ดวงใจพยศรัก
“ปกรณ์” ต้องรับหน้าที่ดูแล “มาทินา” น้องสาวของเพื่อน ที่นำมาฝากไว้ตั้งแต่เธออายุเพียง 14 ปี และเมื่อสิบปีผ่านไป สาวน้อยกลายเป็นสาวสะพรั่ง งดงามไม่มีที่ติ จึงทำให้หัวใจของผู้ปกครองหนุ่มเต้นโครมครามทุกครั้งที่ต้องอยู่ใกล้หญิงสาวในปกครอง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 3
ตอนที่ 3
ภายในห้องอาหารสไตล์ยุโรปสุดหรู บนชั้นสูงสุดของโรงแรมระดับห้าดาว ปกรณ์และมาทินานั่งอยู่ที่โต๊ะชิดผนังกระจก ซึ่งมองออกไปภายนอกจะเห็นทัศนียภาพยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ ในมุมกว้าง แสงไฟระยิบระยับตามอาคารและท้องถนนเบื้องล่าง สวยงามราวกับดาวบนดิน อีกทั้งเสียงเพลงรักหวานซึ้ง ซึ่งบรรเลงโดยนักเปียโนหญิงชาวต่างชาติ ที่ดังคลออยู่ภายในห้องอาหาร ก็ยิ่งทำให้ค่ำคืนนี้ เป็นค่ำคืนที่โรแมนติคที่สุดในความรู้สึกของมาทินาเลยทีเดียว
“ยิ้มแบบนี้ ชอบล่ะสิ” ปกรณ์ถาม เมื่อเห็นใบหน้านวลของหญิงสาวมีรอยยิ้มละไมแต่งแต้มอยู่ไม่รู้คลาย
“ชอบค่ะ ว่าแต่พี่ปกรณ์นึกยังไงคะ ถึงได้พาหนูนามาทานข้าวที่นี่” หญิงสาวละสายตาจากทิวทัศน์ด้านนอก แล้วหันกลับมาประสานสายตากับชายหนุ่มเบื้องหน้า เพื่อรอฟังคำตอบจากเขา
ปกรณ์เลื่อนฝ่ามือไปวางทับบนหลังมือของมาทินา ก่อนจะตอบว่า “อยากพามาเฉยๆ ไม่ได้เหรอ ทำไมต้องมีเหตุผลด้วย”
“ทำไมเดี๋ยวนี้กลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง แล้วก็มือไวแบบนี้คะเนี่ย ทีเมื่อก่อนหนูนาเข้าใกล้ก็คอยแต่จะเดินหนี” มาทินาพูดพลางใช้มืออีกข้างตบที่หลังมือของปกรณ์เบาๆ ทว่าก็ไม่ได้ชักมือตัวเองออก
ปกรณ์ฉวยโอกาสจับมือน้อยๆ ทั้งสองข้างรวบไว้ด้วยกัน แล้วบอกว่า “พี่อยากทำแบบนี้มาตั้งนานแล้วรู้ไหม แต่ก็กลัวว่าหนูนาจะไม่เต็มใจ”
“ตอนนี้หนูนาก็ไม่เต็มใจ...ปล่อยค่ะ” หญิงสาวพูดพลางดึงมือออกจากการเกาะกุมของปกรณ์ แล้วประสานกันไว้บนหน้าตักของตัวเอง
ปกรณ์มองใบหน้าเรียวสวยที่แดงก่ำแล้วอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ มาทินาน่ารักออกอย่างนี้ แล้วเขาจะอดใจไหวได้อย่างไร หญิงสาวคงไม่รู้หรอก ว่ายิ่งได้อยู่ใกล้เธอมากเท่าไร หัวใจของผู้ปกครองหนุ่มก็ยิ่งสั่นไหวมากเท่านั้น และเขาต้องทรมานเพียงใดกับการที่ต้องคอยห้ามใจตัวเอง ไม่ให้ล่วงเกินเธอเกินความเป็นพี่น้อง
“พี่ขออะไรหนูนาอย่างนึงได้ไหม” จู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยขอขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ขออะไรคะ !?” มาทินาเงยหน้าขึ้นถามด้วยความตกใจ เป็นเพราะความมือไว ปากไวของปกรณ์ ที่เดี๋ยวก็กอด เดี๋ยวก็หอม เดี๋ยวก็จูบ ทำให้หญิงสาวนึกหวั่นใจกับสิ่งที่เขาต้องการจากเธอ
“ตอบมาก่อนสิครับ ว่าถ้าพี่ขอ แล้วหนูนาจะให้” หางเสียงนุ่มนวลที่ปกรณ์จงใจเติมลงไปนั้น ทำให้หัวใจของคนฟังแทบจะละลายทุกครั้งที่ได้ยิน
“หนูนายังไม่รู้เลยว่าพี่ปกรณ์จะขออะไร แล้วจะตอบได้ยังไงล่ะคะ ว่าให้ได้หรือไม่ได้” หญิงสาวยังคงไม่ยอมรับปากง่ายๆ เพราะกลัวจะพลาดท่าตกหลุมพรางของเขา
“หนูนาให้พี่ได้อยู่แล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าหนูนาจะยอมหรือเปล่าเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มยังคงเลือกใช้น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลดังเดิม
“บอกมาก่อนสิคะว่าจะขออะไร ถ้าให้ได้ หนูนาก็จะให้ค่ะ” หญิงสาวตอบ แล้วเสมองแก้วน้ำเบื้องหน้า นึกหวั่นใจกับความต้องการของเขา
“พี่ขอให้หนูนาลาออกจากงาน แล้วไปทำงานที่บริษัทพี่ได้ไหม”
มาทินาลอบระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อสิ่งที่ปกรณ์ต้องการไม่ใช่สิ่งที่เธอกลัว ทว่ามันก็เป็นสิ่งที่สร้างความลำบากใจให้เธออยู่ไม่น้อยเช่นกัน “หนูนาคิดว่าเราคุยเรื่องนี้กันเข้าใจแล้วซะอีกนะคะ”
“พี่ไม่เข้าใจ” ปกรณ์ตอบทันควัน “ทำไมหนูนาไม่ยอมไปทำงานกับพี่ พี่ให้เงินเดือนมากกว่าที่หนูนาได้รับตอนนี้สิบเท่าก็ได้นะ”
“พี่ปกรณ์ก็เป็นซะแบบนี้” มาทินาตอบอย่างอ่อนใจ
“พี่เป็นยังไง” แม้จะคุยกันมาหลายครั้งแล้ว แต่มาทินาก็ไม่เคยบอกเหตุผลว่า เพราะเหตุใดเธอจึงไม่ยอมไปทำงานที่บริษัทของเขา “พี่เป็นถึงประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ปล่อยให้น้องสาวไปทำงานกับบริษัทเล็กๆ รับเงินเดือนๆ ละไม่กี่บาท พี่ทนไม่ได้”
แววตาของมาทินาหม่นแสงลง เมื่อได้ยินคำว่า น้องสาว ที่หลุดออกจากปากของปกรณ์ และคำนี้ก็ทำให้หญิงสาวนึกถึงคำพูดของสายทิพย์ ที่พูดกับเธอเมื่อเช้านี้ว่า ‘อย่าใฝ่สูงจนเกินศักดิ์’
ใช่สิ...คนอย่างเธอคงเป็นได้มากที่สุดก็แค่น้องสาวเขาเท่านั้นล่ะ !
“พี่ขอแค่นี้ ให้พี่ได้ไหม” ชายหนุ่มทวงถามคำตอบ เมื่อเห็นคนตรงหน้าเอาแต่นิ่งเงียบ
“ไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบพลางหันหน้ากลับมาสบตากับคนตรงหน้า ด้วยท่าทียึดมั่นในคำตอบของตัวเอง
“ทำไม ?” ปกรณ์ครางเบาๆ ด้วยความไม่เข้าใจ แล้วนึกโกรธตัวเอง ที่ใจอ่อนอนุญาตให้มาทินาอยู่ทำงานต่อกับบริษัทที่เธอไปฝึกงาน ตอนเทอมสุดท้ายของการเรียนปริญญาตรี ล่วงเลยมาสองปี จนเรียนจบปริญญาโท หญิงสาวก็ยังไม่ยอมลาออก และดูเหมือนว่าจะไม่ยอมลาออกง่ายๆ เสียด้วย
“ถ้าพี่ปกรณ์อยากรู้จริงๆ หนูนาก็จะบอก แต่หนูนาขอร้องนะคะ ว่าเราจะคุยเรื่องนี้กันเป็นครั้งสุดท้าย” หญิงสาวจ้องหน้าคนตัวโตที่ชอบเอาแต่ใจ ราวกับเป็นการบังคับให้เขารับปาก
“ถ้าเหตุผลฟังไม่ขึ้น พี่ก็ไม่โอเค” ผู้ปกครองหนุ่มโยกโย้
มาทินาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนตัดสินใจบอกเขาว่า “เหตุผลก็คือ หนูนาอยากดูแลตัวเองค่ะ หนูนาโตแล้ว ไม่อยากให้พี่ปกรณ์ต้องลำบากส่งเสียงเลี้ยงดูอีก”
“น้องสาวคนเดียวพี่เลี้ยงได้ ไม่เห็นจะลำบากตรงไหนเลย อีกอย่าง พี่ทนไม่ได้ที่เห็นหนูนาต้องไปเป็นลูกจ้างคนอื่น” ปกรณ์บอกอย่างไม่พอใจ เขาไม่อยากให้มาทินาต้องเหนื่อย ไม่อยากให้ใครมาชี้นิ้วสั่งงานหญิงสาวที่เขาเฝ้าเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม และเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ เขาอยากให้เธออยู่ใกล้ๆ อยากเห็นหน้าเธอทุกวินาที ซึ่งนับวันความรู้สึกนี้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ทว่าเหตุผลนี้ยังคงถูกซ่อนเร้นไว้ภายในใจของปกรณ์อย่างมิดชิด
อีกครั้งที่มาทินามีความรู้สึกจุกแน่นในอกเพราะคำว่า น้องสาว ทำไมคืนนี้เขาช่างขยันพูดคำที่ทำร้ายจิตใจเธอเสียเหลือเกิน หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง เพื่อรวบรวมกำลังใจ แล้วบอกเขาว่า “หนูนาคงไม่อยู่เป็นภาระของพี่ปกรณ์ไปตลอดชีวิตหรอกค่ะ วันนึงหนูนาก็ต้องไปจากชีวิตพี่ เพราะฉะนั้น หนูนาต้องหัดดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ค่ะ”
“ใครบอกว่าจะให้หนูนาไปจากพี่ !” ปกรณ์เสียงแข็งด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินว่าหญิงสาวมีความคิดที่จะไปจากเขา ทว่าคนฟังกลับเข้าใจผิดคิดว่าเขาตะคอกเธอ
“พี่ปกรณ์กำลังจะแต่งงานกับพี่พีชนี่คะ” มาทินาตอบเบาๆ
“ถ้าพี่แต่งงาน แล้วทำไมหนูนาจะอยู่กับพี่ไม่ได้ ในเมื่อหนูนาเป็นน้องสาวของพี่ เราอยู่ด้วยกันมาก่อนที่พี่จะหมั้นกับพีชซะอีก แล้วทำไมจะอยู่ต่อไปไม่ได้”
“หนูนาเป็นแค่น้องสาวของเพื่อน ไม่ใช่น้องแท้ๆ ของพี่ปกรณ์ พี่พีชคงไม่สบายใจที่จะมีคนอื่นอยู่ร่วมบ้าน” เหตุผลนั้นเป็นเพียงข้ออ้างที่มาทินาสรรค์สร้างมาปกปิดความจริงที่ว่า เธอมิอาจทนดูชายที่ตัวเองรักแต่งงานกับผู้หญิงอื่นได้ต่างหาก และมันคงเป็นความทรมานอย่างยิ่ง หากเธอต้องทนเห็นภาพของเขาและเธอเคียงคู่กันอยู่ทุกวัน
“หนูนาไม่ใช่คนอื่น” ปกรณ์สวนคำพูดออกไปอย่างรวดเร็ว
“ช้าหรือเร็ว วันนึงหนูนาก็ต้องไปค่ะ” หญิงสาวบอกเสียงเรียบ
“ทางเดียวที่หนูนาจะไปจากพี่ได้ก็คือ ภาษิตต้องมารับกลับเท่านั้น” ปกรณ์สร้างเงื่อนไขที่แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ เพื่อรั้งตัวหญิงสาวเอาไว้
มาทินารู้ว่ากำลังถูกตีรวน เพราะทั้งเขาและเธอต่างก็รู้ว่าภาษิตหายสาบสูญไปตั้งแต่สิบปีก่อน แล้วเขาจะกลับมารับเธอได้อย่างไร ในเมื่อปกรณ์รวนเธอก่อน เธอจึงรวนกลับไปบ้างว่า “แต่เมื่อวานพี่ปกรณ์บอกเองว่าถ้าหนูนาขายจูบให้พี่ครบหนึ่งร้อยครั้ง หนูนาก็ไปจากชีวิตพี่ปกรณ์ได้”
“พูดไม่รู้เรื่องแบบนี้จะให้พี่จับจูบซะตรงนี้เลยไหมฮ่ะ !” ชายหนุ่มเสียงดังอย่างหงุดหงิด คำก็จะไป สองคำก็จะไป อยู่กับเขามันทรมานมากนักหรืออย่างไร
“อย่าทำอะไรบ้าๆ ตรงนี้นะคะ นี่มันกลางร้านอาหารนะ”
“งั้นก็ไปทำที่อื่น” พูดจบ ปกรณ์ก็วางธนบัตรในจำนวนที่คิดว่าเพียงพอต่อค่าอาหารไว้บนโต๊ะ แล้วลากแขนมาทินาออกไปจากห้องอาหารแห่งนั้นทันที
ปกรณ์จับมาทินายัดเข้าไปภายในรถแบบไม่กลัวว่าร่างบอบบางนั้นจะบอบช้ำเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็วิ่งอ้อมไปยังฝั่งคนขับแล้วกระชากรถออกไปโดยเร็ว สารถีหนุ่มทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าคมคร้ามนั้นบูดบึ้ง มือหนากำพวงมาลัยแน่นจนเส้นเลือดที่หลังมือปูดโปนอย่างเห็นได้ชัด ท่าทีแบบนี้ ทำให้มาทินารู้ว่าเขากำลังโกรธ
“พี่ปกรณ์จะโกรธหนูนาไม่ได้นะคะ ในเมื่อพี่ปกรณ์เป็นคนเสนอเรื่องขายจูบให้หนูนาเอง หนูนาก็แค่สนองตอบเงื่อนไขของพี่ปกรณ์เท่านั้น หนูนาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” มาทินาต่อว่าเสียงสะบัด และเมื่อสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มขับรถออกนอกเมือง เธอจึงร้องถามเขาว่า “พี่ปกรณ์จะพาหนูนาไปไหนคะ”
ปกรณ์ขบกรามแน่นไม่ตอบโต้ และไม่ว่ามาทินาจะถามอะไร จะพูดอะไรชายหนุ่มก็เอาแต่นิ่งเงียบสถานเดียว
“นี่พี่ปกรณ์จะไม่พูดกับหนูนาจริงๆ ใช่ไหมคะ” หญิงสาวหันไปจ้องใบหน้าด้านข้างของสารถีหนุ่มอย่างไม่พอใจ และเมื่อเขายังคงนั่งนิ่งดังเดิม เธอจึงสะบัดหน้ากลับไปยังท้องถนนเบื้องหน้า แล้วบอกเขาว่า “ตามใจ ไม่อยากพูดก็อย่าพูด อยากพาหนูนาไปขึ้นสวรรค์ลงนรกที่ไหนก็เชิญ แล้วก็อย่ามาง้อให้หนูนาพูดด้วยทีหลังก็แล้วกัน”
‘อย่ายั่วโมโหกันให้มากนักนะยายตัวแสบ เดี๋ยวก็พาไปขึ้นสวรรค์จริงๆ ซะเลยนี่’ ปกรณ์คิดในใจพลางชำเลืองมองร่างบางที่เอนหลังแนบไปกับเบาะ ใบหน้าเรียวเล็กหันออกนอกหน้าต่าง เหมือนทุกครั้งที่เธอปฏิบัติต่อเขาเวลาที่ถูกขัดใจ
ปกรณ์ขับรถไปจอดอยู่หน้าบ้านพักตากอากาศริมทะเลหัวหินในเวลาตีหนึ่งกว่า เขาเหลียวมองตุ๊กตาหน้ารถที่นั่งหลับมาตลอดทาง แล้วโคลงศีรษะระอาใจกับความดื้อรั้นเอาแต่ใจของเธอยิ่งนัก และเมื่อเห็นลุงชื่น ชายวัยกลางคน รูปร่างท้วม ผิวคล้ำแดด ผู้มีหน้าที่ดูแลบ้านหลังนี้เดินตรงเข้ามาหา ชายหนุ่มก็รีบก้าวลงจากรถ
“สวัสดีครับนาย ผมทำความสะอาดบ้านไว้ให้เรียบร้อยแล้วนะครับ ของสดของแห้งก็จัดเตรียมไว้ให้ตามที่นายสั่งครบทุกอย่าง” ลุงชื่นรายงาน
“ขอบใจมาก แล้วก็ขอโทษด้วยที่โทร. มาสั่งกะทันหันแบบนี้” ปกรณ์บอกอย่างเกรงใจ เพราะเขาเพิ่งโทร. มาสั่งคนงานผู้นี้ ให้เตรียมเปิดบ้านไว้รอเขา ตอนที่ขับรถมาได้ครึ่งทาง เนื่องจากความพยศของคนที่นอนหลับอยู่ในรถนั่นเอง ที่ทำให้เขาอยากพาเธอมาปราบที่นี่ เพราะหากพากลับบ้านคงเคลียร์กันไม่สะดวก เนื่องด้วยมีสายทิพย์คอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา
“ไม่เป็นไรครับนาย มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” ลุงชื่นกล่าวพลางยื่นกุญแจบ้านให้ปกรณ์ แล้วขอตัวกลับไปยังบ้านพักของตน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักตากอากาศของเจ้านายหนุ่มไปเพียงไม่กี่เมตร
ปกรณ์เดินไปเปิดประตูรถด้านที่มาทินานั่งหลับตาพริ้มอยู่อย่างแผ่วเบา ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนห้วงนิทราที่แสนสุขของเธอ ชายหนุ่มย่อตัวลงพินิจมองใบหน้านวลปลั่งของหญิงสาวอย่างหลงใหล ก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนกลีบปากบาง ที่คอยแต่จะขยับเถียงเขาอยู่เป็นนิจด้วยความเผลอไผล และเมื่อตัดใจถอนริมฝีปากออก ปกรณ์ก็ช้อนร่างบอบบางขึ้นมาไว้แนบอก แล้วอุ้มเธอขึ้นไปบนบ้าน
ชายหนุ่มบรรจงวางร่างที่นอนหลับใหลลงบนเตียงนอนอย่างเบามือที่สุด แล้วเลื่อนกายไปที่ปลายเตียง เพื่อปลดรองเท้าส้นสูงที่หญิงสาวสวมอยู่ออกวางไว้บนพื้นข้างเตียง จากนั้นจึงเลื่อนกายกลับขึ้นไปถอดเสื้อสูทกึ่งลำลองของเธอออก จนเหลือเพียงเสื้อตัวในแขนกุด เผยให้เห็นหัวไหล่กลมกลึงขาวเนียน ฝ่ามือหนากำลังจะเอื้อมไปปลดเข็มขัดเส้นเล็กซึ่งคาดอยู่ที่เอวคอดกิ่ว ทว่าโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มมองชื่อ พิชชา ที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างลังเลใจครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกดรับสาย
“มีอะไรด่วนหรือเปล่าครับพีช โทร. มาซะดึกเลย”
“ขอโทษค่ะ คุณสะดวกคุยไหมคะ” ปลายสายถามเสียงเบา ด้วยความเกรงใจ
“คุยได้ครับ”
“พีชไปรอคุณที่บ้านหลายครั้งแต่ก็ไม่เจอ โทร. หาตั้งหลายครั้งคุณก็ไม่รับสาย เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” พิชชาถามด้วยความเป็นห่วง มากกว่าจะเป็นการซักฟอกแบบคนรักทั่วไป
“ช่วงนี้ผมงานยุ่งน่ะครับ” ปกรณ์แก้ตัว
“พรุ่งนี้คุณพอจะปลีกตัวมาหาพีชที่บ้านได้ไหมคะ คุณแม่พีชมีเรื่องจะคุยกับคุณน่ะค่ะ” คู่หมั้นสาวบอก
“คงไม่สะดวกครับ ตอนนี้ผมติดงานอยู่ที่ต่างจังหวัด อีกสองสามวันถึงจะกลับ คุณแม่คุณมีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มถามด้วยความเกรงใจผู้ใหญ่ แต่ครั้นจะให้เขากลับไปตอนนี้ เขาก็ยังไม่อยากกลับ เพราะอุตสาห์ขับรถทางไกลพาเด็กดื้อมาปราบพยศถึงที่นี่ แล้วจะให้กลับไปทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไร ก็คงจะเป็นการเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์
“คุณแม่ท่านหาฤกษ์แต่งงานให้เราได้แล้วค่ะ” ปลายสายบอกด้วยน้ำเสียงเก้อเขินเล็กน้อย เพราะถึงแม้จะเป็นคู่หมั้นกันมานานถึงสองปี แต่พิชชาผู้ซึ่งได้รับการอบรมมาอย่างดี จนเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว ก็อดที่จะกระดากใจไม่ได้ เมื่อต้องเป็นฝ่ายพูดเรื่องการแต่งงานก่อน แทนที่จะเป็นฝ่ายชาย
“ฤกษ์แต่งงาน !” ปกรณ์ตกใจ เผลออุทานเสียงดัง “เมื่อไรครับ”
“อีกสามเดือนค่ะ”
“อีกสามเดือน !” ชายหนุ่มตกใจอีกคำรบ และคราวนี้เขาก็ทวนคำเสียงดังกว่าเดิม “ทำไมมันกระชั้นชิดนักล่ะครับ”
“ก็เพราะมีเวลาเตรียมตัวน้อยนี่แหละค่ะ พีชถึงร้อนใจ อยากคุยกับคุณเรื่องการเตรียมงาน” พิชชาบอกด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย เกรงว่าจะเตรียมงานไม่ทัน
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมให้สิทธิ์คุณเป็นคนตัดสินใจ คุณเลือกทุกอย่างตามที่คุณชอบได้เลย” ชายหนุ่มบอก ก่อนที่จะตัดบท “แค่นี้ก่อนนะครับพีช แล้วผมจะโทร. หานะ”
ปกรณ์ระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด ด้วยความหนักใจกับฤกษ์แต่งงานที่เพิ่งได้รับทราบ ชายหนุ่มไม่รู้สึกยินดีกับงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะการหมั้นหมายของเขา เกิดขึ้นเพราะผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเห็นสมควร และในขณะนั้นเขาเองก็ไม่มีใคร ส่วนพิชชาก็เป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อม ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ไม่ว่าจะเป็นชาติตระกูลซึ่งสืบเชื้อสายผู้ดีเก่า อีกทั้งฐานะก็ทัดเทียมกันกับเขา ดังนั้นเขาจึงยอมหมั้นตามความเห็นชอบของพิมลวรรณ ผู้เป็นน้องแท้ๆ ของมารดาผู้ล่วงลับของเขา ปกรณ์คิดว่าเขาคงทำใจให้รักผู้หญิงดีๆ แบบพิชชาได้ไม่ยาก ทว่าสองปีผ่านไป เขาก็ยังคิดกับเธอได้แค่เพื่อนเท่านั้น
ชายหนุ่มสลัดเรื่องแต่งงานทิ้ง แล้วหันกลับไปให้ความสนใจกับหญิงสาวที่นอนหลับอยู่บนเตียงอีกครั้ง แต่แล้วดวงตาสีนิลของปกรณ์ก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อพบว่ามาทินานอนลืมตาโพลงจ้องมองเขาอยู่
“ตื่นตั้งแต่เมื่อไร” ปกรณ์เอ่ยถามเบาๆ ด้วยความรู้สึกสะท้านในอก เมื่อเห็นแววตาคู่สวยส่อแววตัดพ้ออย่างเห็นได้ชัด
“ก็ตั้งแต่เสียงโทรศัพท์ดัง” หญิงสาวตอบพลางชันตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง แล้วพูดต่อว่า “ยินดีด้วยนะคะ...ว่าที่เจ้าบ่าว”
“หนูนา...” ชายหนุ่มเรียกชื่อของคนตรงหน้าแผ่วเบาราวกระซิบ รู้สึกเจ็บแปลบกับคำพูดแสดงความยินดีของเธออย่างบอกไม่ถูก
มาทินากรอกตามองไปรอบห้องด้วยความแปลกใจ คิ้วเรียวบางขมวดเข้าหากันครู่หนึ่งก่อนจะคลายออก เมื่อจำได้ว่าที่นี่คือบ้านพักตากอากาศที่หัวหินของปกรณ์ ซึ่งเธอเคยมาบ่อยเสียจนจำได้ทุกซอกทุกมุม
“พี่ปกรณ์พาหนูนามาหัวหินทำไมคะ !?”
“ก็หนูนาชอบที่นี่ พี่ก็เลยพามาพักผ่อนยังไงล่ะ” ปกรณ์ปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้กลับมาเป็นปกติ
“แต่ตอนนี้หนูนาไม่ได้อยากมานี่คะ” หญิงสาวตั้งท่าจะลงกระโจนลงจากเตียง
“จะไปไหน” ชายหนุ่มถามเสียงเข้ม แล้วกดไหล่ทั้งสองข้างของหญิงสาวให้กลับลงไปพิงหัวเตียงดังเดิม
“จะกลับกรุงเทพฯ พรุ่งนี้หนูนาต้องไปทำงานนะคะ”
“พี่โทร. ไปลาออกให้แล้ว” ชายหนุ่มบอกหน้าตาเฉย
“พี่ปกรณ์ ! พี่บ้าไปแล้วเหรอคะ ทำแบบนี้ได้ยังไง เผด็จการที่สุด หนูนาไม่ยอมนะ พี่จะมาบังคับหนูนาแบบนี้ไม่ได้นะ” มาทินาพูดพลางรัวกำปั้นน้อยๆ ลงบนแผงอกแกร่งของผู้ปกครองหนุ่มเป็นพัลวัน
“ใจเย็นๆ สิหนูนา ฟังพี่ก่อน” ปกรณ์รวบมือทั้งสองข้างของหญิงสาวมากุมไว้
“ไม่ฟัง ! คนใจร้าย คนบ้าอำนาจ คนเผด็จการ” หญิงสาวพยายามดึงมือตัวเองออกทว่าไม่เป็นผล
“ต้องฟัง”
“ไม่ฟัง !” มาทินาดิ้นพล่านไม่หยุด
“อย่าดื้อนะครับคนดี...ฟังพี่นิดนึง” ปกรณ์กล่าวพลางรวบร่างบอบบางมากอดไว้แนบอกอย่างแน่นหนา จนก้อนเนื้อนุ่มที่อยู่ภายใต้เสื้อแขนกุดตัวบางของมาทินา เบียดบดไปกับแผงอกแกร่งของเขา ชายหนุ่มกดคางลงบนบ่าเล็กๆ ของคนฤทธิ์มาก แล้วกระซิบบอกแผ่วเบาว่า “พี่ล้อเล่น พี่ไม่ได้โทร. ไปลาออกให้หรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูนาก็โทร. ไปลาพักร้อนก็แล้วกัน เราจะอยู่ที่นี่กันสักสองสามวันนะ”
“นี่แน่ะ...ชอบแกล้งหนูนาดีนัก” คนถูกกอดสอดมือไปทางด้านหลังของร่างหนา แล้วรัวฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของเขาหลายครั้งติดกัน
“โอ๊ย...พี่เจ็บนะหนูนา” ชายหนุ่มแกล้งสำออยทั้งที่ไม่เจ็บแม้แต่น้อย แล้วเอาคืนด้วยการจูบซุกไซร้ซอกคอขาวผ่องของหญิงสาว เป็นผลให้คนในอ้อมกอดหยุดทุบตีเขาทันที
“อย่าค่ะ...” ฝ่ามือเล็กๆ เลื่อนกลับมาดันอกหนาของชายหนุ่มออก แต่ก็สู้แรงเขาไม่ไหว
ปกรณ์ระดมจูบไปทั่วลำคอระหง ทิ้งรอยแดงเป็นจ้ำตามเส้นทางที่ริมฝีปากอุ่นของเขาลากผ่าน ริมฝีปากร้ายกาจขบเม้มเบาๆ ที่ติ่งหูของหญิงสาว ก่อนที่คนเจ้าเล่ห์จะแกล้งเป่าลมร้อนแผ่วเบาเข้าที่ช่องหูอย่างยั่วเย้า จากนั้นจึงกระซิบถามด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า
“จะดื้ออีกไหม”
“ไม่ค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงสั่นสะท้าน ซุกซ่อนใบหน้าไว้กับอกกว้างของชายหนุ่ม
“จะทำร้ายร่างกายพี่อีกไหม”
“ไม่ค่ะ”
คราวนี้ปกรณ์ใช้สองมือประคองใบหน้าเรียวเล็กของมาทินาให้เงยขึ้น แล้วกดจูบหนักๆ ลงบนหน้าผากมนของเธอ จูบไล่ลงมาที่ปลายจมูก พวงแก้มแดงระเรื่อทั้งสองข้าง และเป้าหมายสุดท้ายคือริมฝีปากนุ่มนิ่ม ชายหนุ่มคลอเคลียขบเม้มกลีบปากบางอย่างเพลิดเพลิน บางจังหวะก็ไล้เรียวลิ้นอุ่นชื้นไปตามร่องริมฝีปากของหญิงสาว และเมื่อเธอเผลอเผยอริมฝีปากขึ้น ชายหนุ่มก็ฉวยโอกาสแทรกเรียวลิ้นร้อนของตนเข้าไปหยอกเย้ากับลิ้นเรียวเล็กอย่างไม่รีรอ ชายหนุ่มส่งเสียงครางในลำคออย่างพอใจ เมื่อรู้สึกว่าหญิงสาวเริ่มโอนอ่อนผ่อนตาม และยอมเรียนรู้สิ่งใหม่ที่เขากำลังสั่งสอนอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“เป็นเด็กดีแบบนี้น่ารักมากรู้ไหมครับ” ปกรณ์บอกหลังจากถอนริมฝีปากออก
มาทินาหายใจหอบถี่ทำตัวไม่ถูกหลังจากถูกขโมยจูบโดยไม่ทันตั้งตัว แม้จะไม่ใช่ครั้งแรก ทว่าครั้งนี้เป็นจูบที่เร่าร้อนและลึกซึ้งกว่าหลายครั้งที่ผ่านมา จูบของเขาทำให้เธอแทบขาดใจตาย และมันก็ทำให้เธอเคลิบเคลิ้ม จนเผลอโอบกอดเขาไว้แน่นอย่างน่าละอาย
ชายหนุ่มระบายยิ้มเอ็นดูกับปฏิกิริยาของหญิงสาว แล้วแกล้งแซวว่า “ถูกจูบแค่นี้ก็หอบซะแล้ว ถ้าพี่ทำอะไรมากกว่านี้หนูนาไม่เหนื่อยตายเหรอเนี่ย” พูดจบ ชายหนุ่มก็กดร่างบอบบางให้นอนราบลงบนที่นอนหนานุ่ม แล้วใช้สองแขนยันคร่อมร่างเธอเอาไว้
“พี่ปกรณ์จะทำอะไรคะ...ไม่นะ !”
ชายหนุ่มเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ใบหน้าสวยหวาน ที่ยามนี้แก้มทั้งสองข้างแดงปลั่งยิ่งกว่าผลมะเขือเทศสุก แล้วขบเบาๆ ที่ปลายจมูกแหลมเล็กของเด็กดื้ออย่างมันเขี้ยวหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงแนบริมฝีปากลงบนกลีบปากบาง แล้วเบียดบดด้วยความเสน่ห์หาอย่างสุดใจ ครู่หนึ่งเขาก็ตัดใจถอนริมฝีปากออก ก่อนที่จะหยุดตัวเองไม่ได้
“ฝันดีนะครับ” ปกรณ์บอกอย่างนุ่มนวล แล้วเดินออกจากห้อง เพื่อไปนอนอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ติดกัน เรื่องราวที่อยากเคลียร์เก็บไว้คุยพรุ่งนี้เช้า คืนนี้เขาต้องรีบพาตัวเองออกไปให้ห่างจากมาทินาให้มากที่สุด ก่อนที่เขาจะเผลอกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว
ธรรม์ธีรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ม.ค. 2555, 10:54:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ม.ค. 2555, 10:54:46 น.
จำนวนการเข้าชม : 2036
<< ตอนที่ 2 |
ธรรม์ธีรา 3 ม.ค. 2555, 10:56:38 น.
ฝากไว้อีกตอนนะคะ
คุณหมูอ้วน - เดี๋ยวคุณป้าสายชีจะร้ายขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ (แอบสปอยล์ อิอิ)
ฝากไว้อีกตอนนะคะ
คุณหมูอ้วน - เดี๋ยวคุณป้าสายชีจะร้ายขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ (แอบสปอยล์ อิอิ)
หมูอ้วน 3 ม.ค. 2555, 14:59:44 น.
พี่ปกรณ์ก็พูดไม่เคลียร์เน๊อะ "น้องสาวตลอดเลยอ่ะค่ะ"
พี่ปกรณ์ก็พูดไม่เคลียร์เน๊อะ "น้องสาวตลอดเลยอ่ะค่ะ"
ไม้เอก 5 ม.ค. 2555, 10:17:40 น.
จะต้องแต่งงานแล้ว พี่ปกรณ์จะทำยังไงต่อไปละเนี่ย
จะต้องแต่งงานแล้ว พี่ปกรณ์จะทำยังไงต่อไปละเนี่ย
aom 5 ม.ค. 2555, 10:23:25 น.
น่าสงสารหนูนาอ่ะ
น่าสงสารหนูนาอ่ะ