ม่านพรหม
เมขลา น้องสาวคนเล็กของผู้การจิรวัติ เธอผู้มีซิกเซ้นส์ สัมผัสพิเศษ สามารถยั่งรู้อนาคตของคนอื่นได้บ้าง..เมขลา ต้องพบกับภัยคุกคามจาก กฤษณะ อดีตคนรักของลูกค้า เพราะเธอไปดูว่า กฤษณะไม่ใช่เนื้อคู่ของเธอคนนั้น...จากเรื่องสนุก ๆ ที่ได้รู้อนาคตคนอื่น เมขลา เริ่มเครียด และเขาก็ค่อย ๆ ทำให้เธอรู้ว่า..คนเราจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าได้นั้น ไม่ได้เกิดจาก รู้ดวงชะตา..
Tags: นายรถไฟ กับยายซิกเซ้นส์
ตอน: 2. เมขลา
ม่านพรหม
2.
เมื่อเห็นว่าไฟในห้องนอนของเมลขาที่อยู่ตรงกันข้ามกับของตนซึ่งอยู่ชั้นสามของตึกยังเปิดสว่าง วิจิตรศราจึงเปิดประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะ และพอเห็นว่าเมขลายังอยู่ในชุดที่ใส่ออกไปทำงานแต่ว่าเจ้าตัวนอนหลับตาพังพาบอยู่บนเตียงขนาด 3.5 ฟุต อย่างหมดสภาพ วิจิตรศราจึงเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ
“ทำไมไม่อาบน้ำก่อน..”
“ไม่ไหว..อยากนอน..”
“ไม่สบายหรือเปล่า”
“..วิ..ฉันไม่อยากดูดวงให้ใครอีกแล้ว” เมขลาติดสนใจบอกความต้องการของตนเองไป เมื่อรู้สึกว่า
เรื่องที่เคยนำความสนุกมาให้นั้นไม่สนุกอีกต่อไปแล้ว..
“เฮ้ย เลิกได้ที่ไหน เธอกำลังขึ้นหม้อเลยนะ..ตำแหน่งเทพธิดาพยากรณ์คนต่อไปของประเทศไทย เห็น
รำไร ๆ แล้ว โปรเจคต่อไปที่ฉันคิดไว้นะ เราจะมีหมายเลขโทรศัพท์แบบคิดเงิน 1900 1999”
“วิ..” เมขลาขัดขึ้นมา..
“เธอไม่ต้องทำงานประจำดีไหม..แล้วก็คิดค่าดูสักคนละห้าสิบบาท หรือสี่สิบเก้าบาท วันหนึ่งได้ลูกค้าสักห้าคนสิบคน เธอก็สบายแล้ว พอเธอดังขึ้น ๆ ก็เพิ่มเป็นคนละเก้าสิบเก้า”
“โอ้ย ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก..ฉันไม่ได้มีคงมีครูอะไรนี่..ตั้งราคาขึ้นมาน่าเกลียด” เมขลาดีดตัวขึ้นนั่งเส้นผมสีดำขลับยาวถึงกลางหลังยุ่งเหยิงเพราะเจ้าตัวขยี้เล่นระหว่างที่นอนครุ่นคิดถึงความยุ่งยากที่มันเกิดขึ้นโดยคาดไม่ถึง..และเธอก็จะต้องรีบแก้ไขมันเสียก่อนที่จะกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติไม่ได้
“แต่คนดูเขาก็เต็มใจให้นะ..” แม้ไม่ได้เก็บค่าบูชาครูตามหลักของการดูดวงท่าไป แต่คนที่เคยดูแล้วเห็นว่าหมอเมขลานั้นแม่นยำแก้ไขปัญหาให้ได้ ก็จะกลับมาสมนาคุณในรูปแบบของฝาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นของกินจำพวกขนมหรือไม่ก็ผลไม้ตามฤดูกาล..ถ้ามาแบบนี้เมขลาก็จำต้องรับไว้..ทั้งที่ในใจนั้นเมขลาเริ่มกังวลว่าคนอื่น ๆ กำลังมองว่าเธอเป็นคนวิเศษ ด้วยอาการที่มอบของให้นั้น คล้าย ๆ กับประเคนของให้ผู้ทรงศีล..
“ไม่น่าเกลียดหรอก คนไทยเข้าใจเรื่องพวกนี้ แล้วก็พร้อมที่จะจ่ายด้วย”
“ฉันเหนื่อย..ฉันเพลีย”
“งั้นก็ กินแบรนด์ไหม ฉันจะเดินลงไปเอามาให้”
วิจิตรศรานั้นเติบโตมาในครอบครัวของพ่อค้าแม่ค้า แม้จะไม่ลำบากตรากตรำเท่ายุคของอากงอาม่าหรือป๊ากับแม่ แต่ว่านิสัยคิดกำไรขาดทุนมันก็อยู่ในสายเลือด พ่อแม่ของวิจิตรศรามีฐานะทางการเงินที่มั่นคงมีกิจการใหญ่โตอยู่ในจังหวัดเพชรบุรี สามารถเนรมิตความสุขให้ลูกสาวคนเล็กได้อย่างเต็มที่ แต่วิจิตรศราก็เลือกที่จะมีตึกแถวในย่านดอนเมืองแทนบ้านเดี่ยวหลังงามในช่วงที่เรียนหนังสือ โดยให้เหตุผลว่า มันน่าจะเป็นต้นทุนในการดำรงชีวิตในภายภาคหน้าได้มากกว่าการมีบ้านเดี่ยวซึ่งจะต้องเป็นภาระในการดูแลรักษาแลก็หาผลประโยชน์กับทรัพย์สินนั้นไม่ได้
ดังนั้นวิจิตรศราจึงขอตึกแถว ขอรถยนตร์โตโยต้า วีออส ขับไปมหาวิทยาลัย กับเริ่มหาลู่ทางทำมาหากินในขณะที่เรียนหนังสือไปด้วย ช่องทางแรกที่ได้เงินเข้าบ้านนั่นก็คือให้เช่าหน้าร้านยามวิกาลขายก๋วยเตี๋ยว ซึ่งมีทั้งรายได้ กับส่วนหนึ่งมีร้านค้าหน้าบ้านทำให้บ้านนั้นดูปลอดภัยขึ้น..จนกระทั่งมีคนจะเซ้งร้านหนังสือเช่า วิจิตรศราเห็นว่าทุนไม่มากความเสี่ยงน้อยจึงดัดแปลงชั้นล่างเป็นร้านหนังสือจ้างเด็กสาวในย่านนั้นมาดูแลร้านในเวลาสี่โมงเช้าจนถึงสองทุ่ม หลังจากนั้นหากจะเปิดรอลูกค้าเธอก็จะเป็นคนดูแลเอง และด้วยมีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าร้าน เวลาที่เปิดร้านจนดึกดื่นจึงไม่น่ากลัว
ส่วนเมขลานั้นวิจิตรศราเห็นว่า เป็นคนจริงใจกับเพื่อนที่คบหา กับส่วนหนึ่งเมขลาเป็นคนรักความสะอาดเป็นอย่างมาก ที่หอพักหน้ามหาวิทยาลัย ครั้งที่เมขลาพักอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง เมขลาดูแลสะอาดห้องที่อยู่ ข้าวของวางเป็นระเบียบ และเมื่อรูมเมทของเมขลาขอย้ายไปอยู่กับคนรักพรางเรียนหนังสือไปด้วย วิจิตรศราจึงถือโอกาสชวนเมขลามาอยู่ด้วยกัน โดยที่เมขลาไม่ต้องจ่ายค่าที่พักหรือค่าน้ำค่าไฟช่วยเหลือ แต่อย่างใด แรกทีเดียวเมขลาจะไม่ยอม วิจิตรศราจึงบอกไปตามตรงว่า ใจจริงนั้นอยากจะจ่ายค่าคนทำความสะอาดบ้านให้เมขลาเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นทั้งสองจึงอยู่ด้วยกันในแง่ของประโยชน์เกื้อกูล
จนกระทั่งทั้งสองคนเรียนจบ วิจิตรศราอยากเปิดร้านขายกาแฟ แทนการทำร้านเช่าหนังสือ เมขลาจึงถูกดึงมาเป็นหุ้นส่วน เพราะเมขลาหยุดเสาร์ อาทิตย์ กับเมขลามี ‘ดี’ พอจะดึงลูกค้าเข้าร้าน และส่วนหนึ่งวิจิตรศราอยากจะผูกเมขลาไว้กับตัวเองหลาย ๆ ชั้น อยู่เป็นเพื่อนกันไปนาน ๆ..มันเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่เมขลาเองก็เข้าใจ...
และสองขวบปีที่อยู่ด้วยกันมา เมขลายอมรับว่า เธอมีความสุขเหมือนอยู่บ้านตัวเอง ญาติพี่น้องของวิจิตรศราไม่มาข้องเกี่ยวด้วย วิจิตรศราเองก็ไม่มีแฟนมาแชร์เวลาเหมือนกับที่เมขลาเองก็ยังไม่มีใคร แต่ใช่ว่าทั้งสองคนจะไม่มีหนุ่ม ๆ มาหมายตาขายขนมจีบ
..ตั้งแต่เรียนหนังสือ เมขลานั้นถือว่าเป็นดาวเด่นเพราะหน้าตาของเมขลานั้นไทยแท้ ดวงตากลมโต คิ้วเข้ม ผมดำเป็นเส้นตรง จมูกโด่งหน้ารูปไข่ รูปร่างสมส่วน การแต่งตัวนั้นเข้าข่ายว่าเรียบร้อย ซึ่งแตกต่างจากวิจิตรศราซึ่งเป็นสาวเปรี้ยวกล้าดัดและเปลี่ยนสีผมจัดทรงหลากสไตล์แต่งหน้าหมวย ๆ ของตนให้มีสีสัน นุ่งกระโปรงสั้น สวมรองเท้าส้นสูง และขับรถโฉบเฉี่ยว เมขลานั้นถือคติที่ว่ารักไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียนให้จบ หนุ่ม ๆ ที่เข้ามาจีบจึงหยุดอยู่แค่ความเป็นเพื่อน ส่วนวิจิตรศรานั้น หญิงสาวมองคนที่เข้ามาจีบ หวังผลประโยชน์เสียมากกว่า เพราะเธอนั้นจัดว่าเป็นนักศึกษาไฮโซคนหนึ่ง ซึ่งใคร ๆ ก็อยากเข้ามาทาบคบให้ดูโก้เก๋และคนที่เอารักเร่มาขายนั้น วิจิตรศรารู้สึกว่าไม่ควรฝากชีวิตไว้ด้วยเพราะเหมือนจะมีแต่รูปที่ทำให้ผู้หญิงหลงไหลโดยมันสมองนั้นไร้ซึ่งสามัญสำนึกว่า ชีวิตในวัยเรียนนั้นควรทำอะไร วิจิตรศราจึงอยู่เป็นโสด ทุ่มเทชีวิตให้กับการเรียน งานในร้าน และเพื่อน ๆ
วิจิตรศราชอบงานสังคม ชอบเที่ยวธรรมชาติ ชอบออกต่างจังหวัด ชอบเป็นแบบให้คนถ่ายรูป ใช้เสื้อผ้าผลิตภัณฑ์เสริมความงามมีคุณภาพสูง ส่วนเมขลานั้นชอบอะไรที่เป็นไทย ๆ แต่งตัวธรรมดาเรียบ ๆ แต่ก็ซ่อนความเก๋ไว้ตามประสาผู้หญิงวัยสาวที่เหมือนดอกไม้แรกแย้ม..
และเมื่อทั้งสองคนไปไหนมาไหนด้วยกัน มันจึงเห็นถึงความแตกต่างของสองสาว..จนกระทั่งมีคำถามว่า ทั้งคู่คบหากันได้อย่างไร..ซึ่งวิจิตรศราก็ตอบไปว่า ถ้าไม่ต่างกันมันก็ไม่มีจุดเด่น แต่ถึงอย่างไรวิจิตรศราก็พยายามปรับให้เมขลาคล้อยตามชีวิตของตนเสียเป็นส่วนใหญ่..
เรื่องอาหารการกินนั้น เมขลาเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย เน้นอิ่มท้องประหยัดเงินที่พ่อแม่และพี่ชายให้มาเพื่อเรียนหนังสือ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอย่างแบรนด์น้ำ หรือลูกพรุนสกัด เมขลาแทบจะไม่แตะต้อง เพราะเห็นว่า มันแพงกว่าราคาข้าวแกง แต่วิจิตรศราก็บังคับด้วยความห่วงใยผสมกับเอ่ยถึงประโยชน์ของตนว่า
“เมื่อเธอเป็นส่วนหนึ่งของร้าน ฉันก็ต้องบำรุงดูแลเธอให้สมบูรณ์สง่างาม”..
เมขลากระดกน้ำสีดำในขวดแก้วขนาดจิ๋วเข้าปาก..วางขวดแล้วพ่นลมหายใจแรง ๆ ออกมา..วิจิตรศราอมยิ้มอย่างพอใจ..ก่อนจะบอกเมขลาว่า
“พรุ่งนี้ ฉันนัดไว้ทั้งหมดสามรอบนะ รอบละ เช้า ตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงเที่ยงวัน สิบคน รอบบ่าย ตั้งแต่บ่ายสองโมง ถึงห้าโมงเย็น สามสิบคน และก็รอบค่ำ..”
“ทำไมเยอะนักล่ะ มาจากไหนกันนักหนา”
“รอบค่ำ เราจะไปดูหนังกัน..โอเคป่ะ”
“แล้วนี่คิวยาวไปถึงไหน”
“วันธรรมดา วิจะพยายามไม่นัดแล้วนะ เมจะได้พักผ่อน..ก็จะมาสรุปเสาร์อาทิตย์แบบนี้ดีกว่า” วิจิตรศราจะเรียก เมขลา ว่า เม หนูนา หรือไม่ก็เธอ สลับกันไปแล้วแต่อารมณ์ของเรื่อง
“ขอแค่วันเสาร์นะ วันอาทิตย์ อยากสงบ ๆ บ้าง”
“ได้..จัดให้ แต่ว่า เย็น ๆ ต้องมีบ้างนะ บางคนเขาก็มีเรื่องตัดสินใจไม่ได้ แต่เขาอยากรู้เร็ว ๆ...”
“ก็พิจารณาไปตามเรื่องแล้วกัน แต่บอกตรง ๆ ว่า ฉันเหนื่อยอย่างไรไม่รู้..เหมือนหมดพลัง”
“คงไม่ใช่มาจากเรื่องดูดวงอย่างเดียวใช่ไหม”
เมขลาค้อนให้วิจิตรศราก่อนจะล้มตัวลงนอน..
“พี่เขาแจกการ์ดแล้วนะ”..เมื่อเข้าไปฝึกงาน เมขลา พบกับ วรวัฒน์ หัวหน้าแผนกบัญชีบนรถไฟที่โดยสารไปทำงาน ความมีน้ำใจ ประกอบกับหน้าตาที่สะอาดสะอ้านการแต่งกายสุภาพเรียบร้อย ทำให้เมขลาจิตใจปั่นป่วน แม้ว่าหัวใจจะไม่สรุปลงไปว่าหลงรักเขา แต่เมื่อฝึกงานเสร็จ หลังกลับเข้าไปทำงานที่นั่น จนกระทั่งรู้ว่าเขามีคู่หมายอยู่แล้ว จิตใจของเมขลาก็ห่อเหี่ยวจนกระทั่งกลืนข้าวลงคออย่างยากลำบาก เหตุผลที่ทำให้เธออยากนั่งรถไฟไปทำงานหายไปหนึ่งข้อ แต่ถึงกระนั้นเมขลาก็ยังนั่งรถไฟเพราะถือว่าเป็นการเดินทางที่คลาสสิคเป็นอย่างมาก..
“ทำไม เธอไม่ดูดวงเองก่อนนะว่าเขาเป็นคนที่ใช่สำหรับเธอหรือเปล่า”
“ฉันดูดวงให้ตัวเองไม่ได้..ไม่เห็นอะไรเลย ไม่รู้อะไรเลย”
“แล้วของฉันเธอก็ไม่ยอมดูให้นะ..” ..เดือนตุลาคมปลายปีที่แล้วในงานหนังสือระดับชาติที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ เมขลาไปงานเปิดตัวหนังสือของ แพรวพรรณ ว่าที่พี่สะใภ้ แล้วแพรวพรรณได้แนะนำให้รู้จักกับ ศุภนิมิตรน้องชายของพี่ศุภโชคสามีของพี่หิรัญญาซึ่งเป็นนักเขียนเช่นเดียวกับแพรวพรรณ หลังงานเปิดตัว พี่ศุภนิมิตรเดินดูหนังสือในงานกับเมขลา จนกระทั่ง วิจิตรศรามารับ เขาหอบของตามมาส่งที่ถนนหน้าศูนย์ประชุม..และวันนั้นวิจิตรศราก็เพิ่งรู้ว่า ‘รักแรกพบ’ นั้นเป็นเช่นไร สายตาของศุภนิมิตรหนุ่มร่างสูงโปร่งจมูกโด่งเป็นสันผู้มีผมเส้นละเอียดปรกหน้าทำให้วิจิตรศราต้องเอ่ยปากถามอย่างฝัน ๆ เมื่อรถแล่นออกมาแล้วว่า..
“ใครเหรอ”
“พี่ศุภนิมิตร น้องชายพี่ศุภโชค พี่ศุภโชคเป็นสามีพี่หิรัญญา พี่หิรัญญาเป็นเพื่อนพี่แพรว พี่แพรวเป็นว่าที่พี่สะใภ้ของหนูนา”
“หล่อมากกก”
“อืม..หล่อ ดูดี..”
“หนูนาชอบพี่เขาไหม” ที่ถามไปอย่างนั้นเพราะตอนนั้น วิจิตรศรารู้ว่าเมขลามีใจอยู่กับ วรวัฒน์ และเมื่อเมขลาตอบว่า “เฉย ๆ” วิจิตรศราจึงรีบพูดว่า..
“แล้วเขามีแฟนหรือยัง”
“แว่ว ๆ มาว่ายังนะ ว่าง ๆ”
“ว่าง ๆ ไม่มีแฟน ยังโสด ดูดี ถูกใจ...ศุภนิมิตร ศุภนิมิตร ศุภนิมิตร วิจิตรศรา.. โอ้ยยยย หนูนา.. แน่ ๆ เลย เนื้อคู่ของวิ..พระเจ้า ชื่อคล้องจองกันด้วย ศุภนิมิตร วิจิตรศรา ลิเก๊ลิเกทั้งคู่” ชื่อวิจิตรศรานั้นเพื่อนล้อกันว่า ‘ลิเก’ แล้วก็มีบางคนบอกว่า ต้องหาแฟนชื่อลิเกให้เข้ากัน เวลาจัดงานแต่งจะได้ใช้วงปีพาทย์มาบรรเลงกล่อมหอ
“เอาง่าย ๆ อย่างนี้เลยนะ”
“งั้น เธอดูให้หน่อย” แม้จะขับรถอยู่แต่วิจิตรศราก็ยื่นมือข้างซ้ายไปให้เมขลาจับ..เมขลาจับแล้วความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้น คือทั้งสองคนเกิดมาเพื่อกันและกัน..เป็นอย่างที่วิจิตรศรารู้สึกได้เองว่า ‘ชื่อนั้นคล้องจองกัน’...และที่สำคัญไอ้อาการเห็นแล้ว ‘ปิ๊ง’ จนเก็บอาการไม่อยู่แบบนี้ไม่ใช่วิสัยของวิจิตรศรา..เพราะทั้งคู่เคยทำบุญมาด้วยกัน ถึงเวลา จึงต้องมาพบกัน ทั้งที่วันนี้ วิจิตรศรามีเรียนทำสมูทตี้ แต่จู่ ๆ วิจิตรศราก็โทรมาหาว่า เลิกเรียนเร็ว แล้วจะแวะรับที่ศูนย์ประชุมฯ ซึ่งเวลานั้นเธอกำลังจะกลับบ้านพอดี พี่ศุภนิมิตรจึงได้หิ้วถุงหนังสือเดินมาส่ง..และแค่วิจิตรศราก้มลงเห็นหน้าของเขาเท่านั้น กามเทพก็แผลงศรเสียแล้ว..แต่ว่า เมขลาเองก็อยากจะรู้ว่า ...ถ้า..ถ้าคนที่เป็นเนื้อคู่กัน แต่ไม่รู้ว่า ตัวเองเป็นเนื้อคู่กัน มันจะเป็นอย่างไร คิดได้ดังนั้น เมขลาจึงพูดเสียงดังฟังชัดว่า..
“วิ..ถ้าเมตอบว่า เขาไม่ใช่ล่ะ วิจะทำอย่างไร”
“ก็..ทำไง ก็เป่าความรู้สึกดี ๆ นี้ออกนอกรถไปนะสิ”
“ถ้าใช่ล่ะ”
“ก็..มีเบอร์เค้าป่ะ..” วิจิตรศราระริกระรื่นขึ้นมาทันที..
“จีบเค้าก่อนเลยเหรอ”
“อืม จีบก่อนเลย อย่างไร ๆ ก็แฟนในอนาคตอยู่แล้ว จะเริ่มต้นอย่างไรก็ไม่มีปัญหาหรอก”
“งั้น ..เคสนี้ หนูนาขอไม่ทำนายนะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็..ขอไม่ทำนายแล้วกัน” ว่าแล้วเมขลาก็หันหน้าออกไปนอกรถ และจนกระทั่งบัดนี้ ถ้าวิจิตรศราเอ่ยถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่ เมขลาก็จะต้องเปลี่ยนเรื่องคุยทันที ซึ่งวิจิตรศราเองเมื่อไม่รู้ว่าอนาคตตนเองกับศุภนิมิตรเป็นเนื้อคู่กัน ปัจจุบัน วิจิตรศราจึงยังสงวนท่าที แต่ถึงอย่างไร เมขลาก็ดูออกว่า ยิ่งรู้จักกัน วิจิตรศราก็ยิ่ง หลงไหลฝ่ายชายมากยิ่งขึ้น แต่ทว่าพี่ศุภนิมิตรนั้นเหมือนจะมีใจให้กับเธอมากกว่า..
/////////////////////
‘จากวันที่เราต้องเดินแยกทาง เพราะมีเหตุผลบางอย่าง เธอยกมาอ้างก่อนไป ก็พยายามทำความเข้าใจ ฝืนยิ้มว่ายอมรับได้ แต่ใจมันแหลกเป็นผง..เตียงนอน หมอนข้าง ก็ยังวางอยู่ที่เก่า ภาพความงดงามสองเรา..มันผุดมันหลอนทุกทีฯลฯ’ เสียงเพลง สุสานหัวใจ ของ พจน์ สุวรรณพันธ์ ดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในห้องนอนของกฤษณะ สิริสุข โดยที่สติสัมปัชชัญญะของเจ้าของห้องนั้นขาดหายเป็นช่วง ๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ลที่เทลงกระเพาะอย่างไม่สนใจว่าร่างกายนั้นพยายามที่จะปฏิเสธ..
“ไอ้นะ ไอ้นะ ..ไอ้นะ” เสียงเรียกของอาวุธเพื่อนร่วมงานที่มีห้องอยู่ติดกันดังแทรกเข้ามาอยู่นาน กฤษณะงัวเงียลืมตาขึ้น ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีห้องน้ำและระเบียงเล็ก ๆ อยู่ด้านหลังอันเป็นสวัสดิการจากการรถไฟแห่งประเทศไทยหมุนติ้วจนเขาต้องหลับตาลงอีกรอบ..
“ไอ้นะ มึงได้ยินเสียงกูหรือเปล่า”
“ได้ยิน”..เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแห้งผาก..
“ได้ยินมึงก็ลุกขึ้นมาปลดกลอนประตูให้กูหน่อย”
กฤษณะกลิ้งลงจากเตียงก่อนจะค่อย ๆ คืบคลานไปยังประตูห้อง พอโหย่งตัวเกาะประตูเพื่อปลดกลอนได้เขาก็รู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมา
“ประตูห้องถูกกระชากออกพร้อมกับที่เขาฝืนกำลังโผไปยังห้องน้ำที่อยู่ด้านหลัง...อาวุธที่เข้าห้องมาแล้วกวาดตามอบไปรอบ ๆ ห้องพักของเพื่อนชาย..โดยที่โสตประสาทของเขาได้ยินเสียงเพลงคร่ำครวญที่จากคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่เพื่อนชายเปิดทิ้งไว้เพียงเพลงเดียว..
‘..เธอจากไปแล้วตั้งนาน แต่ฉันยังจ่อมจมอยู่กับความหลัง ทุกซอกหลืบของหัวใจ ยังเก็บเธอไว้ ตัดใจไม่ได้สักครั้ง วิมานห้องรักเพพัง เหลือเพียงกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ให้พอต่อลมหายใจ...’
รูปถ่ายที่กฤษณะถ่ายคู่กับมัทนาถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย..เศษรูปเกลื่อนกลาดกระจายไปทั่วห้อง ของที่ระลึกในวาระต่าง ๆ ถูกทำลายไม่มีชิ้นดี ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่มัทนาซื้อให้กฤษณะเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดปีที่แล้วไส้ทะลัก แขน ขา ฉีกขาด ไปคนละทิศทะทาง กลิ่นบุหรี่คละคลุ้ง ขวดเหล้า ขวดโซดา ขวดเบียร์ล้มเกะกะ..เห็นสภาพห้อง ประกอบเสียงเพลงที่วนกลับมาอีกรอบ อาวุธก็นึกขำ..
“อีหมวยเพิ่งจากไปแค่สี่ห้าวัน..มันก็ไม่เก็บอะไรไว้สักอย่าง..เข้ากับเพลงตรงไหน”..
เก็บกวาดห้องให้เพื่อนอย่างขอไปทีแล้วอาวุธก็เดินไปยืนที่หน้าห้องน้ำ..ซึ่งมีเสียงราดน้ำซู่ซ่าจากคนข้างใน
“ไอ้นะ วันนี้ มึงจะลางานอีกหรือเปล่า..” ในคืนวันศุกร์กฤษณะรู้เรื่องของมัทนาจากปากของอุมารินทร์ และคืนนั้นเขาก็ดิ้นพล่าน จะรีบขี่รถไปที่บ้านพักของมัทนา ดีแต่ว่าอาวุธรู้เรื่องนี้จากอุมารินทร์ก่อนเพียงครึ่งชั่วโมง เขาจึงอาสาเป็นคนขี่รถไปให้ พอไปถึง คำยืนยันจากญาติของมัทนาก็ทำให้กฤษณะแทบจะล้มทั้งยืน..มัทนาบินไปอิตาลีกับฝรั่งที่เข้ามาติดพันเมื่อเที่ยวบินตอนหัวค่ำ..มันเป็นของขวัญวันเกิดที่สุดเซอร์ไพร์สของกฤษณะ..
อาวุธจึงต้องเลี้ยงฉลองวันเกิดให้เพื่อนด้วยเหล้าและนั่งฟังคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ของกฤษณะตั้งแต่คืนนั่นยันรุ่งเช้า..ดีแต่ว่าเป็นเช้าวันเสาร์ที่กฤษณะไม่ต้องทำงาน แต่เขาก็ฝืนสังขารไปมหาวิทยาลัยไม่ไหว..และตอนเย็น พออาวุธกลับมาจากมหาวิทยาลัยก็พบว่ากฤษณะกับเพื่อน ๆ ที่พักอยู่แฟลตเดียวกันตั้งวงรอเขาอยู่ และวันอาทิตย์อีกวันที่กฤษณะเมาไม่ได้สติสัมปดี..จวบวันจันทร์และวันอังคารกฤษณะโทรป่วยเพราะลุกไปทำงานไม่ไหว เมื่อคืนนี้ กฤษณะก็ฉลองความโสดที่ไม่ได้ตั้งใจอีกยก..โดยอาวุธกับเพื่อน ๆ ที่ต่างก็มีภาระ มานั่งปลอบใจเจ้าของห้องตามแบบฉบับของพวกเขาเพียงครึ่งคืน และตั้งแต่เพื่อน ๆ กลับออกไป เขาก็ได้ยินเสียงเพลง สุสานหัวใจ ดังเล็ดลอดไปถึงห้องนอนของเขาจวบจนกระทั่งเขาสะดุ้งตื่น เพราะรู้ว่ากฤษณะมีเวรรับรถขบวนด่วนนครพิงค์ที่โรงรถจักรบางซื่อเข้าสถานีกรุงเทพ และเมื่อเห็นว่ากฤษณะลุกขึ้นมาอาบน้ำได้ เขาก็มั่นใจว่า วันนี้กฤษณะคงไม่ลางานให้เสียประวัติ..
“ไป..” กฤษณะตอบกลับมา..
“งั้นกูกลับห้องกูนะ”
“แล้วกูรั้งมึงไว้เหรอ”
“กูเสือกเอง..อย่างไรก็กินข้าวกินปลาบ้างนะโว้ย..”
ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากกฤษณะ อาวุธจึงเดินกลับห้อง แต่ระหว่างที่จะผลักประตูให้เปิดออก เขาก็หันไปหาโน๊ตบุ๊คที่ยังคงส่งเสียงชวนให้อารมณ์คนฟังจมลงความทุกข์ตรม..เขารู้ว่ากฤษณะจะเข้มแข็งได้ในอีกไม่นาน แต่ว่าเขาจะต้องช่วยทำให้เพื่อนเข้มแข็งให้เร็วที่สุด..
และพอพันกายด้วยผ้าขนหนูผืนสีชมพูที่มัทนาเลือกให้ออกมาจากห้องน้ำ กฤษณะก็ต้องอมยิ้ม เมื่อได้ยินเพลง ‘ชิมิ’ ดังแทนเพลง สุสานหัวใจ..
“เป็นไง สบายดีแล้วใช่ไหม” กฤษณะที่นั่งเอนกายศีรษะพิงเก้าอี้ประจำตำแหน่งช่างเครื่อง อยู่บนหัวรถจักรดีเซลหันไปมองข้างทาง คำถามจากลุงพนักงานขับรถซึ่งอยู่ทีมเดียวกันดังเข้าหู แต่ว่าเสียงมันก็ผะแผ่วที่ประสาทรับรู้ เพราะเสียงเครื่องยนต์ที่อยู่ด้านหลังดังกลบเสียหมด และเขาก็ไม่จำจะต้องตอบคำถามนั้น ด้วยท่าทางหมดเรี่ยวหมดแรงแบบนี้ เป็นใครก็รู้ว่า ยังไม่พร้อมทำงาน แต่เมื่อมีภาระหน้าที่ก็ต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด..
และเมื่อพิษของสุราเริ่มจืดจางลงไป..ในห้วงความรู้สึกก็เต็มไปด้วยความหดหู่เช่นเดิม..ปากที่บอกกับเพื่อนว่าเข้มแข็งและพร้อมตัดผู้หญิงคนเดียวออกจากชีวิตหาได้เป็นอย่างนั้น ในใจมีคำถามอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไม? เกิดอะไรขึ้น? เขาอยากย้อนเวลากลับไป กลับไปหาสาเหตุที่ทำให้มัทนาเปลี่ยนไป เขาผิดตรงไหน? เขาพลาดตรงไหน? ถึงทำอะไรให้มัทนาไม่พอใจ..หรือเป็นเพราะเขามันจน เป็นเพราะเขาหล่อไม่สมบูรณ์..ก็ทั้งสองอย่างนี้ เป็นเรื่องที่มัทนารับได้ไม่ใช่เหรอ มัทนาเคยบอกกับเขาว่า จนก็ช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ขอให้รักกันเชื่อกัน และคิดสานอนาคตไปด้วยกัน ส่วนรูปร่างของเขานั้นถึงเขาจะหน้ายาวเแก้ม ตอบ แต่มัทนาก็มองเห็นว่า ดวงตาของของเขานั้นมีชีวิตชีวา ยามเมื่อเขายิ้มตาของเขาจะยิ้มด้วย แต่ถ้าเขาโกรธหรือมีโมโหตาของเขาจะดุมาก แต่มัทนาก็ไม่กลัว..จมูกของเขาเล่า มัทนาก็ว่าโด่งเป็นสัน และมัทนาก็ชอบที่จะขบปลายจมูกของเขาในยามที่เขาหลับไหลอยู่เคียงกัน..
กฤษณะสูดลมหายใจเข้าปอด ลมหายใจนี้เขาเคยแบ่งปันอากาศกันหายใจ ริมฝีปากหนาของเขาเคยบดขยี้กับปากบางบวมอิ่มปลายลิ้นสัมผัสดูดซับรสหวานของอารมณ์รัก กลิ่นปากของเขาเป็นกลิ่นที่หอมชื่นใจเพราะว่า มัทนาให้เขาไปหาหมอรักษารากฟัน ขูดหินปูน และก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์กัน เขาจะต้องแปรงฟัน อมน้ำยาบ้วนปากและหลังกินข้าวทุกมื้อ ถ้ามีโอกาสแปรงฟันเขาจะรีบแปรงทันที เหล้าหรือบุหรี่ทำให้มีกลิ่นปาก มัทนาไม่ชอบ เขาอาบน้ำทั้งเช้าและเย็นและทุกครั้งที่รู้สึกว่าตัวเหนียว ผิวที่เคยหยาบกร้านเขาใช้โลชั่นที่มัทนาหามาให้ชะโลม และลายสักที่ตัวของเขานี้ มัทนาก็หลงไหลมันเป็นอย่างมาก เธอชอบลูบไล้ไล่ดอมดม มันทำให้เธอรัญจวนเหมือนกับที่เขาหลงไหลในปลายลิ้นและลมหายใจเบา ๆ จากโพรงจมูกของเธอ...แต่ว่าบัดนี้มัทนาไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า..อุมารินทร์บอกกับเขาว่า ไอ้ฝรั่งนั่นมันรวยมากมันชอบมัทนา มากมันอยากให้ไปอยู่กับมันที่อิตาลี และมัทนาก็ตกลงใจไปกับมัน..เพียงเพราะมันรวยมาก..
นึกถึงจุดจบของชีวิตรักของเขาแล้วกฤษณะก็ขบกรามจนแน่น..
“ไอ้นะ” เสียงของลุง พขร. ดังขึ้นกว่าเดิม
“ครับ..” เขาลืมตาขึ้น..แล้วเห็นว่าหัวรถจักรถึงสถานีหัวลำโพงแล้ว เขาสะดุ้งเฮือกหยัดตัวตรง หน้าที่ของช่างเครื่องที่ประจำอยู่บนหัวรถจักรนั้นเมื่อรถถึงสถานีปลายทาง เขาจะต้องลงจากรถไปตัดท่อลม
แต่ว่าวันนี้พอเขาเปิดประตูและกระโดดลงจากรถไปแล้ว อาการผะอืดผะอมก็หวนกลับมา ลมในกระเพราะถูกตีขึ้น เขารู้สึกอยากอาเจียน กฤษณะหันซ้ายหันขวา ใจหนึ่งเขาก็นึกอยากจะคายของเก่าที่ข้างราง แต่อีกใจเขาก็น่าจะประคองตัวเองไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลได้..เขาตัดสินใจทำตามความต้องการความรู้สึกสุดท้าย แต่เมื่อใช้มืออุดปากเดินกึ่งวิ่งไปทางยังห้องน้ำ เขาก็ชนโครมกับผู้โดยสารหญิงคนหนึ่งที่กำลังเร่งรีบเดินออกจากชานชลาเขาเองก็ผงะไปข้างหลัง และที่เขารู้ว่าคนที่เขาชนเป็นผู้หญิงเพราะเจ้าหล่อนร้องว๊ายแล้วล้มลงไป แต่ว่าเขาก็ไม่มีเวลาพอจะไปรั้งเธอให้ลุกขึ้น หรือว่าขอโทษขอโพย.. จุดหมายของเขาคือห้องน้ำ...และไอ้เรื่องทำตัวไร้มารยาททางสังคมแบบนี้ ใช่ว่าเขาไม่เคยเสียเมื่อไหร่...
ด้วยเร่งรีบจะออกจากชานชลาไปยังป้ายรถเมล์เพื่อขึ้นรถสาย 15 ไปยังถนนสีลมซึ่งเป็นตั้งของสำนักงานใหญ่ เมขลาที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินจึงชนโครมให้กับร่างผอมสูงของพนักงานการรถไฟฯที่ผลุนผลันหมุนตัวออกจากข้างรถแล้ววิ่งตัดหน้าเธอไป..และผลจาการชนกันทำให้จมูกของเมขลาปะทะเข้ากับข้อศอกด้านซ้ายของคนที่วิ่งลนลานไปยังห้องน้ำ
แรกทีเดียวเมขลาคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมาก แต่พอตั้งหลักและเดินไปได้เพียงนิด คนที่เดินสวนทางกลับมาก็ทำหน้าตกใจ และเมขลาก็รู้สึกได้ว่ามีน้ำไหลลงมาที่ปากและพอใช้หลังมือแตะซับ เมขลาก็เห็นเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากจมูก..ความโกลาหลเกิดขึ้น พลเมืองดีซึ่งเป็นผู้หญิงสองคนรีบประคองเธอเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ด้านหน้าชานชลาที่ 9 กระดาษทิชชู่ถูกดึงจากกระเป๋ามาซับเลือดที่ไหลซึมออกมา..
เมขลานั่งอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ พลเมืองดีสองคนรีบขอตัวขึ้นรถไปทำงาน และต้นเหตุที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าอิดโรยดวงตาของเขาแดงก่ำเหมือนคนอดหลับอดนอน
“คนนี้แหละที่มึงชนเขาจนเลือดกำเดาไหล” เพื่อนพนักงานที่เห็นเหตุการณ์ไปบอกกฤษณะในห้องน้ำ และพอตั้งหลักได้เขาก็เดินตามคนแจ้งเหตุออกมา..และเมื่อเห็นว่า คนที่นั่งอยู่ตรงหน้ามีสีหน้าซีดเผือดจมูกแดง ตัวสำนึกผิดก็เกิดขึ้นในใจของเขา..
“เป็นอะไรมากไหมครับ..ไปหาหมอไหม”
“มึงก็ขอโทษเค้าซิ”
“กูขอแน่..” กฤษณะหันไปดุให้เพื่อนที่ดูเหมือนจะให้เขา ‘หลี’ สาวตรงหน้ามากกว่าตามมาให้ขอโทษ
จากใจจริง
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“ต้องไปหาหมอไหม” กฤษณะถามซ้ำอีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็เห็นว่า เจ้าหล่อนปรายตามองเขาเพียงนิดยกกระจกส่องหน้าสูดจมูกแรง ๆ สองสามครั้งก่อนจะตอบด้วยเสียงที่แผงไว้ด้วยความโกรธว่า
“คงไม่ต้องหรอก แค่เลือดกำเดาไหล..”
“ถ้างั้น.. ผมขอโทษนะครับ..”
“คุณคงไม่ได้ตั้งใจ”
“อุบัติเหตุแน่นอนครับ”
“ค่ะ..” ว่าแล้วเมขลาก็ลุกขึ้น แต่จะเป็นด้วยนั่งนานหรือว่าเสียเลือดไปเมื่อครู่ก็ยากสรุป.. เมขลาก็หน้ามืดซวนเซจนเขาต้องรีบเข้าไปประคอง แต่มันก็มันไม่ใช่แค่เขาคนเดียว เพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ ก็เหมือนจะกลัวว่าเธอจะล้มลงไปด้วย มือผู้ชายสองคนที่จับต้องเนื้อตัวของเธอ แม้จะมั่นใจว่าพวกเขาต้องการช่วย แต่ลึก ๆ เมขลาก็รู้สึกว่า พวกเขากำลังฉวยโอกาส..
“ปล่อยฉันนะ..”
“ก็คุณจะล้ม..”
2.
เมื่อเห็นว่าไฟในห้องนอนของเมลขาที่อยู่ตรงกันข้ามกับของตนซึ่งอยู่ชั้นสามของตึกยังเปิดสว่าง วิจิตรศราจึงเปิดประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะ และพอเห็นว่าเมขลายังอยู่ในชุดที่ใส่ออกไปทำงานแต่ว่าเจ้าตัวนอนหลับตาพังพาบอยู่บนเตียงขนาด 3.5 ฟุต อย่างหมดสภาพ วิจิตรศราจึงเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ
“ทำไมไม่อาบน้ำก่อน..”
“ไม่ไหว..อยากนอน..”
“ไม่สบายหรือเปล่า”
“..วิ..ฉันไม่อยากดูดวงให้ใครอีกแล้ว” เมขลาติดสนใจบอกความต้องการของตนเองไป เมื่อรู้สึกว่า
เรื่องที่เคยนำความสนุกมาให้นั้นไม่สนุกอีกต่อไปแล้ว..
“เฮ้ย เลิกได้ที่ไหน เธอกำลังขึ้นหม้อเลยนะ..ตำแหน่งเทพธิดาพยากรณ์คนต่อไปของประเทศไทย เห็น
รำไร ๆ แล้ว โปรเจคต่อไปที่ฉันคิดไว้นะ เราจะมีหมายเลขโทรศัพท์แบบคิดเงิน 1900 1999”
“วิ..” เมขลาขัดขึ้นมา..
“เธอไม่ต้องทำงานประจำดีไหม..แล้วก็คิดค่าดูสักคนละห้าสิบบาท หรือสี่สิบเก้าบาท วันหนึ่งได้ลูกค้าสักห้าคนสิบคน เธอก็สบายแล้ว พอเธอดังขึ้น ๆ ก็เพิ่มเป็นคนละเก้าสิบเก้า”
“โอ้ย ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก..ฉันไม่ได้มีคงมีครูอะไรนี่..ตั้งราคาขึ้นมาน่าเกลียด” เมขลาดีดตัวขึ้นนั่งเส้นผมสีดำขลับยาวถึงกลางหลังยุ่งเหยิงเพราะเจ้าตัวขยี้เล่นระหว่างที่นอนครุ่นคิดถึงความยุ่งยากที่มันเกิดขึ้นโดยคาดไม่ถึง..และเธอก็จะต้องรีบแก้ไขมันเสียก่อนที่จะกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติไม่ได้
“แต่คนดูเขาก็เต็มใจให้นะ..” แม้ไม่ได้เก็บค่าบูชาครูตามหลักของการดูดวงท่าไป แต่คนที่เคยดูแล้วเห็นว่าหมอเมขลานั้นแม่นยำแก้ไขปัญหาให้ได้ ก็จะกลับมาสมนาคุณในรูปแบบของฝาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นของกินจำพวกขนมหรือไม่ก็ผลไม้ตามฤดูกาล..ถ้ามาแบบนี้เมขลาก็จำต้องรับไว้..ทั้งที่ในใจนั้นเมขลาเริ่มกังวลว่าคนอื่น ๆ กำลังมองว่าเธอเป็นคนวิเศษ ด้วยอาการที่มอบของให้นั้น คล้าย ๆ กับประเคนของให้ผู้ทรงศีล..
“ไม่น่าเกลียดหรอก คนไทยเข้าใจเรื่องพวกนี้ แล้วก็พร้อมที่จะจ่ายด้วย”
“ฉันเหนื่อย..ฉันเพลีย”
“งั้นก็ กินแบรนด์ไหม ฉันจะเดินลงไปเอามาให้”
วิจิตรศรานั้นเติบโตมาในครอบครัวของพ่อค้าแม่ค้า แม้จะไม่ลำบากตรากตรำเท่ายุคของอากงอาม่าหรือป๊ากับแม่ แต่ว่านิสัยคิดกำไรขาดทุนมันก็อยู่ในสายเลือด พ่อแม่ของวิจิตรศรามีฐานะทางการเงินที่มั่นคงมีกิจการใหญ่โตอยู่ในจังหวัดเพชรบุรี สามารถเนรมิตความสุขให้ลูกสาวคนเล็กได้อย่างเต็มที่ แต่วิจิตรศราก็เลือกที่จะมีตึกแถวในย่านดอนเมืองแทนบ้านเดี่ยวหลังงามในช่วงที่เรียนหนังสือ โดยให้เหตุผลว่า มันน่าจะเป็นต้นทุนในการดำรงชีวิตในภายภาคหน้าได้มากกว่าการมีบ้านเดี่ยวซึ่งจะต้องเป็นภาระในการดูแลรักษาแลก็หาผลประโยชน์กับทรัพย์สินนั้นไม่ได้
ดังนั้นวิจิตรศราจึงขอตึกแถว ขอรถยนตร์โตโยต้า วีออส ขับไปมหาวิทยาลัย กับเริ่มหาลู่ทางทำมาหากินในขณะที่เรียนหนังสือไปด้วย ช่องทางแรกที่ได้เงินเข้าบ้านนั่นก็คือให้เช่าหน้าร้านยามวิกาลขายก๋วยเตี๋ยว ซึ่งมีทั้งรายได้ กับส่วนหนึ่งมีร้านค้าหน้าบ้านทำให้บ้านนั้นดูปลอดภัยขึ้น..จนกระทั่งมีคนจะเซ้งร้านหนังสือเช่า วิจิตรศราเห็นว่าทุนไม่มากความเสี่ยงน้อยจึงดัดแปลงชั้นล่างเป็นร้านหนังสือจ้างเด็กสาวในย่านนั้นมาดูแลร้านในเวลาสี่โมงเช้าจนถึงสองทุ่ม หลังจากนั้นหากจะเปิดรอลูกค้าเธอก็จะเป็นคนดูแลเอง และด้วยมีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าร้าน เวลาที่เปิดร้านจนดึกดื่นจึงไม่น่ากลัว
ส่วนเมขลานั้นวิจิตรศราเห็นว่า เป็นคนจริงใจกับเพื่อนที่คบหา กับส่วนหนึ่งเมขลาเป็นคนรักความสะอาดเป็นอย่างมาก ที่หอพักหน้ามหาวิทยาลัย ครั้งที่เมขลาพักอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง เมขลาดูแลสะอาดห้องที่อยู่ ข้าวของวางเป็นระเบียบ และเมื่อรูมเมทของเมขลาขอย้ายไปอยู่กับคนรักพรางเรียนหนังสือไปด้วย วิจิตรศราจึงถือโอกาสชวนเมขลามาอยู่ด้วยกัน โดยที่เมขลาไม่ต้องจ่ายค่าที่พักหรือค่าน้ำค่าไฟช่วยเหลือ แต่อย่างใด แรกทีเดียวเมขลาจะไม่ยอม วิจิตรศราจึงบอกไปตามตรงว่า ใจจริงนั้นอยากจะจ่ายค่าคนทำความสะอาดบ้านให้เมขลาเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นทั้งสองจึงอยู่ด้วยกันในแง่ของประโยชน์เกื้อกูล
จนกระทั่งทั้งสองคนเรียนจบ วิจิตรศราอยากเปิดร้านขายกาแฟ แทนการทำร้านเช่าหนังสือ เมขลาจึงถูกดึงมาเป็นหุ้นส่วน เพราะเมขลาหยุดเสาร์ อาทิตย์ กับเมขลามี ‘ดี’ พอจะดึงลูกค้าเข้าร้าน และส่วนหนึ่งวิจิตรศราอยากจะผูกเมขลาไว้กับตัวเองหลาย ๆ ชั้น อยู่เป็นเพื่อนกันไปนาน ๆ..มันเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่เมขลาเองก็เข้าใจ...
และสองขวบปีที่อยู่ด้วยกันมา เมขลายอมรับว่า เธอมีความสุขเหมือนอยู่บ้านตัวเอง ญาติพี่น้องของวิจิตรศราไม่มาข้องเกี่ยวด้วย วิจิตรศราเองก็ไม่มีแฟนมาแชร์เวลาเหมือนกับที่เมขลาเองก็ยังไม่มีใคร แต่ใช่ว่าทั้งสองคนจะไม่มีหนุ่ม ๆ มาหมายตาขายขนมจีบ
..ตั้งแต่เรียนหนังสือ เมขลานั้นถือว่าเป็นดาวเด่นเพราะหน้าตาของเมขลานั้นไทยแท้ ดวงตากลมโต คิ้วเข้ม ผมดำเป็นเส้นตรง จมูกโด่งหน้ารูปไข่ รูปร่างสมส่วน การแต่งตัวนั้นเข้าข่ายว่าเรียบร้อย ซึ่งแตกต่างจากวิจิตรศราซึ่งเป็นสาวเปรี้ยวกล้าดัดและเปลี่ยนสีผมจัดทรงหลากสไตล์แต่งหน้าหมวย ๆ ของตนให้มีสีสัน นุ่งกระโปรงสั้น สวมรองเท้าส้นสูง และขับรถโฉบเฉี่ยว เมขลานั้นถือคติที่ว่ารักไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียนให้จบ หนุ่ม ๆ ที่เข้ามาจีบจึงหยุดอยู่แค่ความเป็นเพื่อน ส่วนวิจิตรศรานั้น หญิงสาวมองคนที่เข้ามาจีบ หวังผลประโยชน์เสียมากกว่า เพราะเธอนั้นจัดว่าเป็นนักศึกษาไฮโซคนหนึ่ง ซึ่งใคร ๆ ก็อยากเข้ามาทาบคบให้ดูโก้เก๋และคนที่เอารักเร่มาขายนั้น วิจิตรศรารู้สึกว่าไม่ควรฝากชีวิตไว้ด้วยเพราะเหมือนจะมีแต่รูปที่ทำให้ผู้หญิงหลงไหลโดยมันสมองนั้นไร้ซึ่งสามัญสำนึกว่า ชีวิตในวัยเรียนนั้นควรทำอะไร วิจิตรศราจึงอยู่เป็นโสด ทุ่มเทชีวิตให้กับการเรียน งานในร้าน และเพื่อน ๆ
วิจิตรศราชอบงานสังคม ชอบเที่ยวธรรมชาติ ชอบออกต่างจังหวัด ชอบเป็นแบบให้คนถ่ายรูป ใช้เสื้อผ้าผลิตภัณฑ์เสริมความงามมีคุณภาพสูง ส่วนเมขลานั้นชอบอะไรที่เป็นไทย ๆ แต่งตัวธรรมดาเรียบ ๆ แต่ก็ซ่อนความเก๋ไว้ตามประสาผู้หญิงวัยสาวที่เหมือนดอกไม้แรกแย้ม..
และเมื่อทั้งสองคนไปไหนมาไหนด้วยกัน มันจึงเห็นถึงความแตกต่างของสองสาว..จนกระทั่งมีคำถามว่า ทั้งคู่คบหากันได้อย่างไร..ซึ่งวิจิตรศราก็ตอบไปว่า ถ้าไม่ต่างกันมันก็ไม่มีจุดเด่น แต่ถึงอย่างไรวิจิตรศราก็พยายามปรับให้เมขลาคล้อยตามชีวิตของตนเสียเป็นส่วนใหญ่..
เรื่องอาหารการกินนั้น เมขลาเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย เน้นอิ่มท้องประหยัดเงินที่พ่อแม่และพี่ชายให้มาเพื่อเรียนหนังสือ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอย่างแบรนด์น้ำ หรือลูกพรุนสกัด เมขลาแทบจะไม่แตะต้อง เพราะเห็นว่า มันแพงกว่าราคาข้าวแกง แต่วิจิตรศราก็บังคับด้วยความห่วงใยผสมกับเอ่ยถึงประโยชน์ของตนว่า
“เมื่อเธอเป็นส่วนหนึ่งของร้าน ฉันก็ต้องบำรุงดูแลเธอให้สมบูรณ์สง่างาม”..
เมขลากระดกน้ำสีดำในขวดแก้วขนาดจิ๋วเข้าปาก..วางขวดแล้วพ่นลมหายใจแรง ๆ ออกมา..วิจิตรศราอมยิ้มอย่างพอใจ..ก่อนจะบอกเมขลาว่า
“พรุ่งนี้ ฉันนัดไว้ทั้งหมดสามรอบนะ รอบละ เช้า ตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงเที่ยงวัน สิบคน รอบบ่าย ตั้งแต่บ่ายสองโมง ถึงห้าโมงเย็น สามสิบคน และก็รอบค่ำ..”
“ทำไมเยอะนักล่ะ มาจากไหนกันนักหนา”
“รอบค่ำ เราจะไปดูหนังกัน..โอเคป่ะ”
“แล้วนี่คิวยาวไปถึงไหน”
“วันธรรมดา วิจะพยายามไม่นัดแล้วนะ เมจะได้พักผ่อน..ก็จะมาสรุปเสาร์อาทิตย์แบบนี้ดีกว่า” วิจิตรศราจะเรียก เมขลา ว่า เม หนูนา หรือไม่ก็เธอ สลับกันไปแล้วแต่อารมณ์ของเรื่อง
“ขอแค่วันเสาร์นะ วันอาทิตย์ อยากสงบ ๆ บ้าง”
“ได้..จัดให้ แต่ว่า เย็น ๆ ต้องมีบ้างนะ บางคนเขาก็มีเรื่องตัดสินใจไม่ได้ แต่เขาอยากรู้เร็ว ๆ...”
“ก็พิจารณาไปตามเรื่องแล้วกัน แต่บอกตรง ๆ ว่า ฉันเหนื่อยอย่างไรไม่รู้..เหมือนหมดพลัง”
“คงไม่ใช่มาจากเรื่องดูดวงอย่างเดียวใช่ไหม”
เมขลาค้อนให้วิจิตรศราก่อนจะล้มตัวลงนอน..
“พี่เขาแจกการ์ดแล้วนะ”..เมื่อเข้าไปฝึกงาน เมขลา พบกับ วรวัฒน์ หัวหน้าแผนกบัญชีบนรถไฟที่โดยสารไปทำงาน ความมีน้ำใจ ประกอบกับหน้าตาที่สะอาดสะอ้านการแต่งกายสุภาพเรียบร้อย ทำให้เมขลาจิตใจปั่นป่วน แม้ว่าหัวใจจะไม่สรุปลงไปว่าหลงรักเขา แต่เมื่อฝึกงานเสร็จ หลังกลับเข้าไปทำงานที่นั่น จนกระทั่งรู้ว่าเขามีคู่หมายอยู่แล้ว จิตใจของเมขลาก็ห่อเหี่ยวจนกระทั่งกลืนข้าวลงคออย่างยากลำบาก เหตุผลที่ทำให้เธออยากนั่งรถไฟไปทำงานหายไปหนึ่งข้อ แต่ถึงกระนั้นเมขลาก็ยังนั่งรถไฟเพราะถือว่าเป็นการเดินทางที่คลาสสิคเป็นอย่างมาก..
“ทำไม เธอไม่ดูดวงเองก่อนนะว่าเขาเป็นคนที่ใช่สำหรับเธอหรือเปล่า”
“ฉันดูดวงให้ตัวเองไม่ได้..ไม่เห็นอะไรเลย ไม่รู้อะไรเลย”
“แล้วของฉันเธอก็ไม่ยอมดูให้นะ..” ..เดือนตุลาคมปลายปีที่แล้วในงานหนังสือระดับชาติที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ เมขลาไปงานเปิดตัวหนังสือของ แพรวพรรณ ว่าที่พี่สะใภ้ แล้วแพรวพรรณได้แนะนำให้รู้จักกับ ศุภนิมิตรน้องชายของพี่ศุภโชคสามีของพี่หิรัญญาซึ่งเป็นนักเขียนเช่นเดียวกับแพรวพรรณ หลังงานเปิดตัว พี่ศุภนิมิตรเดินดูหนังสือในงานกับเมขลา จนกระทั่ง วิจิตรศรามารับ เขาหอบของตามมาส่งที่ถนนหน้าศูนย์ประชุม..และวันนั้นวิจิตรศราก็เพิ่งรู้ว่า ‘รักแรกพบ’ นั้นเป็นเช่นไร สายตาของศุภนิมิตรหนุ่มร่างสูงโปร่งจมูกโด่งเป็นสันผู้มีผมเส้นละเอียดปรกหน้าทำให้วิจิตรศราต้องเอ่ยปากถามอย่างฝัน ๆ เมื่อรถแล่นออกมาแล้วว่า..
“ใครเหรอ”
“พี่ศุภนิมิตร น้องชายพี่ศุภโชค พี่ศุภโชคเป็นสามีพี่หิรัญญา พี่หิรัญญาเป็นเพื่อนพี่แพรว พี่แพรวเป็นว่าที่พี่สะใภ้ของหนูนา”
“หล่อมากกก”
“อืม..หล่อ ดูดี..”
“หนูนาชอบพี่เขาไหม” ที่ถามไปอย่างนั้นเพราะตอนนั้น วิจิตรศรารู้ว่าเมขลามีใจอยู่กับ วรวัฒน์ และเมื่อเมขลาตอบว่า “เฉย ๆ” วิจิตรศราจึงรีบพูดว่า..
“แล้วเขามีแฟนหรือยัง”
“แว่ว ๆ มาว่ายังนะ ว่าง ๆ”
“ว่าง ๆ ไม่มีแฟน ยังโสด ดูดี ถูกใจ...ศุภนิมิตร ศุภนิมิตร ศุภนิมิตร วิจิตรศรา.. โอ้ยยยย หนูนา.. แน่ ๆ เลย เนื้อคู่ของวิ..พระเจ้า ชื่อคล้องจองกันด้วย ศุภนิมิตร วิจิตรศรา ลิเก๊ลิเกทั้งคู่” ชื่อวิจิตรศรานั้นเพื่อนล้อกันว่า ‘ลิเก’ แล้วก็มีบางคนบอกว่า ต้องหาแฟนชื่อลิเกให้เข้ากัน เวลาจัดงานแต่งจะได้ใช้วงปีพาทย์มาบรรเลงกล่อมหอ
“เอาง่าย ๆ อย่างนี้เลยนะ”
“งั้น เธอดูให้หน่อย” แม้จะขับรถอยู่แต่วิจิตรศราก็ยื่นมือข้างซ้ายไปให้เมขลาจับ..เมขลาจับแล้วความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้น คือทั้งสองคนเกิดมาเพื่อกันและกัน..เป็นอย่างที่วิจิตรศรารู้สึกได้เองว่า ‘ชื่อนั้นคล้องจองกัน’...และที่สำคัญไอ้อาการเห็นแล้ว ‘ปิ๊ง’ จนเก็บอาการไม่อยู่แบบนี้ไม่ใช่วิสัยของวิจิตรศรา..เพราะทั้งคู่เคยทำบุญมาด้วยกัน ถึงเวลา จึงต้องมาพบกัน ทั้งที่วันนี้ วิจิตรศรามีเรียนทำสมูทตี้ แต่จู่ ๆ วิจิตรศราก็โทรมาหาว่า เลิกเรียนเร็ว แล้วจะแวะรับที่ศูนย์ประชุมฯ ซึ่งเวลานั้นเธอกำลังจะกลับบ้านพอดี พี่ศุภนิมิตรจึงได้หิ้วถุงหนังสือเดินมาส่ง..และแค่วิจิตรศราก้มลงเห็นหน้าของเขาเท่านั้น กามเทพก็แผลงศรเสียแล้ว..แต่ว่า เมขลาเองก็อยากจะรู้ว่า ...ถ้า..ถ้าคนที่เป็นเนื้อคู่กัน แต่ไม่รู้ว่า ตัวเองเป็นเนื้อคู่กัน มันจะเป็นอย่างไร คิดได้ดังนั้น เมขลาจึงพูดเสียงดังฟังชัดว่า..
“วิ..ถ้าเมตอบว่า เขาไม่ใช่ล่ะ วิจะทำอย่างไร”
“ก็..ทำไง ก็เป่าความรู้สึกดี ๆ นี้ออกนอกรถไปนะสิ”
“ถ้าใช่ล่ะ”
“ก็..มีเบอร์เค้าป่ะ..” วิจิตรศราระริกระรื่นขึ้นมาทันที..
“จีบเค้าก่อนเลยเหรอ”
“อืม จีบก่อนเลย อย่างไร ๆ ก็แฟนในอนาคตอยู่แล้ว จะเริ่มต้นอย่างไรก็ไม่มีปัญหาหรอก”
“งั้น ..เคสนี้ หนูนาขอไม่ทำนายนะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็..ขอไม่ทำนายแล้วกัน” ว่าแล้วเมขลาก็หันหน้าออกไปนอกรถ และจนกระทั่งบัดนี้ ถ้าวิจิตรศราเอ่ยถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่ เมขลาก็จะต้องเปลี่ยนเรื่องคุยทันที ซึ่งวิจิตรศราเองเมื่อไม่รู้ว่าอนาคตตนเองกับศุภนิมิตรเป็นเนื้อคู่กัน ปัจจุบัน วิจิตรศราจึงยังสงวนท่าที แต่ถึงอย่างไร เมขลาก็ดูออกว่า ยิ่งรู้จักกัน วิจิตรศราก็ยิ่ง หลงไหลฝ่ายชายมากยิ่งขึ้น แต่ทว่าพี่ศุภนิมิตรนั้นเหมือนจะมีใจให้กับเธอมากกว่า..
/////////////////////
‘จากวันที่เราต้องเดินแยกทาง เพราะมีเหตุผลบางอย่าง เธอยกมาอ้างก่อนไป ก็พยายามทำความเข้าใจ ฝืนยิ้มว่ายอมรับได้ แต่ใจมันแหลกเป็นผง..เตียงนอน หมอนข้าง ก็ยังวางอยู่ที่เก่า ภาพความงดงามสองเรา..มันผุดมันหลอนทุกทีฯลฯ’ เสียงเพลง สุสานหัวใจ ของ พจน์ สุวรรณพันธ์ ดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในห้องนอนของกฤษณะ สิริสุข โดยที่สติสัมปัชชัญญะของเจ้าของห้องนั้นขาดหายเป็นช่วง ๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ลที่เทลงกระเพาะอย่างไม่สนใจว่าร่างกายนั้นพยายามที่จะปฏิเสธ..
“ไอ้นะ ไอ้นะ ..ไอ้นะ” เสียงเรียกของอาวุธเพื่อนร่วมงานที่มีห้องอยู่ติดกันดังแทรกเข้ามาอยู่นาน กฤษณะงัวเงียลืมตาขึ้น ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีห้องน้ำและระเบียงเล็ก ๆ อยู่ด้านหลังอันเป็นสวัสดิการจากการรถไฟแห่งประเทศไทยหมุนติ้วจนเขาต้องหลับตาลงอีกรอบ..
“ไอ้นะ มึงได้ยินเสียงกูหรือเปล่า”
“ได้ยิน”..เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแห้งผาก..
“ได้ยินมึงก็ลุกขึ้นมาปลดกลอนประตูให้กูหน่อย”
กฤษณะกลิ้งลงจากเตียงก่อนจะค่อย ๆ คืบคลานไปยังประตูห้อง พอโหย่งตัวเกาะประตูเพื่อปลดกลอนได้เขาก็รู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมา
“ประตูห้องถูกกระชากออกพร้อมกับที่เขาฝืนกำลังโผไปยังห้องน้ำที่อยู่ด้านหลัง...อาวุธที่เข้าห้องมาแล้วกวาดตามอบไปรอบ ๆ ห้องพักของเพื่อนชาย..โดยที่โสตประสาทของเขาได้ยินเสียงเพลงคร่ำครวญที่จากคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่เพื่อนชายเปิดทิ้งไว้เพียงเพลงเดียว..
‘..เธอจากไปแล้วตั้งนาน แต่ฉันยังจ่อมจมอยู่กับความหลัง ทุกซอกหลืบของหัวใจ ยังเก็บเธอไว้ ตัดใจไม่ได้สักครั้ง วิมานห้องรักเพพัง เหลือเพียงกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ให้พอต่อลมหายใจ...’
รูปถ่ายที่กฤษณะถ่ายคู่กับมัทนาถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย..เศษรูปเกลื่อนกลาดกระจายไปทั่วห้อง ของที่ระลึกในวาระต่าง ๆ ถูกทำลายไม่มีชิ้นดี ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่มัทนาซื้อให้กฤษณะเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดปีที่แล้วไส้ทะลัก แขน ขา ฉีกขาด ไปคนละทิศทะทาง กลิ่นบุหรี่คละคลุ้ง ขวดเหล้า ขวดโซดา ขวดเบียร์ล้มเกะกะ..เห็นสภาพห้อง ประกอบเสียงเพลงที่วนกลับมาอีกรอบ อาวุธก็นึกขำ..
“อีหมวยเพิ่งจากไปแค่สี่ห้าวัน..มันก็ไม่เก็บอะไรไว้สักอย่าง..เข้ากับเพลงตรงไหน”..
เก็บกวาดห้องให้เพื่อนอย่างขอไปทีแล้วอาวุธก็เดินไปยืนที่หน้าห้องน้ำ..ซึ่งมีเสียงราดน้ำซู่ซ่าจากคนข้างใน
“ไอ้นะ วันนี้ มึงจะลางานอีกหรือเปล่า..” ในคืนวันศุกร์กฤษณะรู้เรื่องของมัทนาจากปากของอุมารินทร์ และคืนนั้นเขาก็ดิ้นพล่าน จะรีบขี่รถไปที่บ้านพักของมัทนา ดีแต่ว่าอาวุธรู้เรื่องนี้จากอุมารินทร์ก่อนเพียงครึ่งชั่วโมง เขาจึงอาสาเป็นคนขี่รถไปให้ พอไปถึง คำยืนยันจากญาติของมัทนาก็ทำให้กฤษณะแทบจะล้มทั้งยืน..มัทนาบินไปอิตาลีกับฝรั่งที่เข้ามาติดพันเมื่อเที่ยวบินตอนหัวค่ำ..มันเป็นของขวัญวันเกิดที่สุดเซอร์ไพร์สของกฤษณะ..
อาวุธจึงต้องเลี้ยงฉลองวันเกิดให้เพื่อนด้วยเหล้าและนั่งฟังคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ของกฤษณะตั้งแต่คืนนั่นยันรุ่งเช้า..ดีแต่ว่าเป็นเช้าวันเสาร์ที่กฤษณะไม่ต้องทำงาน แต่เขาก็ฝืนสังขารไปมหาวิทยาลัยไม่ไหว..และตอนเย็น พออาวุธกลับมาจากมหาวิทยาลัยก็พบว่ากฤษณะกับเพื่อน ๆ ที่พักอยู่แฟลตเดียวกันตั้งวงรอเขาอยู่ และวันอาทิตย์อีกวันที่กฤษณะเมาไม่ได้สติสัมปดี..จวบวันจันทร์และวันอังคารกฤษณะโทรป่วยเพราะลุกไปทำงานไม่ไหว เมื่อคืนนี้ กฤษณะก็ฉลองความโสดที่ไม่ได้ตั้งใจอีกยก..โดยอาวุธกับเพื่อน ๆ ที่ต่างก็มีภาระ มานั่งปลอบใจเจ้าของห้องตามแบบฉบับของพวกเขาเพียงครึ่งคืน และตั้งแต่เพื่อน ๆ กลับออกไป เขาก็ได้ยินเสียงเพลง สุสานหัวใจ ดังเล็ดลอดไปถึงห้องนอนของเขาจวบจนกระทั่งเขาสะดุ้งตื่น เพราะรู้ว่ากฤษณะมีเวรรับรถขบวนด่วนนครพิงค์ที่โรงรถจักรบางซื่อเข้าสถานีกรุงเทพ และเมื่อเห็นว่ากฤษณะลุกขึ้นมาอาบน้ำได้ เขาก็มั่นใจว่า วันนี้กฤษณะคงไม่ลางานให้เสียประวัติ..
“ไป..” กฤษณะตอบกลับมา..
“งั้นกูกลับห้องกูนะ”
“แล้วกูรั้งมึงไว้เหรอ”
“กูเสือกเอง..อย่างไรก็กินข้าวกินปลาบ้างนะโว้ย..”
ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากกฤษณะ อาวุธจึงเดินกลับห้อง แต่ระหว่างที่จะผลักประตูให้เปิดออก เขาก็หันไปหาโน๊ตบุ๊คที่ยังคงส่งเสียงชวนให้อารมณ์คนฟังจมลงความทุกข์ตรม..เขารู้ว่ากฤษณะจะเข้มแข็งได้ในอีกไม่นาน แต่ว่าเขาจะต้องช่วยทำให้เพื่อนเข้มแข็งให้เร็วที่สุด..
และพอพันกายด้วยผ้าขนหนูผืนสีชมพูที่มัทนาเลือกให้ออกมาจากห้องน้ำ กฤษณะก็ต้องอมยิ้ม เมื่อได้ยินเพลง ‘ชิมิ’ ดังแทนเพลง สุสานหัวใจ..
“เป็นไง สบายดีแล้วใช่ไหม” กฤษณะที่นั่งเอนกายศีรษะพิงเก้าอี้ประจำตำแหน่งช่างเครื่อง อยู่บนหัวรถจักรดีเซลหันไปมองข้างทาง คำถามจากลุงพนักงานขับรถซึ่งอยู่ทีมเดียวกันดังเข้าหู แต่ว่าเสียงมันก็ผะแผ่วที่ประสาทรับรู้ เพราะเสียงเครื่องยนต์ที่อยู่ด้านหลังดังกลบเสียหมด และเขาก็ไม่จำจะต้องตอบคำถามนั้น ด้วยท่าทางหมดเรี่ยวหมดแรงแบบนี้ เป็นใครก็รู้ว่า ยังไม่พร้อมทำงาน แต่เมื่อมีภาระหน้าที่ก็ต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด..
และเมื่อพิษของสุราเริ่มจืดจางลงไป..ในห้วงความรู้สึกก็เต็มไปด้วยความหดหู่เช่นเดิม..ปากที่บอกกับเพื่อนว่าเข้มแข็งและพร้อมตัดผู้หญิงคนเดียวออกจากชีวิตหาได้เป็นอย่างนั้น ในใจมีคำถามอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไม? เกิดอะไรขึ้น? เขาอยากย้อนเวลากลับไป กลับไปหาสาเหตุที่ทำให้มัทนาเปลี่ยนไป เขาผิดตรงไหน? เขาพลาดตรงไหน? ถึงทำอะไรให้มัทนาไม่พอใจ..หรือเป็นเพราะเขามันจน เป็นเพราะเขาหล่อไม่สมบูรณ์..ก็ทั้งสองอย่างนี้ เป็นเรื่องที่มัทนารับได้ไม่ใช่เหรอ มัทนาเคยบอกกับเขาว่า จนก็ช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ขอให้รักกันเชื่อกัน และคิดสานอนาคตไปด้วยกัน ส่วนรูปร่างของเขานั้นถึงเขาจะหน้ายาวเแก้ม ตอบ แต่มัทนาก็มองเห็นว่า ดวงตาของของเขานั้นมีชีวิตชีวา ยามเมื่อเขายิ้มตาของเขาจะยิ้มด้วย แต่ถ้าเขาโกรธหรือมีโมโหตาของเขาจะดุมาก แต่มัทนาก็ไม่กลัว..จมูกของเขาเล่า มัทนาก็ว่าโด่งเป็นสัน และมัทนาก็ชอบที่จะขบปลายจมูกของเขาในยามที่เขาหลับไหลอยู่เคียงกัน..
กฤษณะสูดลมหายใจเข้าปอด ลมหายใจนี้เขาเคยแบ่งปันอากาศกันหายใจ ริมฝีปากหนาของเขาเคยบดขยี้กับปากบางบวมอิ่มปลายลิ้นสัมผัสดูดซับรสหวานของอารมณ์รัก กลิ่นปากของเขาเป็นกลิ่นที่หอมชื่นใจเพราะว่า มัทนาให้เขาไปหาหมอรักษารากฟัน ขูดหินปูน และก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์กัน เขาจะต้องแปรงฟัน อมน้ำยาบ้วนปากและหลังกินข้าวทุกมื้อ ถ้ามีโอกาสแปรงฟันเขาจะรีบแปรงทันที เหล้าหรือบุหรี่ทำให้มีกลิ่นปาก มัทนาไม่ชอบ เขาอาบน้ำทั้งเช้าและเย็นและทุกครั้งที่รู้สึกว่าตัวเหนียว ผิวที่เคยหยาบกร้านเขาใช้โลชั่นที่มัทนาหามาให้ชะโลม และลายสักที่ตัวของเขานี้ มัทนาก็หลงไหลมันเป็นอย่างมาก เธอชอบลูบไล้ไล่ดอมดม มันทำให้เธอรัญจวนเหมือนกับที่เขาหลงไหลในปลายลิ้นและลมหายใจเบา ๆ จากโพรงจมูกของเธอ...แต่ว่าบัดนี้มัทนาไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า..อุมารินทร์บอกกับเขาว่า ไอ้ฝรั่งนั่นมันรวยมากมันชอบมัทนา มากมันอยากให้ไปอยู่กับมันที่อิตาลี และมัทนาก็ตกลงใจไปกับมัน..เพียงเพราะมันรวยมาก..
นึกถึงจุดจบของชีวิตรักของเขาแล้วกฤษณะก็ขบกรามจนแน่น..
“ไอ้นะ” เสียงของลุง พขร. ดังขึ้นกว่าเดิม
“ครับ..” เขาลืมตาขึ้น..แล้วเห็นว่าหัวรถจักรถึงสถานีหัวลำโพงแล้ว เขาสะดุ้งเฮือกหยัดตัวตรง หน้าที่ของช่างเครื่องที่ประจำอยู่บนหัวรถจักรนั้นเมื่อรถถึงสถานีปลายทาง เขาจะต้องลงจากรถไปตัดท่อลม
แต่ว่าวันนี้พอเขาเปิดประตูและกระโดดลงจากรถไปแล้ว อาการผะอืดผะอมก็หวนกลับมา ลมในกระเพราะถูกตีขึ้น เขารู้สึกอยากอาเจียน กฤษณะหันซ้ายหันขวา ใจหนึ่งเขาก็นึกอยากจะคายของเก่าที่ข้างราง แต่อีกใจเขาก็น่าจะประคองตัวเองไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลได้..เขาตัดสินใจทำตามความต้องการความรู้สึกสุดท้าย แต่เมื่อใช้มืออุดปากเดินกึ่งวิ่งไปทางยังห้องน้ำ เขาก็ชนโครมกับผู้โดยสารหญิงคนหนึ่งที่กำลังเร่งรีบเดินออกจากชานชลาเขาเองก็ผงะไปข้างหลัง และที่เขารู้ว่าคนที่เขาชนเป็นผู้หญิงเพราะเจ้าหล่อนร้องว๊ายแล้วล้มลงไป แต่ว่าเขาก็ไม่มีเวลาพอจะไปรั้งเธอให้ลุกขึ้น หรือว่าขอโทษขอโพย.. จุดหมายของเขาคือห้องน้ำ...และไอ้เรื่องทำตัวไร้มารยาททางสังคมแบบนี้ ใช่ว่าเขาไม่เคยเสียเมื่อไหร่...
ด้วยเร่งรีบจะออกจากชานชลาไปยังป้ายรถเมล์เพื่อขึ้นรถสาย 15 ไปยังถนนสีลมซึ่งเป็นตั้งของสำนักงานใหญ่ เมขลาที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินจึงชนโครมให้กับร่างผอมสูงของพนักงานการรถไฟฯที่ผลุนผลันหมุนตัวออกจากข้างรถแล้ววิ่งตัดหน้าเธอไป..และผลจาการชนกันทำให้จมูกของเมขลาปะทะเข้ากับข้อศอกด้านซ้ายของคนที่วิ่งลนลานไปยังห้องน้ำ
แรกทีเดียวเมขลาคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมาก แต่พอตั้งหลักและเดินไปได้เพียงนิด คนที่เดินสวนทางกลับมาก็ทำหน้าตกใจ และเมขลาก็รู้สึกได้ว่ามีน้ำไหลลงมาที่ปากและพอใช้หลังมือแตะซับ เมขลาก็เห็นเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากจมูก..ความโกลาหลเกิดขึ้น พลเมืองดีซึ่งเป็นผู้หญิงสองคนรีบประคองเธอเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ด้านหน้าชานชลาที่ 9 กระดาษทิชชู่ถูกดึงจากกระเป๋ามาซับเลือดที่ไหลซึมออกมา..
เมขลานั่งอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ พลเมืองดีสองคนรีบขอตัวขึ้นรถไปทำงาน และต้นเหตุที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าอิดโรยดวงตาของเขาแดงก่ำเหมือนคนอดหลับอดนอน
“คนนี้แหละที่มึงชนเขาจนเลือดกำเดาไหล” เพื่อนพนักงานที่เห็นเหตุการณ์ไปบอกกฤษณะในห้องน้ำ และพอตั้งหลักได้เขาก็เดินตามคนแจ้งเหตุออกมา..และเมื่อเห็นว่า คนที่นั่งอยู่ตรงหน้ามีสีหน้าซีดเผือดจมูกแดง ตัวสำนึกผิดก็เกิดขึ้นในใจของเขา..
“เป็นอะไรมากไหมครับ..ไปหาหมอไหม”
“มึงก็ขอโทษเค้าซิ”
“กูขอแน่..” กฤษณะหันไปดุให้เพื่อนที่ดูเหมือนจะให้เขา ‘หลี’ สาวตรงหน้ามากกว่าตามมาให้ขอโทษ
จากใจจริง
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“ต้องไปหาหมอไหม” กฤษณะถามซ้ำอีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็เห็นว่า เจ้าหล่อนปรายตามองเขาเพียงนิดยกกระจกส่องหน้าสูดจมูกแรง ๆ สองสามครั้งก่อนจะตอบด้วยเสียงที่แผงไว้ด้วยความโกรธว่า
“คงไม่ต้องหรอก แค่เลือดกำเดาไหล..”
“ถ้างั้น.. ผมขอโทษนะครับ..”
“คุณคงไม่ได้ตั้งใจ”
“อุบัติเหตุแน่นอนครับ”
“ค่ะ..” ว่าแล้วเมขลาก็ลุกขึ้น แต่จะเป็นด้วยนั่งนานหรือว่าเสียเลือดไปเมื่อครู่ก็ยากสรุป.. เมขลาก็หน้ามืดซวนเซจนเขาต้องรีบเข้าไปประคอง แต่มันก็มันไม่ใช่แค่เขาคนเดียว เพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ ก็เหมือนจะกลัวว่าเธอจะล้มลงไปด้วย มือผู้ชายสองคนที่จับต้องเนื้อตัวของเธอ แม้จะมั่นใจว่าพวกเขาต้องการช่วย แต่ลึก ๆ เมขลาก็รู้สึกว่า พวกเขากำลังฉวยโอกาส..
“ปล่อยฉันนะ..”
“ก็คุณจะล้ม..”

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ธ.ค. 2554, 09:19:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2554, 11:27:38 น.
จำนวนการเข้าชม : 2768
<< 1.กฤษณะ | 3.วิจิตรศรา >> |

จุฬามณีเฟื่องนคร 29 ธ.ค. 2554, 09:20:50 น.
ขอไลน์ให้กำลังใจนักเขียนหน่อยนะครับ เรื่องนี้ จะลอง เขียนไปโพสต์ไปดู..ลองปรับวิถีทำงานครับ...เห็นคำผิดช่วยบอกด้วยนะครับ
ขอไลน์ให้กำลังใจนักเขียนหน่อยนะครับ เรื่องนี้ จะลอง เขียนไปโพสต์ไปดู..ลองปรับวิถีทำงานครับ...เห็นคำผิดช่วยบอกด้วยนะครับ

Zephyr 29 ธ.ค. 2554, 11:05:08 น.
อ่านแล้วมีความรู้สึกสงสารพี่นะอ่ะ แบบไม่รู้ว่าตัวเองทำไรผิด แล้วโดนบอกเลิกเพราะเห็นอีกคนรวยกว่า คงเจ็บปวดพิลึกเนอะ แต่ถ้ารู้ว่าถูกบอกเลิกเพราะแฟนเชื่อหมอดู หนูนาจะตายมั้ยอ่ะคะ
อ่านแล้วมีความรู้สึกสงสารพี่นะอ่ะ แบบไม่รู้ว่าตัวเองทำไรผิด แล้วโดนบอกเลิกเพราะเห็นอีกคนรวยกว่า คงเจ็บปวดพิลึกเนอะ แต่ถ้ารู้ว่าถูกบอกเลิกเพราะแฟนเชื่อหมอดู หนูนาจะตายมั้ยอ่ะคะ

nateetip 29 ธ.ค. 2554, 12:16:00 น.
ส่งกำลังใจให้หนึ่งค่ะ..:)
ส่งกำลังใจให้หนึ่งค่ะ..:)

แว่นใส 29 ธ.ค. 2554, 12:39:32 น.
น่านซิ
น่านซิ



รอให้เป็นเล่ม 29 ธ.ค. 2554, 13:52:14 น.
อยากจะกดไลค์ให้เป็นร้อยหน แต่มันกดได้แค่หนเดียวเองอ่ะจิ
อยากจะกดไลค์ให้เป็นร้อยหน แต่มันกดได้แค่หนเดียวเองอ่ะจิ

Niceday 29 ธ.ค. 2554, 15:29:05 น.
อยากดูดวงกับหมอดูแม่นๆอย่างนี้บ้างจัง
อยากดูดวงกับหมอดูแม่นๆอย่างนี้บ้างจัง


nutcha 29 ธ.ค. 2554, 20:50:31 น.
มากดไลท์ให้อีกหนึ่งคนค่ะ น่าสงสารนะที่โดนทิ้งโดยไม่รู้ตัว
มากดไลท์ให้อีกหนึ่งคนค่ะ น่าสงสารนะที่โดนทิ้งโดยไม่รู้ตัว

minafiba 29 ธ.ค. 2554, 21:18:02 น.
^_^
^_^

loveleklek 29 ธ.ค. 2554, 22:13:34 น.
โหเขียนไปโพสต์ไป เหนื่อยนา
โหเขียนไปโพสต์ไป เหนื่อยนา

innam 7 ม.ค. 2555, 16:53:09 น.
ตามเป็นกำลังใจ
ตามเป็นกำลังใจ

ปิลันธน์ 20 ม.ค. 2555, 20:17:58 น.
อกหัก! เพื่อนช่วยได้ 'ชิมิ' 555
ลมในกระเพราะ> กระเพาะ
---ขอบคุณที่ทิ้งกัน ทำให้ฉันได้มาเจอกับคนที่ใช่(กว่า)---กฤษณะ สู้ๆ ^^V
อกหัก! เพื่อนช่วยได้ 'ชิมิ' 555
ลมในกระเพราะ> กระเพาะ
---ขอบคุณที่ทิ้งกัน ทำให้ฉันได้มาเจอกับคนที่ใช่(กว่า)---กฤษณะ สู้ๆ ^^V