ม่านพรหม
เมขลา น้องสาวคนเล็กของผู้การจิรวัติ เธอผู้มีซิกเซ้นส์ สัมผัสพิเศษ สามารถยั่งรู้อนาคตของคนอื่นได้บ้าง..เมขลา ต้องพบกับภัยคุกคามจาก กฤษณะ อดีตคนรักของลูกค้า เพราะเธอไปดูว่า กฤษณะไม่ใช่เนื้อคู่ของเธอคนนั้น...จากเรื่องสนุก ๆ ที่ได้รู้อนาคตคนอื่น เมขลา เริ่มเครียด และเขาก็ค่อย ๆ ทำให้เธอรู้ว่า..คนเราจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าได้นั้น ไม่ได้เกิดจาก รู้ดวงชะตา..
Tags: นายรถไฟ กับยายซิกเซ้นส์

ตอน: 1.กฤษณะ

ม่านพรหม..

เฟื่องนคร..
1.

“แฮป-ปี้-เบิร์ธ-เดย์-ทู-ยู...” พอเสียงเพลงประจำงานวันเกิดจากปากพ่อกับแม่ซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามจบลง กฤษณะที่อยู่ในชุดเสื้อลายสก๊อตเหลืองดำแขนยาวพับแขนเลยข้อศอกก็หลับตาพริ้มพร้อมกับพนมมือรอรับพร

“ขอให้ลูกของแม่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง..ขอให้พระคุ้มครอง หน้าที่การงานเจริญรุ่งเรืองแล้วก็ขอให้ ให้..ได้เมียดี ๆ เชิดหน้าชูตา เป็นแม่ศรีเรือน..”

“เหมือนแม่” เขาขัดขึ้นมาเพราะรู้ว่า ที่แม่ให้พรแบบนั้น ด้วยแม่ไม่ชอบคู่ควงคนปัจจุบันของเขาและแม่ก็ถึงกับบังคับกลาย ๆ ว่า เขาควรจะมีครอบครัวหลังจากอายุครบสามสิบปีไปแล้วเพื่อคนที่คบหากันปัจจุบันทนรอเขาไม่ไหวแล้วเปลี่ยนไปเป็นอื่นเสียแต่ก่อน..แต่เขาก็เอาหูทวนลมเสีย ด้วยมั่นใจว่า ถึงเวลาที่เขากับมัทนาตกลงปล่องชิ้นกันจริง ๆ แม่ก็คงทำใจยอมรับได้ในที่สุด..

“ไม่ต้องถึงแม่ก็ได้..แค่รู้จักหม้อข้าวหม้อแกงก็พอ..”

“แบบนั้นก็หายาก..ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วแม่ ช่วยกันทำมาหากิน ช่วยกันทำงานบ้าน”

“แม่ก็ช่วยพ่อทำงานนอกบ้าน แล้วแม่ก็ทำงานบ้านเอง”

“ก็แม่ของนะเป็นผู้หญิงคนพิเศษสุด..เก่งทั้งงานนอกงานใน” งานนอกบ้านของแม่คืองานแม่บ้านในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ส่วนพ่อเป็นพนักงานขับรถของมหาวิทยาลัยเดียวกัน

“มัวเถียงกันอยู่นั่นเอง ให้พ่อให้พรลูกมั่ง” พ่อวินัยแทรกเข้ามา แม่กุหลาบจึงเม้มปาก กฤษณะที่พนมมืออยู่ยืดตัวตรงตั้งใจรับพรจากพ่อเนื่องในวาระครบรอบวันเกิดปี 25 ของตน

“ตั้งใจทำงาน ขอให้เจ้านายรัก เพื่อนร่วมงานรัก ไปไหนมาไหนใคร ๆ ก็รักและเมตตา..อายุยืน มีแต่ความสุขความเจริญนะลูก”

“ขอบคุณครับพ่อ ขอบคุณครับแม่” มือที่หน้าอกถูกยกขึ้นจนปลายนิ้วโป้งจรดระหว่างคิ้วเหมือนกับที่ยกมือไหว้พระสงฆ์

“เป่าเทียนเลย” เทียนจำนวนยี่สิบห้าดอกตามจำนวนอายุของเขาบนเค้กขนาดสองปอนด์ที่แม่ซื้อมาเตรียมไว้ให้สว่างไสว เขามองเทียนตรงหน้า แล้วก็มองหน้าแม่ซึ่งมีดวงตานั้นก็มีน้ำตาคลอหน่วยตา ส่วนพ่อนั้นแม้จะไม่ใช่คนอ่อนไหวเหมือนแม่ แต่พ่อก็คงตื้นต้นใจที่เห็นว่า ในอดีตแม้เขาจะเคยผิดพลาดถลำตัวยุ่งกับยาเสพติด แต่ในวันนี้ หลังจากกลับตัวกลับใจ เขาก็มาได้ไกลกว่าที่พ่อกับแม่หวังไว้


หลังจากพ่อแม่ ลูก ช่วยกันจัดการเค้กก้อนนั้น กฤษณะก็เตรียมจัดของกินจำพวกน้ำพริกตาแดง น้ำพริกเผา คั่วเค็มหมูลงกล่องเพื่อที่จะมัดท้ายรถมอเตอร์ไซค์ขี่กลับบ้านพักรถไฟนิคม กม. 11 เพราะว่าพรุ่งนี้เขาต้องทำงานตั้งแต่เช้า..กับคืนนี้เขาอยากอยู่กับมัทนา นางอันเป็นที่รัก

“นะ..”

เสียงของแม่ที่ประตูบ้านทำให้กฤษณะยืดตัวตรง เขาเลิกคิ้วหนาเป็นคำถามกลับไป..แม่กุหลาบล้วงกระเป๋าเสื้อยืดแขนยาวสีขาวซึ่งมีกระเป๋าข้างที่สวมทับเสื้อกล้ามสีส้มอ่อนแล้วก็ควักถุงผ้ากำมะหยี่สีแดงออกมา

“ของขวัญวันเกิดจากพ่อกับแม่”

ดวงตากลมตาหมุนไปหมุนมา ริมฝีปากหนามีหนวดขึ้นเขียวโดยรอบขยับเม้ม แก้มตอบทั้งสองข้างนั้นก็มีเครายาวถูกลิ้นจากในปากดุนเบา ๆ และทั้งหนวดทั้งเครานี้ แม่ก็บ่นให้ว่า ที่ทำงานไม่ว่าเอาหรือ เขาก็บอกว่าไม่เห็นมีใครว่า แม่ก็เลยว่าเขาเสียเอง ว่าเหมือนโจรมากกว่าพนักงานของการรถไฟ

..นอกจากหนวดที่แสลงลูกตาของแม่ ยามเมื่อเขากลับบ้านเขาจะไม่ถอดเสื้อให้แม่เห็นร่างกายอีกเด็ดขาดเพราะเห็นครั้งใด แม่ก็จะบ่นว่า ผิวดี ๆ แท้ ๆ ทำให้เป็นลายทำไมก็ไม่รู้.. เขารู้ว่าเขาทำลวดลายทำไม..แต่ว่าอธิบายไป แม่ก็ยากที่จะเข้าใจ

และพอเห็นตลับสีแดงอมส้มซึ่งแม่ดึงออกมาจากถุงผ้ากำมะหยี่ใบนั้นกฤษณะก็รีบเดินหาแม่ซึ่งเตรียมแกะตะขอสร้อยเพื่อจะคล้องคอให้เขา..

“ของขวัญวันเกิดจากพ่อกับแม่..” แม่พูดย้ำอีกครั้ง กฤษณะถอนหายใจเบา ๆ เพราะรู้สึกลำบากใจกับของขวัญตรงหน้า

“ทอง..แพงไปเปล่าแม่ ทองมันบาทละเกือบสามหมื่นแล้วนะ”

“รับไว้”

“มัน..เอ่อ มันมากไป..” ด้วยพ่อกับแม่ยังพึ่งพาตัวเองได้ ยังมีเงินเดือน มีรายได้จากการทำงาน เขาจึงไม่ได้แบ่งรายได้ให้กับพ่อแม่ เพราะส่วนหนึ่งเขายังต้องใช้เงินเรียนต่อให้จบปริญญาตรี แต่เขาก็ตั้งใจว่า จะไม่รบกวนเงินของพ่อแม่อีก..เขาอยากสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยหนึ่งสมองสองมือของตนเอง ดังนั้น ตอนที่แม่จะให้เงินเขาไปผ่อนรถเก๋งมือสองแทนการใช้มอเตอร์ไซด์มือสองคันใหญ่โต เขาจึงต้องปฏิเสธออกไปเช่นกัน

“ไม่มากไปหรอก ปีนี้นะ 25 แล้วนะลูก หมดเวลาของวัยรุ่นแล้ว เปลี่ยนการแต่งเนื้อแต่งตัวให้มันเข้ากับวัย กับงานที่ทำ..แล้วทองเส้นนี้ก็มีพระด้วย..หลวงพ่อโสธรแม่ไปเช่ามาเมื่อเดือนก่อน อยากให้นะคล้องไว้ ท่านจะได้ปกปักรักษา” คล้องพระ เขาก็ต้องถอดสร้อยเงินหรือไม่ก็สร้อยเชือกซึ่งแม่เองก็ชอบบ่น บ่นเหมือนกับที่เห็นว่าเขาใส่ต่างหู..ซึ่งวันนี้เขาถอดออกเสียก่อนที่จะทำให้แม่ต้องพูดให้เหนื่อยอีก

เขาค้อมตัวเล็กน้อยเมื่อเห็นแม่เขย่งตัวเพื่อคล้องสร้อยให้เขา..กลิ่นแป้งจากผิวกายของแม่ทำให้เขาต้องสูดลมหายใจเข้าปอดแรง ๆ..นอกจากความหอมแล้วเขายังได้ความอบอุ่นใจ..และมั่นใจว่าเขาคำว่า รัก โดยไม่มีข้อแม้นั้นเป็นเช่นไร

“25 เบญจเพสนะลูก ระวังตัวหน่อยนะ มีโอกาสก็หมั่นทำบุญ บาปกรรมก็อย่าก่อ..” บาปกรรมของแม่หมายถึงยาเสพติด หรืออบายมุขต่าง ๆ ที่เป็นของคู่กับคนวัยหนุ่ม

“นะเลิกบุหรี่แล้วนะ” ไม่ใช่เลิกเพราะแม่บ่นและขอ แต่เลิกเพราะมัทนาไม่ชอบกลิ่นของมัน และบุหรี่ก็ทำให้ริมฝีปากกับเหงือกของเขาดำอีกด้วย ซึ่งตรงนี้ เขาอยากบอกให้แม่รู้ไว้ แต่ถ้าแม่รู้ว่าเขาเลิกบุหรี่เพราะผู้หญิง แม่ก็จะน้อยใจเสียอีก..

“เลิกบุหรี่ได้ก็ดีแล้ว..เหล้าก็ เพลา ๆ ลงบ้าง”

“ก็นาน ๆ ที..สังคมมันก็ต้องมี เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้กินแล้ว..เรียนหนัก ต้องใช้สมอง”

“เงินพอใช้ไหม”

“พอ..” แม้แทบไม่ชนเดือนเพราะเงินเดือนส่วนหนึ่งมีค่าใช้จ่ายของมัทนารวมอยู่ด้วย แต่เขาก็ไม่อยากให้แม่รู้ว่า เขาเดือนร้อนเพราะ ‘ว่าที่’ ลูกสะใภ้ของแม่..

“ไม่พอก็บอกแม่..เงินแม่กับพ่อวันหน้าก็ต้องเป็นของนะ” ก่อนหน้านั้น เขาก็เคยคิดอย่างนั้น ดังนั้น พ่อแม่ซ่อนเงินไว้ตรงไหน เขาจะค้นหาและมันก็หมดไปกับยากล่อมประสาทเสียไม่ใช่น้อย..และตอนนั้นพ่อกับแม่ก็พยายามเป็นอย่างมากที่จะทำให้เขากลับมาเป็นคนดีเหมือนเดิม..

โดยเบื้องต้น แม่จับเขาไปบวชเณรอยู่กับหลวงพ่อญาติห่าง ๆ ซึ่งจำพรรษาอยู่ในวัดป่าตั้งอยู่ห่างไกลความเจริญในภาคอีสาน หลังจากที่เขาห่างจากยา มีพระธรรมกล่อมใจให้เข้มแข็งพอสู้โลก พ่อก็ขอให้เขาเรียนที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจนกระทั่งจบมัธยมต้น หลังจากนั้นพ่อก็ส่งเขาเข้าวิทยาลัยเทคนิคแผนกช่างยนต์ ช่วงนั้นพ่อขอไปรับไปส่ง ดูแลเขาเหมือนเขาเป็นเด็กประถมอีกครั้ง จนกระทั่งเขาเรียนจบระดับชั้นปวส. เพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกันก็มาชวนเขาไปสมัครสอบโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ โดยใช้วุฒิ ปวช. สมัครตามระเบียบของการรถไฟแห่งประเทศไทย เขาสอบติด ใช้เวลาเรียนอยู่สองปี ส่วนเพื่อนสอบตก และวันนี้เขาก็ทำงานในตำแหน่งช่างเครื่องนั่งคู่ไปกับพนักงานขับรถยามที่หัวรถจักรออกลากตู้โดยสารหรือตู้สินค้าไปยังจุดหมาย..ส่วนเพื่อนทำงานโรงงานมีวิถีชีวิตที่แทบจะเป็นเส้นขนานกัน

“รักแม่จังเลย” ว่าแล้วเขาก็ตัดบทโดยการหอมแก้มข้างซ้ายของแม่อย่างหนัก ๆ..หลังจากที่แม่คล้องสร้อยให้เขาเสร็จเรียบร้อย..

“เรียนจบแล้วก็บวชให้แม่ก่อนนะ”

“นะก็บวชเณรไปแล้วนี่ ตั้งเกือบปี..”

“ก็ไม่เหมือนบวชพระหรอก”

“ก็เหมือน ๆ กัน เพียงแต่บวชเณรไม่มีสังฆาฏิพาดบ่า..”

“ไปข้างๆ คู ๆ แบบนี้แม่คงเถียงสู้ไม่ไหว..”

“เรียนจบลางานได้เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน..” เขาวกกลับมาเอาใจเสียหน่อยและแม่ก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างดีใจ

“บวชแล้ว ก็แต่งเมีย แม่จะเก็บเงินค่าจัดงานไว้ช่วย”

“เอาเรียนให้จบก่อนเถอะแม่ อย่างอื่นค่อยว่ากัน”

“25 แล้วนะลูก”

“ครับ..25 แล้วครับแม่..” ใจจริง เขาอยากจะบอกว่า แล้วทำไมแม่ไม่เห็นเขาโตเสียที กลับมาหาทีไร แม่ก็จะต้อนหน้าต้อนหลัง ตรวจสภาพร่างกายโดยการดูหลังกกหูว่าเขาถูขี้ไคลหรือเปล่า ถามนั่นถามนี่ และถึงไม่กลับ ในหนึ่งสัปดาห์แม่ก็จะต้องโทรกวนใจเขา..ยิ่งเวลาที่อยู่กับมัทนาเขาไม่อยากจะรับสายของแม่ แต่ แม่ก็มีเขาเพียงคนเดียว..เขาจึงต้องฝืน ๆ คุยกับแม่จนหลัง ๆ เขารู้สึกว่าพ่อกับแม่อายุมากขึ้น เพราะเส้นผมหงอกที่แซมอยู่บนศีรษะ ทำให้เขานึกถึงความพลัดพรากที่เรียกว่าความตายอย่างคำพระท่านว่า ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นกับเขาในไม่ช้าไม่นาน เขาจึงเริ่มใส่ใจกับพ่อแม่มากขึ้น..และมันก็เป็นความอิ่มใจเช่นเดียวกับยามที่เขามีความรัก..รักแบบหนุ่มสาว ที่คบหากันด้วยความเข้าใจ เป็นของกันและกัน และวาดฝันถึงชีวิตในอนาคตไว้ด้วยกัน..


หลังจากขับรถออกพ้นมาจากชุมชนซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านไม้สองชั้นขนาดกะทัดรัดในเนื้อที่เพียง50 ตาราวางซึ่งแวดล้อมไปด้วยเพื่อนบ้านมีฐานะทางการเงินไม่แตกต่างกันมากนัก กฤษณะก็จอดรถมอเตอร์ไซด์ของตนชิดข้างทาง เมื่อเท้าแตะพื้น เขาก็ถอดหมวกกันน็อคแล้วดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าของเสื้อคลุมสีดำ ซึ่งใช้ยามที่ขี่รถบนท้องถนนนอกเส้นทางจากแฟลตที่พักไปยังที่ทำงาน...

เขากดปุ่มลัดโทรหามัทนา หรือน้องหมวย ซึ่งเซฟชื่อไว้ว่า ‘สุดที่รัก’ และทางน้องหมวย มัทนาก็เซฟชื่อของเขาไว้ว่า ‘รักที่สุด’ เช่นกัน..

เพลง ‘รักนะคะ’ ของ บี้ เดอะสตาร์ ท่อนที่ว่า ‘รักนะคะ คนดีของฉัน จะวันไหน ก็รักเพียงเธอ และจะบอกว่ารักเธอที่สุด ใจดวงนี้ของฉันอยู่ที่เธอ..รักนะคะคนดีของฉัน โปรดจงมั่นใจ ทุก ๆ อย่าง ที่ฉันทำ ทุก ๆ คำ คือคำว่ารักเธอ’ ดังอยู่สามสี่ครั้งแล้วสายก็ถูกตัดไป..

หัวคิ้วของกฤษณะเริ่มขมวดเข้าหากัน วันนี้ เป็นวันเกิดของเขา แต่มัทนาติดธุระสำคัญ เจ้าหล่อน อ้างว่างานหน้าฟร้อนยุ่งมาก ทั้งที่ปีที่แล้วเจ้าหล่อนก็ลางานทั้งวันเพื่อพาเขาตระเวณไหว้พระเก้าวัดในเขตพระนคร แต่ปีนี้เมื่อตอนเที่ยงคืนของเมื่อคืน ขณะที่เขานั่งดูหนังอยู่กับอาวุธ เขาได้รับข้อความสั้น ๆ ว่า “สุขสันต์วันเกิดนะคะ” และพอเขาต่อสายกลับไป..ก็พบว่า โทรศัพท์ของมัทนาไม่สามารถติดต่อได้..เขามั่นใจว่ามันเป็นเซอร์ไพร์ส จนกระทั่งตอนเช้า เขาโทรกลับไป เจ้าหล่อน อวยพรวันเกิดให้กับเขายืดยาว แต่ว่าวันนี้เธอก็ไม่ว่างสำหรับเขา.. จนกระทั่งเขาขี่รถกลับมาถึงบ้านพ่อแม่ที่ตั้งอยู่ย่านคลองหนึ่งเขตธัญบุรี เขาโทรกลับไปอีกครั้ง โทรศัพท์ของมัทนาติดต่อไม่ได้..

และครั้งนี้..กฤษณะถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะโทรหาเพื่อนสนิทของมัทนา ซึ่งเป็นคนแนะนำให้เขากับมัทนาได้รู้จักกัน..

“อยู่ไหนหรือน้า” เสียงทักของอุมารินทร์ดังสดชื่นเข้ามาเหมือนเคย..และ ‘น้า’ นี้เป็นชื่อที่เพื่อน ๆ ร่วมรุ่นตั้งให้เขาเพราะเห็นว่าเขาขี้หงุดหงิด ขี้บ่น ยามเมื่อเพื่อนทำอะไรไม่ได้ดังใจ และปัจจุบันคนแวดล้อมในที่ทำงานก็เรียกชื่อนี้ของเขา และบางคนก็เรียกเขาว่า ‘คะน้า’ ไปเสียอย่างนั้น ซึ่งพอคนที่รู้จักกันทีหลังมาถามว่า ทำไมถึงชื่อ ‘คะน้า’ เขาจะตอบอย่างไม่อยากท้าวความไปว่า ‘ชอบกิน’ ทั้งที่เขาไม่ใช่คนกินผัก..

“อุ๋ม..หมวยไปไหน” เขาไม่อ้อมค้อม..

“อ้าว..น้าเป็นแฟนกับหมวย น้าไม่รู้แล้ว อุ๋มจะรู้ไหม”

“หมวยเปลี่ยนไป..เขามีอะไรหรือเปล่า..” ที่ถามแบบนั้น เพราะทั้งคู่สนิทกัน เพราะเป็นคนจังหวัดเดียวกัน เรียนมัธยมมาด้วยกัน จนกระทั่งเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ เพื่อเรียนต่อระดับชั้นปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงทั้งคู่ก็ยังอยู่หอเดียวกัน จนกระทั่งมัทนาเรียนจบก่อนแล้วได้งานโรงแรมในย่านหลักสี่ มัทนาจึงย้ายออกจากหอหน้ารามมาอยู่กับญาติย่านดอนเมือง ส่วนอุมารินทร์นั้นพอเรียนจบบัญชีก็เข้าทำงานในบริษัทย่านสีลมโดยหญิงสาวยังพักอยู่ที่เดิม

แต่หลังจากคบหาดูใจอยู่กับอาวุธเพื่อนสนิทของเขาซึ่งพักอยู่ในแฟลตเดียวกัน อุมารินทร์ก็แวะมาค้างกับอาวุธในคืนวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์...

ส่วนมัทนาที่กำลังคบหาดูใจอยู่กับเขานั้น จะได้อยู่ด้วยกันบ่อยกว่า เพราะย่านที่เขาพักอยู่นั้นสามารถนั่งรถเมล์ไปยังโรงแรมที่มัทนาทำอยู่เพียงต่อเดียว กับส่วนหนึ่ง ญาติของมัทนานั้นไม่เคร่งครัดเรื่องเวลาของมัทนาเท่ากับป้าที่ดูแลหอของอุมารินทร์ ซึ่งพ่อแม่ของอุมารินทร์ได้ฝากฝังไว้

กฤษณะยอมรับว่า ช่วงเวลาตั้งแต่มีมัทนาทำให้ชีวิตในวัยหนุ่มของเขานั้นมีทิศทางขึ้นมา จากที่คิดสนุกสนาน ๆ ไปวัน กินเหล้าเมายาออกเที่ยวเตร่ในยามค่ำคืนกับเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันในโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ เขาก็หยุดอยู่กับการประหยัดอดออม ใช้เวลาอ่านหนังสือสอบชิงทุนของการรถไฟเพื่อเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรี โดยมีมัทนาให้กำลังใจกึ่ง ๆ บังคับเคี่ยวเข็ญ

..โดยเจ้าหล่อนเอาความรักที่มีต่อกันรวมถึงอนาคตที่จะต้องเดินไปด้วยกันมาอ้าง..และในที่สุดเขาก็สามารถเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีในวันเสาร์อาทิตย์ และทำงานในช่วงวันธรรมดาโดยไม่ต้องเดินตารางงานแบบล็อคจนกว่าจะเรียนจบ..ซึ่งตรงนี้เอง ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาเขาจึงมีเวลาที่ค่อนข้างจะตายตัวให้กับมัทนา ซึ่งทำงานเป็นกะ มีเวลาให้เขาไม่แน่นอน

แต่เรื่องเวลางานที่ทำให้ช่วงพักไม่ตรงกัน ก็ใช่ว่าจะนำปัญหามาให้ เพราะเขาเป็นฝ่ายทำตามคำสั่งของมัทนา มัทนารู้ว่าเขาว่างเวลาไหน และเมื่อเจ้าหล่อนว่างช่วงนั้นเขาจะถูกตามตัวทันที..ซึ่งตรงนี้เขาถูกเพื่อนล้อเอาว่า หลงเมียจนไม่มีเวลาให้เพื่อน แต่มัทนาก็บอกกับเขาว่า ถ้ารักเพื่อนก็ไปอยู่กับเพื่อน ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน...

รักของเขาครั้งนี้ เขาอยากให้มันผ่านอุปสรรคทุกสิ่งทุกอย่างแล้วลงเอยที่การแต่งงานอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต..เพราะชีวิตนี้ มัทนาเป็นผู้หญิงคนแรกที่รักตัวเขาในแบบที่เขาเป็น..

“หมวย เอ่อ หมวย น้าไม่เจอหมวยมากี่วันแล้วเนี่ย”

“หลายวันแล้ว หมวยเขาอ้างว่าติดงานตลอด..เจ็ดวันแล้วมั้ง..นะไม่ได้นับ”
“แล้วตอนนี้น้าอยู่ที่ไหน” อุมารินทร์ใช้คำถามเดิม..

“บ้านคลองหนึ่ง..มาเป่าเค้กกับพ่อแม่กำลังจะกลับแฟลต”

”“งั้นก็รีบขี่รถกลับมา..รอเป่าเค้กกันอยู่..”

“หมวยก็อยู่ที่นั่นใช่ไหม” กฤษณะคิดว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพร์ส..

“มาถึงก็รู้เอง ไม่ต้องรีบนะ..ขี่รถระวัง ๆ ด้วย..”


//////////////////////////////////////


เสียงล้อบดกับรางเหล็กทำให้วิจิตรศราต้องดึงโทรศัพท์ให้ออกห่างจากหูก่อนจะกรอกเสียงกลับไปว่า “หนูนาวันนี้เธอขึ้นรถไฟกลับบ้านอีกแล้วเหรอ”

“อืม..”

“ถึงไหนแล้วเนี่ย...ลูกค้ามารอแล้วนะ..รอนานแล้วด้วย”

“วันนี้ฉันรู้สึกปวดหัว..”

“แค่รู้สึกใช่เปล่า”

“ปวดอยู่ก็ได้”

“ถึงไหนแล้ว..”

“บางซื่อมั้ง”

“อะไรนะ..โอ้ย วิก็บอกหนูนาแล้วให้ขึ้นรถไฟฟ้ามาต่อรถตู้มันจะได้เร็ว ๆ”

“แต่มันแพง”

“วิยินดีจะออกค่ารถให้”

“มันไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืน...”

“โอเค ไม่เถียงกับเธอแล้ว..ลงรถไฟแล้วก็รีบนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างมาเลยนะ ไม่ต้องรอรถสองแถว..”

“แต่ฉันหิวข้าว”

“หิว...เดี๋ยวจะทำมักกะนีไว้รอ”

“ฉันบอกว่าฉันหิวข้าว”

“โอเค จะให้อ้อมันออกไปซื้อข้าวผัดคะน้าหมูกรอบไว้ให้..มาถึงรีบกินแล้วก็รีบดูดวงซะวันนี้นัดไว้ตั้งสิบคน มารอกันแน่นร้านไปหมด..คนอื่นจะเข้ามาในร้านก็ไม่ได้ เสียลูกค้าหมด..”

วิจิตรศราตั้งป้อมจะบ่นให้เมขลาฟังแต่ว่าปลายก็ตัดสัญญาณไปเสียก่อน วิจิตรศราถอนหายใจ เบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากส่วนของในครัวมาหน้าร้าน ซึ่งจะต้องผ่านชั้นหนังสือนวนิยายที่เรียงชิดผนังในส่วนของใต้ชั้นลอย..มายังส่วนที่เป็นร้านกาแฟสด เครื่องดื่มดับกระหายหลายสิบชนิด และขนมนมเนยสารพัดอย่าง...ซึ่งมีโต๊ะ เก้าอี้ โต๊ะกลาง กับชุดโซฟา ให้ลูกค้าได้นั่งดื่มกิน โดยครึ่งหนึ่งของหน้าร้านนั้นเป็นเคาน์เตอร์รูปเกือกม้าโดยด้านที่หันไปยังหน้าร้านกับที่หันหลังชนผนังห้องนั้นที่เรียงสารพัดอย่างไว้เพื่อหยิบจับปรุงรสให้เป็นสินค้าที่ลูกค้าต้องการ และด้านที่หันเขาหาลูกค้าซึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะเก้าอี้นั่นก็เป็นตู้กระจกใส่เค้กหลายชนิดซึ่งรับมาจากร้านดัง...และบนผนังเกือบทุกด้านจะเป็นเมนูเครื่องดื่มขนมซึ่งมีภาพและราคาติดไว้ให้น้ำลายสอ..

“น้องหนูนาถึงไหนแล้วคะ” หนึ่งสาวในสี่สาวที่นั่งอยู่ของโต๊ะหมายเลขที่ 3 รีบถามเมื่อวิจิตรศราเดินออกมาจากหลังร้าน

“หมอเมขลาค่ะ..” วิจิตรศรารีบปรับความเข้าใจคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ในร้านเสียใหม่..

“ค่ะ หมอเมขลาถึงไหนแล้วคะ”

“อีกสักครู่ค่ะวันนี้วันศุกร์ ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน ..ถ้าใครหิวก็สั่งอาหารรอได้เลยนะคะ..ในครัวเรามีน้องพนักงานรอรับออเดอร์อยู่อีกคนค่ะ” อธิบายพลางขยับตัวไปยังเคาน์เตอร์ซึ่งมีน้องอ้อ สาววัยสิบเจ็ดปี ยืนทำหน้าเมื่อยเพราะอยากเลิกงานออกจากร้านไปอยู่กับคนรัก..

“อ้อ ออกไปสั่งข้าวผัดคะน้าหมูกรอบมาให้พี่หนูนาหน่อย..มาถึงจะได้กินเลย..” วิจิตรศรากระซิบเบา ๆ
น้องอ้อเดินออกไปจากร้าน วิจิตรศราก็ถือโอกาสนั้นตรวจเช็ควัตถุดิบว่าขาดเหลืออะไรบ้าง..โดยปากก็พูดถึงสรรพคุณของหมอเมขลาไปด้วย..

“พูดถึงเรื่องแม่น..มีอยู่คู่หนึ่ง..ไม่รู้เล่าให้ใครฟังไปแล้วหรือยัง..น้องคนเนี๊ยะ..เป็นเพื่อนของน้องอีกคนหนึ่ง ลูกค้าของหนูนา เอ้ยคนที่มาดูดวงกับหมอเมขลานี่จะเป็นลักษณะปากต่อปาก..ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน..อย่างวันนี้มากันห้ากลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มีคนพามาทั้งนั้น..และที่สำคัญต้องนัดหมายล่วงหน้าด้วย ไม่งั้นคิวไม่ว่าง..”

“เข้าเรื่องเลยดีกว่าค่ะ อยากรู้เรื่องความแม่นนั่นมากกว่า” หนึ่งในสามจากโต๊ะหมายเลข 2 ขัดขึ้นมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง ส่วนคนอื่น ๆ นั้นดูจะสนใจตามความต้องการของวิจิตรศรา

“ต้องสัญญาด้วยนะคะ ว่าถ้าแม่นต้องกลับมาคอนเฟิร์ม และก็ขออนุญาตไว้ตรงนี้เลยนะคะว่า ขอนำเรื่องไปบอกต่อ ๆ แบบสร้างความเชื่อมั่น..”

เมื่อมีคนพยักหน้าบ้างตอบรับบ้าง..วิจิตรศราจึงได้เล่าต่อ

“น้องคนนั้นเขามีแฟนอยู่แล้ว รักกันมาก แฟนก็รักน้องคนนั้นมาก ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ น้องคนนั้นเขาทำงานโรงแรมน่ะ..แล้ววันหนึ่งก็มีฝรั่งตาน้ำข้าว ฐานะดีมากมาจากอิตาลี มาหลงรัก”..

“แล้วไง”

“ก็...น้องเขาก็กลัว ๆ กลัวว่า จะใช่หรือไม่ใช่..ไปดีไหม อะไรไหม..เพื่อนเค้าก็เลยแนะนำมาที่นี่ เค้าไม่ได้บอกหมอเมขลาหรอกว่า จะมาดูเรื่องอะไร แค่บอกว่ามีเรื่องตัดสินใจไม่ได้..เป็นธรรมดาของคนดูหมอ บางทีก็อยากลองของเหมือนกัน แต่ว่าหมอเราก็แน่จริงอะไรจริงอยู่แล้ว..พอจับมือก็บอกไปสั้นๆไปว่าเนื้อคู่ของน้องเป็นคนต่างชาติ ก็ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น..แว่ว ๆ มาว่าจะบินไปดูบ้านผู้ชายแล้ว..”

“แล้วหนุ่มไทยล่ะ ทำอย่างไร”

“ไม่รู้สิ...เขาแค่โทรมาบอกว่า ตาฝรั่งคนนั้นขอเขาแต่งงานแล้ว..”

“นอกจากเนื้อคู่ แล้วดูอะไรได้อีก..”

“อืม..ดูฟรีไม่เสียเงิน ดูแบบใช้ญาณพิเศษ ๆ แบบนี้ ดูได้ไม่เยอะหรอกค่ะ แค่เรื่องเด่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันเท่านั้น”

ความแม่นยำในญาณของเมขลาเป็นที่ประจักษ์ใจแก่วิจิตรศราเป็นอย่างยิ่ง วันนั้นทั้งคู่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยด้วยกัน เมขลานั่งอยู่ตรงกันข้าม และเมขลาก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าของเธออยู่สองสามครั้ง พอเธอเงยหน้าไปสบตา เมขลาก็ดึงมือข้างขวาของเธอไปจับ..แล้วก็พูดด้วยเสียงดังพอได้ยินกันสองคนว่า ‘ระวังอุบัติเหตุ’ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ แต่พอซักถามกลับไป เมขลาก็บอกแต่ว่า รู้แค่นั้นจริง ๆ ระวังตัวไว้ หนักจะได้เป็นเบา

..วันนั้นวิจิตรศราแทบจะไม่อยากลุกออกจากเก้าอี้เดินไปไหนทั้งนั้น อยากจะนั่งอยู่ตรงนั้นให้หมดวันหมดคืน แต่ว่า ชีวิตจริง ๆ ของคนเราก็ทำอย่างที่ใจต้องการไม่ได้ วันนั้นวิจิตรศราเลือกที่จะกลับบ้านหลังนี้ซึ่งเปิดเป็นร้านหนังสือเช่าจ้างเด็กมาช่วยดูในช่วงที่เธอยังไม่กลับจากมหาวิทยาลัย ด้วยรถแท็กซี่ เพราะคิดว่า ถ้าอุบัติเหตุมันจะเกิดจากรถก็ขอให้เป็นรถคันอื่น ซึ่งไม่ใช่รถของตัวเองที่ประกันภัยขาดอายุกรมธรรม์..แต่เอาเข้าจริง ๆ อุบัติเหตุในครั้งนั้นเกิดจากเธอล้มลงเพราะส้นรองเท้าขนาดสามนิ้วที่สวมอยู่นั้นหัก และการล้มหลังจากลงจากรถแท็กซี่ก็ทำให้ข้อเท้าอักเสบจนถึงกับต้องใส่เผือกอ่อนไปมหาวิทยาลัยในวันรุ่งขึ้น..

นอกจากเรื่องร้าย ๆ แล้ว เมขลายังสามารถมองเห็นเรื่องดี ๆ

กิจการนี้..เป็นเพราะเมขลาให้ความมั่นใจว่าไปรอดและจะทำให้รวย..เธอจึงตัดสินใจทำร้านโดยไม่สนใจสมัครเข้าทำงานที่ไหนเพราะไม่อยากเป็นลูกน้องใครกับส่วนหนึ่งในอนาคตเธอจะต้องกลับไปดูแลกิจการของครอบครัวที่เพชรบุรี และร้านนี้มันก็ทำรายได้ให้เธออยู่ไม่น้อยทีเดียว

“แบบนี้ก็ต้องมาดูบ่อยๆ”

“ถ้าอยู่ด้วยกันทุกวันแบบฉัน ก็ให้ดูทุกเช้าเลยละคะ..แต่ว่าตอนนี้ คนรู้จักมากขึ้น ๆ มากขึ้น ก็นิดหนึ่งละนะ ต้องมีคิวอย่างที่รู้ ๆ กัน ..”

“คิวยาวเสียด้วย..”

“คิวยาวก็เพราะว่ามันช่วยลดเวลาศึกษาดูใจอะไรได้..เอาอีกเคสแล้วกัน เคสนี้พี่ชายของหมอเมขลาเองเลย เป็นนายทหารเรือ หล่อโคตร ๆ เจ้าชู้ด้วย..แล้วเมื่อปีใหม่ปีที่แล้วมั้ง พี่แกกลับไปบ้านที่นครสวรรค์ หมอเมขลาก็ดูดวงบอกว่า เนื้อคู่พี่มาแล้วเป็นคนบ้านเดียวกันเดี๋ยวเขาจะไปหา..ปรากฏว่า..แพรวพรรณ รู้จักไหมคะ นักเขียนนิยาย..”

ว่าแล้ววิจิตรศราก็ชี้ไปยังมุมหนึ่งของชั้นหนังสือที่มีนิยายของแพรวพรรณเรียงกันอยู่.. “เจ้าของผลงานพวกนั้น คนบ้านเดียวกัน พี่แพรวเค้าไปสัตหีบเพื่อเก็บข้อมูลเขียนนิยาย ..เนื้อคู่นะคะหนีกันไม่พ้น ไม่เจอกันเป็นสิบ ๆ ปีนะคะ คุยกันไปคุยกันมา รักกันหน้าตาเฉยเลยค่ะ..ปีนี้ปลาย ๆ ปี ก็แต่งงานแล้วนะคะ..หมอเมขลาปลื้มกับผลงานชิ้นนี้มาก เพราะทำให้พี่ชายหยุดเจ้าชู้คิดลงหลักปักฐาน..”

“คนเจ้าชู้หยุดได้เหรอ”

“ก่อนหน้านั้นเขาตามหาคนที่เขาคิดว่าใช่อยู่มั้ง..แต่พอมั่นใจว่าใช่ก็ต้องหยุด” วิจิตรศราเดาเหตุผลในการหยุดเจ้าชู้ของพี่ชายเมขลาไปอย่างมั่ว ๆ แต่ดูจากสีหน้าคนฟังแล้ว ก็มีคล้อยตาม..วิจิตรศราจึงต้องตอกย้ำไปว่า.. “อนาคตมันเป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึงก็จริง แต่ถ้าเรารู้ว่าเราทำอะไรแล้วมันจะดีกว่าทำอะไร มันก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอค่ะ..อย่าลืมนะคะ..ถ้าหมอเมขลามา ถามสั้น ๆ เอาแค่ที่อยากรู้ข้อเดียวนะคะ..รับรองเลยค่ะ ชัวร์”

วิจิตรศรายังคงสร้างความเชื่อถือ ปลุกปั้นให้เมขลาเป็นเทพธิดาพยากรณ์ โดยหารู้ไม่ว่า เจ้าตัวนั้นยืนนิ่งฟังอยู่หน้าร้านพลางสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกพลัง..พลังที่รู้สึกว่ามันหดหายไป ยิ่งรู้อนาคตของคนอื่นมากเท่าไหร่ เมขลาก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อย



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ธ.ค. 2554, 11:09:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ธ.ค. 2554, 11:22:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 3270





   2. เมขลา >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 27 ธ.ค. 2554, 11:10:11 น.
สวัสดีครับเพื่อน ๆ นักอ่านทุก ๆ ท่าน เรื่อง ม่านพรหม เป็นเรื่องราว ของน้องหนูนา น้องสาวคนเล็ก ของผู้การจิรวัติจาก ราชนาวีที่รัก ซึ่งเรื่องนี้ เธอได้เป็นนางเอก และพระเอกของเธอ ก็ต้องน่าสนใจไม่แพ้พี่ชายของเธอ เค้าคือกฤษณะ ช่างเครื่อง รฟท. อยากรู้ละซิว่า ชีวิตของสาวซิกเซ้นส์ กับ นายรถไฟ จะลงเอยอย่างไร ...ก็ไม่มีอะไรมากมาย เพียงแค่ กด like กับ คอมเม้นท์ ให้กำลังใจนักเขียน...เรื่องนี้อาจจะลื่นไหลบันเทิงใจได้ในเร็ววัน...จุ๊บ ๆ ครับ..ตอนที่ 1 ถือเป็นของขวัญปีใหม่แล้วกันนะครับ..


รอให้เป็นเล่ม 27 ธ.ค. 2554, 11:18:53 น.
เอ้ยยยยย เรื่องใหม่


panon 27 ธ.ค. 2554, 11:31:58 น.
ว้าวววววววววววแค่อ่านเรื่องย่อก้อสนุกแล้วววววววววววววว


Zephyr 27 ธ.ค. 2554, 12:29:29 น.
หนูนามาแล้ว แหม เอาพี่ชายมาโฆษณาเฉยเลยนะ แต่คู่แรกนี่คู่ของมัทกะคะน้าแน่ๆเลย(สร้างเรื่องยุ่งโดยไม่รู้ตัว) แต่นายคะน้าวิศวกรรถไฟหล่อสู้วิศวกรรถไฟฟ้า(แบบพี่เคน)ได้ป่าวเอ่ย ฮ่าๆๆ อ่านไปอ่านมาหน้าพี่เคนกะคริสลอยมาเต็มเลย หึหึ


morisa 27 ธ.ค. 2554, 12:43:25 น.
นึกอยากให้หมอเมขลาดูดวงให้บ้างจัง


nateetip 27 ธ.ค. 2554, 12:48:17 น.
:)


แว่นใส 27 ธ.ค. 2554, 15:45:41 น.
น่าติดตามเนอะ


เด็กหญิงม่อน 27 ธ.ค. 2554, 20:08:56 น.
หนูนามาแล้ว เย้ๆ :))


nutcha 27 ธ.ค. 2554, 20:27:00 น.
หนูนามาแว้ว คะน้าโดนมัทนาหักอกแน่เลย


minafiba 27 ธ.ค. 2554, 20:47:49 น.
^-^


loveleklek 27 ธ.ค. 2554, 21:35:41 น.
เอ คุ้นๆ หลายอย่างแฮะ


แวนด้าน้อย 28 ธ.ค. 2554, 07:57:01 น.
หนูนาดูดวงให้มัทนาด้วยเปล่าเนี่ย


ปิลันธน์ 20 ม.ค. 2555, 19:45:54 น.
ตกลงปล่องชิ้น > ตกร่องปล่องชิ้น
มักกะนี> มักกะโรนี (รึเปล่าคะ เอ...หรือมักกะนีเป็นเมนูที่คนอ่านไม่รู้จักเอง^^")
---การรู้อะไรล่วงหน้านั้น จะมีประโยชน์อะไรหากรู้แต่แก้ไขมันไม่ได้--- ติดตามชีวิตเมขลาต่อไป^^~


จุฬามณีเฟื่องนคร 21 ม.ค. 2555, 07:48:55 น.
ขอบคุณมาก ๆ ครับ..


Rungnaree 19 ธ.ค. 2555, 12:03:38 น.
ในที่สุดก็หาภาคต่อจากราชนาวีที่รักเจอแล้ว

ขออนุญาตเรียกพี่เฟื่องนะคะ ^^

ชอบงานเขียนของพี่มาก ๆ เลยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account