เพราะเธอคือความรัก
สิ่งที่จะผูกมัดดวงใจของเขาเอาไว้ได้ คือความรักจากใจเธอ
Tags: ความรัก สายธาร กรวิท

ตอน: ตอนที่ 2

เธอก็แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ไม่สวยเหมือนใครๆที่ผมเคยคบมา แต่ทำไมใบหน้าของเธอถึงได้คอยวนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา แม้ว่าเราจะเลิกกันมาหนึ่งอาทิตย์แล้วก็ตาม และมันเป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ทรมานผมมากที่สุด

ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะกระพริบถี่ๆเพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงแดดที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างบานยาว ผมลุกขึ้นนั่งบนโซฟาตัวยาวที่ใช้ต่างที่นอนเมื่อคืนนี้ บิดตัวไปมาเล็กน้อยเพื่อคลายความเมื่อยล้า ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาติดผนังเรือนใหญ่ทางด้านข้าง เลยสิบโมงมานานแล้ว และผมก็ไปทำงานสายอีกตามเคย ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง อดเหลียวมองโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกข้างโซฟาไม่ได้

...ไม่มีอีกแล้ว เสียงใสที่เคยปลุกผมผ่านทางสายโทรศัพท์ในทุกๆเช้า...

‘ตื่นได้แล้วค่ะวิท ระวังไปทำงานสายนะ’

บางครั้ง แม้ว่าผมจะรับโทรศัพท์ แต่ก็ยังไม่ยอมลุกจากที่นอน แล้วเธอก็จะเริ่มเล่นเกมยี่สิบคำถามกับผม ถามจนผมตาสว่างและต้องลุกจากที่นอนไปโดยปริยาย
หากบางครั้ง ผมเคยแอบหงุดหงิดและรำคาญจนถึงขั้นไม่ยอมรับโทรศัพท์ของเธอ ก่อนจะต้องตกใจเมื่อเห็นเธอยืนอยู่หน้าประตูห้องด้วยสีหน้าห่วงใยในอีกหนึ่งชั่วโมงถัดมา

‘เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ธารโทรมาตั้งหลายครั้งไม่เห็นรับ’ น้ำเสียงร้อนรนกับแววตาจริงใจของเธอทำเอาผมโกรธไม่ลง ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะเตือนตัวเองว่าครั้งต่อไปให้รับโทรศัพท์ของเธอ

มาวันนี้...ต่อให้ผมจะตื่นสายสักแค่ไหน ก็คงไม่มีใครมาคอยปลุกอีกแล้ว

ผมแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนคลุมทับด้วยสูทสีควันบุหรี่ก่อนจะขับรถตรงไปยังบริษัท ผมไม่ได้ยึดการเดินแบบหรือถ่ายโฆษณาเป็นอาชีพหลัก ครอบครัวของผมมีธุรกิจนำเข้าน้ำหอมแบรนด์ดังจากต่างประเทศ และผมซึ่งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวก็ต้องรับผิดชอบโดยการขึ้นนั่งในตำแหน่งรองประธานบริษัท ความเฉลียวฉลาดและตั้งใจทำงานของผมทำให้ผมกลายเป็นที่ยอมรับของกลุ่มผู้บริหารได้ภายในเวลาไม่นาน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ค่อยพอใจในพฤติกรรมการคบผู้หญิงของผมสักเท่าไร หากก็ยอมให้ความร่วมมือในการทำงานร่วมกันกับผมเป็นอย่างดี

แต่แล้วอะไรบางอย่างก็ดลใจให้ผมเปลี่ยนเส้นทางไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางใจเมืองเพื่อตรวจเช็คความนิยมและความต้องการของลูกค้าส่วนใหญ่แทน ผมก้าวเข้าไปในช็อปทันทีที่มาถึง ยืนคุยกับผู้จัดการสาขาที่ออกมาต้อนรับสักพัก ก่อนจะเดินชมการจัดเรียงสินค้าภายในร้านไปเรื่อยๆ

ขวดน้ำหอมหลากลายรูปทรงที่วางเรียงอยู่ตามตู้โชว์และชั้นวางที่ได้รับการจัดตกแต่งให้เข้ากับไอเดียในการผลิตทำให้ผมอดนึกถึงเธอไม่ได้ ผมเคยพาเธอเข้ามาเยี่ยมชมสินค้าในช็อปแห่งนี้ด้วยกัน ก่อนจะบอกให้เธอเลือกน้ำหอมไปใช้ขวดหนึ่งเหมือนที่เคยบอกผู้หญิงคนอื่นๆที่เคยคบมา แต่เธอกลับยิ้มบางๆก่อนส่ายหน้า

‘ธารไม่ชอบน้ำหอมค่ะ กลิ่นมันฉุน ดมแล้วเวียนหัว’ คำตอบของเธอทำเอาผมอดยิ้มด้วยความแปลกใจไม่ได้ ไม่บ่อยนักที่จะมีผู้หญิงสักคนปฏิเสธของขวัญจากผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำหอมราคาแพง

แม้ว่าเธอจะไม่ชอบน้ำหอมและไม่เคยคิดจะใช้มัน หากผมกลับได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเธอทุกครั้งที่เข้าใกล้ กลิ่นหอมเย็นคล้ายๆดอกมะลิ น่าแปลกที่แม้แต่ในตอนนี้ ผมก็ยังรู้สึกคล้ายกับได้กลิ่นหอมชนิดนั้นอยู่

ชั่วขณะหนึ่ง ผมอดคิดไปถึงครั้งแรกที่เราพบกันไม่ได้ ครั้งนั้นผมพบกับเธอในสภาพที่ไม่ค่อยน่าดูเท่าไร ศีรษะของผมมีเลือดไหลอาบเพราะถูกของแข็งฟาดโดยแรง ไม่ใช่ว่าผมถูกโจรจี้ชิงทรัพย์มาหรอก แต่ผมเพิ่งบอกเลิกกับผู้หญิงที่มีดีกรีเป็นถึงนักกีฬามหาวิทยาลัยมาต่างหาก หลังจากถูกคุณเธอฟาดด้วยแจกันจนหัวแตก ผมก็รีบขับรถมายังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที และเธอก็บังเอิญเป็นแพทย์เวรที่ประจำอยู่ห้องฉุกเฉินพอดี

ในระหว่างที่พยาบาลกำลังเตรียมอุปกรณ์สำหรับใช้ในการทำแผล เธอคงสังเกตเห็นสีหน้ากังวลปนหวาดกลัวของผม เลยเข้ามากระซิบข้างๆว่า

‘ไม่เจ็บหรอกค่ะ เรามียาชา’ เธอยิ้มอย่างปลอบโยนก่อนจะเดินกลับเข้าไปภายในห้องตรวจตามเดิม และเป็นโชคดีของผมที่ดูเหมือนวันนี้คนไข้จะน้อยกว่าปกติ เธอถึงมีเวลากลับออกมาดูผมอีกครั้งในระหว่างที่รอให้ยาชาออกฤทธิ์

‘ชามั้ยคะ’ เธอก้มลงถามผมด้วยน้ำเสียงหวานเย็น ในขณะที่แพทย์เวรอีกคนกำลังใช้อะไรบางอย่างสะกิดบริเวณรอบๆบาดแผล

น่าแปลกเหลือเกิน ที่ผมรู้สึกสงบและผ่อนคลายทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของเธอ ในตอนนั้น..ผมได้แต่สงสัยว่าทำไมเธอถึงมีวิธีการออกเสียงที่ทำให้รู้สึกสงบและคลายความหวาดกลัวลงได้อย่างน่าประหลาด และแม้แต่ในตอนนี้ ผมเองก็ยังหาคำตอบไม่พบอยู่ดี และคงไม่มีโอกาสค้นหามันอีกแล้ว

ในระหว่างที่แพทย์อีกคนเย็บแผล เธอคอยพูดคุยเป็นเพื่อนผมอยู่ข้างๆ ท่าเอียงคอน้อยๆพลางแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนทำให้ผมอดรู้สึกถูกใจเธอไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงหาโอกาสมาโรงพยาบาลบ่อยขึ้น ก่อนจะค่อยๆลงมือล่อลวงให้เธอก้าวเข้ามาสู่หลุมพรางที่ผมวางไว้

เราสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมก็ยังไม่กล้าขอเธอเป็นแฟน อาจเป็นเพราะเธอแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่ผมเคยคบมา เธอไม่เคยแสดงออกว่ารับรู้ถึงสาเหตุที่ผมไปมาหาสู่เธออยู่บ่อยๆ สายตาที่เธอมองผมมีแต่ความห่วงใยและจริงใจ จนผมแทบจะมองไม่เห็นร่องรอยของความชื่นชมเหมือนอย่างที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ใช้มองผมอยู่ในนั้นเลย ลึกลงไปผมยอมรับว่ากลัวถูกเธอปฏิเสธ ความเรียบเฉยของเธอสั่นคลอนความมั่นใจของผมพอสมควร แต่ความทะนงตัวของผมมีมากกว่า และมันก็ผลักดันให้ผมเสี่ยงที่จะบอกเธอในวันหนึ่ง

‘เราลองมาเป็นแฟนกันดูดีมั้ย’ พอพูดไปแล้วผมก็ได้แต่กลั้นใจรอฟังคำตอบ เธอนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ดวงหน้าขาวแม้จะเรียบเฉย แต่ดวงตามีแววกังวลนิดๆ ทำเอาผมอดรู้สึกใจหายไม่ได้ แต่แล้วคำตอบของเธอก็ทำเอาผมยิ้มออก

‘ตกลงค่ะ’

ในระหว่างคบกัน ผมก็ยังคงเป็นผมที่มีข่าวกับผู้หญิงไม่เว้นแต่ละวัน และหลายครั้งที่ผมผิดนัดกับเธอเพียงเพื่อจะพานางแบบสักคนไปทานมื้อค่ำ หากเธอก็ยังเป็นเธอ..ที่สามารถรักษาท่าทางและน้ำเสียงที่ใช้กับผมได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่มีเลยสักครั้งที่เธอจะแสดงอาการแง่งอนหรือปั้นปึ่งเย็นชาใส่ผม เธอเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นเสมอ จนบางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่าเธอไม่เคยรักผมเลย ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนอย่างจริงจัง หากผมกลับคาดหวังความรักจากผู้หญิงทุกคนที่ผมคบด้วยเสมอ ด้วยเหตุนี้ผมจึงลองใจเธออยู่บ่อยครั้ง แกล้งควงผู้หญิงคนอื่นไปให้เธอเห็นบ้าง เอ่ยชมผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าเธอบ้าง และแม้แต่ครั้งสุดท้าย..บอกเลิกกับเธอ เธอก็ยังไม่แม้แต่จะมองผมด้วยสายตาอาวรณ์เลยสักนิด กลับกัน..เธอทำท่าดุจสิ้นอาลัยในตัวผมได้อย่างสนิทนัก และมันคือต้นเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดใจและไม่เป็นอันทำอะไรมาตลอดทั้งอาทิตย์นี้ พอคิดมาถึงตรงนี้แล้ว ผมก็อดโมโหขึ้นมาอีกไม่ได้

‘เธอเป็นใครกัน ถึงทำเหมือนผมเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง’








ฉันเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าโดดเด่นหรือสะดุดตาจนทำให้ใครต่อใครต้องเหลียวมอง ฉันเป็นคนที่ถ้าใครสักคนเดินผ่าน ก็คงผ่านเลยกันไป และใครคนนั้นก็คงลืมฉันได้ภายในเวลาไม่นาน หรือบางที..ใครคนนั้นอาจจะไม่ทันสังเกตเห็นฉันด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุนี้ฉันถึงได้ยอมเลิกกับกรวิทอย่างง่ายดายทันทีที่เขาเอ่ยขอ เพราะฉันรู้ตัวดีอยู่เสมอว่าไม่มีอะไรเทียบเคียงเขาได้ และสักวัน...แวดวงชีวิตของเขาคงทำให้พบใครสักคนที่พรั่งพร้อมและถูกใจเขามากกว่าฉัน

หลังจากวันแรกที่เราคบกันเป็นแฟน เขาก็ขับรถมารับฉันในตอนกลางวันเพื่อพาไปทานอาหารร้านอร่อยด้วยกัน แล้วมันก็กลายเป็นกิจวัตรที่เราต้องทำร่วมกันทุกวันในที่สุด แม้ว่าหลายครั้งต่อมาเขาจะผิดนัดฉันอยู่บ่อยๆ หากสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยลืมเลยก็คือ การทานอาหารกลางวันร่วมกันกับฉัน จนเพื่อนๆในที่ทำงานของฉันเริ่มรับรู้ในความสัมพันธ์ระหว่างเรา และเริ่มกล่าวเตือนฉันในที่สุดเพราะรู้ดีถึงกิตติศัพท์เรื่องผู้หญิงของเขา

‘ระวังจะตกหลุมพราง ถูกนายนั่นหลอกเอาได้ง่ายๆนะธาร’

แทบทุกครั้งฉันจะทำเพียงยิ้มรับโดยไม่ตอบอะไรกลับไป คนอื่นหรือแม้แต่เขาคงคิดว่าฉันถูกล่อลวงให้ก้าวลงไปในหลุมพรางนั้นโดยไม่รู้ตัว หากแต่ฉันเท่านั้นที่รู้ดีว่า ฉันเต็มใจและเลือกที่จะก้าวลงไปในนั้นด้วยตัวเอง ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าหลังจากที่ก้าวกลับขึ้นมาอีกครั้ง ฉันจะได้รับทั้งความหวานชื่นและความขมขื่นติดตัวมาพร้อมกัน

นั่นก็เพราะว่าฉันแอบประทับใจในตัวเขามาเนิ่นนาน และเมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง ความมีชีวิตชีวาของเขาก็ค่อยๆแทรกซึมเข้าสู่หัวใจของฉันทีละน้อย กว่าจะรู้ตัวอีกที ฉันก็รักเขาไปแล้วทั้งใจ

ครั้งแรกที่เราทั้งสองคนพบกัน ไม่ใช่ในโรงพยาบาลอย่างที่เขาหรือใครหลายๆคนเข้าใจ แต่มันคือค่ายศิลปะตอนปิดเทอมหน้าร้อนในขณะที่ฉันเรียนอยู่ชั้น ป.3 ในตอนนั้นเราถูกสอนให้พับกระดาษเป็นนาฬิกาข้อมือ มันอาจฟังดูเหมือนง่าย แต่ฉันก็ทำไม่ได้สักที ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆกำลังจะทำสำเร็จ ฉันก็เริ่มร้อนใจ ขอความช่วยเหลือจากใครต่อใครวุ่นวายไปหมด แต่ทุกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตายุ่งอยู่กับงานของตนเองก็ไม่มีใครสนใจฉันสักคน ฉันเริ่มหน้าซีด ว้าวุ่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ หากในขณะที่น้ำตาเกือบหยด มือคู่หนึ่งก็ยื่นมาคว้ากระดาษแผ่นยาวในมือของฉันไป

‘ทำให้ดีกว่า นี่ไง ง่ายจะตาย’

นาทีนั้น ภาพของเด็กผู้ชายลูกครึ่ง เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนสะบัดปลาย ได้ทับซ้อนกับภาพของเจ้าชายใจดีในนิทานเรื่องโปรดของฉันเสียสนิท ฉันแอบอ่านชื่อที่ติดอยู่บนอกเสื้อของเด็กคนนั้นก่อนจะจำมันได้ขึ้นใจมาจนถึงทุกวันนี้ ในขณะที่วันเวลาล่วงเลยผ่านไป วงชีวิตของฉันกับเขาก็ถูกแยกให้ไกลห่างกันออกไปเรื่อยๆ แต่แล้ววันหนึ่งฉันก็มีโอกาสได้พบกับเขาอีกครั้งบนหน้าปกนิตยสารฉบับหนึ่ง

‘นี่ธาร เธอดูสิ นายแบบคนนี้เลิกกับแฟนอีกแล้วล่ะ’

ฉันหัวเราะเบาๆกับการเกาะติดข่าวคราวของเพื่อน แม้จะบ่นว่าเขาไม่ดีอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ก็หยิบยกข่าวที่เกี่ยวกับเขามาพูดอยู่ไม่วายเว้น

‘หน้าตาดีซะเปล่า พฤติกรรมนี่ไม่ไหวเอาซะเลย’ แม้ว่าจะเป็นประโยคตำหนิ แต่ฉันกลับจับได้ถึงกระแสชื่นชมที่ซ่อนอยู่ในนั้น จึงชักอยากจะเห็นหน้าพ่อนายแบบยอดแย่ของเพื่อนขึ้นมาบ้าง

‘ไหนขอดูหน่อยซิ’ ฉันว่าพลางหยิบนิตยสารในมือเพื่อนมาดู ใบหน้าขาวคมคิ้วเข้มของนายแบบบนปกกับลักยิ้มเล็กๆตรงมุมปากทั้งสองข้างทำให้ฉันไม่นึกแปลกใจเลยหากว่าเขาจะเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆเกือบค่อนเมืองตามที่เพื่อนฉันเคยกล่าวอ้างไว้ หากที่จับใจฉันมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นดวงตาสีน้ำตาลเข้มค่อนข้างวาวภายใต้กรอบตายาวเรียวล้อมรอบด้วยแพขนตายาวที่แม้แต่ผู้หญิงอย่างฉันยังอดอิจฉาไม่ได้ ฉันยิ้มก่อนจะไล่สายตาลงมายังตัวอักษรสีดำเข้มตัดกับพื้นปกสีเทาด้านล่าง หัวใจพลันเกิดความรู้สึกชาวาบขึ้นมาอย่างประหลาด

‘กรวิท โรจนเบญจกุล’

ฉันจ้องชื่อนั้นราวกับไม่เคยเห็น อ่านทวนราวกับจะให้แน่ใจว่าเป็นชื่อเดียวกันกับที่อยู่ในห้วงคำนึงของฉันตลอดหลายปีที่ผ่านมาจริงๆ นาทีนั้น สายตาของฉันคล้ายพร่าเลือนไปชั่วขณะ รู้สึกคล้ายกับไม่ได้ยินเสียงใดๆรอบกายอีก นอกเสียจากเสียงหัวใจที่เต้นแรงจนฉันรู้สึกได้ถึงจังหวะรัวเร็วของมัน

เขาไม่ใช่เด็กผู้ชายน่ารักแสนใจดีเช่นภาพจำในความคิดของฉันอีกต่อไปแล้ว กาลเวลาได้เปลี่ยนแปลงให้เขาเติบโตเป็นชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม และกาลเวลาอีกเช่นกันที่หล่อหลอมให้เขากลายเป็นใครอีกคนที่ฉันแทบไม่รู้จัก ผู้ชายใจร้ายที่เปลี่ยนผู้หญิงเป็นว่าเล่นราวกับเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่หลงเหลือเค้าของเด็กผู้ชายใจดีคนเดิมอีกต่อไป

ฉันอดรู้สึกเสียดายลึกๆไม่ได้ ไม่มีอีกแล้ว...เจ้าชายรูปงามแสนใจดีของฉัน

แต่แล้ววันหนึ่ง แวดวงชีวิตของเราทั้งสองคนก็หมุนวนกลับมาเจอกันอีกจนได้ แวบแรกที่เห็นเขา ฉันได้แต่ยืนนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก มองดูพยาบาลวิ่งหาผ้าและสำลีมาซับเลือดที่ไหลซึมออกมาบริเวณข้างขมับกันอย่างขะมักเขม้น กว่าจะตั้งสติได้ก็ตอนที่เห็นพยาบาลคนหนึ่งวิ่งไปหยิบอุปกรณ์ที่ใช้ในการเย็บและทำแผลอย่างรีบเร่ง

ฉันตัดสินใจเดินตรงไปยังเตียงที่ถูกจับจองโดยร่างสูงที่นอนตะแคงงอตัวพลางใช้มือข้างหนึ่งกดผ้าสะอาดลงตรงบริเวณบาดแผลเพื่อห้ามเลือด ใบหน้าเกลี้ยงเกลาขาวซีดกว่าที่เห็นในนิตยสาร ริมฝีปากสีสดดูคล้ายแห้งผากเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ฉันจึงก้มลงปลอบเขาเหมือนที่เคยทำกับคนไข้รายอื่นๆ

‘ไม่เจ็บหรอกค่ะ เรามียาชา’ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องตรวจเมื่อเห็นพยาบาลคนเดิมวิ่งกลับมาพร้อมแพทย์เวรอีกคนน่าแปลกที่วันนี้คนไข้มีไม่มากเหมือนเช่นวันอื่นๆ ฉันจึงมีโอกาสกลับออกมาดูเขาอีกครั้ง ในขณะที่แพทย์เวรกำลังจะเริ่มต้นลงมือเย็บแผล ดวงตาสีน้ำตาลน่ามองคล้ายมีรอยกังวลพาดผ่าน ฉันจึงชวนคุยเพื่อให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆระคนกลิ่นเหงื่อในระยะใกล้ ทำให้ฉันอดรู้สึกร้อนผ่าวไม่ได้

หลังจากวันนั้นเราก็มีโอกาสได้พบเจอกันอีกเรื่อยๆ เพราะดูเหมือนเขาจะมีธุระที่โรงพยาบาลบ่อยขึ้น บ่อยครั้งที่ความเป็นหญิงบอกกับฉันว่าเขาไม่ได้บังเอิญมาพบฉันแต่เขาตั้งใจ หากแต่ความจริงที่ว่าทางชีวิตของเราสองคนแทบจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวเนื่องหรือไปด้วยกันได้เลย ทำให้ฉันปัดความคิดนั้นทิ้งไปเสีย

ด้วยเหตุนี้ยามเมื่อเขาเอ่ยปากขอฉันเป็นแฟน ฉันจึงอดตระหนกปนประหลาดใจไม่ได้ หากก็มีสติพอที่จะใช้สีหน้าและอาการใจเย็นปกปิดความรู้สึกตื่นเต้นยินดีภายในใจเอาไว้ คิดไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ในขณะที่เขาเองก็มองมาอย่างรอคอย และน่าแปลกที่ฉันคล้ายมองเห็นรอยกังวลในนั้น ที่ฉันต้องไตร่ตรองให้ดี ไม่ใช่เพราะเกรงว่าจะถูกเขาทำให้เจ็บช้ำ แต่ที่ทำให้ฉันหวั่นใจคือ หากฉันตอบตกลง นั่นหมายความว่า ฉันจะมีโอกาสได้วนเวียนอยู่ในแวดวงชีวิตของเขาอีกเพียงสองอาทิตย์เท่านั้น แล้วต่อจากนั้น...เขาก็คงไม่โคจรกลับมาหาฉันอีก หากท้ายที่สุดแล้ว...ฉันก็ตัดสินใจตอบตกลง เพียงเพราะเห็นแก่ความหวานชื่นที่คอยเฝ้าฝันมาตลอดหลายปี คงไม่ผิดนักหากฉันคิดจะกอบโกยความสุขในช่วงเวลานี้ ก่อนที่เขาจะเดินหันหลังออกจากชีวิตฉันไปตลอดกาล

ตลอดเวลาที่เราคบกันเป็นแฟน ข่าวคราวเรื่องผู้หญิงคนใหม่ของเขาก็ลอยเข้ามาให้ฉันได้ยินอยู่เสมอ หากฉันก็เลือกที่จะนิ่งมากกว่าซักถามให้เขาหงุดหงิดหรือชวนทะเลาะให้เราทั้งคู่ต่างโมโห เพราะนั่นเท่ากับเป็นการลดทอนเวลาสองอาทิตย์ที่ฉันมีอยู่ให้น้อยลง ในที่สุดแล้วไม่ใช่ฉันที่มีสิทธิ์ครอบครองเขา ไม่ใช่ฉันที่เขาจะรักหรือใช้ชีวิตร่วมด้วย จึงเปล่าประโยชน์หากฉันคิดจะแสดงตนเป็นเจ้าของเพื่อเรียกร้องให้เขาสนใจ

หากฉันก็ไม่ใช่แม่พระ ฉันเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง และผู้หญิงทุกคนต่างคาดหวังความรักความซื่อสัตย์จากคนที่ตนรักด้วยกันทั้งนั้น บ่อยครั้งฉันจึงอดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ยามที่เขาเอ่ยถึงผู้หญิงคนอื่นด้วยน้ำเสียงชื่นชม และหลายครั้งที่ฉันแทบสะอื้นยามมองเขาควงผู้หญิงคนอื่นมาให้เห็นต่อหน้า ก่อนจะฝืนทำเป็นเข้มแข็งและไม่ตีโพยตีพายให้เขารำคาญใจ ทั้งที่ฉันรู้ดีว่า...จิตใจอันเปราะบางของฉันเริ่มจะมีรอยร้าวปรากฏขึ้นบ้างแล้ว

ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันได้กลับคืนสู่สถานะภาพของสาวโสดอีกครั้ง แม้ตอนกลางวันจะไม่มีเจ้าของดวงหน้าแย้มยิ้มสดใสมารับไปทานอาหารเหมือนเมื่อสองอาทิตย์ก่อน แต่เพื่อนรอบข้างที่ต่างก็แสดงออกว่าห่วงใยฉันนักหนาก็พาไปทานอาหารที่อร่อยไม่แพ้กันเป็นการทดแทน และมันก็ทำให้ฉันไม่ต้องทนนั่งเศร้าเพียงเพราะคิดถึงใครบางคน

ในแต่ละวันทำงานฉันมักวิ่งวุ่นอยู่กับการตรวจรักษาและพูดคุยกับคนไข้จนไม่มีเวลาว่างพอให้รู้สึกเหงาหรือคิดฟุ้งซ่าน แต่เมื่อวันหยุดมาถึง ฉันก็อดกลัวไม่ได้ว่าจะถูกความรู้สึกเหล่านั้นเข้าโจมตี เลยตัดสินใจออกไปหาอะไรทำนอกบ้านบ้างเพื่อให้ไม่เหลือเวลามากพอที่ความรู้สึกเหล่านั้นจะก่อร่างสร้างตัวจนสามารถบั่นทอนกำลังใจฉันได้ เหมือนเช่นในวันนี้ที่ฉันกำลังเดินเลือกซื้อของสดในซุปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนชั้นล่างสุดของห้างดังกลางใจเมือง

ฉันเดินเข็นรถไปยังตู้เย็นที่เปิดออกโล่งจนมองเห็นของสดภายในชัดเจน หยิบผักกาดหอมที่ถูกบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกขึ้นมาเลือกดูอย่างพินิจ พลางคิดว่าจะเอาไปทานกับน้ำสลัดที่ซื้อทิ้งไว้ในตู้เย็นที่บ้านเมื่อสองวันก่อน เมื่อได้ถุงที่ถูกใจเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงหันหลังกลับเพื่อนำไปใส่ลงในรถเข็นรวมกับข้าวของอื่นๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพบกับร่างสูงคุ้นตาของใครบางคน ฉันนิ่งไปอย่างคาดไม่ถึง หัวใจดิ่งลงไปแทบเท้า และเป็นครั้งแรกที่ฉันปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความรู้สึกนึกคิดทั้งมวล

“มาซื้อของเหรอ”

“ค่ะ วิทล่ะมาทำอะไร” กว่าฉันจะหาเสียงของตัวเองพบก็เมื่อเขาเอ่ยทักขึ้นมาก่อน

“มาสำรวจตลาดน่ะ” เขาพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่ฉันไม่คาดว่าจะได้ยิน

“เที่ยงกว่าแล้ว ไปหาอะไรทานกันมั้ย”

ในชั้นแรกฉันเกือบตอบปฏิเสธออกไป หากใบหน้าขาวคมที่ดูซูบกว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นกับดวงตาฉายรอยครุ่นคิดแกมเศร้าหมองทำให้อดรู้สึกลังเลไม่ได้

“ถ้า...ติดธุระ ก็ไม่เป็นไร” แล้วน้ำเสียงแหบแห้งคล้ายพึมพำอยู่ในลำคอก็ราวกับเป็นตัวตัดสินทุกอย่าง

“ไปสิคะ แต่วิทคอยเดี๋ยวได้มั้ย” ฉันถามพลางมองไปทางรถเข็นเป็นเชิงอธิบาย ก่อนจะเดินตามร่างสูงที่รับอาสาเข็นรถให้ ตรงไปยังเคาน์เตอร์คิดเงิน

ถึงจะเลิกกัน ฉันกับเขา...เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นี่นา

สิ่งที่ฉันต้องทำตอนนี้...คือเข้มแข็งให้มากพอที่จะกลับไปยิ้มให้เขาได้อย่างจริงใจอีกครั้ง



roseolar
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 พ.ย. 2554, 06:57:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ส.ค. 2558, 18:03:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1444





<< ตอนที่ 1   
yume 19 พ.ย. 2554, 09:53:53 น.
รักกันแต่ไม่แสดงออก ทำไมกันอิอิ


kuttarut 19 พ.ย. 2554, 20:53:28 น.
ชอบคะ รออ่านมานานแล้วคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account