14ปีฤารักนี้คือนิรันดร์
พรไพลิน หญิงสาวนัตย์ตาหวานอมเศร้าซึ่งเคยมองโลกในแง่ดีนั้น กลับต้องกลายเป็นคนที่หม่นหมองเพราะสูญเสียคนที่ตนรักไปในอุบัติเหตุถึงสองคน แต่เธอก็ยังมีกำลังใจเพราะยังมีผู้ชายที่ตนเองรักและผูกพันตั้งแต่วัยเด็กอย่างเตชินท์ คนที่เธอเปรียบเขาเหมือนกับเทพบุตรที่อยู่บนฟากฟ้า

ทว่าวันหนึ่งชะตากลับเล่นตลกกับคนทั้งคู่ เมื่อเตชินท์ไปเรียนต่อเมืองนอกจนจบปริญญาโท และกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง แต่สาวน้อยคนที่รักและบูชาเขาอยู่เสมอ สาวน้อยที่เขาบอกตัวเองว่าต้องคอยปกป้องเธอ กลับหนีไปอยู่ข้างๆ พี่ชายต่างมารดาของตนเองแทน

14 ปีแห่งความรักของคนทั้งคู่จึงดูเหมือนใกล้จะอับปางลง ทว่าอุปสรรคก็คือบทพิสูจน์รักแท้ เพราะในที่สุดเตชินท์ก็พบว่าการที่น้ำรินต้องมาอยู่ข้างๆ พี่ชายของเขาในปัจจุบันนั้น เป็นเพราะเรื่องราวที่มีเงื่อนงำ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ชายหนุ่มจึงทำทุกวิถีทางที่จะได้เธอคืนมา!

***อ่านเรื่องย่อคลิ๊กที่รูปค่ะ สั่งซื้อติดแพรพริมาทางจดหมายน้อยด้ายซ้ายมือนะคะ
Tags: โรแมนติกเข้มข้น ความรัก ความผูกพัน

ตอน: 2.

ตอนที่ 2 คนที่ไม่ได้สูงส่ง



เวลาสองวันที่เตชินท์อยู่เชียงใหม่เป็นสองในสามวันที่สุเชาวน์กับยลรดาไม่อยู่ ตอนเช้าปวีณาจึงคะยั้นคะยอให้ทั้งคู่ไปส่งตนเองขึ้นรถไฟในเมืองก่อนที่จะไปเที่ยวไหนต่อ

“นี่เราให้นะริน” ปวีณาส่งขวดโหลแก้วใบใหญ่ที่ใส่นกกระดาษหลายร้อยตัวให้เพื่อน ด้วยความที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กทำให้ทั้งคู่มีความผูกพันกันมาก “แล้วอย่าลืมโทรหาเราบ้างนะริน เอ๊ะ! หรือเราจะโทรก่อนดี เดี๋ยวรินแกล้งลืม”

“แหม! เราไม่มีทางลืมหรอกน่า เราสองคนเป็นเพื่อนรักกันนี่ ขอบคุณนะ มันน่ารักมากเลย ” พรไพลินบอกอย่างจริงใจ พร้อมอุ้มขวดโหลแก้วใบใหญ่ใส่นกกระดาษหลายสีนั้นไว้ก่อนกอดลาเพื่อนรัก

สองสาวร่ำลากันครู่หนึ่ง ในขณะที่ชาวบ้านที่มาส่งปวีณากับพ่อและแม่นั้นต่างพากันซุบซิบจ้องเตชินท์ยกใหญ่ ด้วยเหตุนี้พอเพื่อนสาวขึ้นรถไฟแล้วพรไพลินจึงรีบชวนชายหนุ่มออกมาจากที่นั่น ในใจก็อดหวาดๆ ไม่ได้ว่าเรื่องนี้อาจจะรู้ไปถึงหูลุงเชาวน์เนื่องจากเขาไม่ชอบให้เธอคบหาพวกผู้ชาย

วันสุดท้ายนี้เตชินท์พาพรไพลินเข้าไปกินข้าวในเวียงก่อนแวะเที่ยวสวนสัตว์ ห้างสรรพสินค้า และสุดท้ายก็หยุดไหว้พระที่วัดสีธันดรบรรพตซึ่งเป็นวัดป่าบนดอยใกล้ๆ บ้านของพรไพลิน

สองวันที่ผ่านมานี้เป็นช่วงเวลาที่พรไพลินมีความสุขจนความเศร้าความเหงาในใจนั้นเลือนหายไปกว่าครึ่ง แต่เมื่อพาเตชินท์กลับมาไหว้อัฐิของมารดา เธอก็ตระหนักขึ้นมาทันทีว่าความสุขชั่วคราวของตนกำลังจะจากไปแล้ว เมื่อเป็นอย่างนั้นบรรยากาศเงียบเหงาในวัดยามเย็นและรูปเล็กๆ ของแม่กับพ่อซึ่งติดอยู่หน้าที่เก็บเถ้ากระดูกก็ทำให้เธออดรู้สึกใจหายขึ้นมาไม่ได้

“พรุ่งนี้พี่ชินต้องกลับแต่เช้าใช่ไหมคะ”

“อืม...แล้วเย็นก็คงบินกลับเลยเพราะลงซัมเมอร์ไว้ พี่อยากเรียนให้จบไวๆ น่ะ” ชายหนุ่มบอกขณะเดินกลับมาที่รถ เขาหายใจเข้าหนักๆ เมื่อคิดถึงปัญหาบางอย่างของตนและพูดเบาๆ

“พี่ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะกลับมาอีกเมื่อไหร่”

พรไพลินพูดไม่ออกขึ้นมาทันที สำหรับเธอแล้วเตชินท์ก็เหมือนเทพบุตรที่อยู่บนท้องฟ้า ทุกๆ ปี ตนเองก็ได้แต่เฝ้ารอให้เขาบินลงมาหา และก็คงเป็นเช่นนี้ตลอดไปละมัง คงเหมือนกับที่ยลรดาเคยพูดไว้เมื่อไม่นานนี้

‘มันเป็นอาถรรพณ์แน่ๆ เลยยัยริน ใครๆ ก็อยู่กับเธอได้ไม่นาน คิดดูสิอาพลกับอาพิมพ์น่ะ ไม่เจ็บป่วยยังตายได้เลยเห็นไหม?’

พรไพลินจำได้ดีว่าอีกฝ่ายทำหน้าตาสมเพชและสงสารตนแค่ไหนตอนพูดคำนั้น ด้วยเหตุนี้ริมฝีปากสีชมพูจึงอดพึมพำสิ่งที่เธอตอบญาติสาวไม่ได้ว่า

“แต่นั่น...มันเป็นอุบัติเหตุนะ”

สิ่งที่ได้ยินทำให้เตชินท์หันมามองใบหน้าใสๆ ที่ขมวดคิ้วเรียวชนกันก่อนถามขึ้น

“รินหมายถึงอุบัติเหตุที่ทำให้แม่ของรินเสียชีวิตน่ะหรือ”

“ค่ะ...” หญิงสาววัย 17 พยักหน้าก่อนบอก “รินแค่คิดถึงเรื่องที่เคยคุยกับพี่ดาน่ะค่ะ”

“หมายถึงอะไรล่ะ...” ตอนนั้นเตชินท์กำลังเปิดประตูรถให้พรไพลินเข้าไปนั่ง ส่วนตัวเขาก็เดินไปประจำที่คนขับ

“ก็...มีคนเคยพูดกับรินว่า.....ดวงรินน่ะเป็นคนอาภัพ คนที่อยู่ใกล้ๆ รินจะต้องโชคร้ายเพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครอยู่กับรินได้นานๆ” พรไพลินบอกเขา ใบหน้าสวยนั้นนิ่วลงด้วยกำลังหมกหมุ่นอยู่กับคำพูดของยลดา

“นั่นพูดเล่นหรือไง” เตชินท์เหยียบคันเร่งออกรถและพูดอย่างไม่สนใจนัก พรไพลินจึงหันมาบอกเขาอย่างจริงจัง

“จริงๆ นะคะ แม่เคยเล่าว่าตอนย้ายมาอยู่ดอยดอกไม้ใหม่ๆ น่ะกำลังท้องแก่และไม่รู้จักใครเลย พอปวดท้องใกล้คลอดพ่อเลยต้องไปขอร้องลุงเชาวน์ให้ช่วยยืมรถคนแถวนั้นมาพาไปโรงพยาบาลเพราะรู้จักแกอยู่คนเดียว แถมรินก็คลอดยาก ตอนคลอดน่ะแม่กับรินเกือบตายไปด้วยกันทั้งคู่ แล้ว พอมาถึงตอนนี้...พ่อกับแม่ของรินท่านก็ต้องมาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทั้งสองคนอีก”

ยิ่งพูดยิ่งคิดเด็กสาววัย 17 ก็ยิ่งขมวดคิ้ว แต่พอหันไปมองคนขับแล้วเห็นว่าเตชินท์ไม่มีทีท่าจะเห็นด้วย โดยดวงตาคมสีน้ำตาลของเขายังมองไปเบื้องหน้าไม่ยอมโต้ตอบ พรไพลินก็รีบเล่าต่อเพราะไม่อยากให้เขาคิดว่าตนเองพูดเล่น

“พี่ชินคิดดูสิคะว่าทำไมพ่อของรินต้องขับรถไปที่นั่นตอนที่มีสิบล้อแหกโค้งมาพอดี แล้วยังจะแม่ของรินอีก ทำไมท่านถึงอยากขึ้นไปเอาของบนห้องตอนรินไม่อยู่ ทั้งๆ ที่ท่านไม่เคยขึ้นชั้นบนในตอนบ่ายเลย ทำไมแม่ไม่รอให้รินกลับมาก่อนล่ะ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าดวงรินเป็นคนอาภัพคนที่อยู่ใกล้ๆ ถึงต้องโชคร้าย ต้องจากรินไปหมด”

คนขับรถได้ฟังก็เหยียดมุมปากพร้อมส่ายหน้าน้อยๆ คนเล่าเลยเริ่มฉุน

“พี่ชินอย่าทำเหมือนเป็นเรื่องตลกสิคะ รินพูดจริงๆ นะ รินว่า...”

“น้ำริน!”

เตชินท์ขัดขึ้นด้วยเสียงดังก่อนหักรถเข้าข้างทาง ตอนนั้นค่ำแล้วและก็ใกล้ถึงเขตชุมชนซึ่งมีแสงไฟและร้านค้าประปราย ชายหนุ่มจึงมองเห็นดวงหน้าใสแต่หม่นหมองของคนที่พูดชัดเจน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

“พี่ไม่รู้หรอกนะว่าคนที่บอกรินแบบนี้น่ะมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ แล้วสิ่งไหนเป็นตัวกำหนดว่าพ่อหรือแม่ของรินจะต้องเสียชีวิตเพราะอะไร แต่รินไม่ควรคิดอะไรแบบนี้! เลิกโทษตัวเองในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเสียทีเพราะมันไม่มีเหตุผลเลยซักนิด เป็นไปได้ยังไงที่คนๆ หนึ่งจะสามารถกำหนดให้คนอื่นตายหรืออยู่ได้” เตชินท์ขมวดคิ้ว ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกาย และพูดเสียงเข้มอย่างจริงจัง

“ฟังพี่นะน้ำริน! เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่มันเป็นแค่อุบัติเหตุไม่เกี่ยวกับรินเลยสักนิด แล้วรินก็ควรเลิกคิดเรื่องพวกนี้ได้แล้วเพราะสิ่งที่รินต้องทำในตอนนี้ก็คือการคิดเรื่องเรียนต่อ รินคิดเรื่องนี้หรือยัง ทุกๆ วัน แทนที่รินจะไปนั่งร้องไห้เศร้าเสียใจอยู่ที่บ้านหรือที่วัด ก้มหน้าก้มตาปลูกดอกไม้ ตั้งหน้าตั้งตาขายดอกไม้อยู่ที่ร้าน รินต้องคิดเรื่องเรียนต่อได้แล้ว รินเพิ่งจบแค่ ม.6 รินยังมีอนาคต ยังมีวันข้างหน้ารออยู่...เข้าใจที่พี่พูดไหม”

“พี่ชิน....”

พรไพลินมองชายหนุ่มตรงหน้า แม้จะตกใจที่จู่ๆ เขาก็ทำท่าเหมือนโมโหขึ้นมาแต่เธอก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้จริงๆ เพราะตนเองนั้นแทบจะหมดแรงหมดที่พึ่งแล้วตั้งแต่มารดาจากไป อีกทั้งลุงเชาวน์ผู้เป็นญาติก็ไม่เคยใส่ใจที่จะถามหรือคะยั้นคะยอถาม หญิงสาวจึงแทบลืมมันไปแล้ว

“คิดเรื่องเรียนต่อได้แล้วน้ำริน ถ้าตัดสินใจไม่ถูก ไม่รู้จะทำยังไงหรือเริ่มตรงไหนก็ติดต่อพี่ เดี๋ยวพี่จะเขียนเบอร์กับเมล์ไว้ให้” เตชินท์มองใบหน้าสวยของสาวตรงหน้าอย่างจริงจังเพราะเรื่องพวกนี้ปวีณาปรับทุกข์ให้เขาฟังตั้งแต่เจอกันวันแรกแล้ว

แต่พรุ่งนี้เขาก็จำเป็นต้องกลับ เขาไม่สามารถอยู่ดูแลน้ำรินได้ เพราะการเดินทางมาประเทศไทยคราวนี้ตนใช้ช่วงเวลาว่างก่อนซัมเมอร์เท่านั้นจึงมีเวลาไม่มากนัก และไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงหยิบนามบัตรใบหนึ่งในรถก่อนจดเบอร์และเมล์ลงไป

“ถึงเราจะอยู่ไกลกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะตราบใดที่รินยังไม่ลืมพี่ พี่ก็จะอยู่ข้างๆ รินเสมอ”

เตชินท์จับมือของสาวน้อยไว้และวางสิ่งที่หยิบขึ้นมาจากกระเป๋าลงไป ทำให้พรไพลินต้องสบตาเขาอย่างแปลกใจเพราะรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือเธอนั้นไม่ใช่มีเพียงกระดาษแผ่นเล็กๆ บางๆ และเมื่อหญิงสาวก้มหน้าลงดูจึงพบว่ามันคือโทรศัพท์มือถือยี่ห้อยอดฮิตเครื่องใหม่เอี่ยมสีชมพูซึ่งสามารถทำได้หลายๆ อย่างรวมทั้งเล่นอินเตอร์เนต

“โทรศัพท์เครื่องนี้” พรไพลินหยิบมันขึ้นมาก่อนส่งคืนชายหนุ่มเพราะจำได้ว่าตนเองเป็นคนเลือกให้เขาเอง “พี่ชินบอกว่าจะซื้อให้น้องสาวเพื่อน”

“ตอนนี้พี่เปลี่ยนใจแล้ว” ชายหนุ่มบอกง่ายๆ

“แต่ว่า....พี่ชินคะ นี่มัน...แพงมากเลยนะ” หญิงสาวพูดอย่างไม่แน่ใจว่าควรรับดีไหม เตชินท์จึงแสร้งทำหน้าเข้ม

“คิดมากทำไมน้ำริน พี่ไม่ได้ให้ฟรีนะ รินต้องผ่อนพี่ด้วย”

“ผ่อนหรือคะ” สาวน้อยพลิกมันไปมาก่อนถามต่อ “แล้วรินจะจ่ายพี่ยังไงกันล่ะ พี่ชินจะกลับเมืองนอกแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ใช่” ใบหน้าคมพยักน้อยๆ ก่อนบิดกุญแจสตาร์ทรถ “รินต้องจ่ายมัน...แต่จ่ายด้วยวิธีของพี่...”

“วิธีของพี่เหรอคะ” พรไพลินพึมพำอย่างงงๆ

“อืม...เริ่มตั้งแต่คืนนี้เลย” คนพูดเหยียดมุมปากนิดๆ ทำให้สาวน้อยถึงกับตาโต

“ว่าไงนะคะ”

“ก็...คืนนี้หลังจากที่พี่ไปส่งรินแล้ว รินก็เริ่มจ่ายงวดแรก...” เตชินท์เหลือบมองคนข้างๆ แว่บหนึ่งก่อนอมยิ้มและพูดต่อ “โดยการโทรไปรายงานตัวกับพี่ งวดที่สองก็หลังจากนี้ และมีข้อแม้ว่าห้ามลืมเด็ดขาด”

ฟังวิธีจ่ายค่าโทรศัพท์ของหนุ่มตรงหน้าแล้วพรไพลินก็ต้องส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อและยิ่งอึ้งขึ้นไปอีกเมื่อเขาพูดต่อ

“แล้วก็...ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าโทรเพราะเป็นแบบรายเดือนพี่จะจ่ายให้เอง แต่รินมีหน้าที่ต้องโทรรายงานพี่ทุกวันว่ารินทำอะไรบ้าง ถ้าไม่ทำตามนี้ละก็พี่จะส่งคนมายึดคืน” เตชินท์แสร้งทำจริงจังและพยายามพูดให้อีกฝ่ายไม่คิดมากเพราะเขาพอรู้อยู่ว่าถึงพรไพลินจะมีบ้าน ร้านดอกไม้และสวนเป็นของตนเอง แต่แม่ของเธอก็ไว้ใจและให้นายสุเชาว์ดูแลเกือบทุกอย่าง พรไพลินจึงมีเพียงเงินค่าไปโรงเรียนซึ่งไม่ได้มากนัก

“แต่แบบนั้นพี่ก็ขาดทุนแย่สิคะ ซื้อโทรศัพท์ให้แล้วแถมยังต้องจ่ายค่าโทรศัพท์ให้รินอีก” พรไพลินมองหนุ่มตรงหน้านิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง แม้เขาจะโตและดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงก็คือความห่วงใยที่เขามีให้เธอเสมอมา เมื่อนึกถึงตรงนี้หญิงสาวจึงแสร้งพูดเล่น

“แล้วอีกอย่าง....ทันสมัยขนาดนี้รินจะใช้เป็นหรือเปล่าน๊า”

“ไม่ต้องห่วงหรอกพี่มีคู่มือ” เตชินท์บอกยิ้มๆ “อ้อ! แล้วพรุ่งนี้ก็ต้องไปส่งพี่ขึ้นเครื่องด้วยนะ พี่จะมารับที่บ้านตอนหกโมงเช้าขากลับพี่จะเหมารถไว้ให้ รินคงว่างใช่ไหม...ไม่ใช่สิต้องว่างเพราะพี่จะถือว่านี่คือการตอบแทนค่าโทรศัพท์เครื่องนี้ด้วยเหมือนกัน”

“ถึงพี่ไม่บังคับรินก็ต้องไปอยู่แล้วค่ะ แล้วก็ไม่ต้องเหมาให้หรอกรินกลับรถเมล์ก็ได้” พรไพลินรีบบอก อีกฝ่ายจึงหัวเราะชอบใจพร้อมออกรถไปจากที่นั่นแต่เมื่อจอดรถที่หน้าบ้านของเธอแล้วจู่ๆ เตชินท์ก็เรียกขึ้น

“น้ำริน”

“คะ” พรไพลินซึ่งกำลังจะก้าวลงจากรถอยู่แล้วจึงต้องชะงักหันกลับมามองอย่างแปลกใจ และสิ่งที่เธอเห็นก็คือใบหน้าคมที่หยักมุมปากน้อยๆ พร้อมจ้องกลับมาด้วยสายตาซึ่งหญิงสาวไม่มีวันลืม

“จำไว้ว่านะน้ำรินว่ารินไม่ได้อยู่คนเดียว...ต่อไปนี้รินจะมีพี่...จะมีโทรศัพท์เครื่องนี้อยู่ข้างๆ แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าพี่เรียกเมื่อไหร่ รินก็ต้องคอยขานรับรู้ไหม อย่าให้พี่เรียกเก้อเด็ดขาดเพราะพี่จะโกรธ”

“แน่นอนที่สุดค่ะ” พรไพลินมองตอบอีกฝ่ายด้วยสายตาวับวาวและหวังว่าเขาจะเห็นความขอบคุณอย่างเปี่ยมล้นของเธอผ่านดวงตาคู่นี้

รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคำพูดของเตชินท์นั้นทำให้พรไพลินรู้สึกว่าหลังจากผ่านค่ำคืนนี้ไปวันข้างหน้าของเธอยังมีแสงสว่างสดใสรออยู่ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เดินเข้าไปในบ้าน พรไพลินจึงอาบน้ำแต่งตัวและหยิบโทรศัพท์มือถือที่เตชินท์ซื้อให้ขึ้นมานอนดูพลางอมยิ้มเมื่อคิดถึงคำพูดของเขา

‘ถึงเราจะอยู่ไกลกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะตราบใดที่รินยังไม่ลืมพี่ พี่ก็จะอยู่ข้างๆ รินเสมอ’

‘จำไว้นะน้ำรินว่ารินไม่ได้อยู่คนเดียว...ต่อไปนี้รินจะมีพี่...จะมีโทรศัพท์เครื่องนี้อยู่ข้างๆ เพราะฉะนั้นถ้าพี่เรียกเมื่อไหร่ รินก็ต้องคอยขานรับรู้ไหม อย่าให้พี่เรียกเก้อเด็ดขาดเพราะพี่จะโกรธ’

และขณะที่หญิงสาวกำลังกดดูรายชื่อซึ่งดูเหมือนจะมีเพียงเตชินท์คนเดียวเท่านั้นโทรศัพท์เครื่องใหม่ก็ดังขึ้น และตามมาด้วยเสียงทุ้มๆ ซึ่งประทับอยู่ในใจของพรไพลินเสมอไม่เคยลืม

“นอนได้แล้วนะน้ำริน พรุ่งนี้พี่จะไปรับแต่เช้า...”

“ค่ะ พี่ชิน” เธอตอบรีบรับคำของเขาตามสัญญาที่ให้ไว้ก่อนจะหลับไปด้วยความรู้สึกซึ่งเปี่ยมสุข



วันรุ่งขึ้นเตชินท์ก็ไปรับพรไพลินแต่เช้าเพื่อไปส่งตนเองขึ้นเครื่องและเมื่อเดินทางถึงกรุงเทพฯ แล้วชายหนุ่มก็กลับมายังคฤหาสน์ ‘นิวัฒน์กุล’ เพื่อเตรียมเดินทางต่อไปยังประเทศอังกฤษ แต่ทันทีที่ลงจากรถแท็กซี่ของสนามบินก็สวนเข้ากับร่างสูงผิวขาวของใครคนหนึ่ง

“กลับมาแล้วเหรอชิน”

“ครับ” เตชินท์มองชายร่างสูงใหญ่อายุ 23 ปีซึ่งเป็นพี่ชายต่างมารดาก่อนก้มหน้าเพื่อจะเลี่ยงไปและนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่อีกฝ่ายอยู่บ้านในเวลานี้ แต่คนที่เดินออกมากลับเรียกและถามขึ้น

“เตชินท์..เห็นว่านายไปเที่ยวเชียงใหม่มาเหรอ แล้วนี่จะกลับอังกฤษเลยหรือเปล่า” เป็นคำพูดลอยๆ ซึ่งฟังดูคล้ายจับตาดูความเคลื่อนไหวของน้องชายอยู่ ทว่าเตชินท์ก็ไม่ได้คิดอะไรจึงตอบสั้นๆ

“ครับ” เพราะไม่รู้จะต่อความว่าอย่างไรเนื่องจากความสนิทสนมของเขากับพี่ชายต่างมารดานั้นมีน้อยเสียเหลือเกิน

“ขยันหน่อยนะเตชินท์” ท้ายเสียงเหมือนคนพูดจะเหยียดมุมปากเล็กน้อย “ตอนฉันอยู่เมืองนอกน่ะ ไม่ได้กลับบ้านเลยด้วยซ้ำเพราะต้องตั้งใจเรียนให้จบเพื่อจะได้กลับมาช่วยคุณพ่อ...นายก็...ตั้งใจเรียนหน่อยล่ะ”

เอ่ยจบร่างสูงผิวขาวนั้นก็เดินจากไปขึ้นรถทันที ทว่าคำพูดที่ทิ้งเอาไว้กลับทำให้เตชินท์ต้องหายใจเข้าลึกๆ และก้าวเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ บ้านซึ่งเขาเพิ่งมีโอกาสเข้ามาอยู่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว

เรื่องนี้ทำให้เขาคิดถึงพรไพลินขึ้นมาอีกเพราะเขาเองก็ไม่ต่างจากเธอ เขาต้องสูญเสียแม่ไปอย่างไม่มีวันกลับแต่ไม่ใช่ทางอุบัติเหตุเพราะมารดาของเขานั้นป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ตนเอง ทำให้เขาและพ่อต้องคอยพาเธอไปเที่ยวพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์บนเขาอยู่บ่อยๆ ซึ่งด้วยสาเหตุนี้ท่านจึงมักคอยบอกเสมอว่าให้เขาเตรียมทำใจไว้เผื่อวันที่ท่านจากไปจะมาถึง

แต่มีสิ่งหนึ่งที่มารดาปิดบังมาตลอดและไม่เคยบอกเขาเลยนั่นก็คือ ท่านไม่ใช่ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของพ่อ สิ่งที่เด็กหนุ่มวัย 17 ตกตะลึงไม่แพ้การจากไปของแม่ก็คือการที่บิดาพาเขาเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้และรู้จักกับพี่น้องที่ไม่เคยพบกันมาก่อน รวมถึงแม่คนใหม่ซึ่งมีสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายของพ่อ

‘ทำไมแม่ถึงนามสกุลไม่เหมือนพ่อล่ะครับ’

จำได้ว่าตอนเด็กๆ ตนเองเคยแปลกใจในเรื่องนี้ แต่มารดาก็อ้างว่าเพราะตากับยายมีลูกคือแม่เพียงคนเดียวจึงไม่อยากให้นามสกุลต้องหมดไปเพราะการแต่งงานของลูกสาว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ตนเชื่อสนิทใจและไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าที่แม่ไม่ใช้นามสกุล ‘นิวัฒน์กุล’ เหมือนที่เขาใช้นั้นจะมีสาเหตุอื่นและนี่ก็คือสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจไปเรียนต่อเมืองนอกทันทีที่บิดาเสนอ

ชายหนุ่มหายใจเข้าหนักๆ ก่อนเตรียมตัวเดินทางอีกครั้ง ออกจากสิ่งปลูกสร้างที่เรียกว่าบ้านแต่กลับไม่มีความคุ้นเคยกับตนเองเลย.....



***********************************************









แพรพริมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ธ.ค. 2554, 16:13:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ก.ค. 2555, 11:35:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 2071





<< 1.    3. >>
anOO 31 ธ.ค. 2554, 18:16:17 น.
ตามต่ออยู่แล้วค่ะ พี่ก็อย่าหายไปนานนักนะค่ะ 555
คู่นี้คงต้องลุ้นกันอีกพักเลยมั้ง กว่าจะลงเอยกันอย่างลงตัว


จิรารัตน์ 31 ธ.ค. 2554, 20:01:37 น.
มากด like ให้ก่อนฐานมาอัพเร็ว เด๋วปีหน้ามาอ่านนะคะ


แว่นใส 1 ม.ค. 2555, 07:16:06 น.
อย่าลืมความรู้สึกนี้นะ


หมูอ้วน 1 ม.ค. 2555, 14:03:55 น.
พี่ชินก็น่าสงสารเหมือนกันนะเนี่ย
Happy New Year ka.


ทองหลาง 1 ม.ค. 2555, 20:12:37 น.
ดีใจที่ไม่ใช่นิยายเศร้าจ๊ะ


ของขวัญ 3 ม.ค. 2555, 01:13:58 น.
มาตามอ่านติดๆ ค่ะ รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ


Siang 3 ม.ค. 2555, 08:47:29 น.
ดีใจที่จะได้อ่านเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องค่ะ และหวังว่าจะไม่เศร้าอย่างที่บอกนะคะ


Zephyr 4 ม.ค. 2555, 00:45:43 น.
โอ้ อ่านแล้วรู้สึกไงดีนะ เป็นพระเอกนางเอกที่ดูธรรมดาดีค่ะ แบบ เป็นมนุษย์ปุถุชนที่จับต้องได้ นางเอกก็ไม่ได้รันทดเวอร์ พระเอกเพอร์เฟคเวอร์ไรงี้ค่ะ แต่ไม่เศร้าจริงเหรอคะ เริ่มเห็นเค้าลางน้ำตามาแต่ไกลเลยเนี่ย หรือเราอ่อนไหวเอง พี่ชินซื้อมือถือแจกสาวเยี่ยงนี้ วางแผนไรอยู่ป่ะจ้ะ
ปล. น้อมรับกราบงามๆ(ที่อก^^) จากคุณแพรค่ะ อิอิ


ตามหาฝัน 4 ม.ค. 2555, 12:11:00 น.
รออ่านตอนต่อไป


วนัน 29 ก.พ. 2555, 15:02:21 น.
น่าสนุกคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account