รอยร่างรางรัก
หญิงสาวคนหนึ่งกลายเป็นวิญญาณไร้ร่าง ส่วนอีกคนต้องติดอยู่ในร่างที่ไม่ใช่ตัวเธอเอง โดยมีเบื้องหลังอยู่ที่ความปรารถนาอันแรงกล้าของหญิงสาวอีกคนหนึ่ง

รอยร่างแห่งรักจะนำพาเธอทั้งหมดไปลงเอยที่ใด

ตีพิมพ์ในชื่อ "ลิขิตร่างพรางรัก"
Tags: วิญญาณ ดวงจิต สลับร่าง

ตอน: ตอนที่ 1

โรงเรียนสอนศิลปะและถ่ายภาพภายในห้างสรรพสินค้าค่อนข้างวุ่นวายในวันหยุด แม้ว่าครูหนึ่งคนจะสอนเด็กเพียงไม่เกินห้าคนหากสภาพภายในห้องเรียนเล็ก ๆ ก็ไม่ต่างจากสนามรบขนาดย่อม เด็ก ๆ ชะโงกไปดูผลงานกันและกัน ติชมบ้าง ทะเลาะกันเรื่องสีที่ควรใช้ในรูปวาดบ้าง

ครูสาววัยต้นยี่สิบมองภาพเด็กนักเรียนแล้วคลี่ยิ้มให้กับความร่าเริงสดใสของเด็ก เธอไม่ได้จบการสอนศิลปะสำหรับเด็กมาโดยตรงแต่อาศัยความที่มีจิตใจรักในเด็กและศิลปะ รวมถึงได้รับโอกาสจากเจ้าของโรงเรียนจึงได้มาสอนในโรงเรียนแห่งนี้และยังรับจ้างออกแบบเครื่องประดับให้กับร้านภายในห้างฯ

“ครูฝนคะ...มิคไม่ยอมให้ผึ้งระบายหมาสีม่วง” เด็กหญิงผึ้งฟ้อง “เอาสีของเค้าคืนมานะ”

ครูฝนของเด็ก ๆ เป็นหญิงสาวผิวขาว ใบหน้ารูปหัวใจ ผมสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่านั้นหยักศกช่วงปลายเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลใสเป็นประกายเมื่อมองดูการโต้ตอบของเด็กนักเรียนวัยซน

“ก็มันไม่มีหมาสีม่วง” เด็กชายโต้ทันควัน “หมาสีม่วง...มิคไม่เคยเห็น”

“สัตว์ประหลาดที่ตัววาด เค้าก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน”

สลิลารีบรุดเข้าไปห้ามศึกเด็กน้อยทั้งสอง “ไม่เป็นไรจ๊ะ จะระบายหมาเป็นสีม่วงหรือจะวาดสัตว์ประหลาดก็ได้ ครูฝนบอกแล้วไงคะ ว่าครูฝนอยากให้ฝึกจินตนาการ แล้วก็ฝึกหัดการวาดแล้วก็ระบายสี ไหนดูสิ...”

หญิงสาวเอ่ยชมภาพสุนัขที่เริ่มลงสีม่วงไปหย่อมนึงแล้ว ก่อนจะหันไปพูดถึงความน่ากลัวของสัตว์ประหลาดที่ยังไม่ได้ลงสี เพียงเท่านั้นศึกระหว่างเด็กชายมิคและเด็กหญิงผึ้งก็สงบลงได้ เด็กทั้งสองหันไปสนใจแต่งานของตัวเองไม่ยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่าย

หมดชั่วโมงเรียนเด็กชายหญิงก็กรูกันออกจากห้องพร้อมกับผลงานภาพวาดระบายสีของตน เสียงตะโกนอวดพ่อแม่ดังขรม สลิลาที่เดินออกมาจากห้องเรียนอดหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่ได้

“เหนื่อยไหมคะน้องฝน” หญิงสาววัยยี่สิบปลายซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในโถงกลางถามยิ้มแย้ม “อดทนหน่อยนะคะ พี่กำลังพยายามหาคนมาทำอยู่”

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ฝ้าย ฝนทำไหว...ได้เงินทั้งค่าจ้างดูแลโรงเรียน ทั้งค่าสอน เหนื่อยนิดหน่อยแต่ปลื้มใจตอนสิ้นเดือน”

ธีธิมาและสลิลาหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กันก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ผู้ปกครองกลุ่มที่เพิ่งมารับบุตรหลานออกจากโรงเรียน ด้วยความที่เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาเหมือนกันทำให้นายจ้างและลูกจ้างสาวถูกอัธยาศัยกันเป็นพิเศษ

“วันนี้พี่คงต้องขอกลับเร็วหน่อยนะคะ ที่บ้านคุณเปรมเชิญคุณลุงของพี่ไปกินข้าวเย็นกันที่บ้าน เดี๋ยวสักพักคนขับรถคงจะมาถึงแล้ว”

สลิลารับคำนายจ้างสาว นึกอิจฉาชีวิตที่เพียบพร้อมของธีธิมาไม่น้อย เพราะนายจ้างสาวนั้นเป็นลูกหลานของเจ้าของธุรกิจโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง ครอบครัวสนับสนุนเต็มที่ในการเรียนศิลปะ กระทั่งส่งไปเรียนถึงประเทศอิตาลี ทั้งยังเตรียมการสร้างธุรกิจโรงเรียนสอนศิลปะและการถ่ายภาพแห่งนี้ไว้ให้ ทั้งยังได้แต่งงานกับทายาทเจ้าของบริษัททัวร์ยักษ์ใหญ่ ธีธิมาต้องติดตามสามีไปทัวร์บ้าง ต้องพาลูกติดสามีไปโรงเรียนบ้างไปโรงพยาบาลบ้างดังนั้นจึงไม่ค่อยมีเวลามาดูแลโรงเรียนนัก แต่สลิลาก็ไม่เคยคิดว่านายจ้างเอาเปรียบ เพราะธีธิมานั้นอนุญาตให้เธอสามารถใช้วันหยุดตามที่ควรได้รับเพิ่มเติมในช่วงวันจันทร์ถึงศุกร์นอกเหนือจากวันหยุดปกติสัปดาห์ละหนึ่งวัน ทว่าสลิลาสนุกกับงานจนกระทั่งไม่เคยขอใช้วันหยุดพิเศษเลยแม้แต่วันเดียว

“ตามสบายค่ะ วันนี้ฝนไม่ได้รีบไปไหน...งานออกแบบเครื่องประดับก็เพิ่งส่งไปวันก่อน ยังไม่มีลูกค้าใหม่เข้ามา แค่ช่วยดูแลเด็ก ๆ ครูแล้วก็ผู้ปกครองแค่นี้สบายมากค่ะ”

งานออกแบบเครื่องประดับไม่ต้องอยู่ประจำร้านดังนั้นในช่วงแรกสลิลาจึงมาที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เพียงแค่ช่วงที่มีการสอนและมีนัดรับงานและส่งงานออกแบบให้กับลูกค้า แต่ทำได้ไม่นานผู้ช่วยประจำโรงเรียนก็ลาออกเนื่องจากได้งานทำในจังหวัดบ้านเกิด ธีธิมาเจ้าของโรงเรียนวุ่นวายหาผู้ช่วยอยู่พักใหญ่ก่อนจะออกปากชวนให้สลิลามาทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้ช่วยดูแลโรงเรียนสลับกับสอนนักเรียนระหว่างที่ยังหาคนมาทำงานไม่ได้ ชีวิตของสลิลาจึงวนเวียนอยู่แต่กับบ้านและห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ตลอดเจ็ดวันในหนึ่งสัปดาห์

วิจิตรและฐิติพ่อแม่ของสลิลาบ่นอุบเมื่อเดินทางมาหาลูกสาวและลูกชายที่บ้านในกรุงเทพว่าทั้งพารินธรและสลิลาต่างพากันทำงานไม่สนใจจะไปเยี่ยมเยือน

“ตอนยัยฝนยังเรียนหนังสืออยู่ก็พอจะไปอยู่ไร่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่บ้าง แต่พอเรียนจบก็เข้าตำราเดียวกับพี่ชาย ทำงานจนลืมพ่อลืมแม่”

วิจิตรหย่อนระเบิดลงบนโต๊ะอาหารทันทีที่พารินธรลูกชายกลับจากที่ทำงาน พนักงานสินเชื่ออาวุโสของธนาคารพาณิชย์ชื่อดังที่ยังไม่ทันจะหย่อนตัวลงนั่งดีมองหน้าน้องสาวแบบรู้ชะตากรรม

“พ่อกับแม่ถึงต้องถ่อมาหาลูกกันนี่แหละเพราะทนคิดถึงไม่ไหว”

การมาหาของวิจิตรนั้นหมายรวมไปถึงการมาสอดส่องดูแลเรื่องความประพฤติของลูกสาว และวี่แววการหาสะใภ้เข้าบ้านของลูกชายด้วยและแหล่งข้อมูลก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล หากต้องการรู้เรื่องลูกสาววิจิตรก็จะมาคาดคั้นเอากับลูกชาย เมื่อไหร่ต้องการรู้ว่าพารินธรพาว่าที่สะใภ้มาบ้านบ้างหรือไม่ก็จะมาถามเอากับสลิลา

“เมฆก็รีบ ๆ หาสะใภ้ มีหลานให้แม่เค้าอุ้มเร็ว ๆ สิ จะได้ไม่ต้องทนคิดถึงไม่ไหว ถึงต้องนั้นขี้คร้านจะมาอยู่เลี้ยงหลานประจำไม่ร่ำจะกลับไร่อีก”

ไร่ทิพย์ทิวทัศน์ของฐิติซึ่งได้รับมรดกตกทอดมานั้นแต่แรกก็ทำเพียงปลูกพืชเศรษฐกิจส่งขายให้กับพ่อค้าในท้องตลาด สามพี่น้องมีรายได้จากการขายพืชผลและแบ่งที่บางส่วนให้เช่าเป็นพื้นที่ทำกิน แต่เมื่อการท่องเที่ยวของอำเภอเริ่มเฟื่องฟู พี่น้องของฐิติก็ชักชวนให้เขาและภรรยาลงหุ้นกันทำธุรกิจที่พักแบบรีสอร์ทในไร่องุ่น ทำธุรกิจจากผลิตภัณฑ์แปรรูปและร้านอาหาร การทำธุรกิจแบบเครือญาติทำเอาสองสามีภรรยาปวดเศียรเวียนเกล้า แต่เมื่อนานแล้วก็กลับกลายเป็นรักในสิ่งที่ทำ แต่ก็เข็ดขยาดขนาดที่ไม่คิดจะส่งเสริมให้ลูกชายลูกสาวไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจ

ฐิตินั้นถึงกับบอกว่าถ้าทำจนหมดแรงเมื่อไหร่ก็ลดฐานะไปเป็นเพียงผู้ถือหุ้นและมอบหุ้นให้ลูกชายลูกสาวต่อ ส่วนพารินธรและสลิลาจะสนใจไปลองทำงานร่วมกับญาติพี่น้องหรือไม่นั้นก็สุดแล้วแต่ หากสองพี่น้องรู้ว่าลึก ๆ แล้วผู้ให้กำเนิดอยากให้ทั้งคู่เลือกที่จะรับผลประโยชน์จากหุ้นโดยไม่ต้องเข้าไปวุ่นวายกับการบริหาร

ในบรรดาทายาทของสามพี่น้องเจ้าของไร่นั้นมีเพียงลูก ๆ ของอาทิวเท่านั้นที่คอยช่วยงานและดูแลธุรกิจ ลูก ๆ ของป้าทิพย์นั้นแทบจะไม่เคยไปเหยียบทั้งไร่และรีสอร์ทเพราะติดความสบายและแสงสีของเมืองหลวงมากกว่าแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ทั้งป้าทิพย์และพ่อทิวของสลิลาพอมองเห็นทางว่าหากลูก ๆ ของตนไม่รับสืบต่อกิจการของครอบครัว ก็ยังมีคนที่พร้อมจะดำเนินการต่อโดยให้ลูก ๆ ของตนรับผลประโยชน์จากการดำเนินกิจการได้ โดยไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะถูกยักยอก เพราะป้าทิพย์และพ่อทิวต่างเชื่อมั่นในตัวอาทัศน์และภรรยาที่เลี้ยงลูกมากอย่างดี รวมถึงมั่นใจว่ามองหลาน ๆ ของตนเองไม่ผิด

ช่วงที่ยังเรียนมัธยมปลายกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยสลิลามักจะพาเพื่อน ๆ ไปเยี่ยมชมไร่ของเธอเสมอ บ้านพักของครอบครัวภายในรีสอร์ทนั้นหรูหราไม่ต่างจากห้องพักสำหรับแขก ทั้งบรรยากาศภายในรีสอร์ทก็เหมาะกับการไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจดังนั้นใครต่อใครจึงพากันนึกถึงบ้านไร่ของสลิลาเมื่อต้องการ

“ไม่ไหวครับพ่อ ผมทำงานห้าวันเต็ม บางทีเสาร์อาทิตย์ยังต้องมีนัดกับลูกค้าสินเชื่ออีกไม่มีเวลาหาสะใภ้ให้ คงต้องหวังพึ่งยัยฝนแล้วล่ะ เลี้ยงหลานตาไปก่อนก็แล้วกัน”

“ไหงมาโบ้ยให้น้องล่ะพี่เมฆ ตัวหาสะใภ้ให้แม่ไม่ได้เองแท้ ๆ เอ๊ะ...หรือว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง ไม่เคยเห็นพามาบ้านสักคน”

พารินธรได้แต่ร้องเรียกน้องสาวด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองไม่จริงจังนัก ขณะที่การลงโทษนั้นเขาไม่ต้องลงมือทำเองเพราะวิจิตรลุกขึ้นจากเก้าอี้ บิดแขนลูกสาว

“ยัยฝนพูดจาแบบนี้ได้ยังไง ลูกชายแม่เป็นผู้ชายเต็มตัว ไม่ใช่พวกรักเพศเดียวกันแน่ ๆ” ประโยคต้นนั้นเหมือนจะเชื่อมั่นเต็มร้อย แต่เมื่อหันไปถามลูกชายน้ำเสียงกลับดูไม่ค่อยแน่ใจนัก “ใช่ไหมตาเมฆ”

“โธ่…แม่ครับ ผมยืนยันได้ว่าแมนทั้งแท่ง แต่ทำงานจนไม่มีเวลาไปหลีหญิงที่ไหนจริง ๆ ที่เจอก็มีแต่ลูกค้า ส่วนใหญ่ก็เป็นสาวแก่แม่ม่าย ลูกโตเรียนประถม มัธยมกันแล้ว...เอ...หรือว่าแม่จะสนใจแบบนี้ดีล่ะครับ ลูกค้าสินเชื่อส่วนใหญ่ก็มีฐานะประมาณนึง การศึกษาก็ดี แถมไม่ต้องลำบากเลี้ยงหลานด้วย”

“โอ๊ย…อย่านะตาเมฆ ไม่อย่างนั้นแม่กลั้นใจตายจริง ๆ ด้วย”

ในตอนนั้นสองพี่น้องต่างมองกันยิ้ม ๆ โดยไม่ได้นัดหมาย รู้ว่าวิจิตรนั้นไม่ใช่คนหัวเก่าถึงขนาดที่จะมองแม่ม่ายทุกคนในแง่ร้าย แต่ก็ไม่ได้หัวสมัยใหม่พอที่จะอยากได้มาเป็นสะใภ้ คำพูดของพารินธรจึงยุติการสนทนาเกี่ยวกับความต้องการลูกสะใภ้ของผู้ให้กำเนิดได้ทันที


“พี่ว่าน้องฝนคงไม่เหงาแล้วล่ะคะวันนี้ มีเพื่อนมาอยู่ด้วย”

สลิลาหันไปมองธีธิมาที่นั่งอยู่ข้างกันแล้วจึงค่อยรู้ตัวมองไปที่ประตูกระจกพบชายหนุ่มคนหนึ่งมายืนส่งยิ้มแป้นให้พร้อมกับถุงขนมโดนัทยี่ห้อดัง

วงศ์วรัณหรือว่านเป็นเพื่อนร่วมเรียนของสลิลา ชายหนุ่มมีผิวเข้ม ร่างสูง ดวงตายาวรี จมูกโด่งใหญ่ ริมฝีปากค่อนข้างหน้า จะว่าวงศ์วรัณขี้เหร่ก็ว่าไม่ได้เต็มปาก หรือจะว่าเขาเป็นคนหล่อเหลาก็ไม่ใช่ แม้ว่าธุรกิจของที่บ้านจะไม่ได้ร่ำรวยประสบความสำเร็จนัก แต่ก็มีกำลังมากพอที่จะเปิดร้านขายเสื้อยืดเพ้นท์สีในทำเลที่ตั้งภายในย่านการค้าชื่อดังให้เขาทั้งดูแลกิจการ ออกแบบและเพ้นท์เสื้อผ้าเอง โดยมีเพื่อนร่วมเรียนมัธยมของเขาอีกสองคนมาลงขันลงเงินและแรงนอกเหนือจากงานประจำที่ทำเป็นหลักกันอยู่แล้ว แต่หุ้นส่วนทั้งสามจ้างลูกจ้างคอยประจำร้านจึงค่อนข้างมีเวลาเป็นของตัวเอง

วันไหนนึกขยันวงศ์วรัณก็ก้มหน้าก้มตาทำงาน ออกแบบเสื้อ เพ้นท์ตัวอย่างอยู่ที่ร้านทั้งวัน วันไหนนึกเบื่อก็นอนเล่นอยู่กับบ้าน เดินทางไปต่างจังหวัดหรือไม่เช่นนั้น...ก็เดินทางมาหาเธอที่โรงเรียน

ธีธิมาเคยเอ่ยชมรอยยิ้มของเพื่อนคนนี้ให้เธอฟังว่า

“พี่ว่าเพื่อนฝนคนนี้ยิ้มสดใจดีนะ เวลายิ้มเหมือนยิ้มทั้งหน้า ตาก็ยิ้ม ปากก็ยิ้ม”

คนที่ได้ฟังเพียงแต่ฟังผ่าน ๆ เพราะเคยเห็นรอยยิ้มของวงศ์วรัณมาตั้งแต่เรียนปีหนึ่งจนกระทั่งเรียนจบต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปทำงานของตน

วงศ์วรัณยกมือไหว้ธีธิมาก่อนวางถุงขนมลงบนโต๊ะ

“ผมซื้อโดนัทมาฝากฝนด้วยนะ เราเลือกแต่หน้าที่ฝนน่าจะชอบ”

“ขอบใจ” สลิลาเอ่ยพลางเปิดกล่องโดนัท หน้าตาของสิ่งที่อยู่ในกล่องทำให้อดไม่ได้ที่จะหยิบชิ้นที่เตะตาที่สุดออกมากัดก่อนส่งให้นายจ้างสาว “พี่ฝ้ายทานด้วยกันสิคะ”

“ไม่ดีกว่าค่ะ พี่ต้องเก็บท้องไว้กินมื้อเย็นที่บ้าน”

เสียงเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าถือซึ่งแขวนอยู่กับพนักเก้าอี้ที่ธีธิมานั่งดังขึ้น เมื่อเห็นชื่อที่หน้าจอเธอก็ส่งยิ้มให้กับลูกจ้างและเพื่อนหนุ่มก่อนจะผุดลุกขึ้น

“พี่ไปก่อนนะคะ คนขับรถโทร.มา คงจะมารอข้างล่างแล้ว”

สองหนุ่มสาวยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า มองตามร่างอวบของธีธิมาจนกระทั่งประตูกระจกดีดตัวปิดกลับมา สลิลาจึงหันไปมองวงศ์วรัณ เขายิ้มให้อย่างเอาอกเอาใจ แต่หญิงสาวกลับทำไม่สนใจ ก่อนจะลุกขึ้นไปดูแลครูสอนงานปั้นที่เพิ่งก้าวเข้ามาภายในโรงเรียน



วงศ์วรัณคอยช่วยเหลือสลิลาในการดูแลเด็กและพูดคุยกับผู้ปกครองบางราย เนื่องจากเขามีความรู้ด้านศิลปะจึงพอช่วยให้คำแนะนำกับผู้ปกครองที่สนใจนำลูกหลานมาเรียนรวมถึงให้คำปรึกษาเด็กโตที่มาสมัครเรียนด้วยตัวเองทำให้บางช่วงสลิลาได้มีเวลานั่งพักพลางจับตามองผู้ที่เป็นเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่ยังคงติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

กลุ่มเพื่อนที่เรียนคณะศิลปกรรมมาด้วยกันนั้นต่างก็ขึ้นชื่อว่าปากคอเลาะร้าย ทันกันเป็นที่สุดจะมีก็แต่วงศ์วรัณที่ดูจะมาเข้าร่วมกลุ่มแบบผิดที่ผิดทาง แต่เพราะความซื่อและยอมเพื่อนอยู่เสมอจึงไม่มีใครนึกหงุดหงิดเวลาที่เขาตามเพื่อนไม่ทัน แรก ๆ ต่างก็ผลัดกันอธิบายมุกตลกให้วงศ์วรัณฟัง ระยะหลังคนอื่นในกลุ่มพากันเอือม จะมีก็เพียงสลิลาและจริณพรเพื่อนอีกคนในกลุ่มที่คอยอธิบายให้เขาเข้าใจมุกตลกของคนอื่น หากที่รับบทหนักสุดก็คือสลิลาเองที่ชายหนุ่มมักจะให้ความสำคัญ ถามไถ่กับเธอมากกว่าเพื่อนหญิงอีกคนในกลุ่ม

การต้องคอยแจงมุกที่เพื่อนใช้ให้วงศ์วรัณฟังอยู่ตลอดนับตั้งแต่รู้จักกันมาห้าหกปี ทำให้หญิงสาวคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่ทื่อ...ถ้าไม่ใช่เพื่อนในกลุ่มที่สนิทกันสลิลาอยากจะใช้คำว่าทึ่มนิด ๆ เสียด้วยซ้ำ หากสิ่งดีอย่างหนึ่งที่เพื่อนต่างพากันลงความเห็นว่าชายหนุ่มผิวเข้มคนนี้มีอยู่เต็มเปี่ยมก็คือน้ำใจที่คอยช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอโดยเฉพาะกับสลิลาที่แทบไม่ต้องเอ่ยปากขอให้ช่วยอะไรวงศ์วรัณก็ปรี่เข้ามาช่วยเหลือเสียทุกสิ่ง

นอกจากวงศ์วรัณแล้วกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันของสลิลาตั้งแต่สมัยเรียนศิลปกรรมในมหาวิทยาลัยยังมีอีกสี่คนคือพสุหรือเผือก กฤษฎาหรือโด้ จริณพรหรือเจี๊ยบ และอภิรดีหรือแตงโม ทั้งหกคนสนิทสนมกันมากและบ่อยครั้งที่ต่างพากันไปพักผ่อนที่รีสอร์ท

พ่อแม่ ป้าและอาต่างยินดีกับการที่ลูกหลานไปเยี่ยมรีสอร์ท คอยต้อนรับเลี้ยงดูปูเสื่อเพื่อน ๆ ของสลิลาเป็นอย่างดีและที่สำคัญดูเหมือนจะคอยจับตาด้วยว่าในบรรดากลุ่มเพื่อนนั้นใครที่เป็นคนพิเศษของเธอ

“อึดอัดชะมัด พ่อแม่ ป้า อาพากันจ้องตลอด แถมนายว่านก็คอยเอาอกเอาใจ วนเวียนใกล้ ๆ อยู่เรื่อย เดี๋ยวผู้ใหญ่ก็เข้าใจผิดว่าเป็นแฟนกันพอดี”

สลิลาหลุดปากพูดเมื่อกลุ่มผู้ชายพากันไปจับจองพื้นที่กลางเต็นท์นอนเปลี่ยนบรรยากาศ อภิรดีรีบสะกิดจริณพรทันทีก่อนเอ่ยปาก

“ฉันก็นึกว่าใช่เสียอีก คนนึงก็คอยทำตัวซื่อ ๆ ไม่ทันมุก อีกคนนึงก็เหมือนทำอะไรไม่เป็นต้องให้อีกคนค่อยช่วยทำโน่นนี่ให้ตลอด”

“จะบ้าเหรอยัยแตงโม ฉันเปล่านะ นายว่านต่างหากที่คอยอาสาทำโน่นทำนี่ให้ แล้วที่จริงเขาก็ช่วยเหลือเพื่อน ๆ ทุกคนนั่นแหละ ใช่ไหมเจี๊ยบ”

“จ๊ะ” จริณพรรับคำสั้น ๆ ไม่ต่อความหากตั้งข้อสังเกตไปอีกทาง “แต่ส่วนใหญ่ว่านเขาก็สนใจแต่กับฝนไม่ใช่เหรอ”

“เห็นไหมล่ะขนาดเจี๊ยบยังสังเกตเห็นเลย” อภิรดียังเย้าแหย่ไม่เลิก “ตัวเธอเองเถอะแน่ใจรึเปล่าว่าไม่ได้สนใจนายว่าน ฉันว่าไป ๆ มา ๆ ยัยฝนต้องลงเอยกับนายว่านตัวดำแน่ ๆ หนี...ไม่...พ้น”

“เลิกพูดเลยนะยัยแตงโม ไม่อย่างนั้นฉันจะกลับกรุงเทพมันตอนนี้แหละ ไม่ค้างแล้วที่นี่”

หญิงสาวยื่นคำขาดทำให้อภิรดียอมเลิกล้อ แต่ยังแกล้งทำท่าซุบซิบกับจริณพรแบบยั่วหยอก สลิลาจะว่าอะไรก็ไม่ได้เพราะไม่ได้ยินว่าอภิรดีพูดอะไรกับจริณพรที่เพียงแต่ฟังนิ่ง คงเพราะจริณพรเองก็รับหน้าที่คอยขยายความมุกตลกของกลุ่มเพื่อนให้วงศ์วรัณฟังเหมือนกันกับเธอเลยนึกเห็นใจ และกลัวจะเข้าตัว

เมื่อเพื่อนชายผิวเข้มเงยหน้าจากการปักหมุดลงกับพื้นสนามหญ้าส่งยิ้มมาให้ สลิลานึกขวางขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกและคอยย้ำกับตัวเองว่า

หนีไม่พ้นอะไรกัน...ฉันกับนายว่านไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ยัยแตงโมก็ตัวดีแซวอยู่ได้...ฉันไม่มีทางลงเอยกับนายว่านแน่ ชอบ...ก็ไม่ได้ชอบสักนิด



คอร์สเรียนศิลปะช่วงวันหยุดเลิกเร็วกว่าวันธรรมดาที่คนมักจะมาเรียนกันในช่วงเย็น ดังนั้นหลังหกโมงเย็นไปแล้วโรงเรียนจึงค่อนข้างเงียบ และเมื่อต้องเผชิญกับการเอาอกเอาใจคอยถามโน่นนี่หาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาพูดคุยกับตน สลิลาก็ชักไม่สนุก...แน่ล่ะ ใครจะยอมให้โดนเพื่อนล้อไปตลอดว่าหนีนายเพื่อนตัวดำคนนี้ไม่พ้นกัน

“นี่นายว่าน นายไม่คิดจะกลับไปดูแลร้านบ้างเหรอ วันหยุดแบบนี้ลูกค้าน่าจะแน่นร้านนะ”

“ก็เพราะลูกค้าแน่นน่ะสิ ไม่มีที่ให้อยู่ เพื่อนที่หุ้นด้วยกันก็ไม่มีใครไปหรอก จะไปร้านก็ตอนใกล้ปิดโน่นแหละ เช็คสต็อก วันธรรมดาก็ไปนั่งวาดแบบ เพ้นท์เสื้อเพลิน ๆ”

“ทำเล่น ๆ ตามประสาลูกคนรวย”

“รวยอะไร ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย เราก็แค่อธิบายให้ฟังว่าไปร้านวันคนแน่น ๆ มันเกะกะ แล้วตอนนี้ก็เริ่มมีออเดอร์เสื้อล็อตใหญ่ ๆ ที่ส่งทำโรงงาน มันก็เดินของมันไปได้นะแล้วเรื่องบัญชงบัญชีอะไรพ่อแม่เราก็จ้างบริษัทบัญชีมาช่วยดูแล้วด้วย”

“นายว่าน...ฉันแค่แซวเล่น ไม่ต้องอธิบายเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้นก็ได้นะ ฉันรู้ว่านายไม่ใช่คนเหลวไหล”

วงศ์วรัณยิ้มกว้าง...รอยยิ้มแบบนี้ละมั้งที่ทำให้สลิลาหงุดหงิดเพื่อนตัวดำคนนี้ไม่ลงสักที จะเอ่ยปากปฏิเสธน้ำใจของเขาก็ไม่เคยทำได้สักครั้ง

“จะปิดโรงเรียนเลยไหม”

“ยังไม่ได้ต้องรอตามเวลา ไม่งั้นโดนห้างปรับ เขาไม่ให้ปิดก่อนกำหนดเวลา”

“แล้วหิวหรือยัง”

สลิลาขยับจะหันไปบอกว่าไม่หิว แต่ยิ้มของชายหนุ่มก็เปลี่ยนคำตอบได้แทบจะในทันที

“ก็หิวแล้วล่ะ”

“งั้นเดี๋ยวเราไปซื้ออาหารที่ฟู้ดคอร์ทมาให้ อยากกินอะไร...หรือว่าจะกินพวกไก่ทอด พิซซ่า เบอร์เกอร์ เอาอะไรดี”

หญิงสาวระบายลมหายใจยาวก่อนสั่งอาหารจานเดียวง่าย ๆ

“กระเพราไก่ไข่ดาว...ของโปรดฝนเลยสินะ เราจำได้ว่าฝนสั่งบ่อยที่สุดตั้งแต่สมัยเรียน”

คนที่ได้รับการเอาอกเอาใจอย่างมากเกินต้องการได้แต่พยักหน้าเบา ๆ มองตามร่างของหนุ่มผิวเข้มที่รีบก้าวฉับ ๆ ออกจากโรงเรียนไปแล้วนึกถึงคำพูดของอภิรดีขึ้นมาตงิด ๆ

หนี...ไม่...พ้น



เมื่อเข็มสั้นบนนาฬิกาแขวนผนังชี้ที่เลขแปดพอดี สลิลาก็จัดแจงเก็บของเตรียมปิดโรงเรียนโดยมีวงศ์วรัณเป็นผู้ช่วย เขาอาสาจะไปส่งหากต้องทำหน้าผิดหวังเมื่อหญิงสาวบอกว่าเธอขับรถมาเอง

“งั้นเราเดินไปส่งที่รถนะ”

“ห้างยังไม่ปิดไม่ต้องไปส่งหรอกน่า คนพลุกพล่าน ลานจอดรถที่นี่ก็ไฟสว่างโร่”

“เอาน่า” ชายหนุ่มคะยั้นคะยออาสา “ถึงจะสว่างแต่พวกมิจฉาชีพ ขโมยขโจรไม่ใช่ผี ไม่กลัวแสงสว่างหรอกนะ มีผู้ชายหน้าตาน่ากลัวอย่างเราเดินไปส่งอุ่นใจกว่า”

หญิงสาวหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย นานครั้งกว่าจะได้ยินได้ฟังชายหนุ่มตรงหน้าพูดเล่นพูดหัวบ้าง นึกดีใจที่วงศ์วรัณไม่ได้ทื่อไปเสียทีเดียวอย่างที่เธอเคยคิด

วงศ์วรัณเดินมาส่งถึงรถ สลิลาก็ออกปากไล่ทันที

“ถึงรถแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นายกลับไปได้แล้วล่ะ แยกย้ายกัน”

“ขับรถดี ๆ นะ” ชายหนุ่มว่า “อืม...แต่รถที่ฝนขับก็ดีนะ รุ่นนี้ยังใหม่อยู่มาก”

“มุกนี่เขาเลิกเล่นไปนานแล้ว ยังจะขุดมาเล่นอีก”

สลิลาค่อนหากอดยิ้มขันกับมุกเชย ๆ ของวงศ์วรัณไม่ได้ และแม้จะทำเหมือนเชื่อฟังคำพูดของเธอแต่เมื่อมองไปทางหนึ่งก็เห็นว่าชายหนุ่มเดินไปสังเกตการณ์อยู่

รีบออกละกัน ไม่อย่างนั้นนายว่านยืนรอส่งขาแข็งแน่

คิดแล้วเธอก็ระบายลมหายใจออกยาว หนักหน่วง...เธอควรจะเปิดใจรับไมตรีของวงศ์วรัณให้มากกว่านี้หรือควรจะเอ่ยปากตัดรอนเสียแต่เนิ่น ๆ กันนะ ในเมื่อยังไม่แน่ใจเลยว่าลึก ๆ แล้วเธอรู้สึกอย่างไรกับเขากันแน่

หญิงสาวยังคงครุ่นคิดทบทวนความรู้สึกของตนต่อวงศ์วรัณ ขณะที่ขับรถออกจากห้างสรรพสินค้าตรงสู่เส้นทางกลับบ้านที่คุ้นเคย ทุกสิ่งทุกอย่างควรดำเนินไปตามปกติ สลิลามักใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงเพื่อเดินทางกลับบ้าน

ถ้าไม่เพราะ...

รถยนต์อีกคันที่วิ่งมาในเลนตรงข้ามนั้นจู่ ๆ ก็เหมือนหักหลบอะไรบางอย่างปีนข้ามเกาะกลางถนนมาปะทะกับรถของเธอ สำนึกสุดท้ายของสลิลาก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบคือแสงไฟหน้าที่สาดเข้ามาใกล้และเสียงโครมสนั่น!



กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ย. 2554, 20:03:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ธ.ค. 2554, 18:48:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 3327





   ตอนที่ 2 >>
lovemuay 27 พ.ย. 2554, 20:17:35 น.
พระเอกของเรา จะเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อรึป่าวน้าา อิอิ


IAmJin 27 พ.ย. 2554, 20:54:37 น.
อ่านแล้วนึกถึง เงาลวง...บ่วงใจ ^^


mottanoy 28 พ.ย. 2554, 01:02:10 น.
ปากคอเลาะร้าย ปากคอเราะราย รึเปล่าคะ


กมลภัทร 28 พ.ย. 2554, 08:44:31 น.
ขอบคุณ mottanoy ที่ทักท้วงครับ ตรวจสอบแล้วใช้ ร.เรือ จริง ๆ


น้องอุด้ง 28 พ.ย. 2554, 09:48:30 น.
เย้ๆๆ เรื่องใหม่มาแว้วววว


ทอฝันพารัก 28 พ.ย. 2554, 11:49:35 น.
คอยติดตามต่อไปนะค่ะ


ของขวัญ 28 พ.ย. 2554, 12:14:23 น.
อ่านแล้ว งงๆ เรื่องเจ้าของไร่แฮะ ดูไม่ประติดประต่อยังไงไม่รู้ค่ะ
ตกลงว่าพ่อของสลิลา คือ ฐิติ หรือ ทิว กันแน่คะ


กมลภัทร 28 พ.ย. 2554, 12:47:46 น.
คุณฐิติ ชื่อเล่น ชื่อ ทิว ครับ เรื่องไร่นี่คงต้องไล่กันอีกหน่อย เพราะเดี๋ยวโผล่มาครบทั้งตระกูลแน่ ๆ ^^


XaWarZd 28 พ.ย. 2554, 15:03:58 น.
โฮ่ๆ ๆ ๆ จะเจอพระเอกแล้วใช่มั้ย


เพียงพลอย 28 พ.ย. 2554, 19:45:53 น.
โอ๊ะ เรื่องใหม่ๆ ^^


Pat 28 พ.ย. 2554, 21:39:53 น.
เรื่องใหม่ ท่่าทางน่าสนุก หายไปนานเลยนะคะ ^_^


นกอุมาพร 28 พ.ย. 2554, 23:06:03 น.
รอเรื่องใหม่นานมาก แต่ก็นะให้อภัย อ่านเรืองย่อแล้วน่าสนใจอยู่นะ


Liez 29 พ.ย. 2554, 00:34:50 น.
มีคำผิดอยุ่นะค๊ะ ตรงบรรทัดที่แนะนำครอบครัว งง อาทิว พ่อทิว ต้องอาทัศน์ป่าวค่ะ

ติดตามๆ


กมลภัทร 29 พ.ย. 2554, 09:31:46 น.
อ๋อ พิมพ์ชื่อสลับด้วย เลยงงไปกันใหญ่ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account