ม่านธาราเร้นดาว {ชุดมนตราอัญมณี} สนพ.อรุณ วางแผงแล้ว
เรื่องชุดมนตราอัญมณี : พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน

มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ

สำหรับชลธิศแล้ว มาริณเปรียบเสมือนดวงดาวที่เร้นอยู่ภายใต้ม่านธาราอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นดาวดวงน้อยที่งดงามและมีค่า ใช่จะหาพบได้ง่ายๆ แต่โชคชะตาก็นำพาให้เขามาเจอกับดาวดวงนี้…เขาสัญญาว่าจะโอบกอดดาวไว้ ไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาแย่งชิงดวงดาวอันล้ำค่าไปจากหัวใจได้โดยเด็ดขาด
Tags: มาริณ, ชลธิศ, ไตร, ชลันธร, มัชฌิตา, มุกดา, มายาไฟในดวงตา, มนตรามุกจันทรา, นิยาย, บุลินทร

ตอน: ตอนที่ 5 อีกด้านของคนแปลกหน้า



อีกด้านของคนแปลกหน้า

มาริณไม่นึกเลยว่าตอนนี้จะได้มานั่งทานข้าวอยู่กับคนแปลกหน้าอย่างชลธิศ ผู้ซึ่งหล่อนไม่เคยคิดร่วมโต๊ะด้วย แต่เพราะเห็นว่าร้านอาหารที่เขาชวนไปเป็นสถานที่ที่คนพลุกพล่าน ถ้าชายหนุ่มคิดจะทำอะไรหล่อนจริงๆ อย่างน้อยคงไม่กล้าอุกอาจขนาดนั้น

ที่สำคัญ…ถ้าการมาทานข้าวมื้อนี้จะทำให้หล่อนหายค้างคาใจเรื่องเกี่ยวกับเขา หล่อนก็คิดว่ามันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าไม่น้อย ดังนั้นหลังจากโทร.แจ้งอู่ซ่อมรถให้มานำยานพาหนะคู่ใจไปซ่อมแล้ว หญิงสาวจึงตอบตกลงมาทานอาหารกับชายหนุ่ม

ร้านอาหารที่เขาชวนมาตกแต่งด้วยของจากทั้งสี่ภาคของประเทศไทย แม้จะหลากหลายวัฒนธรรม แต่ของที่นำมาประดับในร้านดูเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ

“คิดออกหรือยังครับว่าจะสั่งอะไร” คำถามของชลธิศทำให้คนที่กำลังก้มหน้าอ่านเมนูอยู่ได้สติ

“ว่าไงนะ” มาริณเลิกคิ้วเรียวขึ้น เขาคงไม่รู้ว่าเมื่อครู่หล่อนไม่ได้จดจ่อกับเมนูอาหารเลย ถึงตาดู แต่สมองนึกไปไกลถึงอย่างอื่น

“กำลังคิดเรื่องผมอยู่เหรอ” เขาเอามือสองข้างขึ้นมาเท้าบนโต๊ะพลางหัวเราะในลำคอ สายตารู้ทัน

มาริณเสมองข้างตัวพลางจิกกัดอีกฝ่ายในใจ ตาบ้าเอ๊ย เดาใจหล่อนถูกอีกแล้วเหรอเนี่ย

“เปล่า”

“โอเค เปล่าก็เปล่า” แม้ปากเขาจะบอกอย่างนั้น แต่สายตายังมองหล่อนอย่างล้อเลียน “แต่ตอนนี้สั่งอาหารได้แล้ว ผมหิว”

“อ้าว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน หิวก็สั่งสิ”

“ผมให้คุณสั่งก่อน”

มาริณได้ยินเสียงนุ่มและท่าทางให้เกียรติของชายหนุ่มก็แอบชื่นชมเล็กๆ แต่ก็ยังตีหน้าดุใส่เขาอยู่เช่นเดิม

“อย่านึกว่าฉันจะซาบซึ้งหรือรู้สึกดีนะ”

“ผมไม่กล้านึกอยู่แล้ว เพราะท่าทางคุณเกลียดขี้หน้าผมจะตาย” ชลธิศเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และยกมือขึ้นกอดอกหลวมๆ

“ก็รู้ตัวนี่นา แต่ทำไมคุณถึงชอบตามฉันจัง”

“ทำไมครับคุณมีน กลัวคนอื่นจะเข้าใจผิดคิดว่าผมตามจีบคุณเหรอ”

คำพูดและสายตากรุ้มกริ่มของชลธิศทำให้ใบหน้าของมาริณร้อนวูบวาบขึ้นมาโดยพลัน หล่อนจึงไม่พูดอะไรต่อ รีบกวาดสายตาดูเมนูอาหาร ก่อนสั่งผัดเปรี้ยวหวานทะเลและไข่ตุ๋นทรงเครื่อง

“ของโปรดคุณเหรอ” ชลธิศถามพลางเลิกคิ้วหนาขึ้นรอฟังคำตอบ

“จริงๆฉันก็กินได้ทุกอย่างนั่นแหละ”

“ก็ดี” เขาพูดลอยๆ มาริณจึงไม่ได้ตอบหรือแสดงท่าทีอะไร “ผัดเปรี้ยวหวานทะเล เวลากินนึกถึงทะเลไหม”

คราวนี้หญิงสาวเหลือบไปมองผู้พูด หลังจากทอดสายตามองออกไปยังสวนดอกไม้ด้านข้างของร้านอยู่นาน

“ไม่นะ นอกจากจะไปนั่งกินริมทะเล”

“คุณชอบทะเลเหรอ” ดูท่าทางเขาจะสนุกกับการถามคำถามไม่น้อย

“ไม่ชอบ”

“ทำไมล่ะ คนส่วนใหญ่ออกจะชอบทะเล”

“ฉันไม่ชอบ เพราะเวลาไปแล้วลงเล่นน้ำทะเลแบบคนส่วนใหญ่ไม่ได้น่ะสิ” หล่อนว่าพลางถอนหายใจเบาๆ

“คุณว่ายน้ำไม่เป็นเหรอ”

“เป็น แต่ไม่เก่ง”

“แล้วทำไมเล่นน้ำไม่ได้”

“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกทุกเรื่อง” มาริณตัดบทฉับ

“โธ่ กำลังคุยกันเพลินๆ” ชลธิศส่ายหน้าน้อยๆ

ขณะกำลังลอบทลายกำแพงที่กั้นระหว่างเขาและหล่อนลงช้าๆ สุดท้ายมาริณก็รู้ตัวและรีบสร้างมันขึ้นมากั้นกลางอีกจนได้

“ฉันไม่ได้คล้อยตามใครง่ายๆ” หล่อนเอ่ยอย่างทะนงตน

“คุณขี้ระแวงมากไปหรือเปล่า นี่ผมยังไม่ได้ชักจูงหรือหลอกล่ออะไรคุณเลยนะ แค่คุยกันธรรมดา” ชลธิศแบมือสองและถามอย่างไม่เข้าใจ

คำพูดของเขาทำให้มาริณฉุกคิดเล็กน้อย ก็จริงอย่างที่เขาว่า หล่อนอาจจะระแวงและปิดกั้นตัวเองมากไปหน่อยจนลืมมองอีกด้านของเขาที่ไม่ได้แข็งกระด้างและโอหังอย่างที่คิด กลับกันชลธิศออกจะมีมุมอ่อนโยนแฝงอยู่และก็มีความสุขุมอยู่ในตัวมากเช่นกัน

แต่ก็อย่างว่า…เพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้งตัดสินอะไรไม่ได้หรอก

“ฉันขอไม่พูดจนกว่าอาหารจะมานะ เปลืองพลังงาน” มาริณว่า ก่อนจะนั่งกอดอกนิ่ง

“เอาแบบนี้เลยเหรอ” ชลธิศหัวเราะแหะ ขณะที่มาริณไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ เพียงหันมามองด้วยสายตาคล้ายจะถามว่าทำไม แค่นั้นชายหนุ่มก็เข้าใจว่าคำตอบคืออะไร

ขณะกำลังนั่งปั้นหน้าใส่ฝ่ายชายอยู่ เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของมาริณก็ดังขึ้น เมื่อเห็นชื่อของมุกดาปรากฏบนหน้าจอ หล่อนก็ร้องออกมาอย่างตกใจปนเจ็บใจตัวเอง

“ตายแล้ว พี่มูน” หญิงสาวกดรับทันควัน

“ยายมีน ใกล้ถึงบ้านหรือยัง” เสียงหวานของมุกดาดังมาจากปลายสาย

“พี่มูน มีนขอโทษ มีนลืมไปว่าพี่มูนรออยู่ที่บ้าน” มาริณเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะขอโทษขอโพยพี่สาวใหญ่ จากความวุ่นวายเรื่องรถเสียทำให้มาริณลืมนัดกับพี่สาวไปจนสนิท รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ในร้านอาหารกับตาคนนี้แทนเสียแล้ว คิดพลางปรายตาไปมองเขาอย่างเคืองๆ

“อ้าว พี่ก็ว่า แล้วนี่ตกลงจะกลับมากินข้าวที่บ้านไหม ถ้าไม่ พี่จะไปแล้วนะ”

“พี่มูนทานก่อนได้เลยค่ะ มีนคงกลับไปไม่ทันแน่ๆ”

“จ้ะๆ”

“มีนขอโทษจริงๆนะพี่มูน” หล่อนไม่แน่ใจว่าพี่สาวจะโกรธหรือเปล่า แต่ปกติมุกดาก็ไม่ใช่คนโกรธใครง่ายๆ ถ้าไม่เหลืออดจริงๆ

“ไม่เป็นไร แล้วไงคุยกันอีกทีนะ” มุกดาว่า ก่อนจะวางสายไป

มาริณตวัดสายตาไปมองชลธิศที่ยกมือขึ้นมาเท้าคางมองหล่อนอยู่ ในดวงตาคมกริบสว่างไสว ก่อนที่ประกายพราวระยิบจะวูบหายไปในจังหวะที่หล่อนจ้องเขา

“เพราะคุณคนเดียว ทำให้ฉันผิดนัดกับพี่สาว”

“อะไรกัน ตอนผมชวน คุณไม่เห็นบอกว่ามีนัดนี่นา” เมื่อโดนโบ้ย คนตัวโตก็บ่นอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะแซว “นี่แสดงว่าอยากมากับผมมากจนลืมนัดใช่ไหม”

“บ้า ใครอยากมากับคุณกัน”

ขณะนั้นบริการก็ทยอยนำอาหารที่สั่งออกมาพอดี มาริณรอให้พนักงานไปแล้วจึงเอ่ยขึ้น

“เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เสียเวลา ระหว่างทานอาหารมาคุยเรื่องของคุณไปด้วยเลย”

“เรื่องของผม?”

“ใช่ ไม่ต้องมาทำไก๋เลยนะ คุณพูดเองว่าจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองให้ฉันฟัง ถ้าฉันมาด้วย” หล่อนทวงด้วยน้ำเสียงคาดคั้นเล็กๆ

“ผมไม่ลืม”

“งั้นก็เริ่มเลย คุณยังอยากซื้ออความารีนอยู่หรือเปล่า” หญิงสาวถามโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว

“ก็อยากนะ แต่ถ้าคุณยังไม่พร้อมจะขายตอนนี้ ผมก็ไม่เร่งรัด คุยกันไปเรื่อยๆก็ได้” ท่าทีของเขาดูจะอ่อนลงจากการเจอกันครั้งก่อนมาก

“ถามจริงเถอะ ทำไมคุณถึงอยากได้มันมากขนาดนี้”

“มันสำคัญกับครอบครัวของผม” แววตาของชลธิศหนักแน่นและดูมุ่งมั่นอย่างประหลาดเมื่อพูดประโยคนี้

“สำคัญแค่ไหนฉันก็ขายให้ไม่ได้หรอกนะ เพราะยังไงๆ อความารีนก็สำคัญกับฉันเหมือนกัน” อีกอย่างย่าอมินตาตั้งใจมอบอัญมณีชิ้นนี้ให้หล่อน นั่นหมายความว่าท่านมั่นใจว่าหล่อนจะสามารถรักษามันไว้ได้ เพราะฉะนั้นหล่อนจะไม่ยอมทำให้ท่านผิดหวังด้วยการขายมันให้คนอื่นเด็ดขาด โดยเฉพาะคนที่ไม่น่าไว้ใจแบบชลธิศ

“เอาเถอะ ผมบอกแล้วว่าไม่เร่งรัด ถ้าคุณเปลี่ยนใจเมื่อไหร่บอกผมได้ทันที” พูดจบชลธิศก็ยื่นนามบัตรให้หญิงสาว บนกระดาษสีฟ้าอ่อนลายเรียบแผ่นเล็กๆนั้นมีข้อมูลเกี่ยวกับชายหนุ่มอยู่

มาริณอ่านนามบัตรนั้นเร็วๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นถามเจ้าของใบหน้าคมคาย

“เรือประมงอิสระธารา”

“ครอบครัวผมมีธุรกิจเรือประมงที่จันทบุรี” ชลธิศขยายความให้เล็กน้อย

“อ๋อ งั้นพอเข้าใจแล้ว”

“เข้าใจว่าอะไร”

“ก็…ฉันเคยได้ยินมาว่าชาวประมงบางคนจะพกอความารีนเวลาออกหาปลา เพราะมันช่วยป้องกันอันตรายจากทะเลได้ เพราะแบบนี้สินะ คุณถึงอยากได้มันมาก” มาริณเอ่ยอย่างมั่นใจในความคิดตัวเอง

“นั่นก็ถูก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด” ท่าทางของเขาเริ่มกลับมาเคร่งขรึมเช่นเดิม

“โอเค คุณจะไม่บอกทั้งหมดก็ไม่เป็นไร แต่ฉันขอยืนยันคำเดิมว่าถึงคุณจะถามอีกกี่ครั้ง ฉันก็ไม่ขายๆๆ” มาริณย้ำราวกับจะให้ข้อความทะลุทะลวงเข้าไปถึงก้านสมองเขา เพราะรำคาญเหลือเกินที่ชลธิศตามตื๊อไม่เลิก ทั้งๆที่หล่อนยืนยันตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่าไม่ขายอความารีน

“แต่…”

“เดี๋ยว…ฉันยังพูดไม่จบ เรื่องวันนั้นที่คุณบอกว่าอความารีนอาจจะไม่ใช่ของของคุปตะจินดาอย่างที่ฉันเข้าใจ หมายความว่าไง” นี่เป็นสิ่งที่หล่อนอยากรู้คำตอบที่สุดแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มากับเขาให้เสียเวลา

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ”

“ช่างมันได้ไง คุณเป็นคนเปิดประเด็นเองนะ” มาริณเผลอขึ้นเสียงสูงจนคนในร้านหันมามอง หล่อนเห็นดังนั้นก็ก้มหัวน้อยๆอย่างขอลุแก่โทษ ก่อนจะหันกลับมาหาคู่กรณี “บอกมาเลยนะ ไหนว่าจะพูดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเองไง”

“ผมลืมบอกหมายเหตุไป ทุกอย่าง…หมายสิ่งที่ผมเล่าได้เท่านั้น” ชลธิศทำหน้าตาย

“คุณนี่มันจริงๆเลยนะ” มาริณกัดฟันแน่น อยากจะบีบคอหมีป่าให้ตายคามือเหลือเกินแต่ทำไม่ได้

“ผมขอโทษ เอาแบบนี้ได้ไหม ผมสัญญาว่าจะบอก แต่ไม่ใช่ตอนนี้” ชลธิศยื่นข้อเสนอ ตอนแรกเขายอมรับว่าอยากจะบอกมันกับหญิงสาวไวๆ แต่พอกลับไปคิดทบทวนแล้ว สุดท้ายก็ล้มเลิกความตั้งใจนั้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกลำบากใจขึ้นมาดื้อๆ

“แล้วตอนไหนล่ะ ฉันไม่ได้อยากลงทุนมาทานข้าวกับคุณทุกวันเพื่อแลกคำตอบนะ” แถมลงทุนไปแล้วยังไม่รู้ด้วยว่ามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน

“คนที่ลงทุนคือผมต่างหาก ผมตั้งใจว่าถ้าเรามาทานข้าวด้วยกัน ผมจะออกเองทุกมื้อ” เขาทักท้วงพร้อมมองหล่อนด้วยสายตาพราวระยับ

“เพื่อให้ฉันใจอ่อนยอมขายอความารีนงั้นเหรอ” หล่อนหัวเราะแห้งๆประชด ก่อนทำท่าถอนใจ “เฮ้อ ฉันก็แค่หลอกถามมาจนถึงตอนนี้ เพราะอยากรู้ว่าคุณจะพูดอะไรเกี่ยวกับมันบ้าง แต่ความจริง ขนาดฉันยังไม่รู้เลยมันอยู่ที่ไหน”

“หมายความว่าไง” ชลธิศขมวดคิ้วหนามุ่น แววตาของเขาดูไม่เชื่อนัก

“ยังจะให้แปลอีกเหรอ”

“ถ้าไม่ได้อยู่กับคุณแล้วมันอยู่ที่ไหน”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้” นอกจากเขาจะเป็นคนแปลกประหลาดอย่างที่หล่อนไม่เคยพบมาก่อนแล้ว ชลธิศยังเข้าใจอะไรยากอีกต่างหาก

“คุณพูดจริงหรือเปล่า”

“จริงสิ ฉันไม่ได้เป็นพวกชอบกุเรื่องจนคิดว่าคนอื่นเป็นเหมือนตัวเองหรอกนะ” มาริณเสียดสีอีกฝ่ายเล็กๆ “เพราะงั้นคุณกลับบ้านไปเถอะ อย่าเสียเวลาเลย”

ชลธิศเงียบไปพักหนึ่งคล้ายกำลังครุ่นคิด ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม ก่อนที่ครู่ต่อมาเขาจะเงยหน้าขึ้นมองหล่อนและเอ่ยด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

“ผมจะช่วยคุณตามหาอความารีน”

มาริณได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งไป ก่อนจะหัวเราะคิก

“คุณจะมาช่วยฉันตามหาทำไมไม่ทราบ ของของฉัน ฉันตามหาเองได้”

“ผมอยากช่วย” ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยความตั้งใจ “ยังไงผมก็ต้องหามันให้พบ แล้วต่อจากนั้นคุณจะขายมันให้ผมหรือเปล่าค่อยมาคุยกันอีกทีก็ได้”

หญิงสาวมองผู้ชายตรงหน้าด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด ทำไมชลธิศถึงมุ่งมาดปรารถนาอยากได้หินแห่งธารดาวนัก มันสำคัญกับเขาขนาดนั้นเชียวหรือ

“แล้วแต่คุณ งั้นก็คอยดูว่าใครจะหาเจอก่อนกัน ขอตัวนะ” พูดจบเจ้าของร่างเล็กก็ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร คว้ากระเป๋าสะพายเดินฉับๆออกมาทันที ทั้งที่เพิ่งทานไปได้นิดเดียว

“หึ ฉันต้องหาเจอก่อนนายแน่”






หลังแยกจากชลธิศ มาริณขึ้นรถแท็กซี่เพื่อไปรับรถยังอู่ซ่อมรถ แม้ตอนแรกชายหนุ่มจะอาสามาส่ง แต่หล่อนก็ปฏิเสธเพราะไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณ

เมื่อมาถึงที่หมาย รถเสร็จพอดี ช่างบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรร้ายแรงมาก เปลี่ยนเพียงแบตเตอรี่ที่หมดอายุจึงไม่ต้องทิ้งรถไว้ข้ามวัน

คืนนั้นหลังจากกลับมาถึงบ้าน…มาริณพยายามโทร.หามัชฌิตา แต่ก็ไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้

หญิงสาวเดินไปปิดไฟในห้อง เหลือเพียงโคมไฟดวงเล็กๆบนผนังที่ให้แสงสลัวราง ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงพร้อมถอนหายใจยาว คิ้วเรียวสองข้างเหนือดวงตายาวรีขมวดจนแทบจะติดกัน

แต่ขณะกำลังกลัดกลุ้ม มาริณรู้สึกได้ว่าเกิดความผิดปกติที่ริมหน้าต่างห้องนอนซึ่งปิดสนิท คล้ายมีเงาดำวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วในเสี้ยววินาทีโดยไม่มีเสียงใด

แม้เห็นเพียงหางตาและมีแสงสว่างในห้องน้อยมาก หากหล่อนก็มั่นใจว่าตาไม่ฝาดแน่

แทนที่จะหลับตาลง หญิงสาวกลับหยัดตัวลุกขึ้นจากที่นอน ดวงตาคู่สวยจับจ้องไปยังหน้าต่างทรงซุ้มโค้งด้วยความสงสัย มันคืออะไรกัน จะว่านกบินผ่านก็คงไม่ใช่ เพราะอย่างน้อยน่าจะมีเสียงอะไรบ้าง ที่สุดเมื่อหาคำตอบไม่ได้ หล่อนจึงตัดสินใจจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง

มาริณลงจากเตียงอย่างแผ่วเบา เพราะกลัวว่าบางอย่างที่อยู่ภายนอกจะหายไปเสียก่อน หล่อนค่อยๆก้าวตรงไปยังหน้าต่างห้อง จังหวะหัวใจเต้นแรงขึ้นตามความรู้สึก วูบหนึ่งรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาเฉยๆ ทว่าก็ทำใจแข็งเดินหน้าต่อไป

ภายนอกหน้าต่างยามนี้มืดมิดและเงียบสงบ แม้แต่ก้อนเมฆและต้นไม้ก็ไม่ไหวติง มีเพียงแสงริบหรี่จากดวงดาว ทว่าขณะกำลังก้าวไปนั้น จู่ๆมาริณก็หยุดเดิน

เราไม่เคยกลัวอะไรไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องลังเลด้วย อย่ากลัวสิ ต้องเดินหน้าเท่านั้น จะได้รู้ว่าข้างนอกมีอะไรกันแน่ เราไม่ใช่คนขี้ขลาด จำไว้นะมาริณ

หญิงสาวให้กำลังใจตัวเอง ก่อนตัดสินใจก้าวต่อ แม้หน้าต่างจะใกล้ แต่ไกลในความรู้สึกของมาริณเหลือเกิน

“ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่นา” หล่อนว่าพลางมองซ้ายมองขวาเมื่อมาถึงหน้าต่าง

ด้วยความที่อยากเห็นชัดเจนกว่านี้ มาริณจึงเอียงตัวเข้าใกล้หน้าต่างมากขึ้นจนแก้มขาวนวลแทบจะแนบกับกระจก ดวงตาสีดำขลับสอดส่ายไปมาด้วยความสงสัยระคนหวาดหวั่นเล็กๆ

พรึ่บ!!

“ว๊าย-ย-ย” มาริณกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นนิสัยประจำเวลาตกใจ ดวงตาเรียวยาวเบิกขึ้นน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงประหลาดจากด้านนอก หญิงสาวพยายามมองหาต้นตอของเสียง แต่น่าแปลกที่ไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆเลย

แม้จะกลัว แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงก็ต้องรู้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่หายสงสัย หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ก่อนตัดสินใจเอื้อมมือเรียวบางไปที่กลอนของหน้าต่างและปลดล็อก

ใครจะว่าหล่อนรนหาที่ก็ช่างเถอะ ก็หล่อนเป็นพวกไม่ชอบค้างคา ถ้าอยากรู้อะไรแล้วต้องรู้ให้ได้ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถ้าไม่ได้รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างนอก หล่อนต้องนอนไม่หลับแน่ๆ

“เอาล่ะ เป็นไงเป็นกัน” มาริณสูดหายใจลึก ก่อนจะผลักหน้าต่างทั้งสองบานออกไป พลันลมก็พัดวูบเข้ามาปะทะใบหน้าจนผมสีน้ำตาลปลิวสยาย หญิงสาวหรี่ตาลงน้อยๆ เพราะไม่อาจสู้แรงลมได้ ก่อนที่มันจะหยุดพัดในครู่ต่อมา พร้อมกับความสงสัยที่ยิ่งทวีมากขึ้น

ลมมาจากไหนกัน ในเมื่อก่อนหน้านั้นไม่นาน หล่อนเห็นบรรยากาศภายนอกสงบนิ่ง และไม่มีวี่แววว่าลมจะมาเลยสักนิด

หญิงสาวชะโงกออกไปนอกหน้าต่างและมองไปจนทั่ว ก่อนจะยกมือขึ้นมากอดอกเชิดหน้า

“เชอะ นึกว่าจะแน่” พูดจบมาริณก็ปิดหน้าต่างปังและลงกลอนไว้อย่างเดิม ก่อนหมุนตัวกลับไปที่เตียง

ทันใดนั้นหัวใจหล่อนก็เต้นระรัวขึ้น เมื่อมีเงาดำทาบทับอยู่บนกำแพงห้อง มันสูงกว่าหล่อนประมาณสองเท่า มาริณไม่รู้จะเรียกความรู้สึกตอนนี้ว่าอะไร เพราะความตกใจ กลัว ตะลึง และสงสัยพวยพุ่งขึ้นมาไม่หยุด

หญิงสาวยืนแข็งค้าง สมองของหล่อนคล้ายจะไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือเงาดำนั้นจางหายไปช้าๆพร้อมกับร่างของหล่อนที่ค่อยๆล้มลงบนพื้น







เสียงนกร้องริมหน้าต่างและแสงแดดอ่อนๆตอนเช้าสาดส่องเข้ามาในห้องปลุกให้มาริณรู้สึกตัว หล่อนยกมือขึ้นมาขยี้ดวงตาคู่สวยเบาๆด้วยความง่วงงุน ใช้เวลาปรับสายตากับแสงสว่างอยู่ครู่จึงหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง

หญิงสาวอุทานอย่างประหลาดใจเมื่อพบว่าตอนนี้อยู่บนพื้น แทนที่จะเป็นเตียงนอน แล้วหล่อนลงมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร จะว่ากลิ้งตกลงมาก็ไม่น่าใช่ เพราะปกติไม่ได้เป็นคนนอนดิ้นขนาดนั้น

มาริณพยายามนึก แต่ก็นึกไม่ออก ไม่รู้ว่าทำไมถึงจำเรื่องราวเมื่อคืนไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง มาริณขานรับ ก่อนลุกขึ้นยืนและเดินไปเปิดประตู

“มีไรหรือเปล่าจ๊ะ” หญิงสาวถามสาวใช้ด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

“พอดีป่านเห็นคุณมีนยังไม่ลงไปข้างล่าง เลยลองมาเคาะประตูห้องดูค่ะ กลัวว่าจะไม่สบาย” ป่านยืนอยู่หน้าประตูด้วยท่าทางสุภาพ

“ฉันไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่นี่กี่โมงแล้วเหรอ”

“เก้าโมงแล้วค่ะ” สาวใช้รายงาน

“โห ฉันหลับไปนานเหมือนกันนะเนี่ย” และป่านคงเห็นว่าวันนี้หล่อนตื่นสายผิดปกติจึงมาตามนั่นเอง

“คุณมีนไม่เป็นอะไร ป่านก็โล่งใจค่ะ”

“ขอบใจมากนะที่เป็นห่วงฉัน” มาริณยิ้มละไม ก่อนจะบอกให้สาวใช้ไปทำงานบ้านต่อ

หลังจากทำภารกิจส่วนตัวเรียบร้อย หญิงสาวก็ลงมาทานอาหารเช้าในชุดลำลองสบายๆ วันนี้หล่อนกะว่าจะพักผ่อนอยู่บ้าน หลังจากไปตะลอนมาหลายวัน

“ป่าน วันนี้ไม่มีใครมาด้อมๆมองๆหน้าบ้านใช่ไหม” หล่อนหันไปถามสาวใช้วัยยี่สิบปลายที่คอยยืนรับใช้อยู่ใกล้ๆโต๊ะอาหาร

“ไม่มีนะคะ”

“ไม่มีก็ดีแล้ว” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันกลับไปทานอาหารต่อพลางครุ่นคิดเรื่องพี่สาวคนโต







เกือบทั้งเดือนที่ผ่านมา มาริณพยายามติดต่อมัชฌิตาเรื่อยๆด้วยความเป็นห่วง แต่ปลายสายก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ มีเพียงข้อความตอบกลับมาว่าไม่ต้องโทรมาอีกเพราะกำลังยุ่ง ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้มาริณคลายความกังวลและสงสัยในตัวพี่สาวลงเลยสักกระผีก ที่สุดจึงตัดสินใจอยากจะตามหามัชฌิตาอย่างจริงจังเสียที และที่สำคัญที่สุด หล่อนอยากรู้ว่าพี่สาวนำพลอยไปด้วยเหตุผลอะไร

เมื่อจัดการกับอาหารเช้าเสร็จ มาริณขึ้นบันไดมายังชั้นสองของบ้านซึ่งมีทางเดินเล็กๆแคบๆเชื่อมไปยังส่วนที่เป็นห้องนอนของย่าอมินตา บริเวณโถงทางเดินทั้งสองข้างถูกแบ่งเป็นห้องต่างๆ ประตูไม้บานใหญ่ของแต่ละห้องล้วนปิดสนิท

เมื่อมาถึงเขตที่อยู่ของผู้อาวุโส หล่อนตรงไปยังกรอบรูปสีขาวที่แขวนอยู่บนผนังห้องห้องหนึ่ง มันไม่ใช่เพียงกรอบรูปที่ใส่ภาพวาดของย่าอมินตาเท่านั้น หากแต่เป็นที่เก็บกุญแจห้องของท่านซึ่งหล่อนและพี่สาวตกลงกันไว้

มาริณมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนี้จึงยกกรอบรูปให้เผยอขึ้นจากกำแพงเล็กน้อย ควานหาลูกกุญแจที่เก็บไว้ ไม่นานก็ได้สิ่งที่ต้องการมา

หญิงสาวไขกุญแจเข้าไปในห้องของย่าอมินตา ซึ่งถูกล็อกไว้ตลอดเวลา ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปช้าๆ บรรยากาศภายในห้องนอนขนาดใหญ่ดูทึบทึมราวกับเวลาเที่ยงคืน ดุจเป็นคนละโลกกับเมื่อครู่ เพราะม่านหนาหนักกั้นไม่ให้แสงเข้ามามาก

ในห้องของผู้อาวุโสปูลาดด้วยพรมสีหม่น ซึ่งยิ่งสร้างบรรยากาศอับทึบ มาริณปิดประตูห้องและกดล็อก ก่อนเดินตรงมายังเตียงของย่าอมินตา มือเรียวค่อยๆแหวกผ้าม่านสีขาวที่ล้อมรอบเตียงอย่างมิดชิดอยู่ออก

เบื้องหลังม่านนั้นคือร่างไร้วิญญาณของผู้อาวุโส ซึ่งคล้ายกับคนนอนหลับไปเท่านั้น น่าแปลกนักที่ร่างกายของท่านไม่ได้เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา แต่มาริณก็พอจะเข้าใจว่าย่าอมินตามีบางอย่างที่พิเศษและลึกลับกว่าคนธรรมดา

หญิงสาวนั่งลงบนเตียงข้างๆผู้อาวุโส จับมือท่านด้วยความรัก ผิวหนังที่ไม่ได้นุ่มนวลเหมือนเคยคล้ายจะเตือนให้หล่อนรับรู้ว่าตอนนี้ไม่มีย่าอมินตาเคียงข้างอย่างที่ผ่านมาแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่หล่อนต้องใช้ชีวิตเอง รับผิดชอบตัวเองให้ได้ จะมาหวังความช่วยเหลือจากท่านเหมือนในอดีตไม่ได้อีกแล้ว

แต่ถึงกระนั้นเมื่อมีเรื่องยากๆเกิดขึ้นในชีวิต มาริณก็อดที่จะเข้ามาระบายกับย่าอมินตาไม่ได้เหมือนเคย

“คุณย่าคะ มีนอยากรู้จังเลยว่าตอนนี้พี่มิ้งค์อยู่ไหน” พูดพลางถอนหายใจ ชีวิตหลังเรียนจบของหล่อนไม่ได้สงบสุขอย่างที่คิด แต่กลับต้องเจอความวุ่นวายที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกันหลายด้าน

เรียกว่าเป็นช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยคำถาม ซึ่งแต่ละข้อไม่ใช่จะหาคำตอบได้ง่ายๆเสียด้วย







เสียงสวบสาบของหญ้าแห้งดังขึ้นยามที่มาริณก้าวไปข้างหน้า พื้นสูงๆต่ำๆทำให้หล่อนเดินอย่างทุลักทุเลและบางครั้งยังตกลงไปในหลุมที่ลึกกว่าครึ่งแข้ง

ตอนนี้รอบตัวของหญิงสาวมืดจนแทบมองไม่เห็นอะไร แต่ก็พอจะเดาออกว่าที่ที่หล่อนอยู่ตอนนี้เป็นป่า เพราะหนึ่งคือเสียงหรีดหริ่งเรไรของจั๊กจั่น สองคือระหว่างทางไม่ขาก็มือของหล่อนจะต้องไปเกี่ยวชนกับกิ่งไม้น้อยใหญ่เสมอ

มาริณไม่รู้ว่าตัวเองมาที่นี่ได้อย่างไร เพราะหากเป็นเวลานี้ หล่อนควรจะนอนห่มผ้าอุ่นๆอยู่บนเตียงนุ่มมากกว่า

“มีน…” เสียงคุ้นหูของใครคนหนึ่งลอยแว่วมาแต่ไกล

มาริณยืดคอขึ้นอย่างตื่นเต้น พยายามมองหาเจ้าของเสียงท่ามกลางความมืดมิด หล่อนอยากพบคนคนนั้นเร็วๆ เพราะมันคือเสียงของมัชฌิตาซึ่งไม่ได้เจอกันมานานนั่นเอง นอกจากเสียงของพี่แล้วมาริณยังได้ยินเสียงใบไม้ไหวซาไปมาด้วยแรงลมพัดอยู่รอบๆ

“พี่มิ้งค์ มีนมองไม่เห็นเลย” หล่อนเอ่ยเสียงอ้อนกับพี่สาวอย่างเคยชิน

“แล้วใครบอกให้เธอมาที่นี่ล่ะ มันอันตรายนะรู้ไหม” มัชฌิตาดุด้วยความเป็นห่วง

“ก็มีนอยากเจอพี่มิ้งค์นี่” มาริณว่า ก่อนจะถาม “ว่าแต่ที่นี่มันที่ไหนคะ ทำไมมืดจัง”

“จะรู้ไปทำไม”

“บอกหน่อยนะ นะๆๆ”

“ไม่ ฉันไม่มีเวลา ขอตัวก่อนนะ แล้วก็ไม่ต้องตามหาฉันอีกล่ะ” มัชฌิตาพูดเพียงแค่นั้นแล้วเสียงก็เงียบไป

มาริณรู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงตัวเองร้องเรียกพี่สาว หล่อนสะดุ้งตื่นขึ้นมาและพบว่าตอนนี้นอนหลับอยู่บนเตียงในห้องย่าอมินตา

“เราเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” หญิงสาวพึมพำพลางครุ่นคิดเรื่องความฝันเมื่อครู่

หรือว่าตอนนี้มัชฌิตาจะอยู่ในป่าจริงๆ แล้วหล่อนจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่ามันเป็นป่าที่ไหน ในเมื่อเมืองไทยออกจะมีป่าเยอะแยะขนาดนั้น

แต่เอาเถอะ อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลยและตามหาอย่างไร้ทิศทาง

“ขอบคุณมากนะคะคุณย่า” มาริณยิ้มให้ร่างไร้วิญญาณของผู้อาวุโสที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะเดินออกมาจากห้องนอนของท่านด้วยแววตาหมายมั่น

ท่านช่วยหล่อนส่วนหนึ่งแล้ว ส่วนที่เหลือคงต้องใช้ความสามารถเอาเอง


โปรดติดตาม...



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ม.ค. 2555, 23:17:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ม.ค. 2555, 23:22:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 2450





<< ตอนที่ 4 มาไม้ไหน   ดวงดาวแห่งรักของสองหัวใจ (บทส่งท้าย) >>
บุลินทร 1 ม.ค. 2555, 23:33:36 น.
คุณ Neferretti
ฮ่าๆ ถึงพระเอกจะกวน แต่เขาก็เป็นห่วงนางเอกนะ ส่วนเงาดำอ่านตอนนี้แล้วพอจะเดาออกหรือเปล่าครับว่าเป็นคุณย่าหรือไม่ใช่คุณย่า / ปีนี้ขอให้หัวเราะและยิ้มได้ตลอดปีนะครับ ^^

คุณ lovemuay
สวัสดีปีใหม่ครับ ขอให้มีความสุขมากๆเช่นกันนะครับ / จริงครับ นายเชนอาจจะเป็นคนปกป้องนางเอกก็ได้ ใครจะไปรู้ ^^

คุณ หมูอ้วน
มีคนจับผิดพระเอกได้ซะแล้ว แต่จะเป็นแผนอะไรต้องติดตามต่อไปนะครับ / สวัสดีปีใหม่ครับ ^^

คุณ ameerahTaec
นายเชนเล่นเข้ามาแบบไม่น่าไว้ใจ นางเอกเลยต้องระแวงครับ แต่ถ้าเจอกันที่อื่นไม่แน่ ยายมีนอาจจะใจอ่อนเร็วก็ได้ ^^


jink 2 ม.ค. 2555, 00:00:12 น.
อ่านไป ลุ้นไป แต่เงาดำๆ นั่นก็น่ากลัวเหมือนกันนะคะ เสียวแทนนางเอกเลยค่ะ


หมูอ้วน 2 ม.ค. 2555, 07:50:06 น.
อยากรู้เร็ว ๆ อ่ะค่ะ ว่าเงาดำ ๆ เป็นใคร


lovemuay 3 ม.ค. 2555, 11:57:20 น.
เงาดำน่าจะเป็นอีกคนที่อยากได้อความารีนเลยพยายามมาหานางเอกบ่อยๆ แต่น่าจะเป็นคนละผ่ายกะพระเอก


Zephyr 4 ม.ค. 2555, 00:06:02 น.
อืม เอาไงดี เริ่มไม่รู้จะเดาไงแล้ว เอ เงาดำนั่นน่าจะไม่ใช่ย่านะ หรือเป็นร่างที่สองของนายเชน ฮ่าๆๆ คิดไปได้เนอะ นายเชนถอดวิญญาณได้ แค่คิดก็ฮาแล้วอ่ะ ถ้าเงาดำนั่นเป็นย่า ก็คงตัวใหญ่มากกกกก ย่าอมินตานี่ จะตายทั้งที ตายดีๆก็ไม่ได้ ทิ้งปริศนาให้หลานๆอีก น่าเวียนหัวแทน แต่อยากรู้แล้วว่าย่ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่เนี่ย


ameerahTaec 4 ม.ค. 2555, 11:41:41 น.
สงสัยจังว่าเงาดำๆคือตัวอะไร - -


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account