ดวงใจพยศรัก
“ปกรณ์” ต้องรับหน้าที่ดูแล “มาทินา” น้องสาวของเพื่อน ที่นำมาฝากไว้ตั้งแต่เธออายุเพียง 14 ปี และเมื่อสิบปีผ่านไป สาวน้อยกลายเป็นสาวสะพรั่ง งดงามไม่มีที่ติ จึงทำให้หัวใจของผู้ปกครองหนุ่มเต้นโครมครามทุกครั้งที่ต้องอยู่ใกล้หญิงสาวในปกครอง




Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 2



ตอนที่ 2



มาทินาขยับเปลือกตาขึ้นแล้วกะพริบช้าๆ สองถึงสามครั้ง เพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงของเช้าวันใหม่ และเมื่อชินกับสภาพแสงแล้ว หญิงสาวก็พบว่า ตัวเองนอนอยู่ในห้องของปกรณ์ บนเตียงนอนของเขา และกำลังนอนหนุนแขนของเขาอยู่อีกต่างหาก หญิงสาวหลับตาลงอีกครั้ง แล้วนึกถึงเหตุการณ์ก่อนนอนเมื่อคืนนี้
หลังจากที่ปกรณ์ขอจูบเธออีกหนึ่งครั้ง แล้วบอกว่าจะปล่อยให้นอนนั้น เขาก็ทำตามที่พูดจริง หากแต่ไม่ได้ปล่อยให้เธอกลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง เขารั้งเธอไว้นอนกอดแทนหมอนข้างทั้งคืน และหมอนข้างดิ้นได้ใบนี้ก็ดูเหมือนจะถูกใจเขามาก จนกอดไว้แน่นไม่ยอมให้ห่างกาย


มาทินาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายกำยำของปกรณ์ ที่แนบนาบอยู่ตลอดแนวแผ่นหลังของเธอ ตั้งแต่ช่วงไหล่ไปจนถึงบั้นเอว รวมถึงต้นขาด้านหลังที่โผล่พ้นชายกระโปรงชุดนอน ก็แนบสนิทอยู่กับหน้าขา ที่โผล่พ้นขากางเกงบอกเซอร์ของเขาลงไปเช่นกัน เมื่อเนื้อแนบเนื้อจึงทำให้เกิดความอบอุ่น จนเกือบจะร้อนรุ่มได้อย่างประหลาด


มาทินาเอื้อมมือไปจับมือหนาของปกรณ์ที่วางทาบทับอยู่บนหน้าท้องแบนราบของตัวเองออก ก่อนจะพลิกตัวหันหน้าเข้าหาชายหนุ่มผู้มอบความอบอุ่นให้เธอตลอดทั้งคืน ดวงหน้าเรียวเล็กแหงนเงยขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้ปกครองหนุ่ม ด้วยแววตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยความรัก เมื่อก่อนเธออาจจะไม่มั่นใจว่า รู้สึกกับเขาแบบพี่ชายกับน้องสาว หรือแบบผู้หญิงคนหนึ่งพึงรักผู้ชายคนหนึ่ง แต่หลังจากผ่านการทดสอบหัวใจตัวเองเมื่อคืนนี้แล้ว มาทินาก็มั่นใจว่าเธอรักเขาแบบที่พร้อมยอมพลีให้ทั้งกายและหัวใจ หาใช่ความรักแบบพี่น้องอีกต่อไป
หญิงสาวไล้ปลายนิ้วไปตามแนวรูปหน้าของคนที่ยังนอนหลับสนิท นิ้วเรียวเล็กไล้เรื่อยลงมาจนกระทั่งถึงปลายคางโค้งมน จากนั้นก็ประทับริมฝีปากตามไปอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะเลื่อนไปยังปลายจมูกโด่งเป็นสัน และแก้มทั้งสองข้างของเขา ทุกสัมผัสเป็นไปอย่างนุ่มนวล ด้วยเกรงว่าคนถูกลักหลับจะตื่น


“ปากด้วยสิ” ปกรณ์ลืมตาขึ้นบอก พร้อมกับตวัดแขนไปรั้งร่างบางให้ลงมานอนทาบทับอยู่บนอกกว้างของตน


“พี่ปกรณ์ !” มาทินาตกใจ รีบก้มหน้าซ่อนความอาย “พี่ปกรณ์แกล้งหนูหนาเหรอคะ คนนิสัยไม่ดี”


“ก็ทำแบบที่หนูนาทำกับพี่เมื่อคืนนี้ไง” ชายหนุ่มตอบแววตากรุ้มกริ่ม


“บ้า...พี่ปกรณ์บ้าที่สุดเลย หนูนาเกลียดพี่ปกรณ์” หญิงสาวต่อว่าพลางยกกำปั้นน้อยๆ ทุบแผงอกแกร่งเป็นพัลวัน


“เกลียดพี่ แต่ก็จะลักหลับพี่” ปกรณ์พูดกลั้วหัวเราะ แล้วจับร่างบางพลิกให้นอนหงายลงไปบนเตียง ส่วนตัวเขาก็นอนตะแคงข้าง โดยใช้มือข้างหนึ่งหนุนศีรษะเอาไว้ อีกข้างหนึ่งก็ยกขึ้นไล้ใบ้หน้าเรียวแบบเดียวกับที่เธอทำกับเขาเมื่อครู่


มาทินาเบี่ยงหน้าหลบสายตาวาววับของปกรณ์ แต่เขาก็เอื้อมมือไปประคองใบหน้าของเธอให้หันกลับมาสบตากับเขาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะกดปลายจมูกลงบนพวงแก้มแดงระเรื่อ แล้วสูดเอากลิ่นกายสาวเข้าไปจนเต็มปอด


“พี่ปกรณ์ปล่อยหนูนาเถอะค่ะ หนูนาจะรีบกลับห้อง” หญิงสาวพูดพลางปัดมือของเขาออก แล้วลุกขึ้นนั่ง ทำให้คนที่นอนอยู่ต้องลุกตามไปด้วย


“จะรีบไปไหนล่ะ นอนต่ออีกหน่อยก็ได้ เพิ่งจะหกโมงเอง” คนมือไวรวบร่างบางเข้ามากอดไว้หลวมๆ


“เดี๋ยวคุณป้าสายมาเห็นจะเข้าใจผิดนะคะ หนูนาไม่อยากถูกคุณป้าดุ” มาทินาตอบเสียงเบา เธอรู้ว่าสายทิพย์ไม่ชอบหน้าเธอตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ที่นี่แล้ว มิหนำซ้ำยังคอยกันท่าไม่ให้เธอใกล้ชิดกับปกรณ์อีก


“ไม่เห็นเกี่ยวกับป้าสายเลยนี่”


“คุณป้าสายไม่ชอบให้หนูนาเข้าใกล้พี่ปกรณ์ คุณป้าสายหวงพี่ปกรณ์ไว้ให้พี่พีช” น้ำเสียงที่เอ่ยถึงพิชชา ผู้เป็นคู่หมั้นของปกรณ์นั้นติดจะงอนอยู่เล็กน้อย จนเจ้าตัวนึกโกรธตัวเองที่พอรู้ใจตัวเองว่ารักเขาไม่ทันไร ก็เผลอแสดงอาการน้อยอกน้อยใจออกมาเสียแล้ว


ปกรณ์มองหน้าคนหน้าง้ำในอ้อมกอดอย่างรู้ทัน แต่ก็แกล้งถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “งอนอะไร...หือ”


“ไม่ได้งอนซักหน่อย” มาทินาก้มหน้าตอบ


“ถ้าไม่งอนก็ยิ้มให้พี่หน่อยสิ” ปกรณ์กล่าวพลางเชยคางของหญิงสาวให้เงยขึ้นสบตากับเขา


“หนูนาไม่อยากยิ้ม”


“เด็กดื้อ” มือหนาที่เชยคางเล็กมนอยู่นั้นเลื่อนขึ้นไปขยี้ปลายจมูกของหญิงสาวอย่างมันเขี้ยว


“ก็ใครจะไปดีเท่าพี่พีชล่ะคะ” มาทินาสะบัดหน้าให้พ้นมือของปกรณ์ แล้วก้าวลงจากเตียง แต่ยังไปไม่ถึงไหน ก็ถูกปกรณ์ตามไปรวบตัวเอาไว้


“ปล่อยหนูนานะ” หญิงสาวพูดพลางแกะวงแขนแข็งแกร่งที่โอบอยู่รอบเอวของตัวเองออก ทว่าไม่เป็นผล “เมื่อก่อนนี้ไม่ชอบให้หนูนาเข้าใกล้ไม่ใช่เหรอ แล้วตอนนี้มากอดหนูนาทำไม ปล่อยนะ...ปล่อย”


ปกรณ์ทอดสายตามองคนในอ้อมกอดด้วยรอยยิ้มสุขใจ เขาอยากทำแบบนี้กับเธอมาตั้งนานแล้ว แต่เป็นเพราะสถานภาพผู้ปกครองที่คล้องคออยู่ ทำให้เขาต้องพยายามหักห้ามใจตัวเองมาตลอด และที่ต้องคอยเดินหนีทุกครั้งที่มาทินาเข้าใกล้ ก็เพราะกลัวจะควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วเผลอทำอะไรตามใจตัวเอง โดยที่หญิงสาวไม่เต็มใจ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเธอเต็มใจ ดังจะเห็นได้จากการที่เธอยอมโอนอ่อนผ่อนตามยามที่ถูกเขาจูบ หรือแม้กระทั่งยอมให้เขานอนกอดทั้งคืนนั่นอีกด้วย


“นั่นมันเรื่องของเมื่อก่อน ไม่เกี่ยวกับตอนนี้” ชายหนุ่มบอกพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น


“พี่ปกรณ์ไม่มีเหตุผล” หญิงสาวต่อว่าเขาหน้าง้ำเหมือนเดิม


“ไหนบอกมาสิว่างอนพี่เรื่องอะไร...หึงเหรอ ?”


“จะบ้าเหรอ หนูนาไม่ได้หึงพี่ปกรณ์ซะหน่อย อย่ามาขี้ตู่นะ” มาทินาแกล้งโวยวายกลบเกลื่อน แล้วดันตัวเองออกจากวงแขนของปกรณ์


“ไม่เชื่อ”


“บอกว่าเปล่าไง” หญิงสาวตอบปฏิเสธ แล้วรีบวิ่งออกจากห้อง เพราะหากขืนอยู่นานกว่านี้มีหวังคงต้องถูกต้อนจนต้องยอมรับว่าหึงเขาแน่ๆ


สายทิพย์ตกใจ ยกมือทาบอก เมื่อเห็นมาทินาวิ่งออกมาจากห้องนอนของปกรณ์แต่เช้าตรู่ ภาพที่เห็นทำให้แม่บ้านสูงวัยคิดว่า ปกรณ์และมาทินามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้วอย่างช่วยไม่ได้ แต่สายทิพย์ก็บอกตัวเองว่า เธอจะต้องจับคนทั้งคู่แยกออกจากกันให้ได้ เธอยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้หลานชายตัวเองเอาเด็กในบ้านเป็นภรรยา ผู้หญิงที่คู่ควรกับปกรณ์มีเพียงพิชชา บุตรสาวนักธุรกิจใหญ่ ติดอันดับหนึ่งในสามของประเทศคนเดียวเท่านั้น


นอกจากนี้ สายทิพย์ยังรู้สึกอิจฉามาทินาที่ได้รับการเลี้ยงดูราวกับเป็นคุณหนูของบ้าน ทั้งที่เป็นคนอื่น ส่วนตัวเธอนั้นมีศักดิ์เป็นป้า แต่กลับได้รับตำแหน่งเป็นเพียงหัวหน้าแม่บ้าน แม้ว่าปกรณ์จะให้เกียรติ และบอกทุกคนว่าเธอเป็นญาติ แต่ฐานะความเป็นอยู่นั้นช่างแตกต่างจากมาทินาราวฟ้ากับเหว เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็มากเกินพอแล้ว เธอจะไม่มีวันยอมให้หญิงสาวได้ก้าวขึ้นไปเป็นผู้หญิงของบ้าน และเป็นเจ้านายของเธออย่างเต็มตัวเด็ดขาด


มาทินาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงไปนั่งรอรับประทานอาหารเช้าพร้อมปกรณ์ ที่ห้องอาหารประจำบ้าน สายทิพย์เห็นหญิงสาวนั่งอยู่คนเดียวจึงรีบปรี่เข้าไปหา


“นั่งเสนอหน้าเป็นเจ้าเป็นนายเชียวนะ อย่าลืมสิว่าเธอมันก็แค่คนอาศัย เป็นแค่ตัวขัดดอก รอวันที่พี่ชายเธอมาไถ่ตัวคืนไป อย่าลืมกำพืดตัวเองสิ” แม่บ้านอาวุโสเฉือดเฉือนด้วยคำพูด สีหน้าและแววตา


“ความจริงหนูนาก็อยากช่วยงานคุณป้าสายนะคะ แต่พี่ปกรณ์ไม่ให้หนูนาทำ พี่ปกรณ์บอกว่าหนูนาเป็นน้อง ไม่ใช่ลูกจ้าง” มาทินาแสร้งพูดราวกับเป็นเด็กสาวไร้เดียงสา และเน้นหนักที่คำว่า ลูกจ้าง จนสายทิพย์หน้าม้านไปถนัดตา


“คุณปกรณ์ยกให้เป็นน้อง ก็นับว่าเกินฐานะตัวขัดดอกอย่างเธอมากโข อย่าได้คิดสูงจนเกินศักดิ์หน่อยเลย”


“คุณป้าสายหมายความว่ายังไงคะ หนูนาไม่เข้าใจ” มาทินาแกล้งตีหน้าซื่อ ทั้งที่รู้ความหมายในคำพูดของสายทิพย์เป็นอย่างดี


“ถ้าไม่รู้จริงๆ ฉันก็จะบอกเธอเอาบุญว่า อย่างดีเธอก็เป็นได้แค่นางบำเรอชั่วครั้ง ชั่วคราวเท่านั้นแหละ อย่าคิดว่าคุณปกรณ์จะยกย่องให้เป็นเมียออกหน้าออกตา เพราะตำแหน่งนั้นมีไว้สำหรับคุณพิชชาคนเดียวเท่านั้น จำใส่กะลาหัวเอาไว้ด้วย” พูดจบ สายทิพย์ก็กระแทกที่รองจานลงบนโต๊ะอย่างแรง แล้วสะบัดหน้า เดินกลับเข้าไปในห้องครัว


‘ซวยแล้วยายหนูนาเอ๊ย อยู่ดีๆ ก็ถูกกล่าวหาว่าเสียสาวซะแล้ว’ มาทินารับรู้ได้โดยอัตโนมัติว่า สายทิพย์คงจะเห็นเธอออกจากห้องของปกรณ์เมื่อเช้านี้ แล้วคิดว่าเธอกับปกรณ์มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม คำพูดของสายทิพย์ ทำให้มาทินาอดคิดไม่ได้ว่า การที่ปกรณ์กอดจูบเธอนั้น อาจจะทำไปตามอารมณ์ดิบของผู้ชาย คงไม่ได้ทำเพราะความรัก เหมือนที่เธอยอมเขาเพราะความรัก คิดเพียงเท่านี้ ใบหน้าสวยหวานก็หม่นหมองลงไปถนัดตา


‘พี่ปกรณ์มีคู่หมั้นแล้วนะยายหนูนา อย่าคิดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้สิ อยู่ในฐานะน้องสาวของเขาตามเดิมนั่นแหละดีแล้ว’ หญิงสาวบอกตัวเอง แล้วหันไปหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นคล้องไหล่ แล้วเดินออกจากห้องรับประทานอาหาร ในจังหวะเดียวกัน ปกรณ์ก็เดินสวนเข้ามาพอดี ทว่ามาทินาก็ทำทีเป็นมองไม่เห็นเขา


“หนูนาจะรีบไปไหน” ชายหนุ่มพูดพลางตวัดมือไปคว้าต้นแขนของหญิงสาวเอาไว้ แล้วหันไปมองโต๊ะอาหารที่ว่างเปล่านิดหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ยังไม่ได้ทานข้าวเช้าเลยนี่”


“หนูนาไม่หิวค่ะ” มาทินาสะบัดแขนออกจากการเหนี่ยวรั้งของปกรณ์ แล้วรีบเดินหนี แต่ผู้ปกครองหนุ่มก็ก้าวยาวๆ ไปดักหน้าเธอเอาไว้


“งอนอะไรพี่อีกแล้วเนี่ย ?” ปกรณ์ยกมือขึ้นจับไหล่กลมกลึงของมาทินาแล้วบีบเบาๆ ก่อนจะพูดต่อไปอีกว่า “โตเป็นสาวแล้วนะ ยังจะแสนงอนเป็นเด็กๆ อยู่อีก”


“ก็บอกว่าไม่ได้งอน” หญิงสาวบอกทั้งที่ใบหน้างอง้ำ ช่างตรงกันข้ามกับคำพูดของเธอยิ่งนัก


“ไม่งอนก็ไม่งอน งั้นก็ไปนั่งทานข้าวด้วยกันก่อน” ปกรณ์พูดพลางเลื่อนมือไปโอบไหล่ของมาทินา แล้วบังคับเดินไปนั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งของเธอ ทว่าคนแสนงอนก็ยังคงดื้อดึงไม่ยอมนั่ง


“หนูนาไม่ทานค่ะ หนูนาจะรีบไปทำงาน” พูดจบ หญิงสาวก็รีบวิ่งออกจากห้องรับประทานอาหาร ปล่อยให้ปกรณ์มองตามแบบไม่เข้าใจ


สายทิพย์ที่ถือถาดอาหารเช้าหลบอยู่หลังประตูยิ้มเยาะด้วยความสะใจ เมื่อเห็นมาทินามีปฏิกิริยาจากคำพูดของเธอ ‘รู้จักเจียมตัวซะบ้างก็ดี !’



ตั้งแต่ช่วงเช้าจนกระทั่งบ่าย ปกรณ์นั่งทำงานแบบไม่ค่อยมีสมาธิสักเท่าใด เพราะมัวแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่มาทินางอนเขาไม่หายสักที แถมเช้านี้ยังไม่ยอมนั่งรับประทานอาหารเช้ากับเขาอีก ซึ่งผิดจากทุกวันที่หญิงสาวจะต้องเป็นฝ่ายออดอ้อนให้เขานั่งเป็นเพื่อน


“บอสคะ คุณมลลี่จากมูลนิธิรอยยิ้มเพื่อน้องมาขอพบค่ะ” เสียงของพัสรี เลขาสาวดังมาจากเครื่องอินเตอร์คอมพ์ที่วางอยู่มุมโต๊ะทำงานของปกรณ์


ชายหนุ่มกระตุกหัวคิ้วเข้าหากันอย่างงุนงง จำไม่ได้ว่าเขาไปเกี่ยวข้องกับมูลนิธินี้ตั้งแต่เมื่อไร เมื่อคิดไม่ออก ผู้เป็นเจ้านายจึงเอ่ยถามเลขาสาวกลับไปว่า “เขามาติดต่อเรื่องอะไร ถ้าไม่สำคัญมาก คุณก็รับเรื่องแทนผมเลยก็แล้วกัน ตอนนี้ผมยังไม่อยากพบใคร”


“คุณมลลี่เอาของที่บอสประมูลได้เมื่อวานนี้มาให้ค่ะ” เลขาสาวตอบ


ปกรณ์นึกถึงงานประมูลจูบของมาทินาขึ้นมาได้ทันที จึงรีบบอกว่า “งั้นก็ให้เข้ามาพบผมได้เลย”
พัสรีเดินนำมลลี่เข้าไปในห้องทำงานของปกรณ์ และเมื่อจัดที่นั่งให้แขกเรียบร้อยแล้ว ตัวเองก็นั่งลงบนเก้าอี้ว่างอีกตัว เพื่อเตรียมทำหน้าที่เลขา


“คุณพัสรีมีงานอะไรค้างอยู่ก็ไปทำเถอะ เรื่องนี้ผมจะจัดการเอง” ปกรณ์ไม่อยากให้เลขาส่วนตัวรู้เรื่องการประมูลจูบของมาทินา


“ค่ะบอส” เลขาสาวรับคำ แล้วเดินออกจากห้อง


“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อมลลี่ เป็นเลขานุการประธานมูลนิธิรอยยิ้มเพื่อน้อง ดิฉันนำของที่คุณชนะการประมูลเมื่อวานนี้มามอบให้ค่ะ” หญิงสาวกล่าวแนะนำตัวจบ ก็ยื่นซองขนาดเอสี่พับครึ่งสีครีมเดินเส้นด้วยลวดลายสีทองสวยงามให้ปกรณ์


ชายหนุ่มรับมาถือไว้แบบงงๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงการ์ดที่บรรจุอยู่ภายในออกมา บนการ์ดใบนั้นมีลายมือตัวบรรจงที่คุ้นตาเขียนไว้ว่า ‘ขอบคุณที่ร่วมกันเติมเต็มรอยยิ้มให้กับน้องๆ ผู้ด้อยโอกาสค่ะ’ ลงลายมือชื่อที่มุมกระดาษว่า ‘มาทินา วงศ์วนารส’ และที่เด่นชัดที่สุดบนกระดาษแผ่นนั้นก็คือ รอยจุมพิตสีแดงสด ซึ่งจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าของลายเซ็นนั่นเอง


“นี่คือรอยจุมพิตของคุณมาทินา ที่คุณชนะการประมูลเมื่อวานนี้ ในราคาหนึ่งล้านบาทค่ะ” มลลี่บอกเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มนิ่งไปนาน


“นี่น่ะเหรอประมูลจูบ ?”


คำถามของปกรณ์จะคล้ายเป็นการรำพึงกับตัวเองเสียมากกว่าต้องการคำตอบ ทว่ามลลี่ก็อยากจะตอบ เพื่อให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่า มูลนิธิของเธอเป็นมูลนิธิที่ใสสะอาด มิได้มีเจตนาจะแสวงหาผลประโยชน์จากกิเลสตัณหาของบุรุษเพศแต่อย่างใด


“ใช่ค่ะ มูลนิธิของเราทำงานเพื่อการกุศลด้วยความบริสุทธิ์ใจ และผู้ที่เข้าร่วมประมูลเมื่อวานนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในที่มีเกียรติในวงสังคม ซึ่งต้องการทำบุญร่วมกัน และที่สำคัญเจ้าของรอยจุมพิตนี้ก็เป็นเพื่อนสนิทของดิฉันเอง รับรองว่าประวัติของเธอขาวสะอาดแน่นอนค่ะ”


ปกรณ์แปลกใจที่เขาไม่เคยรู้จักเพื่อนของมาทินาคนนี้เลย และการที่มลลี่ตามมาหาเขาถึงที่นี่ได้ก็คงเป็นเพราะมาทินาบอกเธอสินะ เพราะเมื่อวานตอนที่อุ้มมาทินาออกมาจากห้องประมูล เขาก็ไม่ได้ให้รายละเอียดส่วนตัวใดๆ ไว้เลย


ชายหนุ่มเซ็นเช็คเสร็จแล้วยื่นให้หญิงสาวตรงหน้า พร้อมกับบอกว่า “ผมเพิ่มให้เป็นสามล้านนะครับ ผมอยากช่วยเด็กๆ”


“ขอบคุณมากค่ะ เงินจำนวนนี้สามารถสร้างรอยยิ้มที่สวยงามให้เด็กๆ ได้หลายคนเลยล่ะค่ะ” มลลี่รับเช็คมาเก็บไว้ แล้วลากลับ


ปกรณ์พินิจมองรอยจุมพิตที่ประทับอยู่บนการ์ดใบสวยแล้วอดโกรธตัวเองไม่ได้ ที่ปล่อยให้อารมณ์หึงหวงอยู่เหนือเหตุผล จนเผลอทำเรื่องน่าอายต่อหน้าสารธารณชนลงไป แต่เมื่อคิดอีกที มันก็เป็นโอกาสดี ที่ทำให้เขาได้ทลายกำแพงในใจลงเสียที ชายหนุ่มระบายยิ้มให้กับรอยจุมพิตบนแผ่นกระดาษ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. หาผู้เป็นเจ้าของรอยประทับที่สุดแสนเย้ายวนใจนั้น อย่างห้ามใจไม่อยู่


“เย็นนี้พี่ไปรับที่ออฟฟิศนะ” ปกรณ์บอกทันทีที่มาทินากดรับสาย


“แล้วรถหนูนาล่ะ” หญิงสาวออกจะงงเล็กน้อย


“ก็จอดรถทิ้งไว้ที่นั่นแหละ เดี๋ยวพี่ให้คนขับรถไปขับกลับให้”

“ไม่เอา...” มาทินาทำเสียงกระเง้ากระงอด ไม่ยอมทำตาม

“อย่าดื้อสิ ให้พี่ไปรับนะ” ปกรณ์รวบรัดตัดความ แล้วกดวางสาย โดยไม่รอฟังความสมัครใจของอีกฝ่าย จากนั้นจึงกดอินเตอร์คอมพ์ไปสั่งเลขาหน้าห้องว่า “คุณพัสรีช่วยสั่งกุหลาบแดงให้ผมช่อนึงนะ ไม่ต้องช่อใหญ่มาก แต่ขอแบบที่ดูน่ารักๆ หน่อย”



หลังเลิกงาน มาทินารีบเก็บของและลงไปหามลลี่และกวางตุ้ง ซึ่งมานั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟชื่อดังใต้อาคารสำนักงานของเธอ ทั้งสามเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมต้น แต่ขาดการติดต่อกันไปเป็นเวลานาน เพราะมาทินาต้องย้ายโรงเรียนอย่างกะทันหัน และถูกนำตัวไปฝากไว้กับปกรณ์ ทว่าโชคชะตาก็พาให้หญิงสาวได้กลับมาพบกับมลลี่อีกครั้งโดยบังเอิญ เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อนตอนที่มาทินาไปบริจาคเงิน และร่วมทำกิจกรรมการกุศลกับมูลนิธิรอยยิ้มเพื่อน้องซึ่งมลลี่ทำงานอยู่ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งสามได้กลับมาพบกัน และนั่นก็คือเหตุว่า ทำไมมลลี่และกวางตุ้งจึงไม่รู้จักปกรณ์ เหมือนที่เพื่อนคนอื่นๆ ของมาทินารู้จัก


“เธอสองคนจะมาทำไมไม่นัดล่วงหน้า เกิดมาแล้วไม่เจอฉันก็เสียเวลาแย่” มาทินาพูดพลางนั่งลงร่วมโต๊ะกับมลลี่และกวางตุ้ง “วันนี้ฉันมีนัด แกสองคนมีอะไรก็รีบๆ พูดมาเลยนะ”


“ฉันอยากรู้เรื่องคุณปกรณ์ ที่ประมูลจูบแกได้เมื่อวานนี้น่ะ ก็เลยไปลากนังกวางตุ้งมาหาแกพร้อมกันเลย ฉันขี้เกียจไปเล่าให้มันฟังทีหลัง” มลลี่รีบบอก


“แกเล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะว่าผู้ชายที่หล่อที่สุดในสามโลกคนนั้นเป็นใคร” กวางตุ้ง เพื่อนสาวประเภทสอง ผู้เป็นแฟชั่นดีไซด์เนอร์ และเจ้าของห้องเสื้อกังสดาล เอ่ยถามนัยน์ตาพราวระยับ


มาทินากรอกตามองเพื่อนทั้งสองสลับกันไปมาแบบไม่อยากบอก แต่ครู่หนึ่งก็ยอมบอกว่า “พี่ชายฉันเอง”
มลลี่และกวางตุ้งพร้อมใจกันทำหน้างง และก็เป็นกวางตุ้งที่พูดขึ้นก่อนว่า “ฉันจำได้ว่าพี่ภาษิตที่เคยไปรับไปส่งแกที่โรงเรียนสมัยก่อนไม่ได้หน้าตาแบบนี้นี่นา”


“พี่ปกรณ์เป็นเพื่อนพี่ภาษิต ตอนที่ฉันย้ายโรงเรียนน่ะ พี่ภาษิตเอาฉันไปฝากไว้กับพี่ปกรณ์ ส่วนพี่ภาษิตก็ไปทำงานเมืองนอก ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย” มาทินาพยายามสรุปเรื่องให้สั้นที่สุด และเลี่ยงที่จะเล่ารายละเอียดปลีกย่อย


“อ๋อ...ที่แท้ก็เป็นผู้ปกครองของแกนี่เอง ถึงได้โมโหโกรธาซะขนาดนั้น ที่เห็นแกไปเปิดประมูลจูบ” มลลี่ว่า


“เห็นหน้าเขาเมื่อวานนี้แล้ว ฉันยังอดคิดไม่ได้เลย ว่าเขาจะอุ้มแกไปหักคอทิ้งที่ไหนหรือเปล่า” กวางตุ้งเสริม
มาทินาไม่อยากเล่าให้เพื่อนทั้งสองฟังว่า หลังจากที่ถูกอุ้มออกจากห้องประมูลไปแล้ว เธอถูกปกรณ์ลงโทษอย่างไรบ้าง จึงหาเรื่องเบี่ยงประเด็น โดยการถามมลลี่ว่า “วันนี้แกไปหาพี่ปกรณ์เป็นยังไงบ้าง”


“ดูท่าทางเขางงๆ นะที่ได้รับการ์ดที่มีรอยจูบของแก สงสัยคงคิดว่าแกจะไปจูบให้แบบปากต่อปากล่ะมั้ง” มลลี่พูดพลางยิ้มขบขัน ทว่ามาทินากับหน้าแดงระเรื่อ เพราะปกรณ์คิดแบบนั้นจริงๆ และเขาก็ได้เรียกร้องเอาสิ่งที่เขาชนะการประมูลไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว แถมไม่ใช่ครั้งเดียวเสียด้วย


“พูดก็พูดเถอะ ผู้ปกครองของแกนี่หล่อเป็นบ้าเลยนะหนูนา แกอยู่ใกล้ๆ เขาไม่รู้สึกหวั่นไหววูบวาบอะไรบ้างเลยเหรอ” กวางตุ้งถามด้วยความอยากรู้ เพราะขนาดตัวเขาเองเห็นแค่แว่บเดียวเมื่อวานนี้ ยังรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาว จนอยากสะสลัดผ้าต่อหน้าปกรณ์ให้รู้แล้วรู้รอด


“จะหวั่นไหวอะไรเล่า ก็ฉันกับเขาเป็นพี่น้องกัน” แม้ว่าปากจะปฏิเสธ ทว่าหัวใจของมาทินากลับเต้นระส่ำระสาย และเมื่อคิดถึงรอยจุมพิตของปกรณ์เมื่อคืนนี้ ใบหน้าของหญิงสาวก็ร้อนผ่าวขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แต่เธอก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนที่เพื่อนรักทั้งสองจะผิดสังเกต


กวางตุ้งรีบจีบปากจีบคอเถียงว่า “แบบนี้เขาเรียกพี่น้องท้องติดกันย่ะ ไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน ถ้าเป็นฉันนะ จะเคี้ยวไม่ให้เหลือแม้แต่กระดูกเลยล่ะ” พูดจบ แม่สาวประเภทสองสุดเซี้ยว ก็ทำท่าเปรี้ยวปากอยากจะเคี้ยวปกรณ์ขึ้นมาครามครัน


“ไม่ได้แอ้มหรอกจ้ะกวางตุ้งเพื่อนรัก เพราะพี่ปกรณ์เขามีคู่หมั้นแล้ว และก็คงจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ด้วย” สีหน้าและแววตาของคนพูดหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด จนมลลี่จับพิรุธได้


“ทำไมแกต้องทำหน้าเศร้าเวลาที่พูดถึงคู่หมั้นของเขาด้วยล่ะ อย่าบอกนะว่าแกหลงรักพี่ปกรณ์ของแกเข้าแล้ว”


“ฉันจะรักเขาได้ยังไง ก็ในเมื่อเขามีคู่หมั้นแล้ว” มาทินายืนกรานปฏิเสธกับเพื่อนๆ ทว่ามิอาจปฏิเสธหัวใจตัวเองได้ว่า เธอรักเขาแล้วจริงๆ


“รักไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าไม่ได้รัก” กวางตุ้งสรุป แล้วพูดด้วยท่าทีขึงขังว่า “หนูนา มองตาฉัน...แล้วตอบมาตามตรงว่า แกรักเขาใช่ไหม”


“แกจะมาคาดคั้นอะไรฉันฮ่ะ นังกวางตุ้ง” มาทินาแกล้งเสียงดังกลบเกลื่อน แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้นในเวลาที่เหมาะสมพอดิบพอดี ผู้เป็นเจ้าของเครื่องจึงรีบกดปุ่มรับสาย และหลังจากวางสาย เธอก็รีบขอตัวจากเพื่อนๆ แล้วรีบวิ่งไปหน้าตึก


“ฉันว่ายายหนูนามันท่าจะหลงรักผู้ปกครองของมันแล้วล่ะ แกว่าป่ะ” กวางตุ้งถาม


“จะเหลือเหรอ หล่อลากไส้ขนาดนั้นน่ะ” มลลี่ให้การสนับสนุนความคิดเพื่อน



มาทินากวาดตามองหารถของปกรณ์อยู่หน้าอาคารสำนักงานครู่หนึ่ง และเมื่อเห็นว่ารถของเขาจอดรออยู่ทีมุมด้านข้างอาคาร หญิงสาวก็รีบก้าวยาวๆ เข้าไปหาทันที เมื่อเปิดประตูรถออก หญิงสาวก็พบว่ามีดอกกุหลาบสีแดงช่อเล็กๆ ผูกด้วยริบบิ้นผ้าโปร่งสีหวานวางอยู่บนเบาะ ปกรณ์หยิบช่อดอกไม้นั้นไปถือไว้ แล้วเรียกให้หญิงสาวเข้าไปนั่งภายในรถ และเมื่อมาทินาเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว ปกรณ์จึงยื่นช่อดอกไม้นั้นให้เธอ


“สำหรับหนูนา”


“ให้หนูนาทำไมคะ ?” หญิงสาวรับช่อกุหลาบมาถือไว้อย่างุนงง


“เพื่อเป็นการขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อวาน...พี่ขอโทษนะครับ” ปกรณ์บอกด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล อีกทั้งหางเสียงที่เจ้าตัวจงใจเติมลงไป ก็ยิ่งทำให้หัวใจของคนฟังวูบไหวคล้ายจะโบยบิน ชายหนุ่มทอดสายตามองใบหน้านวลของหญิงสาวด้วยแววตาแห่งความสำนึกผิดเนิ่นนาน ก่อนจะพูดต่อไปว่า “วันนี้คุณมลลี่ไปหาพี่ที่ออฟฟิศ พี่รู้ความจริงเรื่องประมูลของหนูแล้วนะ พี่ขอโทษที่เข้าใจหนูนาผิด”


“รู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้ว วันหลังก็หัดฟังเหตุผลคนอื่นบ้างซะบ้างนะคะ ไม่ใช่เอาแต่ใจตัวเองแบบนั้น” มาทินาพูดพลางหลุบตามองช่อดอกกุหลาบในมือ เพราะมิอาจต้านทานสายตาวิบวับของปกรณ์ได้ สายตาแบบนี้ของเขา มันทำให้เธอรู้สึกประหม่าและปั่นป่วนมวนท้อง จนไม่เป็นตัวของตัวเอง


“แบบนั้นน่ะแบบไหนเหรอ ?” ปกรณ์แกล้งถาม


หญิงสาวสะบัดหน้าเข้าหาผู้ปกครองหนุ่มของตนอีกครั้ง ก่อนพูดด้วยท่าทีแสนงอนว่า “ก็พี่ปกรณ์เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ให้โอกาสหนูนาอธิบายอะไรเลย คิดเองเออเอง แล้วก็สรุปเองว่าหนูนาเป็นผู้หญิงไร้ยางอาย ขายจูบให้ผู้ชายไม่เลือกหน้า แล้วก็ยังมาจูบหนูนาอีก” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ภาพเหตุการณ์ในคืนที่ผ่านมาก็ฉายซ้ำขึ้นในมโนภาพ และมันก็ทำให้หญิงสาวกระดากอายเกินกว่าจะพูดอะไรได้อีก ดังนั้นเธอจึงก้มหน้าลงมองช่อดอกกุหลาบในมือ เพื่อปกปิดความเก้อเขินของตัวเอง



ปลายมือหนาของปกรณ์เอื้อมไปเชยคางเล็กมนของคนแสนงอนให้เงยขึ้นสบตากับเขาอีกครั้ง ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พี่ผิดไปแล้ว พี่ขอโทษนะครับ” ทันทีที่พูดจบ ใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มเข้าหาใบหน้าสวยหวานอย่างเชื่องช้า เพื่อที่จะจรดปลายจมูกลงบนพวงแก้มหอมกรุ่นอย่างนุ่มนวล จากนั้นจึงเลื่อนริมฝีปากไปกระซิบแผ่วเบาที่ริมหูของหญิงสาวว่า “...ยกโทษให้พี่นะครับคนดี”


หัวใจของมาทินาแทบจะหยุดเต้น เมื่อมีลมหายใจอุ่นๆ รินรดอยู่บริเวณใบหู พี่ปกรณ์ที่แสนจะเย็นชาคนเดิมของเธอหายไปไหนกันนะ แล้วอะไรกันที่ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นคนปากว่ามือถึงแบบนี้


“อย่าทำอย่างนี้สิคะ เดี๋ยวมีคนมาเห็น” หญิงสาวบอกพลางเบือนหน้าหนี


“ถ้าไม่มีคนเห็นก็ทำได้ใช่ไหม” ปกรณ์ลอบมองพวงแก้มเต็มอิ่มที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อแล้วแอบยิ้มกับตัวเอง จากนั้นจึงเคลื่อนรถออกไปจากอาคารสำนักงานแห่งนั้น แล้วพาหญิงสาวมุ่งตรงไปยังจุดหมายปลายทางสุดพิเศษ ซึ่งเขาเตรียมไว้สำหรับเธอโดยเฉพาะ






ธรรม์ธีรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ม.ค. 2555, 12:28:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ม.ค. 2555, 12:28:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 2451





<< ตอนที่ 1 (2/2) - สมภารขย้ำไก่วัด (ต่อ)   ตอนที่ 3 >>
ธรรม์ธีรา 1 ม.ค. 2555, 12:33:18 น.
HAPPY NEW YEAR 2012 ka :D

คุณหมูอ้วน - ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ เอาใจช่วยพี่ปกรณ์ด้วยนะคะ ว่าจะได้ทำการบ้านหรื่อเปล่า อิอิ

คุณเคย์สิยาห์ - ขอบคุณที่ยังคงแวะเวียนมาทักทายกันนะคะ :D



หมูอ้วน 1 ม.ค. 2555, 14:15:55 น.
คุณป้าสายไม่น่ารักเลยอ่ะค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account