ไม่เห็นมีเลย เดี๋ยวพี่ไปส่ง แล้วจะบอกเพื่อนของน้องให้ เพื่อนน้องชื่ออะไรนะ” ดูเหมือนรุ่นพี่จะให้โอกาสในการปฏิเสธฉันซะเหลือเกิน

“ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อนหนูกำลังมา” ในขณะที่พูด ฉันก็พยายามแกะมือของเขาที่ยังคงกุมมือของฉันไว้ ฉันรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ฉันยังรู้สึกร้อนอยู่เลย แต่ก็นั่นแหละ แรงผู้หญิงหรือจะสู้แรงผู้ชายได้ ยิ่งผู้หญิงเมาด้วยแล้ว

“เอ๊ะ หนูบอกว่าไม่ไปไง” เยี่ยม ฉันว่าฉันตะคอกไปนะ แต่ทำไมฉันถึงไม่ค่อยได้ยินเสียงตัวเองเลย และฉันก็ไม่ค่อยได้ยินเสียงอะไรแล้วด้วย ฉันพยายามออกแรงดึงมือทั้งสองของฉันซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงถูกรวบไว้ในมือของรุ่นพี่คนนั้น แต่แทนที่มือฉันจะหลุดกลับกลายเป็นตัวฉันที่ถูกดึงเข้าไปหาเขา สัญชาตญาณสั่งให้ฉันสะบัดตัว ดีดดิ้นทุกทาง ฉันพยายามเปล่งเสียงร้องเรียกให้คนช่วย ซึ่งดูเหมือนโชคจะช่วยฉันอยู่บ้างเพราะฉันเหมือนได้ยินเสียงเอะอะที่ฟังไม่ออกดังขึ้น ฉันรู้สึกเหมือนจะเห็นพี่กฤษณ์อยู่ลาง ๆ แล้วภาพทุกอย่างมันเริ่มมืดและดับสนิทลงในที่สุด

อืม...อุ่นสบายดีจัง ฉันรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงตึก ตักที่เป็นจังหวะอยู่ข้าง ๆ หู มันไม่ได้หนวกหูอย่างน่ารำคาญ ตรงกันข้ามฉันรู้สึกปลอดภัย ฉันปรือตามองและพบว่าฉันกำลังถูกอุ้มอยู่จริง ๆ แฮะ ฉันมองผ่านลำคอแข็งแรง แนวสันกราม ปลายคางบุ๋มเล็กน้อย ฉันเห็นหน้าไม่ชัด แต่ฉันคิดว่าเป็นพี่กฤษณ์แน่ ๆ และฉันกำลังฝันแน่นอน ฉันเอื้อมมือไป พยายามที่จะจับต้องใบหน้าเขา และฉันก็จับได้จริง ๆ ด้วย เยี่ยม! ฝันดีจัง

ฉันหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข ในขณะที่พี่กฤษณ์หยุดชะงักเล็กน้อยในตอนมือของฉันกำลังจับใบหน้าเขา ซึ่งฉันมารู้เอาภายหลังว่าฉันตะปบหน้าเขาต่างหาก แน่นอน ตอนนั้นฉันคิดว่ามันเป็นความฝันของฉันและฉันก็ทำตามใจตัวเองไปซะเยอะ ฉันหัวเราะแล้วซุกใบหน้าเข้าที่ซอกคอของเขา พยายามสูดกลิ่นของเขาให้ได้มากที่สุด แต่เอ...ปกติในความฝันเรามักไม่ได้กลิ่นนี่นา แต่นี่ฉันได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายปนกับกลิ่นเหงื่อนิด ๆ ซึ่งมันให้ความรู้สึกดีจัง ฉันหลับไปทั้งอย่างนั้นอย่างมีความสุข

แต่หลังจากนั้นมันคือนรกชัด ๆ ฉันตื่นขึ้นมาบนเตียงในหอพักของฉันพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างหนัก ปากแห้ง คอแห้ง หิวน้ำสุด ๆ ฉันได้แต่ครางเสียงอ๋อยจากอาการแฮงค์

“สมน้ำหน้า บอกแล้วว่าอย่ากิน ไม่เชื่อ เมาแอ๋เกือบถูกใครอุ้มไปก็ไม่รู้ ดีนะที่พี่เขาช่วยไว้ทัน” ขวัญตาว่าพลางผลักหัวฉันเบา ๆ ซึ่งฉันก็ได้แต่ส่งเสียงครางประท้วง

“จริงดิ แล้วฉันกลับมาได้ไง” เสียงแหบมากเลยฉัน

“รุ่นพี่โยธาปีสามเขาช่วยแก แถมยังอุ้มแกขึ้นรถขับมาส่งให้ที่หอพัก ไอ้ขี้เมา” ฉันได้ฉายาไปเรียบร้อยแล้ว

“ใครอ่ะ” ฉันถาม

“พี่กฤษณ์กับพี่เมธพี่โรงเรียนของแกไง” เอ๋เป็นคนตอบ ฉันหูผึ่งขึ้นมาทันที พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากที่นอนในสภาพที่ใกล้เคียงกับซากศพ ฉันจำได้ว่าฉันใส่เสื้อยืดประชุมเชียร์และกางเกงยีนส์ แต่ไหงตอนนี้ฉันถึงมีแค่เสื้อซับในกับกางเกงนอนขาสั้นเองล่ะ ฉันเงยหน้าที่ค่อนข้างซีดมองเพื่อนด้วยสาตายวิงวอน และก็เป็นขวัญเองที่ช่วย

“ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แกเองแหละ ไม่งั้นแกคงถอดเองหมด” ขวัญเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฉันฟัง ซึ่งฉันจับใจความได้ว่า หลังจากที่ขวัญออกไปหาปอและสริ่มก็พบว่าปอกำลังเมาโวยวายอาละวาดอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งขวัญและรุ่นพี่ผู้หญิงต้องช่วยกันห้ามปรามเพราะสริ่มตัวเล็กกว่าปอเยอะ เอาไม่อยู่ ความวุ่นวายเกิดขึ้นเหมือนเป็นโรคระบาด เมื่อมีคนเริ่มอาละวาด ก็จะมีอีกหลายคนทำตาม รุ่นพี่จึงต้องช่วยกันปรามไม่ให้รุ่นน้องที่เพิ่งได้เริ่มทำความรู้จักกับเครื่องดื่มมึนเมาสร้างความเสียหายให้กับร้านและผู้อื่น เมื่อเอ๋เข้ามาตามก็ต้องเข้าไปช่วยกันห้ามปรามปอ ไม่ให้อาละวาดกับเพื่อนชายอีกคนที่เมาพอกัน ดูเหมือนว่าฝ่ายชายจะแซวปอเรื่องฟันหน้าที่ออกจะยื่นออกมาเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าปอจะไม่พอใจมากเหมือนถูกเหยียบหาง (ขวัญตาว่าอย่างนั้น) ปอก็เลยจัดให้หนึ่งฉาด และฝ่ายชายเองก็ดูเหมือนจะลืมเลือนคำว่า สุภาพบุรุษไปแล้ว ทั้งขวัญตาและเอ๋ รวมถึงสริ่มด้วย ชุลมุนวุ่นวายกันอยู่พักนึง เมื่อได้ยินเสียงเอะอะที่มาจากข้างร้าน เอ๋ก็เพิ่งระลึกได้ว่าทิ้งฉันเอาไว้

ขวัญและเอ๋รีบวิ่งกลับมาที่ฉัน ทิ้งสริ่มให้ดูแลปอกับรุ่นพี่ผู้หญิง ทั้งสองเห็นแต่เพียงกลุ่มรุ่นพี่โยธาปีสามกลุ่มหนึ่งที่กำลังรุมล้อมรุ่นพี่ผู้ชายต่างคณะ บรรยากาศดูจะอึมครึมและมาคุ แต่ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน ทั้งสองจึงตัดสินใจเดินเข้ามาพบฉันกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนม้านั่ง พี่เมธต่อว่าขวัญตาและเอ๋เล็กน้อยที่ทิ้งให้ฉันซึ่งเมาอยู่คนเดียวจนเกือบจะถูกผู้ชายต่างคณะทิ้งไป ดีที่พี่กฤษณ์เดินมาเข้าห้องน้ำและเห็นเหตุการณ์แล้วช่วยไว้ได้ทัน ซึ่งดูเหมือนอิทธิพลของเด็กคณะวิศวะดูจะมีมากพอในแถบนี้จึงทำให้รุ่นพี่ผู้ชายต่างคณะยอมเลิกราไป

ฉันซึ่งตอนนั้นไร้สติไปแล้วเรียบร้อย ทั้งเอ๋และขวัญกำลังพยายามประคองฉันให้ลุกขึ้น สริ่มก็วิ่งเข้ามาตามขวัญตาให้ไปกำราบปอ (บอกแล้วไงว่าขวัญตา เด็ดขาด) เอ๋คนเดียวไม่สามารถพาร่างไร้สติของฉันกลับไปที่หอพักได้ (ดูเหมือนจะมีคนที่เมาหนักและต้องการการดูแลมากกว่าฉันอยู่) พี่เมธจึงเสนอตัวไปส่ง (โดยรถพี่กฤษณ์) และให้ทั้งเอ๋และรุ่นพี่ผู้หญิงอีกคนไปด้วย เพื่อความสบายใจ เพราะยังไงสัมพันธภาพพี่น้องของคณะก็ยังเหนียวแน่นกว่า ผู้ชายต่างคณะ

พี่กฤษณ์อาสาอุ้มฉันไปที่รถเพราะจะได้ประหยัดเวลาก่อนที่หอจะปิด รวมถึงอุ้มไปส่งที่หอด้วย ซึ่งระหว่างทางฉันดันตื่นขึ้นมาตะปบหน้าพี่กฤษณ์กลางทางจนเอ๋และรุ่นพี่อดเสียวสันหลังแทนฉันไม่ได้

“แกตบพี่เขาดังมาก ยัยเขม เสร็จแล้วยังหัวเราะอีก” เอ๋จิ้มนิ้วมาที่หน้าผากฉันไม่เบานัก

“ไปขอขมาพี่เขาเลย เขาอุตส่าห์ช่วย แถมยังเป็นพี่โรงเรียนแกด้วยไม่ใช่เหรอ”ขวัญตาตอกย้ำ

“จริงด้วย อย่าลืมขอบคุณพี่เขาด้วยนะ” สริ่มเสริมทัพ

“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ คิดว่าแค่จับเอง...” หน้าที่ว่าซีดของฉันก็ยิ่งซีดเข้าไปใหญ่

“เอ้า กินข้าว กินยาแก้ปวด ดื่มน้ำเยอะ ๆ นอนอีกรอบแล้วก็หาย” ขวัญตาบอกอย่างผู้เชี่ยวชาญ

“หิวน้ำจัง ขอกินน้ำก่อนเหอะ” ฉันรับขวดน้ำที่ถูกส่งมากรอกใส่ปากอย่างกระหาย และรู้สึกเหมือนพลังชีวิตกลับมาแล้วส่วนหนึ่ง

“ฉันว่าแกไปอาบน้ำก่อนดีกว่า เหม็นว่ะ คนไม่ได้อาบน้ำ ยี้...” ขวัญตาทำท่ารังเกียจฉัน เหอะ ฉันก้มลงสูดกลิ่นตัวเอง ไม่เหม็นซักหน่อย ชิชะ มันก็เคยซักแห้งเหมือนกันแหละ ตอนที่กลับมาจากประชุมเชียร์ที่เหนื่อยมาก ๆ น่ะ อย่ามาทำเป็นรังเกียจฉันนะ แต่ฉันก็ได้แต่มองค้อนและแทบจะคลานไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็กินข้าวต้มที่เพื่อนสุดที่รักไปซื้อมาให้แล้วกินยา

“อ้อ แล้วปอล่ะ เป็นไงมั่ง” ฉันเพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่เมา

“ยังไม่ฟื้น เหนื่อยแทบตาย ตัวหนักกว่าแกอีก ที่สำคัญ...ไม่มีใครอาสาอุ้มเหมือนแกด้วย หึ หึ” ยังไม่วายแขวะฉันอีกนะ ขวัญตา

หน้าฉันคงมีสีเลือดฝาดขึ้นมาจนเป็นที่ผิดสังเกตุตอนที่มันเล่าให้ฉันฟังเรื่องที่พี่กฤษณ์อุ้มฉัน มันเลยจับจุดได้และแซวฉันอีกรอบ

“พี่เขาคงดีใจที่มีน้องโรงเรียนอย่างแก ช่วยเสร็จแล้วยังถูกตบอีก” มันยังไม่วายซ้ำเติมอีกครั้ง

ฉันได้แต่มุดหัวส่ายหน้าไปมากับหมอน แย่แล้ว...ทำไงดี



แพม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ต.ค. 2554, 22:44:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ต.ค. 2554, 20:32:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1640





<< ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น   ตอนที่ 3 ขอขมา >>
ปอแก้ว 17 ต.ค. 2554, 01:19:56 น.
555 ยัยเขมงานเข้าแล้วไง
อ่านแล้วอยากย้อนกลับไปเรียนอีกจัง คิดถึงมหา'ลัย :)


เก่งวิชา 17 ต.ค. 2554, 01:49:20 น.
คุณนายสร้างภาพนะยะ นึกว่าเมาเก่งตั้งแต่มอต้นซะอีก ฮ่าๆๆๆ
จะว่าไปแล้วก็น่ารักดีนะ ไอ้ขี้เมา


แพม 17 ต.ค. 2554, 07:38:14 น.
บอกแล้วว่านิยาย


pattisa 17 ต.ค. 2554, 17:34:29 น.
น่ารักจัง :D


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account