กลรักเกมหัวใจ
พีร์ หนุ่มเสเพลย์บอยรูปหล่อพ่อรวย ไม่ยอมทำการงานจนอายุปาเข้าไปจะ 30 แล้ว จนภูมิ บิดาของพีร์ไม่ยอมอ่อนข้อให้ลูกชายตัวแสบอีกต่อไป จึงบังคับให้พีร์เข้ามาฝึกงานเพื่อรับช่วงต่อเมื่อเขาจะเกษียณในอีกไม่ช้า
ผู้โชคร้ายได้รับมอบหมายให้เทรนงานให้เพลย์บอยตัวแสบผู้หลงตัวเองไม่มีใครเกินคือมาลินี เลขาฯ คู่ใจของภูมิซึ่งทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่เขามาถึง 10 ปี นอกจากเรื่องงานที่เธอเลิศเลอเพอร์เฟคแล้ว เรื่องอื่น...จัดว่าไม่ได้เรื่อง ทั้งรูปร่างหน้าตาและมารยาหญิงที่แม้แต่ครึ่งเล่มเกวียนก็ไม่มี
เมื่อคนต่างขั้วต้องมาเจอกัน ทั้งคู่จึงเป็นคู่ปากคู่ปรับกันตั้งแต่วันแรก แต่ก็คงเป็นเช่นนั้นตลอดไป หากมาลินีไม่ปากไวไปนินทาทำนองปรามาสพีร์กับว่าที่เลขาฯ สาวอึ๋มสุดสะบึมของเขาว่า
"คุณพีร์น่ะหรือ...ให้ฟรีพี่ยังไม่เอาเลยค่ะคุณน้อง นอกจากหล่อไปวัน ๆ แล้วไม่มีอะไรดีสักอย่าง ถ้าต้องเป็นแฟนกับผู้ชายแบบนี้ พี่ขอเป็นโสดไปตลอดชีวิตดีกว่า"
มีหรือที่คาสโนว่าตัวพ่ออย่างพีร์จะยอมปล่อยให้ว่าที่สาวขึ้นคานอย่างมาลินีได้กรีดกรายขึ้นไปนั่งบนคานทองอย่างสบายใจ ปากดีอย่างนี้ต้องจัดแผลใจไปไว้เป็นประสบการณ์รักขมๆ เพราะถึงคาสโนว่าอย่างเขาจะไม่มีอะไรดีนอกจากหล่อไปวัน ๆ แต่คำพูดของเธอมันหยามกันเกินไป ลูกผู้ชายอย่างเขาฆ่าได้หยามไม่ได้
เกมรักที่มีหัวใจของสาวทำงานอย่างมาลินีเป็นเดิมพันจึงเกิดขึ้น แต่ action เท่ากับ reaction ดังกฏของนิวตันว่าไว้ฉันใดก็ฉันนั้น ล่อลวงให้เขาหลง ก็ย่อมเสี่ยงต่อการหลงเขาหัวปักหัวปำเหมือนกัน งานนี้ใครจะเจ็บใครจะจำ....โปรดติดตาม ณ บัดนี้
ผู้โชคร้ายได้รับมอบหมายให้เทรนงานให้เพลย์บอยตัวแสบผู้หลงตัวเองไม่มีใครเกินคือมาลินี เลขาฯ คู่ใจของภูมิซึ่งทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่เขามาถึง 10 ปี นอกจากเรื่องงานที่เธอเลิศเลอเพอร์เฟคแล้ว เรื่องอื่น...จัดว่าไม่ได้เรื่อง ทั้งรูปร่างหน้าตาและมารยาหญิงที่แม้แต่ครึ่งเล่มเกวียนก็ไม่มี
เมื่อคนต่างขั้วต้องมาเจอกัน ทั้งคู่จึงเป็นคู่ปากคู่ปรับกันตั้งแต่วันแรก แต่ก็คงเป็นเช่นนั้นตลอดไป หากมาลินีไม่ปากไวไปนินทาทำนองปรามาสพีร์กับว่าที่เลขาฯ สาวอึ๋มสุดสะบึมของเขาว่า
"คุณพีร์น่ะหรือ...ให้ฟรีพี่ยังไม่เอาเลยค่ะคุณน้อง นอกจากหล่อไปวัน ๆ แล้วไม่มีอะไรดีสักอย่าง ถ้าต้องเป็นแฟนกับผู้ชายแบบนี้ พี่ขอเป็นโสดไปตลอดชีวิตดีกว่า"
มีหรือที่คาสโนว่าตัวพ่ออย่างพีร์จะยอมปล่อยให้ว่าที่สาวขึ้นคานอย่างมาลินีได้กรีดกรายขึ้นไปนั่งบนคานทองอย่างสบายใจ ปากดีอย่างนี้ต้องจัดแผลใจไปไว้เป็นประสบการณ์รักขมๆ เพราะถึงคาสโนว่าอย่างเขาจะไม่มีอะไรดีนอกจากหล่อไปวัน ๆ แต่คำพูดของเธอมันหยามกันเกินไป ลูกผู้ชายอย่างเขาฆ่าได้หยามไม่ได้
เกมรักที่มีหัวใจของสาวทำงานอย่างมาลินีเป็นเดิมพันจึงเกิดขึ้น แต่ action เท่ากับ reaction ดังกฏของนิวตันว่าไว้ฉันใดก็ฉันนั้น ล่อลวงให้เขาหลง ก็ย่อมเสี่ยงต่อการหลงเขาหัวปักหัวปำเหมือนกัน งานนี้ใครจะเจ็บใครจะจำ....โปรดติดตาม ณ บัดนี้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: จุดเริ่มต้นของคนต่างขั้ว
บนชั้นยี่สิบเอ็ด ชั้นสูงสุดของอาคารสหภัณฑ์ เป็นที่ตั้งของห้องทำงานผู้บริหารสูงสุดของสหภัณฑ์กรุ๊ป นายภูมิ ภักดีบดินทร์ ห้องนั้นตกแต่งอย่างภูมิฐานสมฐานะประธานเครือสหภัณฑ์ ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคอันดับต้น ๆ ของประเทศ ขณะนี้ผู้นำสูงสุดของเครือสหภัณฑ์นั่งกอดอกเม้มปากอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เบื้องหน้าของเขามีชายหนุ่มที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับเขาราวกับพิมพ์เดียวกันนั่งอยู่ สีหน้าไม่อนาทรร้อนใจกับสิ่งที่กำลังเป็นประเด็นถกเถียงระหว่างพ่อลูก
“ถ้าลำบากนัก พ่อก็อย่าเกษียณสิฮะ...ผมเห็นคนอื่นเค้าทำงานกันจนเจ็ดสิบแปดสิบยังไม่ยอมลงจากบัลลังก์เลย พ่อเองก็ยังแข็งแรง เห็นเต๊ะปี๊บทีดังป้าบๆ จะรีบวางมือไปไหนกัน....ไม่เอาน่า”
พีร์ ภักดีบดินดร์แย้งบิดาด้วยอาการไม่ใส่ใจเหมือนกับหลายครั้งที่ผ่านมาซึ่งภูมิเคยเรียกเขาเข้ามาที่ห้องทำงานเพื่อหว่านล้อม กล่อม หรือแม้แต่สั่งให้เขา ซึ่งกำลังจะก้าวเข้าสู่วัยสามสิบอยู่รอมร่อ จบการศึกษาบริหารธุรกิจระดับมหาบัณฑิตจากต่างประเทศมาก็หลายปีดีดักแล้ว เข้ามารับช่วงต่อการดูแลกิจการมูลค่ามหาศาลนี่เสียที แต่มีหรือที่ลูกบังเกิดเกล้าอย่างเขาจะตกปากรับคำให้ลำบากกายใจ ไม่ล่ะ...เสียเวลาเป็นคาสโนว่าอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย เกิดมารูปหล่อพ่อรวย จะมีตำแหน่งอะไรเหมาะสมกับพีร์ ภักดิบดินทร์ยิ่งกว่านี้
“แกไม่ต้องมาใช้มุกเดิม....ครั้งก่อน ๆ ฉันอาจจะไม่จริงจังกับแก แต่คราวนี้ฉันเอาแน่....ถ้าแกไม่ทำงาน ฉันจะไม่ให้แกใช้เงิน ฉันจะให้เลขายกเลิกบัตรเครดิตทั้งหมดที่แกมี เงินในบัญชีแกฉันจะสั่งโอนออกไปให้หมด อ้อ...แล้วรถที่แกขับ ๆ อยู่ ฉันจะยึดคืนด้วย...ให้มันรู้ไปว่าแกยังจะมีปัญญาลอยชายไปมาอยู่ได้ อ้อ...แล้วถ้าไอ้เพื่อนเสเพลหน้าไหนของแกยอมเป็นแหล่งพักพิงให้แกเกาะเป็นกาฝาก ก็จะได้เห็นดีกันว่าลองดีกับคนอย่างภูมิ ภักดีบดินทร์แล้วจะเดือดร้อนแค่ไหน....ฉันผิดเองที่เลี้ยงแกมาอย่างตามใจจนแกเสียคนขนาดนี้ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยอมให้แกทำตัวเหลวไหลไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายอีกแล้ว”
คำเทศนายาวเหยียดของชายสูงวัยเกือบทำให้พีร์ยกมือขึ้นมาอุดหู อาการเคร่งเครียดขุ่นเคืองของพ่อครั้งนี้ถึงกับทำให้เขาหนาว ๆ ร้อน ๆ สังหรณ์ใจว่าพ่อจะเอาจริงอย่างปากว่า
“โอเค ๆ ๆ....เข้าใจแล้วฮะพ่อ เอาล่ะ...ผมจะมาเริ่มงานต้นเดือนหน้าแล้วกันฮะ พ่อให้คนจัดห้องไว้ให้ได้เลย อ้อ...ขอตำแหน่งรองประธานเก๋ ๆ ด้วยนะฮะ เงินเดือนไม่อั้น รถประจำตำแหน่งเพิ่มอีกคัน ตกลงไหม”
พีร์แกล้งยื่นข้อเสนอ ตอนนี้เพิ่งกลางเดือน อีกตั้งสองสัปดาห์กว่า ๆ กว่าจะเริ่มเดือนใหม่ ยังพอมีทางหนีทีไล่ ถ้าถึงที่สุดอาจจะต้องแอบหนีออกนอกประเทศไปกบดานที่ที่พ่อตามไม่เจอสักพักก่อน ปัญหาคือจะยักย้ายถ่ายเทเงินสดอย่างไร หัวสมองของคาสโนว่าที่ถนัดแต่เรื่องสับรางสาวในสังกัดปั่นเร็วจี๋ แต่ยังเร็วไม่พอ เพราะภูมิรีบดักคอเสียก่อน
“หยุดคิดเลยไอ้เสือ...ฉันเป็นพ่อแก ฉันรู้ว่าแกกำลังเล่นเกมอะไร ไม่มีหรอกไอ้ตำแหน่งรองประธานเงินเดือนไม่อั้นเริ่มงานเดือนหน้า มีแต่ตำแหน่งผู้บริหารฝึกหัด เริ่มงานพรุ่งนี้ ห้องทำงานอะไรก็ไม่มี อย่างมากก็เพิ่มโต๊ะเก้าอีกอีกชุดในห้องนี้ ถ้าพรุ่งนี้ฉันไม่เห็นหน้าแกที่นี่ก่อนเก้าโมงเช้า แกเตรียมตัวเป็นขอทานได้เลย”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ อย่างอดใจไม่ไหว พ่อหนอพ่อ....สมกับเป็นพ่อลูกกันมาสามสิบปี วัน ๆ ทำแต่งาน ไม่รู้ทำไมถึงรู้จักลูกชายดีขนาดนี้....พีร์ถอนใจยาว หน้าระรื่นมุ่ยลงเพราะขัดใจ แต่ครั้งนี้คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากโอนอ่อนผ่อนตามไปก่อน พ่อเอาจริงแน่...เขารู้ ทั้งที่ความจริงแล้วอีกตั้งสองปีกว่าภูมิจะอายุครบหกสิบปี และพีร์เองก็คิดว่า เวลาตั้งสองปีที่เหลือนี้ยังเร็วเกินไปที่เขาจะเข้ามารับช่วงต่อกิจการเครือสหภัณฑ์ และถึงแม้ว่าพ่อจะเกษียณไปจริง เขาก็ยังคิดว่า ไม่เห็นจำเป็นที่เจ้าของกิจการต้องเข้ามาบริหารเองให้เหนื่อยยาก สมัยนี้จ้างคนมาทำให้ก็ได้ ซีอีโอรับจ้างถมเถไป ใครมือไม่ถึง ทำกำไรได้น้อยก็ไล่ออกหาใหม่ ผู้บริหารยุคนี้เยอะอย่างกับผักปลาในตลาด เจ้าของกิจการแค่ดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ก็พอ เขาเองก็ไม่ใช่เจ้าของกิจการที่ไม่มีความรู้ ปริญญาโทบริหารธุรกิจก็มีในมือ ใครจะโกงได้ก็ให้มันรู้ไป เขาเคยบอกเล่าแนวคิดนี้กับพ่อ แต่พ่อก็หัวโบราณเกินกว่าจะเข้าใจ
“ให้ฉันตายก่อน แล้วค่อยทำอย่างแกว่า ฉันทนดูคนอื่นทำกิจการที่สร้างมาตั้งแต่รุ่นพ่อฉันพังพินาศไปกับตาไม่ได้หรอก ตราบใดที่ฉันยังอยู่ แกจะต้องเป็นคนดูแลกิจการ ไม่งั้นก็ยกให้การกุศลไป แกไปสร้างกิจการของแกเอง แล้วจะบริหารยังไงก็ช่าง ถ้ามันเป็นกิจการของตระกูล แกต้องทำอย่างที่ฉันสั่ง”
ภูมิประกาศเป็นคำขาด และลูกชายคนเดียวอย่างพีร์ก็รู้ว่า คำสั่งนี้ขัดขืนดึงดันไม่ได้ ตั้งแต่เล็กจนโต พ่ออาจจะตามใจเขาทุกอย่าง แต่เรื่องสำคัญเช่นเรื่องการเรียน พ่อไม่เคยตามใจ เขามีชะตาต้องเป็นผู้บริหาร ต่อให้หัวดีอยากเรียนหมอ เขาก็ต้องเรียนบริหารธุรกิจเท่านั้น และต้องเรียนสูงกว่าพ่อซึ่งจบแค่ปริญญาตรีด้วย พีร์จึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนเรียนสาขานี้ทั้งที่ใจรักทางศิลปะ แต่เขารู้ว่าดึงดันไปก็เท่านั้น สู้เรียนตามใจพ่อและเอาเวลาที่เหลือไปทำตัวเสเพลดีกว่า นอกจากได้กำไรชีวิตแล้วยังถือเป็นการช่วยพ่อที่ค่อนข้างเก็บตัวไม่ค่อยออกงานสังคมทางอ้อมด้วย เพราะขณะนี้ นอกจากตำแหน่งคาสโนว่าอันดับหนึ่งแล้ว พีร์ ภักดีบดินทร์ ก็ยังเป็นหนึ่งในเซเลบริตี้คนสำคัญของแวดวงไฮโซเมืองไทย ดารานางแบบแนวหน้าต่างก็อยากควงกับเขาทั้งนั้น
คืนนั้นพีร์ถึงกับปิดคลับหรูในโรงแรมจัดงานเลี้ยงแบบปัจจุบันทันด่วน เขาแจ้งเพื่อน ๆ ว่าตัดสินใจเข้าไปศึกษางานในบริษัท บรรดาเพื่อนสนิทมิตรสหายถึงกับตกใจเป็นไก่ตาแตก หลายคนพอเดาได้ว่าเป็นท่าไม้ตายของภูมิ แต่ทั้งหมดเลือกที่จะสงบปากสงบคำไว้ เพราะเป็นที่รู้กันว่า ภายใต้ท่าที่เอื่อยเฉื่อย เหมือนจะเรื่อย ๆ ของพีร์ แต่หากมีคนพูดไม่ถูกหู เห็นเย็นเป็นน้ำแบบนี้ ก็พร้อมที่จะเดือดและลวกให้คนที่ทำให้ไม่สบอารมณ์ขนพองสยองเกล้าได้เหมือนกัน คืนนั้น นอกจากการชนแก้วดื่มฉลองแล้ว ชายหนุ่มก็ได้รับแต่คำอวยพรเป็นส่วนใหญ่
“อีกหน่อยคงเป็นเจ้าสัวพันล้าน อาจจะไม่มีเวลาสังสรรค์ปาร์ตี้กับพวกเราแบบนี้ คิดถึงนายแย่เลยว่ะ ไอ้ฉันน่ะไม่เท่าไหร่ เป็นห่วงแต่สาว ๆ คงจะเหงาไปเยอะ”
“ไม่ต้องห่วงน่า งานก็ส่วนงาน เพื่อนก็ส่วนเพื่อน ฉันแยกแยะได้หรอกน่า”
ว่าที่เจ้าสัวยังคุยโว....หมายมั่นปั้นมือว่าถึงอย่างไร การทำงานคงจะมีผลลดระดับความเสเพลในเวลากลางวันเท่านั้น แต่เวลางกลางคืน เขาจะยังคงเป็นอิสระ โบยบินไปประหนึ่งผีเสื้อราตรีได้เหมือนเดิม พ่อก็พ่อเถอะ...กลางคืนก็ต้องนอนล่ะน่า จะบังคับอะไรเขาได้นักหนา
เอาเข้าจริงคนที่จะเป็นผู้บังคับใช้กฎต่าง ๆ ของบริษัทกับพีร์ ภักดีบดินทร์ ไม่ใช่ผู้เป็นพ่ออย่างที่เขาคิด แต่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากภูมิ คือ มาลินี เลขานุการคู่ใจที่ทำงานเคียงข้างเขามายาวนานถึงสิบปี
“หนูมะลิจะเป็นคนดูแลแกนะเจ้าพีร์ แกรู้จักหนูมะลิอยู่แล้วนี่ เรียกคุณมะลิก็ได้”
พีร์ปรายตามองคุณเลขาฯ ที่พ่อภาคภูมิใจอย่างเสียไม่ได้ ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ เสียชาติเกิดมาเป็นผู้หญิงอย่างที่สุด ผิวขาว หน้ากลม ตาตี่ ใส่แว่นอีกต่างหาก แถมบนหน้านั้นยังปราศจากเครื่องสำอางแม้แต่น้อยนิด ทรงผมก็เป็นมวยต่ำสุดเชย เข้ากับชุดสูทที่ไม่ได้ช่วยให้รูปร่างอวบระยะสุดท้ายนั้นดูดีขึ้นมาเลย ยังดีที่ผิวขาว....จนซีดเหมือนผีดิบไม่มีผิด เห็นแล้วคนที่ชื่นชมศิลปะและความงามเป็นสำคัญอย่างเขาถึงกับขนลุก ถึงจะรู้จักกันมานานในฐานะเลขาฯ ของพ่อ แต่พีร์ก็ไม่เคยทำใจให้มองยายมาลินี มีมงคลธรรมนี่ได้นานพอจนจำรายละเอียดบนใบหน้าหรือลักษณะเด่นใด ๆ ได้สักที
“ผมโตแล้ว...ไม่ต้องมีคนดูแลหรอกน่า พ่อก็มอบหมายงานมา จะให้ดูอะไรศึกษาอะไรก็ว่ามา ผมดูเองได้”
ถ้าสวยเซ็กส์เอ็กซ์อึ๋มกว่านี้ก็ว่าไปอย่าง จะให้ดูละเอียดทุกอณูรูขุมขนก็จะไม่เกี่ยงงอน แต่สำหรับนางสาวมาลินีที่มีชื่อเล่นเหมือนฮิปโปคนนี้ พีร์ขอผ่านดีกว่า....แต่ว่า พ่อของเขายังยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ
“เอาน่ะ...ฉันไม่ได้ยกหนูมะลิให้แกตลอดไปหรอก สองสามเดือนเท่านั้น จนกว่าแกจะผ่านโปรฯ และมีเลขาเป็นของตัวเอง ถึงตอนนั้นหนูมะลิก็จะกลับมาเป็นเลขาฉันเหมือนเดิม เชื่อสิ...หนูมะลิจะทำให้แกเป็นงานเร็วขึ้นเป็นสามเท่าเลย”
กว่าสิบปีที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ ภูมิมั่นใจว่าคุณเลขาฯ คนเก่งของเขาจะช่วยเหลือและสอนงานให้เจ้าลูกชายไม่เอาอ่าวที่เพิ่งเข้ามาทำงานหลังจากลอยชายไปมาอยู่นานสิบปีพอ ๆ กันได้ มาลินีแก่กว่าพีร์แค่หนึ่งปีก็จริง แต่การมีประสบการณ์ทำงานมากกว่า รวมไปถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่เจ้าตัวพยายามทำให้แก่เกินวัยให้สมกับเป็นเลขาฯ ของผู้บริหารสูงสุด ทำให้ภูมิเห็นแล้วว่าเธอเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาอย่างน้อยก็ในช่วงต้นของการทำงาน
“อะไรกัน....อย่างผมนี่ต้องมีโปรเบชั่นด้วยหรือนี่ แล้วทำยังไงถึงจะไม่ผ่าน เอ๊ย...ไม่ใช่ ผ่านโปรเบชั่นล่ะพ่อ...อ้อ...แล้วไอ้โปรเบชั่นนี่มันกี่เดือนน่ะ”
“ระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฉันน่ะสิ ถ้าแกหัวไวเรียนรู้เร็ว รับผิดชอบดี ฉันไว้ใจให้เป็นรองประธานเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็พ้นโปรเบชั่นเองแหละ อย่าถามมากดีกว่า เริ่มงานได้แล้ว นี่เก้าโมงกว่าแล้ว เดี๋ยวจะมีประชุมกรรมการบริหาร วาระพิเศษแจ้งเรื่องแกเข้ามาทำงานให้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่นี่เขารับทราบตามธรรมเนียมกันไว้หน่อย แกเองก็จะได้รู้ว่าใครเป็นใคร ใครทำหน้าที่อะไร อ้อ...ฉันให้คนจัดห้องทำงานแกไว้ด้านโน้น ห้องเล็กหน่อย ใช้ชั่วคราวไปก่อน อยากได้อะไรเพิ่มก็บอกหนูมะลิเค้า ให้เค้าช่วยจัดหาให้”
ภูมิสั่งการเป็นฉาก ๆ ก่อนโบกมือไล่ลูกชายที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงฟังอยู่ด้วยท่าทางเซ็ง ๆ โชคดีที่ผู้เป็นพ่อมัวแต่ก้มหน้าก้มตาดูเอกสารบนโต๊ะ จึงไม่เห็นท่าทางขัดตาจนน่าจะเทศนาอีกสักกัณฑ์ใหญ่ แต่คุณเลขาฯ เห็นเต็มสองตาว่าหนุ่มหล่อตรงหน้าเบะปากจนความหล่อที่มีอยู่ลดลงไปอักโข
“เชิญคุณพีร์ที่ห้องทำงานดีกว่าค่ะ ตามดิฉันมาค่ะ”
มาลินีกล่าวเสียงเยือกเย็นแล้วเดินนำหน้าไป พีร์จำใจต้องเดินตาม และยิ่งกว่าขัดใจเมื่อเห็นห้องทำงานทีดูแห้งแล้งและไม่หรูหราสมฐานะลูกชายเจ้าของบริษัทเอาเสียเลย ห้องแคบมาก โต๊ะทำงานก็เล็กมาก แถมยังมีโต๊ะตัวเล็กของเลขาฯ มาวางเกะกะลูกตาอีก เห็นแล้วเขาถึงกับโวยวาย
“ห้องทำงานผมจะจัดจะทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง นี่พ่อผมเห็นหรือยังนี่ว่าลูกต้องทำงานในสถานที่แบบนี้”
คำว่าสถานที่แบบนี้กับกิริยาเอาแต่ใจที่แสดงออกมาทำให้มาลินีชะงัก นึกไม่ถึงว่าคนที่อ่อนกว่าเพียง 1 ปีจะมีวุฒิภาวะแย่ถึงเพียงนี้ เวลาเพียง 1 สัปดาห์ที่ภูมิสั่งให้จัดเตรียมห้องไว้รอท่าลูกชายคนเดียวที่ไม่ยอมทำงานตั้งหลายปีนับได้ว่าค่อนข้างจำกัด มาลินีจึงจัดการให้ได้ดีที่สุดเท่าที่เห็น และความจริงแล้วมันก็ไม่ได้แย่อะไรหนักหนา ถ้าคิดว่าจะใช้ห้องนี้เพียงไม่กี่เดือน เพราะภูมิก็สั่งให้ทำห้องทำงานใหม่ที่ใหญ่โตโอ่อ่าให้เขาแล้ว...แต่เขาอาจจะยังไม่รู้
“ท่านเคยเข้ามาดูแล้วค่ะ ห้องนี้อาจจะคับแคบไปบ้าง แต่ก็จะใช้เป็นการชั่วคราวเท่านั้นค่ะ ถ้าห้องทำงานจริง ๆ ของคุณพีร์เสร็จแล้วเราจะย้ายไปที่นั่นกัน วันนี้หลังประชุมแนะนำตัวคุณพีร์เสร็จ คุณพีร์จะไปดูสถานที่จริงประกอบกับดูแบบที่เขาวาดไว้ก็ได้ค่ะ หากไม่ถูกใจจุดไหนจะได้แก้ไขกัน”
มาลินีพยายามอธิบายอย่างใจเย็น ความจริงห้องนี้นอกจากแคบไปนิดแล้วก็ไม่ได้เสียหายอะไรตรงไหน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นก็สั่งมาใหม่ และเป็นของดีราคาแพง ที่สำคัญเธอเป็นคนเลือกเองจัดเอง ภูมิเองก็ยังค่อนข้างพอใจ การแสดงออกของเขาทำให้คนจัดการอย่างเธอเสียกำลังใจไปอักโข วันแรกก็เป็นแบบนี้เสียแล้ว วันหน้าจะอยู่กันได้ราบรื่นได้อย่างไรยังสงสัย
“ก็ดี...งั้นประชุมเสร็จคุณพาผมไปดูไอ้ห้องที่กำลังทำที่ว่าหน่อย ผมจะได้ดูให้ถูกใจก่อน อ้อ...แล้วคุณพูดผิดนะ คนที่จะย้ายไปน่ะผมคนเดียว ไม่ใช่เรา เข้าใจไว้ด้วย วันนี้ขอแฟ้มผู้สมัครเลขาฯ ให้ผมเลือกด่วนเลย ถึงพ่อจะให้คุณช่วยผมไปก่อน แต่....ระหว่างนี้ ผมก็อยากมีผู้ช่วยของผมเอง คนที่ผมเลือกเอง คุณจะได้รู้ว่ารสนิยมเป็นยังไง เข้าใจใช่ไหม”
ตรงและแรงจนมาลินีอึ้ง หน้ากลม ๆ ขาว ๆ ของหญิงสาวนิ่วไปนิดจนพีร์รู้สึกได้ แต่หลังจากนับหนึ่งถึงสิบจนครบแล้ว เธอก็ยิ้มเย็นชา และรับคำสั่งสั้น ๆ ง่าย ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ เริ่มทำตามคำสั่งแรกของเจ้านายอีกคน ด้วยการต่อโทรศัพท์ถึงฝ่ายบุคคล ขอแฟ้มผู้สมัครตำแหน่งเลขานุการ พอเสร็จการประชุมแนะนำตัว แฟ้มผู้สมัครเลขาฯ ก็กองพะเนินอยู่บนโต๊ะ พร้อมทั้งมีบางแฟ้มที่มีกระดาษสีติดไว้เป็นพิเศษ พีร์หยิบมาพลิก ๆ ดูแล้วก็พอเข้าใจว่า คงมีใครสักคนที่ไม่พ้นคุณเลขาฯ คนเก่งคนดีของพ่อคัดกรองคนที่ท่าทางเข้าตากรรมการไว้ให้เป็นพิเศษ แต่ขอโทษเถอะ...เขาไม่สนใจคนที่มาลินีทำเครื่องหมายไว้เลยสักคน คนที่เขาสนต้องเป็นคนสวยเตะตาเท่านั้น และปรากฏว่า ทั้งตั้งที่วางอยู่ไม่มีคนใดเลยที่พีร์ติดตาต้องใจ
“เอากลับไปคืนให้หมด ไม่ได้เรื่องเลยสักคน”
“หรือจะเอาคนที่สมัครตำแหน่งประชาสัมพันธ์ดีคะ...ดิฉันว่า คุณพีร์อาจจะชอบมากกว่า”
เสียงเรียบเรื่อย แต่เนื้อหาประชดประชันจนคนฟังแสบ ๆ คัน ๆ มาลินีพูดไป ตาก็มองเอกสารบนโต๊ะไป รู้สึกตัวอีกทีแฟ้มผู้สมัครกองเบ้อเริ่มก็ถูกโยนโครมลงบนโต๊ะ ตัวการคนโยนก็ยืนจังก้าหน้าถมึงทึงอยู่หน้าโต๊ะนั่นเอง เขาตบโต๊ะปัง และตะคอกเธอดังลั่น
“เวลาพูดกับผมก็มองหน้าผมหน่อย ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาคุยกับกระดาษ ผมเป็นเจ้านาย ไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณ หัดมีมารยาทซะบ้าง....มาลินี”
คนมีมารยาทยืนตะคอกหน้าดำหน้าแดง คนไม่มีมารยาทเลยต้องยืนขึ้นเป็นการให้เกียรติ สีหน้าเย็นชาพอกับน้ำเสียงเมื่อต้องพูดไปตามหน้าที่
“ถ้าดิฉันทำให้คุณพีร์ไม่พอใจก็ต้องขอประทานโทษด้วยค่ะ แต่...ดิฉันเข้าใจว่าตัวเองยังคงเป็นเลขาฯ ของคุณภูมิ คุณพ่อของคุณอยู่ เพียงแต่ถูกมอบหมายให้มาช่วยคุณชั่วคราวเท่านั้น และเมื่อท่านมอบหมายมา จะถูกใจหรือไม่ถูกใจคุณ ดิฉันคงแก้ไขอะไรไม่ได้ เราคงต้องรอจนกว่าคุณจะได้เลขาฯ ใหม่ ดิฉันจึงจะหมดหน้าที่ที่ท่านมอบหมายมา ระหว่างนี้ หากมีอะไรที่คุณพีร์ไม่ชอบใจ หรือคาดว่าจะไม่ชอบใจ กรุณาบอกดิฉันได้เลยค่ะ ดิฉันจะปรับตัวให้เป็นไปตามความต้องการของคุณ”
เนื้อความที่หญิงสาวพูดฟังเหมือนเป็นการขอโทษ แต่ความเป็นทางการและความเย็นชา รวมถึงสีหน้าที่ดูเยาะหยันในความอ่อนหัดไม่เป็นมืออาชีพของเจ้านายใหม่ ทำให้พีร์ถึงกับโกรธจนมือสั่น อยากจับไหล่อวบ ๆ นั้นเขย่าให้หนำใจ ให้ตายเถอะ....ยายญาติฮิปโปนี่กวนประสาทสิ้นดี ท่าทางจองหองพองขน คงถือตัวว่าพ่อของเขาถือหางเต็มที่สินะ หัวของชายหนุ่มหมุนเร็วจี๋ พยายามหาวิธีกวนประสาทกลับไปบ้าง
“พูดแบบนี้คงพอรู้ตัวสินะว่าผมไม่ชอบขี้หน้าคุณเท่าไหร่ เอาเถอะ....คุณบอกจะพยายามปรับตัว ก็ดี...ผมจะพยายามเชื่อแล้วกัน เอาละ...งั้นเริ่มจากงานแบบเลขา ๆ กันก่อนดีกว่า เมื่อคืนผมนอนดึกมากเลย เริ่มง่วงแล้วล่ะ คุณชงกาแฟให้ผมหน่อย”
สั่งเสร็จคนสั่งก็เดินกลับไปนั่งเต๊ะที่โต๊ะประจำตำแหน่ง มาลินีชักอยากกรี๊ดดัง ๆ ให้กับความเกรียนของลูกชายเจ้านาย หรือเรียกให้ถูกต้องก็คือเจ้านายคนใหม่ของเธอนั่นแหละ ถึงจะแค่ชั่วคราวก็เถอะ...หมอนี่ดูละครมากไปหรือเปล่า ถึงได้คิดว่างานเลขาฯ คือการชงกาแฟ ขอโทษที...เธอไม่ได้เป็นเลขานุการธรรมดานะ แต่เธอเป็นถึงเลขานุการอาวุโสของที่นี่ และไม่ได้ทำหน้าที่ชงกาแฟมานานชาติเศษแล้ว แต่นายเต่าล้านปีคนนี้กลับสั่งให้เธอชงกาแฟ
“ไม่ทราบคุณพีร์ดื่มกาแฟรสไหนคะ กาแฟกี่ช้อน น้ำตาลกี่ก้อน ใส่ครีมหรือเปล่า”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ปกติผมเองก็ไม่ค่อยได้ดื่มเครื่องดื่มมีสาระประเภทนี้ด้วย คุณชงมาก่อนแล้วกัน แล้วผมจะบอกเองว่ากินได้หรือไม่ได้”
หญิงสาวรับคำเบา ๆ พลางนับหนึ่งถึงร้อยในใจ ประสบการณ์เลขาฯ สิบกว่าปี อย่าให้ต้องพังเพราะเกรียนเพียงคนเดียวเลย....เพี้ยง โกรธหนอ แค้นหนอ งี่เง่าหนอ มาลินีทั้งขู่ทั้งปลอบตัวเอง เมื่อไม่เห็นว่าจะทำอย่างไรกับเขาได้
ผลก็คือเธอต้องวนเวียนชงกาแฟใหม่ถึงห้ารอบ รอบแรก กาแฟขมเกินไป ลดกาแฟหน่อย รอบที่สอง กาแฟจางไป รสชาติเหมือนน้ำล้างถ้วย ทำอย่างไรก็ได้ให้กาแฟอยู่ระหว่างแก้วแรกกับแก้วที่สอง (ก็คือกาแฟช้อนครึ่งนั่นเอง หญิงสาวรีบบันทึกความทรงจำไว้) รอบที่สาม ดื่มแล้วรู้สึกเลี่ยน ไปชงใหม่แบบไม่ใส่ครีมแต่ใส่นมสดแทนดีกว่า รอบที่สี่ พอใส่นมสดมากาแฟก็เย็นเกินไป ร้อนไม่พอ ให้อุ่นนมก่อนใส่กาแฟ รอบที่ 5 นั่นแหละ กาแฟถึงจะดื่มได้ แต่ชายหนุ่มดื่มไปเพียงครึ่งแก้วเท่านั้น พอเธอยืนมอง เขาก็ทำเสียงเย็นชาพูดลอย ๆ เหมือนบอกลมฟ้า
“ก็ชิมกาแฟห่วย ๆ ไปตั้งหลายแก้วแล้ว พอแก้วที่ดื่มได้ก็ดื่มได้แค่นี้แหละ เฮ้อ...เป็นถึงสุดยอดเลขาฯ ใครจะไปรู้ล่ะว่า แค่ชงกาแฟ...ก็ทำไม่เป็นสับปะรด...เอาล่ะ ผมดื่มพอแล้ว คุณเก็บไปเลยก็ได้ แก้วนี้น่ะ”
มาลินีเก็บแก้วกาแฟที่ดื่มไปเพียงครึ่งเดียวอย่างแค้นเคือง....กวนประสาทได้โล่ห์จริง ๆ แต่....แค่เลขาฯ อย่างเธอจะสะเออะไปต่อกรกับลูกชายเจ้าของบริษัทได้อย่างไร หญิงสาวมองแก้วกาแฟในซิงค์อย่างสะท้อนใจ ปีนี้น้องชายคนเล็กเรียนระดับมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย น้องคนนี้เรียนจบ ภาระบนบ่าที่แบกไว้ในฐานะพี่สาวคนโตคงจะพอทุเลา พ่อแม่ที่เกษียณแล้วก็พอมีบำนาญเลี้ยงตัวเองได้ ที่เหลือก็คือตามล่าหาฝันของตัวเอง ฝันที่จะมีธุรกิจส่วนตัว มีรายได้พอเลี้ยงตัวเองให้มีอิสระทางการเงินและมีเงินใช้มากพอให้เที่ยวไปในโลกกว้างได้ ฝันธรรมดาของหญิงสาวอายุสามสิบเอ็ดฐานะปานกลาง ความจริงก็ดูเรียบง่ายไม่เกินเอื้อมมาตลอดสิบกว่าปีที่ทำงานมานี้ แต่...ทำไมนะ พอเจอเจ้านายใหม่คนนี้ มาลินีรู้สึกว่า ความฝันที่วาดไว้มันเริ่มสั่นคลอนและหวั่นไหว เหมือนว่างานเลขาฯ ที่นี่ไม่ใช่งานที่มั่นคงพอที่จะทำให้ฝันที่วาดไว้เป็นจริงได้อย่างที่เคย ไม่ได้การแล้ว...เธอจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด งานประจำเงินเดือนงามแบบนี้....เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ต้องรักษาไว้ให้ได้
“เป็นอะไรคะคุณมะลิ เตือนเห็นเหม่ออยู่นานสองนานแล้ว แล้วนั่นแขกใครมาคะ ชงกาแฟตั้งสี่ห้าแก้ว ทำไมไม่เรียกให้เตือนทำล่ะคะ”
เสียงแม่บ้านเตือนใจปลุกให้คุณเลขาฯ ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวหันไปยิ้มเซียว ๆ ให้หญิงสาวอีกคนในชุดฟอร์มแม่บ้าน ก่อนออกปากฝากสั้น ๆ
“อ้าว เตือนมาพอดี งั้นมะลิฝากล้างแก้วพวกนี้ด้วยนะจ๊ะ ไม่มีใครมาหรอกจ้ะ คุณพีร์ลูกชายคุณท่านน่ะ ให้มะลิลองชงกาแฟรสที่เขาดื่มได้ให้ เตือนช่วยจำหน่อยนะจ๊ะ กาแฟช้อนครึ่ง ใส่นมสดหนึ่งในสาม แต่นมต้องเอาไปอุ่นในไมโครเวฟก่อนนะ ไม่งั้นเขาดื่มไม่ได้ เพราะกาแฟจะเย็นเกินไป”
เตือนใจนิ่วหน้า ยังไม่ทันจำได้ว่าอะไรต้องไปอุ่นก่อนหลัง มาลินีก็เดินลับตัวออกไปจากห้องเตรียมอาหารเสียแล้ว แต่ไหนแต่ไรคุณเลขาฯ ดูมาดมั่น แม้บุคลิกจะดูเคร่งขรึมเย็นชาไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยออกอาการซึมเซาเช่นนี้ ท่าเจ้านายคนใหม่คงจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว เตือนใจเห็นเขาแล้วเมื่อเช้า ก็ดูหล่อเท่ใสสไตล์เกาหลีออกนี่นา...ไม่น่าจะทำให้คุณเลขาฯ คนเก่งออกอาการจ๋อยถึงเพียงนี้ได้ แค่ครึ่งวันแรกยังเยินถึงเพียงนี้ ถ้าไม่อยากจะพลาดอะไรสนุก ๆ เตือนใจคงต้องติดตามตอนต่อไปแบบเกาะขอบริงไซด์เสียแล้ว
“ถ้าลำบากนัก พ่อก็อย่าเกษียณสิฮะ...ผมเห็นคนอื่นเค้าทำงานกันจนเจ็ดสิบแปดสิบยังไม่ยอมลงจากบัลลังก์เลย พ่อเองก็ยังแข็งแรง เห็นเต๊ะปี๊บทีดังป้าบๆ จะรีบวางมือไปไหนกัน....ไม่เอาน่า”
พีร์ ภักดีบดินดร์แย้งบิดาด้วยอาการไม่ใส่ใจเหมือนกับหลายครั้งที่ผ่านมาซึ่งภูมิเคยเรียกเขาเข้ามาที่ห้องทำงานเพื่อหว่านล้อม กล่อม หรือแม้แต่สั่งให้เขา ซึ่งกำลังจะก้าวเข้าสู่วัยสามสิบอยู่รอมร่อ จบการศึกษาบริหารธุรกิจระดับมหาบัณฑิตจากต่างประเทศมาก็หลายปีดีดักแล้ว เข้ามารับช่วงต่อการดูแลกิจการมูลค่ามหาศาลนี่เสียที แต่มีหรือที่ลูกบังเกิดเกล้าอย่างเขาจะตกปากรับคำให้ลำบากกายใจ ไม่ล่ะ...เสียเวลาเป็นคาสโนว่าอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย เกิดมารูปหล่อพ่อรวย จะมีตำแหน่งอะไรเหมาะสมกับพีร์ ภักดิบดินทร์ยิ่งกว่านี้
“แกไม่ต้องมาใช้มุกเดิม....ครั้งก่อน ๆ ฉันอาจจะไม่จริงจังกับแก แต่คราวนี้ฉันเอาแน่....ถ้าแกไม่ทำงาน ฉันจะไม่ให้แกใช้เงิน ฉันจะให้เลขายกเลิกบัตรเครดิตทั้งหมดที่แกมี เงินในบัญชีแกฉันจะสั่งโอนออกไปให้หมด อ้อ...แล้วรถที่แกขับ ๆ อยู่ ฉันจะยึดคืนด้วย...ให้มันรู้ไปว่าแกยังจะมีปัญญาลอยชายไปมาอยู่ได้ อ้อ...แล้วถ้าไอ้เพื่อนเสเพลหน้าไหนของแกยอมเป็นแหล่งพักพิงให้แกเกาะเป็นกาฝาก ก็จะได้เห็นดีกันว่าลองดีกับคนอย่างภูมิ ภักดีบดินทร์แล้วจะเดือดร้อนแค่ไหน....ฉันผิดเองที่เลี้ยงแกมาอย่างตามใจจนแกเสียคนขนาดนี้ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยอมให้แกทำตัวเหลวไหลไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายอีกแล้ว”
คำเทศนายาวเหยียดของชายสูงวัยเกือบทำให้พีร์ยกมือขึ้นมาอุดหู อาการเคร่งเครียดขุ่นเคืองของพ่อครั้งนี้ถึงกับทำให้เขาหนาว ๆ ร้อน ๆ สังหรณ์ใจว่าพ่อจะเอาจริงอย่างปากว่า
“โอเค ๆ ๆ....เข้าใจแล้วฮะพ่อ เอาล่ะ...ผมจะมาเริ่มงานต้นเดือนหน้าแล้วกันฮะ พ่อให้คนจัดห้องไว้ให้ได้เลย อ้อ...ขอตำแหน่งรองประธานเก๋ ๆ ด้วยนะฮะ เงินเดือนไม่อั้น รถประจำตำแหน่งเพิ่มอีกคัน ตกลงไหม”
พีร์แกล้งยื่นข้อเสนอ ตอนนี้เพิ่งกลางเดือน อีกตั้งสองสัปดาห์กว่า ๆ กว่าจะเริ่มเดือนใหม่ ยังพอมีทางหนีทีไล่ ถ้าถึงที่สุดอาจจะต้องแอบหนีออกนอกประเทศไปกบดานที่ที่พ่อตามไม่เจอสักพักก่อน ปัญหาคือจะยักย้ายถ่ายเทเงินสดอย่างไร หัวสมองของคาสโนว่าที่ถนัดแต่เรื่องสับรางสาวในสังกัดปั่นเร็วจี๋ แต่ยังเร็วไม่พอ เพราะภูมิรีบดักคอเสียก่อน
“หยุดคิดเลยไอ้เสือ...ฉันเป็นพ่อแก ฉันรู้ว่าแกกำลังเล่นเกมอะไร ไม่มีหรอกไอ้ตำแหน่งรองประธานเงินเดือนไม่อั้นเริ่มงานเดือนหน้า มีแต่ตำแหน่งผู้บริหารฝึกหัด เริ่มงานพรุ่งนี้ ห้องทำงานอะไรก็ไม่มี อย่างมากก็เพิ่มโต๊ะเก้าอีกอีกชุดในห้องนี้ ถ้าพรุ่งนี้ฉันไม่เห็นหน้าแกที่นี่ก่อนเก้าโมงเช้า แกเตรียมตัวเป็นขอทานได้เลย”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ อย่างอดใจไม่ไหว พ่อหนอพ่อ....สมกับเป็นพ่อลูกกันมาสามสิบปี วัน ๆ ทำแต่งาน ไม่รู้ทำไมถึงรู้จักลูกชายดีขนาดนี้....พีร์ถอนใจยาว หน้าระรื่นมุ่ยลงเพราะขัดใจ แต่ครั้งนี้คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากโอนอ่อนผ่อนตามไปก่อน พ่อเอาจริงแน่...เขารู้ ทั้งที่ความจริงแล้วอีกตั้งสองปีกว่าภูมิจะอายุครบหกสิบปี และพีร์เองก็คิดว่า เวลาตั้งสองปีที่เหลือนี้ยังเร็วเกินไปที่เขาจะเข้ามารับช่วงต่อกิจการเครือสหภัณฑ์ และถึงแม้ว่าพ่อจะเกษียณไปจริง เขาก็ยังคิดว่า ไม่เห็นจำเป็นที่เจ้าของกิจการต้องเข้ามาบริหารเองให้เหนื่อยยาก สมัยนี้จ้างคนมาทำให้ก็ได้ ซีอีโอรับจ้างถมเถไป ใครมือไม่ถึง ทำกำไรได้น้อยก็ไล่ออกหาใหม่ ผู้บริหารยุคนี้เยอะอย่างกับผักปลาในตลาด เจ้าของกิจการแค่ดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ก็พอ เขาเองก็ไม่ใช่เจ้าของกิจการที่ไม่มีความรู้ ปริญญาโทบริหารธุรกิจก็มีในมือ ใครจะโกงได้ก็ให้มันรู้ไป เขาเคยบอกเล่าแนวคิดนี้กับพ่อ แต่พ่อก็หัวโบราณเกินกว่าจะเข้าใจ
“ให้ฉันตายก่อน แล้วค่อยทำอย่างแกว่า ฉันทนดูคนอื่นทำกิจการที่สร้างมาตั้งแต่รุ่นพ่อฉันพังพินาศไปกับตาไม่ได้หรอก ตราบใดที่ฉันยังอยู่ แกจะต้องเป็นคนดูแลกิจการ ไม่งั้นก็ยกให้การกุศลไป แกไปสร้างกิจการของแกเอง แล้วจะบริหารยังไงก็ช่าง ถ้ามันเป็นกิจการของตระกูล แกต้องทำอย่างที่ฉันสั่ง”
ภูมิประกาศเป็นคำขาด และลูกชายคนเดียวอย่างพีร์ก็รู้ว่า คำสั่งนี้ขัดขืนดึงดันไม่ได้ ตั้งแต่เล็กจนโต พ่ออาจจะตามใจเขาทุกอย่าง แต่เรื่องสำคัญเช่นเรื่องการเรียน พ่อไม่เคยตามใจ เขามีชะตาต้องเป็นผู้บริหาร ต่อให้หัวดีอยากเรียนหมอ เขาก็ต้องเรียนบริหารธุรกิจเท่านั้น และต้องเรียนสูงกว่าพ่อซึ่งจบแค่ปริญญาตรีด้วย พีร์จึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนเรียนสาขานี้ทั้งที่ใจรักทางศิลปะ แต่เขารู้ว่าดึงดันไปก็เท่านั้น สู้เรียนตามใจพ่อและเอาเวลาที่เหลือไปทำตัวเสเพลดีกว่า นอกจากได้กำไรชีวิตแล้วยังถือเป็นการช่วยพ่อที่ค่อนข้างเก็บตัวไม่ค่อยออกงานสังคมทางอ้อมด้วย เพราะขณะนี้ นอกจากตำแหน่งคาสโนว่าอันดับหนึ่งแล้ว พีร์ ภักดีบดินทร์ ก็ยังเป็นหนึ่งในเซเลบริตี้คนสำคัญของแวดวงไฮโซเมืองไทย ดารานางแบบแนวหน้าต่างก็อยากควงกับเขาทั้งนั้น
คืนนั้นพีร์ถึงกับปิดคลับหรูในโรงแรมจัดงานเลี้ยงแบบปัจจุบันทันด่วน เขาแจ้งเพื่อน ๆ ว่าตัดสินใจเข้าไปศึกษางานในบริษัท บรรดาเพื่อนสนิทมิตรสหายถึงกับตกใจเป็นไก่ตาแตก หลายคนพอเดาได้ว่าเป็นท่าไม้ตายของภูมิ แต่ทั้งหมดเลือกที่จะสงบปากสงบคำไว้ เพราะเป็นที่รู้กันว่า ภายใต้ท่าที่เอื่อยเฉื่อย เหมือนจะเรื่อย ๆ ของพีร์ แต่หากมีคนพูดไม่ถูกหู เห็นเย็นเป็นน้ำแบบนี้ ก็พร้อมที่จะเดือดและลวกให้คนที่ทำให้ไม่สบอารมณ์ขนพองสยองเกล้าได้เหมือนกัน คืนนั้น นอกจากการชนแก้วดื่มฉลองแล้ว ชายหนุ่มก็ได้รับแต่คำอวยพรเป็นส่วนใหญ่
“อีกหน่อยคงเป็นเจ้าสัวพันล้าน อาจจะไม่มีเวลาสังสรรค์ปาร์ตี้กับพวกเราแบบนี้ คิดถึงนายแย่เลยว่ะ ไอ้ฉันน่ะไม่เท่าไหร่ เป็นห่วงแต่สาว ๆ คงจะเหงาไปเยอะ”
“ไม่ต้องห่วงน่า งานก็ส่วนงาน เพื่อนก็ส่วนเพื่อน ฉันแยกแยะได้หรอกน่า”
ว่าที่เจ้าสัวยังคุยโว....หมายมั่นปั้นมือว่าถึงอย่างไร การทำงานคงจะมีผลลดระดับความเสเพลในเวลากลางวันเท่านั้น แต่เวลางกลางคืน เขาจะยังคงเป็นอิสระ โบยบินไปประหนึ่งผีเสื้อราตรีได้เหมือนเดิม พ่อก็พ่อเถอะ...กลางคืนก็ต้องนอนล่ะน่า จะบังคับอะไรเขาได้นักหนา
เอาเข้าจริงคนที่จะเป็นผู้บังคับใช้กฎต่าง ๆ ของบริษัทกับพีร์ ภักดีบดินทร์ ไม่ใช่ผู้เป็นพ่ออย่างที่เขาคิด แต่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากภูมิ คือ มาลินี เลขานุการคู่ใจที่ทำงานเคียงข้างเขามายาวนานถึงสิบปี
“หนูมะลิจะเป็นคนดูแลแกนะเจ้าพีร์ แกรู้จักหนูมะลิอยู่แล้วนี่ เรียกคุณมะลิก็ได้”
พีร์ปรายตามองคุณเลขาฯ ที่พ่อภาคภูมิใจอย่างเสียไม่ได้ ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ เสียชาติเกิดมาเป็นผู้หญิงอย่างที่สุด ผิวขาว หน้ากลม ตาตี่ ใส่แว่นอีกต่างหาก แถมบนหน้านั้นยังปราศจากเครื่องสำอางแม้แต่น้อยนิด ทรงผมก็เป็นมวยต่ำสุดเชย เข้ากับชุดสูทที่ไม่ได้ช่วยให้รูปร่างอวบระยะสุดท้ายนั้นดูดีขึ้นมาเลย ยังดีที่ผิวขาว....จนซีดเหมือนผีดิบไม่มีผิด เห็นแล้วคนที่ชื่นชมศิลปะและความงามเป็นสำคัญอย่างเขาถึงกับขนลุก ถึงจะรู้จักกันมานานในฐานะเลขาฯ ของพ่อ แต่พีร์ก็ไม่เคยทำใจให้มองยายมาลินี มีมงคลธรรมนี่ได้นานพอจนจำรายละเอียดบนใบหน้าหรือลักษณะเด่นใด ๆ ได้สักที
“ผมโตแล้ว...ไม่ต้องมีคนดูแลหรอกน่า พ่อก็มอบหมายงานมา จะให้ดูอะไรศึกษาอะไรก็ว่ามา ผมดูเองได้”
ถ้าสวยเซ็กส์เอ็กซ์อึ๋มกว่านี้ก็ว่าไปอย่าง จะให้ดูละเอียดทุกอณูรูขุมขนก็จะไม่เกี่ยงงอน แต่สำหรับนางสาวมาลินีที่มีชื่อเล่นเหมือนฮิปโปคนนี้ พีร์ขอผ่านดีกว่า....แต่ว่า พ่อของเขายังยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ
“เอาน่ะ...ฉันไม่ได้ยกหนูมะลิให้แกตลอดไปหรอก สองสามเดือนเท่านั้น จนกว่าแกจะผ่านโปรฯ และมีเลขาเป็นของตัวเอง ถึงตอนนั้นหนูมะลิก็จะกลับมาเป็นเลขาฉันเหมือนเดิม เชื่อสิ...หนูมะลิจะทำให้แกเป็นงานเร็วขึ้นเป็นสามเท่าเลย”
กว่าสิบปีที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ ภูมิมั่นใจว่าคุณเลขาฯ คนเก่งของเขาจะช่วยเหลือและสอนงานให้เจ้าลูกชายไม่เอาอ่าวที่เพิ่งเข้ามาทำงานหลังจากลอยชายไปมาอยู่นานสิบปีพอ ๆ กันได้ มาลินีแก่กว่าพีร์แค่หนึ่งปีก็จริง แต่การมีประสบการณ์ทำงานมากกว่า รวมไปถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่เจ้าตัวพยายามทำให้แก่เกินวัยให้สมกับเป็นเลขาฯ ของผู้บริหารสูงสุด ทำให้ภูมิเห็นแล้วว่าเธอเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาอย่างน้อยก็ในช่วงต้นของการทำงาน
“อะไรกัน....อย่างผมนี่ต้องมีโปรเบชั่นด้วยหรือนี่ แล้วทำยังไงถึงจะไม่ผ่าน เอ๊ย...ไม่ใช่ ผ่านโปรเบชั่นล่ะพ่อ...อ้อ...แล้วไอ้โปรเบชั่นนี่มันกี่เดือนน่ะ”
“ระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฉันน่ะสิ ถ้าแกหัวไวเรียนรู้เร็ว รับผิดชอบดี ฉันไว้ใจให้เป็นรองประธานเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็พ้นโปรเบชั่นเองแหละ อย่าถามมากดีกว่า เริ่มงานได้แล้ว นี่เก้าโมงกว่าแล้ว เดี๋ยวจะมีประชุมกรรมการบริหาร วาระพิเศษแจ้งเรื่องแกเข้ามาทำงานให้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่นี่เขารับทราบตามธรรมเนียมกันไว้หน่อย แกเองก็จะได้รู้ว่าใครเป็นใคร ใครทำหน้าที่อะไร อ้อ...ฉันให้คนจัดห้องทำงานแกไว้ด้านโน้น ห้องเล็กหน่อย ใช้ชั่วคราวไปก่อน อยากได้อะไรเพิ่มก็บอกหนูมะลิเค้า ให้เค้าช่วยจัดหาให้”
ภูมิสั่งการเป็นฉาก ๆ ก่อนโบกมือไล่ลูกชายที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงฟังอยู่ด้วยท่าทางเซ็ง ๆ โชคดีที่ผู้เป็นพ่อมัวแต่ก้มหน้าก้มตาดูเอกสารบนโต๊ะ จึงไม่เห็นท่าทางขัดตาจนน่าจะเทศนาอีกสักกัณฑ์ใหญ่ แต่คุณเลขาฯ เห็นเต็มสองตาว่าหนุ่มหล่อตรงหน้าเบะปากจนความหล่อที่มีอยู่ลดลงไปอักโข
“เชิญคุณพีร์ที่ห้องทำงานดีกว่าค่ะ ตามดิฉันมาค่ะ”
มาลินีกล่าวเสียงเยือกเย็นแล้วเดินนำหน้าไป พีร์จำใจต้องเดินตาม และยิ่งกว่าขัดใจเมื่อเห็นห้องทำงานทีดูแห้งแล้งและไม่หรูหราสมฐานะลูกชายเจ้าของบริษัทเอาเสียเลย ห้องแคบมาก โต๊ะทำงานก็เล็กมาก แถมยังมีโต๊ะตัวเล็กของเลขาฯ มาวางเกะกะลูกตาอีก เห็นแล้วเขาถึงกับโวยวาย
“ห้องทำงานผมจะจัดจะทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง นี่พ่อผมเห็นหรือยังนี่ว่าลูกต้องทำงานในสถานที่แบบนี้”
คำว่าสถานที่แบบนี้กับกิริยาเอาแต่ใจที่แสดงออกมาทำให้มาลินีชะงัก นึกไม่ถึงว่าคนที่อ่อนกว่าเพียง 1 ปีจะมีวุฒิภาวะแย่ถึงเพียงนี้ เวลาเพียง 1 สัปดาห์ที่ภูมิสั่งให้จัดเตรียมห้องไว้รอท่าลูกชายคนเดียวที่ไม่ยอมทำงานตั้งหลายปีนับได้ว่าค่อนข้างจำกัด มาลินีจึงจัดการให้ได้ดีที่สุดเท่าที่เห็น และความจริงแล้วมันก็ไม่ได้แย่อะไรหนักหนา ถ้าคิดว่าจะใช้ห้องนี้เพียงไม่กี่เดือน เพราะภูมิก็สั่งให้ทำห้องทำงานใหม่ที่ใหญ่โตโอ่อ่าให้เขาแล้ว...แต่เขาอาจจะยังไม่รู้
“ท่านเคยเข้ามาดูแล้วค่ะ ห้องนี้อาจจะคับแคบไปบ้าง แต่ก็จะใช้เป็นการชั่วคราวเท่านั้นค่ะ ถ้าห้องทำงานจริง ๆ ของคุณพีร์เสร็จแล้วเราจะย้ายไปที่นั่นกัน วันนี้หลังประชุมแนะนำตัวคุณพีร์เสร็จ คุณพีร์จะไปดูสถานที่จริงประกอบกับดูแบบที่เขาวาดไว้ก็ได้ค่ะ หากไม่ถูกใจจุดไหนจะได้แก้ไขกัน”
มาลินีพยายามอธิบายอย่างใจเย็น ความจริงห้องนี้นอกจากแคบไปนิดแล้วก็ไม่ได้เสียหายอะไรตรงไหน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นก็สั่งมาใหม่ และเป็นของดีราคาแพง ที่สำคัญเธอเป็นคนเลือกเองจัดเอง ภูมิเองก็ยังค่อนข้างพอใจ การแสดงออกของเขาทำให้คนจัดการอย่างเธอเสียกำลังใจไปอักโข วันแรกก็เป็นแบบนี้เสียแล้ว วันหน้าจะอยู่กันได้ราบรื่นได้อย่างไรยังสงสัย
“ก็ดี...งั้นประชุมเสร็จคุณพาผมไปดูไอ้ห้องที่กำลังทำที่ว่าหน่อย ผมจะได้ดูให้ถูกใจก่อน อ้อ...แล้วคุณพูดผิดนะ คนที่จะย้ายไปน่ะผมคนเดียว ไม่ใช่เรา เข้าใจไว้ด้วย วันนี้ขอแฟ้มผู้สมัครเลขาฯ ให้ผมเลือกด่วนเลย ถึงพ่อจะให้คุณช่วยผมไปก่อน แต่....ระหว่างนี้ ผมก็อยากมีผู้ช่วยของผมเอง คนที่ผมเลือกเอง คุณจะได้รู้ว่ารสนิยมเป็นยังไง เข้าใจใช่ไหม”
ตรงและแรงจนมาลินีอึ้ง หน้ากลม ๆ ขาว ๆ ของหญิงสาวนิ่วไปนิดจนพีร์รู้สึกได้ แต่หลังจากนับหนึ่งถึงสิบจนครบแล้ว เธอก็ยิ้มเย็นชา และรับคำสั่งสั้น ๆ ง่าย ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ เริ่มทำตามคำสั่งแรกของเจ้านายอีกคน ด้วยการต่อโทรศัพท์ถึงฝ่ายบุคคล ขอแฟ้มผู้สมัครตำแหน่งเลขานุการ พอเสร็จการประชุมแนะนำตัว แฟ้มผู้สมัครเลขาฯ ก็กองพะเนินอยู่บนโต๊ะ พร้อมทั้งมีบางแฟ้มที่มีกระดาษสีติดไว้เป็นพิเศษ พีร์หยิบมาพลิก ๆ ดูแล้วก็พอเข้าใจว่า คงมีใครสักคนที่ไม่พ้นคุณเลขาฯ คนเก่งคนดีของพ่อคัดกรองคนที่ท่าทางเข้าตากรรมการไว้ให้เป็นพิเศษ แต่ขอโทษเถอะ...เขาไม่สนใจคนที่มาลินีทำเครื่องหมายไว้เลยสักคน คนที่เขาสนต้องเป็นคนสวยเตะตาเท่านั้น และปรากฏว่า ทั้งตั้งที่วางอยู่ไม่มีคนใดเลยที่พีร์ติดตาต้องใจ
“เอากลับไปคืนให้หมด ไม่ได้เรื่องเลยสักคน”
“หรือจะเอาคนที่สมัครตำแหน่งประชาสัมพันธ์ดีคะ...ดิฉันว่า คุณพีร์อาจจะชอบมากกว่า”
เสียงเรียบเรื่อย แต่เนื้อหาประชดประชันจนคนฟังแสบ ๆ คัน ๆ มาลินีพูดไป ตาก็มองเอกสารบนโต๊ะไป รู้สึกตัวอีกทีแฟ้มผู้สมัครกองเบ้อเริ่มก็ถูกโยนโครมลงบนโต๊ะ ตัวการคนโยนก็ยืนจังก้าหน้าถมึงทึงอยู่หน้าโต๊ะนั่นเอง เขาตบโต๊ะปัง และตะคอกเธอดังลั่น
“เวลาพูดกับผมก็มองหน้าผมหน่อย ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาคุยกับกระดาษ ผมเป็นเจ้านาย ไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณ หัดมีมารยาทซะบ้าง....มาลินี”
คนมีมารยาทยืนตะคอกหน้าดำหน้าแดง คนไม่มีมารยาทเลยต้องยืนขึ้นเป็นการให้เกียรติ สีหน้าเย็นชาพอกับน้ำเสียงเมื่อต้องพูดไปตามหน้าที่
“ถ้าดิฉันทำให้คุณพีร์ไม่พอใจก็ต้องขอประทานโทษด้วยค่ะ แต่...ดิฉันเข้าใจว่าตัวเองยังคงเป็นเลขาฯ ของคุณภูมิ คุณพ่อของคุณอยู่ เพียงแต่ถูกมอบหมายให้มาช่วยคุณชั่วคราวเท่านั้น และเมื่อท่านมอบหมายมา จะถูกใจหรือไม่ถูกใจคุณ ดิฉันคงแก้ไขอะไรไม่ได้ เราคงต้องรอจนกว่าคุณจะได้เลขาฯ ใหม่ ดิฉันจึงจะหมดหน้าที่ที่ท่านมอบหมายมา ระหว่างนี้ หากมีอะไรที่คุณพีร์ไม่ชอบใจ หรือคาดว่าจะไม่ชอบใจ กรุณาบอกดิฉันได้เลยค่ะ ดิฉันจะปรับตัวให้เป็นไปตามความต้องการของคุณ”
เนื้อความที่หญิงสาวพูดฟังเหมือนเป็นการขอโทษ แต่ความเป็นทางการและความเย็นชา รวมถึงสีหน้าที่ดูเยาะหยันในความอ่อนหัดไม่เป็นมืออาชีพของเจ้านายใหม่ ทำให้พีร์ถึงกับโกรธจนมือสั่น อยากจับไหล่อวบ ๆ นั้นเขย่าให้หนำใจ ให้ตายเถอะ....ยายญาติฮิปโปนี่กวนประสาทสิ้นดี ท่าทางจองหองพองขน คงถือตัวว่าพ่อของเขาถือหางเต็มที่สินะ หัวของชายหนุ่มหมุนเร็วจี๋ พยายามหาวิธีกวนประสาทกลับไปบ้าง
“พูดแบบนี้คงพอรู้ตัวสินะว่าผมไม่ชอบขี้หน้าคุณเท่าไหร่ เอาเถอะ....คุณบอกจะพยายามปรับตัว ก็ดี...ผมจะพยายามเชื่อแล้วกัน เอาละ...งั้นเริ่มจากงานแบบเลขา ๆ กันก่อนดีกว่า เมื่อคืนผมนอนดึกมากเลย เริ่มง่วงแล้วล่ะ คุณชงกาแฟให้ผมหน่อย”
สั่งเสร็จคนสั่งก็เดินกลับไปนั่งเต๊ะที่โต๊ะประจำตำแหน่ง มาลินีชักอยากกรี๊ดดัง ๆ ให้กับความเกรียนของลูกชายเจ้านาย หรือเรียกให้ถูกต้องก็คือเจ้านายคนใหม่ของเธอนั่นแหละ ถึงจะแค่ชั่วคราวก็เถอะ...หมอนี่ดูละครมากไปหรือเปล่า ถึงได้คิดว่างานเลขาฯ คือการชงกาแฟ ขอโทษที...เธอไม่ได้เป็นเลขานุการธรรมดานะ แต่เธอเป็นถึงเลขานุการอาวุโสของที่นี่ และไม่ได้ทำหน้าที่ชงกาแฟมานานชาติเศษแล้ว แต่นายเต่าล้านปีคนนี้กลับสั่งให้เธอชงกาแฟ
“ไม่ทราบคุณพีร์ดื่มกาแฟรสไหนคะ กาแฟกี่ช้อน น้ำตาลกี่ก้อน ใส่ครีมหรือเปล่า”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ปกติผมเองก็ไม่ค่อยได้ดื่มเครื่องดื่มมีสาระประเภทนี้ด้วย คุณชงมาก่อนแล้วกัน แล้วผมจะบอกเองว่ากินได้หรือไม่ได้”
หญิงสาวรับคำเบา ๆ พลางนับหนึ่งถึงร้อยในใจ ประสบการณ์เลขาฯ สิบกว่าปี อย่าให้ต้องพังเพราะเกรียนเพียงคนเดียวเลย....เพี้ยง โกรธหนอ แค้นหนอ งี่เง่าหนอ มาลินีทั้งขู่ทั้งปลอบตัวเอง เมื่อไม่เห็นว่าจะทำอย่างไรกับเขาได้
ผลก็คือเธอต้องวนเวียนชงกาแฟใหม่ถึงห้ารอบ รอบแรก กาแฟขมเกินไป ลดกาแฟหน่อย รอบที่สอง กาแฟจางไป รสชาติเหมือนน้ำล้างถ้วย ทำอย่างไรก็ได้ให้กาแฟอยู่ระหว่างแก้วแรกกับแก้วที่สอง (ก็คือกาแฟช้อนครึ่งนั่นเอง หญิงสาวรีบบันทึกความทรงจำไว้) รอบที่สาม ดื่มแล้วรู้สึกเลี่ยน ไปชงใหม่แบบไม่ใส่ครีมแต่ใส่นมสดแทนดีกว่า รอบที่สี่ พอใส่นมสดมากาแฟก็เย็นเกินไป ร้อนไม่พอ ให้อุ่นนมก่อนใส่กาแฟ รอบที่ 5 นั่นแหละ กาแฟถึงจะดื่มได้ แต่ชายหนุ่มดื่มไปเพียงครึ่งแก้วเท่านั้น พอเธอยืนมอง เขาก็ทำเสียงเย็นชาพูดลอย ๆ เหมือนบอกลมฟ้า
“ก็ชิมกาแฟห่วย ๆ ไปตั้งหลายแก้วแล้ว พอแก้วที่ดื่มได้ก็ดื่มได้แค่นี้แหละ เฮ้อ...เป็นถึงสุดยอดเลขาฯ ใครจะไปรู้ล่ะว่า แค่ชงกาแฟ...ก็ทำไม่เป็นสับปะรด...เอาล่ะ ผมดื่มพอแล้ว คุณเก็บไปเลยก็ได้ แก้วนี้น่ะ”
มาลินีเก็บแก้วกาแฟที่ดื่มไปเพียงครึ่งเดียวอย่างแค้นเคือง....กวนประสาทได้โล่ห์จริง ๆ แต่....แค่เลขาฯ อย่างเธอจะสะเออะไปต่อกรกับลูกชายเจ้าของบริษัทได้อย่างไร หญิงสาวมองแก้วกาแฟในซิงค์อย่างสะท้อนใจ ปีนี้น้องชายคนเล็กเรียนระดับมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย น้องคนนี้เรียนจบ ภาระบนบ่าที่แบกไว้ในฐานะพี่สาวคนโตคงจะพอทุเลา พ่อแม่ที่เกษียณแล้วก็พอมีบำนาญเลี้ยงตัวเองได้ ที่เหลือก็คือตามล่าหาฝันของตัวเอง ฝันที่จะมีธุรกิจส่วนตัว มีรายได้พอเลี้ยงตัวเองให้มีอิสระทางการเงินและมีเงินใช้มากพอให้เที่ยวไปในโลกกว้างได้ ฝันธรรมดาของหญิงสาวอายุสามสิบเอ็ดฐานะปานกลาง ความจริงก็ดูเรียบง่ายไม่เกินเอื้อมมาตลอดสิบกว่าปีที่ทำงานมานี้ แต่...ทำไมนะ พอเจอเจ้านายใหม่คนนี้ มาลินีรู้สึกว่า ความฝันที่วาดไว้มันเริ่มสั่นคลอนและหวั่นไหว เหมือนว่างานเลขาฯ ที่นี่ไม่ใช่งานที่มั่นคงพอที่จะทำให้ฝันที่วาดไว้เป็นจริงได้อย่างที่เคย ไม่ได้การแล้ว...เธอจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด งานประจำเงินเดือนงามแบบนี้....เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ต้องรักษาไว้ให้ได้
“เป็นอะไรคะคุณมะลิ เตือนเห็นเหม่ออยู่นานสองนานแล้ว แล้วนั่นแขกใครมาคะ ชงกาแฟตั้งสี่ห้าแก้ว ทำไมไม่เรียกให้เตือนทำล่ะคะ”
เสียงแม่บ้านเตือนใจปลุกให้คุณเลขาฯ ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวหันไปยิ้มเซียว ๆ ให้หญิงสาวอีกคนในชุดฟอร์มแม่บ้าน ก่อนออกปากฝากสั้น ๆ
“อ้าว เตือนมาพอดี งั้นมะลิฝากล้างแก้วพวกนี้ด้วยนะจ๊ะ ไม่มีใครมาหรอกจ้ะ คุณพีร์ลูกชายคุณท่านน่ะ ให้มะลิลองชงกาแฟรสที่เขาดื่มได้ให้ เตือนช่วยจำหน่อยนะจ๊ะ กาแฟช้อนครึ่ง ใส่นมสดหนึ่งในสาม แต่นมต้องเอาไปอุ่นในไมโครเวฟก่อนนะ ไม่งั้นเขาดื่มไม่ได้ เพราะกาแฟจะเย็นเกินไป”
เตือนใจนิ่วหน้า ยังไม่ทันจำได้ว่าอะไรต้องไปอุ่นก่อนหลัง มาลินีก็เดินลับตัวออกไปจากห้องเตรียมอาหารเสียแล้ว แต่ไหนแต่ไรคุณเลขาฯ ดูมาดมั่น แม้บุคลิกจะดูเคร่งขรึมเย็นชาไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยออกอาการซึมเซาเช่นนี้ ท่าเจ้านายคนใหม่คงจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว เตือนใจเห็นเขาแล้วเมื่อเช้า ก็ดูหล่อเท่ใสสไตล์เกาหลีออกนี่นา...ไม่น่าจะทำให้คุณเลขาฯ คนเก่งออกอาการจ๋อยถึงเพียงนี้ได้ แค่ครึ่งวันแรกยังเยินถึงเพียงนี้ ถ้าไม่อยากจะพลาดอะไรสนุก ๆ เตือนใจคงต้องติดตามตอนต่อไปแบบเกาะขอบริงไซด์เสียแล้ว
moreya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 เม.ย. 2554, 15:50:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 เม.ย. 2554, 15:51:01 น.
จำนวนการเข้าชม : 2517
แลกหมัดจัดไป >> |
SaiParn 6 มิ.ย. 2554, 20:24:03 น.
หนุกดีค่ะ คู่ปรับ
หนุกดีค่ะ คู่ปรับ
หนึ่งเดียว 15 มิ.ย. 2554, 15:29:29 น.
พี่หมอยาคะ น้องเป็นคนหนึ่่งที่คลั่งไคล้นิยายของพี่มาก ถ้าหากว่าอ่านแล้วโปรดทราบด้วยค่ะว่าคิดถึงเป็นอย่างแรง
อยากได้นิยายแต่ละเรื่องของพี่มาไว้ที่บ้านจะแย่แล้วค่ะ ทั้งน้ำฝนกะณภัทร (อันนี้ชอบมากกกกกกกกก) ไหนจะเรื่องของตะวันกับปลายรุ้ง (อันนี้ก็ชอบที่สุด) และก็ไหนจะหนึ่งมิตรชิดใกล้อีก (อันนี้ก็ชอบไม่เป็นรอง)และก็อีกหลายเรื่องน่ะ ถ้าพี่หมอยาเห็นคำถามนี้ช่วยตอบไปที่อีเมล์ nongmook2215@thaicoolmail.com หน่อยนะคะ อยากได้และก็อยากอ่านอีกค่ะ เมื่อก่อนก็เข้าไปอ่านที่ bloggang ใช้ชื่อหนึ่งมณีน่ะ แต่พอดีว่าพิษเศรษฐกิจเล่นงานเลยทำให้ต้องออกจากงานแล้วกับมาอยู่ที่เชียงรายตั้งสามปี พอวันนี้หาที่เล่นเน็ตเจอก็ปรากฏว่าพี่หมอยาหายออกจากเว็บไปแล้วเรียบร้อย อยากได้นิยายค่ะ ทำไงดีคะ อยากให้ทำเป็นแบบทำมือจังเลยค่ะ รออยู่นะคะ อยากให้ลูกสาวอ่านด้วยจะฝึกเขาให้เป็นนักเขียนค่ะ และพี่หมอยาก็เป็นนักเขียนที่ชื่นชอบที่สุดคนหนึ่งด้วยค่ะ
พี่หมอยาคะ น้องเป็นคนหนึ่่งที่คลั่งไคล้นิยายของพี่มาก ถ้าหากว่าอ่านแล้วโปรดทราบด้วยค่ะว่าคิดถึงเป็นอย่างแรง
อยากได้นิยายแต่ละเรื่องของพี่มาไว้ที่บ้านจะแย่แล้วค่ะ ทั้งน้ำฝนกะณภัทร (อันนี้ชอบมากกกกกกกกก) ไหนจะเรื่องของตะวันกับปลายรุ้ง (อันนี้ก็ชอบที่สุด) และก็ไหนจะหนึ่งมิตรชิดใกล้อีก (อันนี้ก็ชอบไม่เป็นรอง)และก็อีกหลายเรื่องน่ะ ถ้าพี่หมอยาเห็นคำถามนี้ช่วยตอบไปที่อีเมล์ nongmook2215@thaicoolmail.com หน่อยนะคะ อยากได้และก็อยากอ่านอีกค่ะ เมื่อก่อนก็เข้าไปอ่านที่ bloggang ใช้ชื่อหนึ่งมณีน่ะ แต่พอดีว่าพิษเศรษฐกิจเล่นงานเลยทำให้ต้องออกจากงานแล้วกับมาอยู่ที่เชียงรายตั้งสามปี พอวันนี้หาที่เล่นเน็ตเจอก็ปรากฏว่าพี่หมอยาหายออกจากเว็บไปแล้วเรียบร้อย อยากได้นิยายค่ะ ทำไงดีคะ อยากให้ทำเป็นแบบทำมือจังเลยค่ะ รออยู่นะคะ อยากให้ลูกสาวอ่านด้วยจะฝึกเขาให้เป็นนักเขียนค่ะ และพี่หมอยาก็เป็นนักเขียนที่ชื่นชอบที่สุดคนหนึ่งด้วยค่ะ
karaboon 4 ธ.ค. 2554, 17:07:42 น.
อยากได้เรื่อง น้ำฝนกับณภัทร / ตะวันกับปลายรุ้งด้วยอีกคนค่ะ ต้องทำยังไงช่วยแจ้งด้วยนะค่ะ
อยากได้เรื่อง น้ำฝนกับณภัทร / ตะวันกับปลายรุ้งด้วยอีกคนค่ะ ต้องทำยังไงช่วยแจ้งด้วยนะค่ะ