ดวงใจมาเฟีย
เมื่อ “มนฌิฏา” สัตวแพทย์สาว ไปเข้าตากรรมการ เขาถูกตาต้องใจเธอตั้งแต่แรกพบ “อังเดร อัลโทเน่” มาเฟียหนุ่ม จะทำอย่างไรเพื่อเอาชนะใจเธอ เมื่อเธอเกลียดแสนเกลียดพวกฝรั่งหัวทองยิ่งกว่าอะไรดี
Tags: ซึ้งกินใจ
ตอน: ซากศพ
“ตุบ”
เสียงบางอย่างถูกผลักลงจากรถอย่างแรง ชายสองคนช่วยกันแบกร่างนั้นขึ้นมา ก่อนจะนำไปโยนทิ้งในพงหญ้า ร่างหนาถูกทิ้งไว้กลางดงหนาทึบท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่รู้จะมีใครผ่านมาเห็นหรือเปล่า “อังเดร อัลโทเน่” มาเฟียหนุ่มที่กำลังจะหมดลมหายใจแทบไม่รับรู้อะไรแล้ว เพราะอาการบาดเจ็บของเขาสาหัสยิ่งนัก ถ้าคืนนี้เขารอดไปได้ก็คงเป็นเพราะปาฏิหาริย์
แต่ปาฏิหาริย์ในโลกนี้มีน้อยเหลือเกิน กว่าจะมีคนมาพบเขาก็คงหมดลมหายใจไปแล้ว ท่ามกลางป่าเขาแบบนี้ยากยิ่งนักที่ใครจะมาพบได้ พวกที่ต้องการเอาชีวิตเขาคงคิดมาเป็นอย่างดีแล้วว่าที่นี่คือที่ๆเหมาะสมที่สุดสำหรับการทิ้งซากคนที่ไม่ต่างอะไรกับซากศพในขณะนี้
“ช่วยด้วย”
อังเดรพยายามตะเกียกตะกายตัวเองออกมาจากพงหญ้านั้น แต่เรี่ยวแรงที่แทบจะไม่มีเหลือทำให้เขาไม่สามารถทำตามความต้องการของตัวเองได้ มือหนากำเข้าหากันแน่น ได้แต่เจ็บใจตัวเองที่โดนรอบกัดอย่างไม่มีชิ้นดี เพราะคำว่า “ไว้ใจ” คำเดียวที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ร่างกายที่ถูกทำร้ายมันปวดระบมจนเขาแทบจะทนไม่ไหว เหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้ แต่ภายใต้จิตสำนึกมันสั่งอยู่ตลอดเวลาว่าเขา “จะตายไม่ได้” เขายังมีคนอีกนับร้อยนับสิบที่ต้องปกครองดูแล ถ้าเขาตายไปตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อเขาสร้างมาก็จะตกไปอยู่ในมือของ “คนทรยศ” และนั่นเป็นสิ่งที่เขายอมไม่ได้และไม่มีวันยอมเด็ดขาด ดวงตาคมดุนัยน์ตาสีเขียวมรกตแม้จะอยู่ในความมืดแต่มันยังคงเปล่งแสงความสวยงามออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
นานเท่าไรไม่รู้ที่อังเดรพยายามจะพาตัวเองออกมาจากพงหญ้านั้น แต่ไม่ว่าจะพยายามสักกี่ครั้งเขาก็ไม่สามารถทำได้ แค่เพียงจะลุกขึ้นยืนเขายังทำไม่ได้ นับประสาอะไรกับการจะเอาชีวิตรอด นึกแล้วก็เจ็บใจตัวเองนัก ดวงตาสีเขียวเริ่มปรี่ลงทีละน้อย เมื่อสติเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่เริ่มจะหมดลง ร่างหนานอนคว่ำหน้าอยู่ท่ามกลางความมืดภายในพงหญ้ารกทึบนั้น
……………………………………..
“คุณมณคะ สายแล้วนะคะ”
เสียงเรียกที่ได้ยิน ทำให้คนที่กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงค่อยๆลืมตาขึ้น “มณฌิฏา” สัตวแพทย์สาวจบใหม่เด้งตัวจากที่นอนก่อนจะเดินมาเปิดประตูให้คนที่อยู่ด้านนอก หญิงร่างท้วมวัยกลางคนยิ้มให้เจ้านายสาวก่อนจะเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร
มณฌิฏา มองอาหารในถาดนัยน์ตาลุกวาว ก่อนจะเดินไปยังถาดอาหารนั้น แต่ยังไม่ทันที่มือบางๆจะเอื้อมไปหยิบหมูทอดชิ้นบางขึ้นมาชิม มือเหี่ยวๆของคนที่ยกอาหารเช้ามาให้เธอถึงห้องก็ตี “เพลี้ย” ลงบนมือของเธอเสียก่อน
“โถ่ ป้านิ่ม ขอมณชิมชิ้นหนึ่งไม่ได้หรอคะ”
“ไม่ได้ค่ะ คุณมณโตแล้วนะคะ เรียนจบเป็นถึงสัตวแพทย์แล้วยังทำตัวเป็นเด็กๆ เมื่อไรจะโตเป็นผู้ใหญ่ซะทีนะคะ ป้าล่ะเหนื่อยใจจริงๆ”
ป้านิ่มรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ
“ก็มณยังอยากเป็นเด็กอยู่นี่ค่ะ เป็นเด็กตัวเล็กๆที่ป้านิ่มเลี้ยง มณอยากให้ป้านิ่มอุ้มมณเหมือนตอนเป็นเด้กจังเลยค่ะ”
มณฌิฏาพูดพร้อมกับเดินเข้าไปกอดป้านิ่มเต็มแรง จนป้านิ่มหายใจแทบไม่ออก
“คุณมณเบาๆค่ะ ป้าหายใจไม่ออกค่ะ”
คำพูดนั้นทำให้มณฌิฏาคลายอ้อมกอดออกจากป้านิ่ม แล้วไปนั่งลงบนเตียงนอน มือบางเอื้อมไปหยิบรูปที่วางอยู่ตรงโต๊ะหัวเตียง ผู้ชายในรูปเรียกน้ำตาจากดวงตาคู่หวานของมณฌิฏาได้อย่างง่ายดาย
“มณคิดถึงพ่อจังเลยค่ะป้านิ่ม”
ป้านิ่มมองเจ้านายคนสวยอย่างเห็นใจ แกเข้าใจความรู้สึกของมณฌิฏาดี การที่มณฌิฏาต้องเสียพ่อไปตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้เธอกลายเป็นเด็กขาดความอบอุ่นมาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็โชคดีที่มณฌิฏายังมี “วรนนท์” พี่ชายที่รักเธอมากที่สุดเหลืออยู่
เพราะมีกันแค่สองคนพี่น้องวรนนท์จึงรักมณฌิฏามากและตามใจเธอทุกอย่างตั้งแต่พ่อเสียไป ลองใครขัดใจมณฌิฏาหรือทำให้น้องสาวคนนี้ไม่พอใจเรื่องต้องถึงวรนนท์ทุกครั้ง และไม่ต้องถามไม่ว่ามณฌิฏาจะถูกหรือผิดวรนนท์ก็ว่าถูกเสมอ เพราะสำหรับเขาแล้ว มณฌิฏาถูกเสมอ และเธอก็เปรียบเสมือนดวงใจที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตเขา เขาจไม่มีวันยอมให้ใครมาทำร้ายดวงใจ ดวงนี้ให้ต้องเจ็บช้ำอย่างแน่นอน
“ไม่เอาค่ะ ไม่ร้อง คุณมณไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วมาทานข้าวนะคะ คุณนนท์บอกมีธุระจะคุยด้วยค่ะ”
ป้านิ่มบอก พร้อมกับเช็ดน้ำตาให้กับคุณหนูคนสวยอย่างอ่อนโยน มณฌิฏายิ้มให้ ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำตามที่ป้านิ่มบอก
…………………………..
ร่างสูงใหญ่ที่อยู่บนเพิงสูงเรียกความสนใจจากคนงานสาวๆในไร่ “อนิชคุณ” ได้ไม่น้อย วรนนท์ เจ้าของไร่หนุ่มสุดหล่อขวัญใจสาวๆทั่วเมืองสระบุรีหันไปยิ้มให้กับคนงานชายที่ช่วยกันสร้างเพิงสูงเพื่อเป็นที่กันแดดให้กับลูกวัวนมออกใหม่นับสิบตัว เนื่องจากเพลิงเดิมมีวัวนมมากเกินไปจึงจำเป็นต้องสร้างเพิงเพิ่ม
ชายหนุ่มกระโดดลงมาจากเพิงนั้นก่อนจะยิ้มให้กับเหล่าคนงานตามนิสัยที่เป็นคนอัธยาศัยดีเป็นกันเองกับลูกน้องทุกคนทุกระดับ แต่รอยยิ้มนั้นก็ทำให้สาวๆหลายคนคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าเขายิ้มให้พวกเธอ แต่สำหรับวรนนท์แล้วคงไม่มีสาวคนไหนเข้าตาเขาในตอนนี้แน่
เพราะชีวิตของเขามีแต่งานแล้วก็งานเท่านั้น และที่สำคัญเขาคงไม่กล้ามีใครตอนนี้ เพราะมณฌิฏาไม่มีวันยอม ทุกวันนี้ขนาดเขายังไม่คิดจะมีใคร สาวๆที่แวะเวียนมาหาเขาถึงที่ไร่ก็ถูกมณฌิฏาเล่นงานกลับบ้านแทบไม่ทันทุกราย
“เรียบร้อยซะทีนะครับคุณนนท์ที่อยู่ของเจ้าตัวเล็กพวกนี้”
ภัทรคนสนิทของวรนนท์พูดขึ้น ร่างสูงนั่งลงบนโขดหินใกล้ๆ พร้อมกับมีคนงานสาวเอาน้ำเย็นๆมาเสิร์ฟให้ถึงที่ แต่ก็ไม่วายที่จะส่งยิ้มหวานๆมาให้เจ้านายสุดหล่อจนวินาทีสุดท้าย แต่โชคร้ายคงจะเป็นของคนงานสาวสวยคนนี้เป็นแน่ เมื่อน้องสาวตัวร้ายของวรนนท์มาทันเห็นมารยานั้นเต็มตา ดวงตาที่เคยหวานมองคนงานสาวนิ่งๆ ก่อนจะเดินเข้ามา
“พี่นนท์”
เสียงที่ได้ยินทำให้ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว ร่างบางในชุดกางเกงยีนเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าพับแขนครึ่งหนึ่งเข้ามายืนใกล้กับหญิงคนงานคนนั้น รองเท้าบู๊ทคู่หนาหนักเหยียบข้าเต็มๆกับเท้าของคนงานหญิงที่ไม่มีรองเท้าบู๊ทใส่
“โอ๊ย”
เสียงร้องดังลั่นไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าแรงที่เหยียบลงไปบนเท้านั้นมันมากแค่ไหน มณฌิฏายิ้มและกอดอกอยู่อย่างนั้น ก่อนจะปล่อยให้สาวคนงานวิ่งหนีไป
“มณ”
วรนนท์เรียกน้องสาวเสียงแข็ง ดวงตากลมโตมองหน้าพี่ชายสุดหล่อนิ่งๆ
“อะไรหรอคะพี่นนท์ เรียกมณทำไม กลัวลืมชื่อน้องสาวรึไงคะ”
มณฌิฏาบอกพร้อมกับเข้าไปนั่งใกล้ๆบนโขดหิน เธอรู้ดีว่าวรนนท์ไม่ทำอะไรเธอมากไปกว่านี้อยู่แล้ว
“เห็นป้านิ่มบอกว่าพี่นนท์มีธุระจะคุยกับมณ เรื่องอะไรหรอคะ”
วรนนท์ยิ้มนิดๆก่อนจะบอกขึ้น
“ที่จะไปเรียนต่อที่อเมริกา มณจะไปเรียนแน่ๆใช่ไหม พี่จะได้จัดการให้”
“ค่ะ ไปแน่”
มณฌิฏาบอกแล้วยิ้มให้พี่ชายอย่างน่ารัก
“คุณนนท์ครับ คุณนนท์”
“มีอะไรเหรอ”
ภัทรที่นั่งอยู่ใกล้ๆรีบถามคนงานที่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาทันที
“คือว่า มีคนงานเจอศพอยู่ที่ท้ายไร่ ตรงเชิงเขาน่ะครับ”
“ศพ”
ทุกเสียงประสานกันลั่น ทุกคนมองหน้ากันอย่างตกใจ วรนนท์รีบลุกขึ้นก่อนจะพาคนงานไปยังที่เกิดเหตุ
“ภัทรยังไม่ต้องแจ้งตำรวจนะ แต่ให้ติดต่อไปที่พุทธรักษ์แทน”
วรนนท์สั่งลูกน้องคนสนิทแล้วรีบบึ่งรถออกไปอย่างรวดเร็ว
“ศพหรอ”
มณฌิฏาพูดขึ้นเสียงเบา เธอเองก็ตกใจไม่น้อย อยู่ๆก็มีศพอยู่ท้ายไร่ ดวงตาคู่หวานนิ่งเรียบ มีศพก็หมายความว่าต้องมีการฆ่ากันตายแน่ๆ ถ้าเป็นอุบัติเหตุคงไม่เป็นศพอยู่ท้ายไร่ของเธอแบบนี้หรอก
……………………………….
รถจิ๊บสองคันที่เข้ามาจอดทำให้คนงานสองคนที่ยืนอยู่ตรงเชิงเขาหันไปมองทันที วรนนท์กับภัทรรีบวิ่งเข้ามาดู พร้อมกับคนงานอีกสองคน ร่างสูงของวรนนท์เข้าไปใกล้ร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่ในดงหญ้า ดวงตาคู่คมนิ่งสนิท ก่อนจะนั่งลง มือหนาเอื้อมไปพลิกร่างนั้นให้หงายแล้วก็ต้องตกใจกับสภาพของร่างที่ไม่ต่างอะไรกับซากศพตรงหน้า
“ซากศพชัดๆเลยนะครับคุณนนท์”
ภัทรพูดขึ้นอย่างที่เห็น วรนนท์มองร่างนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปอังตรงจมูก คิ้วหนาเลิกขึ้นอย่างไม่เชื่อ
“เขายังไม่ตาย”
“สภาพขนาดนี้ยังมีลมหายอยู่หรอครับคุณนนท์”
คนงานคนหนึ่งถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่ เขายังไม่ตาย”
“แล้วจะทำยังไงครับคุณนนท์”
ภัทรถามขึ้น วรนนท์นิ่งไปครู่หนึ่ง
“เราต้องพาเขาไปส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ช่วยกันพาไปที่รถ”
คำสั่งของวรนนท์ทำให้คนงานช่วยกันยกร่างหนาหนักขึ้นมา เมื่อพาร่างนั้นขึ้นรถเรียบร้อย รถกระบะคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาพอดี พุทธรักษ์ผู้กรองหนุ่มเพื่อนรักของวรนนท์ลงมาจากรถ
“อ้าว ไอรักษ์”
“นี่แกกำลังจะเอาศพนี้ไปไหนวะ”
พุทรักษ์ถามขึ้นเมื่อเห็นร่างที่คิดว่าเป็นศพไปแล้วอยู่บนรถ
“ไม่ใช่ศพเว้ย เขายังไม่ตาย”
“ยังไม่ตาย”
พุทธรักษ์บอกพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่แน่ใจเมื่อเห็นร่างที่อยู่บนรถ เพราะบาดแผลที่สาหัสทำให้เค้าใบหน้าที่จริงๆดูไม่ค่อยออก
“อังเดร”
พุทธรักษ์พึมพำออกมา เขาไม่แน่ใจ แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว
“มาเฟียหนุ่มหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย อาณาจักรอัลโทเน่ถึงคราวดับ !! “
“เฮ้ย ไอนนท์ที่ไร่แกพอจะมีหมอฝีมือดีรึป่าว”
พุทธรักษ์ถามขึ้น
“มี แกถามทำไม”
พุทธรักษ์มองหน้าเพื่อนรักนิ่งๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันว่าแกอย่าพาเขาไปที่โรงพยาบาลเลย พาไปรักษาที่ไร่ของแกดีกว่า”
“ทำไมวะ”
วรนนท์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“แล้วฉันจะเล่าให้แกฟังทีหลัง ตอนนี้พาเขาไปก่อนดีกว่า
เสียงบางอย่างถูกผลักลงจากรถอย่างแรง ชายสองคนช่วยกันแบกร่างนั้นขึ้นมา ก่อนจะนำไปโยนทิ้งในพงหญ้า ร่างหนาถูกทิ้งไว้กลางดงหนาทึบท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่รู้จะมีใครผ่านมาเห็นหรือเปล่า “อังเดร อัลโทเน่” มาเฟียหนุ่มที่กำลังจะหมดลมหายใจแทบไม่รับรู้อะไรแล้ว เพราะอาการบาดเจ็บของเขาสาหัสยิ่งนัก ถ้าคืนนี้เขารอดไปได้ก็คงเป็นเพราะปาฏิหาริย์
แต่ปาฏิหาริย์ในโลกนี้มีน้อยเหลือเกิน กว่าจะมีคนมาพบเขาก็คงหมดลมหายใจไปแล้ว ท่ามกลางป่าเขาแบบนี้ยากยิ่งนักที่ใครจะมาพบได้ พวกที่ต้องการเอาชีวิตเขาคงคิดมาเป็นอย่างดีแล้วว่าที่นี่คือที่ๆเหมาะสมที่สุดสำหรับการทิ้งซากคนที่ไม่ต่างอะไรกับซากศพในขณะนี้
“ช่วยด้วย”
อังเดรพยายามตะเกียกตะกายตัวเองออกมาจากพงหญ้านั้น แต่เรี่ยวแรงที่แทบจะไม่มีเหลือทำให้เขาไม่สามารถทำตามความต้องการของตัวเองได้ มือหนากำเข้าหากันแน่น ได้แต่เจ็บใจตัวเองที่โดนรอบกัดอย่างไม่มีชิ้นดี เพราะคำว่า “ไว้ใจ” คำเดียวที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ร่างกายที่ถูกทำร้ายมันปวดระบมจนเขาแทบจะทนไม่ไหว เหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้ แต่ภายใต้จิตสำนึกมันสั่งอยู่ตลอดเวลาว่าเขา “จะตายไม่ได้” เขายังมีคนอีกนับร้อยนับสิบที่ต้องปกครองดูแล ถ้าเขาตายไปตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อเขาสร้างมาก็จะตกไปอยู่ในมือของ “คนทรยศ” และนั่นเป็นสิ่งที่เขายอมไม่ได้และไม่มีวันยอมเด็ดขาด ดวงตาคมดุนัยน์ตาสีเขียวมรกตแม้จะอยู่ในความมืดแต่มันยังคงเปล่งแสงความสวยงามออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
นานเท่าไรไม่รู้ที่อังเดรพยายามจะพาตัวเองออกมาจากพงหญ้านั้น แต่ไม่ว่าจะพยายามสักกี่ครั้งเขาก็ไม่สามารถทำได้ แค่เพียงจะลุกขึ้นยืนเขายังทำไม่ได้ นับประสาอะไรกับการจะเอาชีวิตรอด นึกแล้วก็เจ็บใจตัวเองนัก ดวงตาสีเขียวเริ่มปรี่ลงทีละน้อย เมื่อสติเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่เริ่มจะหมดลง ร่างหนานอนคว่ำหน้าอยู่ท่ามกลางความมืดภายในพงหญ้ารกทึบนั้น
……………………………………..
“คุณมณคะ สายแล้วนะคะ”
เสียงเรียกที่ได้ยิน ทำให้คนที่กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงค่อยๆลืมตาขึ้น “มณฌิฏา” สัตวแพทย์สาวจบใหม่เด้งตัวจากที่นอนก่อนจะเดินมาเปิดประตูให้คนที่อยู่ด้านนอก หญิงร่างท้วมวัยกลางคนยิ้มให้เจ้านายสาวก่อนจะเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร
มณฌิฏา มองอาหารในถาดนัยน์ตาลุกวาว ก่อนจะเดินไปยังถาดอาหารนั้น แต่ยังไม่ทันที่มือบางๆจะเอื้อมไปหยิบหมูทอดชิ้นบางขึ้นมาชิม มือเหี่ยวๆของคนที่ยกอาหารเช้ามาให้เธอถึงห้องก็ตี “เพลี้ย” ลงบนมือของเธอเสียก่อน
“โถ่ ป้านิ่ม ขอมณชิมชิ้นหนึ่งไม่ได้หรอคะ”
“ไม่ได้ค่ะ คุณมณโตแล้วนะคะ เรียนจบเป็นถึงสัตวแพทย์แล้วยังทำตัวเป็นเด็กๆ เมื่อไรจะโตเป็นผู้ใหญ่ซะทีนะคะ ป้าล่ะเหนื่อยใจจริงๆ”
ป้านิ่มรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ
“ก็มณยังอยากเป็นเด็กอยู่นี่ค่ะ เป็นเด็กตัวเล็กๆที่ป้านิ่มเลี้ยง มณอยากให้ป้านิ่มอุ้มมณเหมือนตอนเป็นเด้กจังเลยค่ะ”
มณฌิฏาพูดพร้อมกับเดินเข้าไปกอดป้านิ่มเต็มแรง จนป้านิ่มหายใจแทบไม่ออก
“คุณมณเบาๆค่ะ ป้าหายใจไม่ออกค่ะ”
คำพูดนั้นทำให้มณฌิฏาคลายอ้อมกอดออกจากป้านิ่ม แล้วไปนั่งลงบนเตียงนอน มือบางเอื้อมไปหยิบรูปที่วางอยู่ตรงโต๊ะหัวเตียง ผู้ชายในรูปเรียกน้ำตาจากดวงตาคู่หวานของมณฌิฏาได้อย่างง่ายดาย
“มณคิดถึงพ่อจังเลยค่ะป้านิ่ม”
ป้านิ่มมองเจ้านายคนสวยอย่างเห็นใจ แกเข้าใจความรู้สึกของมณฌิฏาดี การที่มณฌิฏาต้องเสียพ่อไปตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้เธอกลายเป็นเด็กขาดความอบอุ่นมาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็โชคดีที่มณฌิฏายังมี “วรนนท์” พี่ชายที่รักเธอมากที่สุดเหลืออยู่
เพราะมีกันแค่สองคนพี่น้องวรนนท์จึงรักมณฌิฏามากและตามใจเธอทุกอย่างตั้งแต่พ่อเสียไป ลองใครขัดใจมณฌิฏาหรือทำให้น้องสาวคนนี้ไม่พอใจเรื่องต้องถึงวรนนท์ทุกครั้ง และไม่ต้องถามไม่ว่ามณฌิฏาจะถูกหรือผิดวรนนท์ก็ว่าถูกเสมอ เพราะสำหรับเขาแล้ว มณฌิฏาถูกเสมอ และเธอก็เปรียบเสมือนดวงใจที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตเขา เขาจไม่มีวันยอมให้ใครมาทำร้ายดวงใจ ดวงนี้ให้ต้องเจ็บช้ำอย่างแน่นอน
“ไม่เอาค่ะ ไม่ร้อง คุณมณไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วมาทานข้าวนะคะ คุณนนท์บอกมีธุระจะคุยด้วยค่ะ”
ป้านิ่มบอก พร้อมกับเช็ดน้ำตาให้กับคุณหนูคนสวยอย่างอ่อนโยน มณฌิฏายิ้มให้ ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำตามที่ป้านิ่มบอก
…………………………..
ร่างสูงใหญ่ที่อยู่บนเพิงสูงเรียกความสนใจจากคนงานสาวๆในไร่ “อนิชคุณ” ได้ไม่น้อย วรนนท์ เจ้าของไร่หนุ่มสุดหล่อขวัญใจสาวๆทั่วเมืองสระบุรีหันไปยิ้มให้กับคนงานชายที่ช่วยกันสร้างเพิงสูงเพื่อเป็นที่กันแดดให้กับลูกวัวนมออกใหม่นับสิบตัว เนื่องจากเพลิงเดิมมีวัวนมมากเกินไปจึงจำเป็นต้องสร้างเพิงเพิ่ม
ชายหนุ่มกระโดดลงมาจากเพิงนั้นก่อนจะยิ้มให้กับเหล่าคนงานตามนิสัยที่เป็นคนอัธยาศัยดีเป็นกันเองกับลูกน้องทุกคนทุกระดับ แต่รอยยิ้มนั้นก็ทำให้สาวๆหลายคนคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าเขายิ้มให้พวกเธอ แต่สำหรับวรนนท์แล้วคงไม่มีสาวคนไหนเข้าตาเขาในตอนนี้แน่
เพราะชีวิตของเขามีแต่งานแล้วก็งานเท่านั้น และที่สำคัญเขาคงไม่กล้ามีใครตอนนี้ เพราะมณฌิฏาไม่มีวันยอม ทุกวันนี้ขนาดเขายังไม่คิดจะมีใคร สาวๆที่แวะเวียนมาหาเขาถึงที่ไร่ก็ถูกมณฌิฏาเล่นงานกลับบ้านแทบไม่ทันทุกราย
“เรียบร้อยซะทีนะครับคุณนนท์ที่อยู่ของเจ้าตัวเล็กพวกนี้”
ภัทรคนสนิทของวรนนท์พูดขึ้น ร่างสูงนั่งลงบนโขดหินใกล้ๆ พร้อมกับมีคนงานสาวเอาน้ำเย็นๆมาเสิร์ฟให้ถึงที่ แต่ก็ไม่วายที่จะส่งยิ้มหวานๆมาให้เจ้านายสุดหล่อจนวินาทีสุดท้าย แต่โชคร้ายคงจะเป็นของคนงานสาวสวยคนนี้เป็นแน่ เมื่อน้องสาวตัวร้ายของวรนนท์มาทันเห็นมารยานั้นเต็มตา ดวงตาที่เคยหวานมองคนงานสาวนิ่งๆ ก่อนจะเดินเข้ามา
“พี่นนท์”
เสียงที่ได้ยินทำให้ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว ร่างบางในชุดกางเกงยีนเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าพับแขนครึ่งหนึ่งเข้ามายืนใกล้กับหญิงคนงานคนนั้น รองเท้าบู๊ทคู่หนาหนักเหยียบข้าเต็มๆกับเท้าของคนงานหญิงที่ไม่มีรองเท้าบู๊ทใส่
“โอ๊ย”
เสียงร้องดังลั่นไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าแรงที่เหยียบลงไปบนเท้านั้นมันมากแค่ไหน มณฌิฏายิ้มและกอดอกอยู่อย่างนั้น ก่อนจะปล่อยให้สาวคนงานวิ่งหนีไป
“มณ”
วรนนท์เรียกน้องสาวเสียงแข็ง ดวงตากลมโตมองหน้าพี่ชายสุดหล่อนิ่งๆ
“อะไรหรอคะพี่นนท์ เรียกมณทำไม กลัวลืมชื่อน้องสาวรึไงคะ”
มณฌิฏาบอกพร้อมกับเข้าไปนั่งใกล้ๆบนโขดหิน เธอรู้ดีว่าวรนนท์ไม่ทำอะไรเธอมากไปกว่านี้อยู่แล้ว
“เห็นป้านิ่มบอกว่าพี่นนท์มีธุระจะคุยกับมณ เรื่องอะไรหรอคะ”
วรนนท์ยิ้มนิดๆก่อนจะบอกขึ้น
“ที่จะไปเรียนต่อที่อเมริกา มณจะไปเรียนแน่ๆใช่ไหม พี่จะได้จัดการให้”
“ค่ะ ไปแน่”
มณฌิฏาบอกแล้วยิ้มให้พี่ชายอย่างน่ารัก
“คุณนนท์ครับ คุณนนท์”
“มีอะไรเหรอ”
ภัทรที่นั่งอยู่ใกล้ๆรีบถามคนงานที่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาทันที
“คือว่า มีคนงานเจอศพอยู่ที่ท้ายไร่ ตรงเชิงเขาน่ะครับ”
“ศพ”
ทุกเสียงประสานกันลั่น ทุกคนมองหน้ากันอย่างตกใจ วรนนท์รีบลุกขึ้นก่อนจะพาคนงานไปยังที่เกิดเหตุ
“ภัทรยังไม่ต้องแจ้งตำรวจนะ แต่ให้ติดต่อไปที่พุทธรักษ์แทน”
วรนนท์สั่งลูกน้องคนสนิทแล้วรีบบึ่งรถออกไปอย่างรวดเร็ว
“ศพหรอ”
มณฌิฏาพูดขึ้นเสียงเบา เธอเองก็ตกใจไม่น้อย อยู่ๆก็มีศพอยู่ท้ายไร่ ดวงตาคู่หวานนิ่งเรียบ มีศพก็หมายความว่าต้องมีการฆ่ากันตายแน่ๆ ถ้าเป็นอุบัติเหตุคงไม่เป็นศพอยู่ท้ายไร่ของเธอแบบนี้หรอก
……………………………….
รถจิ๊บสองคันที่เข้ามาจอดทำให้คนงานสองคนที่ยืนอยู่ตรงเชิงเขาหันไปมองทันที วรนนท์กับภัทรรีบวิ่งเข้ามาดู พร้อมกับคนงานอีกสองคน ร่างสูงของวรนนท์เข้าไปใกล้ร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่ในดงหญ้า ดวงตาคู่คมนิ่งสนิท ก่อนจะนั่งลง มือหนาเอื้อมไปพลิกร่างนั้นให้หงายแล้วก็ต้องตกใจกับสภาพของร่างที่ไม่ต่างอะไรกับซากศพตรงหน้า
“ซากศพชัดๆเลยนะครับคุณนนท์”
ภัทรพูดขึ้นอย่างที่เห็น วรนนท์มองร่างนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปอังตรงจมูก คิ้วหนาเลิกขึ้นอย่างไม่เชื่อ
“เขายังไม่ตาย”
“สภาพขนาดนี้ยังมีลมหายอยู่หรอครับคุณนนท์”
คนงานคนหนึ่งถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่ เขายังไม่ตาย”
“แล้วจะทำยังไงครับคุณนนท์”
ภัทรถามขึ้น วรนนท์นิ่งไปครู่หนึ่ง
“เราต้องพาเขาไปส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ช่วยกันพาไปที่รถ”
คำสั่งของวรนนท์ทำให้คนงานช่วยกันยกร่างหนาหนักขึ้นมา เมื่อพาร่างนั้นขึ้นรถเรียบร้อย รถกระบะคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาพอดี พุทธรักษ์ผู้กรองหนุ่มเพื่อนรักของวรนนท์ลงมาจากรถ
“อ้าว ไอรักษ์”
“นี่แกกำลังจะเอาศพนี้ไปไหนวะ”
พุทรักษ์ถามขึ้นเมื่อเห็นร่างที่คิดว่าเป็นศพไปแล้วอยู่บนรถ
“ไม่ใช่ศพเว้ย เขายังไม่ตาย”
“ยังไม่ตาย”
พุทธรักษ์บอกพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่แน่ใจเมื่อเห็นร่างที่อยู่บนรถ เพราะบาดแผลที่สาหัสทำให้เค้าใบหน้าที่จริงๆดูไม่ค่อยออก
“อังเดร”
พุทธรักษ์พึมพำออกมา เขาไม่แน่ใจ แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว
“มาเฟียหนุ่มหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย อาณาจักรอัลโทเน่ถึงคราวดับ !! “
“เฮ้ย ไอนนท์ที่ไร่แกพอจะมีหมอฝีมือดีรึป่าว”
พุทธรักษ์ถามขึ้น
“มี แกถามทำไม”
พุทธรักษ์มองหน้าเพื่อนรักนิ่งๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันว่าแกอย่าพาเขาไปที่โรงพยาบาลเลย พาไปรักษาที่ไร่ของแกดีกว่า”
“ทำไมวะ”
วรนนท์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“แล้วฉันจะเล่าให้แกฟังทีหลัง ตอนนี้พาเขาไปก่อนดีกว่า

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ต.ค. 2554, 23:52:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ต.ค. 2554, 19:00:00 น.
จำนวนการเข้าชม : 1856
ฟื้นตัว >> |

แว่นใส 26 ต.ค. 2554, 12:44:20 น.
รู้จักกันด้วยหรือคะ
รู้จักกันด้วยหรือคะ

nunoi 26 ต.ค. 2554, 16:35:32 น.
รอตอนต่อไปค่ะ
รอตอนต่อไปค่ะ

น้องแสตมป์ 27 ต.ค. 2554, 18:15:50 น.
เพิงสูง ไม่ใช่ เพลิงสูง คนละความหมายเลย แก้ไขด้วยนะจ๊ะ
เพิงสูง ไม่ใช่ เพลิงสูง คนละความหมายเลย แก้ไขด้วยนะจ๊ะ

narmmanow 27 ต.ค. 2554, 18:39:32 น.
สัตวแพทย์เรียน 6 ปี น้องมณจบแล้วแต่อายุ 21 รู้สึกแปลกๆเลย ^^"
สัตวแพทย์เรียน 6 ปี น้องมณจบแล้วแต่อายุ 21 รู้สึกแปลกๆเลย ^^"

silverraindrop 4 พ.ย. 2554, 14:53:52 น.
55555 ท่าจะมัน ติดตามแน่ ๆๆ ค่ะ
55555 ท่าจะมัน ติดตามแน่ ๆๆ ค่ะ