“Always keep me in your mind” ห้ามลืมฉัน นี่คือคำสั่ง!!
หากความทรงจำที่งดงาม กำลังจะถูกทำลายไปพร้อมๆกับความทรงจำที่เเสนเลวร้าย ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันขอเลือกที่จะรื้อฟื้นความทรงจำเหล่านั้นเพื่อตามหาหัวใจของตัวเอง เเม้มันจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดอย่างเเสนสาหัสก็ตาม

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: CHAPTER 2 : เบาะแส

CHAPTER 2 : เบาะแส
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ปล่อยเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ปล่อยแกตายแน่” ฉันกระซิบออกมาด้วยเสียงที่แหลมสูงและดังมาก เป็นเสียงกระซิบที่คนอื่นเรียกว่ากรีดร้องนั่นแหละ พร้อมๆกับประกาศกร้าวหมายเอาชีวิตคนที่กล้าล่วงเกิน
“อะไรของพี่ เราไม่ได้เจอกันนาน ผมคิดถึงพี่มากๆๆๆๆๆๆๆๆเลย” คนที่ยังกอดฉันอยู่พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
เมื่อความตกใจผสมกับความอับอายที่โดนฉวยโอกาส ฉันจึงเตรียมพร้อมที่จะใช้สัญชาตญาณการป้องกันตัวด้วยท่าสกายคิกกับเจ้าตัวอันตรายที่โอบกอดฉันอยู่ ในจังหวะที่หลุดจากวงแขนขาวเนียนคู่นั้น ฉันอาศัยความไวที่เหนือกว่าเริ่มจัดกระบวนท่า(เสมือนหนังกำลังภายใน)เตรียมพุ่งชนเป้าหมายที่ยืนแน่นิ่งโดยที่ยังไม่มองหน้าเขา แต่แล้ว!! ฉันก็ต้องหยุดการกระทำแล้วตกใจยิ่งกว่าเดิมสิบเท่าเมื่อพี่มีนาพูดขึ้น
“ฮ่าๆ เธอทำท่าอะไรเนี่ย จะรำไทเก๊กหรือไง นี่ มัฟฟินไง น้องชายเธอจำได้ไหม”
“ท่าทางพี่จะความจำเสื่อมจริงๆแฮะ แต่ถึงพี่ความจำไม่เสื่อม ผมหล่อและเท่ห์มากขึ้นขนาดนี้ใครจะจำได้กันเล่า” เจ้าตัวอันตรายพูดเสริมขึ้นด้วยความมั่นใน รูปประโยคที่เอาดีเข้าตัวและหลงตัวเองแบบนี้ เหมือนฉันเคยได้ยินมาจากที่ไหนนะ ^ ^
“นายหมายความว่า ฉันกับนาย” ฉันชี้ตัวเองสลับกับชี้ไปที่ตัวเขา “เราสองคน เป็นพี่น้องกันเนี่ยนะ” ทั้งมัฟฟินและพี่มีนา ต่างพยักหน้าพร้อมกัน
“ใช่แล้ว แต่พี่แก่กว่าฉันสามปีตั้งสามปีแน่ะ แล้วคิดดูสิใครจะกล้าสุ่มสี่สุ่มห้าไปกอดผู้หญิงที่ไม่ใช่แม่กับพี่สาวตัวเองล่ะ พี่ควรภูมิใจนะที่มีน้องชายน่ารักแบบนี้” ช่วยตอบสั้นๆได้ใจความจะได้ไหม ฉันอยากใช้สิทธิ์การเป็นพี่สาวฆาตกรรมน้องชายตัวเองซะแล้วสิ เมื่อได้ยินคำว่า แก่ ที่เน้นย้ำขนาดนั้น
“โอเค เชื่อแล้ว แต่ขอเวลาพี่นิดนึงนะ พี่กำลังปรับตัว” ฉันพูดออกไป มัฟฟินพยักหน้าตอบแล้วล้วงกระเป๋าหยิบอมยิ้มรสสตอร์เบอรี่มาอม เอิ่ม… คือแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าแกโตแล้ว
แต่ถึงจะรู้แล้วก็ตามว่าเขาเป็นน้องชาย แต่ขอมองหน้าชัดๆหน่อยเหอะ คุณพระ!!(คำอุทานในใจที่แสนสุภาพของฉัน) นี่ฉันยืนอยู่กับป๊อบสตาร์หรือเปล่าเนี่ย มัฟฟินตัวสูงมากๆน่าจะสูงพอๆกับพี่ทอล์คเลยด้วยซ้ำ ชุดที่เขาใส่ไม่ต่างอะไรจากชุดของนักร้องไอดอลเกาหลี TVXR ที่ฉันเปิดเจอในทีวีเมื่อกี๊ ประกอบกับผิวขาวนวลละเอียด พอเปิดหมวกใบเท่ห์เผยให้เห็นทรงผมที่ถูกย้อมบางๆคล้ายสีคาราเมลซึ่งดูเหมือนผ่านการเซตมาอย่างพิถีพิถัน ใบหน้าเรียวยาวเล็กน้อยพอได้รูปนัยน์ตามีสีน้ำตาลอ่อนจากคอนแทคเลนส์ทำให้ดูมีเสน่ห์ดึงดูดและขี้อ้อน พื้นผิวบนใบหน้าไม่มีแม้แต่ริ้วรอยเพียงเล็กน้อย บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นคนดูแลตัวเองสุดๆ คุณพระ(อีกครั้ง) สมบูรณ์แบบมาก ไร้ที่ติที่สุด จะบาปไหมคะถ้าฉันจะแอบชอบน้องชายแท้ๆของตัวเอง >
“เอะอะอะไรกันเสียงดัง” แม่พูดขึ้นหลังจากที่เดินออกมาจากห้องครัว ทำให้ฉันที่กำลังพร่ำเพ้อตื่นจากภวังค์
“อ้าว มัฟฟินมาถึงแล้วหรอลูก ไวกว่าที่คิดแฮะ” แม่พูดพลางกอดมัฟฟิน โดยที่น้องชายของฉันต้องโน้มตัวลงมา ก็เพราะแม่กับฉันสูงพอๆกัน
“ใช่ค่ะคุณอา ทีแรกมีนาก็ตกใจที่น้องโทรเรียกให้ไปรับเร็วขึ้น สงสัยอยากจะเซอร์ไพรส์พี่สาวมั้งคะ” พี่มีนาพูดขึ้นและยิ้มหวาน โห พี่มีนาเป็นคนที่ยิ้มสวยจริงๆ ไม่สิถึงไม่ยิ้มก็สวย
“แม่เตรียมอาหารไว้ให้แล้วนะ มีของที่ทั้งมัฟฟินและอินเลิฟชอบทานเยอะแยะเลยนะ” แม่ที่กอดอยู่กับมัฟฟินดึงตัวฉันเข้าไปอีกคน กลายเป็นกว่าเรากอดกันกลมสามคนอย่างอบอุ่น
“น่ารักจังเลยค่ะ มีนาขอตัวกลับไปทำงานต่อที่ออฟฟิซก่อนนะคะ”
“ไม่ทานข้าวด้วยกันก่อนหรอมีนา อาทำเผื่อหนูด้วยนะ รับรองอร่อยมากๆเลย” แม่ยกนิ้วโป้งขึ้นเพื่อเน้นย้ำว่าอร่อยจริงๆ ฉันกับน้องอดหัวเราะไม่ได้กับความน่ารักของแม่
“นั่นสิคะพี่มีนา กินข้าวด้วยกันเถอะ นะๆๆๆ” ฉันเดินเข้าไปเกาะแขนและออดอ้อนเธออย่างสุดฤทธิ์
“ไม่ได้หรอก พี่มีงานที่ต้องไปจัดการ ยังไงอีกสักพักทอล์คก็คงมาทานข้าวเย็นที่นี่กับทุกคน เธอน่าจะดีใจนะ” พี่มีนายิ้มให้ฉัน ฉันพยักหน้าตอบ แต่แววตาคู่นั้นดูแปลกๆไป สงสัยฉันคงคิดไปเองล่ะมั้ง
“งั้นอาฝากงานที่บริษัทด้วยนะ วันนี้ขอใช้เวลาอยู่กับลูกๆให้เต็มอิ่ม” แม่หันไปพูดกับพี่มีนา
“ค่ะคุณอา มีนาไปนะคะ” พี่มีนายกมือไหว้และเดินออกจากบ้านไป
หลังจากนั้นไม่ถึงยี่สิบนาทีหลังจากที่เราสามแม่ลูกกำลังคุยกันอย่างสนุกสนานเฮฮา อีกคนที่เพิ่งจะเข้ามาในบ้านก็กล่าวทักทายขึ้น
“สวัสดีครับคุณน้า”
“สวัสดีทอล์ค เดี๋ยวน้าให้คนจัดโต๊ะอาหารเลยดีกว่า เราจะได้ทานข้าวเย็นกัน” แม่พูดขึ้น แล้วเดินไปบอกให้แม่บ้านจัดโต๊ะเพื่ออาหารมื้อเย็น
อาหารมื้อนี้พิเศษจริงๆแฮะ มีแต่ของที่ถูกใจฉันทั้งนั้นเลย แสดงว่ารสนิยมยังเหมือนเดิมสินะ
“เป็นยังไงบ้างมัฟฟิน โตเป็นหนุ่มขึ้นเยอะเลยนะ” ทอล์คเริ่มบทสนทนาด้วยการทักทายมัฟฟิน
“ก็ดีครับ ผมสอบติดคณะแพทย์ที่นั่น แต่ต้องการย้ายมาเรียนที่ไทย ยังดีที่โอนหน่วยกิตได้ แล้วพี่เป็นยังไงบ้างครับ ไม่เจอกันหลายปี” นี่ฉันมีน้องชายที่เป็นนักศึกษาแพทย์หรอ บวกกับดีกรีความหล่อขั้นเทพ คนบ้าอะไรจะดูดีขนาดนี้ต่างกับฉันมากไปแล้วนะ โอ๊ยยย อิจฉา
“พี่สบายดีมาก เพราะมีพี่สาวที่น่ารักของนายคอยดูแลหัวใจอยู่นี่ไง” เห้ย!! พูดอะไรออกมาเนี่ย และคำพูดของเขาก็ทำให้แม่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันซึ่งอยู่ข้างๆมัฟฟิน หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ
“อ่อหรอครับ หวังว่าพี่จะยังคงให้พี่อินเลิฟดูแลหัวใจให้ตลอดไปนะครับ” มัฟฟินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง และแววตาที่นิ่งสงัด ออกแนวหาเรื่องทอล์ค หรือฉันคิดไปเองอีกแล้ว
“แน่นอน ยังไงพี่ก็มีอินเลิฟคนเดียวอยู่แล้ว” ทอล์คไม่พูดเพียงอย่างเดียวแต่กลับจับมือฉันไปกุมไว้ด้วย “ว่าแต่นายหายเป็นไอนั่นหรือยัง ฮ่าๆ” เขาพูดต่อด้วยสายตาจริงจังกลับไปหามัฟฟิน พร้อมๆกับกลั้วหัวเราะ
“หายเป็นอะไร ผมไม่เข้าใจที่พี่พูด” มัฟฟินตอบกลับมาอย่างเสียงดังเหมือนกับกำลังโกรธ “แม่ครับ ผมอิ่มแล้ว ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะ”
“อ่าว อิ่มแล้วหรอลูก ไม่ทานของหวานต่ออีกสักนิดหรอ” แม่ถามขึ้น ด้วยความเป็นห่วง”
“น้องคงเหนื่อยน่ะค่ะแม่ ให้น้องไปพักผ่อนเถอะคะ” ฉันพูดเพื่อให้แม่สบายใจ แล้วหันไปหามัฟฟิน “ฝันดีนะเกาหลี เอ๊ย น้องชายที่รัก” เมื่อฉันพูดจบ เขาก็ยิ้มตอบกลับมาและลุกจากโต๊ะอาหารเพื่อไปพักผ่อนตามที่เขาบอก แต่สิ่งที่ฉันสงสัยก็คือ ระหว่างเขาสองคน น้องชายฉันกับพี่ทอล์ค เคยมีเรื่องหรือความลับอะไรต่อกันหรือเปล่านะ ถ้าฉันจำอะไรได้บ้างก็คงจะดีกว่านี้ เห้อ…
“อินเลิฟกินต่อผลไม้ไหมคะ เดี๋ยวพี่ป้อนนะคะ” พี่ทอล์คที่เห็นฉันนั่งเหม่อลอยพูดขึ้น แล้วเอามือที่จับไม้จิ้มฟันเสียบผลไม้ยื่นมาให้ ฉันถึงกับตกใจตาลุกพราว
“แม่ดีใจจริงๆ ที่ลูกของแม่มีทอล์คคอยดูแล” แม่พูดและมองมาที่ฉันที่กำลังฝืนใจกินผลไม้พี่ทอล์คป้อนอย่างปฏิเสธไม่ได้ จริงๆนะ แหะๆ
“งั้นสองคนคุยกันไปนะ แม่จะขึ้นไปนอนก่อน พรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า”
“ครับคุณอา พักผ่อนเยอะๆนะครับ”
“แม่” ฉันส่งสายตาวิงวอนอย่างน่าสงสาร ไม่นะ แม่อย่าทิ้งหนูไป ให้หนูอยู่กับเขาสองคนเนี่ยนะ
แม่เหมือนรับรู้ในสิ่งที่ฉันสื่อได้ แต่แม่ไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้มและหันหลังจากไป ฮือๆ แม่ใจร้ายที่สู๊ดดดดด(วิบัติเพื่อเสียง)
ตอนนี้เหลือเพียงแค่ฉันกับเขาเพียงสองคนเท่านั้น บรรยากาศช่างเงียบสงัดโหวงเหวงเป็นบ้า นี่ฉันนั่งอยู่ที่บ้านหรือป่าช้ากันแน่เนี่ย ฉันไม่ได้เวอร์นะ แต่มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
“ที่รักคะ ตอนนี้เป็นยังปวดหัวอยู่รึเปล่าเอ่ย” แค่คำว่า ที่รัก ฉันก็อยากจะกรี๊ดแล้ว นี่ยังมาคะขาอีก รู้สึกร่างกายเริ่มจะบิดเป็นเกลียวละ เป็นอาการเขินเฉพาะบุคคลห้ามลอกเลียนแบบ 0___0
“ไม่ปวดแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่เป็นห่วง กลับไปเรียกอินเลิฟเหมือนเดิมน่าจะดีกว่าค่ะ”
“ทำไมล่ะ พี่เรียกแบบนี้ไม่ได้หรอ ไม่รักพี่แล้วใช่ไหมหรือเธอนึกอะไรได้ขึ้นมา” อยู่ๆคนที่ตอนแรกอ่อนโยน กลับมาแววตาโกรธเกรี้ยวและรั้นเหมือนมุ่งต้องการคำตอบ และขึ้นเสียงเหมือนคุกรุ่นด้วยอารมณ์ดุเดือด
“ก็บอกแล้วไงคะว่าขอเวลา ในขณะที่ฉันยังจำอะไรไม่ได้เลยแบบนี้ พี่คาดหวังอะไรหรอ เรื่องของเราใช่ไหมคะ” ฉันหันไปมองหน้าเขาและพูดแต่ละคำออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ฉันบอกได้คำเดียวว่า ฉันยังจำไม่ได้ หวังว่าพี่คงเข้าใจ” ฉันพูดเสร็จก็กำลังจะเดินหนี แต่เขาก็เข้ามาขวางและกอดฉันไว้
“พี่ขอโทษ พี่รักเธอ รักมาก รักจนกลัวว่าเธอจะลืมพี่และเฉยชาใส่พี่ นั่นเป็นสิ่งที่พี่ไม่อาจทนได้”
“พี่ปล่อยฉันเถอะค่ะ ตอนนี้ฉันขออยู่คนเดียว และถ้าเรารักกันจริงสักวันฉันจะต้องจำสิ่งเหล่านั้นได้ พี่เชื่อใจอินเลิฟนะคะ” เมื่อฉันพูดจบเขาก็ปลอดปล่อยฉันเป็นอิสระจากอ้อมกอดของเขา
ในตอนนั้นเองฉันเหลือบไปเห็นใครอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาซึ่งน่าจะยืนอยู่พักนึงแล้ว คงเห็นเหตุการณ์และได้ยินสิ่งที่เราคุยกัน เหมือนว่าคนๆนั้นรู้ตัวแล้วว่าฉันเห็น จึงกำลังรีบเดินหนีไป ไม่ทันที่ฉันจะรู้ว่าเขาเป็นใคร พี่ทอล์คกลับเอามือประคองหน้าของฉันให้หันไปสบตากับเขา
“พี่เชื่อใจเธอและขอสัญญาว่าจะไม่ทำให้เธอเสียใจโดยเด็ดขาด” เขากุมมือฉันไว้ สายตาเขาช่างจริงจัง แต่นั่นมันเหมือนสายตาที่ปวดร้าว และก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฉันไม่สามารถไขปริศนาได้จากดวงตาคู่นี้
“งั้นวันนี้พี่กลับก่อนนะ ไว้พี่จะโทรหา”
“ได้ค่ะ ว่าแต่ โทรศัพท์มือถือของฉันอยู่ไหนหรอคะ หลังจากเกิดอุบัติเหตุ” ฉันถามหาโทรศัพท์ซึ่งเป็นสิ่งของสำคัญ
“ในที่เกิดเหตุไม่มีใครพบของอื่น นอกจากกระเป๋าสะพายของเธอ พี่เดาว่ามันน่าจะพังไม่ก็หายไปจากแรงกระแทกระหว่างเกิดอุบัติเหตุ”
“จริงหรอ… น่าเสียดายจริงๆ”
“เมื่อกี๊เธอพูดว่าอะไรนะ เสียดายอะไรหรอ” พี่ทอล์คถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เปล่าๆ ไม่มีอะไรค่ะ พี่ทอล์คกลับเถอะค่ะ ไว้ฉันซื้อโทรศัพท์ใหม่จะขอเบอร์จากแม่แล้วโทรไปหานะคะ” ฉันรีบพูดเบี่ยงประเด็นเพราะฉันจะให้เขารับรู้สิ่งที่ฉันกำลังคิดไม่ได้ในตอนนี้ ถึงฉันจะยังตัดสินใจไม่ได้ก็ตามเกี่ยวกับการสืบเรื่องราวของจดหมายฉบับนั้น
“ครับ พี่ไปละ” พอเขาพูดจบก็หันหลังเดินออกไป ฉันเดินไปเป็นเพื่อนเพื่อส่งเขาที่หน้าบ้าน
ฉันมองตามรถของทอล์คที่ตอนนี้เคลื่อนหายไปจากถนนหน้าบ้านของฉันแล้ว สิ่งที่ฉุกคิดในหัวตอนนี้คือถ้าเรื่องราวในจดหมายนั้นเกี่ยวกับความรักของฉัน ดังนั้นคนรักของฉันก็ต้องเกี่ยวกันกับเรื่องนี้ จะมีใครได้อีกถ้าไม่ใช่เขา เขานอกใจฉันหรอ แล้วใครเป็นมือที่สามซึ่งน่าจะเป็นคนๆเดียวกับที่เขียนจดหมาย ถ้าในทางตรงกันข้ามถ้ามือที่สามกลับกลายเป็นฉันขึ้นมาล่ะ กลัวใจตัวเองจริงๆ ไม่เอาแล้ว ฉันจะไม่สืบมัน ฉันไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างพี่ทอล์คจะจับปลาสองมือ คนสุภาพและจริงจังต่อความรักขนาดนั้นไม่มีทางทำแบบนี้แน่ มันน่าจะมีหลายวิธีที่สามารถรื้อฟื้นความทรงจำของฉันกลับมาได้ แต่วิธีนี้ฉันจะขอเก็บไว้เป็นวิธีสุดท้ายละกัน
ฉันเดินกลับมาเข้าในบ้าน ก็ได้ยินเสียงคนเดินตามหลังมา เสียงฝีเท้าใกล้เข้าเกือบจะประชิดตัวฉัน สิ่งที่ฉันคิดไว้เป็นไม่มีผิดกำลังเกิดขึ้นเมื่อมือของคนที่อยู่ด้านหลัง แตะลงบนบ่าของฉัน ฉันรีบปัดมือนั้นออกและหันกลับไปเผชิญหน้าถึงแม้จะกล้าๆกลัวๆก็ตาม
“โหย ตกใจหมดเลยค่ะ นึกว่าใคร มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยนะคะพี่” เขาก็คือพี่มีนานั่นเอง เล่นเอาฉันตกใจแทบฉี่ราด ^_^
“พอดีพี่เพิ่งกลับมาน่ะ คนอื่นหลับกันหมดแล้วหรอ”
“แม่กับมัฟฟินขึ้นไปนอนแล้วค่ะ พอดีอินเลิฟเพิ่งส่งพี่ทอล์คเสร็จ กำลังเดินกลับเข้าบ้าน ตกใจที่มีคนเดินตามมา ก็เลยจิตตกไปเอง แหะๆ”
“อ่อจ่ะ งั้นเธอก็ไปพักผ่อนเถอะ พี่ก็จะไปพักผ่อนเหมือนกัน วันนี้เหนื่อยเหลือเกิน” ดูได้จากสีหน้าก็รู้ว่าพี่มีนาเพลียกับการทำงานมาอย่างหนัก
“ค่ะ เดี๋ยวขอเดินเล่นแปบนึงก่อนละกัน ฝันดีนะคะพี่” ฉันพูดพลางฉีกยิ้มกวาง
แต่อาจจะเพราะเธอเหนื่อยมาก จึงรีบเดินขึ้นห้องไป โดยไม่ทันมองรอยยิ้มที่ฉันตั้งใจมอบให้เสียด้วยซ้ำ =__+
หรือตอนนั้นฉันจะตาฝาดไปจริงๆที่เห็นคนยืนมองอยู่ เพราะทุกคนต่างขึ้นไปนอนกันหมดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นแม่บ้านเพราะหลังจากเก็บโต๊ะอาหาร แม่บ้านทุกคนก็จะไปทำความสะอาดและเก็บกวาดที่ห้องครัว ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากห้องอาหาร และก็คงรู้กาลเทศะพอที่จะไม่เดินเข้ามายืนฟัง ยิ่งพี่มีนาก็ไม่น่าเป็นไปได้ยิ่งกว่า เพราะเธอพึ่งกลับมา สงสัยฉันคงหลอนไปเองล่ะมั้ง แค่วันแรกที่กลับมาบ้านก็ต้องมีเรื่องให้ฉันขบคิดมากมายซะแล้ว
ฉันเดินเล่นรอบบ้านอยู่สักพัก ก็นึกขึ้นมาได้ว่าแม่เคยบอกว่า ห้องทำงานศิลปะของฉันฉันอยู่ฉันใต้ดิน นี่ก็ยังไม่ดึกมากและฉันก็ยังไม่ง่วงด้วย งั้นก็ลองลงไปดูดีกว่า รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกที่จะได้เห็นผลงานตัวเอง
แม่บอกว่าถ้าไม่ใช่คนในบ้านจะไม่มีทางรู้เลยว่าบ้านของเรามีชั้นใต้ดิน ฉันพลางคิดจินตนาการขึ้นมา ถ้านี่เป็นละครหลังข่าวชั้นใต้ดินของบ้านคงเป็นขุมสมบัติ ที่หนึ่งในนั้นเป็นตะเกียงวิเศษซึ่งเมื่อถูกฉันเอาขี้ไคลป้ายๆถูๆแล้วจะมียักษ์ตัวโตพุ่งออกมาปรากฏตัวให้ฉันขอพรได้สามประการ ฮี่ๆ ก่อนที่จินตนาการของฉันจะบ้าบอและสกปรกกับขี้ไคลไปมากกว่านี้ ฉันเดินไปที่ใต้บันไดที่มีพรมซึ่งด้วยผ้ากำมะหยี่วางอยู่ เมื่อเปิดพรมนั้นขึ้นก็เผยให้เห็นกรอบกระเบื้องสี่เหลี่ยมที่สามารถงัดออกได้อยากง่ายดาย และแล้วฉันก็เห็นบันได้ที่ใช้เชื่อมระหว่างชั้นหนึ่งของบ้านที่ฉันยืนอยู่กับชั้นใต้ดิน
ฉันพยายามสอดตัวลงไปเหยียบตามขั้นบันไดนั้นลงไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ถึงพื้น ในห้องมืดมากฉันจึงค่อยๆเดินไปเปิดไฟ เมื่อความมืดถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างทุกสิ่งอย่างล้วนปรากฏให้เห็น แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาภาพวาดร่วมร้อยรูปถูกใส่กรอบประดับไว้ตามฝาผนังโดยรอบ ภาพวาดเหล่านั้นถูกแต่งแต้มลวดลายไว้อย่างสวยงามและแต่งเติมสีสันอย่างมีศิลปะ แต่สิ่งที่สะดุดตาคือภาพที่วาดเสร็จแล้วแต่มันยังไม่ได้ถูกใส่กรอบหรือนำไปติดประดับตามฝาผนัง นั่นก็หมายความว่าคงเป็นภาพที่ฉันเพิ่งวาดเสร็จก่อนเกิดอุบัติเหตุ
อยู่ๆก็มีอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาในหัว ฉันรู้สึกปวดหัวมากเหมือนสมองกำลังถูกทุบตีอย่างแรง เกิดภาพเหตุการณ์วนเวียนในหัวของฉัน ฉันนั่งลงฟุบกับพื้นเหตุการณ์ที่เกิดในหัวกำลังฉายซ้ำไปซ้ำมา เป็นเหตุการณ์ที่ฉันกำลังนั่งวาดภาพนี้อยู่ในห้อง ตรงนี้ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหยดลงบนจานสีที่ฉันใช้แต่งแต้มผลงานก่อนที่ฉันจะรีบวิ่งทั้งน้ำตาโดยปล่อยให้ภาพนี้ยังคงตั้งรอไว้อย่างเดียวดาย
ฉันควบคุมสติได้ รู้สึกเพลียกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันไม่รู้สึกปวดหัวอะไรแล้ว เมื่อกี๊มันต้องเป็นความทรงจำของฉันแน่ๆ ฉันรีบหยิบภาพวาดนั้นมาดู มันเป็นภาพมือที่แบอยู่บนอุ้งมือนั้นมีดินสอแท่งหนึ่งวางอยู่ ข้อความสีชมพูติดอยู่บนดินสอแท่งนั้นก็คือชื่อฉัน ด้านบนของภาพถูกเขียนด้วยปากกา ใช่แล้ว นั่นคือลายมือของฉัน ซึ่งเขียนคำว่า ‘คำสัญญา’
มันสื่อถึงอะไรกันนะ แล้วทำไมฉันถึงต้องมานั่งร้องไห้คร่ำครวญในขณะที่วาดภาพนี้ แล้วนี่จะเป็นความทรงจำที่ดีหรือเลวร้ายของฉันล่ะ เกลียดตัวเองจริงๆเลย ที่มีวิถีทางมากมายที่จะช่วยให้ความทรงจำกลับมา แต่ตัวเลือกของวิถีทางเหล่านั้น เหมือนมีจุดหมายเดียวกันนั่นก็คือ ความเจ็บปวด
เอาล่ะ ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันต้องเข้มแข็ง ถึงแม้มันจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดทุกข์ทรมานแสนสาหัส มันก็คุ้มที่ฉันจะเสี่ยงเพื่อให้ได้ความทรงจำที่ดีงามกลับคืนมา
นับจากนี้เป็นต้นไป ศัตรูตัวฉกาจสำหรับฉันในตอนนี้ก็คือเรื่องราวที่เลวร้ายในอดีต ความเข้มแข็งในตอนนี้จะเป็นเกราะคุ้มกันให้ฉันสามารถผ่านพ้นมันไปได้ เบาะแสะที่จะช่วยฉันได้มันอยู่รอบตัวฉัน รอบสถานที่เก่าๆที่ฉันเคยสัมผัส เบาะแสที่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘หัวใจของฉัน’ อย่างแน่นอน
เช้านี้อากาศดีมาก ทำให้ฉันอยากไปวิ่งออกกำลังกายซะหน่อย แต่น้องชายตัวดีของฉันยังนอนขี้เซาอยู่บนเตียง ทำให้ฉันต้องออกมาวิ่งคนเดียวอย่างเปล่าเปลี่ยวใจ เห้อ… เมื่อวานมีเรื่องให้คิดและเครียดเยอะมากมาย วันนี้ขอให้มีแต่เรื่องดีละกันนะ อินเลิฟ
ฉันวิ่งช้าๆเรื่อยๆ ออกจากบ้าน ผ่านหน้าปากซอย แม่เคยบอกว่าหมู่บ้านที่ฉันอยู่เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่และมีสวนสาธารณะเป็นสถานที่เมื่อคนที่เครียดหรือเหนื่อยจากการทำงานไปพักผ่อนก็จะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นได้
ในที่สุดตอนนี้ฉันก็วิ่งมาถึงสวนสาธารณะนั้นแล้ว โห ร่มรื่นดีมาก หลังจากวิ่งให้เหงื่อออกบ้างแล้ว ถ้าหากได้นั่งพักที่นี่สักหน่อยก็คงดีไม่น้อย
ในที่สุดฉันก็เจอที่สิงสถิตแล้ว ใต้ต้นไม้ใหญ่นี่แหละเป็นทำเลที่เหมาะสมที่สุด ฉันปักหลักนั่งลงด้านหนึ่งใต้ต้นไม้อะไรสักอย่าง เพราะอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นด้านหลังของต้นไม้นั้น เป็นพุ่มไม้ซึ่งรกพอสมควร และฉันคงไม่มีความคิดที่จะแหวกเพื่อไปตั้งทำเลตรงบริเวณนั้น เหอะๆ ฉันเอนหลังลงสักพัก รับรู้ได้ถึงความสุขสมผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก คละเคล้าปะปนระหว่างกลิ่นอายของธรรมชาติกับแดดอ่อนๆตอนเช้า
และแล้วช่วงเวลาสุขสมเพื่อสองบรรทัดที่แล้วก็กำลังจะถูกทำลายไป เมื่อมีบางสิ่งบางอย่างเข้ามารบกวนโสตประสาทของฉัน
“มามะ มาให้ผมหอมแก้มซะดีๆคนสวย”
“ฮิฮิ ไม่เอานะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าลิซซี่จะเสียหายนะคะ”
บทสนทนาอันเร่าร้อนที่ดังออกมาจากด้านหลังของต้นไม้ที่ฉันอิงหลังอยู่ ตายแล้ว คนสมัยนี้นี่มันยังไงกันไม่มีที่อื่นแล้วหรือไง ฉันไม่อยากสนใจตั้งจิตตั้งใจนอนต่อ แต่แล้ว…
“ไม่มีใครเห็นหรอกครับคนดี มาๆ มาจุ๊บทีนึง อะไอ ไอเลิฟยู” ฉันสมาธิแตกกระเจิง แทบจะตะโกนดังๆออกมาให้ได้ยินว่า ช่วยอัพเดทเพลงบ้างจะได้ม๊ายยยย(วิบัติเพื่อเสียง)
“ก็ได้ค่ะ ลิซซี่ไม่อยากทำแบบนี้เลยนะเนี่ยยย แต่ก็เห็นใจอ่ะน๊า” รักนวลสงวนตัวที่สุด ยัยริดสีดวงทวาร ฉันแอบก่นด่าอยู่ในใจ ที่ต้องทนฟังเพราะลุกไปไหนไม่ได้ ถ้าลุกทั้งคู่ต้องจับได้แน่ๆ พวกนี้ขนาดสวนสาธารณะก็ไม่ละเว้น ถ้าฉันเป็นนักกฎหมายจะร่างกฏหมายควบคุมการทำอนาจารนอกสถานที่(outdoor) ลงโทษด้วยการทำหมันสดฝ่ายชายจนกว่าจะสำนึกผิด หึๆ
ฉันเริ่มได้ยินเสียงจุ๊บอย่างดูดดื่ม ทนไม่ไหวละ ขอดูหน้าพวกไม่รู้จักอายหน่อยซิ บ้าจริงๆเลย ฉับขยับตัวเบาๆ เพื่อไม่ให้มีเสียง แล้วชะโงกหน้าดู จริงๆแล้ว ไม่ได้อยากดูเลยนะ จริงจริ๊ง
สิ่งที่ฉันเห็นคือผู้ฝ่ายชายซุกไซ้อยู่ที่ใกล้ซอกคอของผู้หญิงและมือของเขา ไม่นะ!! มือนั่นกำลังล้วงเข้าไปในเสื้อของฝ่ายหญิงคนนั้น จังหวะที่ฝ่ายชายกำลังเงยหน้าขึ้นมา ฉันรีบขยับตัวกลับ เห้อ… เกือบไปแล้วไหมล่ะ
“เห้ย นี่มันอะไรวะเนี่ย @@$%%%^&%$&&^*“ เสียงฝ่ายชายตะโกนดังขึ้นดังขึ้น ตามด้วยคำสบถด่าสารพัดแบบหาคำแปลให้ไม่ทัน
ด้วยความสงสัย(อีกครั้ง) ฉันจึงชะโงกหน้าไปดู พบว่าในมือของฝ่ายชายมือซ้ายถือถุงเท้า มือขวาถือวิกผม ให้ทายสภาพของฝ่ายหญิงเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ
ช็อค!! ฝ่ายหญิงนมหายไปหนึ่งข้าง ส่วนทรงผมจากผมที่เคยยาวสยายสวยงามในตอนแรก ตอนนี้กลายเป็นผมสั้นกุดแทบติดหนังหัว ว๊าย ว๊าย ว๊าย นี่มันประเทืองนี่หว่า
“กรี๊ดดดดดด เอาผมลิซซี่คืนมานะคะที่รัก” ดูสภาพแล้วเหมือนวิญญาณมาร้องขอ ‘เอาผมฉันคืนมา’
“ตุบ ปั๊ก กรี๊ดดดดดดดดดดดดด โอ๊ยยยยยยยย”
ไม่ทันที่ริดสีดวงจะได้ผมของเธอคืน ฝ่ายชายก็ช่วยส่งเธอไปสวรรค์อย่างแรงโดยใช้เท้า ทำให้ริดสีดวงคนสวยไถลกลิ้งไปในโพรงหญ้าอย่างเจ็บปวด อูยยย แลจะเจ็บปวดมากจริงๆ
“ให้ตายสิโว๊ยย ซวยแต่เช้าเลย” ฝ่ายชายยืนบ่นอย่างหงุดหงิดพร้อมๆกับใช้ผ้าเช็ดปากอย่างแรง
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ได้เห็น ฉันกลั้นไว้ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงหลุดหัวเราะอย่างสะใจออกมาอย่างดัง ตายแล้ว
ไม่ได้แล้ว!! ฉันต้องหนี ไม่งั้นเขาต้องจับได้แน่ ว่าฉันแอบดูโศกนาฏกรรมไม้ป่าเดียวกันอันน่าสยดสยอง
“เฮ้ยยยย เธอ!! เธอนั่นแหละ หยุดอยู่ตรงนั้น หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เหมือนเขาเห็นฉันแล้ว และตะเบ็งเสียงเพื่อสั่งให้หยุด ใครจะหยุดให้โง่ล่ะ ฉันรีบสาวเท้าอย่างไว วิ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว ดูเหมือนเขาวิ่งตามมาด้วย ไอบ้า จะวิ่งตามมาทำไมเนี่ย ไม่อายตัวเองบ้างหรือยังไง ฉันยังรู้สึกอายแทนแทบบ้า
ระยะทางยิ่งไกล แต่เขาดูเหมือนจะไม่เลิกรากับการวิ่งตามฉัน ฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอก แต่ขามันวิ่งต่อไปจะไม่ไหวแล้วนะ ฮือๆ
“หยุดตามฉันซะทีสิ ไอบ้า” ฉันอดไม่ไหวจึงตะโกนออกไป เขาคงได้ยิน เพราเขาวิ่งไล่ตามมาจนระยะห่างเหลือน้อยลงมาก
“หยุดเดี๋ยวนี้นะโว๊ย อย่าให้ฉันจับได้นะ เธอตายแน่” คำประกาศกร้าวของเขานี่เอง ที่เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างเรา



SMACGA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ธ.ค. 2554, 08:21:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ธ.ค. 2554, 08:21:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 1370





<< CHAPTER 1 : WHO ARE YOU ?   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account