เรื่องรักเล็ก...เล็ก
เรื่องสั้นเกี่ยวกับความรักซึ่งเมื่อใดที่ได้รับแรงบันดาลใจก็จะลงมือเขียนค่ะ ความถี่ห่างขึ้นอยู่กับอารมณ์'ติสต์ ของผู้เขียน ฮ่าๆๆ
Tags: เรื่องสั้น ความรัก

ตอน: ตอน:ดวงไม่ดี

เรื่องรักเล็ก...เล็ก


ตอน:ดวงไม่ดี


พลบค่ำบนสถานีรถไฟฟ้ากลางใจเมือง ผู้คนมากมายยืนออกันอยู่เพื่อเตรียมโดยสารยานพาหนะใหญ่โตซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯเมืองฟ้าอมรเพื่อมุ่งหน้ากลับที่พักของตน ฉันก็เป็นคนหนึ่งในบรรดามนุษย์เงินเดือนทั้งหลายที่ใช้ชีวิตวนเวียนเป็นวัฏจักรเช่นนี้ในทุกๆ วัน แต่ในวันนี้มีหลายสิ่งที่ทำให้วงเวียนการดำเนินชีวิตของฉันผิดแผกจากวงจรนั้นอย่างมากมาย


เริ่มต้นที่เช้านี้ฉันตื่นสายกว่าปกติเพราะซีรีส์เกาหลีที่ตะบี้ตะบันดูจนเกือบสว่างคาตาจึงทำให้ต้องกระหืดกระหอบเบียดเสียดกับผู้คนที่เร่งรีบในชั่วโมงรีบด่วน เมื่อถึงที่ทำงาน เวลาที่กระชั้นเข้ามาทุกวินาทีทำให้ฉันต้องสาวเท้าวิ่งขึ้นบันไดหนีไฟแทนการรอลิฟต์ด้วยรองเท้าส้นสูงสองนิ้วครึ่ง ถึงมันจะเป็นส้นรองเท้าที่ไม่สูงมากแต่การต้องรองรับแรงกระแทกขนาดเฉียดๆ ๕๐ กิโลกรัม ไปตลอดเส้นทางก็ทำให้รองเท้ามีส้นนั้น ทนทานไม่ไหวและหักลงจนได้ ฉันล้มคะมำไม่เป็นท่าไปด้านหน้าแต่ดีว่าฉันยังมีสติพอที่จะใช้ฝ่ามือทั้งสองค้ำยันไม่ให้ใบหน้าฟาดเข้ากับขั้นบันได


ฉันหยิบรองเท้าข้างหนึ่งที่ยังคงติดอยู่กับฝ่าเท้าออกมาดู ส้นของมันนั้นหลุดกระเด็นเหลือแค่ตะปูแหลมๆ ที่ติดอยู่เท่านั้น


“เจ็บใจนัก อุตส่าห์ซื้อตั้ง ๒๕๐ แต่คุณภาพมันก็ ๑๙๙ ล่ะว้า! “ ฉันสบถอย่างหัวเสีย


เมื่อพยายามลุกขึ้นฉันก็รู้สึกเจ็บร้าวตั้งแต่ข้อเท้าจนถึงต้นขาข้างที่ส้นรองเท้านั้นหักจนต้องย่อตัวลงนั่งอีกครั้ง ฉันก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือแล้วก็ถอนหายใจ ไม่ทันแล้ว...บัตรตอกของฉันเป็นอันขึ้นตัวเลขเวลาสีแดงอย่างแน่นอน ฉันค่อยๆ เกาะราวบันไดพยุงสังขารมอมแมมลุกขึ้น เพราะความอุตริวิ่งมาทางบันไดหนีไฟของฉันแท้ๆ ฉันจึงต้องพึ่งพาตัวเองเพราะไม่มีใครใช้ทางเดินนี้สักคนเดียว


ฉันเดินเท้าเปล่ากะผลกกะเผลกมาจนถึงคอกทำงานจนได้ แต่เพราะล่วงเลยเวลาเริ่มต้นทำงานพอสมควรทุกๆ คนจึงจดจ่ออยู่แต่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนต้องรับผิดชอบโดยไม่มีใครสังเกตเห็นสภาพยับเยินของฉันเลย


ฉันหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ยังไม่ทันอุ่นพี่สมทรงนักบัญชีรุ่นดึกก็ชะโงกหน้าข้ามคอกมาหาฉัน


“หนูข้าว ทำไมวันนี้มาซะสายโด่งเลยล่ะจ๊ะ? “ หญิงไม่สาวสวมแว่นสายตากรอบทองผมรวบเป็นมวยแต่ด้านหน้าตีกระบังเป็นเพิงหมาแหงนจีบปากจีบคอถามฉัน


“คือรถสองแถวที่ข้าวนั่งมามันเสียกลางทางน่ะค่ะ ข้าวเลยต้องควบมอเตอร์ไซค์มาขึ้นรถไฟฟ้า แต่สุดท้ายก็สายจนได้” ฉันแอบเอานิ้วไขว้กันไว้ที่ใต้โต๊ะ จะยอมรับง่ายๆ ว่าตื่นสายเพราะมัวออดอ้อนกับพ่อยอดขมองอิ่มจางกึนซอกทั้งคืนก็กะไรอยู่ ปากหอยปากปูจะเอาไปสรรเสริญถึงความไม่รับผิดชอบเสียได้


“อ๋อ...มิน่าล่ะ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเชียว อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ แต่วันนี้พี่ว่าหนูข้าวดู “เยิน” กว่าทุกวันมากๆ เลยจ้ะ” ว่าแล้วหล่อนก็หัวเราะโฮะๆ ซึ่งเป็นเสียงหัวเราะที่จี้ใจดำและทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดชอบกล


“ข้าวหอมมาแล้วเหรอ? พี่ยศเรียกแน่ะเห็นแกถามหาข้าวตั้งแต่เช้าแล้ว” ยายเชอร์รี่เพื่อนรักเพื่อนซี้ของฉันที่ติดตามกันมาตั้งแต่สมัยประถม มัธยม จนกระทั่งมหาวิทยาลัย แถมสุดท้ายยังตามมาทำงานที่เดียวกันแผนกเดียวกันยื่นหน้าเข้ามาแจ้งจากอีกคอกด้านข้างฉัน มันคงรู้ว่าฉันมาแล้วจากเสียงหัวเราะพิลึกๆ ของพี่สมทรงนั่นล่ะ และเมื่อเชอร์รี่แทรกเข้ามาพี่สมทรงก็กลับเข้าคอกทำงานของตนเอง


“เหรอ ขอบใจนะรี่ ว่าแต่แกมีรองเท้าคัทชูให้ฉันยืมใส่หน่อยมั้ย? รองเท้าฉันมันส้นหักน่ะ” เชอร์รี่ผอมสูงกว่าฉันแต่ฉันคิดว่าขนาดเท้าคงจะใกล้เคียงกัน อย่างไรเสียการเข้าพบพี่ยศศักดิ์ผู้จัดการแผนกก็ควรจะแต่งตัวให้เรียบร้อยเหมาะสม


“มีสิ แต่ส้นเข็มนะ” เพื่อนซี้ของฉันว่าพลางยื่นรองเท้าสีดำหัวแหลมส้นเข็มสูงปรี๊ดข้ามคอกมาให้ฉัน ฉันรับไว้แล้วก็ต้องบ่นอุบ


“โหย...ทำไมมันสูงอย่างนี้ล่ะ แกใส่เข้าไปได้ยังไงเนี่ยทั้งสูงทั้งแหลม? “


“ก็จุดขายของฉันอยู่ที่ขานี่ยะ ฉันก็ต้องใส่อะไรที่มันเสริมกันสิ หรือแกจะเอาคู่ที่ฉันใส่อยู่นี่ล่ะ” ว่าแล้วมันก็ชูรองเท้าส้นสูงลายเสือดาวสีช็อกกิ้งพิงค์ให้ฉันดู


“ลายเปรี้ยวขนาดนั้นคงไม่ไหวล่ะ ฉันยืมคู่สีดำนี่ก็แล้วกัน” ฉันก้มลงสวมรองเท้าที่เพื่อนรักให้ยืม มันบีบที่ปลายนิ้วของฉันเล็กน้อย แต่ทว่าเมื่อฉันยืนขึ้นความปวดแปลบก็แล่นขึ้นมาจนฉันต้องร้องโอย


ฉันกัดฟันเกาะขอบคอกกั้นค่อยๆ กระดืบไปจนกระทั่งถึงห้องของผู้จัดการแผนก ฉันเคาะประตูเบาๆ ก่อนจะลากรองเท้าส้นเข็มเดินเข้าไป พี่ยศศักดิ์เงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้มงานด้วยสีหน้าเรียบเฉย ฉัยยกมือไหว้และยิ้มแห้งๆ ให้เขา เฝ้ารอว่าเมื่อใดท่านผู้จัดการจะเชิญนั่งที่เก้าอี้เสียที


“ข้าว เราทำงานร่วมกันเหมือนพี่เหมือนน้องนะ แต่งานก็คืองาน เล่นก็คือเล่น พี่บอกตามตรงช่วงนี้ผลงานข้าวไม่ดีเลย” พี่ยศว่าทำเอาฉันตัวชาวาบ “หนึ่งเดือนมานี้ยอดขายของข้าวตกลงไปมาก แล้วเมื่อวานก็มีลูกค้าบอกเลิกเป็นคู่สัญญากับบริษัทเราโดยบอกกับพี่ว่าข้าวแสดงกิริยาไม่ดีกับเขา ไหนลองเล่าให้พี่ฟังสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น” แกว่าต่อโดนที่ยังปล่อยให้ฉันยืนอยู่อย่างนั้น


“คือข้าว...ข้าว” ฉันอยากร้องไห้ จะบอกกับพี่ยศได้ยังไงว่าฉันดันไปจามใส่หน้าเขาในขณะที่มีน้ำชาอยู่เต็มปากแถมยังหลุดหัวเราะเขาเข้าอีก


“แล้ววันนี้ข้าวก็มาทำงานสายด้วยใช่มั้ย? เอาเป็นว่าถ้ายอดขายเดือนนี้ของข้าวลดลงกว่าเดือนที่แล้วอีก พี่คงต้องลดค่าคอมมิตชั่นกับเปอร์เซนส่วนต่างของสินค้าที่ข้าวจะได้รับลงเพื่อถัวเฉลี่ยกับเดือนก่อนๆ นะ” พี่ยศศักดิ์พูดต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้แก้ตัว


“ไม่นะคะ! “ ฉันเสียงดังขึ้นมาอย่างลืมตัว พี่ยศกำลังจะดับฝันที่ฉันจะได้ไปเริงร่าที่กรุงโซลเพื่อตามหารักแท้ในดินแดนโสมเสียแล้ว


ผู้จัดการแผนกจ้องหน้าฉันตาวาวจนฉันต้องหุบปากฉับ ไหนว่าจะให้ฉันเล่าแต่ทำไมไม่มีช่องให้ฉันได้เปิดปากเลย


“พี่หวังว่าข้าวจะปรับปรุงและมีใจทุ่มเทให้กับงานมากขึ้นกว่านี้นะ กลับไปทำงานต่อได้แล้ว” ฉันอ้าปากหวอ ตกลงพี่ยศศักดิ์เรียกฉันเข้ามาฟังแกบ่นแล้วก็ไล่กลับโดยที่ฉันไม่ต้องพูดเลยสักคำอย่างนั้นใช่มั้ย?


“ค่ะ” ฉันพูดได้เท่านั้นแล้วก็ยกมือวันทาแกก่อนจะเดินโขยกเขยกเก็บงำความอัดอั้นไว้ในใจ


แต่ยังไม่ทันถึงประตูข้อเท้าของฉันก็เสียวแปลบแล้วความปวดมหาศาลก็แล่นขึ้นมาจนฉันเซ ร่างกายของฉันไม่สามารถฝืนให้ทรงตัวตั้งตรงอยู่ได้มันจึงเอียงและทำท่าจะล้มลงไปที่พื้น สองแขนของฉันไขว่คว้าหาที่จับยึด พลันก็ไปสัมผัสได้กับวัตถุขนาดใหญ่เรียบลื่น สมองของฉันยังไม่ผ่านการประมวลผลแต่มันสั่งให้ฉันโผเข้าหาสิ่งนั้นในทันที


เสียงแตกดังเพล้งสนั่นหวั่นไหว ซากวัตถุที่แตกกระจายเกลื่อนพื้นคือแจกันกระเบื้องเคลือบสุดรักสุดหวงของพี่ยศศักดิ์นั่นเอง จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่เมื่อฉันปัดมือไปโดนแจกันกระเบื้องและรู้ว่ามันไม่มั่นคงฉันจึงละมือมาคว้าขอบตู้เตี้ยที่แจกันนั้นวางอยู่แทนและรูดตัวลงนั่งพับเพียบที่พื้นข้างตู้ ไม่เช่นนั้นฉันคงนอนจมกองเลือดอยู่บนเศษกระเบื้องเป็นแน่แท้ แต่เมื่อฉันเหลียวหลังกลับมาฉันก็ต้องขนหัวลุกเมื่อเห็นสีหน้าของท่านผู้จัดการแผนกที่ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืน ใบหน้าจากที่ซีดขาวราวกลับกระดาษนั้นค่อยๆ แดงก่ำจนฉันนึกกลัวว่าแกจะเส้นเลือดในสมองแตกด้วยความโกรธจัด ฉันจึงคิดได้ว่าบางทีหากฉันได้รับบาดเจ็บอาจจะดีกว่าก็เป็นได้


“ตายล่ะยายข้าว! นี่แกทำแจกันสมัยราชวงศ์ฮั่นของพี่ยศแตกเหรอ? “ ยายเชอร์รี่อุทานลั่นเมื่อแหวกผู้คนที่พากันมุงดูเข้ามาเห็น


อันที่จริงแล้วแจกันกระเบื้องนี้เป็นของที่ระลึกจากการไปสัมมนาที่ฮ่องกงของพี่ยศ แต่ที่แกรักนักรักหนาเพราะการไปครั้งนั้นแกแอบมีความสัมพันธ์ลับๆ ที่ติดตรึงใจกับสาวจีนที่ให้การต้อนรับนั่นเอง แจกันกระเบื้องนี้จึงถือเป็นดั่งอนุสรณ์ความกล้าหาญอันน่าภาคภูมิใจของหัวหน้าเผ่า”เกียมัว”อย่างแก จะว่าไปสัญลักษณ์แห่งการผิดศีลธรรมถูกทำลายด้วยน้ำมือฉันพี่ยศศักดิ์น่าจะขอบคุณฉันสิถึงจะถูก แต่จะให้ฉันทวงบุญคุณตอนนี้คงเป็นเรื่องที่โง่เขลาขนาดหนัก เพราะสีหน้าของท่านผู้จัดการดูเหมือนพร้อมจะกระโจนมาขย้ำฉันทุกขณะ ฉันได้แต่ยกมือไหว้ปลกๆ ปากก็พร่ำขอโทษหวังจะให้แกบรรเทาความโกรธลงได้บ้าง


“ออกไปเดี๋ยวนี้! ” แกกัดฟันพูด ฉันเหมือนเห็นควันไฟพวยพุ่งออกมาจากใบหูทั้งสองของพี่ยศจนต้องยกมือขยี้ตา


เชอร์รี่เพื่อนรักจับแขนฉันพาดไหล่แล้วประคองฉันที่เดินเท้าเปล่าพาไปยังที่นั่งในคอกทำงาน


“ไอ้ข้าวหอมเอ๊ย! แกจะกลายเป็นโจ๊กเละๆ ก็คราวนี้แหละ อ้าว! ข้อเท้าแกบวมฉึ่งเลยเป็นอะไรมากรึเปล่า? “ ยายเชอร์รี่เอานิ้วจิ้มที่รอยบวมปูดส่งผลให้ฉันหดเท้าหนีทันทีเพราะความเจ็บปวด


“ฉันเจ็บมากเลยแก” ฉันเริ่มน้ำตารื้น เพื่อนรักรีบวิ่งไปเอาเจลประคบสีฟ้าจากตู้เย็นมาแปะไว้เพื่อลดบวม


และจากอาการบาดเจ็บของฉันทำให้วันนี้ทั้งวันฉันแทบไม่ได้ลุกออกจากเก้าอี้ทำงานไปที่ไหนอีกเลย แต่ถึงอย่างนั้นความโชคร้ายของฉันก็ยังเกิดขึ้นอีก เมื่อฉันเดินกะเผลกกลับมาจากทำธุระส่วนตัว พอฉันกำลังหย่อนก้นลงนั่งเก้าอี้มีล้อเจ้ากรรมก็ดันเลื่อนออกไปเพราะขาของฉันเตะโดนมันเข้าโดยบังเอิญ ผลน่ะหรือ...ฉันก็ลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าที่พื้นเท่านั้นน่ะสิ


ทั้งหมดทั้งมวลฉันจึงมีสภาพไม่ต่างจากกรำศึกอันใหญ่หลวงจากวันอันหนักหน่วงจนแทบไม่มีเรี่ยวแรงพาสังขารทรุดโทรมกลับบ้าน ฉันลากรองเท้าแตะฟองน้ำด้วยข้อเท้าที่พันด้วยผ้ายืดรัดลดอาการบาดเจ็บ ผมเผ้าหน้าตาของฉันคงดู”เยิน”เสียยิ่งกว่าตอนที่พี่สมทรงทัก แต่ฉันไม่มีกระจิตกระใจจะใส่ใจมัน คิดเพียงว่าฉันจะเผชิญหน้ากับพี่ยศศักดิ์และคนทั้งแผนกในการประชุมครึ่งเดือนในวันพรุ่งนี้อย่างไรดี?


ฉันยกมือขึ้นปาดความอ่อนแอที่รื้นขึ้นมาเมื่อคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นในวันนี้ ฉันกระดากอายที่จะร่ำไห้กลางฝูงชนแต่ก็หมดกังวลที่ในเมืองใหญ่วุ่นวายเช่นนี้คงไม่มีใครมีเวลาว่างพอจะใส่ใจความเป็นไปของผู้คนรอบข้าง ฉันเร่งเสียงเครื่องเล่นMP3ที่ฉันพกไปไหนมาไหนเพื่อคลายเหงาให้ดังขึ้นอีก ในช่วงเวลาย่ำแย่เช่นนี้คงไม่มีใครปลอบใจฉันได้ดีไปกว่า“พี่ตูน Body Slam”วงร็อกขวัญใจฉันอีกแล้ว เสียงดนตรีดังกระหึ่มในหูฉันจนอื้ออึง ดังลั่นราวกับจะกระแทกความเศร้าหมองออกไปจากหัวของฉันได้จนหมดสิ้น


รถไฟฟ้ามาเทียบแล้ว เมื่อประตูเปิดออกฉันก็ก้าวเข้าไปเกาะเสากลางไว้ โดยปกติฉันจะเดินเข้าไปลึกกว่านี้แต่วันนี้คงต้องยกเว้นเพราะแค่ยกเท้าเดินแต่ละก้าวยังยากลำบาก และเพราะความ”เค็ม”ของฉัน ฉันจึงปฏิเสธที่จะนั่งแท็กซี่อย่างที่ยายเชอร์รี่แนะนำ


แต่เพราะข้อเท้าที่ปวดตุบๆ เมื่อรถไฟฟ้าถึงช่วงทางโค้งแรงเหวี่ยงจึงทำให้ฉันหงายไปทางด้านหลัง ฉันเซแซดๆ ไปปะทะกับร่างกายตึงแน่นสูงใหญ่ซึ่งฉันแทบจะต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่าเพื่อจะมองหน้าเขา ฉันค้อมศีรษะและขยับปากพูดคำขอโทษเบาๆ ชายตัวใหญ่ซึ่งยืนซ้อนฉันอยู่พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มบางๆ เขาดูดีทีเดียว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้านคงมีเชื้อสายจีน สวมใส่เสื้อเชิร์ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน ฉันเก็บรายละเอียดได้เท่านั้นก็หันกลับไปเหมือนเดิม


เมื่อถึงสถานีที่คนส่วนใหญ่ใช้เปลี่ยนเส้นทางความแออัดภายในขบวนรถไฟฟ้าก็เบาบางลง ที่พักของฉันนั้นต้องใช้รถไฟฟ้าขบวนเดิมโดยสารไปจนสุดสายแล้วจึงต่อรถสองแถวที่มีทั้งคืนเข้าซอยไปอีกที ฉันเห็นที่นั่งว่างอยู่หลายที่แต่ไม่เดินไปนั่งเพราะว่าอีกแค่สถานีเดียวก็จะต้องลงแล้ว ฉันโอนเอนตามแรงแกว่งของขบวนรถอีกครั้งแล้วก็กระแทกกับอกของผู้ชายคนนั้นอีกหน ฉันเหลียวไปมองเขาและก็ได้รอยยิ้มละไมกลับมาเช่นเดิม


ฉันหันหน้ามองรอบกายก็พบว่าผู้โดยสารต่างอยู่กันหลวมๆ ความรู้สึกไม่ไว้วางใจบางอย่างเกิดขึ้นในความคิด ฉันแหงนหน้ากลับมามองหน้าชายที่ยืนซ้อนฉันอีกครั้งแต่คราวนี้เขากลับหลบสายตาฉันวูบ ฉันกระเถิบเปลี่ยนตำแหน่งที่ยืนเล็กน้อยซึ่งเขาก็สืบเท้ามายืนประชิดฉันเช่นเดิม ฉันถอยกลับมายังตำแหน่งเก่าเขาก็ตามมายืนข้างหลังอย่างไม่ลดละ ฉันใจหล่นวูบ ขนลุกซู่ ตัวชาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า น้ำร้อนๆ เริ่มไหลขึ้นมาฉาบที่ดวงตา ฉันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เชื่อแน่ว่าฉันเจอ”คนโรคจิต”เข้าให้แล้ว


เสียงสัญญาณและบานประตูที่เปิดออกเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ฉันฝืนสังขารกัดฟันจ้ำอ้าวๆ อย่างรวดเร็วแม้ข้อเท้าจะปวดแปลบมากมายสักเพียงไหน กระชากหูฟังเครื่องเล่นMP3ยัดใส่กระเป๋าโดยไม่เสียเวลาปิด แต่หางตาฉันก็ยังเห็นเขาติดตามทางด้านหลังของฉันเรื่อยมา ฉันจวนเจียนจะร้องไห้อยู่รอมร่อแต่สมองก็สั่งว่าห้ามทำตัวเป็นเหยื่อรอการจู่โจมอย่างเด็ดขาด ฉันอยากสู้แต่ฉันกลัวเกินกว่าจะต่อกรกับเขาได้ ด้วยสภาพร่างกายที่บาดเจ็บและเพราะความสูงของฉันที่สูงเพียงระดับคางเมื่อยืนเทียบกับเขา ลำคอก็เหมือนจะแห้งผากไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ ออกไปได้ คิดสิคิด...คิดว่าจะรอดพ้นไปได้อย่างไร? ฉันสั่งตัวเอง


เมื่อลงจากสถานีรถไฟฟ้าเรียบร้อยฉันก็เร่งฝีเท้าให้ทิ้งห่างเขา อีกไม่กี่เมตรก็จะถึงปากซอยทางเข้าอพาร์ตเม้นของฉันแล้ว ฉันเหลียวกลับไปเขาก็ยังตามมา ฉันชะงักเท้าและคิดได้ว่าหากฉันรีบหนีกลับที่พักเจ้าโรคจิตนี่ต้องรู้แน่ว่าฉันอาศัยอยู่ที่ใด ไม่ได้การล่ะฉันต้องแก้ไขสถานการณ์นี้ให้จงได้


ฉันเห็นรถเข็นขายอาหารเรียงรายอยู่มากมายที่หน้าปากซอย โดยปกติฉันแทบไม่เคยแวะเพราะมื้อเย็นนั้นมีแต่จะขยายห่วงยางรอบเอวของฉันให้กว้างมากขึ้น แต่คราวนี้ฉันคงต้องขอความช่วยเหลือจากแม่ค้าพ่อค้าแถวนั้นเสียแล้ว ฉันสาวเท้าเดินกะปลกกะเปลี้ยเข้าไปหาป้าที่ขายไก่ย่างทันที


“ป้าคะ ป้าคะ” แม่ค้ารุ่นแม่ของฉันขานรับ “ป้าดูหน้าหนูไว้นะคะ แล้วป้าก็ช่วยจำหน้าผู้ชายเสื้อฟ้าที่ยืนอยู่ตรงนั้นให้หนูที หนูโดนตามมาตั้งแต่บนรถไฟฟ้าแล้วค่ะ ถ้ามีข่าวว่าหนูเป็นอะไรไปก็แสดงว่าเป็นฝีมือไอ้คนนั้นนะคะ” พูดไปความกลัวก็แล่นขึ้นมาจับใจจนฉันเสียงสั่น และเหมือนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่ป้าแกจะจ้องหน้าไอ้โรคจิตนั่นเขม็ง


“มีอะไรให้ป้าช่วยมั้ยหนู? “ ป้าแม่ค้าถามฉันด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย


“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าแค่จำหน้ามันให้หนูที” เมื่อป้าแกพยักหน้าฉันก็ผละออกมาเกาะร้านราดหน้าของพี่ชายร่างบึ้กอีกร้านหนึ่ง


“พี่คะ พี่คะ หนูโดนไอ้โรคจิตนั่นตามพี่ช่วยจำหน้ามันให้หนูที” พี่ชายแกทำท่าจะไปจัดการสั่งสอนให้แต่ติดว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวที่แกกำลังผัดอยู่จะไหม้เสียก่อน


ฉันแวะทุกร้านที่อยู่บนไหล่ทางและทุกคนที่ฉันพึ่งพาก็จ้องหน้าชายโรคจิตนั้นอย่างจะจดจำลักษณะให้ได้อย่างแม่นยำ จนกระทั่งถึงร้านขายน้ำแม่ค้าสาวก็บอกกับฉันว่าเจ้าโรคจิตนั้นหนีขึ้นรถประจำทางไปแล้ว ฉันเหมือนยกภูเขาออกจากอก โล่งใจและรีบกระโดดขึ้นรถสองแถวอย่างรวดเร็ว


เมื่อฉันกลับถึงห้องพักฉันก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนแล้วกดโทรศัพท์หาเพื่อนรักเพื่อระบายความตื่นตกใจในทันที


“เชอร์รี่ ฉันเจอโรคจิตตามมาล่ะแก” พูดจบฉันก็ร้องไห้โฮ


“เหรอ! ยินดีด้วยนะยายข้าวหอม ว่าแต่หล่อรึเปล่า? ” ยายเชอร์รี่หัวเราะร่วน


“ก็หน้าตาพอใช้ได้ นี่แกจะบ้าเหรอ! ฉันเจอโรคจิตนะเว้ย! แทนที่จะเห็นใจกันบ้าง” ฉันโวยวาย ดูสิแทนที่จะปลอบฉันยายเพื่อนรักดันแสดงความยินดีอีกแน่ะ แต่ดูเหมือนนั่นจะเป็นวิธีที่ทำให้น้ำตาของฉันเหือดแห้งไปในทันที


“เอ้า! ก็แกจะได้มีประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิตไงล่ะ อีกอย่างนะในเมื่อแกโทรมาโอดครวญกับฉันได้แสดงว่าแกคงจัดการมันจนหนีเปิงไปแล้วจริงมั้ย” เกลียดจริงๆ คนรู้ทัน


“ก็ถูกของแก เพราะปฏิภาณไหวพริบของฉันแท้ๆ ฉันถึงรอดมาได้“ ฉันคุยโวทันที จากนั้นก็โม้ให้ยายเชอร์รี่ฟังอยู่เกือบสิบนาที “เสียดายว่าวันนี้ฉันตั้งตัวไม่ทันเลยตกใจมากไปหน่อย แต่ถ้าฉันเจอมันอีกล่ะก็ ฉันจะต่อยมัน จะตบมัน จะตีเข่ามัน เอาให้หายหื่นเลยคอยดูสิ“ พูดจบฉันก็หัวเราะเหี้ยมเกรียมแค่ได้จินตนาการฉันก็สะใจแล้ว


“ว่าแต่พรุ่งนี้แกจะไปทำงานไหวรึเปล่า ขาแกทุเลาบ้างรึยัง? “ เชอร์รี่ถามด้วยความเป็นห่วง


“มันก็ยังปวดอยู่นะ แต่ถึงฉันจะมีสายน้ำเกลือระโยงระยางฉันก็ขาดการประชุมพรุ่งนี้ไม่ได้ ไม่งั้นพี่ยศได้ตัดหัวฉันเสียบประจานแน่ๆ แก” ฉันว่า หลังจากนั้นเราก็คุยกันต่อเรื่องสัพเพเหระอีกพักใหญ่แล้วคืนนั้นฉันก็หลับใหลไปด้วยความเหนื่อยอ่อน


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ผมเป็นคนหนึ่งที่อาศัยรถไฟฟ้าในการเดินทางทุกๆ วัน เส้นทางที่สะดวกสบายรวดเร็วทำให้ระยะทางห่างไกลระหว่างบ้านและที่ทำงานของผมดูราวกับถูกย่นย่อลงเหลือเพียงครึ่งเดียว ผมทำงานเป็นนักวิเคราะห์ระบบในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง


ด้วยหน้าที่การงานที่คร่ำเคร่งและการจมจ่อมอยู่เพียงหน้ากล่องสี่เหลี่ยมเพื่อขบคิดและกรอกข้อมูลตัวเลขอยู่ทั้งวัน ทำให้ผมซึ่งเป็นคนพูดน้อยโดยนิสัยยิ่งพูดน้อยเข้าไปอีก ประกอบกับการเล่าเรียนในสถานศึกษาที่เป็นโรงเรียนชายล้วนมาตลอด แม้จะพบเจอเพื่อนต่างเพศในระดับมหาวิทยาลัย แต่เพราะกลุ่มเพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมที่ยกโขยงตามมาเรียนในคณะเดียวกันจึงทำให้ผมคบหาแต่กับเพื่อนผู้ชายซึ่งส่งผลให้ผมประหม่าทุกครั้งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหญิงสาว และเพราะเหตุนี้แม้ว่าผมจะเชื่อว่าหน้าตาก็พอไปวัดไปวาทั้งกลางวันและกลางคืนได้แต่ผมก็ยังโสดสนิท ผมไม่เดือดร้อนหรอกครับเพราะเวลานี้ผมสนุกกับการทำงานและการท่องเที่ยวในสถานที่ธรรมชาติเพียงลำพังมากกว่าการมีใครสักคนหนึ่งให้ต้องห่วงใยดูแล


ผมมีความสุขต่อการเป็นชายโสดของผมตลอดมาจนกระทั่งเมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ความรู้สึกบางอย่างก็แทรกซึมเข้ามาในจิตใจ...


พลบค่ำของวันหนึ่งซึ่งเหมือนกับทุกๆ วัน ผมใช้ชีวิตตามวิถีเดิมที่ดำเนินมาตลอดอย่างเฉยชา สองขาก้าวเข้ามาบนโบกี้รถไฟฟ้าเพื่อเดินทางกลับบ้านเมื่อสิ้นสุดวันของการทำงาน ผมเหม่อลอยไปยังนอกหน้าต่างแต่ก็มีความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ทำให้ผมต้องหันมาให้ความสนใจผู้คนด้านในขบวนรถแทน


หญิงสาวตัวเล็กติดจะอวบไปสักนิดเหวี่ยงกระเป๋าที่เธอถือแหมะไว้บนเก้าอี้ที่ว่างอยู่เหมือนจะแสดงความเป็นเจ้าของ ผมนึกตำหนิกิริยาของเธอเล็กน้อย แต่เปล่าครับ...เธอไม่ได้นั่งลงแต่กลับเดินย้อนไปประคองผู้หญิงรูปร่างอ้วนกลมคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงจากประตูรถไฟฟ้ามานั่งลงตรงที่นั่งซึ่งเธอจองไว้ พี่ผู้หญิงคนนั้นเดินตามเธอและนั่งลงอย่างงงๆ ผมนึกชื่นชมความมีน้ำใจที่หาได้น้อยนิดในเมืองใหญ่ซึ่งแห้งแล้งแห่งนี้ เธอยิ้มให้กับพี่สาวซึ่งคงเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่เธอจัดแจงหาที่นั่งให้ เป็นรอยยิ้มซึ่งทำให้ตาเธอหยีและแก้มของเธอก็ป่องจนกลม ผมมองเธออย่างเผลอไผล ถามว่าเธอสวยหรือไม่? ผมตอบได้เลยว่าไม่สวย...แต่เธอน่ารักครับ น่ารักอย่างประหลาด


ผมเห็นพี่สาวคนนั้นพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอแต่เพราะเสียงรถไฟที่วิ่งประกอบกับเสียงโฆษณาภายในยานพาหนะนั้นดังลั่นจนฟังไม่ได้ศัพท์ เธอจึงต้องก้มตัวให้พี่สาวคนนั้นกระซิบที่ข้างหูของเธอ


“ไม่ได้ท้อง! “ เธอตะโกนลั่นแล้วทั้งเธอและพี่สาวที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็หัวเราะให้กันครื้นเครง การสนทนาต่อหลังจากนั้นราวกับคนทั้งคู่เคยรู้จักกันมานาน ผมอมยิ้มมองเธอคุยจนเพลินรู้สึกราวกับว่าโลกเดิมๆ ของผมสว่างไสวขึ้นมาเหมือนเจอแสงแดดอ่อนยามเช้า กระทั่งถึงสถานีที่ผมจะต้องเปลี่ยนเส้นทาง ผมเดินออกมาอย่างลังเลเพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอเธออีกครั้งหรือไม่ แต่สุดท้ายผมก็ต้องตัดใจคิดเพียงว่าหากมีวาสนาต่อกันผมคงได้พบกับเธออีกหน


วันต่อมาสายตาของผมก็สอดส่ายมองหาหญิงสาวสดใสคนนั้นอย่างไม่รู้ตัว และเหมือนโชคชะตานำพาผมพบเธออีกครั้งจนได้ ผมยังละล้าละลังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีจึงได้แต่เฝ้ามองเธออยู่ห่างๆ โดยที่เธอไม่เคยรับรู้การมีตัวตนของผมจนกระทั่งวันเวลาผ่านไปถึงหนึ่งเดือน เป็นหนึ่งเดือนที่ผมได้เจอเธอเวลาเดิม สถานีรถไฟฟ้าแห่งเดิม และแยกกันในที่เดิมทุกๆ วัน มันยากลำบากสำหรับผมเหลือเกินที่จะเริ่มต้นเข้าไปทำความรู้จักกับคนๆ หนึ่งซึ่งไม่มีสิ่งใดเชื่อมต่อกัน เว้นเสียแต่การร่วมเดินทางในขบวนรถไฟฟ้าสายเดียวกันเท่านั้น


แต่แล้ววันนี้ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป...


ผมเฝ้ารอการปรากฏตัวของเธออย่างเช่นทุกวันแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่พบเธอ ผมกระวนกระวายด้วยว่าเลยเวลาที่เธอควรจะมาไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว หรือว่าเธอจะลางาน ไม่สบาย? ป่วยเป็นอะไรมากรึเปล่า? ผมนึกกระหวัดไปถึงเธอ แม้จะล่วงเลยเวลากลับบ้านของผมตามปกติแต่ผมก็ยังรอ...รออย่างมีความหวังว่าจะเจอเธอในไม่ช้า


แล้วเธอก็มาจริงๆ ครับ แต่สภาพของเธอดูขะมุกขะมอมมากจนผมเป็นกังวล ผมเผ้าของเธอที่เคยเรียบสลวยกลับดูยุ่งเหยิง เสื้อผ้ามีรอยเปื้อนของฝุ่นผง และที่สำคัญเธอสวมรองเท้าฟองน้ำทั้งๆ ที่ผมเคยพบแต่เธอซึ่งแต่งตัวค่อนข้างเป็นทางการ แล้วผมก็พบข้อเท้าที่พันด้วยผ้ายืดสีเนื้อ นี่สินะสาเหตุที่ทำให้เธอต้องมาช้าและสวมรองเท้าต่างจากเดิม


เธอเดินกะเผลกๆ มาที่ด้านหน้าของผมเพื่อรอรถไฟฟ้า แล้วผมก็ต้องใจหล่นวูบเมื่อเห็นว่าซิปกระโปรงที่อยู่ด้านหลังของเธอนั้นแตก ไม่ได้แตกธรรมดาแต่ว่าแตกยาวราวๆ หนึ่งคืบเลยทีเดียว ผมหรี่ตาดูด้วยใจที่เต้นระทึกอีกครั้งจึงเห็นว่าใต้รอยแยกของซิปเป็นผ้าสีขาวซึ่งเป็นชายเสื้อเชิร์ตของเธอนั่นเอง ผมเบาใจขึ้นมาหน่อยที่นั่นไม่ใช่ชุดชั้นในของเธอ


ผมรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปประชิดแล้วชะโงกไปหาเธอเพื่อบอกกล่าว


“คุณครับ” ผมเรียก แต่เธอเฉยครับ “คุณครับคุณ” ผมเรียกอีกครั้งแล้วก็เป็นเช่นเดิม


ผมไม่กล้าเรียกเธอให้ดังกว่านี้เพราะเกรงว่าจะเป็นจุดสนใจจากผู้คนโดยรอบของเรา แล้วเธอก็ก้มหน้าลงหยิบเจ้าเครื่องเล่นMP3ขึ้นมาจากกระเป๋าสะพาย นี่กระมั้งสาเหตุที่ทำให้เธอไม่ได้ยินเสียงเรียกจากผม


ผมพยายามเค้นความคิดที่จะแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าให้ลุล่วงไปด้วยดี แต่แล้วผมก็เห็นเธอยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วเก็บเครื่องเล่นนั้นลงกระเป๋าเหมือนเดิม ใจของผมแกว่งไกวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกสงสารเป็นห่วงเธอขึ้นมาจับใจ


ผมเก็บความคิดที่จะบอกเธอไว้จนลึกที่สุด มันคงไม่มีประโยชน์ใดที่จะให้เธอรับรู้ เพราะเธอคงต้องรู้สึกกระดากอายไปจนกว่าจะถึงที่พักเมื่อผมเห็นแล้วว่าเธอคงไม่สามารถหาอะไรมาปิดบังรอยซิปที่แตกได้ ผมเจ็บใจตัวเองขึ้นมาเสียเฉยๆ คิดแค่เพียงว่าหากผมสวมเสื้อคลุมหรือสูทสากลผมคงสละให้เธอได้ใช้คลุมกายโดยไม่ต้องว้าวุ่นใจเช่นนี้ ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะยอมเป็นเกราะกำบังให้เธอด้วยตัวผมเอง คิดได้ดังนั้นผมจึงเดินไปใกล้และซ้อนอยู่ที่ด้านหลังของเธอ


เมื่อเข้าไปในขบวนรถเธอก็เดินไปเกาะที่เสากลางซึ่งเป็นจุดที่เอื้ออำนวยให้ผมใช้ตัวเองบังร่างของเธอได้เป็นอย่างดี แล้วแรงเหวี่ยงจากรถก็ทำให้เธอเซถลามาปะทะที่อกผม ตัวเธอสูงแค่ระดับคางของผมเท่านั้นเอง ตัวเล็กกะทัดรัดดีจริงๆ เธอหันมามองผมครับ แล้วเธอก็พูดคำว่า”ขอบคุณค่ะ”โดยที่ไม่มีเสียง ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจของผมมันพองฟูยังไงชอบกล ผมยิ้มให้เธอบางๆ อยากจะบอกกับเธอเหลือเกินว่าผมยินดีปกป้องเธอแต่ทว่าเธอหันกลับไปแล้ว


และก็ถึงจุดเปลี่ยนขบวนรถ ผู้คนทยอยออกจากรถไฟฟ้าจนภายในนั้นบางตา อันที่จริงผมต้องเปลี่ยนขบวนเช่นกัน แต่วันนี้ผมตัดสินใจแล้วว่าจะตามไปส่งเธอจนกว่าจะถึงที่ๆ ปลอดภัย เพราะในสภาพร่างกายที่ดูบอบช้ำและจิตใจที่อ่อนแอของเธอผมคงทอดทิ้งเธอไปเฉยๆ ไม่ได้


แล้วร่างของเธอก็กระแทกมาที่อกผมอีกครั้ง เธอหันมาซึ่งผมก็ยิ้มให้เธอเช่นเคย ผมเห็นเธอหันซ้ายหันขวาแล้วจู่ๆ เธอก็ถลึงตากลับมามองผม ผมแปลกใจแต่หลบสายตาเธอวูบ ไม่แน่ใจว่าเธอนึกขุ่นเมื่อตอนที่หลังของเธอมาชนกับผมมันสร้างความรู้สึกรังเกียจให้เธอหรือเปล่า แต่ผมว่าผมไม่มีกลิ่นตัวนะ จากนั้นเธอก็เบี่ยงตัวออกผมเห็นท่าว่าเธอจะพ้นจากการใช้ตัวบังของผมผมจึงกระเถิบตัวตาม เธอถอยกลับมาที่เดิมอีกครั้งผมก็ใช้ตัวบังด้านหลังให้เธออีกหน


จากนั้นเมื่อประตูของรถไฟฟ้าเปิดออกผมก็เห็นเธอจ้ำพรวดๆ ราวกับไม่มีอาการบาดเจ็บ ผมไม่ได้เข้าใกล้เธอมากเพราะเห็นว่าผู้คนนั้นบางตาและคงไม่มีใครสนใจจับจ้องไปที่บั้นท้ายของเธอเหมือนอย่างผม! คิดได้เท่านั้นผมก็รู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้าขึ้นมาทันที นี่ผมกำลังทำอะไรไม่ถูกไม่ควรอยู่รึเปล่า?


ผมตามเธอมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเธอหยุดทักแม่ค้าร้านขายไก่ย่าง จากนั้นเธอก็ทักพี่ชายร้านราดหน้า ทักป้ารถเข็นผลไม้ ทักไปเรื่อยๆ ทุกร้าน เธอคงเป็นที่รู้จักของคนแถบนี้ ผมมองความมนุษยสัมพันธ์ดีของเธออยู่ชั่วครู่ ที่นี่คงเป็นละแวกที่เธออยู่และทุกๆ คนคงรู้จักเธอเป็นอย่างดี ดังนั้นคงไม่มีอันตรายใดที่ผมควรห่วงอีกแล้ว ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู นี่ก็เลยเวลาที่ผมควรกลับถึงบ้านไปนานโข คิดได้ดังนั้นเมื่อเห็นรถประจำทางที่กำลังแล่นเข้ามาเป็นสายที่ผ่านบ้านของผม ผมจึงไม่รอช้ากระโดดขึ้นรถในทันที ป่านนี้”เจ้ารถถัง”แลเบรอดอร์ริทรีเวอร์สีช็อกโกแลตสุดหล่อของผมคงรอผมพาไปเดินเล่นแย่แล้ว


สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดมาปะทะใบหน้าของผมซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างของรถประจำทาง ผมยิ้มและตั้งใจแน่วแน่ว่าในวันพรุ่งนี้ผมจะเดินเข้าไปแนะนำตัวและขอทำความรู้จักกับเธอให้จงได้ เธอ...หญิงสาวที่ผมเฝ้ามองมาตลอดหนึ่งเดือน


===========================================

ขอให้ทุกๆท่านผ่านพ้นวิกฤติอุทกภัยนี้ไปได้ด้วยดีนะคะ :)




กาแฟเย็น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ต.ค. 2554, 15:33:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ต.ค. 2554, 18:16:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 2026





   ตอน :ช่องห่างระหว่างใจ (ครึ่งแรก) >>
Auuuu 21 ธ.ค. 2554, 12:14:41 น.
อ่านแล้วแอบฮานางเอกกับพระเอก มองกันไปคนละมุมเลย XD


Canopus 4 ม.ค. 2555, 22:45:55 น.
ยิ้มจนจบ


kaze 24 ก.พ. 2555, 18:27:12 น.
เอิ่ม...พรุ่งนี้จะไปทักเค้า จะโดนตบก่อนไหม?


ChaussonAuxPomme 26 ก.พ. 2555, 12:58:59 น.
555+++น่ารักดีคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account