กลรักเกมหัวใจ
พีร์ หนุ่มเสเพลย์บอยรูปหล่อพ่อรวย ไม่ยอมทำการงานจนอายุปาเข้าไปจะ 30 แล้ว จนภูมิ บิดาของพีร์ไม่ยอมอ่อนข้อให้ลูกชายตัวแสบอีกต่อไป จึงบังคับให้พีร์เข้ามาฝึกงานเพื่อรับช่วงต่อเมื่อเขาจะเกษียณในอีกไม่ช้า

ผู้โชคร้ายได้รับมอบหมายให้เทรนงานให้เพลย์บอยตัวแสบผู้หลงตัวเองไม่มีใครเกินคือมาลินี เลขาฯ คู่ใจของภูมิซึ่งทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่เขามาถึง 10 ปี นอกจากเรื่องงานที่เธอเลิศเลอเพอร์เฟคแล้ว เรื่องอื่น...จัดว่าไม่ได้เรื่อง ทั้งรูปร่างหน้าตาและมารยาหญิงที่แม้แต่ครึ่งเล่มเกวียนก็ไม่มี

เมื่อคนต่างขั้วต้องมาเจอกัน ทั้งคู่จึงเป็นคู่ปากคู่ปรับกันตั้งแต่วันแรก แต่ก็คงเป็นเช่นนั้นตลอดไป หากมาลินีไม่ปากไวไปนินทาทำนองปรามาสพีร์กับว่าที่เลขาฯ สาวอึ๋มสุดสะบึมของเขาว่า

"คุณพีร์น่ะหรือ...ให้ฟรีพี่ยังไม่เอาเลยค่ะคุณน้อง นอกจากหล่อไปวัน ๆ แล้วไม่มีอะไรดีสักอย่าง ถ้าต้องเป็นแฟนกับผู้ชายแบบนี้ พี่ขอเป็นโสดไปตลอดชีวิตดีกว่า"

มีหรือที่คาสโนว่าตัวพ่ออย่างพีร์จะยอมปล่อยให้ว่าที่สาวขึ้นคานอย่างมาลินีได้กรีดกรายขึ้นไปนั่งบนคานทองอย่างสบายใจ ปากดีอย่างนี้ต้องจัดแผลใจไปไว้เป็นประสบการณ์รักขมๆ เพราะถึงคาสโนว่าอย่างเขาจะไม่มีอะไรดีนอกจากหล่อไปวัน ๆ แต่คำพูดของเธอมันหยามกันเกินไป ลูกผู้ชายอย่างเขาฆ่าได้หยามไม่ได้

เกมรักที่มีหัวใจของสาวทำงานอย่างมาลินีเป็นเดิมพันจึงเกิดขึ้น แต่ action เท่ากับ reaction ดังกฏของนิวตันว่าไว้ฉันใดก็ฉันนั้น ล่อลวงให้เขาหลง ก็ย่อมเสี่ยงต่อการหลงเขาหัวปักหัวปำเหมือนกัน งานนี้ใครจะเจ็บใครจะจำ....โปรดติดตาม ณ บัดนี้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: แลกหมัดจัดไป

หลังจากสงครามกาแฟร้อนในครึ่งวันเช้า ครึ่งวันบ่าย การพาพีร์ไปดูห้องทำงานที่กำลังตกแต่งใหม่ก็เป็นไปด้วยความราบรื่นผิดคาด เขาดูพออกพอใจกับห้องและแบบที่ดีไซเนอร์ออกแบบไว้ให้ มีข้อแก้ไขเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามประสาผู้ชายจุกจิก มาลินีจดบันทึกและส่งต่อข้อมูลให้ผู้รับผิดชอบโดยทำสำเนาให้เขารับทราบทั้งหมดทางอีเมล เมื่อเรียบร้อยเรื่องห้องทำงาน เธอก็แจ้งกำหนดการภาคบ่ายแก่ ๆ ก่อนกลับบ้าน

สัปดาห์แรกของการทำงาน ภาระการดูแลพีร์ของมาลินียังไม่ถึงกับหนักหนาสาหัสมากนัก เพียงแค่บอกกำหนดการให้เขาในแต่ละวันว่าเขาจะต้องเข้าศึกษางานกับผู้บริหารของแผนกใด ไม่จำเป็นต้องตามประกบเขาแบบนาทีต่อนาที แค่ฟังเขาสรุปผลการเรียนรู้สั้น ๆ เป็นรายงานส่งให้ภูมิวันต่อวัน และพร้อมกันนั้นก็ได้เรียนรู้ไปด้วยว่าชายหนุ่มเป็นคนขี้เบื่ออย่างวายร้าย และไม่มีความละเอียดละออใด ๆ เลย ดังจะเห็นได้จากการสรุปการเรียนรู้งานจากแต่ละแผนกที่สุดจะสั้นไม่เกินแผนกละสามบรรทัด แถมบางอย่างก็ยังมั่วสุด ๆ แสดงถึงความมักง่ายไม่ใส่ใจ พอแกล้งถามให้คิดก็กลับตอบแบบสิ้นคิดว่า

“ไม่รู้สิ...ไม่สำคัญมั้ง ถ้าสำคัญผมคงจำได้”

อย่างเดียวที่เขาตั้งใจทำจริงจังคือการสรรหาเลขานุการที่ถูกตาต้องใจ คนแล้วคนเล่าที่เขาให้เธอโทรเรียกมาสัมภาษณ์ทั้งที่เธอแย้งไปว่าวุฒิการศึกษาไม่น่าเพียงพอสำหรับการเป็นเลขาฯ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจ กลับบอกง่าย ๆ ว่า

“คุณก็เทรนสิ...ถ้าคุณเก่งพอที่พ่อไว้ใจให้คุณเทรนผมได้ ผมคิดว่าคุณก็น่าจะเทรนใครก็ตามเป็นเลขาฯ คนเก่งให้ผมได้ แต่ก่อนอื่น คนคนนั้นต้องเป็นคนที่ผมเลือกมาแล้วว่าผมทนดูได้ ผมกับพ่อไม่เหมือนกันก็ตรงนี้ แต่อย่างว่า พ่อผมหายใจเป็นงาน สภาพคุณเป็นยังไงท่านคงไม่ค่อยคิดมาก”

มาลินีโกรธจนหน้าเขียว หมอนี่นอกจากหน้าตาดี ยังมีปากอีกอย่างหนึ่งที่ดี พูดจากระแทกแดกดันคนได้ขนาดนี้ หากพัฒนาทักษะให้พูดจาเชิงบวกเป็นเสียบ้างคงจะดีไม่น้อย ทำงานเป็นลูกจ้างเขาอย่างสบายใจมาเป็นสิบปี ก็เพิ่งจะมีวันนี้แหละที่หญิงสาวคิดว่าการเป็นลูกจ้างเขามันแย่ตรงที่อยากสวนกลับไปเจ็บ ๆ บ้างไม่ได้ ติดที่เขาเป็นลูกชายของเจ้านาย ได้แต่กำหมัดเม้มปากแน่น ย้อนกลับไปเสียงเย็นว่า

“ก่อนคุณจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่าดิฉันไม่ได้มีหน้าที่เทรนคุณนะคะ ดิฉันได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยคุณเท่านั้น ความรู้ปริญญาตรีวิทยาการจัดการอย่างดิฉันคงเทียบไม่ได้กับปริญญาโทบริหารธุรกิจของคุณพีร์หรอกค่ะ แต่...เอาเถอะ ถ้าคุณมอบหมายด้วยความไว้ใจ ดิฉันจะพยายามก็แล้วกัน ลิงยังสอนให้เก็บมะพร้าวได้ ก็หวังว่าคนที่คุณพีร์เลือกมาคงจะไม่อายลิงที่ไหน”

คำยอกย้อนของคุณเลขาฯ หน้าจืดทำเอาคนฟังถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน นอกจากต่อปากต่อคำกันวันละนิดกับคนเป็นลูกแล้ว มาลินียังมีหน้าที่รายงานความก้าวหน้าของการเรียนรู้งานของพีร์ให้คนเป็นพ่อฟังด้วย การรายงานของเธอตรงไปตรงมาจนภูมิถึงกับส่ายหน้า

“คุณพีร์ไม่ค่อยตั้งใจ ไม่ช่างสังเกต ไม่ช่างสงสัย ไม่ใส่ใจงานเท่าที่ควรค่ะ ช่วงว่างที่ท่านกำหนดให้ศึกษางานด้วยตัวเอง เธอก็เอาแต่เล่นอินเทอร์เน็ต คุยโทรศัพท์ หรือไม่ก็หลับค่ะ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้คงอีกนานล่ะค่ะ กว่าจะเป็นงาน มะลิว่าท่านควรมอบหมายงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันให้เธอ และนัดประเมินผลเป็นเรื่องเป็นราวสักหน่อยค่ะ”

ภูมิได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ เห็นด้วยกับมาลินีและมอบหมายให้เธอไปแจ้งลูกชายว่า

“ท่านให้ศึกษารายงานการประชุมกรรมการบริหาร ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาค่ะ ปกติกรรมการบริหารจะประชุมเดือนละครั้ง วาระการประชุมส่วนใหญ่เป็นเรื่องผลประกอบการและปัญหาเกี่ยวกับการจัดการของแต่ละแผนก รวมถึงค่าใช้จ่ายประจำเดือนต่าง ๆ ที่เป็นต้นทุนหลัก ๆ ของบริษัทค่ะ รายงานการประชุมมีทั้งที่พิมพ์ออกมาแล้วและที่เป็นไฟล์ในคอมพิวเตอร์ อยู่ใช้แชร์ไดร์ฟในแฟ้มรายงานการประชุม ซึ่งทางไอทีกำหนดสิทธิ์ให้เข้าดูได้เฉพาะกรรมการบริหารเท่านั้น คุณพีร์จะดูแบบไหนคะ”

เพราะมัวแต่ชี้ให้คนฟังดูตามในคอมพิวเตอร์ มาลินีเลยไม่ได้คอยสบตาผู้ฟังขณะตัวเองพูด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถามเขาแล้วเขาไม่ตอบ เพราะคนถูกถามไปเฝ้าพระอินทร์เรียบร้อยแล้ว พีร์นั่งสัปหงกอยู่ข้าง ๆ ไม่รู้หลุดโลกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มาลินีมองเจ้านายอย่างขัดใจ ก่อนถามเสียงดังขึ้นอีกหน่อยว่า

“คุณพีร์คะ...คุณจะดูรายงานการประชุมแบบไหนคะ”

“หา...อะไรนะ....เอ่อ....ยังไงก็ได้ เอามาเถอะ”

คุณเลขาฯ พยายามหักห้ามใจไม่ให้ส่ายหัว ก่อนเดินไปหยิบแฟ้มรายงานการประชุมหนาเตอะออกมา ปีนี้ผ่านไปเกือบครึ่งปี เอกสารประกอบการประชุมที่พิมพ์ไว้ย่อมมีจำนวนมากเป็นธรรมดา พอเห็นแฟ้มหนาปึ้กเท่านั้น พีร์ก็ตาโตเป็นไข่ห่านทันที

“อะไรกัน....ให้อ่านหมดแฟ้มเนี่ยนะ คุณแกล้งผมหรือเปล่าน่ะ”

“ไม่ได้แกล้งค่ะ นี่เป็นคำสั่งของคุณภูมิ ซึ่งคุณภูมิกำชับด้วยว่า จะคุยกับคุณพีร์วันจันทร์หน้า แปดโมงครึ่ง”

“แปดโมงครึ่ง....บ้าหรือคุณ ไหนว่างานเริ่มเก้าโมงไง จะนัดอะไรแปดโมงครึ่ง ขี้โกงนี่”

“พอดีวันจันทร์คุณภูมิมีนัดประชุมกับผู้ถือหุ้นตอนเก้าโมงค่ะ แล้วตารางทั้งวั้นของท่านก็ไม่ว่าง ว่างเฉพาะช่วงเช้า แล้วช่วงค่ำท่านต้องไปร่วมงานเลี้ยงของบริษัทของซัพพลายเออร์อีก นัดของคุณเลยต้องเป็นคิวแรกตอนแปดโมงเช้าค่ะ”

มาลินีพยายามอธิบาย แต่คนฟังเอาแต่งอแงโวยวาย ตีโพยตีพายเรื่องความหนักหนาสาหัสในการตื่นเช้า ไป ๆ มา ๆ งานก็เข้าที่คุณเลขาฯ

“คุณต้องเลื่อนนัดให้ผมให้ได้ ถ้าเลื่อนไม่ได้ คุณนั่นแหละ ต้องไปปลุกผมที่คอนโด งัดผมขึ้นมาจากเตียง ลากผมมาทำงาน เพื่อให้เจอพ่อผมให้ได้”

“เอ่อ....ไม่เหมาะล่ะมังคะ ปลุกคุณถึงเตียงที่คอนโด ดิฉันเป็นผู้หญิง และคุณก็เป็นผู้ชาย”

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เคยมีใครบอกคุณเหรอว่ามีหน้าตาเป็นอาวุธ ชาตินี้คนอย่างผมคงไม่มีวันคิดอะไรกับคุณ ยิ่งคุณไปปลุกผมด้วยสภาพแบบนี้ จะตื่นหรือเปล่านี่ยังเป็นปัญหาอยู่เลยนะ”

สภาพแบบนี้ที่พีร์ว่าคือ สภาพเลขาฯ ใส่แว่น ขาวซีด ตัวกลมเหมือนศพกำลังเริ่มอืด ใส่สูทสีเข้มทับเชิ้ตแขนยาว กระโปรงคลุมเข่า สภาพนี้อย่างไรก็ไม่มีทางอันตราย

“ดิฉันว่ามันออกจะเกินหน้าที่ไปนิดหนึ่ง เอาเป็นว่าดิฉันโทรปลุกคุณดีกว่าค่ะ”

“ไม่สำเร็จหรอก ผมเป็นพวกหลับลึกตื่นยาก เอาน่าคุณ....ถ้าคุณต้องไปปลุกผมถึงคอนโด ผมให้โอทีพิเศษเลยแล้วกัน ตกลงตามนี้แหละ แฟ้มมีเท่านี้ใช่ไหม เดี๋ยวผมเอาไปศึกษาที่บ้านนะ วันนี้พอแค่นี้เถอะ ผมไปก่อนนะ”

พูดจบเขาก็หอบแฟ้มลุกไป ยังไม่ทันที่มาลินีจะได้ค้านว่า แฟ้มนั้นเป็นความลับของบริษัท ไม่ควรนำออกไป หากนำออกไปก็ไม่ควรไปวางไว้ในที่ที่คนที่ไม่มีหน้าที่สามารถเข้าถึงได้ หญิงสาวรีบวิ่งไปดักที่ลิฟต์เพื่อแจ้งให้เขาทราบ พีร์เพียงแต่รับคำลวก ๆ แล้วเข้าลิฟต์หายไปต่อหน้าต่อตา มาลินีเหลือบดูนาฬิกา....บ่ายสามโมงกว่า ๆ เท่านั้นเอง หญิงสาวถึงกับจ๋อยเมื่อเข้าไปรายงานให้ภูมิทราบ

“เอาเถอะหนูมะลิ... ก็มีแก่ใจไปปลุกมันหน่อยแล้วกัน รับประกันความปลอดภัยอย่างที่เจ้าพีร์มันว่านั่นล่ะ ผมไม่อยากเลื่อนนัดให้มันเสียนิสัย”

คนถูกสั่งได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม ก่อนกลับบ้านมาลินียังตรวจสอบว่าได้จดที่อยู่และบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของเจ้านายใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวกลับถึงหอพักได้ก็ถึงกับหมดแรงนอนแผ่ ไม่อยากกิน ไม่อยากเปิดโทรทัศน์ ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ไม่อยากให้ถึงวันรุ่งขึ้นด้วยซ้ำไป

ภาพเสื้อผ้าบุรุษสตรีที่เกลื่อนกลาดอยู่ที่พื้นตั้งแต่บริเวณห้องนั่งเล่นไปจนถึงที่เตียงทำให้มาลินีไม่แปลกใจเมื่อพบว่าคนที่ตนจะมาปลุกไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เดาได้เลยว่าร่างกลมกลึงของสาวสวยที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มจะต้องเปลือยเปล่า เหมือนกับชายหนุ่มที่ยังคงหลับตาพริ้มคล้ายกำลังฝันดี

“คุณพีร์...คุณพีร์คะ ตื่นเถอะค่ะ”

มาลินีลองปลุกด้วยเสียงดังระดับหนึ่ง เห็นเขานิ่วหน้านิดหนึ่งก่อนคว้าหมอนข้างมาอุดหูนอนต่อ เธอจึงดึงหมอนข้างนั้นออกและเพิ่มความดังของเสียงเรียกครั้งใหม่

“คุณพีร์...ตื่นเดี๋ยวนี้ คุณมีนัดกับท่านประธานตอนแปดโมงเช้านะคะ นี่เจ็ดโมงแล้วนะ คุณต้องอาบน้ำแต่งตัวอีก”

คราวนี้คนที่ตื่นเป็นสาวสวยข้างกายพีร์ เธอทำหน้าตกใจก่อนดึงผ้าห่มให้กระชับรอบกายมากขึ้น ผ้าห่มเลยถูกดึงออกจากตัวคนนอนข้าง ๆ ทำให้เห็นว่า เขานอนอยู่โดยสวมบ็อกเซอร์เพียงตัวเดียว สภาพนั้นยังดีกว่าที่มาลินีคิดไว้ เธอเลยไม่ตกใจเท่าไหร่

“ต้องขอโทษคุณด้วยนะคะ...แต่วันนี้คุณพีร์มีนัดกับท่านประทานตอนเช้าค่ะ คุณพีร์คะ ตื่นเดี๋ยวนี้....คุณพีร์”

เลขาฯ สาวขอโทษหญิงสาวที่บัดนี้ลุกออกไปจากเตียงแล้ว เจ้าหล่อนคงจะไปแต่งตัวก่อนหลบออกไปจากสถานการณ์ที่ออกจะน่าละอายนี้ ปล่อยให้มาลินีเริ่มออกแรงดึงให้พีร์ลุกจากเตียงจนสำเร็จในที่สุด

“โอเค ๆ ๆ ผมลุกแล้ว คุณเลิกเสียงดังแล้วก็ฉุดกระชากลากถูผมเสียที...รำคาญ”

หนอย...กล้าพูดว่ารำคาญ ใครต้องรำคาญใครกันแน่ มาลินีแอบค้อนเมื่อเขาลับกายเข้าห้องน้ำไป หญิงสาวมองไปรอบ ๆ คอนโดหรู พลางนึกอิจฉาขนาดห้องที่กว้างกว่าห้องของเธอถึง 4 เท่า แม้เธอจะมีเงินเดือนค่อนข้างสูง แต่มาลินีก็ลงทุนซื้อห้องพักแบบสตูดิโอขนาดเล็กเท่านั้น คอนโดของเธอห่างจากคอนโดของพีร์ประมาณห้าสถานีรถไฟฟ้า ของเขาเป็นคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ละชั้นมีเพียงไม่กี่ห้อง วิวมองจากหน้าต่างสวยแทบลืมหายใจ ส่วนของเธอเป็นคอนโดราคาประหยัด แม้จะใกล้รถไฟฟ้า แต่ต้องเดินเข้าซอยไปไกลพอสมควร หากรีบก็ต้องพึ่งบริการวินมอเตอร์ไซค์ และที่สำคัญ วิวที่มองลงมา มีแต่หลังคาบ้านและย่านชุมชน หาความสวยงามอะไรไม่ได้ แต่กระนั้นการลงทุนซื้อคอนโดก็ยังดีกว่าการจ่ายค่าเช่าห้องไปเปล่า ๆ

ภูมิลำเนาของมาลินีอยู่ที่จังหวัดน่าน เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนจบมัธยมปลาย จากนั้นสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพได้ แล้วก็ปักหลักทำงานอยู่ที่นี่มาตลอด รวมเวลาที่อยู่กรุงเทพจนถึงบัดนี้ก็ร่วมสิบห้าปีแล้ว สมัยเรียนและช่วงทำงานแรก ๆ เธอเช่าหอพักอยู่กับเพื่อนบ้าง บางครั้งไม่มีเพื่อนก็อยู่ตามลำพัง เมื่อทำงานได้พักหนึ่งจนมีเงินเก็บสะสมก้อนใหญ่ มาลินีจึงตัดสินใจระหว่างซื้อรถกับคอนโด หญิงสาวเลือกอย่างหลังเพราะประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า หากซื้อรถ ป่านนี้นอกจากค่าน้ำมัน คงยังมีค่าเช่าห้องที่ต้องจ่ายทุกเดือน แต่เมื่อกัดฟันซื้อคอนโดห้องเล็ก ๆ ใกล้รถไฟฟ้าเป็นของตัวเองแล้ว การจ่ายค่าเช่าห้องก็เปลี่ยนเป็นการผ่อนคอนโดแทน แม้ยอดต่อเดือนจะเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่เมื่อคิดว่าในที่สุดเมื่อผ่อนหมดแล้วคอนโดก็เป็นกรรมสิทธิ์ของเธอเอง ทำให้มาลินีคิดว่าตนเองตัดสินใจไม่ผิด

ระหว่างนั่งแกร่วรอคุณชายที่ท่าทางบอกยี่ห้อว่าเจ้าสำอางพอตัวอาบน้ำแต่งตัว มาลินีก็พาตัวเองมาที่ห้องครัวเพื่อดูว่ามีอุปกรณ์จัดเตรียมกาแฟหรือไม่ ปรากฏว่าห้องครัวแบบแพนทรีของพีร์ไม่มีสิ่งใดที่นำมาประยุกต์เป็นของรับประทานยามเช้าได้เลย เปิดตู้เย็นก็เห็นมีแต่น้ำดื่มและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในตู้เก็บอาหารก็มีแต่ของขบเคี้ยวจำพวกมันฝรั่งทอดกรอบ คงเน้นเก็บตุนของที่ใช้เป็นกับแกล้มได้มากกว่า หญิงสาวเลยตัดใจกลับมานั่งรออย่างสงบที่โต๊ะอาหาร จากรออย่างสงบ ก็กลายเป็นรออย่างกระสับกระส่าย เพราะเหลืออีกสิบห้านาทีจะแปดโมง พีร์ก็ยังไม่ยุรยาตรออกมาจากห้องนอนเสียที เธอเกือบลุกเข้าไปเร่งอยู่แล้ว แต่เขาโผล่หน้ามุ่ย ๆ ออกมาเสียก่อน

“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ผมสายห้านาทีสิบนาทีพ่อไม่ว่าหรอก”

จากที่พักของเขา หากเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ก็สามารถไปถึงอาคารสหภัณฑ์ได้ภายในเวลาประมาณสิบห้านาที แต่มาลินีสังหรณ์ว่าเขาจะไม่ยอมเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเหมือนเธอ และก็จริงดังคาดเมื่อเขาคว้ากุญแจรถขึ้นมา

“ขับรถไปไม่ทันหรอกค่ะ แถวนี้รถติดออก กว่าจะถึงที่ทำงาน คงปาเข้าไปเก้าโมงกว่า”

“ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้รถติดไม่ติด ผมแทบไม่เคยตื่นก่อนเที่ยงเลย ว่าไปแล้วก็แฮ้งค์ชะมัด เมื่อคืนกว่าจะได้นอน ตีสี่กว่า...เอ....แล้วตอนคุณเข้ามานี่เจอใครบ้างไหม”

“พบค่ะ น้องเขาแต่งตัวออกไปแล้วค่ะ ไม่ได้ฝากบอกอะไรคุณไว้”

“ไม่แปลกหรอก ผมยังจำชื่อเขาไม่ได้เลย โอเค...รถไฟฟ้าก็รถไฟฟ้า คุณนำไปละกัน”

เขาวางกุญแจรถไว้ที่เดิมอย่างว่าง่าย เดินตามมาลินีต้อย ๆ แต่โดยดี แวบหนึ่งที่เธอรู้สึกดีเหมือนกันที่ได้เดินเคียงข้างหนุ่มหล่อจนเรียกสายตาสาว ๆ ในรถไฟฟ้าให้หันมามองตามกันตาปรอย แต่ความรู้สึกวูบนั้นก็อันตรธานหายไปเมื่อหนุ่มหล่อคนที่ว่าเอาแต่หาวหวอด ๆ และไม่สนใจสรรพสิ่งรอบกาย แถมยังยืนหลับอีกต่างหาก

“สายห้านาที”

ทันทีที่เห็นหน้าลูกชาย ภูมิก็ทักทายอย่างอารมณ์ดี ชายสูงวัยยังส่งยิ้มเลยไปให้มาลินีที่เดินตามเข้ามาวางเอกสารให้ ก่อนจะปล่อยให้ชายสองวัยอยู่ด้วยกันตามลำพัง เพื่อที่คนเป็นพ่อจะได้ทราบว่า

“ก็อ่านคร่าว ๆ ยังจับประเด็นอะไรไม่ได้เลยฮะ อ่านรายงานการประชุม น่าเบื่อจะตาย แต่ละเดือนก็พูดเรื่องเดิม ๆ พ่อต้องเข้าทุกเดือนไม่เบื่อบ้างหรือไง”

คำกล่าวของเจ้าลูกชายไม่ได้เรื่องทำเอาภูมิปวดหัวตั้งแต่เช้า ดูท่าการศึกษาข้อมูลด้วยตนเองจะไม่ใช่สิ่งที่พีร์ทำเป็นด้วยตนเองเสียแล้ว สงสัยต้องสั่งการผ่านมาลินีให้ละเอียดลออกว่านี้

“แกไม่ใส่ใจมากกว่าเจ้าพีร์ ถ้าใส่ใจจริงอย่างน้อยก็ต้องบอกได้ว่าตอนนี้บริษัทเรากำลังประสบปัญหายอดขายอย่างหนัก สินค้าบางอย่างตกอันดับจากเคยเป็นที่หนึ่งแต่กลับไปเป็นที่สองที่สามแล้ว อย่างกาแฟกระป๋อง ยอดขายของเจ้าอื่นก็แซงหน้านำโด่งมาตั้งหลายเดือนแล้ว ไหนจะผงซักฟอกอีก”

“โอ๊ย...พ่อก็คิดมากไปได้ ที่หนึ่งที่สองมันก็แค่อันดับไร้สาระฮะ คิดว่าเป็นสมบัติผลัดกันชมละกัน อยากขายได้เยอะ ๆ ก็ลดแลกแจกแถมโปรโมตมันเข้าไป โจทย์ง่ายออก ไม่เห็นจะยากเลย”

มหาบัณฑิตด้านบริหารธุรกิจตอบง่ายจนภูมิอยากเรียกเงินคืนจากมหาวิทยาลัยที่ส่งเจ้าลูกชายข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนต่อจนคว้าปริญญามาได้ แต่นึกอีกทีก็กลัวลูกชายตัวดีถูกยึดปริญญาคืนเหมือนกัน โทษฐานไม่ยอมเอาความรู้มาใช้ ก็เลยได้แต่ถอนใจ

“จะไร้สาระหรือไม่ไร้สาระ ก็ส่งผลกระทบกับยอดขายรวมของเรานั่นล่ะ แกรู้ไหมว่าปีนี้เราโตน้อยกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ตั้งห้าเปอร์เซ็นต์ นั่นหมายความว่า เรายังโตช้ากว่าอัตราเงินเฟ้ออีกนะ ถึงจะไม่ได้เป็นที่หนึ่ง แต่ก็ไม่ควรแพ้อัตราเงินเฟ้อหรืออัตราดอกเบี้ย เพราะมันหมายความว่าเราเหนื่อยฟรี พูดแค่นี้เข้าใจไหม...เอาเถอะ...ในเมื่อแกดูไม่แคร์กับเรื่องนี้นัก งั้น...ก็ไปเขียนลองเขียนแผนกระตุ้นยอดขายมาแล้วกัน ฉันให้เวลาอาทิตย์นึง อ้อ...ขอไม่ซ้ำกับที่ฝ่ายการตลาดเขาจัดทำไปแล้วด้วยนะ จะขอบคุณมาก อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้คาสโนว่าอย่างแกนอกจากหลอกผู้หญิงไปวัน ๆ แล้ว จะทำอย่างอื่นเป็นไหม”

โจทย์ที่พ่อมอบหมายให้ทำเอาพีร์ยิ้มไม่ออก เขียนแผนกระตุ้นยอดขาย...ซวยละ เก่งแต่ปากอย่างเขา งานนี้จะเอาตัวรอดยังไงดีเนี่ย



moreya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 เม.ย. 2554, 17:06:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 เม.ย. 2554, 17:06:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 2058





<< จุดเริ่มต้นของคนต่างขั้ว   ปวดหัว(ใจ)ในโจทย์แรก >>
thongyod 26 เม.ย. 2554, 14:42:39 น.
รอตอนต่อไปอยู่ค่ะ ^--^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account