เวทีกามเทพ
การประกวดเดอะเธียเตอร์ ปรินเซส นำพาให้มนัญชยาได้ร่วมงานกับกีรดิตดารา นักร้องหนุ่มในดวงใจ ทั้งยังชักนำแรงใจมาให้ยศวันต์พี่ชายของเธอถึงข้างเวทีมวย
แต่เมื่อกีรดิตดูเหมือนจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ทั้งกฤตินีที่ยศวันต์หลงรักแต่แรกพบก็คบหากับถิรเจตดาราหนุ่มร่วมค่ายของพี่ชาย อะไรต่ออะไรเลยไม่ง่ายอย่างที่คิด
แต่เมื่อกีรดิตดูเหมือนจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ทั้งกฤตินีที่ยศวันต์หลงรักแต่แรกพบก็คบหากับถิรเจตดาราหนุ่มร่วมค่ายของพี่ชาย อะไรต่ออะไรเลยไม่ง่ายอย่างที่คิด
Tags: กมลภัทร นักร้อง นักแสดง ละครเวที นักมวย
ตอน: ตอนที่ 10
ถัดจากวันเกิดเรื่องกับสิรามลหนึ่งวัน การซ้อมบทยังคงดำเนินไปเป็นปกติราวกับว่าไม่ได้มีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับดาราในสังกัดทีโอพีเมื่อวันก่อน ทว่ามนัญชยารู้สึกได้ว่าระหว่างการต่อบทพระเอกของเธอนั้นแอบใจลอยคิดอะไรอยู่บ้าง เมื่อมีโอกาสที่พิธานสั่งพักการซ้อม เธอจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยถาม
“คุณเกมเป็นอะไรรึเปล่าคะวันนี้”
“ผมเป็นอะไรเหรอ” กีรดิตขมวดคิ้ว ถามกลับ “คุณคิดว่าผมทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่ดีหรือไง”
“เปล่านะคะ คุณเกมก็ยังพูดบทได้คล่องแล้วก็ให้อารมณ์ต่อเนื่อง แต่บางช่วงเกี๊ยวรู้สึกเหมือนว่าคุณเกมใจลอย คิดอะไรอยู่”
“ผมคงจะเหนื่อยเกินไปหน่อย แต่ยังไงก็ขอบคุณที่เป็นห่วง”
ดวงตาดุนั้นดูอ่อนละมุนขึ้น รอยยิ้มบางปรากฏบนในหน้าคมนั้นก่อนที่การซ้อมบทจะดำเนินไปจนเสร็จสิ้นตามกำหนดเวลา
หลังเสร็จการต่อบท ปริศนาซึ่งมีบทในฉากที่ซ้อมในวันนี้ด้วยก็เดินตรงเข้ามาหากีรดิต เธอถือบทอยู่ในมือยื่นออกมาข้างหน้าตัวเองเล็กน้อยเปรยอย่างจะปรึกษากับนักแสดงหนุ่ม ชั่วขณะที่สายตาหวานนั้นเหลือบมาทางมนัญชยาริมฝีปากบางนั้นเหยียดออกเล็กน้อย ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนแย้มยิ้ม
“คุณเกมคะ ปลาว่าปลาไม่ค่อยเข้าใจตรงนี้เท่าไหร่ เหมือนไม่รู้ว่าตัวละครจะสื่ออะไร คุณเกมช่วยแนะนำให้หน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ”
เขาตอบแล้วขยับเดินคล้ายจะนำปริศนาออกไปไหนสักแห่ง รายที่เดินตามหลังหันมายิ้มให้กับมนัญชยาด้วยรอยยิ้มชนิดที่สร้างโทสะให้ผู้ที่ได้รับ ลูกสาวเจ้าของค่ายมวยเม้มปากเล็กน้อย ยืนนิ่งอยู่กับที่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกว้างออกมาเมื่อกีรดิตเดินตรงเข้าไปหาพิธาน
“คุณพิธานครับ ดูเหมือนคุณปลาจะมีปัญหากับการตีความบทเล็กน้อย ผมคิดว่าในฐานะผู้กำกับ คุณพิธานคงแนะนำอะไรเธอได้”
ดาราหนุ่มเอ่ยจบก็หันมาทางมนัญชยา ยิ้มเพียงเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้องซ้อม หญิงสาวขยับเดินไปทางประตูบ้างและครั้งนี้เมื่อเดินผ่านปริศนาเธอก็ส่งยิ้มในทำนองเดียวกับที่ได้รับก่อนหน้านี้ไปให้อีกฝ่าย
เมื่อเดินออกจากห้องฝึกซ้อมมนัญชยาก็เห็นว่ากีรดิตกำลังจะยืนรออยู่หน้าลิฟท์ด้านหลังตัวอาคารซึ่งจัดไว้เป็นพิเศษสำหรับวีไอพีของบริษัท ซึ่งนอกจากผู้บริหารแล้วก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ใช้ ชั่วขณะที่กำลังจะย่างเท้าเข้าไปเขาก็ส่งสายตามาบอกนัยบางอย่างซึ่งรู้กันระหว่างทั้งคู่ว่าเป็นการบอกให้หญิงสาวไปขึ้นรถเขายังสถานที่นัดหมาย
ภายในลิฟท์โดยสารมนัญชยายิ้มตอบสายตาของพนักงานทีโอพีสามคนซึ่งจำเธอได้ แต่ดูเหมือนว่าขณะนี้เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับสิรามลจะอยู่ในความสนใจของทั้งสามมากกว่า และแม้จะเพียงกระซิบกันแต่ถ้อยความก็ลอยเข้าหูมนัญชยาโดยตลอด
“เออ...เรื่องมันก็แปลกจริง ๆ นะเธอ คุณซินดี้จะไปทำอะไรตรงบันไดหนีไฟก็ไม่รู้”
“อาจจะไปยืนสูบบุหรี่ก็ได้นะ รู้สึกว่าเธอจะติดบุหรี่นี่”
“แล้วไปทำอีท่าไหนถึงได้ตกบันไดได้ก็ไม่รู้ เห็นแม่บ้านบอกว่าตอนที่ไปเจอนะ เลือดไหลเปรอะไปหมดเลย เหตุการณ์เป็นยังไงก็ไม่มีใครรู้เพราะบริษัทเรากำลังวางระบบกล้องวงจรปิดใหม่ เลยไม่รู้ว่าคุณซินดี้ไปทำยังไงถึงได้ตกบันไดลงมาได้” พนักงานคนหนึ่งซึ่งน่าจะคิดว่าตนรู้มากกว่าใคร “นี่...แล้วรู้ไหม เขาลือกันให้แซดว่าคุณพิธานต้องวิ่งปิดปาก เอ้ย...ปิดข่าวใหญ่เลยว่าคุณซินดี้น่ะท้อ...”
คนหนึ่งในกลุ่มดูจะมีสติกว่าใครรีบสะกิดให้เพื่อนหยุดคำสนทนาเพราะในกล่องเหล็กนั้นมีมนัญชยาอยู่ด้วย หญิงสาวอึดอัดกับบรรยากาศเงียบผิดปกติไม่นานก่อนที่ประตูลิฟท์จะเปิดออก พนักงานทีโอพีทั้งสามรีบเดินผละออกไปทว่าข้อมูลที่ได้ยินได้ฟังนั้นยังคงอยู่กับมนัญชยา เธอครุ่นคิดถึงคำพูดของพนักงานทั้งสามกับถ้อยคำที่ได้ยินจากปากสิรามลเรื่องข่าวดีของนักแสดงสาวรุ่นพี่กับกีรดิต
ทำอย่างไรก็ไม่อาจจะสลัดความเชื่อมโยงของสองเรื่องนี้ออกไปจากความคิดได้เลย
“คิดอะไรอยู่เหรอหมี่เกี๊ยว”
เสียงเรียกของกีรดิตเรียกสติของมนัญชยาจากที่นั่งเหม่อออกไปนอกกระจกหน้าต่างรถ
“คะ”
“คุณทักผมเมื่อตอนซ้อมว่าผมใจลอย ตอนนี้คุณก็ดูใจลอย ๆ คิดอะไรอยู่เหรอ”
มนัญชยาเม้มริมฝีปากก่อนคลายออกแล้วเอ่ยถึงคนที่กำลังอยู่ในความคิดคำนึง “เกี๊ยวเป็นห่วงคุณซินดี้ค่ะ เคยเห็น ๆ กัน จู่ ๆ ก็มาประสบอุบัติเหตุ ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรมากรึเปล่านะคะ”
ชะงัก...กิริยาของกีรดิตหลังจากได้ยินคำพูดของเธอน่าจะเรียกได้เช่นนั้น เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มอ่อน
“เขาถึงมือหมอแล้วคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง”
“คุณเกมจะไปเยี่ยมเธอไหมคะ”
“ทำไมผมต้องไปเยี่ยมเขาด้วยล่ะหมี่เกี๊ยว” กีรดิตถาม น้ำเสียงนั้นเหมือนจะห้วนขึ้นมาเล็กน้อย “ผมไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเขาขนาดนั้นหรอก”
แต่...พี่เกมกับคุณซินดี้เคยมีข่าวว่าคบกัน
มนัญชยาเก็บข้อสงสัยนั้นไว้เพียงในใจเพราะคิดว่าการเอ่ยซักอาจสร้างความไม่พอใจให้กับกีรดิตได้ เธอเคยได้อ่านกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวเขามาไม่น้อย จึงรู้ว่าเรื่องส่วนตัวของกีรดิตไม่เคยได้รับการเปิดเผยที่ไหนเลย เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักข่าวสายบันเทิงว่าเขาไม่เอ่ยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น
เมื่อเธอนิ่งอยู่พักหนึ่งคนที่นั่งหลังพวงมาลัยจึงถามขึ้น
“พรุ่งนี้ไม่มีคิวซ้อมบท คุณไปไหนรึเปล่า”
“เกี๊ยวคงไปไหนไม่ได้หรอกค่ะ ที่พรุ่งนี้ไม่ได้ซ้อมก็เพราะมีคิวไปออกรายการกับยัยปลากิ้ง...เอ่อ...กับยัยปลา ปริศนาน่ะค่ะ”
พอบอกชื่อรายการไปเขาก็ร้องอ๋อออกมาเบา ๆ
“รายการนี้เรตติ้งดีเลยนะ พิธีกรสัมภาษณ์เขาเก่งมาก ทำรายการสนุกมีอารมณ์ขันแต่ว่าแม่นสคริปท์ ไม่ถามอะไรนอกเรื่องที่แจ้งไว้ ว่าแต่ได้รับคำถามรึยัง”
“ได้แล้วค่ะ เกี๊ยวก็ว่าเป็นคำถามทั่วไป คงไม่มีอะไรมาก”
“เตรียมคำตอบเอาไว้บ้างก็ดีเวลาไปสัมภาษณ์จะได้ไม่ตื่นเต้น”
“ขอบคุณคุณเกมมากนะคะที่ช่วยแนะนำ”
“ผมเต็มใจอย่างมากที่จะช่วย” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ขอแค่คุณไม่ทำให้ผมผิดหวังก็พอ”
“เกี๊ยวจะพยายามให้เต็มที่ค่ะ คุณเกมไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“ขอให้ผมได้ห่วงคุณสักหน่อยไม่ได้เหรอ”
“คะ” มนัญชยารู้สึกได้ถึงความร้อนที่ผะผ่าวขึ้นบนพวงแก้ม รถยนต์ของชายหนุ่มแล่นมาถึงบริเวณที่เธอลงจากรถทุกวันพอดี “เอ่อ...ขอบคุณคุณเกมนะคะ เอาไว้เจอกันวันมะรืน”
พื้นถนนที่เคยเดินอยู่ทุกวันให้ความรู้สึกแปลกไปอย่างที่ไม่เคยเป็น สำหรับมนัญชยามันเหมือนการเหยียบย่างลงไปบนปุยเมฆ เบา ล่องลอยพาให้เคลิบเคลิ้ม ขณะเดียวกันก็เจือด้วยความหวาดหวั่นว่าจะเหยียบทะลุก้อนเมฆตกลงไปสู่พื้นดิน
บ้าจริง...ทำไมสลัดคำพูดของคุณซินดี้ออกจากหัวไม่ได้เลยนะ
กฤตินีขับรถมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยจนถึงหน้าเขตกำแพงคฤหาสน์หลังใหญ่ รถยนต์คันใหญ่ที่เธอรู้ดีว่าเป็นของใครจอดอยู่ข้างรั้ว หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนตัดสินใจหยุดรถหน้าประตูรั้วใหญ่เลยจากรถยนต์คันนั้นเล็กน้อย ภาพสะท้อนจากกระจกมองหลังทำให้รู้ว่าพี่ชายกำลังก้าวลงจากรถ
“พี่เกม มาเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่เหรอคะ นี่กำลังจะกลับหรือว่ากำลังจะเข้าบ้านคะ”
“ดึกป่านนี้แล้วทำไมถึงเพิ่งกลับ”
น้ำเสียงของกีรดิตทำเอาหญิงสาวใจคอไม่ดีนัก
“กิ่งไปทานข้าวกับเพื่อนน่ะค่ะ”
“นายเจตใช่ไหม...ทำไมพี่เตือนแล้วไม่เชื่อกันบ้างล่ะกิ่ง นายคนนั้นไม่ใช่คนดี”
“ไม่ใช่นะคะ กิ่งไปทานข้าวกับเพื่อนสมัยเรียนค่ะ”
“แล้วกับนายเจต ยังติดต่อกันอยู่ใช่ไหม”
คำถามของพี่ชายทำให้กฤตินีนิ่งงัน ไม่กล้าตอบ เธอไม่กล้าโกหกและยิ่งไม่อยากมีปัญหาถ้าเอ่ยปากบอกความจริง
“ถึงเธอจะไม่ตอบ พี่ก็รู้ว่าเธอยังไปไหนมาไหนกับถิรเจต” คนเป็นพี่ถอนใจหนักหน่วง “พี่พูดละเอียดไม่ได้ แต่ในฐานะที่พี่อยู่ในวงการพี่รู้อะไรเกี่ยวกับนายนั่นเยอะกว่ากิ่งแน่ เชื่อพี่เถอะนะ ห่าง ๆ จากเขาไว้ได้เป็นดี ไม่อย่างนั้นเธอคงจะต้องเสียใจเข้าสักวัน”
“ค่ะ”
เวลานี้คำตอบเดียวที่พี่ชายอย่างได้ยินคงเป็นแค่คำสั้น ๆ คำนี้และหญิงสาวก็ไม่ได้คิดว่าเธอจะลงหลักปักฐานกับถิรเจตเพียงแค่คบหาดูใจกันเท่านั้นจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร
“แล้วพี่เกมไม่เข้าบ้านเหรอคะ คุณพ่อถามถึงพี่เกมอยู่เหมือนกัน”
“ดึกแล้ว...พี่กลับก่อนก็แล้วกัน และหวังว่าเธอคงจะเชื่อพี่นะกิ่ง”
กฤตินีรับคำเพียงสั้น ๆ อีกครั้งหากรู้ดีว่าทำได้ไม่เต็มเสียงนักจึงพยายามฝืนยิ้มให้พี่ชายก่อนกล่าวราตรีสวัสดิ์ ระบายลมหายใจยาวขณะที่นำพาหนะคู่ใจเข้าสู่ภายในเขตรั้วคฤหาสน์
หลังจากสอบถามกับคนรับใช้ทราบว่ามารดาของเธอเข้านอนแต่หัวค่ำส่วนบิดานั้นยังไม่กลับ กฤตินีจึงไม่ได้แวะเข้าไปหาผู้ให้กำเนิดเช่นทุกคืน เมื่อเข้าห้องนอนได้ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดต่อสายถึงถิรเจตซึ่งบ่นกับเธอว่าปวดศีรษะเมื่อตอนที่แยกกัน ทว่าเขาปิดเครื่อง เมื่อโทร.เข้าไปที่หมายเลขโทรศัพท์สายตรงในห้องพักที่คอนโดนิเนียมของชายหนุ่ม สัญญาณก็ดังอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดไปที่เทปเสียงซึ่งเขาอัดไว้เพื่อบอกให้ผู้ติดต่อมาฝากข้อความ
เธอเพียงแค่กดตัดสัญญาณไม่ได้ฝากข้อความอะไร ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะสลัดความคิดเกี่ยวกับถิรเจตออกไป อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน ความเหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวันทำให้หลับลงอย่างง่ายดาย
รายการเม้าท์กระจายเป็นรายการสัมภาษณ์บุคคลในวงการบันเทิงที่มีเรตติ้งสูงรายการหนึ่ง พิธีกรหญิงสองคนพูดคุยรับส่งมุกกันอย่างเข้าขา ขณะเดียวกันก็ไม่ได้พยายามทำตัวให้เด่นจนกลบความสำคัญของแขกรับเชิญ บรรยากาศในบันทึกเทปการสัมภาษณ์ผู้ได้ตำแหน่งชนะเลิศและรองชนะเลิศของการประกวดค้นหาเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสจึงเป็นไปอย่างสนุกสนานเป็นกันเอง
มนัญชยาและปริศนาตอบคำถามพลางพูดคุยกันอย่างสนิทสนมคุ้นเคย ชนิดที่คนที่พอจะรู้เรื่องราวตื้นลึกหนาบางระหว่างทั้งคู่คงจะแอบขันเมื่อเห็นเทปรายการออกอากาศ
ก่อนจะมานั่งให้สัมภาษณ์สองสาวยังแอบจิกกัดกันในห้องแต่งตัวเล็กน้อย เมื่อมนัญชยาหันไปจับตามองปริศนาที่นั่งทำตาปรือ หาวครั้งแล้วครั้งเล่า
‘มองอะไรหมี่เกี๊ยว ไม่เคยเห็นคนง่วงนอนเหรอจ๊ะ’
‘เปล่านี่…ก็มองว่าคนอะไร ขนาดง่วง หาวแล้วหาวอีก ตาช้ำอย่างกับหมีแพนด้าก็ยังดูดี’ คงมีเพียงผู้ฟังเท่านั้นที่รับรู้ว่าผู้พูดนั้นต้องการเน้นคำว่าหมีแพนด้ามากกว่าคำว่าดูดี ‘ต้องขอบคุณพี่ช่างแต่งหน้าเค้านะ ที่โปะกลบได้เก่งมาก’
‘อุ๊ย…ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ’ ผู้ถูกพาดพิงเข้ามาร่วมวงด้วย คนโดนแขวะเลยไม่ทันได้ตอบโต้ ‘น้องปลานี่เขาก็หน้าสวยอยู่นะคะ เสียแต่ว่าเมื่อคืนคงนอนดึกใช่ไหมคะ ตาช้ำมากเลย แล้วก็หาวน้ำหูน้ำตาไหลบ่อย ๆ นี่ถ้าเครื่องสำอางไม่กันน้ำพี่ว่าจากหมีแพนด้าอาจจะกลายเป็นผีตาเยิ้มได้นะคะเนี่ย’
‘พี่ว่าปลาเค้าเหมือนผีเหรอคะ’
‘จะบ้าเหรอหมี่เกี๊ยว พี่เขาเปรียบเทียบหรอกว่าถ้าเครื่องสำอางมันเลอะ มันจะดูเหมือนผี’
‘คู่นี้หยิกกัด หยอกกันน่ารักน่าเอ็นดูนะคะ’ คนที่แต่งหน้าให้มนัญชยาพูดขึ้นบ้าง ‘ประกวดด้วยกันมานานคงจะสนิทสนมกันดีสินะคะ’
คนสนิทสนมกันทั้งสองไม่ตอบคำหากปรายตามองกันเล็กน้อย ไม่ได้สนทนาอะไรกันอีกเมื่อทีมงานรายการเข้ามาตาม
ผู้กำกับรายการสั่งคัทเมื่อพิธีกรสองสาวพูดปิดรายการจบแล้ว หลังจากนี้จะมีการสัมภาษณ์วงดนตรีอินดี้หน้าใหม่มาแรงอีกหนึ่งเทป พิธีกรจึงต้องรีบกลับเข้าห้องแต่งตัวไปเปลี่ยนชุด ผู้ดูแลศิลปินของทีโอพีซึ่งรับหน้าที่พามนัญชยาและปริศนามาบันทึกเทปรายการในวันนี้เดินตรงเข้ามาหาผู้ที่อยู่ในความดูแล เธอเป็นหญิงวัยราวสี่สิบที่ยังดูอ่อนกว่าวัย คล่องแคล่วและดูเป็นมิตร
“คุณปลากับคุณเกี๊ยวจะกลับบ้านเลยไหมคะ พี่คงต้องขอแยกตรงนี้นะคะ คงไม่ได้กลับไปกับรถตู้บริษัท ว่าจะไปเยี่ยมคุณซินดี้เสียหน่อย”
“ตามสบายค่ะ”
มนัญชยาปรายตามองปริศนาซึ่งตอบอย่างไม่ค่อยสนใจอะไรนักมือไม้จับผมอย่างกลัวว่าจะไม่เป็นทรงทั้งที่การบันทึกเทปรายการก็ผ่านพ้นไปแล้วก่อนจะหันไปเอ่ยกับหญิงที่สูงวัยกว่า
“เกี๊ยวขอไปด้วยได้ไหมคะ คุณซินดี้เธอเคยช่วยแนะนำอะไรเกี๊ยวตอนแข่งขัน” เธอกล่าวแล้วสะกิดปริศนา “ไม่ไปด้วยกันเหรอปลา เยี่ยมคุณซินดี้แล้วค่อยกลับก็ได้”
“ไม่ล่ะเกี๊ยว ฉันติดธุระ” ปริศนาขึงตาใส่มนัญชยาแล้วหันไปยิ้มกว้างกับผู้ดูแลศิลปิน “เอาไว้ค่อยพบกันนะคะ วันนี้ปลาติดธุระจริง ๆ อ้อ...เดี๋ยวจะมีคนมารับปลาที่นี่ พี่จะให้รถตู้บริษัทไปส่งที่โรงพยาบาลก็ได้นะคะจะได้ไม่ต้องไปกันเอง”
“ไม่ดีหรอกค่ะ รถตู้ขอไว้มารับส่งคุณปลากับคุณเกี๊ยวทำงาน ใช้นอกเหนือจากที่แจ้งไว้จะโดนว่าเอาได้ ถ้าอย่างนั้นพี่ให้คนขับรถกลับไปเลยดีกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปรอหน้าสตูดิโอนะคะ คุณเกี๊ยวแต่งตัวเสร็จแล้วค่อยออกไปเยี่ยมคุณซินดี้กัน”
ปริศนายกมือพนมไหว้แล้วหันมาเบ้ปากใส่มนัญชยา เมื่อฝ่ายหลังเห็นว่าผู้ดูแลศิลปินผละออกไปแล้วก็ไม่มีอารมณ์จะปั้นหน้าใส่อีกฝ่ายเช่นกัน มนัญชาย่นจมูกใส่แสดงอาการเหม็นเบื่อ ต่างฝ่ายต่างขยับเดินไปทางห้องแต่งตัวพร้อมกัน ไหล่เบียดไหล่อย่างไม่ลดละ
รถแท็กซี่โดยสารนำหญิงสาวสองวัยเข้าสู่บริเวณหน้าโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งไม่ไกลจากสตูดิโอที่ใช้บันทึกเทปรายการเม้าท์กระจายมากนัก ขณะที่แล่นเข้าสู่ถนนทางเข้านั้นรถยนต์คันหนึ่งก็แล่นสวนออกมา ความคุ้นชินกับพาหนะคันนั้นทำให้มนัญชยาร้องออกมาเบา ๆ ขณะที่ผู้ดูแลศิลปินสาวใหญ่นั้นก็ดูจะจำรถยนต์คันนั้นได้เช่นกัน
“รถคุณเกมนี่ คงมาเยี่ยมคุณซินดี้ล่ะมั้ง”
ไหนพี่เกมบอกว่าไม่ได้สนิทสนมอะไรกันนี่นา แถมทำท่าหงุดหงิดด้วยที่เราถามเรื่องมาเยี่ยมคุณซินดี้ แล้วทำไมถึงได้มาได้ล่ะ...แค่บังเอิญล่ะมั้ง พี่เกมอาจจะไม่สบาย มาหาหมอที่นี่ก็ได้
สองสาวเคาะประตูก่อนก้าวเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ สิรามลซึ่งนั่งพิงหมอนอยู่บนเตียงคนไข้หันมามองแขกที่มาเยี่ยม ชั่วขณะหนึ่งที่ดวงตาสีน้ำตาลนั้นกร้าวขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ริมฝีปากงามจะคลี่ยิ้มทำให้ใบหน้าดูละมุน ความดุดันในแววตาเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเอ่ยทักทายกับผู้ดูแลศิลปินสาวหากเมินเฉยเมื่อนักแสดงรุ่นน้องกระพุ่มมือไหว้ มนัญชยาจึงอาสานำของเยี่ยมที่ทั้งสองซื้อมาจากร้านในโรงพยาบาลไปวางที่โต๊ะกลางของชุดรับแขก
“เจ็บตรงไหนบ้างคะ คุณซินดี้”
“ไม่เจ็บแล้วล่ะค่ะ มันชินชาไปหมด” น้ำเสียงของสิรามลสั่นเครือ น้ำใสเอ่อคลอที่ดวงตาหากใบหน้างามนั้นเชิดขึ้น “แล้วทำไมเด็กคนนี้ถึงได้มาด้วยกันได้คะ”
“พี่เพิ่งพาคุณเกี๊ยวกับคุณปลาไปอัดรายการเม้าท์กระจายมาค่ะ พอบอกว่าจะมาเยี่ยมคุณซินดี้ คุณเกี๊ยวเขาก็ขอตามมาเยี่ยมด้วย บอกว่าเพราะคุณซินดี้เคยให้คำแนะนำดี ๆ กับเธอ”
สิรามลพยักหน้าเบา ๆ เหลืองมองมนัญชยาด้วยสายตาเรียบนิ่งไร้แววอารมณ์ใด
“วันนี้คุณซินดี้ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนเลยเหรอคะ พี่คงอยู่ด้วยได้ไม่นานนะคะ เพราะต้องรีบไปธุระเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรคะ...ถ้าหมี่เกี๊ยวเขาอยากมาเยี่ยมก็ดีแล้วค่ะ”
สิรามลยิ้มกว้างให้มนัญชยาหากรอยยิ้มนั้นกลับสร้างความรู้สึกอึดอัดให้คนที่ได้รับ หากเธอก็ยิ้มตอบแต่โดยดี
“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยก็แล้วกันนะ เผื่อว่าจะได้คุยกัน เดี๋ยวสักหัวค่ำคนที่บ้านฉันก็คงจะมาแล้วล่ะ...หรือถ้าติดธุระก็ไม่เป็นไร”
“เกี๊ยวไม่ได้มีธุระอะไรค่ะ ถ้าอยู่เป็นเพื่อนคุณซินดี้สักพักก็คงได้”
เธอมองสภาพคนที่นั่งพิงหมอนอยู่บนเตียงแล้วตัดสินใจได้ว่าอีกฝ่ายคงต้องการใครสักคนที่อยู่ช่วยเหลือหยิบจับอะไรบ้างแม้อีกฝ่ายจะมีท่าทางแปลก ๆ อยู่ก็ตาม แต่คงไม่ถึงกับลุกขึ้นมาจับเธอหักคอ บางทีคนเจ็บอาจต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ แต่ไม่ใช่คนที่จะแสดงออกถึงความอ่อนแอให้ใครเห็นเท่านั้น
ผู้ดูแลศิลปินสาวอยู่เยี่ยมสิรามลเพียงครู่ก็ขอตัวกลับ เมื่ออยู่เพียงลำพังมนัญชยาก็หันมาไปมองสิรามลอย่างเก้อเขิน ยิ้มให้เพียงเล็กน้อยก่อนเอ่ย
“ถ้าคุณซินดี้อยากได้อะไรก็บอกนะคะ เดี๋ยวเกี๊ยวช่วยจัดการให้เอง”
ดาราสาวลูกครึ่งมองไปทางโต๊ะรับประทานอาหารซึ่งทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้สำหรับญาติที่มาเยี่ยมไข้
“ฉันอยากจะทานผลไม้ เธอช่วยจัดการปอกให้หน่อยสิ มีคนล้างไว้ให้แล้วก่อนหน้าเธอจะมา”
มนัญชยารับคำก่อนจะเดินไปที่โต๊ะกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบมีดและผลไม้ในตะกร้าขึ้นมาสายตาก็ไปปะทะกับวัตถุซึ่งวางอยู่ข้างตะกร้าพอดี
สิ่งที่เธอเห็นอยู่บนข้อมือของใครคนหนึ่งมาหลายครั้ง
“มีอะไรเหรอหมี่เกี๊ยว”
หญิงสาวหันไปมองคนที่นั่งอยู่บนเตียงอีกฝ่ายทำทีคล้ายกับเขม้นมองมาบนโต๊ะอาหาร เมื่อเห็นว่าอะไรอยู่บนโต๊ะก็ร้องอ๋อออกมาเบา ๆ
“นาฬิกาของคุณเกม สงสัยเขาจะลืมเอาไว้ ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวเขาก็คงจะมาเอาไปแล้วล่ะ ยังไงเขาก็ต้องหาโอกาสมาเยี่ยมฉันอีกอยู่ดี”
มนัญชยาพยายามปรับอารมณ์และสีหน้า คว้าผลไม้และมีดปอกขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีเหมือนไม่สนใจวัตถุข้างตะกร้า กระนั้นก็ยังรู้สึกได้ว่ามือไม้สั่นเล็กน้อย แม้กระทั้งเมื่อถือจานใส่ผลไม้ไปวางบนโต๊ะแบบเข็นได้ ออกแรงดันเบา ๆ เพื่อให้ตำแหน่งพอดีกับมือของสิรามลจะเอื้อมมาคว้าได้
“แข้งขาเจ็บแบบนี้แย่จังนะ ต้องคอยรบกวนให้คนอื่นคอยเดินไปหยิบโน่นนี่ให้ คงไม่ลำบากเธอมากนักใช่ไหม”
“คุณซินดี้ไม่เป็นไรมากกว่านี้ก็ดีแล้วค่ะ เกี๊ยวยินดีที่ได้ช่วย”
คนปลอบพูดทั้ง ๆ ที่ใจคอของตนก็ยังไม่ค่อยดีนัก ทว่าปฏิกิริยาของผู้ที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้นั้นทำเอาเธอตกใจ
จู่ ๆ สิรามลก็สะอื้อนไห้ออกมา น้ำใสเอ่อล้นดวงตาคู่งามอาบสองแก้ม
“คุณซินดี้...เป็นอะไรไปคะ”
มนัญชยาเอ่ยถามพลางเอื้อมไปคว้ากระดาษเช็ดหน้าบนโต๊ะข้างเตียงมาส่งให้สิรามลฝ่ายหลังรับไปซับพวงแก้มที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตายังไม่คลายจากอาการสะอึกสะอื้น
คนที่ปกติเห็นสิรามลในกิริยาท่าทางอีกแบบยืนมองอย่างทำอะไรไม่ถูก ผู้ที่อยู่ในชุดคนไข้ของโรงพยาบาลสะอื้นเบาลงก่อนจะนิ่งได้ในที่สุดเมื่อหันมามองสบตามนัญชยา นักแสดงสาวรุ่นพี่ก็หัวเราะออกมาด้วยท่าทีเหยียบหยัน
“น่าอายจังนะ ฉันมาแสดงความอ่อนแอให้เธอเห็นซะได้”
“คุณซินดี้บาดเจ็บ จิตใจก็คงอ่อนไหวเป็นธรรมดามั้งคะ”
สิรามลพยักหน้าเบา ๆ ก่อนเอ่ย “ฉันต้องขอโทษด้วย ที่เคยพูดอะไรไม่ดีกับเธอ ทำนองว่าเธอใช้เส้นสาย วันนั้นฉันคงจะหงุดหงิดไปหน่อย”
คนที่เคยถูกกล่าวหาไม่ตอบโต้เพราะมั่นใจว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรอย่างที่อีกฝ่ายเคยพูดตราหน้า
“เท่าที่ฉันคุยกับคนอื่นมาเขาบอกว่า ช่วงประกวด ตอนที่เรียนการแสดง เวิร์คช็อป ฝึกซ้อมร้องเพลง เธอก็ทำได้ดีนะ ไม่ขัดเขิน แล้วก็ดูมุ่งมั่นมากในการฝึกซ้อม แบบนี้ล่ะมั้งคะแนนจากกรรมการถึงได้ช่วยเก็บเธอไว้ตอนอาทิตย์ที่เธอได้คะแนนโหวตต่ำสุด คงจะร่ำเรียนมาเยอะก่อนจะมาประกวดสินะ”
“เปล่าค่ะ...เกี๊ยวแค่เคยเรียนร้องเพลงตอนเด็ก ๆ แต่เรื่องการแสดงเกี๊ยวลองฝึกเองหน้ากระจกทุกวัน อาศัยจำจากในโทรทัศน์น่ะค่ะ ตอนฝึกซ้อมการแสดงก็ตั้งใจทำตามที่ครูสอนทุกอย่าง”
“อยากจะบอกว่าตัวเองเป็นพวกมีพรสวรรค์สินะ”
น้ำเสียงนั้นฟังแปลกหู หากอีกฝ่ายพูดจบก็ยิ้มอ่อนทำให้มนัญชยาแคลงใจว่าสิรามลมีเจตนาใดกันแน่ หญิงสาวกำลังจะเดินกลับไปนั่งที่โซฟาเมื่อนักแสดงสาวรุ่นพี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแปร่งปร่า
“เธอว่าเด็กที่ต้องตายทั้งที่ยังไม่ลืมตาดูโลกเขาจะรู้สึกเจ็บปวดไหม”
ทั้งเสียงพูดและเนื้อความที่ออกจากปากสิรามลตรึงมนัญชยาเอาไว้กับที่ และเหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นมีดึงตัวให้หันกลับไปมองสบตาผู้ป่วย หญิงสาวลูกครึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นอีกครั้งเรียกให้เธอเข้าไปยืนข้างเตียงส่งกระดาษเช็ดหน้าให้
“ขอโทษนะ วันนี้ฉันควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จริง ๆ ฉันไม่ควรให้เธอต้องมารับรู้เรื่องนี้ด้วยเลย มันคงทำให้เธอลำบากใจ” สิรามลพูดทั้งที่ยังสะอื้น “แต่เธอรับปากฉันได้ไหมว่าจะไม่ไปบอกใคร”
“คุณซินดี้”
คนที่นั่งบนเตียงพยักหน้าเบา ๆ ยังคงร้องไห้สะอื้นอยู่
“โชคดีที่คุณพิธานช่วยเหลือปิดข่าวให้ ไม่อย่างนั้นป่านนี้หนังสือพิมพ์คงลงข่าวไปแล้วว่าฉันท้อง”
คุณซินดี้ท้อง...กับใคร? ที่พนักงานบริษัทพูดกันนี่ไม่ใช่แค่ข่าวลือใช่ไหม
“ไม่เป็นไรนะคะ คุณซินดี้ เกี๊ยวสัญญาค่ะ ว่าจะไม่บอกใครเรื่องนี้ทุกอย่างจะเป็นความลับไม่เล็ดลอดออกจากห้องนี้เด็ดขาด”
“ขอบใจนะ เรื่องนี้ต่อให้คนลือกันยังไงก็คงไม่มีผลอะไรเพราะยังไงซะสั้นก็เสียแกไปแล้วจริง ๆ” สิรามลเอื้อมมือไปลูบบริเวณหน้าท้อง ยิ้มแห้งแล้ง “ฉันก็ได้แต่หวังว่าเรื่องนี้จะทำให้ฉันกับเขาปรับความเข้าใจกันได้จริงจังสักที เพราะเขาก็เสียใจมากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น”
“เขา...” มนัญชยาไม่กล้าแม้แต่จะถามสิรามลว่าอีกฝ่ายหมายถึงใครทั้งที่ในใจนั้นคิดถึงคนคนหนึ่ง “เขาเป็นคนทำให้คุณซินดี้เป็นแบบนี้เหรอคะ”
“มันเป็นอุบัติเหตุ เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอกเราอย่าไปพูดถึงมันเลยนะ โชคดีที่วันนั้นกล้องวงจรปิดที่ทีโอพีมีปัญหาไม่อย่างนั้นถ้ามีคนเห็นเทปภาพจากวงจรปิดคงเป็นข่าวใหญ่โตกันแน่ ฉันเองก็พร้อมที่จะให้อภัยเขาถึงเขาจะทำตัวเหมือนเดิมต่อไปฉันก็คงว่าอะไรเขาไม่ได้” นักแสดงสาวรุ่นพี่ระบายลมหายใจหนักหน่วง “เธอรู้ไหมว่าฉันต้องทนทำใจแค่ไหนเวลาเห็นเขาไปสนิทสนมกับผู้หญิงคนอื่น ใช้เสน่ห์แบบที่เขาถนัดกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้ไปทั่ว ฉันเฝ้าหวังว่าเขาจะคิดจริงจังกับฉันแล้วก็เลิกเห็นผู้หญิงคนอื่นเป็นของเล่นสักทีแต่ตอนนี้ฉันก็ไม่ได้มีอะไรยึดเขาไว้ได้อีกแล้ว”
“แต่เขา...ก็ยังมาเยี่ยมคุณซินดี้ไม่ใช่เหรอคะ”
“ฉันบอกแล้วไงว่ายังไงเราก็ตัดกันไม่ขาด แต่ความสัมพันธ์ของเรามันก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาเรื่อย ๆ ยิ่งเขาต้องคอยปิดข่าวความสัมพันธ์กับผู้หญิงด้วย เราก็เลยไม่คืบหน้าไปไหนกันสักที” สิรามลเอ่ย น้ำตาเอ่อรินขึ้นมาอีกครั้ง “ขนาดฉันที่เขาดูจะจริงจังด้วยที่สุดเขายังเป็นแบบนี้ กับผู้หญิงคนอื่นเขาคงจะเป็นยิ่งกว่านี้ ฉันเองก็ไม่อยากเห็นผู้หญิงด้วยกันต้องตกอยู่ในสภาพกล้ำกลืน ทุกข์ทน เธอเข้าใจฉันใช่ไหม”
มนัญชยาทำได้เพียงพยักหน้ารับคำเท่านั้น ในสมองมีแต่ความคิดคำนึงถึงคำพูดของสิรามลวนเวียนไปมาไม่หยุดหย่อน
“คุณเกมเป็นอะไรรึเปล่าคะวันนี้”
“ผมเป็นอะไรเหรอ” กีรดิตขมวดคิ้ว ถามกลับ “คุณคิดว่าผมทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่ดีหรือไง”
“เปล่านะคะ คุณเกมก็ยังพูดบทได้คล่องแล้วก็ให้อารมณ์ต่อเนื่อง แต่บางช่วงเกี๊ยวรู้สึกเหมือนว่าคุณเกมใจลอย คิดอะไรอยู่”
“ผมคงจะเหนื่อยเกินไปหน่อย แต่ยังไงก็ขอบคุณที่เป็นห่วง”
ดวงตาดุนั้นดูอ่อนละมุนขึ้น รอยยิ้มบางปรากฏบนในหน้าคมนั้นก่อนที่การซ้อมบทจะดำเนินไปจนเสร็จสิ้นตามกำหนดเวลา
หลังเสร็จการต่อบท ปริศนาซึ่งมีบทในฉากที่ซ้อมในวันนี้ด้วยก็เดินตรงเข้ามาหากีรดิต เธอถือบทอยู่ในมือยื่นออกมาข้างหน้าตัวเองเล็กน้อยเปรยอย่างจะปรึกษากับนักแสดงหนุ่ม ชั่วขณะที่สายตาหวานนั้นเหลือบมาทางมนัญชยาริมฝีปากบางนั้นเหยียดออกเล็กน้อย ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนแย้มยิ้ม
“คุณเกมคะ ปลาว่าปลาไม่ค่อยเข้าใจตรงนี้เท่าไหร่ เหมือนไม่รู้ว่าตัวละครจะสื่ออะไร คุณเกมช่วยแนะนำให้หน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ”
เขาตอบแล้วขยับเดินคล้ายจะนำปริศนาออกไปไหนสักแห่ง รายที่เดินตามหลังหันมายิ้มให้กับมนัญชยาด้วยรอยยิ้มชนิดที่สร้างโทสะให้ผู้ที่ได้รับ ลูกสาวเจ้าของค่ายมวยเม้มปากเล็กน้อย ยืนนิ่งอยู่กับที่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกว้างออกมาเมื่อกีรดิตเดินตรงเข้าไปหาพิธาน
“คุณพิธานครับ ดูเหมือนคุณปลาจะมีปัญหากับการตีความบทเล็กน้อย ผมคิดว่าในฐานะผู้กำกับ คุณพิธานคงแนะนำอะไรเธอได้”
ดาราหนุ่มเอ่ยจบก็หันมาทางมนัญชยา ยิ้มเพียงเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้องซ้อม หญิงสาวขยับเดินไปทางประตูบ้างและครั้งนี้เมื่อเดินผ่านปริศนาเธอก็ส่งยิ้มในทำนองเดียวกับที่ได้รับก่อนหน้านี้ไปให้อีกฝ่าย
เมื่อเดินออกจากห้องฝึกซ้อมมนัญชยาก็เห็นว่ากีรดิตกำลังจะยืนรออยู่หน้าลิฟท์ด้านหลังตัวอาคารซึ่งจัดไว้เป็นพิเศษสำหรับวีไอพีของบริษัท ซึ่งนอกจากผู้บริหารแล้วก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ใช้ ชั่วขณะที่กำลังจะย่างเท้าเข้าไปเขาก็ส่งสายตามาบอกนัยบางอย่างซึ่งรู้กันระหว่างทั้งคู่ว่าเป็นการบอกให้หญิงสาวไปขึ้นรถเขายังสถานที่นัดหมาย
ภายในลิฟท์โดยสารมนัญชยายิ้มตอบสายตาของพนักงานทีโอพีสามคนซึ่งจำเธอได้ แต่ดูเหมือนว่าขณะนี้เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับสิรามลจะอยู่ในความสนใจของทั้งสามมากกว่า และแม้จะเพียงกระซิบกันแต่ถ้อยความก็ลอยเข้าหูมนัญชยาโดยตลอด
“เออ...เรื่องมันก็แปลกจริง ๆ นะเธอ คุณซินดี้จะไปทำอะไรตรงบันไดหนีไฟก็ไม่รู้”
“อาจจะไปยืนสูบบุหรี่ก็ได้นะ รู้สึกว่าเธอจะติดบุหรี่นี่”
“แล้วไปทำอีท่าไหนถึงได้ตกบันไดได้ก็ไม่รู้ เห็นแม่บ้านบอกว่าตอนที่ไปเจอนะ เลือดไหลเปรอะไปหมดเลย เหตุการณ์เป็นยังไงก็ไม่มีใครรู้เพราะบริษัทเรากำลังวางระบบกล้องวงจรปิดใหม่ เลยไม่รู้ว่าคุณซินดี้ไปทำยังไงถึงได้ตกบันไดลงมาได้” พนักงานคนหนึ่งซึ่งน่าจะคิดว่าตนรู้มากกว่าใคร “นี่...แล้วรู้ไหม เขาลือกันให้แซดว่าคุณพิธานต้องวิ่งปิดปาก เอ้ย...ปิดข่าวใหญ่เลยว่าคุณซินดี้น่ะท้อ...”
คนหนึ่งในกลุ่มดูจะมีสติกว่าใครรีบสะกิดให้เพื่อนหยุดคำสนทนาเพราะในกล่องเหล็กนั้นมีมนัญชยาอยู่ด้วย หญิงสาวอึดอัดกับบรรยากาศเงียบผิดปกติไม่นานก่อนที่ประตูลิฟท์จะเปิดออก พนักงานทีโอพีทั้งสามรีบเดินผละออกไปทว่าข้อมูลที่ได้ยินได้ฟังนั้นยังคงอยู่กับมนัญชยา เธอครุ่นคิดถึงคำพูดของพนักงานทั้งสามกับถ้อยคำที่ได้ยินจากปากสิรามลเรื่องข่าวดีของนักแสดงสาวรุ่นพี่กับกีรดิต
ทำอย่างไรก็ไม่อาจจะสลัดความเชื่อมโยงของสองเรื่องนี้ออกไปจากความคิดได้เลย
“คิดอะไรอยู่เหรอหมี่เกี๊ยว”
เสียงเรียกของกีรดิตเรียกสติของมนัญชยาจากที่นั่งเหม่อออกไปนอกกระจกหน้าต่างรถ
“คะ”
“คุณทักผมเมื่อตอนซ้อมว่าผมใจลอย ตอนนี้คุณก็ดูใจลอย ๆ คิดอะไรอยู่เหรอ”
มนัญชยาเม้มริมฝีปากก่อนคลายออกแล้วเอ่ยถึงคนที่กำลังอยู่ในความคิดคำนึง “เกี๊ยวเป็นห่วงคุณซินดี้ค่ะ เคยเห็น ๆ กัน จู่ ๆ ก็มาประสบอุบัติเหตุ ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรมากรึเปล่านะคะ”
ชะงัก...กิริยาของกีรดิตหลังจากได้ยินคำพูดของเธอน่าจะเรียกได้เช่นนั้น เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มอ่อน
“เขาถึงมือหมอแล้วคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง”
“คุณเกมจะไปเยี่ยมเธอไหมคะ”
“ทำไมผมต้องไปเยี่ยมเขาด้วยล่ะหมี่เกี๊ยว” กีรดิตถาม น้ำเสียงนั้นเหมือนจะห้วนขึ้นมาเล็กน้อย “ผมไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเขาขนาดนั้นหรอก”
แต่...พี่เกมกับคุณซินดี้เคยมีข่าวว่าคบกัน
มนัญชยาเก็บข้อสงสัยนั้นไว้เพียงในใจเพราะคิดว่าการเอ่ยซักอาจสร้างความไม่พอใจให้กับกีรดิตได้ เธอเคยได้อ่านกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวเขามาไม่น้อย จึงรู้ว่าเรื่องส่วนตัวของกีรดิตไม่เคยได้รับการเปิดเผยที่ไหนเลย เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักข่าวสายบันเทิงว่าเขาไม่เอ่ยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น
เมื่อเธอนิ่งอยู่พักหนึ่งคนที่นั่งหลังพวงมาลัยจึงถามขึ้น
“พรุ่งนี้ไม่มีคิวซ้อมบท คุณไปไหนรึเปล่า”
“เกี๊ยวคงไปไหนไม่ได้หรอกค่ะ ที่พรุ่งนี้ไม่ได้ซ้อมก็เพราะมีคิวไปออกรายการกับยัยปลากิ้ง...เอ่อ...กับยัยปลา ปริศนาน่ะค่ะ”
พอบอกชื่อรายการไปเขาก็ร้องอ๋อออกมาเบา ๆ
“รายการนี้เรตติ้งดีเลยนะ พิธีกรสัมภาษณ์เขาเก่งมาก ทำรายการสนุกมีอารมณ์ขันแต่ว่าแม่นสคริปท์ ไม่ถามอะไรนอกเรื่องที่แจ้งไว้ ว่าแต่ได้รับคำถามรึยัง”
“ได้แล้วค่ะ เกี๊ยวก็ว่าเป็นคำถามทั่วไป คงไม่มีอะไรมาก”
“เตรียมคำตอบเอาไว้บ้างก็ดีเวลาไปสัมภาษณ์จะได้ไม่ตื่นเต้น”
“ขอบคุณคุณเกมมากนะคะที่ช่วยแนะนำ”
“ผมเต็มใจอย่างมากที่จะช่วย” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ขอแค่คุณไม่ทำให้ผมผิดหวังก็พอ”
“เกี๊ยวจะพยายามให้เต็มที่ค่ะ คุณเกมไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“ขอให้ผมได้ห่วงคุณสักหน่อยไม่ได้เหรอ”
“คะ” มนัญชยารู้สึกได้ถึงความร้อนที่ผะผ่าวขึ้นบนพวงแก้ม รถยนต์ของชายหนุ่มแล่นมาถึงบริเวณที่เธอลงจากรถทุกวันพอดี “เอ่อ...ขอบคุณคุณเกมนะคะ เอาไว้เจอกันวันมะรืน”
พื้นถนนที่เคยเดินอยู่ทุกวันให้ความรู้สึกแปลกไปอย่างที่ไม่เคยเป็น สำหรับมนัญชยามันเหมือนการเหยียบย่างลงไปบนปุยเมฆ เบา ล่องลอยพาให้เคลิบเคลิ้ม ขณะเดียวกันก็เจือด้วยความหวาดหวั่นว่าจะเหยียบทะลุก้อนเมฆตกลงไปสู่พื้นดิน
บ้าจริง...ทำไมสลัดคำพูดของคุณซินดี้ออกจากหัวไม่ได้เลยนะ
กฤตินีขับรถมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยจนถึงหน้าเขตกำแพงคฤหาสน์หลังใหญ่ รถยนต์คันใหญ่ที่เธอรู้ดีว่าเป็นของใครจอดอยู่ข้างรั้ว หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนตัดสินใจหยุดรถหน้าประตูรั้วใหญ่เลยจากรถยนต์คันนั้นเล็กน้อย ภาพสะท้อนจากกระจกมองหลังทำให้รู้ว่าพี่ชายกำลังก้าวลงจากรถ
“พี่เกม มาเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่เหรอคะ นี่กำลังจะกลับหรือว่ากำลังจะเข้าบ้านคะ”
“ดึกป่านนี้แล้วทำไมถึงเพิ่งกลับ”
น้ำเสียงของกีรดิตทำเอาหญิงสาวใจคอไม่ดีนัก
“กิ่งไปทานข้าวกับเพื่อนน่ะค่ะ”
“นายเจตใช่ไหม...ทำไมพี่เตือนแล้วไม่เชื่อกันบ้างล่ะกิ่ง นายคนนั้นไม่ใช่คนดี”
“ไม่ใช่นะคะ กิ่งไปทานข้าวกับเพื่อนสมัยเรียนค่ะ”
“แล้วกับนายเจต ยังติดต่อกันอยู่ใช่ไหม”
คำถามของพี่ชายทำให้กฤตินีนิ่งงัน ไม่กล้าตอบ เธอไม่กล้าโกหกและยิ่งไม่อยากมีปัญหาถ้าเอ่ยปากบอกความจริง
“ถึงเธอจะไม่ตอบ พี่ก็รู้ว่าเธอยังไปไหนมาไหนกับถิรเจต” คนเป็นพี่ถอนใจหนักหน่วง “พี่พูดละเอียดไม่ได้ แต่ในฐานะที่พี่อยู่ในวงการพี่รู้อะไรเกี่ยวกับนายนั่นเยอะกว่ากิ่งแน่ เชื่อพี่เถอะนะ ห่าง ๆ จากเขาไว้ได้เป็นดี ไม่อย่างนั้นเธอคงจะต้องเสียใจเข้าสักวัน”
“ค่ะ”
เวลานี้คำตอบเดียวที่พี่ชายอย่างได้ยินคงเป็นแค่คำสั้น ๆ คำนี้และหญิงสาวก็ไม่ได้คิดว่าเธอจะลงหลักปักฐานกับถิรเจตเพียงแค่คบหาดูใจกันเท่านั้นจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร
“แล้วพี่เกมไม่เข้าบ้านเหรอคะ คุณพ่อถามถึงพี่เกมอยู่เหมือนกัน”
“ดึกแล้ว...พี่กลับก่อนก็แล้วกัน และหวังว่าเธอคงจะเชื่อพี่นะกิ่ง”
กฤตินีรับคำเพียงสั้น ๆ อีกครั้งหากรู้ดีว่าทำได้ไม่เต็มเสียงนักจึงพยายามฝืนยิ้มให้พี่ชายก่อนกล่าวราตรีสวัสดิ์ ระบายลมหายใจยาวขณะที่นำพาหนะคู่ใจเข้าสู่ภายในเขตรั้วคฤหาสน์
หลังจากสอบถามกับคนรับใช้ทราบว่ามารดาของเธอเข้านอนแต่หัวค่ำส่วนบิดานั้นยังไม่กลับ กฤตินีจึงไม่ได้แวะเข้าไปหาผู้ให้กำเนิดเช่นทุกคืน เมื่อเข้าห้องนอนได้ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดต่อสายถึงถิรเจตซึ่งบ่นกับเธอว่าปวดศีรษะเมื่อตอนที่แยกกัน ทว่าเขาปิดเครื่อง เมื่อโทร.เข้าไปที่หมายเลขโทรศัพท์สายตรงในห้องพักที่คอนโดนิเนียมของชายหนุ่ม สัญญาณก็ดังอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดไปที่เทปเสียงซึ่งเขาอัดไว้เพื่อบอกให้ผู้ติดต่อมาฝากข้อความ
เธอเพียงแค่กดตัดสัญญาณไม่ได้ฝากข้อความอะไร ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะสลัดความคิดเกี่ยวกับถิรเจตออกไป อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน ความเหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวันทำให้หลับลงอย่างง่ายดาย
รายการเม้าท์กระจายเป็นรายการสัมภาษณ์บุคคลในวงการบันเทิงที่มีเรตติ้งสูงรายการหนึ่ง พิธีกรหญิงสองคนพูดคุยรับส่งมุกกันอย่างเข้าขา ขณะเดียวกันก็ไม่ได้พยายามทำตัวให้เด่นจนกลบความสำคัญของแขกรับเชิญ บรรยากาศในบันทึกเทปการสัมภาษณ์ผู้ได้ตำแหน่งชนะเลิศและรองชนะเลิศของการประกวดค้นหาเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสจึงเป็นไปอย่างสนุกสนานเป็นกันเอง
มนัญชยาและปริศนาตอบคำถามพลางพูดคุยกันอย่างสนิทสนมคุ้นเคย ชนิดที่คนที่พอจะรู้เรื่องราวตื้นลึกหนาบางระหว่างทั้งคู่คงจะแอบขันเมื่อเห็นเทปรายการออกอากาศ
ก่อนจะมานั่งให้สัมภาษณ์สองสาวยังแอบจิกกัดกันในห้องแต่งตัวเล็กน้อย เมื่อมนัญชยาหันไปจับตามองปริศนาที่นั่งทำตาปรือ หาวครั้งแล้วครั้งเล่า
‘มองอะไรหมี่เกี๊ยว ไม่เคยเห็นคนง่วงนอนเหรอจ๊ะ’
‘เปล่านี่…ก็มองว่าคนอะไร ขนาดง่วง หาวแล้วหาวอีก ตาช้ำอย่างกับหมีแพนด้าก็ยังดูดี’ คงมีเพียงผู้ฟังเท่านั้นที่รับรู้ว่าผู้พูดนั้นต้องการเน้นคำว่าหมีแพนด้ามากกว่าคำว่าดูดี ‘ต้องขอบคุณพี่ช่างแต่งหน้าเค้านะ ที่โปะกลบได้เก่งมาก’
‘อุ๊ย…ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ’ ผู้ถูกพาดพิงเข้ามาร่วมวงด้วย คนโดนแขวะเลยไม่ทันได้ตอบโต้ ‘น้องปลานี่เขาก็หน้าสวยอยู่นะคะ เสียแต่ว่าเมื่อคืนคงนอนดึกใช่ไหมคะ ตาช้ำมากเลย แล้วก็หาวน้ำหูน้ำตาไหลบ่อย ๆ นี่ถ้าเครื่องสำอางไม่กันน้ำพี่ว่าจากหมีแพนด้าอาจจะกลายเป็นผีตาเยิ้มได้นะคะเนี่ย’
‘พี่ว่าปลาเค้าเหมือนผีเหรอคะ’
‘จะบ้าเหรอหมี่เกี๊ยว พี่เขาเปรียบเทียบหรอกว่าถ้าเครื่องสำอางมันเลอะ มันจะดูเหมือนผี’
‘คู่นี้หยิกกัด หยอกกันน่ารักน่าเอ็นดูนะคะ’ คนที่แต่งหน้าให้มนัญชยาพูดขึ้นบ้าง ‘ประกวดด้วยกันมานานคงจะสนิทสนมกันดีสินะคะ’
คนสนิทสนมกันทั้งสองไม่ตอบคำหากปรายตามองกันเล็กน้อย ไม่ได้สนทนาอะไรกันอีกเมื่อทีมงานรายการเข้ามาตาม
ผู้กำกับรายการสั่งคัทเมื่อพิธีกรสองสาวพูดปิดรายการจบแล้ว หลังจากนี้จะมีการสัมภาษณ์วงดนตรีอินดี้หน้าใหม่มาแรงอีกหนึ่งเทป พิธีกรจึงต้องรีบกลับเข้าห้องแต่งตัวไปเปลี่ยนชุด ผู้ดูแลศิลปินของทีโอพีซึ่งรับหน้าที่พามนัญชยาและปริศนามาบันทึกเทปรายการในวันนี้เดินตรงเข้ามาหาผู้ที่อยู่ในความดูแล เธอเป็นหญิงวัยราวสี่สิบที่ยังดูอ่อนกว่าวัย คล่องแคล่วและดูเป็นมิตร
“คุณปลากับคุณเกี๊ยวจะกลับบ้านเลยไหมคะ พี่คงต้องขอแยกตรงนี้นะคะ คงไม่ได้กลับไปกับรถตู้บริษัท ว่าจะไปเยี่ยมคุณซินดี้เสียหน่อย”
“ตามสบายค่ะ”
มนัญชยาปรายตามองปริศนาซึ่งตอบอย่างไม่ค่อยสนใจอะไรนักมือไม้จับผมอย่างกลัวว่าจะไม่เป็นทรงทั้งที่การบันทึกเทปรายการก็ผ่านพ้นไปแล้วก่อนจะหันไปเอ่ยกับหญิงที่สูงวัยกว่า
“เกี๊ยวขอไปด้วยได้ไหมคะ คุณซินดี้เธอเคยช่วยแนะนำอะไรเกี๊ยวตอนแข่งขัน” เธอกล่าวแล้วสะกิดปริศนา “ไม่ไปด้วยกันเหรอปลา เยี่ยมคุณซินดี้แล้วค่อยกลับก็ได้”
“ไม่ล่ะเกี๊ยว ฉันติดธุระ” ปริศนาขึงตาใส่มนัญชยาแล้วหันไปยิ้มกว้างกับผู้ดูแลศิลปิน “เอาไว้ค่อยพบกันนะคะ วันนี้ปลาติดธุระจริง ๆ อ้อ...เดี๋ยวจะมีคนมารับปลาที่นี่ พี่จะให้รถตู้บริษัทไปส่งที่โรงพยาบาลก็ได้นะคะจะได้ไม่ต้องไปกันเอง”
“ไม่ดีหรอกค่ะ รถตู้ขอไว้มารับส่งคุณปลากับคุณเกี๊ยวทำงาน ใช้นอกเหนือจากที่แจ้งไว้จะโดนว่าเอาได้ ถ้าอย่างนั้นพี่ให้คนขับรถกลับไปเลยดีกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปรอหน้าสตูดิโอนะคะ คุณเกี๊ยวแต่งตัวเสร็จแล้วค่อยออกไปเยี่ยมคุณซินดี้กัน”
ปริศนายกมือพนมไหว้แล้วหันมาเบ้ปากใส่มนัญชยา เมื่อฝ่ายหลังเห็นว่าผู้ดูแลศิลปินผละออกไปแล้วก็ไม่มีอารมณ์จะปั้นหน้าใส่อีกฝ่ายเช่นกัน มนัญชาย่นจมูกใส่แสดงอาการเหม็นเบื่อ ต่างฝ่ายต่างขยับเดินไปทางห้องแต่งตัวพร้อมกัน ไหล่เบียดไหล่อย่างไม่ลดละ
รถแท็กซี่โดยสารนำหญิงสาวสองวัยเข้าสู่บริเวณหน้าโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งไม่ไกลจากสตูดิโอที่ใช้บันทึกเทปรายการเม้าท์กระจายมากนัก ขณะที่แล่นเข้าสู่ถนนทางเข้านั้นรถยนต์คันหนึ่งก็แล่นสวนออกมา ความคุ้นชินกับพาหนะคันนั้นทำให้มนัญชยาร้องออกมาเบา ๆ ขณะที่ผู้ดูแลศิลปินสาวใหญ่นั้นก็ดูจะจำรถยนต์คันนั้นได้เช่นกัน
“รถคุณเกมนี่ คงมาเยี่ยมคุณซินดี้ล่ะมั้ง”
ไหนพี่เกมบอกว่าไม่ได้สนิทสนมอะไรกันนี่นา แถมทำท่าหงุดหงิดด้วยที่เราถามเรื่องมาเยี่ยมคุณซินดี้ แล้วทำไมถึงได้มาได้ล่ะ...แค่บังเอิญล่ะมั้ง พี่เกมอาจจะไม่สบาย มาหาหมอที่นี่ก็ได้
สองสาวเคาะประตูก่อนก้าวเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ สิรามลซึ่งนั่งพิงหมอนอยู่บนเตียงคนไข้หันมามองแขกที่มาเยี่ยม ชั่วขณะหนึ่งที่ดวงตาสีน้ำตาลนั้นกร้าวขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ริมฝีปากงามจะคลี่ยิ้มทำให้ใบหน้าดูละมุน ความดุดันในแววตาเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเอ่ยทักทายกับผู้ดูแลศิลปินสาวหากเมินเฉยเมื่อนักแสดงรุ่นน้องกระพุ่มมือไหว้ มนัญชยาจึงอาสานำของเยี่ยมที่ทั้งสองซื้อมาจากร้านในโรงพยาบาลไปวางที่โต๊ะกลางของชุดรับแขก
“เจ็บตรงไหนบ้างคะ คุณซินดี้”
“ไม่เจ็บแล้วล่ะค่ะ มันชินชาไปหมด” น้ำเสียงของสิรามลสั่นเครือ น้ำใสเอ่อคลอที่ดวงตาหากใบหน้างามนั้นเชิดขึ้น “แล้วทำไมเด็กคนนี้ถึงได้มาด้วยกันได้คะ”
“พี่เพิ่งพาคุณเกี๊ยวกับคุณปลาไปอัดรายการเม้าท์กระจายมาค่ะ พอบอกว่าจะมาเยี่ยมคุณซินดี้ คุณเกี๊ยวเขาก็ขอตามมาเยี่ยมด้วย บอกว่าเพราะคุณซินดี้เคยให้คำแนะนำดี ๆ กับเธอ”
สิรามลพยักหน้าเบา ๆ เหลืองมองมนัญชยาด้วยสายตาเรียบนิ่งไร้แววอารมณ์ใด
“วันนี้คุณซินดี้ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนเลยเหรอคะ พี่คงอยู่ด้วยได้ไม่นานนะคะ เพราะต้องรีบไปธุระเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรคะ...ถ้าหมี่เกี๊ยวเขาอยากมาเยี่ยมก็ดีแล้วค่ะ”
สิรามลยิ้มกว้างให้มนัญชยาหากรอยยิ้มนั้นกลับสร้างความรู้สึกอึดอัดให้คนที่ได้รับ หากเธอก็ยิ้มตอบแต่โดยดี
“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยก็แล้วกันนะ เผื่อว่าจะได้คุยกัน เดี๋ยวสักหัวค่ำคนที่บ้านฉันก็คงจะมาแล้วล่ะ...หรือถ้าติดธุระก็ไม่เป็นไร”
“เกี๊ยวไม่ได้มีธุระอะไรค่ะ ถ้าอยู่เป็นเพื่อนคุณซินดี้สักพักก็คงได้”
เธอมองสภาพคนที่นั่งพิงหมอนอยู่บนเตียงแล้วตัดสินใจได้ว่าอีกฝ่ายคงต้องการใครสักคนที่อยู่ช่วยเหลือหยิบจับอะไรบ้างแม้อีกฝ่ายจะมีท่าทางแปลก ๆ อยู่ก็ตาม แต่คงไม่ถึงกับลุกขึ้นมาจับเธอหักคอ บางทีคนเจ็บอาจต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ แต่ไม่ใช่คนที่จะแสดงออกถึงความอ่อนแอให้ใครเห็นเท่านั้น
ผู้ดูแลศิลปินสาวอยู่เยี่ยมสิรามลเพียงครู่ก็ขอตัวกลับ เมื่ออยู่เพียงลำพังมนัญชยาก็หันมาไปมองสิรามลอย่างเก้อเขิน ยิ้มให้เพียงเล็กน้อยก่อนเอ่ย
“ถ้าคุณซินดี้อยากได้อะไรก็บอกนะคะ เดี๋ยวเกี๊ยวช่วยจัดการให้เอง”
ดาราสาวลูกครึ่งมองไปทางโต๊ะรับประทานอาหารซึ่งทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้สำหรับญาติที่มาเยี่ยมไข้
“ฉันอยากจะทานผลไม้ เธอช่วยจัดการปอกให้หน่อยสิ มีคนล้างไว้ให้แล้วก่อนหน้าเธอจะมา”
มนัญชยารับคำก่อนจะเดินไปที่โต๊ะกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบมีดและผลไม้ในตะกร้าขึ้นมาสายตาก็ไปปะทะกับวัตถุซึ่งวางอยู่ข้างตะกร้าพอดี
สิ่งที่เธอเห็นอยู่บนข้อมือของใครคนหนึ่งมาหลายครั้ง
“มีอะไรเหรอหมี่เกี๊ยว”
หญิงสาวหันไปมองคนที่นั่งอยู่บนเตียงอีกฝ่ายทำทีคล้ายกับเขม้นมองมาบนโต๊ะอาหาร เมื่อเห็นว่าอะไรอยู่บนโต๊ะก็ร้องอ๋อออกมาเบา ๆ
“นาฬิกาของคุณเกม สงสัยเขาจะลืมเอาไว้ ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวเขาก็คงจะมาเอาไปแล้วล่ะ ยังไงเขาก็ต้องหาโอกาสมาเยี่ยมฉันอีกอยู่ดี”
มนัญชยาพยายามปรับอารมณ์และสีหน้า คว้าผลไม้และมีดปอกขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีเหมือนไม่สนใจวัตถุข้างตะกร้า กระนั้นก็ยังรู้สึกได้ว่ามือไม้สั่นเล็กน้อย แม้กระทั้งเมื่อถือจานใส่ผลไม้ไปวางบนโต๊ะแบบเข็นได้ ออกแรงดันเบา ๆ เพื่อให้ตำแหน่งพอดีกับมือของสิรามลจะเอื้อมมาคว้าได้
“แข้งขาเจ็บแบบนี้แย่จังนะ ต้องคอยรบกวนให้คนอื่นคอยเดินไปหยิบโน่นนี่ให้ คงไม่ลำบากเธอมากนักใช่ไหม”
“คุณซินดี้ไม่เป็นไรมากกว่านี้ก็ดีแล้วค่ะ เกี๊ยวยินดีที่ได้ช่วย”
คนปลอบพูดทั้ง ๆ ที่ใจคอของตนก็ยังไม่ค่อยดีนัก ทว่าปฏิกิริยาของผู้ที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้นั้นทำเอาเธอตกใจ
จู่ ๆ สิรามลก็สะอื้อนไห้ออกมา น้ำใสเอ่อล้นดวงตาคู่งามอาบสองแก้ม
“คุณซินดี้...เป็นอะไรไปคะ”
มนัญชยาเอ่ยถามพลางเอื้อมไปคว้ากระดาษเช็ดหน้าบนโต๊ะข้างเตียงมาส่งให้สิรามลฝ่ายหลังรับไปซับพวงแก้มที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตายังไม่คลายจากอาการสะอึกสะอื้น
คนที่ปกติเห็นสิรามลในกิริยาท่าทางอีกแบบยืนมองอย่างทำอะไรไม่ถูก ผู้ที่อยู่ในชุดคนไข้ของโรงพยาบาลสะอื้นเบาลงก่อนจะนิ่งได้ในที่สุดเมื่อหันมามองสบตามนัญชยา นักแสดงสาวรุ่นพี่ก็หัวเราะออกมาด้วยท่าทีเหยียบหยัน
“น่าอายจังนะ ฉันมาแสดงความอ่อนแอให้เธอเห็นซะได้”
“คุณซินดี้บาดเจ็บ จิตใจก็คงอ่อนไหวเป็นธรรมดามั้งคะ”
สิรามลพยักหน้าเบา ๆ ก่อนเอ่ย “ฉันต้องขอโทษด้วย ที่เคยพูดอะไรไม่ดีกับเธอ ทำนองว่าเธอใช้เส้นสาย วันนั้นฉันคงจะหงุดหงิดไปหน่อย”
คนที่เคยถูกกล่าวหาไม่ตอบโต้เพราะมั่นใจว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรอย่างที่อีกฝ่ายเคยพูดตราหน้า
“เท่าที่ฉันคุยกับคนอื่นมาเขาบอกว่า ช่วงประกวด ตอนที่เรียนการแสดง เวิร์คช็อป ฝึกซ้อมร้องเพลง เธอก็ทำได้ดีนะ ไม่ขัดเขิน แล้วก็ดูมุ่งมั่นมากในการฝึกซ้อม แบบนี้ล่ะมั้งคะแนนจากกรรมการถึงได้ช่วยเก็บเธอไว้ตอนอาทิตย์ที่เธอได้คะแนนโหวตต่ำสุด คงจะร่ำเรียนมาเยอะก่อนจะมาประกวดสินะ”
“เปล่าค่ะ...เกี๊ยวแค่เคยเรียนร้องเพลงตอนเด็ก ๆ แต่เรื่องการแสดงเกี๊ยวลองฝึกเองหน้ากระจกทุกวัน อาศัยจำจากในโทรทัศน์น่ะค่ะ ตอนฝึกซ้อมการแสดงก็ตั้งใจทำตามที่ครูสอนทุกอย่าง”
“อยากจะบอกว่าตัวเองเป็นพวกมีพรสวรรค์สินะ”
น้ำเสียงนั้นฟังแปลกหู หากอีกฝ่ายพูดจบก็ยิ้มอ่อนทำให้มนัญชยาแคลงใจว่าสิรามลมีเจตนาใดกันแน่ หญิงสาวกำลังจะเดินกลับไปนั่งที่โซฟาเมื่อนักแสดงสาวรุ่นพี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแปร่งปร่า
“เธอว่าเด็กที่ต้องตายทั้งที่ยังไม่ลืมตาดูโลกเขาจะรู้สึกเจ็บปวดไหม”
ทั้งเสียงพูดและเนื้อความที่ออกจากปากสิรามลตรึงมนัญชยาเอาไว้กับที่ และเหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นมีดึงตัวให้หันกลับไปมองสบตาผู้ป่วย หญิงสาวลูกครึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นอีกครั้งเรียกให้เธอเข้าไปยืนข้างเตียงส่งกระดาษเช็ดหน้าให้
“ขอโทษนะ วันนี้ฉันควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จริง ๆ ฉันไม่ควรให้เธอต้องมารับรู้เรื่องนี้ด้วยเลย มันคงทำให้เธอลำบากใจ” สิรามลพูดทั้งที่ยังสะอื้น “แต่เธอรับปากฉันได้ไหมว่าจะไม่ไปบอกใคร”
“คุณซินดี้”
คนที่นั่งบนเตียงพยักหน้าเบา ๆ ยังคงร้องไห้สะอื้นอยู่
“โชคดีที่คุณพิธานช่วยเหลือปิดข่าวให้ ไม่อย่างนั้นป่านนี้หนังสือพิมพ์คงลงข่าวไปแล้วว่าฉันท้อง”
คุณซินดี้ท้อง...กับใคร? ที่พนักงานบริษัทพูดกันนี่ไม่ใช่แค่ข่าวลือใช่ไหม
“ไม่เป็นไรนะคะ คุณซินดี้ เกี๊ยวสัญญาค่ะ ว่าจะไม่บอกใครเรื่องนี้ทุกอย่างจะเป็นความลับไม่เล็ดลอดออกจากห้องนี้เด็ดขาด”
“ขอบใจนะ เรื่องนี้ต่อให้คนลือกันยังไงก็คงไม่มีผลอะไรเพราะยังไงซะสั้นก็เสียแกไปแล้วจริง ๆ” สิรามลเอื้อมมือไปลูบบริเวณหน้าท้อง ยิ้มแห้งแล้ง “ฉันก็ได้แต่หวังว่าเรื่องนี้จะทำให้ฉันกับเขาปรับความเข้าใจกันได้จริงจังสักที เพราะเขาก็เสียใจมากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น”
“เขา...” มนัญชยาไม่กล้าแม้แต่จะถามสิรามลว่าอีกฝ่ายหมายถึงใครทั้งที่ในใจนั้นคิดถึงคนคนหนึ่ง “เขาเป็นคนทำให้คุณซินดี้เป็นแบบนี้เหรอคะ”
“มันเป็นอุบัติเหตุ เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอกเราอย่าไปพูดถึงมันเลยนะ โชคดีที่วันนั้นกล้องวงจรปิดที่ทีโอพีมีปัญหาไม่อย่างนั้นถ้ามีคนเห็นเทปภาพจากวงจรปิดคงเป็นข่าวใหญ่โตกันแน่ ฉันเองก็พร้อมที่จะให้อภัยเขาถึงเขาจะทำตัวเหมือนเดิมต่อไปฉันก็คงว่าอะไรเขาไม่ได้” นักแสดงสาวรุ่นพี่ระบายลมหายใจหนักหน่วง “เธอรู้ไหมว่าฉันต้องทนทำใจแค่ไหนเวลาเห็นเขาไปสนิทสนมกับผู้หญิงคนอื่น ใช้เสน่ห์แบบที่เขาถนัดกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้ไปทั่ว ฉันเฝ้าหวังว่าเขาจะคิดจริงจังกับฉันแล้วก็เลิกเห็นผู้หญิงคนอื่นเป็นของเล่นสักทีแต่ตอนนี้ฉันก็ไม่ได้มีอะไรยึดเขาไว้ได้อีกแล้ว”
“แต่เขา...ก็ยังมาเยี่ยมคุณซินดี้ไม่ใช่เหรอคะ”
“ฉันบอกแล้วไงว่ายังไงเราก็ตัดกันไม่ขาด แต่ความสัมพันธ์ของเรามันก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาเรื่อย ๆ ยิ่งเขาต้องคอยปิดข่าวความสัมพันธ์กับผู้หญิงด้วย เราก็เลยไม่คืบหน้าไปไหนกันสักที” สิรามลเอ่ย น้ำตาเอ่อรินขึ้นมาอีกครั้ง “ขนาดฉันที่เขาดูจะจริงจังด้วยที่สุดเขายังเป็นแบบนี้ กับผู้หญิงคนอื่นเขาคงจะเป็นยิ่งกว่านี้ ฉันเองก็ไม่อยากเห็นผู้หญิงด้วยกันต้องตกอยู่ในสภาพกล้ำกลืน ทุกข์ทน เธอเข้าใจฉันใช่ไหม”
มนัญชยาทำได้เพียงพยักหน้ารับคำเท่านั้น ในสมองมีแต่ความคิดคำนึงถึงคำพูดของสิรามลวนเวียนไปมาไม่หยุดหย่อน
กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2554, 11:02:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2554, 11:02:00 น.
จำนวนการเข้าชม : 2737
<< ตอนที่ 9 |
lovemuay 15 ต.ค. 2554, 15:04:35 น.
ยัยซินดี้แอบน่าสงสัย บางทีอาจจะท้องกะนายเจนต์ แล้วมาแอบอ้างว่าเป็นลูกคุณเกม ให้หมี่เกี๊ยวเข้าใจผิดรึป่าว? เดาเอานะคะ +55
ยัยซินดี้แอบน่าสงสัย บางทีอาจจะท้องกะนายเจนต์ แล้วมาแอบอ้างว่าเป็นลูกคุณเกม ให้หมี่เกี๊ยวเข้าใจผิดรึป่าว? เดาเอานะคะ +55