เรื่องรักเล็ก...เล็ก
เรื่องสั้นเกี่ยวกับความรักซึ่งเมื่อใดที่ได้รับแรงบันดาลใจก็จะลงมือเขียนค่ะ ความถี่ห่างขึ้นอยู่กับอารมณ์'ติสต์ ของผู้เขียน ฮ่าๆๆ
Tags: เรื่องสั้น ความรัก

ตอน: ตอน :ช่องห่างระหว่างใจ (ครึ่งแรก)

สวัสดีวันแห่งความรักนะคะ

==========================
เรื่องรักเล็ก...เล็ก :ช่องห่างระหว่างใจ
==========================


ในตอนสายซึ่งพระอาทิตย์สาดแสงจ้า ที่ลานจอดรถหน้าสำนักงานเขตแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร หญิงสาวร่างกายขาวผ่องแบบบางซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่ายหากแต่เป็นเนื้อผ้าชั้นดีและตัดเย็บอย่างประณีต กำลังเดินวนไปมาเพื่อคุยโทรศัพท์อยู่บริเวณยานพาหนะคันงามของเธอ


“ค่ะคุณพ่อ ปริมคิดทบทวนมาเป็นอย่างดีแล้วค่ะ” ปรีติมาลย์บอกกล่าวอย่างมั่นคง


“หมดรักกันแล้วเหรอลูก? ” ผู้เป็นพ่อที่อยู่ปลายสายถามไถ่อีกครั้ง


หญิงสาวลมหายใจสะดุด กลีบปากบางขบเม้ม พยายามสะกดกลั้นความหวั่นไหวไม่ให้เผยออกมาจนบิดาต้องเป็นกังวล


“ค่ะ” ปรีติมาลย์กลั้นใจตอบได้เพียงเท่านั้น คำตอบซึ่งไม่มีความเป็นจริงอยู่สักเศษเสี้ยวเดียว


“แล้วหลังจากนี้ปริมจะทำอย่างไรต่อ? “ ผู้บังเกิดเกล้าห่วงใย


“ปริมคงต้องขอกลับไปเป็นลูกแหง่ของคุณพ่อต่อจะได้ไหมคะ? “ ผู้เป็นลูกฝืนยิ้มอย่างฝืดเฝือ


“ลูกกลับมาที่บ้านได้เสมอ ใครเลี้ยงลูกพ่อไม่ไหวพ่อจะเลี้ยงของพ่อเอง” น้ำเสียงทรงอำนาจให้ความมั่นใจ


“ขอบคุณนะคะคุณพ่อ” หญิงสาวเสียงสั่นจากก้อนสะอื้นที่กลืนไว้ “นี่คงใกล้เวลาที่เขาจะมาแล้ว เท่านี้ก่อนนะคะคุณพ่อ เสร็จเรื่องแล้วปริมจะรีบกลับไปกอดคุณพ่อเลยค่ะ” เธอตัดบทด้วยเกรงว่าจะเก็บกักความรู้สึกไว้ไม่ได้อีกต่อไป


ปรีติมาลย์แหงนเงยขึ้นทอดมองท้องฟ้าเพื่อไล่น้ำตาที่เอ่อท้นให้ไหลกลับลงสู่แหล่งเดิม ในเมื่อเธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจึงต้องดำเนินต่อไปจนสุดทาง...


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ดึกดื่นในเคหสถานหลังย่อมภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่เขียวครึ้ม เมื่อแสงไฟหน้ารถเก๋งสัญชาติญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่สาดส่องเข้ามาตามเส้นทางจากรั้วบ้านไปยังลานจอดรถ หญิงสาวในชุดนอนผ้าพลิ้วสีหวานก็วิ่งถลันไปรอรับผู้เป็นสามีที่กำลังก้าวเข้ามาภายในตัวบ้านทันที


กรวิชญ์ชะงักเท้าเมื่อเห็นว่าผู้เป็นภรรยานั้นยังไม่หลับใหล สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความกังวลใจจนไม่อาจเก็บไว้มิด


“ทำไมยังไม่นอนอีกปริม? “ เขาหยุดถามโดยที่สองแขนนั้นโอบอุ้มกล่องพลาสติกทรงกระบอกสำหรับเก็บแบบหลายอันไว้จนเต็ม


“ปริมเป็นห่วง เห็นว่าดึกแล้วแต่กรยังไม่กลับก็เลยมานั่งรอค่ะ” ปรีติมาลย์ตอบอย่างอ่อนหวาน พยายามดึงกระบอกใส่แบบมาถือไว้บ้าง


“ไม่ควรจะต้องรอเลย...” ชายหนุ่มพูดบางเบา และเพราะแรงดึงที่หญิงสาวพยายามจะช่วยโดยไม่ทันระวัง กระบอกพลาสติกทั้งหลายจึงหลุดออกจากช่องว่างที่แขนของกรวิชญ์ตกกระจายเกลื่อนพื้น


“ว้าย! ปริมขอโทษค่ะกร” ปรีติมาลย์กุลีกุจอรีบก้มลงช่วยผู้เป็นสามีเก็บข้าวของที่เกลื่อนกลาด


จู่ๆ ผู้เป็นสามีก็ดึงอุปกรณ์ของเขาออกจากอุ้งมือของผู้เป็นภรรยาอย่างรวดเร็วทำเอาหญิงสาวชาวาบไปทั้งร่างและดีดตัวลุกขึ้นโดยอัตโนมัติ


กรวิชญ์รวบรวมของๆ เขาขึ้นมาหนีบด้วยลำแขนทีละชิ้นจนหมด โดยไม่ปรายตามาสบกับปรีติมาลย์ที่ยืนน้ำตาคลออยู่ใกล้ๆ สักเพียงนิด


ชายหนุ่มหยัดตัวยืนอย่างมั่นคงก่อนจะผละห่างไปโดยไร้ซึ่งคำพูด


“กรคะ หิวหรือเปล่า? วันนี้ปริมออกไปทานข้าวกับเพื่อนๆ มา ซื้อกับข้าวมาฝากกรเยอะแยะเชียวค่ะ” ภรรยาสาวข่มน้ำเสียงที่สั่นเครือถามอย่างเอาอกเอาใจ


ผู้เป็นสามีหยุดการย่างก้าวก่อนจะเหลียวหน้ามาหาด้วยสายตาที่ยากจะตีความ “ผมไม่หิวปริมทานเถอะ” พูดเพียงเท่านั้นเขาก็เดินหายขึ้นไปทางบันไดชั้นบน


เมื่อร่างใหญ่ของกรวิชญ์ลับตาไปปรีติมาลย์ก็ทรุดลงกับพื้นกระเบื้อง สองมือยกขึ้นรองรับน้ำตาแห่งความน้อยใจที่พร่างพรูออกมาราวกับทำนบพัง หญิงสาวสะอึกสะอื้นข้องใจในความแปรเปลี่ยนของผู้เป็นสามี หลายเดือนมาแล้วที่เขาช่างดูแสนไกลจนเธอเอื้อมไปไม่เคยถึง


...ครั้งหนึ่งเมื่อแรกพบแรกเจอ เขาคือสถาปนิกหนุ่มมือดีผู้มีผลงานโดดเด่นซึ่งตกลงรับงานออกแบบสถานที่พักตากอากาศแห่งใหม่จากบิดาของหญิงสาว ส่วนเธอนั้นคือผู้เป็นบุตรสาวคนเล็กของเจ้าของธุรกิจโรงแรมระดับห้าดาวอันมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วภูมิภาคเอเชียอาคเนย์


การพบปะกันเกิดขึ้นบ่อยครั้งจากการที่เขาต้องประสานงานกับบิดาของเธอในช่วงเวลาเย็นย่ำซึ่งนอกเหนือเวลางานประจำของเขา กรวิชญ์หนุ่มข้าราชการใช้ทุนซึ่งมิได้มีแต่เพียงความมุ่งมั่นในการทำงาน และมานะอดทนในการยืนหยัดด้วยตนเอง หากด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของเขาจึงทำให้เธอนั้นรู้สึกไว้วางใจได้โดยไม่ยาก เขาผู้อ่อนโยนทว่าจริงจัง เขาที่ใจดีแต่ก็เป็นที่พึ่งพิงให้ได้เสมอมา เขาซึ่งเจิดจรัสยิ่งกว่าชายคนใดที่รายล้อมเธอ และเขาคนนี้คือผู้ที่เธอเชื่อมั่นว่าจะเป็นสามีแสนดีผู้ซึ่งเธอจะวางหัวใจให้เขาดูแลได้ตลอดไป


เมื่อจบงานที่บิดาของปรีติมาลย์มอบหมายให้แก่กรวิชญ์ ทั้งเขาและเธอจึงได้เริ่มต้นคบหาดูใจกันอย่างจริงจัง จวบจนกระทั่งหนึ่งปีแห่งการเรียนรู้นิสัย งานแต่งงานอันยิ่งใหญ่งดงามก็ถูกจัดขึ้น พิธีที่พรั่งพร้อมสมบูรณ์ซึ่งเขาตามใจในทุกสิ่งที่เธอต้องการ และชีวิตสมรสที่หวานชื่นก็ดำเนินต่อมาภายในรั้วเรือนหอที่สร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของเขาแต่เพียงผู้เดียว บ้านหลังเล็กซึ่งเทียบไม่ได้กับคฤหาสน์ขนาดมโหฬารที่เธออาศัยอยู่ตั้งแต่แรกเกิด แต่จะสำคัญอะไรในเมื่อที่แห่งนี้แม้จะเล็กจ้อย ทว่ากลับเป็นที่ซึ่งบ่มเพาะความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างเขาและเธอให้เติบโตหยั่งรากอันมั่นคงมิใช่หรือ?


ปรีติมาลย์ที่ร่างยังคงสั่นไหวเบาๆ จากแรงสะอื้น ค่อยๆ แกะพลาสติกถนอมอาหารออกจากภาชนะซึ่งบรรจุสำรับรสเลิศจากภัตตาคารหรูที่เธอเพิ่งแวะไปสังสรรค์กับบรรดาเพื่อนฝูงสมัยมัธยมทีละชิ้น มือบางเทอาหารที่อยู่ในจานทิ้งลงถังขยะอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะจัดการล้างจานชามทั้งหมดจนเสร็จสิ้น หญิงสาวคิดทบทวน...นานเท่าใดแล้วที่ทั้งเขาและเธอไม่ได้มีมื้ออาหารที่จะได้พูดคุยเรื่องราวที่ประสบมาในแต่ละวันร่วมกัน?


ดวงตาแดงช้ำเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังที่บอกเวลาดึกสงัด หญิงสาวเดินไปหยุดยืนที่หน้าห้องทำงานของผู้เป็นสามีซึ่งแสงไฟสลัวนั้นพาดผ่านออกมาทางช่องว่างของบานประตูที่แง้มอยู่ ภาพของกรวิชญ์ในชุดทำงานซึ่งไม่ได้ผลัดเปลี่ยนนับตั้งแต่กลับเข้ามายังคงคร่ำเคร่งอยู่กับโต๊ะเขียนแบบตรงหน้า ปรีติมาลย์ถอนหายใจหนักหน่วงพร้อมกับหยาดน้ำที่เริ่มรื้นขึ้นมาอีกหน นานเท่าใดหนอที่เขาช่างดูหมางเมินแล้วปล่อยให้ความเย็นชานั้นก็เข้ามาแทรกกลางความสัมพันธ์จนคนทั้งคู่ห่างไกลกันมากขึ้นทุกที?


หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนบนเตียงว่างเปล่าซึ่งมีเธอเพียงลำพัง มือเรียวตลบผ้าห่มนวมขึ้นคลุมร่างและขดตัวซุกหาไออุ่น ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ไม่อาจทำให้หัวใจที่ปวดร้าวทุเลาความหนาวเหน็บเดียวดายไปได้เลย


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ปรีติมาลย์ยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำใสๆ ที่ร่วงหล่นไล้สองข้างแก้ม น้ำตาที่มากล้นเกินกว่าจะเก็บกลั้นเอาไว้ได้ จบสิ้นลงแล้วใช่ไหมชีวิตคู่หวานชื่นซึ่งเธอฝันใฝ่ว่าจะคงอยู่อย่างเป็นนิรันดร์ตลอดกาล? ความรักที่เป็นเพียงความเพ้อฝันของเธอแต่เพียงผู้เดียว...


===========================================


ยานพาหนะคู่ใจของกรวิชญ์เคลื่อนมาจอดภายในลานจอดรถของสำนักงานเขตซึ่งเป็นที่นัดหมาย ชายหนุ่มเหลือบมองทะเบียนสมรสที่วางอยู่บนเบาะด้านข้างคนขับ แผ่นกระดาษลวดลายวิจิตรที่เขาและภรรยาสาวได้มาเป็นอนุสรณ์แห่งความผูกพันอันเป็นรูปธรรมระหว่างเขาและเธอ


กรวิชญ์พ่นลมหายใจออกทางริมฝีปากแรงๆ ดวงตาก้มมองฝ่ามือที่แบออก ความว่างเปล่าที่ได้เห็นคือความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ สิ่งที่เขาพยายามก่อร่างสร้างขึ้นด้วยสองมือนี้กำลังจะมลายหายไปจนหมดสิ้น ความรักที่เขาทุ่มเทแรงใจประคับประคองดำเนินมาจนสุดทางเพียงเท่านี้แล้ว...


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ช่วงเที่ยงภายในคอกทำงานของสถาปนิกในหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง กรวิชญ์ที่เพ่งสมาธิอยู่กับงานในความรับผิดชอบของตนถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่แผดก้อง อุ้งมือใหญ่หยิบมากดรับอย่างเนือยๆ


“กรคะ ตอนนี้ปริมอยู่ในร้านอาหารที่ทองหล่อกับเพื่อนๆ กรอยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะปริมจะได้ซื้อไปฝาก? “ เสียงสดใสของผู้เป็นภรรยาดังอยู่ที่ปลายสาย


“ผมคงกลับดึก ปริมไม่ต้องซื้อมาหรอก” ชายหนุ่มตอบเรียบๆ


“กลับดึกอีกแล้วเหรอคะ? กรทำงานเยอะไปรึเปล่า? เพราะปริมหรือเปล่า? ให้ปริมช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายบ้างจะได้ไหมคะ? ” ปรีติมาลย์ทำน้ำเสียงรู้สึกผิดเมื่อเห็นว่างานของเขายื้อแย่งเวลาที่จะอยู่ด้วยกันออกไปอีกแล้ว


“ไม่เกี่ยวกับปริมหรอก แค่ดูแลงานที่บ้านให้ผมก็พอ ผมเคยบอกว่าจะเลี้ยงปริมเอง ปริมก็ไม่ต้องห่วงอะไรหรอกนะ” กรวิชญ์ให้ความสบายใจแก่หญิงสาว


สามีภรรยาสนทนากันอยู่อีกเพียงครู่เดียวก่อนที่ชายหนุ่มจะตัดบทและวางสายไป ดวงตาคมปรายตามองจานเปล่าและแก้วน้ำที่พร่องลงไปครึ่งค่อนซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเอกสารข้างกันกับโต๊ะเขียนแบบ อาหารกลางวันของเขาที่เป็นแค่ผัดกะเพราะและไข่ดาวราดลงบนข้าวเม็ดร่วนจนเกือบแข็ง มื้อเที่ยงที่เขารับประทานประทังความหิวไปเพียงเท่านั้น มื้ออาหารที่หาความเอร็ดอร่อยกำซาบที่ปลายลิ้นมิได้เลย


ร่างใหญ่เหยียดตัวเอนพิงพนักเก้าอี้กึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วยกสองแขนขึ้นก่ายหน้าผาก นัยน์ตาเหม่อลอยครุ่นคิด ดอกฟ้าที่โน้มกิ่งลงมายังเขา เธอจะมีความสุขจากการเป็นภรรยาของชายเดินดินคนนี้แน่แล้วหรือ?


“อ้าวกร! วันนี้ก็ทานกลางวันที่โต๊ะเหรอ? “ ข้าราชการรุ่นพี่คนหนึ่งชะโงกข้ามคอกกั้นมาทัก


“ครับพี่ พอดีว่าผมมีแบบที่ต้องเร่งแก้” กรวิชญ์เด้งตัวขึ้นจากท่าทางเอกเขนก


“นายจะรับงานเยอะแยะไปทำไมนัก? ระวังเถอะร่างกายมันจะรับไม่ไหวเอา” ชายรุ่นพี่เตือน


“ผมเห็นว่ามันเป็นโอกาสที่ดี ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะไม่มีงานเข้ามามากเหมือนตอนนี้ ดังนั้น ถ้ายังพอทำได้ผมก็ไม่อยากจะปฏิเสธน่ะครับ” กรวิชญ์ชี้แจง


“ก็แล้วแต่นะ แต่ก็อย่าถึงกับเกินกำลังก็แล้วกัน อีกอย่างพี่ว่าฐานะอย่างนายก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องวิ่งรอกรับงานอะไรให้มากมายนา” ชายคนดังกล่าวว่าก่อนจะปลีกตัวไป


เมื่อคล้อยหลังเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ กรวิชญ์ก็พ่นลมหายใจหนักหน่วงก่อนจะเริ่มต้นจดจ่อกับงานตรงหน้าอีกครั้ง เขาจรดปากกาลงบนกระดาษไขแม้นว่าภายใจจิตใจนั้นยังคงกังขา ฐานะอย่างเขาน่ะหรือที่ไม่ต้องขวนขวาย? ฐานะอย่างเขาที่ต้องมุมานะในการงานเพียงเพื่อจะหาของขวัญสักชิ้นตอบแทนความรักที่ผู้เป็นดั่งดวงใจหยิบยื่นให้ หรือความนัยนั้นคือฐานะมั่งคั่งแห่งผู้เป็นภรรยาของเขากันแน่?


ยามค่ำกรวิชญ์จอดรถยนต์ของเขาต่อท้ายยานพาหนะคันหรูแพงระยับของผู้เป็นภรรยาซึ่งบิดาของเธอคัดสรรมาให้ใช้ ความโอ่อ่าและสนนราคาที่เขายากจะเอื้อมถึงทำให้รถคันงามของเธอช่างดูผิดที่ผิดทางกับโรงจอดรถซึ่งสร้างขึ้นมาอย่างเรียบง่ายและบ้านน้อยขนาดสามห้องนอนที่เขาใช้เงินเก็บทั้งชีวิตทุ่มลงไปเพื่อปลูกเป็นเรือนหออย่างเหลือแสน แม้ทรัพย์สินและการใช้ชีวิตชั้นสูงซึ่งมาจากเงินที่ผู้เป็นภรรยามีไว้ใช้สอยนั้นจะเกิดจากปันผลของหุ้นที่เธอมีส่วนแบ่งโดยไม่ได้เบียดเบียนรายได้ที่เขาหาเข้าบ้าน แต่ทว่าสิ่งเหล่านั้นกลับยิ่งตอกย้ำว่าตัวเขาช่างไร้ประสิทธิภาพในการสนองตอบวิถีอันเป็นปกติของปรีติมาลย์มิใช่หรือ?


ร่างหนาที่เพลียระโหยหอบข้าวของเดินเข้าบ้านอย่างอ่อนล้า แล้วก็ต้องชะงักเท้าเมื่อพบกับนวลหน้าหวานซึ้งของปรีติมาลย์ที่วิ่งเข้ามาหา ความเหนื่อยอ่อนที่ตรากตรำมาจนกระทั่งถึงเวลานี้ดูราวกับจะถูกชะล้างออกไปเพียงแค่สัมผัสได้ถึงความห่วงอาวรณ์ที่หญิงสาวผู้ซึ่งเขารักอย่างสุดใจนั้นหยิบยื่นให้


“ทำไมยังไม่นอนอีกปริม? ” ริมฝีปากเอื้อนเอ่ยอย่างห่วงใยด้วยเห็นว่าเลยเวลาที่ภรรยาควรได้พักผ่อนมานานแล้ว


“ปริมเป็นห่วง เห็นว่าดึกแล้วแต่กรยังไม่กลับก็เลยมานั่งรอค่ะ” เธอตอบด้วยดวงตาที่บ่งบอกถึงแววกังวล


“ไม่ควรจะต้องรอเลย...” เขาครางตอบ


และโดยที่กระบอกเขียนแบบซึ่งเขาหอบไว้นั้นมีจำนวนมากเกินไป เมื่อชายหนุ่มคลายแรงโอบเพื่อให้ปรีติมาลย์ที่กุลีกุจออยากแบ่งเบาไปถือบ้างได้สมดังใจ พลาสติกทรงกระบอกเหล่านั้นจึงร่วงหล่นกระจัดกระจายโดยที่คนทั้งคู่นั้นไม่อาจคว้าไว้ทัน


“ว้าย! ปริมขอโทษค่ะกร” หญิงสาวย่อตัวลงพร้อมๆ กับผู้เป็นสามี การก้มๆ เงยๆ ของเธอทำให้สร้อยคอทองคำขาวพร้อมกับจี้เพชรซึ่งเป็นของขวัญจากพี่ชายนักธุรกิจหนุ่มผู้สืบทอดกิจการจากบิดาของปรีติมาลย์ที่ให้เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของเธอนั้นแกว่งไกว แสงวูบวาบจากอัญมณีน้ำงามที่ถูกเจียรนัยอย่างบรรจงส่องสว่างล้อไฟเปล่งรัศมีดั่งดวงดาวพราวระยับ แสงสว่างอันงดงามทว่าเสียดแทงทิ่มใจและย้ำถึงความแตกต่างระหว่างเขาและเธอราวกับท้องฟ้ากับหุบเหวซ้ำๆ นั้นช่างทรมาน


กรวิชญ์รวบแรงจนคล้ายแย่งข้าวของที่ปรีติมาลย์ช่วยเก็บมาถือไว้เองทั้งหมด เขาหยัดตัวยืนขึ้นแล้วก้าวยาวๆ ด้วยความประหวั่นที่เผลอไผลแสดงความไม่พอใจใส่ภรรยาสาว แม้จะเป็นการแสดงออกเพียงเล็กน้อย แต่เขากลับรู้สึกว่าอาการพาลพาโลนั้นไร้เหตุผล แรงอารมณ์ที่กลั่นออกมาจากความเหนื่อยล้าและทีท่ากระด้างเย็นชาจากความอดสู ส่งผลให้ชายหนุ่มไม่อาจสู้หน้าปรีติมาลย์ได้อีกสักวินาทีเดียว


ดึกสงัดที่ไร้ซึ่งสรรพเสียงรอบนอก ร่างสูงหยุดยืนเพ่งพินิจสิ่งที่ตนมองเห็นในแสงสลัวจากโคมไฟที่โต๊ะเตี้ยข้างเตียง บนที่นอนอุ่นนั้นมีร่างบอบบางของผู้เป็นดั่งดวงใจขดตัวหลับใหลซุกอยู่ภายใต้ผ้าห่มนวม ร่องรอยคราบน้ำตายังประทับอยู่ที่ขอบตาซึ่งหลับพริ้มทั้งสองข้าง กรวิชญ์ย่อตัวลงนั่งที่พื้นข้างเตียง อุ้งมืออุ่นจับมือเรียวข้างหนึ่งของภรรยาสาวมาจรดจูบ มือบางที่เคยเนียนนุ่มทว่าผ่านไปเพียงแค่ปีเศษก็ปรากฏริ้วรอยจากการรับผิดชอบงานบ้านซึ่งเธอไม่เคยต้องทำจนกระทั่งตัดสินใจร่วมชีวิตกับเขา แม้เธอจะไม่เคยปริปากบ่นแต่เขานั้นรู้ดีว่าผู้เป็นภรรยาต้องใช้ความพยายามมากถึงเพียงไหน และเพราะอยากให้เธอสุขสบายด้วยแรงกายของเขา จึงทำให้ช่วงเวลาที่จะได้หวานชื่นผ่อนคลายนั้นกลับกลายเป็นต้องทิ้งเธอไว้อย่างเดียวดายมาเนิ่นนาน


สามีหนุ่มปวดแปลบไปทั้งหัวใจ นึกสงสารหญิงสาวผู้ผุดผาดซึ่งถูกกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูด้วยความทะนุถนอมจนกระทั่งมาเจอกับเขา กรวิชญ์สะท้อนใจหากว่าตนไม่ดึงดันเด็ดดอกฟ้ามาไว้กับตัว เธอคงยังผลิดอกงามให้เขาได้แหงนมองเพ้อและได้พบเจอกับเจ้าชายซึ่งจะดลบันดาลชีวิตอันสวยหรูเหมาะสมให้แด่เธอ หาใช่โรยราบอบช้ำเหมือนยามที่อยู่เคียงข้างเขาอย่างที่เป็นอยู่นี้


ชายหนุ่มจุมพิตแผ่วเบาลงบนเรือนผมหอมกรุ่นอีกครั้งก่อนจะทอดกายลงนอนเคียงข้างผู้เป็นภรรยา สองร่างที่ใกล้กันทว่ากลับแยกห่างไกลออกไปมากขึ้นทุกที


รุ่งเช้าวันใหม่ที่กรวิชญ์นั่งจิบกาแฟพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์เพื่อรอปรีติมาลย์ลงมาร่วมโต๊ะอาหาร ร่างบางที่ก้าวลงมาจากบันไดโดยหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางใบเขื่องติดมาด้วยสร้างความมึนงงให้ชายหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง


“นั่นปริมจะไปไหน? “ เขาเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ


“ปริมจะไปอยู่ที่คอนโดของพี่ปราบสักพักค่ะ” เธอตอบโดยไม่กล้าเหลียวหน้ามาสบตา


“ทำไม? “ กรวิชญ์เสียงแข็งสองขาก้าวยาวๆ มาจนถึงตัวผู้เป็นภรรยา


“ปริม...ปริมเหนื่อยแล้วค่ะกร ถ้ากรว่างวันไหนช่วยบอกปริมด้วยนะคะ” ริมฝีปากบางตอบตะกุกตะกักเสียงแผ่ว ดวงตาแดงก่ำร้อนผ่าวพยายามเก็บกลั้นหยาดน้ำที่กำลังเอ่อท้นออกมาอย่างยิ่งยวด


“หมายความว่าอย่างไรปริม? “ ผู้เป็นสามีถามเสียงดัง สองมือจับมั่นที่ไหล่บางทั้งสองข้าง


“เราหย่ากันเถอะค่ะกร” ถ้อยคำที่หลุดออกมาจากกลีบปากจิ้มลิ้มราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาจนร่างใหญ่ของกรวิชญ์นั้นมอดไหม้แหลกเหลว


สามีหนุ่มนิ่งขึง ดวงวิญญาณดั่งถูกฉุดกระชากออกไปจากร่าง มือบางอันเย็นเยียบค่อยๆ แกะฝ่ามือใหญ่ที่เกาะกุมอยู่ออกไป


“ปริมไม่อยู่แล้วกรดูแลตัวเองดีๆ นะคะ” ปรีติมาลย์ฝืนยิ้มอ่อนหวานให้กับผู้เป็นสามีที่ยืนอยู่ตรงหน้า และเพียงแค่ได้ประสานสายตาหยาดน้ำที่ปริ่มอยู่ในดวงตาก็กลับกลิ้งลงมาต้องสองแก้มนวล


หญิงสาวก้มหน้างุดพร้อมกับผละห่าง สองมือลากกระเป๋าเดินทางออกไปอย่างเร็วรี่ ภรรยาสาวเก็บข้าวของใส่ท้ายรถยนต์คันหรูทั้งๆ ที่ร่างบางนั้นสะท้านไหวด้วยแรงสะอื้น สามีหนุ่มเดินมาเกาะขอบประตูเพื่อมองส่งผู้เป็นที่รัก ภาพที่เขาเห็นคือปรีติมาลย์ที่กระชากยานพาหนะออกไปอย่างรวดเร็วราวกับอยากไปให้พ้นจากขุมนรกที่ทนทุกข์อาศัยอยู่โดยไม่ยอมเสียเวลาร่ำลาอีกสักเพียงนาที


ร่างใหญ่ที่หมดอาลัยตายอยากเดินมาทิ้งตัวลงบนโซฟาหนังเทียมอย่างไร้พลัง นัยน์ตาหมองหม่นเหม่อลอยถึงดวงหน้าสวยตรึงใจที่เพิ่งจากไปเมื่อสักครู่ หมดเวลาที่เขาจะได้เชยชมดวงดาวประจำใจดวงนั้นแล้วใช่ไหม? ดวงดาวที่ต้องกลับคืนลอยเด่นประดับฟากฟ้าสูงลิบอีกครั้ง...

===========================================

กรวิชญ์ถอนหายใจยาวอีกเฮือกใหญ่ มือหนากดรีโมตล็อกรถยนต์ของเขาก่อนจะเดินเข้าไปหาภรรยาที่ยืนรออยู่ที่ไกลๆ นวลหน้าที่แสนคิดถึงยามอยู่ห่างกันหลายวันนั้นดูซูบลงเล็กน้อย ปรีติมาลย์เหม่อลอยโดยที่ยังไม่รู้การมาถึงของเขา


แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ รถตู้กระจกติดฟิลม์สีดำสนิทก็มาจอดเทียบตรงจุดที่หญิงสาวนั้นยืนอยู่ ชายฉกรรจ์ที่สวมแว่นกันแดดอำพรางหน้าตาสามคนก้าวลงจากประตูด้านข้างก่อนจะย่างสามขุมเข้ารวบร่างของปรีติมาลย์ไว้ในวงแขน ร่างบางดิ้นรนสุดแรงทว่าไม่อาจสู้กำลังที่เหนือกว่าของบุรุษเพศได้ ชายสองคนอุ้มหญิงสาวไว้แล้วพาขึ้นรถอย่างว่องไวโดยมีชายอีกคนหนึ่งยืนคุมเชิง


กรวิชญ์ใจหล่นวูบ เขาวิ่งโดยไม่คิดชีวิตด้วยหวังจะช่วยผู้เป็นภรรยาไว้ได้ทัน ปากก็ตะโกนก้องทั้งเรียกชื่อของปรีติมาลย์และร้องขอความช่วยเหลือในเวลาเดียวกัน หากแต่สองขาของเขาเพียงเท่านั้นไม่อาจไล่ตามเครื่องยนต์หลายแรงม้าที่พุงทะยานออกสู่ถนนใหญ่ด้านนอกสำนักงานเขตได้


ชายหนุ่มย้อนกลับมาที่รถยนต์ของตนอย่างร้อนรนก่อนจะติดเครื่องแล้วขับออกไปโดยไว ในขณะที่ควบคุมยานพาหนะและสายตาก็เพ่งมองหารถตู้ซึ่งเขาจำเลขทะเบียนได้ขึ้นใจที่กำลังขับเคลื่อนอยู่ไม่ห่างนัก มือข้างหนึ่งของเขาก็หยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ขึ้นมาเพื่อต่อสายถึงบิดาของภรรยาโดยทันที


“คุณพ่อครับปริมถูกจับตัวไป” น้ำเสียงตื่นตระหนกระคนหอบหายใจบอกกล่าวกับผู้เป็นพ่อตา


“หา! ว่าอย่างไรนะ? “ ชายสูงวัยถามกลับเสียงดัง


“ปริมยืนรอผมอยู่ที่หน้าเขต แล้วจู่ๆ ก็มีรถตู้มาจับตัวปริมไป ตอนนี้ผมกำลังขับรถตามอยู่ครับ คุณพ่อกรุณาแจ้งตำรวจด้วย” กรวิชญ์เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวบรัด รวมทั้งบอกถึงลักษณะและเลขทะเบียนของรถที่ตนกำลังไล่กวด


นักธุรกิจใหญ่แจ้งแก่เขาว่าจะติดต่อกับนายตำรวจยศสูงเพื่อช่วยผู้เป็นบุตรสาวให้พ้นภัย โดยได้ขอร้องเขาซึ่งกำลังจะกลายเป็นคนอื่นให้ติดตามไปจนกว่าการช่วยเหลือจะไปถึง


“คุณพ่อพยายามติดต่อกับท่านผู้บัญชาการให้ได้นะครับ ส่วนผมจะตามปริมไปเอง ผมจะช่วยปริมให้ได้ ผมรับรองครับ” ชายหนุ่มให้ความเชื่อมั่น แม้ในขณะนี้จะยังหาหนทางช่วยเหลือผู้เป็นภรรยาไม่ได้ แต่ทว่าสิ่งที่คิดอยู่ภายในจิตใจนั้นแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต เขาก็ยอมสละให้โดยไม่เสียเวลาไตร่ตรอง


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ปรีติมาลย์ที่ถูกมัดมือและเท้ารวมทั้งถูกปิดปากด้วยเทปกาวนอนดิ้นขลุกขลักอยู่ที่ด้านท้ายของห้องโดยสารด้วยน้ำตาที่พร่างพรู เบาะที่นั่งสองชิ้นท้ายรถถูกถอดออกจนกลายเป็นพื้นโล่ง แล้วร่างของเธอก็กลิ้งไปมาอยู่ที่พื้นนั้น น้ำเสียงที่พยายามกรีดร้องขอความช่วยเหลือได้ยินเพียงแค่เสียงอู้อี้ในลำคอ ถุงผ้าสีดำที่คลุมอยู่บนศีรษะของเธอทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่าตนอยู่ ณ แห่งหนใด และใครคือคนร้ายที่จับตัวเธอมา


หญิงสาวสะอื้นไห้ด้วยความหวาดกลัว หัวสมองคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น สองหูพยายามเงี่ยฟังสิ่งที่กลุ่มคนซึ่งลักพาตัวเธอมานั้นพูดคุย แต่เสียงที่ได้ยินมีเพียงการคำรามของเครื่องยนต์เท่านั้น ปรีติมาลย์รับรู้ถึงแรงเหวี่ยงซ้ายบ้างขวาบ้างที่ไม่แรงนักอันเกิดจากการขับเคลื่อนยานพาหนะไปบนเส้นทางปกติ แต่ไม่นานเสียงล้อที่บดกับก้อนกรวดขรุขระโดยส่งผลให้รถตู้ที่เธออยู่นั้นโยกเอนแล้วร่างของเธอก็กระเด้งกระดอนจนเจ็บเนื้อ และสุดท้ายก็หยุดลงอย่างกะทันหัน


ทุกสิ่งดูเหมือนจะหยุดนิ่งหลังจากแว่วเสียงบานประตูกระแทกปิดลง ความเงียบงันวังเวงที่ตึงเครียดแทรกซึมเข้ามาทีละน้อย บรรยากาศที่รายล้อมดูหนักหนาจนแทบหายใจไม่ออก ความหวาดหวั่นอันน่าสะพรึงคืบคลานมาใกล้ทุกทีๆ


เสียงเอะอะเอ็ดตะโรเมื่อประตูบานเลื่อนของรถตู้เปิดออกทำลายความเงียบที่กำลังรัดรึงปรีติมาลย์ที่นอนหายใจกระเส่าจากความประหวั่นพรั่นพรึงแทบสุดชีวิต


“ปริม! ปริม! “ เสียงตะโกนก้องจากน้ำคำที่แสนคุ้นเคยดุจดังแสงสว่างยามรุ่งอรุณหลังพานพบกับราตรีกาลอันมืดมิด


“ไอ้นี่! “ เสียงกระแทกกับตัวรถที่ดังมาพาลเอาภรรยาสาวดิ้นรนทั้งที่ถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนาอีกครั้ง


เธอร้องเรียกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ถ้อยคำเหล่านั้นกลับไม่สามารถผ่านพ้นแผ่นเทปที่ปิดปากอยู่ได้ แม้ไม่อาจรับรู้ด้วยสองตาหากแต่เพียงแค่สิ่งที่เธอจินตนาการณ์ ใจของหญิงสาวก็แทบขาดรอน


ร่างใหญ่ของกรวิชญ์ถูกเหวี่ยงลงใกล้กันกับร่างของปรีติมาลย์ หญิงสาวพยายามตะเกียกตะกายกระถดตัวไปใกล้แม้ไม่รู้ทิศทาง แต่ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างใจ ในขณะที่ชายหนุ่มนั้นใช้ท่อนแขนเหนี่ยวร่างที่นอนกลิ้งอยู่ของภรรยามากอดไว้แนบอก มืออุ่นกระชากถุงผ้าที่คลุมอยู่ออกไปอย่างรวดเร็ว นวลหน้าหวานที่ไร้ร่องรอยฟกช้ำทำให้เขาใจชื้นขึ้นมามากโข


เมื่อผ้าคลุมหน้าถูกดึงออก สภาพสามีที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงและรอยฟกช้ำที่โหนกแก้มข้างหนึ่ง รวมถึงเสื้อผ้าซึ่งยับเยินขะมุกขะมอมนั้นบีบหัวใจของปรีติมาลย์จนฟีบแฟบ หยาดน้ำตาทะลักล้นออกมาจากดวงตาสุกสกาวทั้งสองข้างจากความหวาดหวั่นและตื้นตันระคนปนเป แม้ว่าจะอุ่นใจเมื่อพบกับผู้เป็นสามีหากแต่เพราะเธอเป็นต้นเหตุเขาจึงต้องร่วมวิบากกรรมเช่นนี้


นิ้วใหญ่ทำท่าจะดึงแผ่นเทปกาวที่ปิดปากผู้เป็นภรรยาทิ้งไปเสียให้พ้น ทว่าชายหน้าตาโหดร้ายคนหนึ่งก็ตะคอกใส่จนเขาต้องหยุดชะงัก


“เฮ้ย! จะทำอะไรวะ?” ชายคนดังกล่าวเสียงดังข่ม


“อย่าเอาเทปปิดปากปริมอีกเลย ผมรับรองว่าปริมจะไม่ร้องโวยวาย ตกลงไหมปริม? “ ชายหนุ่มหันมาถามความสมัครใจจากปรีติมาลย์ซึ่งเธอนั้นพยักหน้าแรงๆ แทนคำตอบ


โดยไม่รอให้เหล่าคนผู้ประสงค์ร้ายอนุญาต กรวิชญ์ก็ดึงแผ่นเทปทิ้งอย่างไม่ใยดี


“กร กร” เมื่อริมฝีปากของหญิงสาวนั้นเป็นอิสระ เธอก็เรียกชื่อผู้เป็นสามีซ้ำๆ ราวกับจะพิสูจน์ว่าตนไม่ได้ฝันไป


“ใจเย็นๆ ปริม ไม่ต้องกลัวนะ ผมมาแล้ว” กรวิชญ์ปลอบประโลม ปรีติมาล์พยักหน้ารับทั้งน้ำตาที่นองหน้า


“กรเจ็บมากรึเปล่าคะ? “ ผู้เป็นภรรยาถามไถ่อย่างห่วงใยถึงร่องรอยที่ปรากฏอยู่ที่ใบหน้าคมคาย กรวิชญ์ส่ายหน้าบางเบาแล้วฝืนเหยียดริมฝีปากคลี่เป็นยิ้มที่แห้งแล้ง ด้วยไม่ต้องการให้หญิงสาวเกิดความกังวล


“เอ้า! พอได้แล้ว แผลแค่นี้ไม่ตายหรอก แต่หลังจากนี้สิไม่แน่ แล้วอย่าพูดให้มากนักไม่อย่างนั้นจะฆ่าทิ้งซะเดี๋ยวนี้เลย” สิ้นเสียงที่แทรกขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะหยามหยันที่ดังขรม ชายร่างใหญ่ในชุดเสื้อสีดำและกางเกงลายพรางคล้ายทหารสองคนก็ก้าวพรวดเข้ามาแล้วจับกรวิชญ์มัดมือไพล่หลังไว้อย่างแน่นหนาจนเขาไม่อาจขยับเขยื้อนข้อมือทั้งสองได้


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

รถตู้ที่กักขังคู่สามีภรรยาทั้งสองพุ่งทะยานออกสู่เส้นทางอีกครั้ง และเมื่อสายตามิได้ถูกขวางกั้นโดยถุงผ้า กรวิชญ์ที่นั่งพิงกับผนังท้ายรถโดยมีปรีติมาลย์ที่เอนตัวซบอยู่ที่อกจึงรับรู้ภาพที่เห็นผ่านกระจกทั้งสองข้างอย่างชัดเจน


ภาพต้นเสาที่วิ่งผ่านอย่างเป็นระเบียบและตึกรามบ้านช่องที่เริ่มทิ้งระยะห่างบ่งบอกว่ายานพาหนะคันดังกล่าวนั้นเคลื่อนไกลจากตัวเมืองมากขึ้นทุกที รถตู้ลัดเลาะเข้าไปตามเส้นทางที่มีสุมทุมพุ่มไม้หนาทึบทุกขณะจนกระทั่งมาจอดสงบนิ่งในที่ซึ่งมองเห็นเพียงต้นไม้ใบหนาสีเขียวเข้มรกทึบ ขนาดที่ทำให้แสงตะวันยามบ่ายมิอาจเล็ดลอดส่องแสงจ้าเข้ามาได้


กรวิชญ์ถูกกระชากคอลงจากรถในขณะที่ปรีติมาลย์นั้นถูกอุ้มตามลงไปด้วย ชายหนุ่มพยายามดิ้นรนเพื่อวิ่งไปหาหญิงสาวทว่าก็ถูกฉุดรั้งไว้ และด้วยความเหลืออดชายที่ควบคุมตัวเขาจึงตีเข่าเข้าที่ชายโครงจนร่างใหญ่ที่ไม่อาจปัดป้องของผู้เป็นสามีนั้นทรุดลง ภรรยาสาวกรีดร้องด้วยความตื่นตกใจขอร้องไม่ให้ชายคนร้ายลงมือกับคนรักอีกครั้งทั้งน้ำตาที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเหือดแห้ง ฝ่ามือกร้านดำของชายใจร้ายดึงคอเสื้อให้กรวิชญ์ที่ยังตัวงออยู่ให้ยื่นขึ้นแล้วลากถูลู่ถูกังเข้าไปยังบ้านไม้หลังเล็กที่สร้างอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสวนป่ารกชัฏ


ภายในสถานที่ซึ่งถูกใช้เป็นที่จองจำนั้นเป็นเพียงห้องโล่งไร้ซึ่งเครื่องเรือนใดๆ กรวิชญ์ถูกผลักให้นั่งลงกระแทกพื้นในขณะที่ปรีติมาลย์กลับถูกวางลงอย่างแผ่วเบา ชายหน้าตาโหดเหี้ยมอีกคนหนึ่งซึ่งรั้งท้ายมาในมือนั้นถือโซ่โลหะไว้ทั้งสองข้างก่อนจะส่งเส้นหนึ่งให้กับเพื่อนที่อยู่ใกล้กันกับชายหนุ่ม เขาแสยะยิ้มน่าขนลุกพร้อมกับย่อตัวลงร้อยสายโซ่ที่ข้อเท้าของหญิงสาวแล้วโยงไว้กับเสาไม้ต้นหนึ่ง ส่วนชายอีกคนก็พันโซ่ที่ยาวกว่ารอบตัวของกรวิชญ์หลายรอบโดยตรึงไว้กับเสาอีกต้นที่ไม่ห่างกันมากนัก


เมื่อพันธนาการที่รัดรึงดูจะแน่นหนาเพียงพอชายคนร้ายคนหนึ่งก็ใช้มีดดาบยาวใหญ่ที่เหน็บซ่อนไว้ด้านหลังตัดเชือกที่มัดข้อมือของปรีติมาลย์ออก หญิงสาวสะบัดข้อมือให้คลายจากความเมื่อยขบหลังจากถูกรัดแน่นมาเป็นเวลานาน ก่อนจะพยายามกระชากโซ่ที่พันรอบข้อเท้าของเธอออกไป


“จับพวกเรามาทำไม? “ เมื่อเห็นว่าพละกำลังที่มีไม่อาจทำให้หลุดพ้นจากโลหะที่มัดอยู่ได้ ปรีติมาลย์จึงถามขึ้น


“พวกเราจะขอแบ่งเงินที่พ่อของคุณมีมาใช้สักหน่อยก็เท่านั้น เงินแค่สิบล้านยี่สิบล้านแลกกับชีวิตลูกสาวทั้งคนพ่อของคุณคงไม่ขี้เหนียวหรอกกระมัง” ชายที่ตอบยิ้มกว้าง เป็นยิ้มที่น่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน “พรุ่งนี้เช้าถ้าพ่อของคุณทำตามข้อตกลงคุณก็จะเป็นอิสระ”


“แต่ถ้าไม่... คุณก็ตามไปอยู่กับหมอนั่นที่ก้นทะเลก็แล้วกัน” ชายคนร้ายยื่นหน้ามาใกล้กับหญิงสาวพร้อมกับชี้นิ้วโป้งส่งๆ ไปทางด้านหลังซึ่งเป็นที่ๆ กรวิชญ์นั้นนั่งอยู่


“หมายความว่าอย่างไร? ” ปรีติมาลย์ถามน้ำเสียงตะกุกตะกัก รู้สึกถึงความหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจและเลือดในกายก็ราวกับจะระเหยหาย


“ช่วยไม่ได้เพราะไอ้หมอนั่นมันแส่เข้ามายุ่งเอง ที่พวกเราต้องการมีเพียงแค่ตัวคุณเท่านั้น”


“อย่าฆ่าเขานะ ได้โปรด ทำไมถึงไม่ปล่อยเราไปทั้งสองคนล่ะ? ” หญิงสาวอ้อนวอนน้ำตาไหลพรากอีกหน


ชายคนดังกล่าวไม่ตอบอะไรได้แต่หยัดตัวยืนขึ้นแล้วเดินจากไปพร้อมกับชายฉกรรจ์ทั้งหมด


=================================================


จบครึ่งแรกค่ะ
ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ
พบกับครึ่งหลังได้ในสัปดาห์หน้าค่ะ



กาแฟเย็น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.พ. 2555, 09:11:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.พ. 2555, 09:11:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 2065





<< ตอน:ดวงไม่ดี   ตอน :ช่องห่างระหว่างใจ (ครึ่งหลัง) >>
เทียนจันทร์ 14 ก.พ. 2555, 12:54:08 น.
รอติดตามครึ่งหลังค่ะ


TopSpeed 14 ก.พ. 2555, 13:50:03 น.
สนุก ตื่นเต้นดีครับ รอตอนต่อไป


กาซะลองพลัดถิ่น 14 ก.พ. 2555, 14:08:10 น.
เป็นแผนการลองใจของว่าที่พ่อตาหรือพีชายหรือปล่าวเนี่ยะ...แต่ก็รอลุ้นตอนต่อไปค่ะ


Auuuu 15 ก.พ. 2555, 00:15:42 น.
ลุ้นมากกกกกกก


wane 15 ก.พ. 2555, 07:09:27 น.
ลุ้นๆ ค๊า ...ขอให้เป็นแผนกระชับความสัมพันธ์ของพ่อตาเหอะ เพี้ยงงงงง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account