14ปีฤารักนี้คือนิรันดร์
พรไพลิน หญิงสาวนัตย์ตาหวานอมเศร้าซึ่งเคยมองโลกในแง่ดีนั้น กลับต้องกลายเป็นคนที่หม่นหมองเพราะสูญเสียคนที่ตนรักไปในอุบัติเหตุถึงสองคน แต่เธอก็ยังมีกำลังใจเพราะยังมีผู้ชายที่ตนเองรักและผูกพันตั้งแต่วัยเด็กอย่างเตชินท์ คนที่เธอเปรียบเขาเหมือนกับเทพบุตรที่อยู่บนฟากฟ้า

ทว่าวันหนึ่งชะตากลับเล่นตลกกับคนทั้งคู่ เมื่อเตชินท์ไปเรียนต่อเมืองนอกจนจบปริญญาโท และกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง แต่สาวน้อยคนที่รักและบูชาเขาอยู่เสมอ สาวน้อยที่เขาบอกตัวเองว่าต้องคอยปกป้องเธอ กลับหนีไปอยู่ข้างๆ พี่ชายต่างมารดาของตนเองแทน

14 ปีแห่งความรักของคนทั้งคู่จึงดูเหมือนใกล้จะอับปางลง ทว่าอุปสรรคก็คือบทพิสูจน์รักแท้ เพราะในที่สุดเตชินท์ก็พบว่าการที่น้ำรินต้องมาอยู่ข้างๆ พี่ชายของเขาในปัจจุบันนั้น เป็นเพราะเรื่องราวที่มีเงื่อนงำ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ชายหนุ่มจึงทำทุกวิถีทางที่จะได้เธอคืนมา!

***อ่านเรื่องย่อคลิ๊กที่รูปค่ะ สั่งซื้อติดแพรพริมาทางจดหมายน้อยด้ายซ้ายมือนะคะ
Tags: โรแมนติกเข้มข้น ความรัก ความผูกพัน

ตอน: 1.

ตอนที่ 1 ความสุขที่บินลงมาหา



เวลาเที่ยงวันของบ้านดอยดอกไม้ อำเภอแม่มาลัย จังหวัดเชียงใหม่ แม้จะมีลมเย็นๆ พัดอยู่ตลอดเวลา แต่อากาศก็แสนแห้ง พาให้ผิวขาวๆ บอบบางของสาวรุ่นวัย 17 ย่างเข้า 18 ปี ในชุดเสื้อกางเกงสีดำซึ่งกำลังเดินเรื่อยๆ ออกมาจากวัดแห่งหนึ่งกลายเป็นสีชมพูจัด

“ริน น้ำริน”

เสียงมอเตอร์ไซด์พร้อมเสียงเรียกดังขึ้นด้านหลังแต่ก็ยังไม่ทำให้สาวน้อยที่ถูกเรียกสนใจหรือออกจากภวังค์ นัยน์ตาโตสีดำของเธอยังดูหม่นหมอง ขนตางอนยาวหลุบลงต่ำคล้ายไม่อยากจะลืมขึ้น ใบหน้ารูปไข่ก้มลงเหมือนกลัวว่าใครจะเห็นหยาดใสๆ ที่ยังคลออยู่ไม่จางหาย จวบจนมอเตอร์ไซด์สีชมพูคันนั้นจอดกั้นขวางหน้า

“น้ำริน!”

ใบหน้าสวยของคนที่โดนเรียกเงยขึ้น หัวคิ้วเรียวยังขมวดชนกันอยู่เล็กน้อยเหมือนพยายามกลั้นหยาดน้ำที่กำลังคลอเบ้า ริมฝีปากสีชมพูอิ่มนั้นค่อยๆ เรียกเพื่อนสาว

“ณา”

“ใช่ฉันเอง นี่เธอกำลังจะกลับบ้านเหรอ” ณาหรือปวีณามองใบหน้าหม่นๆ ของเพื่อนก่อนขมวดคิ้วถาม

ปกติน้ำรินหรือพรไพลินนั้นเป็นคนที่มีรอยยิ้มที่สดใสมองโลกในแง่ดีและชอบให้กำลังใจคนอื่นเสมอ แต่ปวีณาคิดว่าตั้งแต่น้าพิมพ์พาตายความสดใสของเพื่อนเธอนั้นแทบจะเลือนหายไปจนตอนนี้พรไพลินดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัวเสียแล้ว

“อื้ม” คนโดนถามทำเสียงในลำคอ พร้อมเมินสายตาก่อนก้าวเลี่ยงรถมอเตอร์ไซด์สีชมพูไปด้วยท่าทางเลื่อนลอยเหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจ ปวีณาจึงรีบวิ่งไปคว้าแขนเพื่อนรัก

“มานี่! ไปกับเรา”

“ทำไมล่ะ จะพาเราไปไหน” พรไพลินขมวดคิ้วน้อยๆ ทำให้ปวีณาอดไม่ได้ที่จะค่อน

“ไม่พาไปหมกป่าหรอกน่า ทำไมล่ะ ต้องรีบกลับไปรับหน้าญาติสองคนของเธอหรือไง”

“ประชดหรือไงเนี่ย” คนฟังส่ายหน้าน้อยๆ “วันนี้ลุงเชาวน์กับพี่ดาไม่อยู่หรอกเพราะไปงานแต่งงานที่ปาย เราก็เลยปิดร้าน ถ้าณาจะไปส่งก็ไม่ต้องหรอกนะเพราะเราจอดรถจักรยานไว้ข้างหน้านี่เอง”

พรไพลินชี้ไปทางหน้าวัดและพูดถึงร้านดอกไม้ริมทางหลวงซึ่งเป็นบ้านของเธอ อีกทั้งยังเอ่ยถึงสุเชาว์ผู้ที่มารดาบอกว่าเป็นญาติห่างๆ และลูกติดของเขาซึ่งอายุมากกว่าเธอหลายปีชื่อยลรดา โดยญาติทั้งสองนั้นย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับเธอหลังจากพ่อตายโดยอ้างว่ากลัวพิมพ์พาซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวต้องโดดเดี่ยวอยู่กับลูกตามลำพัง

“ไม่น่าเชื่อเลย ปกติตั้งแต่น้าพิมพ์เสียไม่เคยเห็นสองคนพ่อลูกนั่นไปไหนไกลนี่ แต่ก็...ดีแล้วที่ไม่มีใครอยู่” ปวีณาทำเสียงฟึดฟัดนิดหน่อยเมื่อพูดถึงคนที่บ้านของพรไพลิน

“พูดแล้วก็สงสัย...ฉันขอถามอีกทีเถอะริน สองคนนั่นเป็นญาติเธอจริงๆ เหรอ”

“ก็...พ่อกับแม่เป็นคนบอกเราว่าอย่างนั้น...ทำไมจะไม่จริงล่ะ”

พรไพลินตอบเรื่อยๆ เหมือนคนที่ไม่อยากใส่ใจอะไร ท่าทางแบบนั้นทำให้ปวีณาต้องส่ายศีรษะ ด้วยไม่ชอบขี้หน้าสองพ่อลูกนั่นเป็นอย่างมากเนื่องจากชายมีอายุคนนี้มีสายตาหลุกหลิกไม่ค่อยสบตาคนอื่น แถมเธอก็ยังเคยแอบได้ยินพวกผู้ใหญ่คุยกันว่าเมื่อตอนที่สมพลพ่อของพรไพลินตาย สุเชาวน์ซึ่งกำลังลำบากอย่างหนักเพราะถูกไล่ออกจากงานก็รีบเสนอตัวย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของพิมพ์พาแถมยังชอบทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของบ้าน รวมทั้งยลรดาลูกสาวของเขาก็เป็นคนที่พูดจาไม่ค่อยเข้าหูคนนัก

“บอกตรงๆ นะริน ว่าฉันไม่ชอบลุงเชาว์กับพี่ดาเลย นี่ถ้าเป็นไปได้นะฉันอยากจะชวนเธอไปอยู่ด้วยกันที่ใต้มากกว่า” ปวีณากำลังย้ายตามบิดาซึ่งเป็นครูไปอยู่จังหวัดทางภาคใต้จึงอดเป็นห่วงเพื่อนสาวที่ตอนนี้เสมือนเหลืออยู่ตัวคนเดียวไม่ได้แต่ในฐานะคนที่มองโลกในแง่ดีพรไพลินจึงไม่คิดแบบนั้น

“พี่ดาเขาก็เป็นคนแบบนั้นแหละ พูดอะไรไม่ค่อยคิด อย่าถือเลย แล้วถึงยังไงเราก็คงไม่ไปไหนหรอก”

สาวน้อยแตะมือของเพื่อนเบาๆ เพราะถึงยลรดานั้นจะพูดจาขวานผ่าซากและลุงเชาวน์ก็ค่อนข้างตามใจลูกสาว แต่เขาก็ยังผู้ที่ช่วยดูแลกิจการร้านดอกไม้และสวนของเธอมาตลอด อีกทั้งบ้านสองชั้นสวยกระทัดรัดและร้านดอกไม้ริมทางแห่งนี้ก็เป็นบ้านของพ่อกับแม่ ทุกครั้งที่เธอมองเห็นมันเธอก็จะต้องเห็นภาพความอบอุ่นในอดีตเหล่านั้นทุกครั้งไป ฉะนั้นคงเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่งถ้าเธอคิดจะจากที่นี่ไป

“เฮ้อ! ยัยรินเอ๊ย เธอชอบทำใจเย็นแบบนี้อยู่เรื่อย มองโลกในแง่ดีเกินรู้ไหม” ปวีณาพูดอย่างไม่ได้ดั่งใจ พรไพลินจึงยืนยันอีกครั้ง

“ที่เราใจเย็น...ก็เพราะยังไงเขาก็เป็นลุง...เป็นพี่...และยิ่งตอนนี้พวกเขาก็เป็นญาติแค่สองคนที่เรารู้จักแล้วเราก็เจอแต่เรื่องร้ายๆ มาเยอะแล้ว เราต้องเสียทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่เพิ่งอยู่ม.6 คงไม่มีอะไรร้ายไปกว่านี้แล้วล่ะ”

พรไพลินนิ่งลงเล็กน้อยเมื่อพูดอย่างนั้นเพราะคนที่มีญาติวงศ์ว่านกอมากมายอย่างปวีณาคงไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่เธอกำลังเป็นอยู่นี้เรียกว่าอะไร มันอ้างว้าง หว้าเหว่ เสมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลก ต่อไปนี้ใครจะคอยรับฟังยามเธอมีปัญหา ใครจะมาคอยแบ่งปันความสุขยามดีใจ เพราะตลอดชีวิตของเธอนั้นพ่อแม่คือคนที่เคียงข้างตนเองมาตลอด



‘รินๆ น้าพิมพ์เสียแล้วนะ ลุงเชาวน์เอาศพไปไว้วัดแล้ว’

ประโยคที่ปวีณาบอกเมื่อไม่นานนี้ทำให้แดดจ้ายามบ่ายโมงนั้นแทบอับแสงลงทันควัน มือบางของพรไพลินที่กำลังจับจักรยานอยู่นั้นแทบหมดแรงและปล่อยมันล้มลงทีเดียว

‘อย่ามาล้อเล่นนะณา’

เธอส่งเสียงสั่นๆ ถามปวีณาอย่างไม่อยากเชื่อ ก็เมื่อเช้าแม่ยังคุยเรื่องเรียนต่อกับตนเองอยู่เลย ทว่าเมื่อเห็นหน้าเสียๆ ของเพื่อน หญิงสาวก็แทบจะสิ้นสติ เธอจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าไปถึงวัดได้อย่างไร

‘ทำใจดีๆ นะหนูริน’ ลุงเชาวน์แทบจะโอบกอดสาวน้อยเอาไว้เมื่อพรไพลินปรากฏตัวที่ศาลาวัด

‘เกิดอะไรขึ้น นี่มันเรื่องอะไรกันแน่คะ’ พรไพลินจำได้ว่าเธอถามออกไปอย่างนั้น ลุงเชาวน์จึงรีบอธิบายเรื่องราวให้ฟัง

‘ก็วันนี้ไม่มีใครอยู่...หนูน้ำรินก็ไปไหนไม่รู้...ทีนี้แม่พิมพ์พาคงจะขึ้นไปเอาของบนบ้าน หนูก็รู้ว่าหมู่นี้แม่หนูไม่ค่อยแข็งแรงนัก เป็นลมบ่อยๆ” ลุงเชาวน์เล่าพลางถอนหายใจอย่างเศร้าโศก “เมื่อบ่ายนี้ลุงกลับมาจากตลาด...พอกลับถึงบ้าน...ก็เห็นแม่พิมพ์พานอนตายอยู่ตีนบันไดคงเป็นลมหรือก้าวพลาด หมอบอกว่าหัวฟาดพื้นคอหักตายคาที่เลย...’

‘แม่!’ เมื่อตระหนักแล้วว่าเรื่องราวที่ได้รับฟังและสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่ภาพลวงตา พรไพลินก็ร้องเรียกมารดาเสียงดังลั่นพลางสะบัดมือหยาบหนาของสุเชาวน์ที่จับแขนตนเองไว้ก่อนวิ่งเข้ากอดศพพิมพ์พาร้องห้สะอึกสะอื้นปิ่มว่าจะขาดใจ



“ริน น้ำริน!” ปวีณาเรียกเพื่อนรักถึงสองครั้งกว่าอีกฝ่ายจะออกจากภวังค์ “วันนี้ฉันมีข่าวดีมาบอกด้วยล่ะ รับรองว่าเธอต้องดีใจ”

“ดีใจเหรอ” พรไพลินทำเสียงเหมือนไม่อยากเชื่อเพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาตนเองแทบจะลืมความหมายของคำๆ นี้ไปแล้ว

“แน่นอน!” ปวีณายืนยันพลางยิ้ม “ถ้ารินไม่ต้องรีบกลับบ้านก็ดีแล้วล่ะ ซ้อนท้ายรถสิจะพาไปที่ๆ หนึ่ง”

หลังจากพรไพลินซ้อนท้ายจักรยายนต์สีชมพูน่ารักคันนั้น ปวีณาก็ขี่พาเพื่อนสาวเข้าไปยังบริเวณรีสอร์ทหรูหราชื่อดอยดอกไม้รีสอร์ทซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

“จะพาไปไหนน่ะณา”

คนซ้อนอดแปลกใจไม่ได้จึงถามอยู่หลายครั้งแต่คนขี่มอเตอร์ไซด์ก็ไม่ยอมบอกจนกระทั่งรถแล่นอ้อมออกด้านหลังรีสอร์ทและขึ้นเนินไป ต่อจากนั้นไม่นานนักปวีณาก็จอดรถบริเวณทุ่งป่าบัวตองสีเหลืองอร่าม

“ถึงแล้ว ลงสิ” คนพามารีบไล่เพื่อนลงตรงร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ตอนนั้นเป็นช่วงบ่ายแล้วแสงแดดจึงแรงกล้าทว่าบนเขาเช่นนี้ลมเย็นแรงๆ ยังพัดอยู่ตลอดเวลาทำให้ไม่รู้สึกร้อนเลยถ้าอยู่ในที่ร่ม

“แล้วไหนล่ะเรื่องน่าดีใจที่เธอบอก” พรไพลินถามอย่างสงสัย แต่ครั้นสองเท้าของเธอเหยียบลงบนพื้น ปวีณากลับกดสตาร์ทรถมอเตอร์ไซด์และขับหนีจากไปทันที

“ณา ณา!” พรไพลินร้องเสียงหลง คิ้วเรียวขมวดมุ่น ดวงตาโตมองตามหลังเพื่อนไปอย่างไม่เข้าใจ จวบจนมีเสียงทุ้มๆ ถามขึ้นจากด้านหลัง

“น้ำริน...แล้วจะกลับยังไงล่ะทีนี้”

พรไพลินหันขวับมาทันที เธอมองชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อวอร์มยี่ห้อดังและกางเกงสีดำก่อนถอยหลังหนีด้วยสัญชาตญาณ คนที่ยืนจึงหัวเราะหึๆ ในลำคอ มุมปากหยักยกขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลคมแต่อ่อนละมุนนั้นมีแววอ่อนโยนจนสาวน้อยต้องพินิจคนตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง

“คุณ!.คุณคือ...พี่ชิน”

พรไพลินรู้สึกว่าโลกอันหม่นหมองของเธอสว่างสดใสขึ้นวูบหนึ่ง ความรู้สึกนั้นเต็มตื้อจนร้อนผ่าวขึ้นมาถึงจมูกและหัวตา ถ้าจะร้องไห้อีกครั้งคราวนี้คงเป็นเพราะความดีใจอย่างที่ปวีณาบอกจริงๆ มากกว่า

“พี่ชินจริงๆ ใช่ไหมคะ”

เนื่องจากครั้งสุดท้ายที่เจอเขาคือเมื่อ 3 ปีที่แล้ว พรไพลินจึงต้องถามเช่นนั้นแม้ตอนนี้จะแน่ใจเหลือเกินว่าเขาคือคนที่ตนเองคิดถึงเสมอมา ดวงตาสีน้ำตาลคมซึ่งอ่อนโยนและมีเสน่ห์ยามยิ้มของเตชินท์นั้นไม่เคยเลือนไปจากใจของเธอเลย

“ยังร้องไห้เก่งเหมือนเดิมเลยนะ” เตชินท์ซึ่งเป็นหนุ่มร่างสูงในวัย 20 เดินเข้ามาใกล้ก่อนพูดล้อๆ เสียงต่อว่านั้นทำให้พรไพลินขมวดคิ้วมองเขาพลางพึมพำ

“ใช่พี่จริงๆ ด้วย”

“ไม่เจอกันตั้งหลายปี รินทักทายพี่ด้วยน้ำตาแบบนี้น่ะหรือ” เตชินท์ถามยิ้มๆ แม้จะรู้จากปวีณาแล้วว่าแม่ของพรไพลินเพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน แต่เขาก็อยากให้พรไพลินเลิกจมอยู่กับความเศร้า เพราะวัย 17 ปีของเธอนั้นยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ทำให้ต้องขนขวาย

“รินไม่ได้ตั้งใจ” พรไพลินหายใจเข้าช้าๆ ก่อนแก้ตัว “เวลาน้ำตาจะไหลมันห้ามได้ทีไหนกันล่ะคะ ถ้ารินอยากร้องไห้รินก็จะร้องใครจะมามัวเก็บมันเอาไว้ ใครจะเก็บความรู้สึกเก่งเท่าพี่ชินกัน...”

“กลายเป็นพี่ผิดจนได้สินะ” เตชินท์ถามยิ้มๆ พร้อมมองขอบตาแดงๆ ของสาวน้อยอย่างจริงจัง “แต่แบบนี้น่ะ คงไม่ใช่เพิ่งร้องหรอกใช่ไหม”

ฟังน้ำเสียงอ่อนโยนนั้นแล้ว พรไพลินก็ก้มหน้าลงทันที ไม่ใช่เพราะว่าเธอชอบบีบน้ำตาเรียกร้องความสนใจหรอกเพียงแต่ว่าอารมณ์ รัก ชอบ โกรธ เสียใจ นั้น หญิงสาวมักไวกับความรู้สึกพวกนี้จนบางครั้งเธอเองก็นึกโกรธตัวเอง

“พี่เสียใจด้วยนะ” เตชินท์บอกเบาๆ พรไพลินจึงพยักหน้ารับคำเขา ก่อนไม่ยอมพูดอะไรอีกนอกจากนั่งลงที่ขอนไม้ใหญ่ใต้ร่มไม้นั้น

ร่างสูงจึงนั่งลงข้างๆ และชวนคุยเรื่องอื่น “ไม่ถามเหรอว่าพี่มาได้ยังไง หรือว่าหายไปไหนมา”

คำถามนั้นทำให้พรไพลินต้องมองใบหน้าคมของคนข้างๆ ก่อนสั่นศีรษะเล็กน้อย “รินไม่มีสิทธิ์ถามหรอกค่ะ...แค่เห็นพี่กลับมารินก็ดีใจแล้ว”

พรไพลินเจอกับ ‘เตชินท์ นิวัฒน์กุล’ ครั้งแรกเมื่อเธออายุ 9 ขวบและตอนนั้นเขามาพักผ่อนกับครอบครัวที่รีสอร์ทแห่งนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มขี่จักรยานเล่นและเจอพรไพลินกำลังโดนเด็กรุ่นพี่สองคนซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเตชินท์ไถเงินค่าดอกไม้ที่เพิ่งไปเก็บมา

‘เก่งแต่กับเด็กผู้หญิงไม่มีทางสู้หรือไง’

เธอจำท่าทางที่เด็กชายวัยรุ่นอายุประมาณ 12 ปีในชุดวอร์มราคาแพงซึ่งยืนตระหง่านและเหยียดมุมปากหยามเด็กขี้ยาสองคนนั้นได้ดี ครั้งแรกเด็กหญิงพรไพลินก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเด็กหนุ่มหน้าตาดีผิวพรรณสะอาดคนนี้จะมีปัญญาสู้เด็กกร้านโลกผอมสูงผิวคล้ำสองคนได้.....ทว่าเธอคิดผิดเพราะไม่นานเตชินท์ก็จับเจ้าสองคนนั้นทุ่มไม่เป็นท่าก่อนฉุดแขนพาเธอซ้อนท้ายจักรยานออกไปทันที

‘เธอชื่ออะไร’ เด็กหนุ่มถามขึ้นเมื่อหนีออกมาไกลและนั่งพักเหนื่อยอยู่ที่เนินเขาใกล้ๆ รีสอร์ท

‘น้ำรินค่ะ’ เด็กหญิงตัวเล็กๆ ถักเปียสองข้างตอบอย่างไม่มั่นใจนัก ท่าทางประหม่าๆ ของเธอทำให้เด็กหนุ่มยิ้มทั้งๆ ที่ยังหอบอยู่ ริมฝีปากหยักของเขายกขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกายอ่อนโยน และภาพนั้นก็ประทับอยู่ในใจของพรไพลินไม่เคยลืมเลือน

‘พี่ชื่อเตชินท์นะ เรียกว่าพี่ชินก็ได้’ เด็กหนุ่มบอกอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

ถึงแม้เขาจะอนุญาตให้เธอเป็นน้องสาวแต่พรไพลินก็รู้ดีว่าฐานะของเธอและเขานั้นห่างไกลกันมากนักเพราะเธอทราบดีว่าคนที่มาพักที่ดอยดอกไม้รีสอร์ทนั้นต้องมีเงินมากพอดู ทว่าเตชินท์ก็ไม่เคยทำตัวอวดว่าร่ำรวยกว่าหรือพูดอะไรให้เธอคิดมาก อีกทั้งตั้งแต่วันนั้นเขาก็จะมาพักผ่อนที่รีสอร์ทนี้บ่อยๆ และนั่นก็เป็นเวลาที่พรไพลินเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่ง 3 ปีที่แล้วซึ่งจู่ๆ เขาก็หายเงียบไปเฉยๆ

“ทำไมพูดแบบนั้น ทำไมรินจะไม่มีสิทธิ์ถาม พี่ก็เป็นคนธรรมดาเหมือนๆ กับรินนั่นแหละ ไม่ได้วิเศษกว่าตรงไหนสักหน่อย” เตชินท์เหยียดมุมปากมองทุ่งบัวตองเหลืองอร่ามก่อนบอกกับเธอ แต่พรไพลินไม่ได้คิดแบบนั้น เธอจึงส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

“ไม่จริงหรอกค่ะ พี่ชินก็เหมือนคนที่อยู่ฟ้า ส่วนรินก็แค่เด็กธรรมดาๆ แค่เห็นพี่...รินก็ดีใจแล้วล่ะ ตอนแรกรินนึกว่าพี่จะไม่มาที่นี่อีกแล้ว”

ฟังแบบนั้นเตชินท์ก็ได้ยกมือขึ้นขยี้ศีรษะอีกฝ่ายและเงียบไป เขามองสาวสวยวัย 17 ซึ่งรวบผมไว้ด้านหลังก่อนอมยิ้มน้อยๆ เพราะไม่กี่ปีมานี้เองเธอยังตัดผมม้าเต่อไว้ผมสั้นแค่คออยู่เลย

“ที่พี่ไม่มาก็เพราะมีเรื่องนิดหน่อย.....มันค่อนข้างฉุกละหุกน่ะ” เขาบอกเธอแค่นั้นซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่เซ้าซี้

“รินรู้...ว่าพี่คงมีเหตุผล...รินเคยโทรไปหาพี่ด้วย” พรไพลินอ้ำอึ้งเล่า เธอหมายถึงเบอร์โทรศัพท์ที่เขาเคยให้ตนเองไว้เมื่อหลายปีก่อน ส่วนเบอร์ที่บ้านของตนเองนั้นเธอไม่เคยให้อีกฝ่ายเพราะไม่อยากมีปัญหากับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นลุง

‘ไอ้พวกมือถือก็เหมือนกัน สิ้นเปลืองเปล่าๆ น่าหนูริน ไม่จำเป็นก็อย่าไปใช้มันเลยเชื่อลุงเถอะ’ ลุงเชาวน์เคยสอนแกมบังคับก่อนหันหน้าไปบอกแม่ของเธอเพราะรู้ดีว่าพิมพ์พาค่อนข้างเกรงใจเขา ‘พวกเด็กผู้หญิงน่ะจะมีเรื่องจำเป็นอะไรบ้านเราไม่ได้อยู่ในเมืองหรือในกรุงเทพฯ ถ้ามีธุระขี่รถมอเตอร์ไซด์แป๊ปเดียวก็เจอกันแล้ว ขืนให้ใช้โทรศัพท์เดี๋ยวพวกผู้ชายก็โทรหาไม่เว้นวัน เธอเชื่อพี่สิพิมพ์ หน้าตาดีๆ อย่างหนูรินน่ะ ต้องกันไว้ก่อนดีกว่า’

และลุงเชาวน์ก็มักให้แม่เข้มงวดกับเธอเรื่องการคบเพื่อน ด้วยเหตุนี้พรไพลินจึงมีเพื่อนสนิทอยู่คนเดียวคือปวีณาและเตชินท์ซึ่งจะมาที่นี่ปีละไม่กี่ครั้ง

“โทรหาพี่เหรอ? รินไม่เคยโทรหาพี่มาก่อนเลย”

เสียงเตชินท์ดังขึ้นขัดความคิดของหญิงสาว คิ้วเข้มของเขาขมวดเล็กน้อยอย่างแปลกใจก่อนหันมามองสาวน้อยข้างๆ ทำให้พรไพลินระล่ำระลักอธิบายด้วยความเขิน ตอนนี้อาการประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเริ่มกลับมาอีกครั้งและดูเหมือนจะมากขึ้นเสียด้วย

“ก็...เมื่อก่อนพี่มาที่นี่ทุกครั้งที่ปิดเทอม...หรือไม่ก็วันหยุด...ปีหนึ่งตั้งหลายครั้ง รินเลยไม่อยากโทรไปรบกวน...แต่นี่พี่หายไปหลายปี รินก็เลย...ก็เลย...อยากรู้...รินคิด...คิดว่า...ทำไมพี่ไม่มา”

เธอบอกเขาตะกุกตะกัก ความจริงอยากจะบอกว่า ‘รินคิดถึง’ มากกว่าแต่เวลาที่จากกันไป 3 ปีนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกว่าเตชินท์ช่างดูดีขึ้น หล่อเหลากว่าเดิมอีกหลายเท่าจนตนเองแทบจะไม่กล้าสนิทสนมกับเขาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

“ไม่ใช่เรื่องผิดสักหน่อย ทำไมต้องเขินด้วย”

ชายหนุ่มมองตอบอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน นัยน์ตาสีน้ำตาลของเขาเป็นประกาย จนพรไพลินต้องรีบหันหน้าหลบ เตชินท์จึงยิ้มก่อนบอก

“พี่ไปเรียนต่อเมืองนอกไม่ได้ใช้เบอร์เก่า แล้วรินโทรไปเจอใครล่ะ...เขาไม่ได้บอกเหรอว่าพี่ไปเรียนต่อ” ชายหนุ่มมองหญิงสาวอย่างเอ็นดู เด็กผู้หญิงที่เคยกระโดดโลดเต้นวิ่งตามเขานั้นกลายเป็นสาวสะพรั่งเสียแล้วในยามนี้ แถมยังสวยน่ารักอีกด้วย

“พอรู้ว่าไม่ใช่พี่ รินก็วางหูเลย”

พรไพลินตอบและยิ่งเขินหนักเข้าไปอีก เธอจำได้ว่าวันนั้นตนเองรวบรวมความกล้าอยู่ตั้งนานกว่าจะตัดสินใจโทรหาเขา แต่พอคนรับเป็นผู้หญิงเสียงดุๆ สาวน้อยก็ตกใจเพราะคิดว่าโทรผิดและรีบวางหูทันที

“อาจจะเป็นคุณแม่ของ....” เตชินท์ทำท่าคิดก่อนนิ่งไปครู่หนึ่ง “ตอนที่อยู่เมืองนอกโทรศัพท์ของพี่อาจจะอยู่ที่นั่น...แล้วทำไมไม่ถามล่ะ”

“...แม่ของพี่งั้นเหรอคะ” พรไพลินไม่ตอบแต่ถามอย่างแปลกใจเพราะจำได้ว่าเสียงที่ตนได้ยินนั้นออกแนวดุๆ และถึงแม้เธอจะไม่เคยเห็นพ่อและแม่ของเตชินท์อย่างชัดเจน แต่เธอก็คิดว่ามารดาของเขานั้นท่าทางจะเป็นคนใจดีมากกว่าซึ่งเตชินท์ก็ไม่ยอมตอบ สาวน้อยจึงถามต่อ

“แล้ววันนี้พวกท่านมาหรือเปล่าคะ”

“พี่อายุ 20 แล้วนะน้ำริน ไม่ใช่เด็กอายุ 12 เหมือนครั้งแรกที่เราเจอกัน” เตชินท์ตอบยิ้มๆ ทำให้พรไพลินก้มหน้าอีกครั้งอย่างเขินๆ

“รินรู้ค่ะ”

หญิงสาวยอมรับและตระหนักดีว่าเตชินท์ในวันนี้นั้นไม่ใช่เด็กชายที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยรุ่นเหมือนก่อนแล้ว แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ความรู้สึกบางอย่างที่ฝังอยู่ในใจของเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเขานั้นยิ่งชัดเจนขึ้นจนเจ้าตัวออกอาการเขินๆ มากกว่าสมัยก่อน

“ไปนั่งรถเล่นกันไหม” จู่ๆ เตชินท์ก็ชวน

วันนี้หลังจากเจอปวีณาและรู้ข่าวเรื่องแม่ของพรไพลิน ชายหนุ่มก็รู้สึกสงสารสาวน้อยผู้นี้มากขึ้น เขาเคยเจอกับพ่อและแม่ของพรไพลินเมื่อสมัยก่อนตอนที่เธอชวนไปทำบุญที่วัดด้วยกัน และรู้ดีว่าครอบครัวนี้รักกันมาก

“รถหรือคะ” สาวน้อยถามงงๆ

“อืม แต่ไม่ใช่จักรยานแล้วนะ” เตชินท์ยิ้มมุมปากก่อนดึงมือพรไพลินให้ลุกขึ้นและพาเดินไปตามถนนเลียบเขา ทำให้สาวน้อยถึงกับใจเต้นไม่เป็นส่ำ แม้ธอจะพยายามบอกตัวเองว่า เมื่อสมัยเด็กๆ นั้นตนเองก็เคยจับมือเขามากนักต่อนักแล้วและนี่คือเรื่องปกติธรรมดา แต่ไม่ว่าจะทำใจยังไงสุดท้ายก็ห้ามเสียงดังๆ ของหัวใจตัวเองไม่ได้เลยสักนิด จวบจนเขาปล่อยมือของเธอและเดินไปที่รถสปอร์ตสีขาวใหม่เอี่ยมซึ่งจอดแอบอยู่ข้างทาง

“เชิญครับคุณผู้หญิง” เตชินท์เปิดประตูด้านข้างคนขับและผายมือให้ แต่พรไพลินกลับทำท่าไม่แน่ใจในความโก้หรูของมัน

“รถ...คันนี้”

“พี่...เช่ามาน่ะ” เตชินท์ทำท่านึกเล็กน้อยก่อนบอกยิ้มๆ และสตาร์ทรถเมื่ออีกฝ่ายนั่งประจำที่แล้ว “วันนี้พี่พารินเที่ยวเองนะ เห็นณาบอกว่าไม่ต้องรีบกลับใช่ไหม”

“เอ่อ...ค่ะ” พรไพลินนึกหมั่นไส้เพื่อนสาวจอมรู้ดีของเธอนัก แต่นึกๆ ก็น่าใจหายเพราะพรุ่งนี้ปวีณาก็ต้องเดินทางไปอยู่กับบิดาที่ภาคใต้แล้ว

ทว่าในความรู้สึกจริงๆ นั้นพรไพลินก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้ตนกำลังมีความสุขที่สุดในช่วงที่ผ่านมานับตั้งแต่ต้องสูญเสียมารดาไป เพราะเตชินท์นั้นเป็นคนที่เธอให้ความไว้ใจและมอบใจให้กับเขาตลอดมา



************************************************************









แพรพริมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ธ.ค. 2554, 12:54:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ก.ค. 2555, 11:33:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 2491





   2. >>
ANNA1999 29 ธ.ค. 2554, 13:15:52 น.
จะคอยติดตามผลงานทุกๆๆ เรื่องนะคะ
ปีใหม่ 2555 ที่จะมาถึงนี้ ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง คิดทำสิ่งใดสมหวังทุกประการ และมีผลงานนวนิยายออกมาอย่างต่อเนื่องจ้า


แพรพริมา 29 ธ.ค. 2554, 13:19:36 น.
ขอบคุณมากค่ะคุณ ANNA1999 โดยเฉพาะข้อหลัง ปีนี้จะพยายามทำให้ได้จร้า


Siang 29 ธ.ค. 2554, 13:30:36 น.
ดีใจที่ได้อ่านนิยายพี่แพรค่ะ อย่าหน้าไปนานนะคะ ขอให้พี่แพรและครอบครัวมีความสุขในวันปีใหม่ค่ะ


แพรพริมา 29 ธ.ค. 2554, 13:34:28 น.
ขอบคุณค่าน้องเซี่ยง ฝนที่บ้านเลิกตกหรือยังจ๊ะ ปีใหม่นี้ไปเที่ยวไหน ดูแลสุขภาพด้วยน๊า


แว่นใส 29 ธ.ค. 2554, 14:10:06 น.
ขอบคุณค่ะ


หมูอ้วน 29 ธ.ค. 2554, 15:22:23 น.
พี่แพรหายไปนานนนน เลยนะค่ะ อย่างนี้ต้องถูกลงโทษ
ด้วยการมาอัพนิยาย ทุกวัน ฮาาาา คิดถึงมากมายค่ะ
Happy New Year ka.


Zephyr 29 ธ.ค. 2554, 17:29:04 น.
หายไปนานมากกกกกก ปล่อยให้รอและคิดถึงนิยายคุณแพร อ้าว อิอิ คิดถึงคนแต่งด้วยค่ะ ไม่ต้องน้อยใจ ^^
สวัสดีปีใหม่นะคะ ขอให้มีความสุขตลอดปีหน้าเลย
เรื่องนี้จะติดตามอย่างใกล้ชิดเลยค่ะ สัญญา


anOO 29 ธ.ค. 2554, 18:40:28 น.
ท่าทางรักครั้งนี้ อีกนานกว่าจะสมหวังล่ะมั้ง
ติดตามกันต่อไปนะค่ะ สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าเลยแล้วกัน


morisa 29 ธ.ค. 2554, 23:01:20 น.
มาเป็นกำลังใจให้แพรพริมา นางเอกเรื่องใหม่ของพี่


จิรารัตน์ 30 ธ.ค. 2554, 15:12:37 น.
มาให้กำลังใจเปสก้าของคุณลี


หนอนฮับ 3 ม.ค. 2555, 16:09:45 น.
จุ๊บๆ พี่แพร


วนัน 29 ก.พ. 2555, 14:47:05 น.
น่าสนคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account