พิศวาสสายน้ำ
"เนื้อตัวไม่เคยให้ใคร แต่หัวใจขอรับจ้าง...เพื่อชดใช้ในสิ่งที่ทำผิดไป"
Tags: กระโดดตบ กระหน่ำจูบ

ตอน: ๑ พานพบ

๑ พานพบ


“จ้องตาเป็นมันเชียวนะมึง เป็นไงวะชล สเป็คละซี้เด็กคนนั้น”

เสียงห้าวๆ ซึ่งดังขึ้นด้านข้างแข่งเสียงเพลงในผับที่กระหึ่มก้อง ดึงความสนใจของชลธีจาก ‘เด็กคนนั้น’ มายังคนเรียก

“ว่าไงนะฮะพี่ก้าน”

“ฉันว่าแกคงอยากแอ้มเด็กหน้าใหม่คนนั้นแหงๆ กูไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ผู้ชายที่มาด้วยน่ะ เห็นหน้าละอ่อนๆ แต่เขี้ยวลากดินชิบ นี่ดูท่าคงจะสงสัยเพิ่งคั่วมาได้ไม่นาน เลยพามาเปิดหูเปิดตาที่ผับนี่”

ชายหนุ่มคนฟังคลึงแก้วเหล้าในมือเล่น แต่สายตาจับจ้องโดยไม่กระพริบไปยัง ‘เด็ก’ ที่เพื่อนรุ่นพี่เอ่ยถึง

“มึงดูซิวะชล เอวคอดโคตรๆ สะโพกก็ผายสุดๆ ให้ตายซิวะ ยิ่งท่าเต้น แม่เจ้าโว้ย ได้ใจกูจริงๆ อกอึ๋มๆ ก้นกลมๆ อย่างนี้นะ กูล่ะลองคั่วเด็กคนนี้ดูบ้าง นี่ถ้าได้ ‘ลอง’ สักคืนสองคืน จะไม่ลืมพระคุณเลยเว้ย”

ชลธีส่ายหน้า รู้ว่าภาษาหยาบๆ ที่พี่ก้านพูด เป็นแค่เรื่องสนุก ไม่ได้จริงจังนัก ตามประสาคนกลางคืน

ถ้าอดไม่ได้ ก็เลยขวางลำเสียหน่อย

“น้อยๆ หน่อยพี่ก้าน พี่เป็นเจ้าของผับนะเว้ยพี่ก้าน ทำรุ่มร่ามกับลูกค้าได้เหรอ เดี๋ยวแขกก็พากันหนีหมด เจ๊งขึ้นมาน้องไม่รับผิดชอบนาพี่”

“เฮ้ย กูละเกลียดคำนี้จริงๆ ไอ้ชล กูขอเหอะ อะไรๆ ก็เอาคำว่าเจ้าของผับมาอ้าง กูจะหาเวลามีความสุขส่วนตัว คั่วเด็กกินเองมั้งไม่ได้หรือไงวะ”

“พี่ก็ควรไปคั่วที่อื่น ส่วนผับนี้ ยังไงพี่ก็ต้องรักษามาดผู้บริหาร”

“ไอ้ห่า แล้วปล่อยให้มึงเอาไปแดกคนเดียวจนเปรมนะเหรอวะ เอ ที่ถึงมาผับกูบ่อยๆ เพราะว่ามาหาซิวเด็กผับกูนี่เอง”

“น่า...ของดีก็ต้องแบ่งกันกินดิพี่ก้าน” คนพูดยิ้มอย่างมีเลศนัย สายตาหันกลับไปมองยัง ‘เป้าหมาย’ ซึ่งกำลังเต้นอย่างเมามันบนฟลอร์ ราวกับว่ามีเพียงเธอกับแฟนหนุ่มสองคนเท่านั้น

“เออ กูรู้ กูหล่อสู้มึงไม่ได้ คารมก็เป็นต่อ รวยก็รวย คนหาเช้ากินค่ำอย่างกูก็ต้องก้มหน้าจ๋อยไป”

พี่ก้านแกล้งพูดอย่างนี้ทุกที คบกันมาร่วมสิบปี จะมาคิดน้อยใจกันตอนนี้จริงๆ ก็เกินไปละ

ชลธียิ้มกว้าง เห็นเป็นเรื่องขันที่พี่ก้านล้อเล่นอย่างนั้น เขาใช้มือแตะไหล่รุ่นพี่เบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ ล้อเลียนท่าทาง ‘จ๋องๆ’ ของรุ่นพี่ แล้วบอก

“พี่ก็มีดีหลายอย่างที่ผมสู้ไม่ได้ คนเราจะให้ดีให้เก่งเหมือนกันไปทั้งหมด โลกก็คงหมดความน่าอยู่สิพี่ก้าน”

ฟังแล้ว พี่ก้านก็ได้แต่อือๆ ออๆ ก่อนวกกลับเข้าเรื่อง

“กูว่าเด็กคนนี้สีไม่ยาก ลองดูดิไอ้ชล เต้นเก่งอย่างมึง ชะแว่บเข้าไปสีหน่อย แป๊บเดียวกูว่า ไฟลุกพรึ่บ”

เสียงหัวเราะของคนพูดไล่ตามมาทันที ชลธีก็พลอยผสมโรง แล้วยกเหล้าในมือขึ้นจิบ แล้วเบือนหน้าไปทางฟลอร์เต้นรำที่เหล่านักท่องราตรีต่างพากันสะบัดลวดลายโดยไม่อายใคร ทั้งลีลาเซ็กซี่ ทั้งเร่าร้อนเกินห้ามใจไหว

จังหวะนั้นที่ชลธีหันไปนั่นเอง ‘เด็กคนนั้น’ ก็หันมาประสานสายตาพอดี เมื่อได้เห็นเต็มๆ ในตอนที่แสงไปสีเหลืองส่องจับดวงหน้าเธอ ชายหนุ่มบอกตัวเองทันทีว่า ผู้หญิงคนนี้ดูเด็กมาก น่าจะยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ

...พี่ก้านเอาอีกแล้ว ปล่อยเด็กยังไม่ยี่สิบเข้าผับ เดี๋ยวก็ได้เรื่องหรอก...

ทว่าชลธีต้องหยุดความคิดเกี่ยวกับเพื่อนรุ่นพี่ไว้เท่านั้น เพราะมองเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นหันมาทำตายั่วยวน ชายหนุ่มรู้ดีว่านั่นคืออารมณ์เพลง แต่ให้ตายเถอะ ‘ฟิลลิ่ง’ ของเพลงในตอนนั้นมันให้ความรู้สึกเซ็กซี่ ยวนใจให้ผู้ชายเข้าใกล้สุดๆ

เด็กคนนั้นไม่รู้ซะแล้วว่าบังอาจมาท้าทายใคร เขากระดกเหล้าในแก้วเข้าปากจนหมดแล้ววางลง ก่อนปลดกระดุมเม็ดบนออก โชว์แผ่นอกหนาที่มีไรขนขึ้นบางๆ

เจ้าหล่อนยั่วเขาได้ เขาก็ยั่วเจ้าหล่อนคืนได้เหมือนกัน สาวคนไหนที่ได้เห็นและสัมผัสอกหนาอย่างชายแท้ของเขาแล้ว เป็นต้องหลอมละลาย ไม่ต่างกับน้ำแข็งโดนความร้อนยังไงยังงั้นเลยเชียว

ชายหนุ่มก้าวลงไปยังลานฟลอร์ที่คนต่างเบียดกันแน่ ใช้ความสูงและหนาของตัวให้เป็นประโยชน์ กระแซะเข้าใกล้เป้าหมาย พร้อมเบียดแฟนหนุ่มของเธอออกไป เป็นจังหวะเดียวกับมีผู้หญิงอีกคนมาดึงเด็กหนุ่มคนนั้นไปอีกทาง จึงเป็นอันว่า แม่สาวช่างยั่วตกเป็นคู่เต้นของเขาโดยสมบูรณ์!

ด้วยความชำนาญในการเต้น อันเป็นผลมาจากการท่องราตรีมาหลายปี ทำให้เขาเต้นซ้อนไปด้านหลังหญิงสาว ผสานสเต็ป่ของตนเข้ากับอีกฝ่าย สุดท้ายก็ค่อยๆ เอามือวางไว้ที่บั้นเอว แนบไปกับเสื้อสายเดียวสีแสดที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อสาว

ชลธีเผลอสูดกลิ่นสาวเข้าไปหลายครั้ง มันช่างเร้งเร้าให้เขากระชุ่มกระชายอย่างไรพิกล ท้าให้เต้นทั้งคืนคู่กับเจ้าหล่อนก็ย่อมได้

ชายหนุ่มฝังจมูกลงที่ซอกคอขาวผ่อง เจ้าตัวเหมือนจะเคลิ้มๆ เขาจึงลอบดมกลิ่นหอมซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลิ่นนั้นเหมือนแป้งเด็กมากกว่าที่จะเป็นน้ำหอมฉุนจัดที่สาวเจนจัดสังคมน่าจะพรมฉีด

ให้ตายเถอะ...เขาชอบกลิ่นนี้จริงๆ

จะด้วยอารมณ์ของเพลงหรืออารมณ์ส่วนตัวก็สุดรู้ ทำให้ชายหนุ่มไล้มือทั้งสองที่ทาบอยู่กับเอวคอด เรื่อยต่ำลงไปตามสะโพกผาย ลึกลงสู่น่องขาวๆ ซึ่งโผล่พ้นกางเกงยีนสั้นกุดที่คุณเธอสวมมาอย่างไม่กลัวเสือหรือตะเข้ที่ไหนทั้งสิ้น

ดูท่าเธอก็เมามันไปกับจังหวะเพลง ปล่อยให้เขาลูบไล้อย่างไม่ถือสา เพราะดวงตาเธอปรือจัด คงอัดเอาแอลกอฮอล์เข้าไปในเส้นเลือดอยู่มากเอาการ

ชลธีกระหยิ่มใจ ง่ายๆ อย่างนี้คงเสร็จเขาอีกราย...

พอจังหวะย้อนขึ้น มือใหญ่จึงพยายามไล้และล้วงรอดลำแขนของเธอไปยังเนินเนื้อด้านหน้าที่อวบอัด น่าสงสารที่มันต้องถูกรัดอยู่ภายใต้ผ้าเสื้อบาง

แต่ชายหนุ่มคิดผิด เธอก็ปัดมือเขาออกทันควัน แต่ไม่ทำให้เสียงจังหวะการเต้น รีบหันหน้ามาส่งสายตาปรามๆ ใส่เขา พร้อมชูนิ้วชี้ขึ้นส่ายไปมา เป็นสัญลักษณ์บอกว่า แม่กระต่ายป่าที่ไม่ให้นายพรานได้ขย่ำง่ายๆ

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ที่ทั้งคู่ผสานสเต็ปแทบจะเป็นหนึ่งเดียว ตามเพลงแนว R & B อันเร่าร้อน อยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งกระแทกชลธีจนเซแทบล้ม เขารีบหันไปหา ผลักอกชายหนุ่มคนนั้นคืน แต่พอจำได้ว่าเป็นเพื่อนชายที่มากับแม่กระต่ายป่า ก็เลยไม่เอาเรื่องต่อ เหตุก็เพราะเขาได้คั่วแฟนสาวเจ้าหนุ่มหน้าจืดคนนั้นจนเหงื่อโทรมกายทั้งคู่แล้ว

ไม่ทันได้ร่ำลาอะไรกัน คู่เต้นแบบสุดสวิงของเขาก็ถูกกึ่งลากกึ่งดึงไปอีกอย่างแล้ว ตอนนั้นเพลงที่เปิดมาถึงจังหวะสโลว์ ทำให้เขาได้ยินบทสนทนาแว่วๆ ว่า

“กลับเถอะ เราไม่ชอบให้ลษาไปเต้นกับคนอื่นแบบนี้นะ”

“น้อยๆ หน่อยโอม อย่ามาทำหวงหน่อยเลย ทีตัวยังไปเต้นกะผู้หญิงคนอื่นได้เลยเชอะ อย่าหมาหวงก้างไปหน่อยเร้ย”

น้ำเสียงคนพูดไม่ได้น้อยใจอย่างปากว่าเลย ติดจะสนุกครึกครื้นเสียด้วยซ้ำ ที่เพื่อนชายไปเต้นกับหญิงอื่น ปล่อยให้เธอเต้นกับ ‘ชายแปลกหน้า’ อยู่นานสองนาน
ชลธีมองตามเรียวขายาวๆ ขาวๆ ไปจนถึงประตูทางออก มิวายเจ้าหล่อนยังส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาหาเขาอีก คราวนี้เขาว่าน่าจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าเส้นเลือดทั่วตัว มากกว่าจริตปรุงแต่งของสาวผู้จัดเจนราตรี ประสบการณ์ของเขาบอกอย่างนั้น
พอกลับมายังเคาน์เตอร์เดิมที่รุ่นพี่ยืนอยู่ ก็ถูกกระเซ้าทันที

“ไง...อร่อยไหม”

“ก็ดี พอจะปลุกอารมณ์ให้ครึกครื่น” ว่าพร้อมยักคิ้วให้คนถาม ก่อนหันไปขอน้ำเปล่ามาดื่ม หยิบผ้าเย็นขึ้นเช็ดหน้าซึ่งเหงือผุดขึ้นเต็ม

“ไอ้เวร ทำไมไม่ดึงเด็กนั่นมาเต้นตรงนี้ด้วยล่ะวะ ‘อารมณ์’ ขึ้นแล้วมึงไม่มีที่ลง จะหงุดหงิดงุ่นง่านนะเว้ย”

“แฟนมันมองตาขวางอยู่นะพี่ ขืนฉุดมาด้วย ได้โดนเด็กมันสอยปากเอา ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่าๆ”
หัวเราะต่อท้ายแล้วก็ หันไปสั่งเหล้ารสประจำที่สั่งอยู่มาจิบทันที

“อีกอย่าง พี่ก้านคิดหรือว่าผมจะไม่มี ‘ที่ลง’ เลย ฮึ!”

“อ้อ ลืมไปครับลืมไป นี่กระผมกะลังคุยอยู่กับคาซาโนว่านับเบอร์วันของกรุงเทพ สาวๆ ที่ไหนก็ยินดีพลีกาย ถึงขั้นถวายวิญญาณ”

“พี่ก้านก็พูดเกินไป” ปากถ่อมตัว แต่คิ้วข้างขวากระดิกรับสมอ้าง ส่วนสายตาเจ้าชู้ก็กวาดไปทั่วฟลอร์ ราวกับนายพรานหาเหยื่อรายต่อไป แต่พอไม่พบ ก็หันกลับมาหาคู่สนทนา “ผมน่ะก็แค่มือสมัครเล่นเท่านั้น”

“โธ่...มือสมัครเล่นที่ไหนวะ ฟันหญิงแต่ละอาทิตย์ไม่ซ้ำหน้า กูละนับถือ”

บ่นแล้วก็หันไปสั่งเหล้าเพิ่มมาให้รุ่นน้อง นัยว่ายอม ‘ซูฮก’

“ว่าแต่ ยายพริสซี่ที่ควงเมื่ออาทิตย์ก่อน มึงฟันไปหรือยังวะชล”

“ผมไม่เคยกินในที่ลับแล้วเอามาไขในที่แจ้งให้คนอื่นฟังนะพี่ก้าน พี่ก็รู้นิสัยผมดี นอกจาก...ฝ่ายหญิงเขาจะเอาไปบอกต่อเองว่าได้ผมแล้ว เฮ้อ...ดูซิฮะ ผมมีแต่เสียกับเสีย”

“เสียกะผีน่ะซี มึงได้ทั้งขึ้นทั้งร่อง ได้แอ้มสาว แล้วยังจะได้ชื่อเสียงเป็นคาซาโนว่าเพิ่มอีก ส่วนยายพริสซี่กูก็แค่อยากรู้เฉยๆ เห็นหยิ่งนัก เล่นตัวก็เท่านั้น ไม่รู้จะเสร็จคาซาโนว่าชลธีแล้วหรือยัง”

ชลธีไม่ตอบ ยักคิ้วหลิ่วตาให้รุ่นพี่ ก่อนล้วงเอาธนบัตรใบละพันมาวางที่เคาน์เตอร์ แล้วทำท่าจะผละจาก พี่ก้านก็เลยร้องทัก

“อ้าว จะไปแล้วเหรอ นึกออกแล้วไงว่าจะหาที่ลงที่ไหน”

“เปล่าหรอกพี่ นึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้มีงานแต่เช้า อีกอย่างผมตั้งใจจะเลยไปเยี่ยมแม่ให้ได้ก่อนเที่ยงด้วย แกบ่นอยากกินแกงบอน ผมให้คนไปสืบมาแล้วว่าร้านไหนแกงอร่อย จะได้แวะซื้อเข้าไปให้แม่ได้ทัน”

“กูปลื้มใจแทนแม่มึงจริงๆ มีลูกกตัญญูอย่างมึงนะไอ้ชล” พร้อมกับบอก พี่ก้านก็เอามือตบไหล่เบาๆ เป็นการแสดงความนับถือในความดีข้อนี้ของชลธีด้วยความจริงจัง

“ทั้งชีวิตผมก็เหลืออยู่แค่นี้แหละพี่...ผมกับแม่สองคนเท่านั้น...” พอได้เอ่ยประโยคนนั้น จากอารมณ์คึกคะนอง ก็ลดดีกรีลงทันใด

“อ้าว แล้วแม่ใหญ่ของมึงล่ะ คนทางฝ่ายพ่อมึงอีกด้วย”

ราวกับได้ยินคำพูดที่แสลงหูเอามากๆ ชลธีมองรุ่นพี่ตาขวาง เค้นเสียงต่ำๆ แข่งเสียงเพลงรอบข้าง บอกพี่ก้านอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า

“พี่ก้านก็น่าจะรู้ว่าผมไม่นับยายนั่นเป็นแม่ ไม่นับเมียฝั่งนั้นของพ่อว่าเป็นญาติด้วยซ้ำ” พูดแล้วหันไปมองทางอื่น คล้ายจะเก็บกดความเคียดแค้นเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมา

ครู่ใหญ่เชียวล่ะ กว่าเขาจะหันกลับมาพูดต่อได้ว่า

“ตั้งแต่เล็กจนโต ที่เรียกยายแร้งทึ้งนั่นว่าแม่ใหญ่ ผมก็จำใจอยู่แล้ว ถ้าแม่ผมไม่ขอร้องให้เรียก ผมไม่เรียกให้เสียปากหรอกพี่”

ทิ้งคำพูดแรงๆ ไว้เท่านั้นแล้ว ชลธีก็ก้าวยาวๆ จากไป ไม่ทันให้เจ้าของผับอย่างก้านได้ท้วงติงใดๆ ทำได้ดีสุดคือส่ายหน้าระอา

ความเจ้าคิดเจ้าแค้นของรุ่นน้องคนนี้ นับวันจะยิ่งพอกหนาเหมือนตมที่แห้งแข็ง ไม่ได้ลดลงตามกาลเวลาเลยจนนิดเดียว

ตอนชลธีอายุได้ห้าขวบ แม่เพลินได้พาเขามาสู่รั่วตระกูลธนิวิวรรธน์ของนายชัชวาลผู้กลายมาเป็นพ่อเลี้ยงของเขา พ่อเลี้ยงคนนี้ต่างจากพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงในนิทานที่มักรังเกียจลูกเลี้ยง แต่นายชัชวาลกลับรักและเอ็นดูเขาอย่างมาก หนึ่งคือเพราะเขาช่างพูดช่างเจรจา อีกทั้งรูปลักษณ์ก็ดูท่าจะรูปงามในอนาคต สองคือความสงสารที่มีแต่เด็กชายที่ต้องขาดพ่อตั้งแต่ยังเล็ก จึงพยายามทำทุกทางที่จะเป็น ‘พ่ออีกคนหนึ่ง’ ทดแทน

เท่าที่ก้านจำได้ เรื่องราวที่รุ่นน้องเล่าให้ฟังนั้น อาจเปรียบได้กับเด็กที่ได้ของเล่นชิ้นใหญ่ แต่มีโอกาสชื่นชมเพียงช่วงสั้นๆ ของขวัญชิ้นนั้นก็ต้องอันตรธานไป

ช่วงเวลาแห่งความสุขซึ่งได้จากพ่อเลี้ยงของเขาสั้นนัก เพราะไม่ทันข้ามปี พ่อเลี้ยงก็จำต้องแต่งงานตามผู้ใหญ่เห็นชอบกับผู้หญิงที่ชื่ออุบลวรรณ เหมือนความรักที่เขาเคยได้ถูกผู้หญิงคนใหม่แย่งไปจนหมด หากก็ยังเคราะห์ดีอยู่ที่นายชัชวาลก็ไม่สามารถมีลูกชายได้กับอุบลวรรณได้ คงมีแต่ลูกสาวที่ชื่อ เก็จพิรุณ คนเดียวเท่านั้น
ก้านสงสารรุ่นน้องอยู่ไม่น้อย ที่ต้องทนเติบโตขึ้นมาภายใต้แรงกดดัน จากผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ ซ้ำยัง ‘ร้าย’ กับเขาและกับแม่เพลินของเขาไม่ใช่น้อย

ถึงแม้แม่เพลินจะเป็นฝ่ายมาก่อนก็เถอะ แต่ด้วยเป็นสะใภ้ที่ไม่พึงปรารถนา แม่เพลินจึงถูกลดระดับลงเป็นแค่เมียรอง

ลับหลังอุบลวรรณ ชลธีไม่ได้เรียกเธอว่า ‘แม่ใหญ่’ อย่างที่แม่เพลินบังคับให้เรียก แต่กลับเรียกนางมารผลาญความสุขคนนั้นว่า ‘นังคางคก’ และประโยคที่เขามักบ่นให้ก้านฟังเสมอก็ทำนองที่ว่า “ผมเกลียดมันเข้าไส้เลยพี่ก้าน มันรังแกผมไม่เท่าไหร่ แต่มันรังแกแม่เพลินของผมด้วย ผมยอมไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำยังไง ถึงจะทำให้มันไปพ้นๆ จากชีวิตผมกับแม่ซะที”

คิดดูเถอะ สภาพทางจิตใจของชลธีสมัยเด็กๆ จะเป็นอย่างไร ยิ่งอุบลวรรณเป็นคนชอบวางอำนาจ ถือว่ามาจากตระกูลใหญ่โต พยายามกด “ลูกนอกไส้ของคุณชัช” ให้จมลงกับตม ไม่ให้เผยอหน้ามาเทียมเท่า

ก้านไม่รู้ว่าชลธีสาปแช่งแม่เลี้ยงอยู่ในใจมากมายขนาดไหนและยาวนานเท่าไหร่ เพราะคำแช่งนั้นบังเกิดผลในที่สุด!

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง อุบลวรรณประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ถึงขั้นอัมพาต ลุกเดินไม่ได้ พูดไม่ได้ ได้แต่นอนนิ่งเป็นผัก รอให้คนมาหยอดข้าวต้มอย่างน่าสมเพช สาแก่ใจชลธียิ่งกว่าสิ่งไหน

ทว่าที่ร้าย อุบัติเหตุครั้งนั้น ได้พ่วงเอานายชัชวาลผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปด้วย โดยการคร่าชีวิตผู้มีพระคุณของเขาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

ได้อย่าง เสียอย่าง...

ชลธีกันฟัน ใจแข็งบอกตัวเองทั้งน้ำตาให้คิดอย่างนั้น ขณะมองภาพงานฌาปนกิจพ่อเลี้ยงผ่านไปด้วยความปวดร้าว

เหตุการณ์นั้นนับเป็นจุดหักเหอย่างใหญ่หลวงในชีวิตของชลธีเลยก็ว่าได้ เพราะพออุบลวรรณนอนเป็นผักปลา ไม่รู้สึกสามตั้งแต่ช่วงล่างเป็นต้นไป ลูกติดเมียเก่าคนนี้ก็ได้ใจ อาจหาญก้าวขึ้นกุมบังเหียนของบริษัทในเครือธนิวิวรรธน์แทนนาย
ชัชวาล...อย่างไม่มีใครกล้าโต้แย้ง

เก็จพิรุณ สาวน้อยผู้เรียนจบทางด้านอักษรศาสตร์ ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการเงินเลยสักน้อยนิด สู้ชลธีที่มีดีกรีปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์จากอังกฤษก็ไม่ได้ นายไพฑูรย์ทนายผู้รักษาผลประโยชน์ประจำตระกูลจึงเห็นควรให้ลูกเลี้ยงของนายชัชวาล เข้าดูแลงาน สานต่อกิจการอย่างเป็นทางการ

ที่จริงแล้ว ตัวเก็จพิรุณเอง เต็มใจยกตำแหน่งประธานเครือบริษัทธนิวิวรรธน์ให้แก่ลูกเลี้ยงของพ่อด้วยละ เพราะลึกๆ แล้ว เธอก็แอบหลงรักชลธีมาตั้งแต่เล็ก ในฐานะ ‘พี่ชายต้องห้าม’

ก้านระบายลมหายเบาๆ เมื่อนึกถึงชีวิตดั่งนิยายของรุ่นน้องคนนี้ เห็นใจก็เห็นใจ เป็นห่วงก็เป็นห่วง ไม่รู้ว่าความเคียดแค้นของเขา จะนำพาเขาไปสู่จุดใด ย่ำแย่ หรือดีเลิศ ใครจะล่วงรู้ได้เท่าเจ้าตัว ผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง

คบหากันมานาน รู้ว่าไอ้ชลนี่มันก็เป็นคนดีคนหนึ่ง แม่เพลินสอนมันมาดีอยู่หรอก เสียแต่ว่า ความแค้นที่ถูกแม่เลี้ยงกดดันตั้งแต่เล็กคุ้มใหญ่ ทำให้กลายเป็นคนกร้าว กระด้าง และยากที่ใครจะเข้าถึงน้ำใสใจจริง ถ้าไม่ได้คบหากันมาร่วมสิบปีอย่างนี้ ก็ไม่มีวันเสียละที่จะรู้ซึ้ง

///////////////////////////////



ภาม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ธ.ค. 2554, 06:34:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ธ.ค. 2554, 06:34:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1461





   ๒ หน้าซอยเปลี่ยว >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account