อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง # ชอนตะวัน (จบแล้ว)
สำหรับเรื่องนี้เป็นงาน y ครับ..ถ้าไม่ชอบกากบาทสีแดงขอบบนขวา แต่ถ้าชอบก็จะมีศาสนาประกอบกันไปด้วยครับ เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่ปี 49

พิมพ์รวมเล่ม แบบปริ้น ออน ดีมาน
450 หน้า ราคาขาย 350 บาท พร้อมค่าจัดส่งครับ..

สอบถามเพิ่มเติม f_nakhon@hotmail.com


ปล. เคยโพสต์ในบล็อกเมื่อปี 50 มาแล้วหนึ่งครั้งครับ...
Tags: งาน y + ศาสนา

ตอน: 1.ปางจันทร์

อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง

1
พระอาทิตย์ดวงกลมโตสีแดงฉานที่อยู่เบื้องหน้ากำลังลาลับขอบฟ้าในชั่วอึดใจ ชายหนุ่มซึ่งกำลังเร่งรีบเดินทางไปให้ถึงจุดหมายด้วยพาหนะสองเท้าถีบรู้สึกอยากจะประวิงเวลาไว้อีกสักนิด... ด้วยระยะทางจากตรงนี้ถึงเขตเมืองราวสิบกิโลเมตร หากออกแรงปั่นจริง ๆ จัง ๆ น่าจะอยู่ที่กิโลเมตรละสามถึงสี่นาที เวลานี้เขาก็ออกแรงปั่นเต็มกำลัง แต่มันไม่สามารถทำเวลาได้ เนื่องจากท้องถนนเป็นพื้นทรายแถมบางช่วงยังเป็นหลุมเป็นบ่อจนทำให้รถจักรยานรุ่นไร้เกียร์ที่เขาเช่ามาจากทิพย์อาภาเกสเฮ้าส์เกือบเสียหลักพาคนปั่นลงไปนอนนับเส้นหญ้าคาริมทางก็ตั้งหลายหน..

และพระอาทิตย์ดวงกลมโตนั้นคล้ายจะเมินเฉยต่อคำร้องขอ..เรื่องหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่คล้อยต่ำลับเหลี่ยมเขา ..ไม่ตกดิน..ก่อนที่กิจอันพึงกระทำเสร็จสิ้น..

ในเวลานี้เขานึกถึงแม่สาวน้อยเจ้าของจักรยานซึ่งดูห่วงใย เมื่อเขาบอกว่าต้องการเช่าจักรยานมาที่น้ำพุร้อนแห่งนี้ในเวลาบ่ายแก่ ๆ

“พี่..คือ หนูเกรงว่าพี่จะกลับมาไม่ทันก่อนค่ำ เปลี่ยนเป็นรถมอเตอร์ไซค์ไม่ดีกว่ารึ”

เขาจำได้ว่าสั่นศีรษะและเพียงยิ้มเจื่อน ๆ ให้ ‘หนู’ ใจจริงต้องการความสะดวกปลอดภัย แต่กำลังเงินในกระเป๋าที่มีมัน ‘ควร’ ได้เพียงจักรยานไร้เกียร์คันนี้ เมื่อเขาดื้อรั้นเอง เขาก็ควรรับกรรมที่จะเกิดขึ้น ...แต่เอาเถอะ ระยะทางไม่ไกลนัก ถ้าตั้งสติดี ๆ คงผ่านพ้นไปได้ไม่ยาก เขาไม่ใช่คนกลัวผี ถ้าจะกลัวคือ คนด้วยกันมากกว่า

เมื่อเห็นแสงไฟดวงกลมของรถมอเตอร์ไซค์ทำท่าว่าจะแล่นสวนกันอยู่ไกล ๆ ชายหนุ่มละมือซ้ายจากแฮนด์รถมาคลำที่กระเป๋ากางเกง..แต่อดนึกขำในความระแวดระวังของตัวเองไม่ได้ ด้วยรู้ทั้งรู้ว่าทรัพย์ที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าหากผู้มิประสงค์ดีมันมาปล้นไปจริง ๆ คงไม่คุ้มกับกริยาที่ต้องขู่กรรโชก

ขณะที่คิดว่ารถต้องมีสวนทางกัน แต่กลับเป็นว่า แสงสว่างดวงกลมนั้นก็เงียบหายไป..หรือมีทางเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เมื่อเขาปั่นสองล้อไปได้สักพักใหญ่ พลันสายตาของเขาก็ไปสะดุดกับมอเตอร์ไซค์คันนั้น..มันล้มพับอยู่กับหนามพุทรา

อุบัติเหตุ..ชายหนุ่มหยุดรถในทันที พยายามร้องเรียกหาใครสักคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของพาหนะ..

“โอ๊ย..ช่วยผมด้วย”

ยังไม่ทันตะโกนซ้ำ ก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากใต้ต้นพุทราซึ่งมีกิ่งและพุ่มใบปิดเจ้าของร่างจนเกือบมองไม่เห็น

ชายหนุ่มไม่อยากจะนึกสภาพว่าเจ้าคนโชคร้ายจะต้องประสบกับอะไรบ้าง เมื่อเขาเพ่งมอง เขาได้เห็นว่ารถล้มลงไปทับขาทั้งสองข้างไว้ ส่วนตัวคนนั้นเกยอยู่กับพุ่มหนามแหลม มันคงจะเจ็บอยู่ไม่น้อย

คนต้องช่วย รู้สึกสับสน เกรงว่าหากเห็นแผลเหวอะหวะ ตนอาจพลอยเป็นลมล้มพับไปเสียอีกคน เขาก้าวซ้ายก้าวขวาละล้าละลัง ด้วยไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน

“ช่วยยกรถออกจากขาผมก่อน ผมเจ็บ”

เมื่อได้ยินคำสั่งเขาจึงกระทำตามอย่างทุลักทุเล

พอดึงเจ้ารถฮอนด้าสีแดงยกขาตั้งได้ จึงสตาร์ทเปิดไฟสาดไปที่คนเจ็บ จนได้เห็นสภาพไอ้หนุ่มผมยาวซอยสไลด์สไตล์ญี่ปุ่นในสภาพนอนคว่ำหน้าโดยขาข้างซ้ายพับงอขึ้นมาส่วนขาด้านขวาเหยียดตรงสั่นระริกแถมด้วยเลือดไหลออกมาด้วย

“เป็นอย่างไรบ้าง..ยังไม่ตายใช่ไหม” เขาถามออกไปด้วยคิดอะไรไม่ออก

“ถ้าตายจะพูดได้หรือไง”

คนฟังรู้สึกว่าน้ำเสียงที่ได้ยินค่อนไปทางแสลงหู พอ ๆ กับกลิ่นสุราที่คละคลุ้งไม่ควรหายใจเข้าจมูกเหมือนกัน

“เมาซิน่า มันถึงได้เป็นอย่างนี้” ว่าพลางค่อยดึงขาที่พับของคนเจ็บลงมาให้เหยียดตรงอย่างแรง ด้วยรู้สึกโมโหกับเหตุที่ทำให้ไอ้หนุ่มนี่ต้องมีสภาพแบบนี้..และขณะนั้นก็พยายามมองซ้ายมองขวา เผื่อบางทีมีผู้ร่วมชะตากรรมคนอื่น ๆ ผ่านมาพอดี แต่เอาเข้าจริง ๆ เขาคนเดียวนั่นแหละที่ต้องค่อย ๆ ใช้เท้าถีบไปที่โคนไม้ขนาดข้อมือเด็กให้กิ่งที่สะลงมาทับตัวคนเจ็บโงนไปอีกทาง หลังจากนั้นก็ออกคำสั่งให้อีกคน ค่อย ๆ พลิกตัวเป็นสภาพนอนหงายเพื่อจะได้หายใจได้คล่องปอด และที่สำคัญ มันทำให้คนเจ็บค่อย ๆ พลิกตัวออกจากกิ่งหนามที่เกี่ยวรั้งเสื้อยืดตัวบางได้ด้วย

เมื่อเห็นคนเจ็บพ้นจากหนามพุทรา คนช่วยจึงเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกว่าปลาบปลื้มใจที่ได้
ช่วยชีวิตคนทั้งคนไว้ว่า

“คุณต้องไปหาหมอนะครับ”

“แต่สภาพผมตอนนี้คุณก็เห็นนี่” คนเมาเกือบจะตวาด คงไม่พอใจกับคำสั่ง แกมบังคับ

“โอเค ผมจะพาคุณไป แต่ปัญหาตอนนี้คือ รถจักรยานของผม ผมเช่าเขามา จะทำอย่างไรกับมัน”

“คุณก็ผลักมันลงถนนด้านโน้นไปก่อน พาผมไปหาหมอ ด้วยรถคันนี้ แล้วค่อยกลับมาเอารถจักรยานกลับ..โอเค..ถ้ามันหาย ผมรับผิดชอบเอง”

คนเมาหนักหน้าเปื้อนฝุ่นจนหมดสภาพ ตามฝ่ามือและท่อนแขนมีเลือดไหลซิบ ๆ พูดเสียง
ห้วน ๆ แล้วก็ล้มพับไปอย่างอ่อนแรง

หนุ่มที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จำต้องคอยปลุกปล้ำฉุดลากให้เขาขึ้นนั่งซ้อนท้าย ดึงมือทั้งสองข้างมากอดเอวเขาไว้ จนมั่นใจว่า คนมีเวรซ้ำกรรมซัดคนนี้จะไม่ตกจากรถไปเจ็บเป็นคำรบที่สอง



เมื่อรถมอเตอร์ไซค์คันที่ได้รับความเสียหายคือ บังโคลนหน้าแตก ไฟยกเลี้ยวขวาหักกับศูนย์หน้าคดเคลื่อนที่ออกจากจุดเกิดเหตุไปอย่างทุลักทุเล คนขับนั้นอดกังวลกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญต่อไปไม่ได้ เขาจะพาพ่อหนุ่มเด็กแนวคนนี้ ไปหาหมอที่ไหน ในกิ่งอำเภอปางจันทร์แห่งนี้..เขาเพิ่งก้าวเท้ามาเหยียบเมื่อตอนเที่ยง ยังไม่ได้สำรวจตรวจสอบในแผนที่เสียด้วยซ้ำว่ากิ่งอำเภอเล็ก ๆ ทุรกันดารมีสถานพยาบาลอยู่ตรงไหนบ้าง..ยังไม่ทันคิดอะไรต่อ รถคันนั้นก็ทะยานเข้าสู่เขตเมือง พร้อมกับที่เขานึกถึงหน้าของเด็กสาวผู้ดูแลเกสเฮ้าส์ซึ่งเป็นเจ้าของมอเตอร์ไซค์คันนี้ เจ้าหล่อนเป็นคนที่นี่คงช่วยเขาได้อย่างแน่นอน..

แต่เมื่อเจ้าหล่อนได้เห็นสภาพรถ

“ตายห่าล่ะ รถอิฉัน..อภิโธ่..โธ่เอ๊ย..ไอ้เบื๊อกนี่..” หญิงสาวปรี่ไปสำรวจรอบ ๆ รถโดยไม่สนใจคนเจ็บสักนิด จนเขารู้สึกขวางตาพิกล

“อย่าเพิ่งเลย ตอนนี้เขาเจ็บมีเลือดไหลตรงขาเธอเห็นไหม เร็ว ๆ เถอะ ช่วยพาเขาไปหาหมอก่อนที่เขาจะตายตรงนี้”

“ไปอย่างไรล่ะ” เจ้าของรถหน้ามุ่ย แต่พอปรายตาดูสภาพของคนเจ็บ เธอจำต้องกระโดดขึ้นคร่อมและเกาะท้ายไปอย่างเสียไม่ได้

“โรงพยาบาลขับตรงไปเลี้ยวซ้าย”

คนขับปฏิบัติตามในทันที..

หลังจากส่งคนเจ็บเข้าห้องฉุกเฉินไปแล้ว ทั้งสองคนก็มานั่งสงบนิ่งรอคอยการรักษาพยาบาลด้วยอาการที่ต่างกัน

สำหรับชายหนุ่มรู้สึกว่าเป็นปลาบปลื้มใจที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ตกยาก นี่กระมังที่เขาเรียกว่าบุญ.. แช่มชื่นและอิ่มเอม.. หากเขาไม่ได้ปั่นจักรยานผ่านมา ป่านฉะนี้ ผู้ชายท่าทางสำอางคงนอนหนาวอยู่อย่างนั้น ดีไม่ดีอาจจะถึงเช้าเลยก็ได้ เพราะที่น้ำพุร้อน ในตอนที่เขาปั่นจักรยานออกมา ไม่มีผู้คนหรือนักท่องเที่ยวอยู่ในบริเวณนั้นแล้ว..

แต่อีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน กลับกระสับกระส่ายคล้ายมีธุระสำคัญ

“น้องจะกลับบ้านก่อนก็ได้นะ จากนี่ไปที่พักไม่ไกลมาก ถ้าเสร็จธุระหรือได้เรื่องอย่างไร เดี๋ยวพี่เดินกลับไปเอง”

คนได้ฟังหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ทำอย่างนั้นได้ก็ดีซิ..ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ก็คงต้องอยู่คอยเป็นเพื่อนพี่..แต่..ตอนนี้ คือหนูหิวข้าว..พี่หิวไหม ไปหาอะไร อร่อย ๆ กินกันที่หน้าโรงพยาบาล ..”

พอได้ยิน คนถูกชวนจำต้องลุกขึ้นอย่างว่าง่าย.. ด้วยเห็นในน้ำใจไมตรีที่อีกฝ่ายยื่นให้ และคนที่ยื่นก็เป็นผู้หญิงซึ่งถ้ามองผ่าน ๆ เธอคือผู้หญิงธรรมดาเรียบ ๆ แต่ถ้าเพ่งพิศชิดใกล้ จะได้เห็นเสน่ห์ที่รอยยิ้มแก้มบุ๋ม กับดวงตากลมโตเป็นประกายใส เข้ากับคิ้วดกดำเป็นแผงหนา หน้าตาเกลี้ยงเกลาไร้การแต่งแต้มสีสันจนดูงามเกินวัย..

“ให้หนูเลี้ยงนะ”

คนได้เปรียบมองหน้า..แต่อีกคนยิ้มให้ คล้ายกับว่า...น้องหนูจะทอดสะพานสานความสัมพันธ์

ขณะเดินตามคนผิวขาว ผมบ๊อบหน้าม้า สูงสักร้อยหกสิบห้า สวมเสื้อยืดสีชมพูตัวหลวม ๆ นุ่งกางเกงขาสั้นเข้ารูปถึงเข่า..เดินกระฉับกระเฉง..ไม่นวยนาดจนน่ารำคาญ ..เขาต้องสลัดศีรษะไม่ให้คิดเรื่องที่ยังไม่เกิดไปในทางที่ไม่ดีงาม



ร้านที่สาวเจ้าพามาเป็นเพียงรถเข็นตู้ก๋วยเตี๋ยว ตั้งอยู่บนฟุตบาทบริเวณหน้าโรงพยาบาลเพียงเจ้าเดียว ดูจากสถานการณ์ คืนหนึ่งคงขายได้ไม่กี่ชาม เนื่องด้วยเศรษฐกิจในกิ่งอำเภอนี้ ยังไม่เฟื่องฟู มีเพียงหน่วยงานราชการเพียงไม่กี่แห่งที่ทยอยมาตั้ง นักท่องเที่ยวที่จะดั้นด้นมาถึงที่นี่ก็ต้องตั้งใจมาจริง ๆ ด้วยเป็นเมืองปิด มีสถานที่เรียกนักท่องเที่ยว เพียงน้ำพุร้อนนิด ๆ กับยอดดอยจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นลูกเตี้ย ๆ จึงไม่มีใครมาแล้วกลับไปเขียนบอกเล่าให้ เชิงชื่นชม

สำหรับเขา เหตุที่ตั้งใจมาที่นี่ ก็คือ รอยพระพุทธบาท บนยอดเขาปางสุดยอดอันไกลโพ้น

“น้องชื่ออะไร” เมื่อเขาถามอีกคนก็ยิ้ม ขำกิ๊ก ๆ

“เป็นอะไร”

“เพิ่งจะมาถาม อยู่ด้วยกันจะครึ่งคืนแล้วพี่”

“พี่ชื่อสุริยา ไม่มีชื่อเล่น” ตอบแบบตัดรำคาญด้วยไม่ชอบการพูดเล่น...

“หนูเรียกพี่ยาได้ป่ะ”

คนได้ฟังไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับ

“แล้วหนูล่ะ ชื่ออะไร”

“หนูเกิดตอนพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้านิดนึง คงประมาณเจ็ดโมงเช้า แสงกำลังสวยเชียว แม่บอกว่าเหลือบไปเห็นจากหน้าต่าง ทำคลอดกับหมอตำแย..ก็เลยให้ชื่อแสงทอง..”

“ก็เพราะดีมีความหมาย..”

“อยากเปลี่ยนเหมือนกัน มันเชย”

“ชื่อนั้นสำคัญไฉน..คนจะดีจะร้ายไม่ได้อยู่ที่ชื่อ อยู่ที่การกระทำ”

“แล้วทำไม สมัยนี้เขานิยมเปลี่ยน” สาวเจ้าขอความคิดเห็น..

“พวกขาดความมั่นใจในตัวเองมั้ง..หนู ..ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก ชื่อนี้เพราะ.. แล้วมีพี่น้องกี่คน”


“หนู..เอ๊ะ ทำไมหนูต้องบอกให้พี่รู้ด้วย..”
พอดีก๋วยเตี๋ยวชามโต ควันลอยฉุยส่งกลิ่นหอมน้ำต้มซุบถูกส่งผ่านหน้า..

“แหม นังหนูวันนี้มากินกับหนุ่ม ๆ ด้วยนะ”

“มีแซว ...ถ้าพี่เขาเป็นแฟนหนูก็ดีซิป้า..” พูดคล้ายไม่ได้คิดอะไร แต่อีกคน เขิน..เพราะสายตาของป้าและคงเป็นลูก ๆ ของป้า มองแล้วยิ้มมาทางเขา

“พอดี แขกที่มาพัก พามอ-ไซค์ไปล้ม พี่เขาช่วยเอากลับมา ตอนนี้ให้หมอทำแผลอยู่ หนูจึงได้มีเวลาอุดหนุนป้านี่ไง” เห็นคนนั่งตรงหน้าทำเขิน จึงต้องรีบแก้แทนให้..

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

“แข้งแตก กับหนามพุทราปักตามใบหน้าและก็ท้องแขน.. คงเจ็บมากนะป้า ท่าทางสำอางสำออย...มาจากกรุงเทพฯ ..ดีนะได้พี่เขาช่วยไว้... ไม่งั้น..หนูไม่รู้เหมือนกันถ้าเขาหายไปทั้งคืนหนูจะทำอย่างไร”

“แล้วป้าเอ็งไปไหนล่ะ”

“ป้าหนู..ไปเที่ยวกับลุง และลูกสาวเค้า” ท้ายประโยคมีแววน้อยใจ..จนคนฟังจับความรู้สึกได้

“เองก็เรียนให้มันจบ เร็ว ๆ จะได้ทำงานทำการไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเขา จะได้ไม่อึดอัด”

“ป้ารู้ได้ไงหนูอึดอัด”

“รู้ซิ ป้าเคยอยู่กับคนอื่นมา ถึงเขาจะดีอย่างไร เขาก็ไม่ใช่พ่อแม่เรา เราต้องทำให้เขารัก เขาชอบ ถ้าทำให้เขาเกลียด เขาก็ไม่ให้อภัยเพราะเราไม่ใช่ลูกเขา”

สุริยาสังเกตสีหน้าของสาวแสงทอง ดูสลดลงในทันที ..คนทุกคนมีเรื่อง เขาก็มีเรื่อง หากแต่ปล่อยมันไว้ข้างหลัง เรื่องบางเรื่องไม่สามารถแก้ได้ เพียงนั่งดูมันเฉย ๆ ดู ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป..ดูให้เหมือนดูละคร..แต่เรื่องบางเรื่องเขากลับต้องเป็นตัวละครโดยไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อก๋วยเตี๋ยวหมดชาม เขาจึงเป็นคนจ่าย..ทั้งที่อีกคนพยายามยัดเยียดเงินให้..

“พรุ่งนี้เช้าค่อยเลี้ยงข้าวที่บ้านคืนแล้วกัน”

และขณะจะก้าวขาออกจากร้าน..

“เอาไปให้ ..ไหม” ไหม..ของคนถาม คือคนที่นอนให้หมอดูอาการ

“เขาชื่อรุ่งโรจน์”

“เอาไปให้เขาสักห่อแล้วกัน คงยังไม่ได้กินอะไร ในท้องคงจะเต็มไปด้วยสุรา กลิ่นมันถึงได้หึ่งออกมาจากตัวรัศมีหลายเมตร พี่ล่ะ กินเหล้าปะ..”

คนถูกถามสั่นหัวเหมือนเคย

“ดี หนูไม่ชอบผู้ชายกินเหล้า สูบบุรี่ เพราะพ่อของหนูก็ตายด้วยเรื่องพวกนี้แหละ ..” น้ำเสียงของหญิงสาวสั่นเครือ จนเขาต้องหันกลับไปมอง..แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นรอยยิ้มหวาน..

“อร่อยไหม”

ชายหนุ่มเบะปาก..อยากจะบอกว่าอร่อยกับผีอะไรอย่างกับน้ำล้างเขียง..แต่ถ้าพูดเหมือนคิดคงได้อดตาย



และเมื่อกลับไปถึงหน้าห้องฉุกเฉินพยาบาลผู้ยืนเวร ก็รีบกุลีกุจอออกมาบอกอาการ..

“ญาติคุณรุ่งโรจน์ ศิริรัตนวงศ์ นะคะ..คือตอนนี้คนเจ็บหมอเย็บหน้าแข้งไปสามเข็ม แล้วก็เอาหนามที่ปักตามแขนและใบหน้าออกให้ และก็ทายาให้แล้ว อาการอื่น ๆ คงไม่มีอะไรมาก คงต้องให้กลับบ้าน..สะดวกไหมคะ”

ทั้งคู่พยักหน้าตอบรับพร้อมกัน

“งั้นถือนี่ไปที่ห้องจ่ายยาและชำระเงินด้วยค่ะ”

พูดถึงเรื่องชำระเงิน คนสองคนหันมามองหน้ากัน แล้วใครจะเป็นคนจ่าย เท่าที่ล้วงควักตามกระเป๋าเสื้อและกางเกงนายรุ่งโรจน์ ศิริรัตนวงศ์ ไม่พบอะไรนอกจากตั๋วรถ บขส. เที่ยวมา กับซองบุหรี่เปล่า และไฟแช็คอันละห้าบาทหนึ่งอัน..

เมื่อรูปการณ์เป็นดังนั้น สุริยาจำต้องถือใบสั่งยาเดินไปทางที่พยาบาลชี้ สักพักเขาเดินกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ด้วยไม่อยากให้อีกคนเห็นถึงความอึดอัดใจเพียงใดกับเงินที่ต้องสำรองจ่ายโดยไม่รู้ว่ามีหวังได้คืนหรือไม่..เมื่อหมออนุญาตให้คนเจ็บกลับ ทั้งสองคนจึงเข้าไปช่วยพยุงลงจากเตียงแล้วก็เข้าปีกประคับประคอง เหมือนคุ้นเคยกันมานานแสนนาน..

พอมาถึงทิพย์อาภาเกสเฮ้าส์ซึ่งดัดแปลงทำห้องพักจากด้านล่างของบ้านไม้สักหลังใหญ่ในรั้วไม้ระแนงมีสนามหญ้าและร่มไม้ใบใหญ่สงบเย็น ..สาวแสงทอง จึงชี้บอกไปว่า

“เขาอยู่ห้องเบอร์ 4 ตรงข้ามกับห้องพี่” สุริยาจำต้องประคองคนเจ็บเข้าห้องแต่เพียงผู้เดียว เมื่อไปถึง..เปิดประตูเข้าไป ก็พบเพียงความว่างเปล่า ..เหมือนกับที่แสงทองพูดไว้..

“คนอะไรก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจจริง ๆ พี่คิดดูเถอะ อากาศที่ปางจันทร์ สูงสุดก็ไม่เกิน 25 องศา แต่หมอนั่นยังมาได้แค่เสื้อตัว กางเกงตัว..แล้วอย่างนี้มันจะไปเหลืออะไร พอมาถึงก็มีกลิ่นเหล้าคละคลุ้งแล้ว จริง ๆ หนูจะบอกว่าห้องเต็มอยู่แล้วเชียว แต่เห็นแก่เงินหรอก..จำต้องเปิดรับ..พอมาถึงก็นอนยาวไม่ออกจากห้อง น้ำท่าอาบบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ พอออกมาก็หายไปนานเลย กลับมาอีกทีประคองขวดเหล้ากลับมา แล้วก็ออกไป ถึงได้เป็นอย่างนี้..”

สุริยา ค่อย ๆ ประคองคนเจ็บซึ่งครางอ๋อย ๆ ว่าเจ็บ ๆ ...ไปนอนที่เตียง ...แล้วก็มองไปบริเวณบาดแผลที่หน้าแข็งกับริ้วรอยหนามข่วนตามใบหน้ากับริมผีปากที่เห่อขึ้นมาด้วยฤทธิ์จูบกับถนนดินทรายปนหินดินดาน..

“ขอบคุณนะครับ” ..แววตาคนเจ็บคล้ายเกรงใจ

“คุณต้องลำบากเพราะผม..”

“ไม่เป็นไรครับ” บางทีเรื่องที่ผ่านมาแล้ว มันก็ลืมความยุ่งยากในขณะนั้น..อยู่กับปัจจุบัน..แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจึงจะมีความสุข..

“คุณชื่ออะไร” แววตาคนถาม ต้องการรู้จักคนใจดี..

“ผมสุริยา” น้ำเสียงคนตอบก็อารีจนรู้สึกเย็น..

“ผมรุ่งโรจน์”

คนได้ยินพยักหน้า เป็นเชิงให้รู้ว่ายินดีที่ได้รู้จัก ..กับลูกชายคนดัง.. ศิริรัตนวงศ์ นามสกุลใช่ ใบหน้าก็ละม้าย เจ๊ไฮโซ ที่มีข่าวซุบซิบ ๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน แต่เวลานี้ ประโยชน์อะไรที่เขาจะไปคุยเสนอตัวว่ารู้จักเบื้องหลังอีกคน... รู้จักกันตรงนี้ ช่วยกันแค่นี้แล้วเดี๋ยวก็ลาจาก ..หากแต่ใบหน้าหล่อเหลาชวนมองเช่นนี้เอง เจ้าตัวถึงได้มีข่าวซุบซิบเป็นระยะ ๆ และมีรูปลงนิตยสารเล่มหนัก ๆ ไม่ต่างกับผู้เป็นแม่..

ทำบุญมาด้วยอะไรหนอ จึงเจริญด้วย รูป ทรัพย์และบริวาร แต่ก็นั่นแหละ..ณ วันนี้ ประมาท มัวเมากับอบายมุข มันถึงได้เป็นแบบนี้..

“คุณคงอยากพักผ่อน ผมขอตัวก่อนนะครับ ผมพักอยู่ห้องตรงกันข้ามกับคุณ..เอ้อ ใช่ซิ คุณหิวไหม ผมซื้อก๋วยเตี๋ยวไว้ให้ แขวนอยู่หน้ารถ”

คนเจ็บพยักหน้า

สุริยาจึงกุลีกุจอออกไปขอถ้วยขอชาม คนดูแลสถานที่แห่งนี้ หลังจากนั้นก็ถือถ้วยก๋วยเตี๋ยวซึ่งเขาฟันธงไปแล้วว่าไร้ซึ่งความอร่อย..ไปหาคนเจ็บ

เมื่อคนเจ็บได้งับอาหารในช้อน...ดูสีหน้าแล้ว ประมาณกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนกัน..

“ไม่อร่อยใช่ไหม”

“ผมมีทางเลือกอื่นไหมล่ะ” คนต้องกินย้อนถาม ..ก่อนจะตักเข้าปากเนิบ ๆ ค่อย ๆ เคี้ยวอย่างคนที่โตมาในแบบผู้ดี..เมื่อเขากินหมดชาม สุริยาจึงชวนสนทนา..ด้วยคิดว่า เขาคงเหงา เหมือนตัว..

“แล้วคุณจะกลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่”

คำตอบคือถอนหายใจออกมาอย่างแรง.. คงมีเรื่องไม่สบายใจที่นั่น คงหนีตัวเอง..ค้นหาบางอย่างที่หายไป..

“แล้วคุณล่ะกลับเมื่อไหร่”

“ผมจะไปไหว้พระบาทบนยอดเขาปางสุดยอดก่อน พระอาจารย์ว่าศักดิ์สิทธิ์นัก อธิษฐานอะไรจะสมความปรารถนา..”

“คุณเชื่อ”

“ผมศรัทธา..ก็แค่เคยตั้งความปรารถนาไว้ ว่าจะไปในทุก ๆ ที่ที่มีรอยพระบาทพระธาตุเจดีย์”

“เพื่ออะไร”

“คุณมาที่นี่เพื่ออะไร”

“มาเที่ยว” คำตอบคล้ายปัดไปที

“ก็เหมือนกัน จุดมุ่งหมายอีกอย่างหนึ่งในความสุขของคน ก็คือมีเงินเหลือกินเหลือใช้ แล้วก็เที่ยว ..ไป เพื่อให้ตัวเองมีความสุขกับการได้รู้ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ บนโลกใบนี้..ผมก็เป็นอย่างนั้น เพียงแต่ผมมีมุมของศาสนาอยู่ด้วย...อย่างอื่นที่มีอยู่ข้างทางผมก็ได้เห็นเหมือนคนอื่น แต่สิ่งที่ผมได้เห็นมากกว่าหลาย ๆ คนก็คือพุทธเจ้า กับความเชื่อความศรัทธาในแต่ละท้องถิ่นและคำสั่งสอน..การเดินทางของผมก็คือการจาริกแสวงบุญด้วย”

“รอให้ผมหายก่อนได้ไหม ผมจะขึ้นไปกับคุณด้วย” ดูเขานึกสนุกมากกว่าคิดเป็นอย่างอื่น..

“ถ้าคุณต้องการเช่นนั้นจริง ๆ คงอีกหลายวัน.แต่ถ้าคุณอยากไป ผมจะรอ..คงไม่เกินสองวันถ้าคุณได้พักผ่อนเต็มที่.. มา..เดี๋ยวผมเอาชามไปล้างเก็บให้..อ้อ..กินยาหลังอาหารด้วยนะ หมอ
บอกว่าแผลอาจอักเสบจนเป็นไข้..”

ว่าแล้ว สุริยาก็ค้นถุงยา อ่านฉลาก แล้วแกะยาให้คนเจ็บสองเม็ดส่งให้ถึงฝ่ามือพร้อมน้ำอีกแก้ว คนเจ็บโยนเข้าปาก ดื่มน้ำตามแล้วยิ้มออกมา

“โชคดีของผมที่เจอะคุณ ไม่งั้นคงได้ตายเหมือน....” พูดพลางคลำตามกระเป๋ากางเกง..

“เอ่อ คุณเห็นซองบุหรี่ผมไหม”

“เห็นที่โรงพยาบาล ดึงออกทิ้งไปแล้ว มันหมด”

“งั้นช่วยไปซื้อให้ผมหน่อยซิ” พูดเหมือนคนคุ้นเคยกัน

“คงไม่ได้ครับ เพราะ..ผมไม่ชอบเห็นคนสูบบุหรี่”

“งั้นผมไปเองก็ได้..”

“ร้านแถวนี้คงเปิดขายคุณหรอก ที่นี่ไม่มีเซเว่นนะครับ อดไปเถอะ คืนเดียวคงไม่ตาย” เริ่มสนิทกันมากขึ้น จึงแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาให้เห็นบ้าง..

ว่าแล้วสุริยาก็เดินออกไปโดยไม่เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของอีกคน เมื่อกลับถึงห้อง เขาถอดเสื้อผ้านุ่งผ้าเช็ดตัว เพื่อเดินไปอาบน้ำในห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านหลังที่พัก..พอเปิดประตูออกมา จึงได้พบคนดื้อยืนพิงประตูห้องตนเอง สีหน้าบอกให้รู้ว่าเจ็บระบมที่ขา..

“จะไปไหน ผมบอกแล้วว่า ร้านเขาปิด คุณนี่ดื้อจริง ๆ กลับเข้าห้องไปเถอะ”.. น้ำเสียงดุนิด ๆ เพราะคิดว่าทำซ่าเพราะฤทธิ์เมา

“คือผมจะไปห้องน้ำ ผมปวดฉี่”..

สุริยายิ้มเจื่อน ๆ ให้ด้วยเข้าใจผิด ก่อนเดินเข้าไปประคอง..ช่วยพาไปที่ห้องน้ำด้านหลัง..เมื่อเขาเสร็จกิจ จึงพากลับไปส่งที่เตียงแล้วก็รีบออกมาด้วยรู้ดีว่าไม่ควรใกล้ชิด..

ราดน้ำไปได้สี่ห้าขัน ก็ทนกับความเย็นของน้ำไม่ไหว จำต้องรีบเช็ดเนื้อตัวด้วยกลัวจะเป็นไข้..พอเดินกลับมาก็เห็นคนเจ็บมายืนทำหน้ากังวล อยู่ที่หน้าประตูเหมือนเดิม..

..มองหน้าสังเกตแววตา

“กระเป๋าตังค์ผมหาย..คุณเห็นไหม”..

คนช่วยพามาจากถนนดินทราย สั่นศีรษะตามความเคยชิน..รู้ว่าเขาตกที่นั่งลำบาก ด้วยแสงทองบอกแล้ว มาแต่ตัวจริง ๆ .. เมื่อกระเป๋าเงินหาย ก็เหมือนมือเท้าด้วน..

“ผมรู้แล้วว่ากระเป๋าคุณหาย..แต่ไม่เป็นไร ผมจะช่วยคุณเท่าที่ผมช่วยได้..คือ..ให้ยืมเท่าที่ผมพอมี..โอเค คืนนี้คุณคงนอนหลับฝันดี..”

“แต่ผมปวดแผล”

“ก็ผมบอกคุณแล้วว่าอย่าดื้อ อย่าเดินเพ่นพ่าน แผลเพิ่งเย็บมา..กลับเข้าห้องไปนอน” ความรู้สึกของสุริยาเหมือนอีกคนเป็นเด็กขี้อ้อนน่าหมั่นไส้..

พ่อแม่เขารวย คงมีคนคอยให้รับใช้ เลี้ยงมาแบบประคบประหงม จะเอาอะไรก็คงจะได้ดั่งใจ ผิดกับเขาหรอก..โตมาชนิดปากกัดตีนถีบ มีพ่อกับแม่ก็เหมือนไม่มี ส่งเข้าไปพึ่งวัด ‘อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ’ เสียตั้งแต่อายุสิบสอง..อยากได้อะไรก็บิณฑบาตจากญาติโยมแล้วก็เก็บหอมรอมริบ..เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ต้องดูแลตัวเอง..

เมื่ออีกคนล้มตัวลงบนฟูกสำลีปูทับด้วยผ้าลายดอกไม้เต็มผืน.. นึก ๆ ก็อยากคลี่ผ้าห่มคลุมให้ เพราะรู้ว่ามันดูอบอุ่นถ้ามีใครสักคนมาปฏิบัติต่อตนเยี่ยงนั้น แต่ขืนไปทำกับเขาอย่างนั้น ...คงไม่งามแน่..

“ผมไปนอนแล้วนะ นอนหลับฝันดี พรุ่งนี้เช้าเจอกัน” สุริยากำลังจะผละออกมา แต่คนที่นอนอยู่ก็ชิงพูดขึ้นว่า..

“แต่ผมคงฝันดีไม่ได้เพราะผมรู้สึกอยากอาบน้ำ”

“แต่ขาคุณเป็นแผลถูกน้ำไม่ได้...”

“แต่ผมอยากล้างหน้าสักหน่อย คุณประคองผมไปที่ห้องน้ำได้ไหม..”

คนถูกขอร้องเพ่งพิศไปตามใบหน้าและเรือนกายของอีกคน มอมเหมือนลูกหมาคลุกฝุ่น..ผมเผ้าทรงชี้โด่ชี้เด่แบบเด็กญี่ปุ่นกระเซอะกระเซิงดูไม่เป็นผู้คน ใบหน้ายังมีคราบฝุ่น..เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว ได้แต่ถอนหายใจ นึกขำ ๆ ก่อนเดินกลับไปที่ห้องพักของตน กลับมาอีกทีในมือมีผ้าขนหนูผืนเล็กพร้อมกับกระแป๋งน้ำสำหรับซักผ้าของเกสเฮ้าส์ ถ้าไปหากะละมัง เดี๋ยวแม่สาวแสงทองคงได้บ่นอุบอิบ ..

“งั้นเช็ดตัวแล้วกัน ถอดเสื้อออกซิ กางเกงด้วยก็ได้” สุริยาออกคำสั่งคล้ายอีกคนเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ

คนต้องถอดทำท่ากระบิดกระบวน ด้วยไม่คุ้นเคยกัน...

“ไม่เป็นไรหรอก เราผู้ชายเหมือนกัน” ว่าแล้ววางผ้ากับกระแป๋งไว้ก่อนเดินกลับไปที่ห้อง กลับมาพร้อมกับเสื้อแขนยาวตัวบางกับกางเกงขาสั้นของตน..

“คุณคงดูแลตัวเองได้นะ เอ้านี่ เสื้อผ้าผม เปลี่ยนซะ ถอดของคุณออกส่งมา ผมจะไปซักให้ พรุ่งนี้แห้งแล้วคุณจะได้มีใส่..

หนุ่มรุ่งโรจน์รับผ้าไปถือไว้ ชั่งใจอยู่สักพัก แล้วมุดเข้าในผ้าห่ม ถอดเสื้อและกางเกงนอกและกางเกงในของตนส่งมาให้..อีกคนพอเห็นกางเกงในสีขาวตัวจิ๋วก็ผงะมือเพราะไม่คิดว่า..

“ขอโทษ คือผมไม่ได้ตั้งใจให้คุณช่วยซักให้..คุณช่วยซักแค่เสื้อกับกางเกงก็พอ”

แต่อีกคนกลับพูดว่า

“ไม่เป็นไร ผมทำให้ได้..คุณเถอะ เช็ดตัวแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ห่มผ้าก่อนนอนแล้วกัน อากาศที่นี่ยิ่งดึกคงจะยิ่งเย็น ผมไปก่อนนะ”...



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2554, 15:18:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 เม.ย. 2554, 22:43:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 2466





   2.ปางสุดยอด.. >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 18 เม.ย. 2554, 15:22:43 น.
สวัสดีครับเพื่อนนักอ่าน เรื่อง อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ใช้นามปากกา ชอนตะวัน ครับ สำหรับงานที่ใช้นามปากกานี้จะเป็นลักษณะงานเขียนแบบว่าใช้กลวิธีการนำเสนอหลากหลายรูปแบบสมจริงสมจัง เรื่องอื่น ๆ ที่เคยใช้การนำเสนอ แปลก ๆ ที่ผ่านมา ก็มี..

สะบายดีหัวใจ.. ให้พระ นางผลัดกันเล่าเืรื่อง

กามเทพปั้นรัก ให้คนอื่นเป็นคนเล่าเรื่องของพระเอกนางเอก

อรุณสวัสดิ์หัวใจ เล่าเรื่อง ผ่านนางเอกคนเดียว

และเรื่องนี้ ก็เล่าเรื่องผ่านพระเอกคนเดียวครับ

การเล่าเรื่องแบบนี้ จะไม่เห็นความคิดของตัวละครตัวอื่น ๆ จะรู้จากท่าทางกับเวลาที่เขาพูดออกมาเท่านั้นครับ ..

..และที่สำคัญ เรื่องนี้ งาน y ครับ บางคนคงสงสัยว่า y คืออะไร ก็..พระเอกนางเอก เป็น ผู้ชาย ละเซ่ 55555

ลองทัศนาครับ..


Pat 18 เม.ย. 2554, 17:50:02 น.
สงสัยอยู่ว่างานyคืออะไร บวกศาสนาด้วย ( อ่านเนื้อเรื่องก็รู้สึกตงิดๆใจอยู่) แล้วมันจะออกมาในรูปแบบไหนกัน


oolong 18 เม.ย. 2554, 20:23:27 น.
Do you rewrite this story? I like it a lot.


หมูบิน 19 เม.ย. 2554, 08:11:31 น.
งานวาย แต่ก็มีนางเอกช่ายเปล่า มาลงชื่อไว้ก่อนค่อยอ่านนะค่ะ


manida 19 เม.ย. 2554, 20:06:34 น.
สนุกดีค่ะ แหวกแนวดี นึกภาพตามไปด้วย ๕๕๕


อมลลดาOWOอมรรัตน์ 30 พ.ค. 2554, 14:25:13 น.
แวะมากดไลค์ค่ะ แตนค่อยอ่านตอนเป็นเล่มแล้วดีกว่า ลุ้น ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account