ต้องชะตารัก By ณพรชล
ความรักของมนุษย์เราจะมั่นคงสักแค่ไหนกันนะ

หากว่าคนที่เรารักที่สุดกลับจำเรื่องราวระหว่างกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เราควรจะทำอย่างไรดี

ทำทุกวิถีทางให้เธอจำได้

ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป

หรือ สร้างความทรงจำใหม่ให้กับเธอ

ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกอะไร

"ผมไม่รู้ว่าสำหรับพี่ต้นแล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่าดี หรือ แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากพอ แต่ในความรู้สึกของผมปลายข้าวไม่ใช่แค่ความหลง ไม่ใช่แค่ความผูกพันธ์ หรือแม้แต่ความสงสารใดๆ แต่ปลายข้าวคือความรัก ชีวิต และจิตใจของผม เพียงครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ ผมรู้ในทันทีว่าเธอคือ ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าผมยังเด็กเกินไป แต่ตอนนี้ผมก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมว่าปลายข้าวยังเป็น ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม คือคนที่ผมอยากมีอนาคตร่วมกับเธอและไม่มีใครสามารถแทนที่เธอได้ ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ปลายข้าวอยู่ใกล้ๆ เคียงข้างผมได้โดยไม่ให้เธอเสียหายหรือมีใครมาครหา"
Tags: พี่สกาย ปลายข้าว

ตอน: ตอนที่ 2

ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ
ด้วยรักและจุ๊บๆ ^^
ปอรินทร์

2.

บทเพลงแสนหวานดังก้องไปทั่วทั้งโบสถ์สื่อถึงบรรยากาศอันอบอวลไปด้วยความรัก เมื่อขบวนเจ้าสาวนำโดยเด็กหญิงในชุดนางฟ้าทำหน้าที่โปรยดอกไม้ และเด็กชายตัวน้อยในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่มีพานแหวนแต่งงานอยู่ในมือ ตามมาด้วยหญิงสาวในชุดเดรสสีชมพูหวานถือช่อดอกไม้ ปิดท้ายด้วยเจ้าสาวในชุดเกาะอกสีขาวบริสุทธิ์ควงแขนชายสูงวัยเดินเข้ามาภายในโบสถ์ โดยเจ้าบ่าวยืนรออยู่ที่หน้าแท่นพิธี เสียงเพลงที่บรรเลงมาตลอดค่อยๆ เงียบลง เมื่อเจ้าสาวเดินมาถึงแท่นทำพิธี

“ใครเป็นผู้ส่งตัวเจ้าสาวธัญกาญจน์ให้กับเจ้าบ่าวพันไมล์ในครั้งนี้” บาทหลวงเอ่ยขึ้นอย่างปราณี

“ข้าพเจ้านายกรวิทย์ วรพงษ์พานิช ตาของนางสาวธัญกาญจน์ อารยะนิมิตศักดิ์ เป็นผู้มอบ” กล่าวจบชายสูงวัยก็ถอยออกมาเพื่อให้เจ้าบ่าวไปยืนคู่กับเจ้าสาวแทน บาทหลวงอ่านคัมภีร์คู่ชีวิตซึ่งเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งในการแต่งงานแบบศาสนาคริสต์ ในการรับทราบถึงภาระหน้าที่ในการดำเนินชีวิตคู่ สายตาของเจ้าบ่าวคอยแต่จะเหลือบแลเจ้าสาวคนสวยที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยแววตาหวานฉ่ำเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีอยู่ล้นใจ ส่วนใบหน้าของเจ้าสาวก็แดงซ่านอยู่ใต้ผ้าคลุมสีขาวบริสุทธิ์สีเดียวกันกับชุดเจ้าสาว จนกระทั่ง...

“นางสาวธัญกาญจน์ ท่านยินดีจะรับนายพันไมล์เป็นสามี ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน สุขหรือทุกข์ เจ็บป่วยหรือสุขสบาย จะสัตย์ซื่อต่อเขาผู้เป็นสามีตลอดไป จนกว่าความตายจะมาแยกออกจากกันหรือไม่” บาทหลวงผู้ทำพิธีถามเจ้าสาว ธัญกาญจน์หันไปมองผู้เป็นเจ้าบ่าวด้วยสายตาแบบเดียวกับที่เขามองมา แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคงที่สุดในชีวิต

“ข้าพเจ้านางสาวธัญกาญจน์ อารยะนิมิตศักดิ์ ขอสัญญากับพระองค์ว่า จะขอรับนายพันไมล์ เลิศลิขิตรา เป็นสามีของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน สุขหรือทุกข์ เจ็บป่วยหรือสุขสบาย จะขอสัตย์ซื่อต่อเขาผู้เป็นสามีตลอดไป จนกว่าความตายจะมาแยกเราออกจากกัน”

“นายพันไมล์ ท่านยินดีจะรับนางสาวธัญกาญจน์เป็นภรรยา ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน สุขหรือทุกข์ เจ็บป่วยหรือสุขสบาย จะสัตย์ซื่อต่อเขาผู้เป็นภรรยาตลอดไป จนกว่าความตายจะมาแยกออกจากกันหรือไม่” คราวนี้บาทหลวงหันมาถามเจ้าบ่าวที่ไม่ได้ละสายตาไปจากเจ้าสาวเลยแม้แต่น้อย

“ข้าพเจ้านายพันไมล์ เลิศลิขิตรา ขอสัญญากับพระองค์ว่า จะขอรับนางสาวธัญกาญจน์ อารยะนิมิตศักดิ์ เป็นภรรยาของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน สุขหรือทุกข์ เจ็บป่วยหรือสุขสบาย จะขอสัตย์ซื่อต่อเธอผู้เป็นภรรยาตลอดไป จนกว่าความตายจะมาแยกเราออกจากกัน” พันไมล์ตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคงดุจเดียวกัน จากนั้นทั้งคู่ก็แลกแหวงแต่งงาน

“พ่อขอประกาศต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าและสักขีพยานทุกคนที่อยู่ในที่นี้ว่า บัดนี้ทั้งสองได้เป็นสามีภรรยากันโดยถูกต้องแล้ว เชิญเจ้าบ่าวจูบเจ้าสาวได้” สิ้นเสียงบาทหลวง พันไมล์ก็ค่อยเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกอย่างบรรจง เผยให้เห็นดวงหน้ารูปไข่ที่ได้รับการตกแต่งมาอย่างดีของเจ้าสาว พวกแก้มที่เปล่งปลั่งทำให้พันไมล์อดใจไม่ไหวค่อยๆ ใช้มือประคอยใบหน้าหวานของธัญกาญจน์ที่ตอนนี้เอียงอายจนเอาแต่ก้มหน้ามองช่อดอกไม้ที่อยู่ใน มือให้สบตาคนตรงหน้าจากนั้นจึงค่อยๆ ก้มลงมาสัมผัสความหวานของริมฝีปากปากอิ่มดัวยริมฝีปากบางของตนเอง จากสัมผัสที่แผ่วเบาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความหวานล้ำจนยากที่จะถอนออก แต่เมื่อได้ยินเสียงแซวจะบรรดาแขกผู้ร่วมงานพันไมล์จะถอนริมฝีปากออกมาอย่างเสียดาย

“หัวใจของผมเป็นของต้นข้าวคนเดียวเท่านั้น แต่คืนนี้ต้นข้าวหนีผมไม่พ้นแน่...ที่รัก” พันไมล์กระซิบที่ข้างหูเจ้าสาวแล้วหอมแก้มอีกหนึ่งทีจึงผละออกไป ทำให้ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงหนักเข้าไปใหญ่

เมื่อพิธีเสร็จสิ้นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็เดินออกมาจากโบสถ์ โดยมีแขกผู้ร่วมงานช่วยกันโปรยกลีบดอกกุหลาบ เพื่อสื่อว่าการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของคนสองคนที่มีหัวใจดวงเดียวกันนั้นเต็มไปด้วยกลีบกุหลาบ และเมื่อถึงด้านหน้าของโบสถ์สิ่งที่บรรดาแขกผู้ร่วมงานสาวๆ ที่โสดต่างรอคอยนั้นคือ...การโยนช่อดอกไม้ของเจ้าสาว

“น้องปลายไม่ไปรอรับช่อดอกจากเจ้าสาวบ้างหรือลูก หนูน้ำตาลยังไปรอรับเลย เผื่อจะได้กับเขามั่ง” คุณกรวิทย์หันมาถามหลานสาวคนเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความเอ็นดู

“นั่นสิ เรียนจบมาก็หลายปีแล้วนะ น่าจะมีคนคอยดูแลได้แล้ว” คุณอพัชชากล่าวเสริมผู้เป็นสามี

“ไม่ดีกว่าค่ะคุณตา คุณยาย น้องปลายอยากอยู่กับคุณตาคุณยายนานๆ มากกว่า” คำตอบของธัญพัชร ทำให้ผู้เป็นตายายอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่พวกเขามีความสุขที่สุดเมื่อเห็นหลานสาวคนโตจอมดื้ออย่างธัญกาญจน์มีคนมาปราบจนแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว ทีนี้ก็เหลือเพียงคนที่อยู่ข้างๆ นี่แหละที่พวกเขาทั้งรักทั้งสงสารและเป็นห่วงอยู่

“จริงหรือ ไม่ใช่ว่าจะมาหลอกให้คนแก่หลงดีใจนะ”

“จริงสิคะ น้องปลายจะ...ตุ๊บ!” ขณะที่ธัญพัชรพูดนั้นจู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างตกลงมาในอ้อมแขนของเธอ เมื่อก้มมองก็พบว่ามันคือ...ช่อดอกกุหลาบสีขาว

“ยายว่าท่าทางน้องปลายคงจะหลอกให้คนแก่ดีใจจริงๆ แหละตา” คุณอพัชชาหันไปแกล้งพูดกับสามี ส่งผลให้แก้มแดงๆ ของธัญพัชรเพิ่งความแดงเข้าไปใหญ่

“คุณยายก็...” ธัญพัชรพูดแก้เขิน แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นชายวัยกลางคนยืนหลบมุมอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากที่เธอและคุณตาคุณยายยืนอยู่

เธอเห็นเขามองไปยังคู่บ่าวสาวที่กำลังขึ้นรถมินิสีขาวเปิดประทุนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความความดีใจและยินดีอย่างเต็มเปี่ยม แต่เมื่อเขารู้ตัวว่าเธอมองเขาอยู่แววตาของเขาก็เปลี่ยนไป ความสงสารและรู้สึกผิดกลับเข้ามาแทนที่ในแววตาคู่นั้นซึ่งเธอไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมองเธอแบบนั้น เธอรู้สึกคุ้นหน้าชายคนนี้มากแต่เมื่อเธอพยายามนึกเท่าไหร่ก็รู้สึกราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวเธอมันปวดจนแทบจะระเบิดออกมาให้ได้ รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าเริ่มหายไป ใบหน้าที่เคยแดงเพราะความเขินอายที่ถูกผู้ใหญ่ล้อเลียนกลับเปลี่ยนเป็นขาวซีดราวกระดาษ มือไม้เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนในที่สุด...

“ตุ๊บ!...” ช่อดอกไม้ในมือร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น ก่อนที่ร่างบางระหงจะทรุดลงไปมือบอบบางทั้งสองข้างยกขึ้นกุมหัวไว้อย่างทรมาน

“น้องปลาย! หนูเป็นอะไรลูก ตาๆ มาดูหลานหน่อยเร็ว น้องปลาย! น้องปลาย!” คุณอพัชชาหันมาเห็นตอนที่หลานสาวคนเล็กกำลังทรุดลงไปจึงรีบประคองเอาไว้พลางขอความช่วยเหลือจากคู่ชีวิตที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างร้อนรน

“ทศ รีบพาคุณหนูไปโรงพยาบาลเร็ว ยายไปกับหนูปลายด้วยนะเดี๋ยวตาตามไป” คุณกรวิทย์หันสั่งความกับทศพล ส่วนคุณอพัชชาเพราะมั่วแต่ห่วงอาการของหลานสาวไม่ได้ติดใจสงสัยในท่าทางคำพูดของสามีรีบให้ทศพลอุ้มธัญพัชรขึ้นรถแล้วตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลทันที

“จะมาทำไม คิดว่าตระกูลฉันยังต้อนรับคนอย่างแกอีกหรือ แล้วก็...ออกมาได้แล้ว ไม่ต้องยืนหลบอยู่อย่างนั้น มองแล้วมันน่าสมเพช” เมื่อเห็นว่ารถที่พาหลานสาวไปโรงพยาบาลลับตาไปแล้ว คุณกรวิทย์จึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบทั้งที่มองไม่เห็นใครเลย แต่คนที่ยืนหลบอยู่หลังต้นไม้กลับรู้สึกว่ามันช่างเป็นคำพูดที่กรีดแทงใจยิ่งนัก คนที่ยืนอยู่หลังต้นไม้จึงก้าวออกมาจากหลังต้นไม้

“สวัสดีครับคุณพ่อ...” ธัชพลยกมือไหว้อดีตพ่อตา

“ฉันไม่ใช่พ่อแก ฉันมีลูกสาวคนเดียวคือพิมพ์ภัทรา แล้วลูกสาวฉันก็ตายไปหลายปีแล้ว” แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือคำพูดที่เสียดแทงใจ

“แกมาทำไม” คำถามสั้นๆ ง่ายๆ สำหรับคนถาม แต่กลับทำให้คนที่จะต้องตอบคำถามนั่นนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ด้วยไม่คิดว่าจะเจอคำถามนี้ เพราะคุณกรวิทย์มีแต่จะไล่เขาไปทันทีที่เจอ สิ่งที่เขาเคยทำผิดพลาดในอดีตเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ความผิดที่ก่อเอาไว้ก็ไม่เคยเลือนหายไปจากใจของทุกคน แต่คงยกเว้นเพียงคนเดียว

“ผมอยากเจอน้องปลายกับน้องต้นครับ... สองคนนั้นสบายดีไหมครับ” ธัชพลเอ่ยถามถามลูกสาวหลังจากเงียบไปนาน

“ยัยต้นเขาสบายดีตอนนี้มีคนมาคอยดูแลแทนพ่อชั่วๆ อย่าแกแล้ว แล้วน้องปลายเขาก็สบายดีมาตลอด จนกระทั่งมาเจอแกในวันนี้ แกเห็นแล้วใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่นี้... อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ว่าแกมางานนี้ด้วยแต่ที่ฉันไม่ให้คนของฉันลากแกออกไปกลางงานเพราะยัยต้นกับพ่อไมล์เขาขอฉันไว้” คุณกรวิทย์ตอบกลับอย่างไร้เยื่อใย ยิ่งทำให้ธัชพลหน้าเสียยิ่งขึ้น

“ผม... ผมขอโทษครับคุณพ่อ” ธัชพลก้มลงกราบแทบเท้าคุณกรวิทย์ “ผมมันเลวจนเกินคำบรรยาย แต่ตอนนี้ผมสำนึกผิดแล้ว คุณพ่อจะไม่ให้โอกาสผมแก้ตัวเลยหรือครับ”

“โอกาสงั้นหรือ แกจะเอาไปทำไม ในเมื่อทุกวันนี้หลานทั้งสองคนของฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว หลังจากที่เหมือนตกอยู่ในนรกมานาน โดยเฉพาะน้องปลาย เธออยู่อย่างนี้ก็มีความสุขดีอยู่แล้วแกจะมาขอโอกาสเพื่อที่จะมาทำให้น้องปลายทรมานอีกทำไม” ถ้อยคำของคุณกรวิทย์ยิ่งเอ่ยออกมายิ่งทำให้คนฟังเจ็บจนพูดไม่ออก “แกกลับไปซะ แล้วอย่ามาให้ฉันกับทุกคนเห็นหน้าอีก นี้คือโอกาสสุดท้ายที่ฉันจะให้” คุณกรวิทย์พูดจบแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ธัชพลนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นแต่เพียงลำพัง



“ป่านนี้ทำไมน้องปลายยังไม่ฟื้นอีกนะ นี่มันตั้งนานแล้วนะ ไหนหมอบอกว่าอีกไม่นานก็ฟื้นไง” คุณอพัชชาเอ่ยด้วยความร้อนใจเมื่อเห็นว่าหลานสาวคนเล็กยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาตามที่หมอบอกไว้

“ยายก็... ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้ นี่เพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมงเองนะ น้องปลายเขาคงเหนื่อยที่ต้องวิ่งวุ่นเตรียมงานแต่งให้พี่สาวน่ะ ปล่อยให้หลานนอนพักเถอะยาย เดี๋ยวเราต้องไปส่งตัวยัยต้นอีก” คุณกรวิทย์ปลอบคู่ชีวิตให้คลายความวิตก

“ตาไปส่งตัวน้องต้นแทนยายหน่อยไม่ได้หรือ ยายจะเฝ้าน้องปลาย” คุณอพัชชาเอ่ยขอสามี

“เอาน่ายาย เดี๋ยวตาจ้างพยาบาลพิเศษเฝ้าให้ก็ได้ อย่าลืมสิวันนี้วันสำคัญของหนูต้นนะ” คุณกรวิทย์บอกผู้เป็นภรรยา

“แต่ยายเป็นห่วงน้องปลายนะ ถ้าเกิดน้องปลายตื่นขึ้นมาเจอใครก็ไม่รู้ ยายกลัวน้องปลายตกใจ” คุณอพัชชาบอกด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“งั้นเดี๋ยวน้ำตาลเฝ้าให้เองค่ะ คุณตาคุณยาย” นวลตาเดินเข้ามาพร้อมกับข้าวของจำเป็นสำหรับอยู่เฝ้าไข้คนป่วยเต็มมือ

“ถ้าหนูน้ำตาลมาเฝ้าน้องปลายอย่างนี้ พ่อไมล์ไม่ว่าไม่ว่าเอาหรือไงลูก งานแต่งพี่ชายทั้งที” คุณอพัชชาถามอย่างเป็นห่วง

“โอ๊ย! รายนั้นแหละค่ะที่ไล่ให้น้ำตาลมาเฝ้าปลาย แต่ถึงพี่ไมล์ไม่ไล่น้ำตาลก็ตั้งใจว่าจะมาเฝ้าปลายอยู่แล้ว เพราะถึงจะขาดน้ำตาลไปสักคนงานไม่กร่อยอยู่แล้วค่ะ ยังมีพี่ๆ ของน้ำตาลอีกตั้งหลายคนที่ไปงานแต่งพี่ไมล์ คุณตาคุณยายไปงานเถอะค่ะ ไปเป็นกำลังใจให้พี่ต้นดีกว่า เดี๋ยวทางนี้น้ำตาลเฝ้าไว้ให้ค่ะ” นวลตารับอาสาอย่างแข็งขัน จนคุณอพัชชาใจอ่อน

“ก็ได้จ๊ะ งั้นยายไปก่อนนะลูก มีอะไรก็โทรหายายนะลูก”

“ตาไปก่อนนะลูก มีอะไรก็โทรมาหาตานะ” คุณกรวิทย์บอกก่อนที่จะประคองคุณอพัชชาเดินออกจากห้องไป

“ยัยปลายข้าว แกจะรู้บ้างไหมว่าทุกคนเขารักแล้วก็ทะนุถนอมแกมากขนาดไหน” นวลตาบ่นพึมพำกับคนที่หลับอยู่แล้วจึงจัดข้าวของที่เตรียมมาให้เรียบร้อย

แสงแดดที่เคยสดใสเมื่อตอนเช้ากลับถูกบัดบังด้วยกลุ่มเมฆทะมึน ลมเริ่มกรรโชกแรงขึ้นทำให้ร่างบางที่กำลังเดินอยู่บนทางเท้าเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นเพราะระยะทางที่จะไปหอสมุดของมหาวิทยาลัยยังอีกไกล แต่เมื่อเม็ดฝนที่เริ่มร่วงหล่นหนาเม็ดขึ้น ทำให้ธัญพัชรเปลี่ยนที่หมายจากหอสมุดเป็นตึกเรียนที่ใกล้ที่สุดแทน กระเป๋าผ้าที่เธอซื้อมาให้เพื่อหวังลดภาวะโลกร้อนกลับไม่ได้ช่วยให้เธอเปียกน้อยลงเลย เธอวิ่งเข้ามาหลบฝนในสภาพไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำ ผมเปียกลู่ เสื้อนักศึกษาสีขาวก็เปียกแนบตัวจนเห็นอะไรไปถึงไหนๆ เธอยกกระเป๋าผ้าขึ้นมากอดไว้กับอกราวกับว่ามันเป็นของสำคัญ เมื่อสำนึกได้ว่าตึกที่เธอวิ่งมาหลบฝนนั้นคือตึกเรียนของคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่แทบจะไม่มีผู้หญิงจากคณะอื่นหรือแม้แต่คณะวิศวกรรมศาสตร์ด้วยกันเองกล้าผ่านตึกนี้ถ้าไม่มีกิจธุระจริงๆ เพราะตึกนี้อยู่ติดกับทางสามแยก ซึ่งนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยต่างขนานนามว่า ‘สามแยกปากหมา’

“เฮ้ย! วันนี้มีนางฟ้าตกน้ำมาถึงตึกเลยว่ะมึง”

“โอ้โห! เปียกไปหมดทั้งตัวเลย น่าสงสารจัง ไปช่วยเขาหน่อยไหม”

“ไอ้เวร! หน้าหม้อเชียวนะมึง เห็นสวยๆ หน่อยไม่ได้”

“ฮ่าๆ” กลุ่มผู้ชายในชุดนักศึกษาผูกเนคไทด์ปักคำว่า ‘Engineering’ บ่งบอกว่าเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่อยู่ใกล้ๆ พูดคุยกันอย่างสนุกปาก ธัญพัชรได้ยินแล้วทั้งโกรธทั้งอายจนอยากจะร้องไห้ออกมาเสียเหลือเกินแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากสภาพไม่อำนวยอีกทั้งลักษณะท่างทางของคนกลุ่มนี้ก็ดูน่ากลัวจะตาย เธอมัวแต่ก้มหน้าก้มตากอดกระเป๋าภาวนาให้ฝนหยุดตกโดยเร็วจะได้ไปจากที่นี่เสียที อยู่ไปก็มีแต่จะเสียหายจากคำพูดของคนพวกนั้น โดยไม่ทันสังเกตว่าเสียงพูดคุยที่ดูเหมือนกำลังแซวเธออยู่นั้นได้เงียบลง

“น้องปลาย! มาทำอะไรที่นี่หรือครับ” เสียงๆ หนึ่งดึงเธอให้หลุดออกจากภวังค์ เมื่อเธอหันไปมองก็พบว่าคนๆ นั้นคือกายนภัสนิ์นั่นเอง วันนี้เขาไม่ได้มาแค่คนเดียวเหมือนวันก่อน ข้างหลังเขามีผู้ชายและผู้หญิงเดินตามมาด้วยอีกสามสี่คน

“เอ่อ...คือ...ปะ...ปลาย...มะ...มา...หลบฝนค่ะ” ธัญพัชรตอบอย่างตะกุกตะกักพลางกอดกระเป๋าให้แน่นขึ้น เมื่อมีลมพัดมาวูบใหญ่ เล่นเอาร่างบางที่เปียกปอนอยู่นั้นถึงกับสั่นสะท้านเลยทีเดียว กายนภัสนิ์เห็นร่างบางยืนสั่นอยู่ต่อหน้าก็รีบถอดเสื้อคลุมสีเข้มที่ปักข้างหลังว่า ‘CP Engineer No.19’ คลุมร่างบางนั้นทันที

“ทิพย์ หมิว รีบพาน้องปลายไปที่ห้องหนึ่งศูนย์ห้าก่อน เดี๋ยวกันกะพวกไอ้ภัทรตามไป” เขาหันไปบอกเพื่อนสาวที่มาด้วยกัน สองสาวเห็นสีหน้าของกายนภัสนิ์ก็รู้ทันทีว่าเพื่อนให้พวกเธอพารุ่นน้องสาวคนนี้ไปห้องนั้นทำไม

“อะ...เอ่อ...คะ...คือพี่คะ...”ธัญพัชรพยายามเปล่งเสียงพูดออกมาโดยไม่ให้ฟันกระทบกันซึ่งมันเป็นไปได้ยากเหลือเกิน

“น้องปลายไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ ดูสิหนาวจนฟันกระทบกันอยู่แล้ว” ธาราทิพย์พูด

“เดี๋ยวพี่กะพี่ทิพย์จะพาไปหลบฝนแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ดีกว่านะคะ เดี๋ยวเกิดไม่สบายขึ้นมาคนบางคนมันจะอาการหนัก” มัลลิการ์เอ่ยเสริมเพื่อน ประโยคท้ายแอบพาดพิงใครบางคน ซึ่งธัญพัชรได้มองหน้าคนพูดอย่างสงสัย

“ปีหนึ่งวิศวะทั้งหมดจัดแถว หนึ่ง สอง สาม...” เสียงเรียกของกายนภัสนิ์ดังแว่วๆ ธัญพัชรจะหันกลับไปมอง แต่ถูกธาราทิพย์และมัลลิการ์โอบไหล่ของเธอคนละข้างแล้วดันหลังให้เดินออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

“กะ...เกิด อะไรขึ้นหรือคะ” ธัญพัชรถามขึ้นเมื่อทั้งสามเดินมาถึงห้องหนึ่งศูยน์ห้ามีป้ายแปะไว้หน้าห้องว่า ‘สโมรสนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์’

“ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะน้องปลาย อย่าไปสนใจพวกนั้นเลย เดี๋ยวพี่เอาชุดมาให้เปลี่ยนนะ” ธาราทิพย์ว่าขณะหาบางสิ่งในตู้ล็อคเกอร์

“น้ำอุ่นจ๊ะน้องปลาย กินแก้หนาวไปก่อนนะ พอดีว่าบางคนมันชอบมานอนเฝ้าห้องหรือไม่ก็มาปั่นโปรเจคทั้งคืน ที่นี่ก็เลยต้องมีกาน้ำร้อนไว้ให้พวกมันต้มมาม่ากินกันตอนดึกๆ น่ะจ๊ะ” มัลลิการ์เอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นท่าทีของรุ่นน้องสาวมองแก้วน้ำที่เธอยื่นมาให้อย่างสงสัย ก็ที่นี่มีทั้งเสื้อผ้าแล้วก็น้ำร้อน เหมือนกับว่าห้องนี้เป็นห้องพักนักศึกษามากกว่าห้องสโมสรนักศึกษาเสียอีก

“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ” ธัญพัชรรับแก้วน้ำมาถึงไว้ ความร้อนที่แผ่ออกมาจากแก้วทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น

“น้องปลายเอาชุดไอ้สกายมันไปใส่ก่อนก็แล้วกัน” ธาราทิพย์ยื่นเสื้อยืดสีน้ำเงินกับกางเกงขาสั้นสีเทาให้

“เอ่อ...มันจะดีหรือคะ เอาของพี่สกายมาให้โดยไม่บอกเขาก่อน จริงๆ แค่มีเสื้อคลุมปลายก็หายหนาวแล้วค่ะ”

“โอ๊ย! ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอกจ๊ะ ไอ้สกายมันไม่ว่าหรอก ห้องน้ำอยู่ทางนี้นะจ๊ะ” มัลลิการ์ว่าพลางฉุดแขนให้ธัญพัชรเดินเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่ธัญพัชรเปลี่ยนเสื้อผ้านั้นก็ได้ยินเสียงของมัลลิการ์และธาราทิพย์คุยกันดังแว่วมา

“ทิพย์ว่าปีหนึ่งมันจะรอดไหม”

“ท่าทางคราวนี้ไม่น่าจะรอดนะหมิว ทิพย์เพิ่งเคยเห็นไอ้สกายมันของขึ้นครั้งแรกเลยนะ”

“นั้นสิ หมิวว่าครั้งนี้ไอ้สกายมันดูน่ากลัวมากเลยนะตอนที่ได้ยิน...” เสียงของมัลลิการ์หายไปทันทีที่เสียงเปิดประตูดังขึ้น

“ไอ้สกายใจเย็นหน่อยสิวะ แกเป็นไรของแกวะ เล่นเอาข้ากับไอ้ทัชงงเลย” ภัทรพงษ์เดินเข้ามาตบไหล่กายนภัสนิ์เบาๆ ตั้งแต่พบว่ารุ่นน้องปีหนึ่งในคณะแซวเด็กสาวคนหนึ่งที่ยืนเปียกปอนอยู่บริเวณหน้าตึก ตอนแรกคิดว่าคงไม่พอใจที่รุ่นน้องไม่ช่วยเหลือเอาแต่พูดแซว แต่พอกายนภัสนิ์เห็นหน้าเด็กสาวว่าเป็นใคร สีหน้าของกายนภัสนิ์ก็เปลี่ยนไปดูราวกับว่าอยากจะฆ่าใครสักคนทั้งๆ ที่ปกติกายนภัสนิ์จะเป็นคนที่เงียบขรึมและดูจะใจเย็นที่สุดในกลุ่ม เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหากในตอนนั้นเขาและทัชชกรอยู่ด้วยล่ะก็กายนภัสนิ์จะทำอะไรลงไปอีกเพราะแค่ที่กายนภัสนิ์ลงโทษไปก็ถึงว่าสาหัสสุดๆ แล้วสำหรับพวกเขา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่หายโมโหสักทีจนเขาพาตัวกายนภัสนิ์ออกมาก่อนปล่อยให้ทัชชกรจัดการต่อ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังสังเกตสีหน้าของกายนภัสนิ์ที่ดูอ่อนลงเมื่อพูดคุยเด็กสาวคนนั้น

“ขอโทษทีวะ กันฟิวส์ขาดไปหน่อย” กายนภัสนิ์พูดเพียงเท่านั้นแล้วก็หลับตานิ่งยืนพิงตู้ล็อคเกอร์อย่างสงบสติอารมณ์ สักพักประตูห้องน้ำจึงค่อยๆ เปิดออก

“เอ่อ...คือ...พวกพี่ๆ พอที่จะมีอะไรใส่ชุดที่เปียกไหมคะ” เสียงของธัญพัชรเรียกสายตาของทุกคน เธอจึงหน้าแดงเล็กน้อย เธอค่อยๆ ก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดใหม่ เสื้อยืดยาวจนเกือบคลุมเข่าส่วนกางเกงก็ยาวเลยเข่ามาเกือบครึ่งน่อง เรียกสายตาเอ็นดูจากทุกคนในห้อง โดยเฉพาะคนที่เพิ่งลืมตาขึ้นมามีสายตาที่แฝงอะไรบางอย่างอยู่ในความเอ็นดูนั้นด้วย

“เอาถุงนี่ไปใส่ก่อนแล้วกันจ๊ะ” มัลลิการ์ยืนถุงพลาสติกให้

“แล้วสภาพอย่างนี้น้องปลายจะกลับบ้านอย่างไรล่ะครับ” ทัชชกรถามเมื่อพิจารณาสภาพของสาวน้อยตรงหน้า

“เดี๋ยวกันไปส่งน้องปลายเอง พวกนายจะกลับกันหรือยังล่ะ จะได้ไปด้วยกัน” กายนภัสนิ์เอ่ยขึ้นหลังเงียบไปนาน

“ปะ...อุ๊บ!” ภัทรพงษ์พูดได้เพียเท่านั้นก็ถูกศอกแหลมๆ ของธาราทิพย์กระทุ้งเข้าที่สีข้าง แล้วพูดแทนคนที่ยืนจุกอยู่ข้างๆ

“ไม่เป็นไรจ๊ะสกาย เดี๋ยวทิพย์กับภัทรโดนอาจารย์เรียกเรื่องฝึกงานน่ะ”

“อะ...เอ่อ...”

“ส่วนหมิวกับทัชต้องไปค้นข้อมูลพรีเซ็นหัวข้อสัมมนาวันพรุ่งนี้” ธัญพัชรกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกมัลลิการ์เอ่ยแทรกเสียก่อน

“อืม! ใช่ๆ เดี๋ยวเราต้องหาข้อมูลเพิ่มอีกหลายอย่างเลย สกายกลับกับน้องปลายไปก่อนเลย ไม่ต้องรอเราสองคนหรอก” ทัชชกรพูดเสริม

“น้องปลายกลับกับไอ้สกายมันน่ะดีแล้ว พี่รับรองว่าปลอดภัยหายห่วง ส่งถึงบ้านแน่นอน รีบกลับกันเถอะ ฝนเริ่มซาแล้ว เดี๋ยวตกอีกจะกลับลำบากกัน” ธาราทิพย์พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าธัญพัชรตั้งท่าจะปฏิเสธ เด็กสาวจึงได้แต่พยักหน้าน้อยด้วยความจำยอม”ก็ได้ค่ะ..”

“งั้นกันพาน้องปลายไปส่งก่อนแล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ”

“ปลายไปก่อนนะคะ” ธัญพัชรพูดพลางยกมือไหว้ทุกคนที่อยู่ในห้อง แล้วจึงเดินตามกายนภัสนิ์ออกไป

“ไอ้ทิพย์! แกจะกระทุ้งสีข้างเราทำไมวะ สะกิดดีๆ ก็รู้แล้ว ผู้หญิงอะไรวะมือหนักเป็นบ้า เล่นซะจุกเลย” เมื่อทั้งสองคนเดินออกไปแล้ว เสียงโวยวายของภัทรพงษ์ก็ดังขึ้นทันที

“ขอโทษทีวะ ศอกมันไปเอง” ธาราทิพย์ขอโทษเสียงอ่อย

“แล้วพวกแกแน่ใจแล้วหรือวะ ว่าคนนี้คือคนที่ไอ้สกายมันบอก” ภัทรพงษ์ถามอย่างสงสัย

“แล้วแกเคยเห็นไอ้สกายทำตัวแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนบ้างไหมล่ะ ไอ้ภัทร ถึงไอ้สกายมันจะเป็นสุภาพบุรุษ ใจเย็นขนาดไหน แต่มันก็ไม่เคยฟิวส์ขาดอย่างวันนี้ก็แล้วกัน” ทัชชกรบอกทำให้ภัทรพงษ์เริ่มคิดได้

“จริงด้วยว่ะ แล้วทีนี่เราจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ” ภัทรพงษ์ก็ยังไม่หายสังสัยเสียที

“แกไม่ต้องทำอะไรหรอก ไอ้ภัทร แค่อย่าไปจีบน้องเขาก็พอแล้ว ท่าทางคนนี้ไอ้สกายคงหวงน่าดูเลย” มัลลิการ์เอ่ยขึ้น

“เอาน่า! เราไม่ได้จีบใครพร่ำเพรื่อหรอก คนไหนเพื่อนชอบเราก็ไม่แย่งอยู่แล้ว หวังว่าไอ้สกายมันคงจะจีบติดเถอะนะ” ภัทรพงษ์ว่าทุกคนในห้องต่างพยักหน้าเห็นด้วย

“ฮัดเชย!” เสียงจามของคนขับรถเรียกสายตาที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าตาให้กลับมาสนใจคนที่อยู่ข้างๆ ตั้งแต่ขับรถออกมา นอกจากจะบอกว่าให้ไปส่งที่ไหนแล้วธัญพัชรก็เอาแต่หันมองออกนอกหน้าต่าง

“พี่สกายไม่สบายหรือเปล่าคะ” เสียงหวานๆ ของธัญพัชรเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“พี่ไม่ได้เป็นอะไรหรอก สงสัยคงมีคนนินทามากกว่า” กายนภัสนิ์ตอบ ทำให้ธัญพัชรอดขำไม่ได้ เมื่อเห็นกายนภัสนิ์เอามือถูจมูกไปมาดูน่ารักเหมือนเด็กๆ ไม่น่ากลัวเหมือนตอนที่เจอกันใต้ตึกวิศวกรรมศาสตร์ ทำให้เธอคลายความเกร็งลงไปบ้างเมื่ออยู่สองต่อสอง

“แล้ววันนี้น้องน้ำตาลไปไหนล่ะครับ ปกติเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด” กายนภัสนิ์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบที่มีอยู่

“วันนี้น้ำตาลไปทำธุระกับที่บ้านค่ะ เลยไม่ได้มาด้วยกัน” ธัญพัชรตอบ แล้วบทสนทนาของทั้งคู่ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ซึ่งเป็นเพลงโปรดของเธอดังขึ้น เธอจึงรีบควานโทรศัพท์เพราะคิดว่าคงมีใครสักคนโทรหาเธอแน่ๆ

“สวัสดีครับ กายนภัสนิ์ครับ” เสียงของกายนภัสนิ์ดังขึ้นทำให้ธัญพัชรชะงักการหาโทรศัพท์ของตัวเองแล้วหันมองต้นเสียงที่ตอนนี้กำลังสนทนากับปลายสายผ่านบลูทูธอยู่ โทรศัพท์ของพี่สกายหรอกหรือ ใช้เสียงเรียกเข้าเพลงเดียวกับเราเลย ธัญพัชรคิดในใจแล้วหันไปสนใจสิ่งที่อยู่นอกรถแทน เสียงคุยโทรศัพท์ของกายนภัสนิ์ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศยามเย็นบวกกับความเพลียมาทั้งวันประกอบกับน้ำเสียงนุ้มทุ้มของกายนภัสนิ์ ทำให้ที่คนที่นั่งข้างๆ เริ่มก้าวเข้าสู่ห้วงนิทราโดยไม่รู้ตัว

“น้องปลาย...อ้าวหลับไปซะแล้ว” กายนภัสนิ์หันมามองเด็กสาวที่เงียบไปทันทีที่เขาวางสาย พบว่าธัญพัชรหลับอยู่ข้างเขาไปเสียแล้ว กายนภัสนิ์มองร่างบางที่หลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ ด้วยแววตาที่ถ้าหากว่าเจ้าตัวเห็นคงไม่อายจนหน้าแดงเป็นแน่ ซึ่งแววตานี้เขาเคยส่งผ่านให้ธัญพัชรแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะจำได้ไหม...



“...น้องปลาย...” เสียงดังแผ่วๆ และสัมผัสอันอ่อนโยนที่หน้าผาก ทำให้ผู้เป็นเจ้าของชื่อตื่นขึ้นมาจากนิทรารมย์อันแสนหวาน แพขนตางอนจึงค่อยๆ ขยับเพียงไม่นานเปลือกตาก็เผยให้เห็นดวงตากลมโตสีนิล ที่ยังมีแววง่วงงุนอยู่

“พะ...พี่สกาย” แสงสลัวจากโคมไฟที่เปิดไว้ตรงประตูห้องคนป่วยทำให้ผู้ที่นอนอยู่บนเตียง พอมองออกว่าเป็นใคร

“นอนต่อเถอะครับน้องปลาย จะได้หายป่วยไวไว เดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนนะครับ” เขาว่าพลางลูบหัวของเธออย่างแผ่วเบา ธัญพัชรเคลิ้มหลับไปกับสัมผัสอันอ่อนโยนนี้

“ฝันดีนะครับคนดีของพี่” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวหลับไปแล้วกายนภัสนิ์จึงค่อยๆ บรรจงจุมพิตที่หน้าผากของเธออย่างแผ่วเบา ด้วยเกรงว่าหญิงสาวจะตื่นขึ้นมาอีก

“กลับกันได้แล้วล่ะพล” กายนภัสนิ์หันมาบอกกับลูกน้องคนสนิทที่พ่อของเขาส่งมาดูแลเมื่อไปเรียนที่อังกฤษ

“ครับ คุณท่านกับคุณผู้หญิงคงดีใจนะครับที่นายกลับบ้านสักที”

“เราไม่ได้จะกลับบ้าน เราจะกลับอังกฤษ”

“แล้วนายจะไม่ไปเยี่ยมคุณท่านกับคุณผู้หญิงหรือครับ” พลถามอย่างสงสัย

“พรุ่งนี้เรายังมีสอบอีกสองวิชา รีบกลับเถอะเดี๋ยวจะไม่ทัน...แล้วอีกอย่างนะ อย่าบอกพ่อกับแม่เด็ดขาดเรื่องวันนี้” กายนภัสนิ์สั่งความกับพลแล้วก็ออกเดินทันที

‘นี่นายน้อยของเขายอมทิ้งเวลาอ่านหนังสือสอบแล้วเสียเวลานั่งเครื่องบินเป็นสิบๆ ชั่วโมง เพื่อมาเยี่ยมผู้หญิงคนเดียวที่โรงพยาบาลเพียงแค่สองชั่วโมง นายน้อยของเขาทำอย่างนี้เพื่ออะไรกัน’ พลก็ได้แต่สงสัยในการกระทำของนายน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร



ปอรินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 เม.ย. 2554, 17:05:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 เม.ย. 2554, 17:08:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1748





<< ตอนที่ 1   ตอนที่ 3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account