เล่ห์จันทร์ร้อยใจ
สำหรับตฤณแล้ว อินทุอร นางแบบสาวชื่อดัง เป็นพระจันทร์เจ้าเล่ห์ร้ายกาจ และน่ารังเกียจ เพราะเธอ เขาต้องซมซาน สะบักสะบอมจนแทบไม่มีที่ยืน...และเมื่อโอกาสที่เขาจะสั่งสอนเธอมาถึง มีหรือที่เขาจะยอมให้หล่อนต้องหลุดมือไปโดยไม่ทำอะไรเลย
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 6 Part I
มาครึ่งเดียวก่อนนะคะ
อัพไม่ทัน
ตอนนี้ยากตรงบรรยายความรู้สึกของนายธามยากจริงๆๆ Y_Y
++++++++++++++++++++++++++++++++
ภายในห้องพักผู้ป่วยนั้นเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศและเสียงหายใจเป็นจังหวะของร่างที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ทันทีที่หญิงสาวเห็นภาพของร่างที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนั้นก็ต้องครางในลำคออย่างตกใจ ร่างกายสูงสมส่วนและแสนสมาร์ทของทยากรแทบจะไม่เหลือเค้าเดิมที่แสนองอาจอยู่เลย บริเวณดวงตาคู่เศร้า ถูกปิดด้วยผ้าพันแผลสีขาวสะอาด แม้แต่ข้างแก้มก็ยังมีผ้าผันแผลปิดไว้ ไล่ลงมาเรื่อยจนถึงท่อนขา ถูกเข้าเฝือกอย่างหนาเอาไว้ข้างหนึ่ง จากคำบอกเล่าของนางพยาบาล ชายหนุ่มยังคงไม่รู้ตัวจากการผ่าตัดเมื่อหลายชั่วโมงก่อน
“คุณธามเป็นอะไรมากไหมคะ ทำไมต้องเข้าเฝือกที่ขาด้วย...อย่าบอกนะคะว่าเขา..”
ความหนาวเข้ามาเกาะกุมหัวใจของหญิงสาวจนเย็นเยียบ ความกลัวผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นระคนเป็นห่วงคนที่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาเกือบครึ่งปี ทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าคำตอบจากพยาบาลสาวจะเป็นอะไร หากแต่คำตอบจากเธอก็ทำให้เนริชาเบาใจได้ครึ่งหนึ่ง
“ไม่ต้องกังวลนะคะ เมื่อคืนนี้ดิฉันได้คุยกับคุณหมอเจ้าของไข้คุณทยากรแล้ว คุณทยากรเธอแค่ขาหักจากอุบัติเหตุเท่านั้นค่ะ กายภาพบำบัดไม่นานก็คงหาย แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่านั้นคือ...”
สีหน้าของพยาบาลสาวเจื่อนลงราวกับไม่อยากจะเอ่ยสิ่งที่ตนรับรู้ออกมา หล่อนหลบสายตาลงเล็กน้อยเมื่อรู้ว่ามีสายตาจ้องมองอย่างคาดหวังจากเนริชา
“ทำไมคะ...แต่อะไร”เนริชาหันไปมองร่างบนเตียงด้วยความกังวล “อย่าบอกนะคะว่าเขาจะเสียโฉม ฉันเห็นบนใบหน้าเขามีผ้ากอซ”
พยาบาลสาวส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะวางมือลงบนบ่าของคนบนรถเข็นราวกับจะปลอบโยน
“ทำใจดีๆนะคะ ไม่ต้องตกใจไป เรื่องทุกเรื่องมีทางออกเสมอ”
“เรื่องอะไรคะ บอกมาเถอะ ฉันหัวใจจะวายตายอยู่แล้ว” เนริชาจับมือที่วางอยู่บนบ่าของตนอย่างเร่งเร้าหัวใจเต้นแรง หูอื้ออึงจนเวียนศีรษะไปหมด
“คุณทยากร...ตอนเกิดอุบัติเหตุ กระจกหน้ารถตรงส่วนที่คุณทยากรนั่งแตกละเอียดจากการชนอย่างแรง ทำให้เศษกระจกบาดกระจกตาทั้งสองข้างของคุณทยากร....ทำให้คุณทยากรตาบอดทั้งสองข้างค่ะ”
คำตอบของนางพยาบาลทำหน้าที่ราวกับค้อนปอนด์อันใหญ่ทุบลงกลางศีรษะของหญิงสาวอย่างแรง เนริชา หันไปมองร่างของทยากรอย่างเป็นกังวล เพราะอุบัติเหตุเมื่อคืนนั้นหรือที่ทำให้ทยากร ชายหนุ่มเพลย์บอยตัวพ่อ ไฮโซคนดังของวงสังคมต้องกลายเป็นคนพิการ โดยมีตัวเธอเป็นตัวต้นเหตุ!
“ฉันควรจะทำยังไงดี” เนริชารับรู้ถึงอันตรายที่จะเข้ามาครอบงำชีวิตของตนและครอบครัว คนอย่างท่านกุมุทและทยากรไม่มีทางปล่อยเธอแน่ หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น ครุ่นคิดเท่าไรก็คิดไม่ตกว่าหากชายหนุ่มฟื้นขึ้นมาในวันใดก็วันหนึ่ง เธอจะทำเช่นไร แต่ไม่ทันที่หญิงสาวจะได้คิด เสียงครางอย่างเจ็บปวดจากคนบนเตียงก็ดังแว่วมา หญิงสาวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ เบิกตามองคนที่ค่อยๆขยับตัวด้วยความตระหนก
“เจ็บ...ทำไมมันปวดไปหมดแบบนี้”
ถ้าหูของเขาไม่ฝาดจนได้ยินอะไรไม่ชัดเจนไปแล้วล่ะก็ ทยากรก็คงจะต้องเสียงแหบแห้งจริงๆ ชายหนุ่มได้ยินเสียงตัวเองถามใครสักคนหนึ่งอออกไปอย่างยากลำบาก ลำคอแห้งผาดและร่างกายที่เจ็บระบมทำให้เขาขยับตัวได้ลำบากจนนึกรำคาญตัวเอง
“ใครอยู่แถวนั้น มานี่หน่อยสิ” เขาพยายามเปร่งเสียงให้ดังขึ้น ก่อนจะพยายามลืมตาขึ้นมาเพื่อมองหาเด็กรับใช้หรือลูกน้องสักคน หากแต่กลับเพิ่งจะสังเกตว่า ดวงตาของตนมีอะไรบางอย่างพันอยู่โดยรอบ ทยากรยกมือขึ้นหมายจะแกะผ้าที่น่ารำคาญนั้นออก
“อย่านะคะคุณทยากร อย่าเอาผ้ากอซออกนะคะ” เสียงหวานใสไม่คุ้นหูของใครคนหนึ่งท้วงขึ้น พร้อมด้วยมือเย็นๆที่ยื้อมือเขาออกอย่างถือวิสาสะ “คุณหมอบอกว่าต้องพันเอาไว้สักสองสามวันก่อนค่ะ”
ทยากรหันขวับไปทางนั้นทันที คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่ใคร่จะพอใจเท่าใดนักสำหรับการกระทำในครั้งนี้ของหล่อน ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร มีสิทธิอะไรมาออกคำสั่งกับเขา
“คุณเป็นใคร ทำไมไม่ให้ผมแกะไอ้ผ้าบ้านี่ออก และขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าคนอย่างผม ไม่เคยมีใครมาสั่งได้ตามใจ!” ทยากรบอกหนักแน่น ก่อนจะยกมือขึ้นหมายจะกระตุกผ้านั้นออกเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีใครห้ามเขาไม่ให้ทำอะไรได้ หากแต่เพียงแค่ยกมือขึ้นเท่านั้น ความเจ็บแปลบอย่างประหลาดก็แล่นพล่านไปทั่วร่าง ทั้งยังรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างพันธนาการเขาอยู่
“คนไข้อย่าดื้อสิคะ คุณเพิ่งฟื้นจะเจ็บตัวเปล่าๆ”เสียงของผู้หญิงคนเดิมแว่วมา “คุณเนริชาคะ คุณช่วยพูดกับคนรักของคุณหน่อยสิคะว่าให้เขาเลิกดื้อสักที”
คำพูดของหญิงสาวคนนั้นทำให้เขาต้องฉุกคิดอย่างแปลกใจ ถ้าฟังไม่ผิดผู้หญิงคนนั้นพูดชื่อของ ‘เนริชา’ ขึ้นมา แต่นั่นไม่แปลกเท่ากับที่เธอพูดว่าเนริชาเป็นคนรักของเขา ชายหนุ่มหัวเราะในลำคออย่างนึกขัน ด้วยไม่อยากจะเชื่อว่าเนริชาจะเที่ยวบอกกับคนอื่นว่าเป็นคนรักของเขา
“คุณเน่อยู่ตรงนั้นเหรอ บอกหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
คนที่เขาต้องการคำตอบจากเธอเงียบไปครู่ใหญ่ ไม่มีคำตอบใดเล็ดลอดออกมาจากปากของพี่สาวของอินทุอรจนทำให้ชายหนุ่มต้องรู้สึกหงุดหงิด
“เนริชา! บอกผมได้หรือยัง”
“ใจเย็นก่อนเถอะค่ะ ฉันว่าคุณอย่าเพิ่งขยับตัวมากเลย”
เสียงคุ้นหูนั้นดังขึ้นไกลๆ น้ำเสียงของคนพูดสะบัดขึ้นลงตามอารมณ์ของคนพูด อารมณ์ที่ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าพี่สาวของคู่หมั้นนั้นเป็นคุณครูฝ่ายปกครอง ที่กำลังดุนักเรียนเกเรอย่างเขา ชายหนุ่มไม่ชอบความรู้สึกนั้นเลย ความรู้สึกที่เหมือนจะต้องตกเป็นรองอีกฝ่าย
“ผมต้องทำตามคำสั่งคุณด้วยเหรอ ผมไม่ได้เป็นอะไรกับคุณสักหน่อย”
“อาจจะถูกนะคะที่ฉันกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกัน”ฝ่ายนั้นสวนกลับมาทันที แต่น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยนและใช้อำนาจน้อยลงกว่าประโยคแรก “แต่ฉันแค่เป็นห่วงคุณเท่านั้นเองนะคะคุณธาม”
คำพูดและน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนของคนพูด ทำให้ทยากรหายใจขัดขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายกับมีก้อนบางอย่างแล่นขึ้นมาอัดจมูกเขาให้หายใจไม่ออกอย่างนั้นแหละ ไหนจะหัวใจของเขาที่เต้นแรงขึ้นมาจนแทบจะหลุดออกมาจากอกนั่นอีกล่ะ
“คุณว่าอะไรนะคุณเน่” เขาพยายามควบคุมน้ำเสียงไว้ไม่ให้คนฟังจับพิรุธได้
“ฉันบอกว่าฉันเป็นห่วงคุณค่ะ คุณจำไม่ได้งั้นเหรอคะว่าเมื่อคืนนี้เราสองคนเจออะไรกันมา”
คำพูดของเนริชาทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ ใช่แล้ว เมื่อคืนนี้เนริชามาหาเขาที่คอนโดเพื่อพูดเรื่องที่เธอจะมาเสนอตัวเป็นเจ้าสาวแทนอินทุอรที่หนีหายไป และเขาก็ขับรถไปส่งเนริชาที่บ้าน ระหว่างทางเขามีปากเสียงกับหญิงสาวเล็กน้อย...
อุบัติเหตุ ???
ใช่แล้ว! เมื่อคืนนี้ระหว่างทางกลับบ้าน เขาเหยียบคันเร่งจนมิดเพื่อเร่งความเร็วด้วยความโกรธที่มีต่อเพื่อนร่วมทาง แต่ตอนนั้นเอง เขาเหลือบไปเห็นสุนัขตัวหนึ่ง สุนัขที่น่าสงสารเดินแฉลบออกมาจากข้างทาง เขาหักพวกมาลัยเต็มแรง...แล้วจากนั้น...
“โอ๊ย...!!!” ทยากรร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนนี้มันกลับเข้ามาทำร้ายเขาอีกครา
“จำได้แล้วใช่ไหมคะ เราสองคนเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ”
“แล้วไงต่อ...”
“เอ่อ...ฉันไม่เป็นอะไรมากค่ะ บาดเจ็บเล็กน้อย ขาเจ็บ แขนก็เจ็บนิดหน่อย”
“คุณจะเป็นยังไง ผมไม่ต้องการทราบ!!!” ชายหนุ่มตะเบ็งเสียงดังจนคอระบบไปจนหมด หากแต่เมื่อถามออกไปแล้วเขากลับรู้สึกราวกับไม่ได้ยินคำตอบจากเนริชาสักนิด ลางสังหรณ์บางอย่างและการลองตรึกตรองสภาพของตัวเองตอนนี้ มันทำให้เขาพอจะเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาไม่ได้ยินเสียงของเนริชาอีก ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะพูดอะไรหรือไม่หูของเขาก็อื้ออึงไปเสียหมด ชายหนุ่มยกมือข้างที่ไม่ได้ถูกเสียบสายน้ำเกลือขึ้นแตะบริเวณรอบดวงตา มือหนาทั้งสองข้างสั่นเทาด้วยความกลัว กลัวอย่างที่ไม่เคยนึกกล้วมาเลยสักครั้งตลอดชีวิต
“ที่ต้องพันรอบตาไว้อย่างนี้...เป็นเพราะว่าเกิดอะไรขึ้นกับดวงตาผมใช่ไหม” เสียงที่เขาถามนั้นเรียบเฉยและเยือกเย็นอย่างที่สุด
“ทำใจเย็นๆไว้ก่อนนะคะ”เสียงของผู้หญิงแปลกหน้าดังขึ้น “คุณจะได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทางโรงพยาบาลจะทำได้ค่ะ ส่วนขาของคุณ....”
“ขาผม !!!” ทยากรแผดเสียงลั่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ก่อนจะรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีก้มตัวลงไปคลำสำรวจที่ขาทั้งสองต้นของตน ความปวดตามร่างที่รู้สึกเมื่อครู่หายไปจนสิ้น ความรู้สึกตะลึงกับสภาพขาทั้งสองข้างของตนเข้ามาแทนที่ ทยากรบอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร มันมากกว่าความเจ็บปวดทางกายที่ได้รับ ยามนี้เขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนพิการที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ดวงตาทรงเสน่ห์ที่เขาแสนจะภาคภูมิใจ บัดนี้มันบอดสนิท ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามได้อีก ขาทั้งสองข้างที่เขาเคยใช้มันพาไปในที่ที่ต้องการกลับเป็นแค่อวัยวะที่ไม่สามารถใช้การได้
“คุณธาม” เสียงของเนริชา...เขาจำได้ว่าเป็นเสียงของผู้หญิงคนนั้น ชายหนุ่มหันขวับไปในทิศทางที่คาดว่าหญิงสาวยืนอยู่ด้วยความเดือดดาล ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเนริชาไม่ใช่หรือ
เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้เขาเกิดเรื่องแบบนี้
“ไม่ต้องมาเรียกชื่อผม! เพราะคุณคนเดียวที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้ สะใจคุณหรือยังล่ะ”
“แต่คุณต้องมีกำลังใจนะคะ คุณยังไม่ได้พิการ พยาบาลก็บอกว่าคุณจะสามารถกลับมามองเห็นได้ เพียงแค่คุณต้องรอเวลาที่จะผ่าตัดกระจกตาเท่านั้น ส่วนขาคุณก็แค่ทำกายภาพบำบัด.....”
“แค่ แค่ แค่!!!! คุณก็พูดได้ง่ายสิ!”
ชายหนุ่มตวาดอย่างเกรี้ยวกราด โมโหและโกรธจนแทบจะจุกอดตายมันเป็นยังไงเขาก็เพิ่งรับรู้ตอนนี้ ทยากรอยากจะบีบคอผู้หญิงคนนั้นให้ตายคามือเลยจริงๆ คิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มจึงพยายามขยับตัว มือไม้ควานหาสิ่งของที่วางอยู่ใกล้เคียงเท่าที่มือจะหยิบจับได้ขึ้น ก่อนปาไปเปะปะอย่างไร้สติ
เสียงคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง และอาการโกรธเกรี้ยวขว้างปาสิ่งของของทยากรทำให้เนริชาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว พยาบาลสาวเข็นเก้าอี้เธอออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะเข้าไปกดกริ่งเรียกคนอื่นให้เข้ามาดูอาการของชายหนุ่ม ในมือที่กำแน่นของเนริชาเย็นชุ่มไปด้วยเหงื่อด้วยความกลัว ตั้งแต่เกิดมาหญิงสาวยังไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ยิ่งการเป็นต้นเหตุให้คนอื่นต้องกลายเป็นคนพิการ แม้จะเป็นการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เพียงชั่วคราว แต่คนที่ต้องตกอยู่ในสภาพนั้น แม้เพียงแค่วันเดียวก็คงต้องทุกข์ทรมานมากเป็นแน่ ยิ่งสำหรับเขา คนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง คนที่มีดวงตางดงามอย่างทยากร เขาคงจะเสียใจและทรมานมากอย่างแน่นอน
“ปล่อยสิวะ!!! บอกให้ปล่อย!!!” ถ้าได้ยินไม่ผิด น้ำเสียงของเขานั้นช่างเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น “ผมจะฆ่าคุณ คุณเน่!!! คุณต้องชดใช้ในสิ่งที่เกิดขึ้น!”
คำขู่ของชายหนุ่มทำให้เนริชาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ หญิงสาวมั่นใจ มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเธอ มันจะต้องเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เธอจะรับไหวอย่างแน่นอน
ร่างบางภายใต้ผ้าห่มผืนเล็ก บิดตัวไปมาอย่างรู้สึกไม่ใคร่จะสบายตัวนัก หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าตัวเองนอนอยู่บน ก้อนหินก็ไม่ปาน อีกอย่างผ้าห่มที่คลุมร่างเธอนั้นก็บางและไม่ได้ให้ความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย ทั้งเตียง ทั้งหมอนดู จะแย่ไปเสียหมด ไม่รู้ว่าเพื่อนของเธอนอนบนเตียงอย่างนี้ได้อย่างไรกัน มันแย่เอาเสียมากๆ แต่แล้วอินอุอรก็ต้อง ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เมื่อยินเสียงคล้ายคลื่นซัดมากระทบกับชายหาดดังก้องอยู่ใกล้หูราวกับที่พักของเธอ อยู่ติดกับทะเล ทั้งที่ความจริงแล้ว ถ้าจำไม่ผิดห้องพักที่เพื่อนเปิดเอาไว้ให้มันอยู่บนโรงแรมห้าดาวชั้นยี่สิบ แล้วทำไม ยังสามารถได้ยินเสียงคลื่นอยู่เล่า
หญิงสาวยกเปลือกตาขึ้นด้วยความแปลกใจ ภาพแรกที่ปรากฎตรงหน้านั้น ไม่ใช่เพดานฝ้าของโรงแรม ที่ทำจากวัสดุชั้นดี หากแต่มันกลับเป็นเพดาโล่ง และด้านในของหลังคาที่ดูคล้ายกับใบหญ้าแห้งๆ แล้วความทรงจำทั้งหมดก็แล่นเข้ามาในหัวสมองของหญิงสาว อินทุอรใช้แขนทั้งสองข้างดันตัวขึ้นนั่งบนเตียงแข็ง ก่อนมองไปรอบตัวราวกับต้องการมองสำรวจ
ใช่แล้ว!ตอนนี้เธอมาอยู่ที่รีสอร์ตเล็กๆแห่งนี้ รีสอร์ตของนายตฤณ
“ฉันอยู่ที่นี่จริงๆ ไม่ใช่ความฝัน” หญิงสาวหลับตาลงอย่างพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้ตื่นกลัว แต่ยิ่งหลับตา ภาพของชายหนุ่มผิวคล้ำแดด หนวดเครารกครึ้มที่มีรอยยิ้มชั่วรายคนนั้นก็ยิ่งเด่นชัด อินทุอรพยายามสะบัดศีรษะเผื่อว่าภาพนั้นจะหายไปจากหัวสมอง แต่กลายเป็นว่า ยิ่งพยายามบอกตัวเอง ว่าเธอไม่กลัวผู้ชายคนนั้น ภาพเขาที่แสยะยิ้มชั่วร้าย ก็ยิ่งเข้ามามีอิทธิพลในสมองของเธอมากเท่านั้น
แล้วหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งจนตัวโยน เมื่อรู้สึกคล้ายมีฝ่ามือเย็นวาบของใครบางคน วางทาบบนหลังฝ่ามือของหญิงสาวเบาๆ
“เป็นอะไรไปคะพี่คนสวย” เสียงหวานแหลมสดใสคุ้นหูทำให้อินทุอรค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ จนกระทั่ง ภาพของการะเกดที่กำลังเอียงคอมองอย่างสงสัยค่อยๆชัดขึ้น หญิงสาวก็ต้องเผลอตัวถอนหายใจ ออกมาอย่างโล่งอก
“ว่าแต่ มาทำอะไรที่ห้องของฉันแต่เช้างั้นเหรอ”อินทุอรไม่ได้สนใจที่จะตอบคำถามของเด็กหญิง แต่กลับย้อนถามการะเกดออกไป
“อ้อ เกดเกือบลืม” หญิงสาวดีดนิ้ว ก่อนจะก้มหยิบสิ่งที่ดูคล้ายกางเกงสะดอผ้าฝ้ายสีน้ำตาลตัวโคร่งและเสื้อผ้ายืดซึ่งถูกพับไว้อย่าง เป็นระเบียบขึ้นมาจากโต๊ะข้างเตียง “พี่ตฤณให้เอาชุดนี้มาให้ค่ะ เป็นกางเกงเลกับเสื้อแบบที่เอาไว้ขายให้กับ นักท่องเที่ยว รับรองว่าสะอาด ปลอดภัยแน่นอน”
การะเกดยิ้มแป้นส่งกองผ้านั้นให้ หญิงสาวจึงยื่นมือรับมาถือไว้ ด้วยไม่อยากให้เด็กหญิงตรงหน้า ต้องเสียน้ำใจ ก่อนที่นิ้วเรียวจะกรีดกรายคลี่เสื้อสีขาวออกดู มันเป็นเสื้อยืดคอวีสีชมพูดูน่ารักดี แต่สิ่งที่ขัดตา จนทำให้หญิงสาว ต้องเบ้ปากแล้วร้องยี้อย่างลืมตัวนั้น ก็คงจะเป็นลายสกรีนตรงหน้าอก เขียนตัวใหญ่ๆ ด้วยสีน้ำตาลว่า ‘ฟ้าครามรีสอร์ต’ แถมด้วยตัวหนังสือเล็กๆ ใต้ตัวอักษรเหล่านั้นว่า …เกาะฟ้าคราม ระยอง
“ร้องยี้ทำไม ไม่สวยเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันไม่ใส่หรอกนะของแบบนี้” หญิงสาวยื่นมันคืนให้กับการะเกด “ฉันไม่เห็นความสวยของมัน แต่เธอทำหน้าอย่างกับว่าแปลกใจนักหนา ทั้งที่มันไม่น่าแปลกใจสักนิด ของแบบนี้น่าอายจะตาย ใส่เข้าไปได้ไง ไร้รสนิยม”
การะเกดทำท่าฮึดฮัดขึ้นมาทันที ก่อนจะโยนกองเสื้อผ้าที่ตนถือมาลงบนเตียงที่อินทุอรนั่งอยู่ด้วยท่าทาง คล้ายคนโมโหเต็มทน
“จะบอกอะไรให้นะว่า เสื้อผ้าที่ดีที่สุดที่หาให้ได้ตอนนี้ ก็มีแต่ไอ้ชุดที่พี่ทำหน้าเหมือนกับมันเห่ยซะเต็มทน นั่นแหละ ถ้าพี่ไม่ใส่ก็เชิญเน่าอยู่กับไอ้ชุดนอนตัวใหญ่ๆนั่นไปจนกว่าพี่ตฤณเขาจะพาไป หาซื้อชุดได้เลย หรือไม่ก็ กลับไปใส่อีชุดขาดๆ แบรนด์เนมรุ่งริ่งของพี่ที่ทิ้งอยู่ในถังขยะหน้าบ้านนั่นได้เลย”
ผลที่สุดแล้ว อินทุอรก็ต้องยอมใส่เสื้อผ้าที่การะเกดเตรียมมาให้ นางแบบสาวก้มลงมองตัวเองในตอนนี้อย่างสลดใจ ร่างกายที่ดูแลอย่างดีต้องมามีแผลเป็นสะเก็ดตามตัวเต็มไปหมด ยิ่งพอเอามือจับผมแห้งกรอบของตัวเองยิ่งสลดใจ เมื่อสองวันก่อนแช่น้ำทะเลมาตั้งนานก็ยังไม่ได้หมักบำรุงผมด้วยทรีตเม้นต์ดีๆ ยิ่งอบไอน้ำยิ่งไม่ได้พูดถึง
อินทุอรเดินไปหยิบกระจกบานเล็กที่วางอยู่หลังตู้เสื้อผ้าขึ้นมาถือไว้ในมือ ภาพที่สะท้อนออกมาจากกระจกราวกับไม่ใช่หล่อน เส้นผมแห้งกรอบล้อมกรอบหน้าซีดเซียวไร้สีสัน ริมฝีปากแห้งผาดหลุดเป็นขุยขอบตาของนางแบบสาวชื่อดังร้อนผ่าวอย่างสะเทือนใจ
“ฉันเกลียดคุณจริงๆคุณธาม!!” หญิงสาวพาลนึกไปถึงคนที่ไล่ล่าเธออย่างเลือดเย็นคนนั้นแล้วอดจะแค้นใจไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นนอกจะเจ้าชู้เกินเยียวยาแล้ว เขายังเลวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ตั้งแต่ได้พบเจอกันมาเกือบครึ่งปี เขาดูเหมือนจะเป็นคนคนหนึ่งที่ดูไม่น่าจะเลวร้ายเกินเยียวยาเหมือนพวกลูกผู้มีอิทธิพลคนอื่นที่คอยสร้างแต่เรื่องปวดหัว แต่สิ่งที่รับรู้นั้นผิดถนัด ทยากรซ่อนความร้ายกาจไว้ใต้ใบหน้าหล่อเหลาที่แย้มยิ้มตลอดเวลาที่พบกัน
อินทุอรกำมือแน่นจนเล็บยาวๆของตนจิกลงไปในเนื้อ
“อย่าให้ฉันออกไปจากที่นี่ได้นะ ฉันเล่นงานคุณแน่” อินทุอรขบกรามแน่นอย่างแค้นใจ
ท้องฟ้ายามนี้ยังคงมีเมฆมากและมืดครึ้มอยู่ อินทุอรมองออกไปบนผืนน้ำกว้างใหญ่สีครามตรงหน้า รอบบริเวณนี้เท่าที่สังเกตดู มองไม่เห็นบานานาโบ๊ท หรือว่าเจ็ทสกีแบบทีควรพบเห็นตามรีสอร์ทหรือชายหาดทั่วไปที่เธอเคยได้ไปเที่ยวหรือพักผ่อนมา มีเพียงสะพานไม้ทอดยาวลงไปในทะเลสามสี่สะพาน โดยที่สะพานเหล่านั้นมีเรือท้องแบนผูกติดอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้อินทุอรต้องเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ คือร่างสูงกำยำของใครคนหนึ่งที่เดินอยู่ริมหาดทรายสีขาวตรงนั้น โดยมีเด็กๆรายล้อมและเดินตามกันเป็นพรวน
“เชอะ...ทำเป็นรักเด็ก” อินทุอรย่นจมูกอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออก
ตฤณยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม เมื่อมองเห็นร่างของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงเข้ามาทางจุดที่เขาเดินอยู่ กิริยา แววตา และรอยยิ้มของอินทุอรในยามนี้ช่างแสนคุ้นเคย มันเหมือนกับสายตาที่หญิงสาวชอบทำเป็นประจำเวลาต้องการจะเข้ามาหาเรื่องเขา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน อินทุอรก็ยังเป็นอินทุอรไม่เปลี่ยนแปลง
“หายดีแล้วเหรอ”เขาถามออกไปห้วนๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปประชิดตัวหญิงสาวแล้วใช้หลังมือแตะที่หน้าผากของอินทุอรอย่างแผ่วเบา “ยังร้อนๆอยู่เลยนะ ไหนลองดูแผลที่ตัวสิ”
อินทุอรพยายามที่จะขืนตัวจากการสำรวจไข้ของเขา หากแต่ยิ่งเห็นอินทุอรพยายามสะบัดตัวสะบัดแขนหนีอย่างถือตัวเขาก็ยิ่งนึกสนุก พยายามที่จะรวมข้อมือของหญิงสาวเอาไว้แล้วดึงเข้ามาใกล้จนลำตัวของเธอแนบสนิทกับเขา ตฤณยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าอินทุอรหน้าแดงเรื่อขึ้นมา ทั้งยังหลบตาเขา
“หน้าแดงนะ...ไม่สบายหรือเปล่า”เขาถามอย่างยั่วเย้า
“ใครหน้าแดง ฉันไม่ได้หน้าแดง แล้วฉันก็หายดีแล้วด้วย!”
“ถ้าหายดีแล้วก็ดีไป....”จบคำ เขาก็เผยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะก้มลงไปกระซิบแผ่วเบาข้างหูอย่างจงใจให้หญิงสาวรู้สึกหวามไหว “งั้นตามผมไปที่ห้องนะ ผมมีอะไรจะให้”
อินทุอรเบิกตากว้างอย่างตกใจ พยายามที่จะอ้าปากทักท้วง แต่เขาไม่มีทางให้อินทุอรได้พูดอะไรหรอก เพราะทันทีที่เขาพูดจบประโยค ชายหนุ่มก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของหญิงสาว ก่อนจะออกแรงลากนางแบบสาวให้ไปในทิศทางที่ต้องการ
“ปล่อยนะ ไอ้บ้า! ปล่อยสิ!” อินทุอรแหกปากร้องเสียงดังลั่น ทั้งกระโดดเตะ ทั้งพยายามจิก กัด และด่าทอเขาต่างๆนานา ยิ่งเขาลาเธอขึ้นไปบนบ้านพักส่วนตัว อินทุอรก็ยิ่งสำแดงอิทธิฤทธิมากยิ่งขึ้น จนเขาเกือบจะทนไม่ไหวเอาเสียแล้ว จนกระทั่งเขาพาอินทุอรมาถึงหน้าห้องทำงาน เขาก็ออกแรงเหวี่ยงร่างบอบบางให้ลงไปนั่งพับเพียบอยู่บนพื้น
“ตฤณ! ฉันเจ็บนะ นายจะบ้าเหรอ นี่มันพื้นนะ เหวี่ยงมาได้ยังไง!” อินทุอรร้องแหวๆ
“หยุดทำเสียงเหมือนกินนกหวีดไปได้ไหม น่ารำคาญ ผมไม่ได้พาคุณมาปล้ำที่ห้องทำงาน ตอนกลางวันแสกๆอย่างนี้หรอกนะ น่ารำคาญจริงๆ สะดีดสะดิ้งเหมือนกับผมจะปล้ำคุณงั้นแหละ”
อัพไม่ทัน
ตอนนี้ยากตรงบรรยายความรู้สึกของนายธามยากจริงๆๆ Y_Y
++++++++++++++++++++++++++++++++
ภายในห้องพักผู้ป่วยนั้นเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศและเสียงหายใจเป็นจังหวะของร่างที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ทันทีที่หญิงสาวเห็นภาพของร่างที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนั้นก็ต้องครางในลำคออย่างตกใจ ร่างกายสูงสมส่วนและแสนสมาร์ทของทยากรแทบจะไม่เหลือเค้าเดิมที่แสนองอาจอยู่เลย บริเวณดวงตาคู่เศร้า ถูกปิดด้วยผ้าพันแผลสีขาวสะอาด แม้แต่ข้างแก้มก็ยังมีผ้าผันแผลปิดไว้ ไล่ลงมาเรื่อยจนถึงท่อนขา ถูกเข้าเฝือกอย่างหนาเอาไว้ข้างหนึ่ง จากคำบอกเล่าของนางพยาบาล ชายหนุ่มยังคงไม่รู้ตัวจากการผ่าตัดเมื่อหลายชั่วโมงก่อน
“คุณธามเป็นอะไรมากไหมคะ ทำไมต้องเข้าเฝือกที่ขาด้วย...อย่าบอกนะคะว่าเขา..”
ความหนาวเข้ามาเกาะกุมหัวใจของหญิงสาวจนเย็นเยียบ ความกลัวผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นระคนเป็นห่วงคนที่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาเกือบครึ่งปี ทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าคำตอบจากพยาบาลสาวจะเป็นอะไร หากแต่คำตอบจากเธอก็ทำให้เนริชาเบาใจได้ครึ่งหนึ่ง
“ไม่ต้องกังวลนะคะ เมื่อคืนนี้ดิฉันได้คุยกับคุณหมอเจ้าของไข้คุณทยากรแล้ว คุณทยากรเธอแค่ขาหักจากอุบัติเหตุเท่านั้นค่ะ กายภาพบำบัดไม่นานก็คงหาย แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่านั้นคือ...”
สีหน้าของพยาบาลสาวเจื่อนลงราวกับไม่อยากจะเอ่ยสิ่งที่ตนรับรู้ออกมา หล่อนหลบสายตาลงเล็กน้อยเมื่อรู้ว่ามีสายตาจ้องมองอย่างคาดหวังจากเนริชา
“ทำไมคะ...แต่อะไร”เนริชาหันไปมองร่างบนเตียงด้วยความกังวล “อย่าบอกนะคะว่าเขาจะเสียโฉม ฉันเห็นบนใบหน้าเขามีผ้ากอซ”
พยาบาลสาวส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะวางมือลงบนบ่าของคนบนรถเข็นราวกับจะปลอบโยน
“ทำใจดีๆนะคะ ไม่ต้องตกใจไป เรื่องทุกเรื่องมีทางออกเสมอ”
“เรื่องอะไรคะ บอกมาเถอะ ฉันหัวใจจะวายตายอยู่แล้ว” เนริชาจับมือที่วางอยู่บนบ่าของตนอย่างเร่งเร้าหัวใจเต้นแรง หูอื้ออึงจนเวียนศีรษะไปหมด
“คุณทยากร...ตอนเกิดอุบัติเหตุ กระจกหน้ารถตรงส่วนที่คุณทยากรนั่งแตกละเอียดจากการชนอย่างแรง ทำให้เศษกระจกบาดกระจกตาทั้งสองข้างของคุณทยากร....ทำให้คุณทยากรตาบอดทั้งสองข้างค่ะ”
คำตอบของนางพยาบาลทำหน้าที่ราวกับค้อนปอนด์อันใหญ่ทุบลงกลางศีรษะของหญิงสาวอย่างแรง เนริชา หันไปมองร่างของทยากรอย่างเป็นกังวล เพราะอุบัติเหตุเมื่อคืนนั้นหรือที่ทำให้ทยากร ชายหนุ่มเพลย์บอยตัวพ่อ ไฮโซคนดังของวงสังคมต้องกลายเป็นคนพิการ โดยมีตัวเธอเป็นตัวต้นเหตุ!
“ฉันควรจะทำยังไงดี” เนริชารับรู้ถึงอันตรายที่จะเข้ามาครอบงำชีวิตของตนและครอบครัว คนอย่างท่านกุมุทและทยากรไม่มีทางปล่อยเธอแน่ หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น ครุ่นคิดเท่าไรก็คิดไม่ตกว่าหากชายหนุ่มฟื้นขึ้นมาในวันใดก็วันหนึ่ง เธอจะทำเช่นไร แต่ไม่ทันที่หญิงสาวจะได้คิด เสียงครางอย่างเจ็บปวดจากคนบนเตียงก็ดังแว่วมา หญิงสาวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ เบิกตามองคนที่ค่อยๆขยับตัวด้วยความตระหนก
“เจ็บ...ทำไมมันปวดไปหมดแบบนี้”
ถ้าหูของเขาไม่ฝาดจนได้ยินอะไรไม่ชัดเจนไปแล้วล่ะก็ ทยากรก็คงจะต้องเสียงแหบแห้งจริงๆ ชายหนุ่มได้ยินเสียงตัวเองถามใครสักคนหนึ่งอออกไปอย่างยากลำบาก ลำคอแห้งผาดและร่างกายที่เจ็บระบมทำให้เขาขยับตัวได้ลำบากจนนึกรำคาญตัวเอง
“ใครอยู่แถวนั้น มานี่หน่อยสิ” เขาพยายามเปร่งเสียงให้ดังขึ้น ก่อนจะพยายามลืมตาขึ้นมาเพื่อมองหาเด็กรับใช้หรือลูกน้องสักคน หากแต่กลับเพิ่งจะสังเกตว่า ดวงตาของตนมีอะไรบางอย่างพันอยู่โดยรอบ ทยากรยกมือขึ้นหมายจะแกะผ้าที่น่ารำคาญนั้นออก
“อย่านะคะคุณทยากร อย่าเอาผ้ากอซออกนะคะ” เสียงหวานใสไม่คุ้นหูของใครคนหนึ่งท้วงขึ้น พร้อมด้วยมือเย็นๆที่ยื้อมือเขาออกอย่างถือวิสาสะ “คุณหมอบอกว่าต้องพันเอาไว้สักสองสามวันก่อนค่ะ”
ทยากรหันขวับไปทางนั้นทันที คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่ใคร่จะพอใจเท่าใดนักสำหรับการกระทำในครั้งนี้ของหล่อน ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร มีสิทธิอะไรมาออกคำสั่งกับเขา
“คุณเป็นใคร ทำไมไม่ให้ผมแกะไอ้ผ้าบ้านี่ออก และขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าคนอย่างผม ไม่เคยมีใครมาสั่งได้ตามใจ!” ทยากรบอกหนักแน่น ก่อนจะยกมือขึ้นหมายจะกระตุกผ้านั้นออกเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีใครห้ามเขาไม่ให้ทำอะไรได้ หากแต่เพียงแค่ยกมือขึ้นเท่านั้น ความเจ็บแปลบอย่างประหลาดก็แล่นพล่านไปทั่วร่าง ทั้งยังรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างพันธนาการเขาอยู่
“คนไข้อย่าดื้อสิคะ คุณเพิ่งฟื้นจะเจ็บตัวเปล่าๆ”เสียงของผู้หญิงคนเดิมแว่วมา “คุณเนริชาคะ คุณช่วยพูดกับคนรักของคุณหน่อยสิคะว่าให้เขาเลิกดื้อสักที”
คำพูดของหญิงสาวคนนั้นทำให้เขาต้องฉุกคิดอย่างแปลกใจ ถ้าฟังไม่ผิดผู้หญิงคนนั้นพูดชื่อของ ‘เนริชา’ ขึ้นมา แต่นั่นไม่แปลกเท่ากับที่เธอพูดว่าเนริชาเป็นคนรักของเขา ชายหนุ่มหัวเราะในลำคออย่างนึกขัน ด้วยไม่อยากจะเชื่อว่าเนริชาจะเที่ยวบอกกับคนอื่นว่าเป็นคนรักของเขา
“คุณเน่อยู่ตรงนั้นเหรอ บอกหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
คนที่เขาต้องการคำตอบจากเธอเงียบไปครู่ใหญ่ ไม่มีคำตอบใดเล็ดลอดออกมาจากปากของพี่สาวของอินทุอรจนทำให้ชายหนุ่มต้องรู้สึกหงุดหงิด
“เนริชา! บอกผมได้หรือยัง”
“ใจเย็นก่อนเถอะค่ะ ฉันว่าคุณอย่าเพิ่งขยับตัวมากเลย”
เสียงคุ้นหูนั้นดังขึ้นไกลๆ น้ำเสียงของคนพูดสะบัดขึ้นลงตามอารมณ์ของคนพูด อารมณ์ที่ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าพี่สาวของคู่หมั้นนั้นเป็นคุณครูฝ่ายปกครอง ที่กำลังดุนักเรียนเกเรอย่างเขา ชายหนุ่มไม่ชอบความรู้สึกนั้นเลย ความรู้สึกที่เหมือนจะต้องตกเป็นรองอีกฝ่าย
“ผมต้องทำตามคำสั่งคุณด้วยเหรอ ผมไม่ได้เป็นอะไรกับคุณสักหน่อย”
“อาจจะถูกนะคะที่ฉันกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกัน”ฝ่ายนั้นสวนกลับมาทันที แต่น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยนและใช้อำนาจน้อยลงกว่าประโยคแรก “แต่ฉันแค่เป็นห่วงคุณเท่านั้นเองนะคะคุณธาม”
คำพูดและน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนของคนพูด ทำให้ทยากรหายใจขัดขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายกับมีก้อนบางอย่างแล่นขึ้นมาอัดจมูกเขาให้หายใจไม่ออกอย่างนั้นแหละ ไหนจะหัวใจของเขาที่เต้นแรงขึ้นมาจนแทบจะหลุดออกมาจากอกนั่นอีกล่ะ
“คุณว่าอะไรนะคุณเน่” เขาพยายามควบคุมน้ำเสียงไว้ไม่ให้คนฟังจับพิรุธได้
“ฉันบอกว่าฉันเป็นห่วงคุณค่ะ คุณจำไม่ได้งั้นเหรอคะว่าเมื่อคืนนี้เราสองคนเจออะไรกันมา”
คำพูดของเนริชาทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ ใช่แล้ว เมื่อคืนนี้เนริชามาหาเขาที่คอนโดเพื่อพูดเรื่องที่เธอจะมาเสนอตัวเป็นเจ้าสาวแทนอินทุอรที่หนีหายไป และเขาก็ขับรถไปส่งเนริชาที่บ้าน ระหว่างทางเขามีปากเสียงกับหญิงสาวเล็กน้อย...
อุบัติเหตุ ???
ใช่แล้ว! เมื่อคืนนี้ระหว่างทางกลับบ้าน เขาเหยียบคันเร่งจนมิดเพื่อเร่งความเร็วด้วยความโกรธที่มีต่อเพื่อนร่วมทาง แต่ตอนนั้นเอง เขาเหลือบไปเห็นสุนัขตัวหนึ่ง สุนัขที่น่าสงสารเดินแฉลบออกมาจากข้างทาง เขาหักพวกมาลัยเต็มแรง...แล้วจากนั้น...
“โอ๊ย...!!!” ทยากรร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนนี้มันกลับเข้ามาทำร้ายเขาอีกครา
“จำได้แล้วใช่ไหมคะ เราสองคนเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ”
“แล้วไงต่อ...”
“เอ่อ...ฉันไม่เป็นอะไรมากค่ะ บาดเจ็บเล็กน้อย ขาเจ็บ แขนก็เจ็บนิดหน่อย”
“คุณจะเป็นยังไง ผมไม่ต้องการทราบ!!!” ชายหนุ่มตะเบ็งเสียงดังจนคอระบบไปจนหมด หากแต่เมื่อถามออกไปแล้วเขากลับรู้สึกราวกับไม่ได้ยินคำตอบจากเนริชาสักนิด ลางสังหรณ์บางอย่างและการลองตรึกตรองสภาพของตัวเองตอนนี้ มันทำให้เขาพอจะเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาไม่ได้ยินเสียงของเนริชาอีก ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะพูดอะไรหรือไม่หูของเขาก็อื้ออึงไปเสียหมด ชายหนุ่มยกมือข้างที่ไม่ได้ถูกเสียบสายน้ำเกลือขึ้นแตะบริเวณรอบดวงตา มือหนาทั้งสองข้างสั่นเทาด้วยความกลัว กลัวอย่างที่ไม่เคยนึกกล้วมาเลยสักครั้งตลอดชีวิต
“ที่ต้องพันรอบตาไว้อย่างนี้...เป็นเพราะว่าเกิดอะไรขึ้นกับดวงตาผมใช่ไหม” เสียงที่เขาถามนั้นเรียบเฉยและเยือกเย็นอย่างที่สุด
“ทำใจเย็นๆไว้ก่อนนะคะ”เสียงของผู้หญิงแปลกหน้าดังขึ้น “คุณจะได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทางโรงพยาบาลจะทำได้ค่ะ ส่วนขาของคุณ....”
“ขาผม !!!” ทยากรแผดเสียงลั่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ก่อนจะรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีก้มตัวลงไปคลำสำรวจที่ขาทั้งสองต้นของตน ความปวดตามร่างที่รู้สึกเมื่อครู่หายไปจนสิ้น ความรู้สึกตะลึงกับสภาพขาทั้งสองข้างของตนเข้ามาแทนที่ ทยากรบอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร มันมากกว่าความเจ็บปวดทางกายที่ได้รับ ยามนี้เขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนพิการที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ดวงตาทรงเสน่ห์ที่เขาแสนจะภาคภูมิใจ บัดนี้มันบอดสนิท ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามได้อีก ขาทั้งสองข้างที่เขาเคยใช้มันพาไปในที่ที่ต้องการกลับเป็นแค่อวัยวะที่ไม่สามารถใช้การได้
“คุณธาม” เสียงของเนริชา...เขาจำได้ว่าเป็นเสียงของผู้หญิงคนนั้น ชายหนุ่มหันขวับไปในทิศทางที่คาดว่าหญิงสาวยืนอยู่ด้วยความเดือดดาล ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเนริชาไม่ใช่หรือ
เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้เขาเกิดเรื่องแบบนี้
“ไม่ต้องมาเรียกชื่อผม! เพราะคุณคนเดียวที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้ สะใจคุณหรือยังล่ะ”
“แต่คุณต้องมีกำลังใจนะคะ คุณยังไม่ได้พิการ พยาบาลก็บอกว่าคุณจะสามารถกลับมามองเห็นได้ เพียงแค่คุณต้องรอเวลาที่จะผ่าตัดกระจกตาเท่านั้น ส่วนขาคุณก็แค่ทำกายภาพบำบัด.....”
“แค่ แค่ แค่!!!! คุณก็พูดได้ง่ายสิ!”
ชายหนุ่มตวาดอย่างเกรี้ยวกราด โมโหและโกรธจนแทบจะจุกอดตายมันเป็นยังไงเขาก็เพิ่งรับรู้ตอนนี้ ทยากรอยากจะบีบคอผู้หญิงคนนั้นให้ตายคามือเลยจริงๆ คิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มจึงพยายามขยับตัว มือไม้ควานหาสิ่งของที่วางอยู่ใกล้เคียงเท่าที่มือจะหยิบจับได้ขึ้น ก่อนปาไปเปะปะอย่างไร้สติ
เสียงคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง และอาการโกรธเกรี้ยวขว้างปาสิ่งของของทยากรทำให้เนริชาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว พยาบาลสาวเข็นเก้าอี้เธอออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะเข้าไปกดกริ่งเรียกคนอื่นให้เข้ามาดูอาการของชายหนุ่ม ในมือที่กำแน่นของเนริชาเย็นชุ่มไปด้วยเหงื่อด้วยความกลัว ตั้งแต่เกิดมาหญิงสาวยังไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ยิ่งการเป็นต้นเหตุให้คนอื่นต้องกลายเป็นคนพิการ แม้จะเป็นการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เพียงชั่วคราว แต่คนที่ต้องตกอยู่ในสภาพนั้น แม้เพียงแค่วันเดียวก็คงต้องทุกข์ทรมานมากเป็นแน่ ยิ่งสำหรับเขา คนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง คนที่มีดวงตางดงามอย่างทยากร เขาคงจะเสียใจและทรมานมากอย่างแน่นอน
“ปล่อยสิวะ!!! บอกให้ปล่อย!!!” ถ้าได้ยินไม่ผิด น้ำเสียงของเขานั้นช่างเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น “ผมจะฆ่าคุณ คุณเน่!!! คุณต้องชดใช้ในสิ่งที่เกิดขึ้น!”
คำขู่ของชายหนุ่มทำให้เนริชาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ หญิงสาวมั่นใจ มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเธอ มันจะต้องเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เธอจะรับไหวอย่างแน่นอน
ร่างบางภายใต้ผ้าห่มผืนเล็ก บิดตัวไปมาอย่างรู้สึกไม่ใคร่จะสบายตัวนัก หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าตัวเองนอนอยู่บน ก้อนหินก็ไม่ปาน อีกอย่างผ้าห่มที่คลุมร่างเธอนั้นก็บางและไม่ได้ให้ความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย ทั้งเตียง ทั้งหมอนดู จะแย่ไปเสียหมด ไม่รู้ว่าเพื่อนของเธอนอนบนเตียงอย่างนี้ได้อย่างไรกัน มันแย่เอาเสียมากๆ แต่แล้วอินอุอรก็ต้อง ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เมื่อยินเสียงคล้ายคลื่นซัดมากระทบกับชายหาดดังก้องอยู่ใกล้หูราวกับที่พักของเธอ อยู่ติดกับทะเล ทั้งที่ความจริงแล้ว ถ้าจำไม่ผิดห้องพักที่เพื่อนเปิดเอาไว้ให้มันอยู่บนโรงแรมห้าดาวชั้นยี่สิบ แล้วทำไม ยังสามารถได้ยินเสียงคลื่นอยู่เล่า
หญิงสาวยกเปลือกตาขึ้นด้วยความแปลกใจ ภาพแรกที่ปรากฎตรงหน้านั้น ไม่ใช่เพดานฝ้าของโรงแรม ที่ทำจากวัสดุชั้นดี หากแต่มันกลับเป็นเพดาโล่ง และด้านในของหลังคาที่ดูคล้ายกับใบหญ้าแห้งๆ แล้วความทรงจำทั้งหมดก็แล่นเข้ามาในหัวสมองของหญิงสาว อินทุอรใช้แขนทั้งสองข้างดันตัวขึ้นนั่งบนเตียงแข็ง ก่อนมองไปรอบตัวราวกับต้องการมองสำรวจ
ใช่แล้ว!ตอนนี้เธอมาอยู่ที่รีสอร์ตเล็กๆแห่งนี้ รีสอร์ตของนายตฤณ
“ฉันอยู่ที่นี่จริงๆ ไม่ใช่ความฝัน” หญิงสาวหลับตาลงอย่างพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้ตื่นกลัว แต่ยิ่งหลับตา ภาพของชายหนุ่มผิวคล้ำแดด หนวดเครารกครึ้มที่มีรอยยิ้มชั่วรายคนนั้นก็ยิ่งเด่นชัด อินทุอรพยายามสะบัดศีรษะเผื่อว่าภาพนั้นจะหายไปจากหัวสมอง แต่กลายเป็นว่า ยิ่งพยายามบอกตัวเอง ว่าเธอไม่กลัวผู้ชายคนนั้น ภาพเขาที่แสยะยิ้มชั่วร้าย ก็ยิ่งเข้ามามีอิทธิพลในสมองของเธอมากเท่านั้น
แล้วหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งจนตัวโยน เมื่อรู้สึกคล้ายมีฝ่ามือเย็นวาบของใครบางคน วางทาบบนหลังฝ่ามือของหญิงสาวเบาๆ
“เป็นอะไรไปคะพี่คนสวย” เสียงหวานแหลมสดใสคุ้นหูทำให้อินทุอรค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ จนกระทั่ง ภาพของการะเกดที่กำลังเอียงคอมองอย่างสงสัยค่อยๆชัดขึ้น หญิงสาวก็ต้องเผลอตัวถอนหายใจ ออกมาอย่างโล่งอก
“ว่าแต่ มาทำอะไรที่ห้องของฉันแต่เช้างั้นเหรอ”อินทุอรไม่ได้สนใจที่จะตอบคำถามของเด็กหญิง แต่กลับย้อนถามการะเกดออกไป
“อ้อ เกดเกือบลืม” หญิงสาวดีดนิ้ว ก่อนจะก้มหยิบสิ่งที่ดูคล้ายกางเกงสะดอผ้าฝ้ายสีน้ำตาลตัวโคร่งและเสื้อผ้ายืดซึ่งถูกพับไว้อย่าง เป็นระเบียบขึ้นมาจากโต๊ะข้างเตียง “พี่ตฤณให้เอาชุดนี้มาให้ค่ะ เป็นกางเกงเลกับเสื้อแบบที่เอาไว้ขายให้กับ นักท่องเที่ยว รับรองว่าสะอาด ปลอดภัยแน่นอน”
การะเกดยิ้มแป้นส่งกองผ้านั้นให้ หญิงสาวจึงยื่นมือรับมาถือไว้ ด้วยไม่อยากให้เด็กหญิงตรงหน้า ต้องเสียน้ำใจ ก่อนที่นิ้วเรียวจะกรีดกรายคลี่เสื้อสีขาวออกดู มันเป็นเสื้อยืดคอวีสีชมพูดูน่ารักดี แต่สิ่งที่ขัดตา จนทำให้หญิงสาว ต้องเบ้ปากแล้วร้องยี้อย่างลืมตัวนั้น ก็คงจะเป็นลายสกรีนตรงหน้าอก เขียนตัวใหญ่ๆ ด้วยสีน้ำตาลว่า ‘ฟ้าครามรีสอร์ต’ แถมด้วยตัวหนังสือเล็กๆ ใต้ตัวอักษรเหล่านั้นว่า …เกาะฟ้าคราม ระยอง
“ร้องยี้ทำไม ไม่สวยเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันไม่ใส่หรอกนะของแบบนี้” หญิงสาวยื่นมันคืนให้กับการะเกด “ฉันไม่เห็นความสวยของมัน แต่เธอทำหน้าอย่างกับว่าแปลกใจนักหนา ทั้งที่มันไม่น่าแปลกใจสักนิด ของแบบนี้น่าอายจะตาย ใส่เข้าไปได้ไง ไร้รสนิยม”
การะเกดทำท่าฮึดฮัดขึ้นมาทันที ก่อนจะโยนกองเสื้อผ้าที่ตนถือมาลงบนเตียงที่อินทุอรนั่งอยู่ด้วยท่าทาง คล้ายคนโมโหเต็มทน
“จะบอกอะไรให้นะว่า เสื้อผ้าที่ดีที่สุดที่หาให้ได้ตอนนี้ ก็มีแต่ไอ้ชุดที่พี่ทำหน้าเหมือนกับมันเห่ยซะเต็มทน นั่นแหละ ถ้าพี่ไม่ใส่ก็เชิญเน่าอยู่กับไอ้ชุดนอนตัวใหญ่ๆนั่นไปจนกว่าพี่ตฤณเขาจะพาไป หาซื้อชุดได้เลย หรือไม่ก็ กลับไปใส่อีชุดขาดๆ แบรนด์เนมรุ่งริ่งของพี่ที่ทิ้งอยู่ในถังขยะหน้าบ้านนั่นได้เลย”
ผลที่สุดแล้ว อินทุอรก็ต้องยอมใส่เสื้อผ้าที่การะเกดเตรียมมาให้ นางแบบสาวก้มลงมองตัวเองในตอนนี้อย่างสลดใจ ร่างกายที่ดูแลอย่างดีต้องมามีแผลเป็นสะเก็ดตามตัวเต็มไปหมด ยิ่งพอเอามือจับผมแห้งกรอบของตัวเองยิ่งสลดใจ เมื่อสองวันก่อนแช่น้ำทะเลมาตั้งนานก็ยังไม่ได้หมักบำรุงผมด้วยทรีตเม้นต์ดีๆ ยิ่งอบไอน้ำยิ่งไม่ได้พูดถึง
อินทุอรเดินไปหยิบกระจกบานเล็กที่วางอยู่หลังตู้เสื้อผ้าขึ้นมาถือไว้ในมือ ภาพที่สะท้อนออกมาจากกระจกราวกับไม่ใช่หล่อน เส้นผมแห้งกรอบล้อมกรอบหน้าซีดเซียวไร้สีสัน ริมฝีปากแห้งผาดหลุดเป็นขุยขอบตาของนางแบบสาวชื่อดังร้อนผ่าวอย่างสะเทือนใจ
“ฉันเกลียดคุณจริงๆคุณธาม!!” หญิงสาวพาลนึกไปถึงคนที่ไล่ล่าเธออย่างเลือดเย็นคนนั้นแล้วอดจะแค้นใจไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นนอกจะเจ้าชู้เกินเยียวยาแล้ว เขายังเลวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ตั้งแต่ได้พบเจอกันมาเกือบครึ่งปี เขาดูเหมือนจะเป็นคนคนหนึ่งที่ดูไม่น่าจะเลวร้ายเกินเยียวยาเหมือนพวกลูกผู้มีอิทธิพลคนอื่นที่คอยสร้างแต่เรื่องปวดหัว แต่สิ่งที่รับรู้นั้นผิดถนัด ทยากรซ่อนความร้ายกาจไว้ใต้ใบหน้าหล่อเหลาที่แย้มยิ้มตลอดเวลาที่พบกัน
อินทุอรกำมือแน่นจนเล็บยาวๆของตนจิกลงไปในเนื้อ
“อย่าให้ฉันออกไปจากที่นี่ได้นะ ฉันเล่นงานคุณแน่” อินทุอรขบกรามแน่นอย่างแค้นใจ
ท้องฟ้ายามนี้ยังคงมีเมฆมากและมืดครึ้มอยู่ อินทุอรมองออกไปบนผืนน้ำกว้างใหญ่สีครามตรงหน้า รอบบริเวณนี้เท่าที่สังเกตดู มองไม่เห็นบานานาโบ๊ท หรือว่าเจ็ทสกีแบบทีควรพบเห็นตามรีสอร์ทหรือชายหาดทั่วไปที่เธอเคยได้ไปเที่ยวหรือพักผ่อนมา มีเพียงสะพานไม้ทอดยาวลงไปในทะเลสามสี่สะพาน โดยที่สะพานเหล่านั้นมีเรือท้องแบนผูกติดอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้อินทุอรต้องเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ คือร่างสูงกำยำของใครคนหนึ่งที่เดินอยู่ริมหาดทรายสีขาวตรงนั้น โดยมีเด็กๆรายล้อมและเดินตามกันเป็นพรวน
“เชอะ...ทำเป็นรักเด็ก” อินทุอรย่นจมูกอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออก
ตฤณยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม เมื่อมองเห็นร่างของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงเข้ามาทางจุดที่เขาเดินอยู่ กิริยา แววตา และรอยยิ้มของอินทุอรในยามนี้ช่างแสนคุ้นเคย มันเหมือนกับสายตาที่หญิงสาวชอบทำเป็นประจำเวลาต้องการจะเข้ามาหาเรื่องเขา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน อินทุอรก็ยังเป็นอินทุอรไม่เปลี่ยนแปลง
“หายดีแล้วเหรอ”เขาถามออกไปห้วนๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปประชิดตัวหญิงสาวแล้วใช้หลังมือแตะที่หน้าผากของอินทุอรอย่างแผ่วเบา “ยังร้อนๆอยู่เลยนะ ไหนลองดูแผลที่ตัวสิ”
อินทุอรพยายามที่จะขืนตัวจากการสำรวจไข้ของเขา หากแต่ยิ่งเห็นอินทุอรพยายามสะบัดตัวสะบัดแขนหนีอย่างถือตัวเขาก็ยิ่งนึกสนุก พยายามที่จะรวมข้อมือของหญิงสาวเอาไว้แล้วดึงเข้ามาใกล้จนลำตัวของเธอแนบสนิทกับเขา ตฤณยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าอินทุอรหน้าแดงเรื่อขึ้นมา ทั้งยังหลบตาเขา
“หน้าแดงนะ...ไม่สบายหรือเปล่า”เขาถามอย่างยั่วเย้า
“ใครหน้าแดง ฉันไม่ได้หน้าแดง แล้วฉันก็หายดีแล้วด้วย!”
“ถ้าหายดีแล้วก็ดีไป....”จบคำ เขาก็เผยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะก้มลงไปกระซิบแผ่วเบาข้างหูอย่างจงใจให้หญิงสาวรู้สึกหวามไหว “งั้นตามผมไปที่ห้องนะ ผมมีอะไรจะให้”
อินทุอรเบิกตากว้างอย่างตกใจ พยายามที่จะอ้าปากทักท้วง แต่เขาไม่มีทางให้อินทุอรได้พูดอะไรหรอก เพราะทันทีที่เขาพูดจบประโยค ชายหนุ่มก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของหญิงสาว ก่อนจะออกแรงลากนางแบบสาวให้ไปในทิศทางที่ต้องการ
“ปล่อยนะ ไอ้บ้า! ปล่อยสิ!” อินทุอรแหกปากร้องเสียงดังลั่น ทั้งกระโดดเตะ ทั้งพยายามจิก กัด และด่าทอเขาต่างๆนานา ยิ่งเขาลาเธอขึ้นไปบนบ้านพักส่วนตัว อินทุอรก็ยิ่งสำแดงอิทธิฤทธิมากยิ่งขึ้น จนเขาเกือบจะทนไม่ไหวเอาเสียแล้ว จนกระทั่งเขาพาอินทุอรมาถึงหน้าห้องทำงาน เขาก็ออกแรงเหวี่ยงร่างบอบบางให้ลงไปนั่งพับเพียบอยู่บนพื้น
“ตฤณ! ฉันเจ็บนะ นายจะบ้าเหรอ นี่มันพื้นนะ เหวี่ยงมาได้ยังไง!” อินทุอรร้องแหวๆ
“หยุดทำเสียงเหมือนกินนกหวีดไปได้ไหม น่ารำคาญ ผมไม่ได้พาคุณมาปล้ำที่ห้องทำงาน ตอนกลางวันแสกๆอย่างนี้หรอกนะ น่ารำคาญจริงๆ สะดีดสะดิ้งเหมือนกับผมจะปล้ำคุณงั้นแหละ”
ศิลป์ศรุตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ธ.ค. 2554, 16:34:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ธ.ค. 2554, 16:34:14 น.
จำนวนการเข้าชม : 2308
<< ตอนที่ 5 |
sunrise 17 ธ.ค. 2554, 02:46:43 น.
เน่มีส่วนผิดที่ทำให้นายธามเสียสมาธิในการขับรถ แต่นายธามก็ผิดที่ขับรถโดยประมาท แล้วทำไมไปโทษหนูเน่คนเดียวอย่างนั้นเล่า นิสัยไม่ดีจริงๆนายธาม
เน่มีส่วนผิดที่ทำให้นายธามเสียสมาธิในการขับรถ แต่นายธามก็ผิดที่ขับรถโดยประมาท แล้วทำไมไปโทษหนูเน่คนเดียวอย่างนั้นเล่า นิสัยไม่ดีจริงๆนายธาม
หมูอ้วน 17 ธ.ค. 2554, 15:19:15 น.
ไม่รู้จะสงสารใครดี
ไม่รู้จะสงสารใครดี
gozilar 17 ธ.ค. 2554, 20:36:14 น.
อืม ทำไมเรารำคาญ ยัยอินจังเลย ข้ามๆ คู่นี้ไปเหอะ ฝ่ายชายก็แค้นอะไรหนักหนา
ฝ่ายหญิงก็เห็นแก่ตัว แล้วบอกไว้เลย นิสัยแบบนี้ ไม่ได้แก้กันได้ง่ายๆ
ส่วนคู่ธาม ก็เซ็งนะ ตาบอดเลยเหรอ แต่เราเข้าใจนะ คนเจ็บนิสัยจะแย่ๆ พาลพาโลและก็โทษโน้นนี่นั่น ถ้าโทษตัวเอง อาการซึมเศร้า น่าห่วงมากๆ ถ้าโทษคนอื่นก็โกรธแค้น ก็น่าห่วงอีก
อืม ทำไมเรารำคาญ ยัยอินจังเลย ข้ามๆ คู่นี้ไปเหอะ ฝ่ายชายก็แค้นอะไรหนักหนา
ฝ่ายหญิงก็เห็นแก่ตัว แล้วบอกไว้เลย นิสัยแบบนี้ ไม่ได้แก้กันได้ง่ายๆ
ส่วนคู่ธาม ก็เซ็งนะ ตาบอดเลยเหรอ แต่เราเข้าใจนะ คนเจ็บนิสัยจะแย่ๆ พาลพาโลและก็โทษโน้นนี่นั่น ถ้าโทษตัวเอง อาการซึมเศร้า น่าห่วงมากๆ ถ้าโทษคนอื่นก็โกรธแค้น ก็น่าห่วงอีก