ต้องชะตารัก By ณพรชล
ความรักของมนุษย์เราจะมั่นคงสักแค่ไหนกันนะ

หากว่าคนที่เรารักที่สุดกลับจำเรื่องราวระหว่างกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เราควรจะทำอย่างไรดี

ทำทุกวิถีทางให้เธอจำได้

ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป

หรือ สร้างความทรงจำใหม่ให้กับเธอ

ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกอะไร

"ผมไม่รู้ว่าสำหรับพี่ต้นแล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่าดี หรือ แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากพอ แต่ในความรู้สึกของผมปลายข้าวไม่ใช่แค่ความหลง ไม่ใช่แค่ความผูกพันธ์ หรือแม้แต่ความสงสารใดๆ แต่ปลายข้าวคือความรัก ชีวิต และจิตใจของผม เพียงครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ ผมรู้ในทันทีว่าเธอคือ ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าผมยังเด็กเกินไป แต่ตอนนี้ผมก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมว่าปลายข้าวยังเป็น ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม คือคนที่ผมอยากมีอนาคตร่วมกับเธอและไม่มีใครสามารถแทนที่เธอได้ ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ปลายข้าวอยู่ใกล้ๆ เคียงข้างผมได้โดยไม่ให้เธอเสียหายหรือมีใครมาครหา"
Tags: พี่สกาย ปลายข้าว

ตอน: ตอนที่ 1

ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ
ด้วยรักและจุ๊บๆ ^^
ปอรินทร์

1.

“ยัยปลายข้าว! จะเจ็ดโมงแล้วนะ ยังไม่รีบลงมากินข้าวอีก เดี๋ยวก็ไปทำงานวันแรกสายหรอก” เสียงบ่นของธัญกาญจน์ดังขึ้นจากส่วนที่เป็นห้องครัวของบ้าน เพียงไม่นานเสียงลงบันไดดังตึงๆ ก็ตามมา

“มาแล้วค่า ต้นจ๋า วันนี้ต้นจ๋าทำอะไรอร่อยๆ ให้ปลายกินคะ กลิ่นงี้หอมฉุยไปถึงข้างบนเลย” เสียงหวานๆ ปนออดอ้อนของสาวร่างบางนาม ‘ธัญพัชร’ ดังขึ้นทันทีที่ลงมาถึง

“ไม่ต้องมาอ้อนเลยยัยปลาย รีบมากินข้าวเร็วๆ เดี๋ยวก็ได้ไปทำงานสายตั้งแต่วันแรกหรอก” ธัญกาญจน์ว่าพลางตักข้าวต้มหมูทรงเครื่องมาวางไว้ตรงหน้าคนเป็นน้องสาว

“แล้วต้นจ๋าไม่กินกับปลายด้วยกันเหรอ มาๆ เดี๋ยวปลายตักข้าวต้มให้” เธอว่าพลางตักข้าวต้มอีกถ้วยวางตรงหน้าพี่สาวทั้งยังยิ้มประจบประแจง เป็นรอยยิ้มทำให้ผู้เป็นพี่สาวถึงกับน้ำตาคลอทุกครั้งที่เห็น

“รีบๆ กินข้าวได้แล้ว ไม่ต้องมาทำเป็นยิ้มหวานส่งสายตาปิ๊งๆ ใส่พี่เลย จะเจ็ดโมงแล้วเดี๋ยวก็ไปทำงานสายกันพอดี” พี่สาวจึงแกล้งทำเสียงเข้มกลบอาการที่เธอเป็นอยู่ แม้ว่าบางเรื่องราวจะผ่านมานานมากจนตัวคนที่ถูกกระทำจะลืมเรื่องราวนั้นไปแล้ว หากแต่คนที่เห็นกลับเป็นฝ่ายไม่ลืมเสียเอง

ธัญกาญจน์ยังจำได้ ‘วันนั้น’ วันที่เธอพาน้องสาวเพียงคนเดียวออกมาจากบ้านด้วยสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าปางตายเลยทีเดียว ภาพนั้นยังติดตาเธออยู่ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่ก็นับว่าพอจะเหลือความโชคดีอยู่บ้างจากความโชคร้ายที่โหมเข้าใส่ เพราะสิ่งที่เธอได้หลังจากเหตุการณ์นั้น...คือน้องสาวคนใหม่ที่สดใสร่าเริง

“ต้นจ๋า! ปลายไปก่อนนะคะ ปลายรักต้นจ๋าที่สุดในโลกเลย” ธัญพัชรพูดขึ้นพร้อมหอมแก้มทั้งสองข้างของพี่สาว พร้อมโบกมือลา

“จ้า! ขอให้วันนี้เป็นวันดีๆ อีกวันหนึ่งนะ” ธัญกาญจน์พูดเช่นนี้ทุกครั้งเมื่อน้องสาวออกจากบ้าน ร่างบางสมส่วนของธัญพัชรก้าวเดินออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว เมื่อก้มดูนาฬิกาข้อมือก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงแล้ว เมื่อคำนวณเวลาดูแล้วถ้าเดินทางด้วยรถเมล์ไปในตอนนี้ คงไม่ทันรายงานตัวกับฝ่ายบุคคลเป็นแน่ เธอจึงตัดสินใจโบกแท็กซี่ไปที่ทำงาน

“ไปบริษัทเจเอ็นกรุ๊ปค่ะ” ธัญพัชรเอ่ยชื่อบริษัทที่น้อยคนนักจะไม่รู้จัก บริษัทส่งออกอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ซึ่งเป็นบริษัทที่เธอฝึกงานเมื่อตอนที่ยังเรียนอยู่ปีสี่ และวันนี้ก็จะเป็นวันแรกที่เธอจะได้ก้าวเข้าไปในฐานะพนักงานไม่ใช่เด็กฝึกงานอีกต่อไป ทั้งนี้เป็นเพราะเมื่อสองเดือนก่อนหลังจากที่ธัญพัชรฝึกงานจบนั้น คุณภาวิณีเลขาของท่านประธานชวนเธอมาทำงานแทนคุณจินตนาผู้ช่วยของเธอที่ขอลาออกไป ด้วยความถูกใจในอุปนิสัยและการทำงาน ธัญพัชรจึงเป็นคนแรกในหมู่เพื่อนๆ ที่ได้งานทำก่อนใครทั้งที่ยังเรียนไม่จบดี

“โอ๊ย! ทันไหมเนี่ยเหลืออีกแค่สิบห้านาทีก็แปดโมงแล้ว” หญิงสาวดูนาฬิกาแล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง ขณะที่รถก็ค่อยๆ ชลอเตรียมเลี้ยวเข้าสู่อาคารสูงอันเป็นที่ตั้งของบริษัทเจเอ็นกรุ๊ป ก็มีกลุ่มคนกลุ่มใหญ่เดินข้ามถนนที่เป็นทางเข้าตึก ด้วยความที่มัวพะวงกับเวลาและเอกสารที่จะยื่นให้กับฝ่ายบุคคลจึงทำให้เธอไม่ได้สนใจคนกลุ่มนี้เท่าไหร่นัก จนคนที่เดินผ่านรถเธอเหลือเพียงไม่กี่คน เมื่อคนสุดท้ายที่จะข้ามถนนได้เดินพ้นรถของเธอเป็นจังหวะเดียวกับเธอก็เงยหน้าขึ้นมองดูสิ่งรอบข้าง เธอก็เห็นว่าคนที่รั้งท้ายคนกลุ่มนั้นเป็นคนที่เมื่อหลายปีก่อนเคยทำให้หัวใจเธอเต้นผิดจังหวะ จนทุกวันนี้เธอก็ยังไม่เข้าใจตัวเองทั้งที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน เจอกันไม่กี่ครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกันที่เธอเกิดอาการแบบนี้ เพียงแค่ได้เห็นหน้าหัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปกติสม่ำเสมอก็เต้นรัวราวกับจะหลุดออกมานอกร่างกายจนเธอต้องยกมือขึ้นกุมเอาไว้ที่หน้าอก ความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่สามารถระบายออกมาให้ใครฟังได้เลย เธอจึงทำได้แค่เพียงมองตามเขาไปจนลับตา

“น้ำตาล! ปลายมีเรื่องจะบอก” ธัญพัชรพบว่านวลตาเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่มัธยมต้นก็มาทำงานที่ในแผนกการตลาดด้วย เธอจึงนัดกินข้าวกลางวันกับนวลตาทันที

“เรื่องอะไรหรือปลาย ทำเสียงซะตื่นเต้นเชียว อย่าบอกนะว่าก่อเรื่องตั้งแต่ทำงานวันแรก” นวลตาถามด้วยความตื่นเต้น แต่ด้วยความที่คบกันมาเกือบสิบปีทำให้ธัญพัชรรู้ว่าเพื่อนเธอแกล้งทำ

“ไม่ต้องมาแกล้งทำเลยน้ำตาล จะฟังเรื่องของปลายหรือเปล่า”

“ฟังสิฟัง แหม! แค่นี้ทำเป็นงอน แล้วตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นล่ะ”

“วันนี้ตอนปลายมาทำงาน น้ำตาลรู้ไหมว่าปลายเจอใคร”

“ไม่รู้!”

“น้ำตาล!”

“โอเคๆ ตาลไม่ขัดปลายแล้ว แล้วปลายไปเจอใครมา”

“พี่สกาย”

“ห๊า! เจอพี่สกาย” นวลตาอุทานเสียงดังลั่นจนธัญพัชรต้องรีบจุ๊ปากให้อีกฝ่ายเบาเสียง เพราะเริ่มมีคนหันมามองโต๊ะของสองสาวแล้ว “แล้วเจอพี่สกายที่ไหน เมื่อไหร่ แล้วเจอกันได้อย่างไร” เพื่อนสาวคนสนิทจึงรีบลดเสียงลง แต่ก็ไม่วายรัวคำถามมาเป็นชุด

“ถามทีละคำถามได้ไหมน้ำตาล เล่นถามซะจนปลายไม่รู้จะตอบคำถามหนก่อนดีเลย”

“เอาเป็นว่า เจอพี่สกายเขาได้ยังไง”

“ก็...” เธอเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนสาวคนสนิทฟัง ซึ่งนวลตาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องราวความรักของเธอ

“โอ้โห! เหมือนเมื่อตอนนั้นเลยนะปลาย" นวลตาพูดพลางทำตาโตเท่าไข่ห่าน

“ตอนไหนเหรอน้ำตาล”

“ก็เหมือนตอนไปเรียนที่มหาลัยวันแรกไง จำไม่ได้เหรอ”

“ไปเรียนที่มหาลัยวันแรกงั้นเหรอ... อ๋อ! นึกออกแล้ว” ธัญพัชรขมวดคิ้วพลางนึกตามคำพูดของเพื่อนสนิท แล้วความทรงจำเมื่อไม่กี่ปีก่อนก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาราวกับว่าเรื่องนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง...

...เสียงกลองที่ยังคงดังทั่วมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วเป็นการบอกอย่างเป็นนัยๆ ว่าตอนนี้มีการรับน้องใหม่ของแต่ละคณะ สร้างความสนุกสนานและสายสัมพันธ์อันดีระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง

“ปลายๆ คณะเราเลี้ยวซ้ายแยกนี้เลยใช่ไหม” เสียงถามจากหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะหน้าด้านข้างคนขับดังขึ้น ขณะที่หญิงสาวอีกคนที่อยู่เบาะซึ่งกำลังเพลินอยู่กับการรับน้องแบบแปลกๆ ขำๆ ที่ปนความน่ารักของคณะศิลปกรรมศาสตร์ ส่วนคณะที่เธอและน้ำตาลกำลังจะไปและเป็นคณะที่เธอทั้งคู่เรียนอยู่นั่นก็คือคณะบริหาร ซึ่งทั้งเธอและน้ำตาลต่างผ่านช่วงเวลาของการรับน้องแบบนี้มาเมื่อปีที่แล้ว และคณะของเธอได้มีกิจกรรมรับน้องไปแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน วันนี้จึงเป็นวันเริ่มการเรียนการสอนวันแรกของคณะบริหาร

“อ๋อ! ยังไม่เลี้ยวจ๊ะน้ำตาล เราต้องเลี้ยวซ้ายตรงแยกข้างหน้า แยกนี้ไปคณะวิศวะฯต่างหากล่ะ” หญิงสาวละสายตาจากสิ่งที่ตัวเองกำลังสนใจมาตอบคำถามเพื่อนสนิท

“นี่! ยัยน้ำปลาเมื่อไหร่แกจะจำทางได้สักทีนะ มาเป็นสิบๆ รอบแล้วยังจำทางไปคณะตัวเองไม่ได้อีก ถ้าน้องปลายไม่มาด้วย ป่านนี้แกพาพี่หลงไปถึงไหนแล้ว น้องปลาย ไหนๆ น้องปลายก็ซวยเรียนด้วยกันกับยัยน้ำปลาแล้ว พี่ฝากน้องปลายดูแลยัยน้ำปลาแทนพี่ด้วยนะ ยัยนี้ชอบหลงทางเป็นประจำ” พันไมล์ปากก็บ่น มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นมาเขกหัวคนที่นั่งอยู่ข้างๆ โทษฐานบอกทางผิด

“โอ๊ย! เจ็บนะพี่ไมล์เขกมาได้ มือหรืออะไรเนี่ยหนักเป็นบ้าเลย แล้วก็เลิกบ่นสักทีได้ไหมอายุแค่ยี่สิบห้าบ่นเป็นคนแก่อายุสักห้าสิบเชียว” นวลตาว่าพลางเอามือคลำหัวป้อยๆ

“เงียบไปเลยยัยน้ำปลา ที่พี่เขกหัวแกเนี่ยเพื่อที่จะเอาขี้เลื่อยออกจากหัวแก หัดเอาออกซะบ้างนะขี้เลื่อยน่ะ หัวจะได้โล่งๆ เผื่อจะจำทางได้บ้าง” พันไมล์ว่าโดยที่สายตายังจับจ้องอยู่บนถนน

“น้ำตาลจะฟ้องแม่ ว่าพี่ไมล์แกล้งน้ำตาล”

“เชิญตามสบาย แม่เขาไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”

“งั้นน้ำตาลจะฟ้องพี่ต้น ว่าพี่ไมล์แกล้งน้ำตาลกับปลาย คราวนี้พี่ไมล์หมดข้ออ้างไปบ้านปลายแน่ๆ” เมื่อไม่รู้จะหาทางเอาชนะพี่ชายด้วยวิธีไหน นวลตาจึงยกชื่อธัญกาญจน์มาอ้างเพราะรู้ดีว่าพันไมล์พยายามจีบพี่สาวของธัญพัชรมานานแล้ว แต่ทางฝ่ายหญิงยังไม่มีท่าทีอะไร

“ยัยน้ำปลา ฝากไว้ก่อนเถอะ”

“เดี๋ยวเถอะ! เดี๋ยวจะฟ้องพี่ต้น”

“เชอะ!” สุดท้ายพันไมล์ก็ได้แต่ทำเสียงฮึดฮัดอยู่ในลำคอ ในขณะที่น้องสาวลอยหน้าลอยตาอย่างผู้ชนะในการปะทะคารมในครั้งนี้

“เอ๊ะ! ปลายคนนั้นคุ้นๆ นะเหมือนรุ่นพี่ที่โรงเรียนเราเลย นั่นพี่สกายนี่นา โอ้โห! ไม่ได้เจอกันตั้งสามปีหล่อขึ้นเป็นกองเลย ดูสิปลาย คนที่ตัวสูงๆ หล่อๆ ใส่เสื้อชอปเด่นๆ น่ะ” เสียงเรียกของนวลตาทำให้ธัญพัชรที่กำลังรวบรวมข้าวของไว้กับอกเตรียมตัวลงรถเพราะอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงที่หมายนั้นหันกลับไปมองตามที่ผู้เป็นเพื่อนชี้ให้ดู ก็พบชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวผมซอยไล่ระดับถึงต้นคอ ดวงตาคม คิ้วเข้มพาดเฉียง จมูกโด่งเป็นสันรับกับเรียวปากสวยทำให้ชายหนุ่มดูเด่นกว่าผู้ชายที่ยืนอยู่รอบๆ และเมื่อเห็นเสื้อชอปที่เขาสวมใส่อยู่นั้นแตกต่างจากคนรอบข้างจึงส่งผลให้ชายหนุ่มยิ่งดูโดดเด่นกว่าคนรอบข้างที่ใส่ชุดนักศึกษาธรรมดา แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกไม่คุ้นหน้าค่าตาผู้ชายคนนี้เลยนะ ทั้งๆ นวลตาเป็นคนบอกเองแท้ๆ ว่าเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียน

“พี่ไมล์จอดรถแปบ! น้ำตาลเจอคนรู้จัก พี่สกายค่ะ! พี่สกาย ใช่พี่สกายจริงๆ ด้วย” นวลตาเปิดกระจกเรียกผู้ชายคนนั้นด้วยท่าทางที่สนิทสนม

“อ้าว! น้องน้ำตาลนี่เอง พี่ก็นึกว่าใคร เรียนที่นี่เหมือนกันหรือครับ สวัสดีครับพี่ไมล์” กายนภัสนิ์ทักทายทันที เมื่อพบว่าคนที่เรียกตนเองคือ รุ่นน้องร่วมโรงเรียน และก้มหัวให้พันไมล์ที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถเป็นเชิงทักทาย ซึ่งพันไมล์ก็พยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงทักทาย

“น้ำตาลกับปลายเรียนคณะบริหารค่ะ พี่สกายจำปลายได้ไหมค่ะที่เป็นคนถือป้ายโรงเรียนตอนที่แข่งกีฬาสีเมื่อตอนนั้นไงคะ” ทันทีที่กายนภัสนิ์และธัญพัชรได้สบตากัน เธอรู้สึกราวกับว่าทุกสิ่งรอบตัวหยุดนิ่งอยู่กับที่ มีเพียงดวงตาสีควันบุหรี่เท่านั้นที่เต้นเป็นประกายเต็มไปด้วยความหมายที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ตอนนี้เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอที่เคยเต้นเป็นปกติมาตลอด กลับเต้นราวกับมารถไฟสักสิบขบวนมาวิ่งอยู่ในร่างกายเธออย่างนั้น ทั้งที่ตัวเธอเองก็ไม่เคยเจอหรือรู้จักผู้ชายคนนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ

“ปลายจำพี่สกายได้ไหม ตอนกีฬาสีที่ปลายถือป้ายโรงเรียนแล้วพี่สกายถือธงโรงเรียนคู่กันไง” นวลตาหันมาพูดกับเพื่อนสนิท ซึ่งประโยคที่หลุดออกมาจากปากของธัญพัชรนั้นสร้างความงุนงงให้กับทุกคนที่ได้ยิน

“น้ำตาล! ปลายเคยถือป้ายโรงเรียนด้วยเหรอ ทำไมปลายจำอะไรไม่ได้เลย”

“เอ่อ...น้องปลายจำพี่ไม่ได้จริงๆ เหรอครับ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นถือจะดูเรียบๆ แต่คนฟังกลับรับรู้ถึงเศษเสี้ยวของความผิดหวังที่เจือปนมาในประโยค ทำให้คนฟังถึงกับขมวดคิ้วด้วยอาการปวดแปลบที่เกิดขึ้นมาเมื่อได้ยินน้ำเสียงนุ่มทุ้มของเขาราวกับเธอเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน

“ขอโทษจริงๆ ค่ะพี่สกาย แต่ปลายนึกไม่ออกเลยว่าปลายเคยเจอพี่สกายมาก่อน” เธอพยายามข่มความรู้สึกปวดนั้นเอาไว้ แล้วตอบคำถามของกายนภัสนิ์ด้วยสีหน้าที่เริ่มขาวซีดจนผู้เป็นเพื่อนสังเกตได้

“เอ่อ...พี่สกายคะ เดี๋ยวน้ำตาลกับปลายขอตัวไปเรียนก่อนนะคะ ไว้โอกาสหน้าค่อยเจอกันใหม่นะคะ สวัสดีค่ะพี่สกาย” นวลตาพูดจบแล้วยกมือไหว้ กายนภัสนิ์รับไหว้อย่างงงๆ รถก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป ถึงแม้ว่าเขาจะผิดหวังที่ธัญพัชรจำเขาไม่ได้แต่ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นหลังจากรถคันนั้นเคลื่อนออกไปกลับทำให้เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หญิงสาวที่อยู่หลังรถเอามือทั้งสองข้างกุมหัวเอาไว้ เธอเป็นอะไร...

“ปลายเป็นอะไร ไหวหรือเปล่า ปวดหัวมากไหม ไปโรงพยาบาลไหม” นวลตาถามขึ้นด้วยความร้อนรน เมื่อเห็นเพื่อนเอามือกุมหัวด้วยท่าทางเจ็บปวด

“มะ...ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะน้ำตาล ไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอกนะ ปลายแค่ปวดหัวนิดหน่อย แค่กินยาเดี๋ยวก็หายแล้ว” ธัญพัชรตอบด้วยสีหน้าที่เริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้างหลังหยิบยาในกระเป๋าขึ้นมากิน ทำให้อาการปวดแปลบค่อยๆ หายไป

“แน่ใจหรือครับน้องปลาย พี่ว่าไปโรงพยาบาลเช็คดูดีกว่านะ” พันไมล์เอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะพี่ไมล์ ปลายเป็นแค่ตอนนึกอะไรไม่ออกเท่านั้น กินยาแปบเดียวก็หายแล้วค่ะ” คำตอบของธัญพัชรทำเอาสองพี่น้องมองหน้ากันด้วยความสงสารหญิงสาว

“นี่ปลาย! แล้วตอนนี้ปลายยังปวดหัวอยู่อีกไหม” เสียงที่บ่งบอกความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดปังของนวลตาดังขึ้นหลังจากเรียนวิชาสุดท้ายเสร็จสิ้นลง

“ตอนนี้ก็ไม่ค่อยปวดหัวแล้วนะน้ำตาล ถ้าไม่พยายามนึกอะไรมากๆ” ธัญพัชรยิ้มรับอย่างแกนๆ

“แล้วตกลงปลายก็ยังจำไม่ได้ใช่ไหมว่าพี่สกายเขาเคยเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเรา”

“อืม คงงั้นล่ะมั้ง เพราะปลายนึกยังไงก็นึกไม่ออก ปลายกับพี่สกายเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า บางครั้งพยายามคิดมากๆ ก็ปวดหัวเปล่าๆ ก็เลยเลิกคิด ถ้าสมมติว่าเคยเจอกันจริงๆ แต่ตอนนี้ปลายจำพี่เขาไม่ได้ก็คิดซะว่าทำความรู้จักกันใหม่ก็แล้วกัน”

“ปลาย...” นวลตาเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เพราะเธอสงสารชีวิตของเพื่อนสนิทคนนี้เหลือเกิน สงสารทั้งเพื่อนสนิท และพี่สกาย

“นั่น! พี่ไมล์มาแล้ว เราไปกันเถอะ ปลายอยากกลับบ้านไปหาต้นจ๋าจะแย่แล้ว” หญิงสาวรับรู้ถึงเสียงอันสั่นเครือนั่น เธอจึงพยายามทำตัวให้ร่าเริงเข้าไว้เพื่อให้คนที่อยู่รอบๆ ตัวเธอสบายใจ ทั้งสองคนก้าวขึ้นรถไปโดยมีสายตาคู่หนึ่งมองตามไปจนรถคันนั้นหายไปจากครรลองสายตา...

“ปลาย... ปลาย... ยัยปลายข้าว!” เสียงเรียกของนวลตาช่วงดึงให้เพื่อนสนิทที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ ให้กลับสู่ปัจจุบัน

“จะ...จ๋า! น้ำตาล มีอะไรหรือเปล่าเรียกปลายซะเสียงดังเชียว” ธัญพัชรยิ้มรับแห้งๆ

“ก็ปลายน่ะสิ นั่งเงียบอยู่ตั้งนาน อาหารที่สั่งมาเย็นหมดแล้วมั้ง แล้วตอนนี้ก็ใกล้จะบ่ายโมงแล้วด้วย ถ้าปลายยังไม่รีบกินนะ มีหวังไม่เข้าทำงานตอนบ่ายไม่ทันแน่” นวลตาว่าพลางยกน้ำขึ้นจิบ ส่วนหญิงสาวอีกคนก็รีบกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าทันที



รถยนต์คันหรูขับมาจอดตรงบริเวณเทอเรซของคฤหาสน์หลังงามที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางที่ดินกว่าสิบไร่ ชายร่างสูงที่ดูจากลักษณะท่าทางไม่น่าเชื่อว่าอายุเลยเลขห้ามาแล้วหลายปี ก้าวออกมาจากรถหลังจากเด็กในบ้านมาเปิดประตูรถให้แล้วรับกระเป๋าเอกสารที่เขาถืออยู่

“โชค เจ้าสกายกลับมาหรือยัง” คุณจักรินทร์หันมาถามเด็กหนุ่มที่มารับกระเป๋าเอกสาร

“กลับมาแล้วครับ ตอนนี้คุณสกายอยู่ในสวนดอกไม้ครับคุณท่าน” นายโชคตอบ ทำให้คุณจักรินทร์ถึงกับขมวดคิ้วทันที เพราะร้อยวันพันปีเจ้าลูกชายตัวดีของเขาไม่แทบจะเคยไปที่สวนเลย นอกจากมีเรื่องอะไรไม่สบายใจมากๆ

“งั้นโชคเอาของไปไว้ที่ห้องทำงานของฉันก่อนแล้วกัน เสร็จแล้วจะไปทำอะไรก็ไป” คุณจักรินทร์หันมาสั่งนายโชค ส่วนตัวเองก็เดินเข้าไปในสวนที่อยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกของบ้าน สวนที่ว่าเป็นสวนที่เขาและคุณยุพเรศผู้เป็นภรรยาช่วยกันปลูก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นดอกไม้สารพัดชนิดมากกว่าเพราะคุณยุพเรศมักจะเป็นคนซื้อมา ส่วนตัวเขาก็จะเป็นคนอาสาเอาต้นไม้ลงดินเองแล้วให้คุณยุพเรศนั่งเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ มากกว่า เมื่อเขาเดินเข้าไปถึงก็เห็นร่างสูงของลูกชายกำลังคุยโทรศัพท์อย่างเคร่งเครียด

“...กันไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพวกนายคนไหนหรอก... จริงสิวะ... กันแค่จะไปเรียนต่อ... ไม่มีอะไรหรอก...เอาน่า! บริษัทขาดกันไปคนหนึ่งมันคงไม่ถึงขนาดเจ๊งหรอกน่า... อืม...ขอบใจมากนะที่เข้าใจ... ฝากขอโทษคนอื่นๆ ด้วยนะ... ไม่ต้องคืนหรอกถือซะว่ากันช่วยพวกนายลงขันไปก็แล้วกัน... อืม... งั้นแค่นี้ก่อนนะ...บาย” กายนภัสนิ์วางสายโทรศัพท์แล้วสูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอดและค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ พยายามระงับความไม่สบายใจ เมื่อทำได้แล้วจึงค่อยๆ หันกลับมาก็พบว่าคุณจักรินทร์ยืนอยู่ด้านหลังซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก

“อ้าว! คุณพ่อ ทำไมมายืนเงียบๆ ตรงนี้ล่ะครับ” กายนภัสนิ์พยายามระงับความสั่นของน้ำเสียงเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของผู้เป็นพ่อจนได้

“พ่อเพิ่งเดินมาน่ะ แล้วเราล่ะ มาที่นี่มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า บอกพ่อได้นะ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับพ่อ ผมแค่มายืนดูเฉยๆ” กายนภัสนิ์เสหันไปมองสวนดอกไม้แทนที่จะสบตากับผู้เป็นพ่อ

“ธัญพัชรเข้ามาทำงานในบริษัทแล้วนะ” กายนภัสนิ์หับควับไปมองผู้เป็นบิดาทันทีเมื่อคำพูดลอยๆ ของคุณจักรินทร์ผ่านเข้าหู

“ตอนนี้คุณภากำลังเทรนงานให้อยู่ อีกไม่กี่เดือนก็คงผ่านโปรฯ”

“ทะ...ทำไมพ่อถึงรับปลาย...” กายนภัสนิ์ถามยังไม่ทันจบประโยคดี คุณจักรินทร์ก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“แล้วทำเรื่องเรียนต่อถึงไหนแล้วล่ะ ติดต่อมหาวิทยาลัยไหนบ้างหรือยัง”

“เรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้วครับพ่อ ตอนนี้พ่อกับแม่ก็แค่เตรียมตัวตัดชุดไปงานรับปริญญาของผมเอาไว้ก็แล้วกัน ผมจะคว้าเกียรตินิยมมาให้ได้เลยคอยดู”สายตาของผู้เป็นลูกชายเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ที่ทำให้คนเป็นพ่ออดดีใจอยู่ลึกๆ ไม่ได้ นับว่าสิ่งแลกเปลี่ยนระหว่างสัญญาที่เคยให้เอาไว้นั้นมันไม่เลวเลย

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*



ปอรินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 เม.ย. 2554, 17:03:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 เม.ย. 2554, 17:08:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 2162





   ตอนที่ 2 >>
พายุ 29 ก.พ. 2555, 17:08:09 น.
มาเป็นกำลังใจครับ ^^


ZandClock 13 มี.ค. 2555, 16:27:37 น.
สวัสดีเจ้สุดสวย
ก็เริ่มอ่านแรกๆ นึกว่าต้นจ๋าเป็นแฟนหรือพี่ชายของปลายข้าว แง้! T^T
แล้วก็น้ำตาลกับนวลตา เจ้ใช้แทนทั้ง 2 อย่างเลยอ่าา แอบงงบางช่วง ลองอ่านดูนะ
เรื่องน่าสนใจ อ่านได้ไม่เบื่อนะ
คือปลายข้าวต้องมีอะไรบางอย่างที่จำสกายไม่ได้แน่ๆ
ยังไงก็จะช่วยลุ้นนะเจ้ ม๊วฟฟฟ <3


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account