จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๓๖ (จบ)

---- แวะคุยกันก่อน ----
โอ้ หลังจากเขียนมายาวนาน
ในที่สุดก็จบจนได้ เฮ้
ขอบคุณทุกคนที่มาอ่านและตามให้กำลังใจนะคะ
หวังว่าทุกคนจะสนุกกับการอ่าน
ถึงมันจะเครียดมากเลยก็ตาม
มีข้อติดชมอะไรบอกนะคะจะได้ไปแก้ตอนรีไรท์

ช่วงนี้อากาศหนาวแล้วรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
ยังไงจบเรื่องนี้แล้วอย่าลืมติดตาม
พร่างเสน่หา กับ เงื่อนปรารถนาที่จะเขียนลงต่อไปด้วยนะคะ
อยากอ่านเกริ่นนำย่อๆของสองเรื่องนี้ไปหาอ่านดูในเด็กดีนะคะ
ขอบคุณทุกคนมากนะคะ
ปล.ตอนนี้คนเขียนเห็นว่าปีใหม่แล้ว
เลยอยากทำอะไรตอบแทนคนที่มาอ่าน
ด้วยการทำส.ค.ส.วาดมือของคนเขียนไปให้ที่บ้าน
ยังไงถ้าใครอยากได้ก็ทิ้งอีเมล์ไว้นะคะ
เดี๋ยวเมล์ไปถามที่อยู่เอง ^_^
(จะมีคนเอาเหรอ ฮา)

000000000000000000000000000000000000000000000000
บทที่ 36

ใบไม้แห้งปลิดขั้วร่วงกราวจากกิ่งราวสายฝนโปรยลอยคว้างกลางอากาศแต่มิทันลู่สู่พื้นกลับถูกสายลมแรงโชยให้ปลิวไปตามกระแสเป็นเส้นสายพาไปติดต้องตามเรือนผมและเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลของชายหนุ่มร่างสูงที่เดินจากหน้าประตูวัดผ่านมาขวางทางลมพอดี

เขายกมือเรียวใหญ่ขึ้นปัดเศษใบไม้ที่ติดตามตัวขณะเงยหน้าไปยังอุโบสถหลังใหม่ที่เพิ่งผ่านการบูรณะใหม่มาไม่นานมีสามเณรหลายรูปและเด็กวัดช่วยกันกวาดทำความสะอาดลานวัดจึงเดินเข้าไปหาเพื่อสอบถามถึงอุบาสิกาคนหนึ่งที่มักเข้ามานั่งสนทนาธรรมนั่งวิปัสสนาเป็นประจำในวัดแห่งนี้

หลังจากตัดสินจะเข้าเป็นสมาชิกในตระกูลครอมเวลเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตของบิดาผู้ล่วงลับ รวมทั้งฝึกฝนตัวเองทั้งทางร่างกายและเรียนรู้ระบบการบริหารงานอย่างหนัก แม้บัดนี้ครอมเวลจะไม่เข้มงวดเรื่องชีวิตส่วนตัวมากเมื่อก่อน หากสิ่งเหล่านั้นก็ทำให้เขาสามารถหาเวลาปลีกตัวกลับเมืองไทย

เป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้วที่ศิระอยู่ในมาตุภูมิแท้จริงของตนเองที่สหรัฐ แม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปไกลครึ่งโลก แต่ข่าวสารของบ้านอังคพิมานและบรมพิศาลกุลที่น้องและเพื่อนของน้องคอยส่งให้ในทุกอาทิตย์ก็พอทำให้เขารู้ว่า ในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างไรบ้าง

“ น่าจะสวดมนต์อยู่ที่วิหารด้านหลังนะโยม ” เณรรูปหนึ่งตอบพลางชี้นิ้วบอกทางให้เดินตรงไปข้างอุโบสถ

“ เขามาปฏิบัติธรรมที่นี่นานแล้วหรือครับ ”

“ สี่ห้าเดือนได้แล้วล่ะโยม ”

“ ขอบคุณครับ ” เขายกมือพนมไหว้แล้วจึงเดินไปเรื่อยตามทางที่สามเณรรูปนั้นบอกจนมาถึงหน้าวิหารหลังใหญ่อันเงียบสงบมีต้นโพธิ์ใหญ่สองต้นปลูกให้ร่มเงา เมื่อถอดรองเท้าก้าวขึ้นบันไดไปจนถึงภายในก็ทรุดลงคุกเข่าก้มกราบพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่กลางวิหาร

เมื่อเงยศีรษะขึ้นตรงหน้าพระพุทธรูปนั้นจะมีกลุ่มหญิงชายนุ่งขาวห่มขาวกำลังเจริญภาวนานั่งสมาธิจึงนั่งรอต่อกระทั่งเห็นทุกคนตรงหน้าก้มลงกราบลุกจากพื้นหันกลับมาก็เห็นหญิงวัยกลางคนสวมเสื้อกางเกงสีขาวบริสุทธิ์ด้วยกิริยาอาการสำรวม ใบหน้าที่เคยเคร่งเครียดดูผ่องใสอิ่มเอิบราวกับคนละคนย่างเท้าตามหลังมาเป็นคนสุดท้าย

เพียงนางเดินมาเห็นหน้าคนที่นั่งพับเพียบอยู่ก็ชะงักหยุดฝีเท้าโดยพลันคล้ายตกใจ แปลกที่นัยน์ตาที่ทอดมากลับนิ่งสงบควบคุมสติตนเองได้มากกว่าแต่ก่อน

“ ใหญ่...กลับมาจากเมืองนอกแล้วหรือ ” นางเอ่ยเป็นคำแรกแทนการทักทายเห็นอีกฝ่ายยกมือพนมไหว้อย่างนอบน้อมก็ยกมือรับไหว้พร้อมทรุดตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้นอีกครั้ง

มลธิกากวาดสายตามองชายหนุ่มตรงหน้าก็แลเห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เริ่มจากเรือนร่างที่ดูจะมีมัดกล้ามมากกว่าแต่ก่อน ผิวพันธุ์ที่คล้ำกร้านลง แล้วไหนจะเป็นใบหน้าและดวงตาคมนั้นก็ดูสุขุมนุ่มลึกขึ้นกว่าที่เคยเห็น และนั่นคงเป็นผลพ่วงจากการสอนของนายใหญ่แห่งครอมเวล

“ พอดีผมต้องลงมาดูงานที่มาเลเซียเลยบินมาลงเมืองไทยก่อน...ได้ยินว่าคุณมาปฏิบัติธรรมที่นี่ก็เลยแวะมาเยี่ยม เป็นยังไงบ้างครับ สบายดีไหม ” เขาเอ่ยถามอย่างสุภาพแทบไม่รู้สึกถึงความเกลียดชังรุนแรงที่เคยมีต่อกัน

“ ขอบใจนะที่แวะมาเยี่ยม มาปฏิบัติธรรมที่นี่ก็สบายดี ทำให้แม่ได้เห็น ได้รู้ ได้เข้าใจอะไรในโลกมากขึ้น แล้วใหญ่ล่ะเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีใช่ไหม” นางพูดอย่างห่วงใย แม้น้ำเสียงจะยังติดขัดในลำคอเพราะไม่รู้ว่าควรทำตัวกับลูกอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับความรู้สึกของคนตรงหน้า

นับจากออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้านได้มีเวลาทบทวนตัวเองเพียงลำพังมากขึ้น...นางก็ตัดสินใจเขียนพินัยกรรมยกบ้านให้กับหลานสาวแล้วหาเวลามาปฏิบัติธรรมบำบัดทุกข์ในวัดแห่งนี้เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว แม้จะไม่ได้อยู่ค้างอ้างแรมหรือบวชชีพราหมณ์ ทว่าการได้สนทนาธรรม นั่งวิปัสสนาก็ช่วยทำให้จิตใจของนางมีสภาพดีขึ้นมาก แต่กระนั้นเรื่องของลูกก็ยังเป็นตะกอนขุ่นค้างอยู่ในใจให้ยังไม่กล้าทำอะไรเกรงจะไปทำให้ไม่พอใจเข้า

“ จะว่าสบายไหมก็คงเรียกสบายไม่ได้ เพราะผมต้องฝึก ต้องเรียนรู้ ต้องรับผิดชอบเยอะขึ้น แต่ก็ไม่ทุกข์ทนอะไร น่าจะเรียกว่าเรื่อยๆมากกว่า ”

“ ไปอยู่ที่นั่น ทุกคนเขาดีกับใหญ่ใช่ไหม ”

“ ก็ไม่ทุกคนหรอกครับ แต่สำหรับปู่เขาก็ดีกับผมมาก ผมมีญาติที่พอจะสนิทด้วยได้แล้ว ”

“ แล้วนี่จะมาอยู่เมืองไทยกี่วันเหรอ...ถ้ายังไม่มีที่พักก็ไปพักที่บ้านอังคพิมานได้นะ ยังไงใหญ่กับเล็กก็เป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นคงจะดีกว่าถ้าไปพักที่บ้าน ”

“ ผมจะพักที่ห้องของผมในอังคพิมานโฮเต็ลเหมือนเดิม คิดว่าจะอยู่อีกวันสองวันก็จะบินไปมาเลเซียแล้วล่ะครับ ” เขาตอบแม้จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกในตระกูลครอมเวล ทว่าโรงแรมแห่งนี้คอยด์ยังคงมอบให้เขาไว้เป็นธุรกิจส่วนตัว

“ อย่างนั้นเหรอ ” นางพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแล้วต่างฝ่ายต่างก็นั่งเงียบไปคล้ายกับไม่มีเรื่องจะสนทนาทั้งที่ในใจผู้มากวัยกว่ายังมีหลายเรื่องที่ปรารถนาจะถามไถ่คลายความคิดถึง
หากก็อยู่กันเช่นนั้นได้ไม่นานเสียงระฆังที่ตีกังวานเป็นสัญญาณให้ทราบว่าถึงเวลาเดินจงกรมเลยขอตัวลาไปสร้างความกุศลแก่ชีวิตที่พลั้งผิดมากมายของตนเอง

“ แม่ต้องไปเดินจงกรมแล้วนะ...ขอบคุณอีกครั้งที่มาเยี่ยม เดินทางไปไหนมาไหนโดยสวัสดิภาพนะ ” ถึงใจจะยังอาวรณ์ด้วยยังตัดขาดจากทางโลกมิได้เด็ดขาด จึงเพียรใช้แก่นศาสนาทำความเข้าใจกับสิ่งที่เป็นอยู่

อดีตนายหญิงแห่งอังคพิมานผู้เคยสง่างามมีคนพะเน้าพะนอนอบน้อมลุกขึ้นยืนจากพื้นด้วยท่วงท่านุ่มนวลเตรียมยกเท้าพร้อมจะก้าวจากวิหารไปเดินจงกรมยังลานวัด ทว่ามิทันได้ไปไกลเสียงทุ้มที่กล่าวบางสิ่งผ่านริมฝีปากของผู้เป็นลูกก็ทำให้นางหยุดตัวเองแล้วหันกลับมามองยังเขาอีกครั้ง

“ รู้ไหมครับว่าทำไมพ่อถึงไม่เคยเกลียดแม่ในทุกเรื่องที่แม่ทำลงไป ” เขาถามอีกเหลือบเห็นนางส่ายหน้าเบาก็กล่าวต่อ “ ไม่ใช่เพราความรักอย่างเดียวหรอกนะครับที่ทำให้พ่อยอมให้แม่ได้ทุกอย่าง แต่เป็นเพราะพ่อเข้าใจความรู้สึกของแม่มากเกินไปต่างหากที่ทำให้พ่อรู้ว่าแม่ต้องการใครสักคนที่ปลดปล่อยแม่ออกจากความโลภ ความริษยาที่มีอยู่ ”

ถ้อยคำเล่าถึงความรู้สึกของชายผู้ลาลัยไปทำให้นางแย้มริมฝีปากน้อยๆ ภาพความทรงจำของเขาที่ประจับอยู่ในใจยามระลึกถึงนั้นช่างสวยงามและอบอุ่น...เพิ่งรู้สึกได้เมื่อไม่กี่เดือนนี้เองว่า หากได้ค้นลึกถึงก้นบึ้งของหัวใจมีเขาซ่อนไว้อยู่ภายในเช่นกัน หากเพราะยึดติดในสิ่งนอกกายมากกว่าหัวใจจึงต้องมีสภาพเช่นนี้ แต่นั้นก็ถือเป็นบทเรียนสำคัญให้นางรู้ว่า ควรดำเนินชีวิตต่อไปในวันที่ลมหายใจยังเหลืออยู่

ชายหนุ่มคลานเข่าเข้ามาหยิบล็อกเก็ตรูปหัวใจจากในกระเป๋าเสื้อมาส่งให้แล้วก้มกราบลงแทบท้าของผู้เป็นมารดามิเหลือบคราบชายหนุ่มที่เคยเกรี้ยวกราดเกลียดชังกันหนักหนาเลยแม้แต่น้อย

ครั้งหนึ่งศิระเคยคิดว่าเขาจะไม่มีวันให้อภัยผู้หญิงคนนี้ได้ ทว่าเมื่อได้ผ่านเหตุการณ์วิกฤตหลายครั้ง ได้พบเจอผู้คนมากมายในหลากหลายระดับ การได้อาศัยอยู่ในห้องที่พ่อเคยอยู่ อ่านบันทึกที่พ่อเขียนถึงแม่และเขา กระทั่งข้าวของที่บอกถึงความรักความเข้าใจ รวมทั้งจดหมายของพ่อที่เขียนถึงเขาไว้ล่วงหน้าทำให้ทราบว่า แม่ไม่เคยคิดทอดทิ้งเขา แต่ความกลัวที่ต้องถูกพรากลูกไปหากบอกความจริงทำให้นางต้องยอมเป็นคนใจร้าย ยอมทำเป็นไร้เยื่อใยทั้งที่แม่เฝ้าดูเขามาตลอด

มลธิกากระพริบตาถี่ดังกับไม่เชื่อสายตาก่อนจะโน้มตัวลงมาจับแขนทั้งสองข้างดึงให้ศิระเงยหน้าขึ้นจึงเห็นริมฝีปากของเขาเหยียดกว้าง เป็นรอยยิ้มจริงใจเปี่ยมสุขที่นางแทบไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต

“ ไม่ว่ายังไงผมก็เปลี่ยนความจริงที่ว่าแม่เป็นคนให้กำเนิดและเลี้ยงผมมาไม่ได้ ถึงจะเคยรู้สึกว่าแม่ทิ้งผมไปแต่ตลอดหลายสิบปีมานี้ผมมีแต่แม่ที่คอยส่งเสริมผม...ผมเชื่อว่าแม่เจ็บปวดกับมันมานานพอแล้ว ตอนนี้ผมไม่ได้เกลียดแม่อีกแล้วถ้าผมมีเวลาว่างผมจะแวะมาหาแม่อีก ”

“ ใหญ่...” เสียงเรียกได้เท่านั้นก็ขาดหายมือไม้สั่นเทา ริมฝีปากเม้มแน่นเหมือนยังไม่เชื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้าต้องใช้เวลาอีกหลายนาทีกว่านางจะสวมกอดลูกชายเพียงคนเดียวของตนเอง

“ ถ้าทุกอย่างในชีวิตผมมันลงตัวเมื่อไหร่ ผมจะรับแม่ไปอยู่กับผมที่นู้น เราสองคนจะทิ้งทุกอย่างที่นี่เหมือนเป็นฝันร้ายแล้วกันนะครับ ”

“ ขอบคุณมากนะลูก ขอบคุณ ” นางเอ่ยเสียงสั่นเครือ ปล่อยแขนวางข้างลำตัวเพื่อจะมองหน้าลูกชายคนเดียวของตัวเองอย่างเต็มตา ริมฝีปากแย้มพรายทีละน้อยเกิดเป็นรอยยิ้มกว้างตื้นตัน “ แต่แม่ค้นพบแล้วว่าตัวเองจะมีความสุขที่ไหน ....ใหญ่ไม่ต้องรับแม่ไปอยู่หรอก อยู่ที่นี่แม่มีสมพรดูแลอยู่แล้ว เอาไว้ใหญ่ว่างๆค่อยแวะมาหาแม่ดีกว่า ”

“ ครับ ”

สองแม่ลูกมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มเหมือนกับความสุขที่เหือดหายไปได้กลับมาอีกครั้ง แม้นวันนี้จะยังไม่สมบูรณ์พร้อมหากก็พอทำให้สายสัมพันธ์ของทั้งคู่เกี่ยวร้อยกันได้อีกครั้ง
***********************************

น้ำฝนเม็ดแรกหยดลงบนหลังคาเพียงไม่ถึงนาทีมันก็กระหนำเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเป็นเวลาหลายชั่วโมง เสียงฟ้าคำรามก้องแข่งกับเสียงโทรทัศน์แขวนผนังที่กำลังฉายหนังบู๊ล้างผลาญที่มีเพียงหญิงสาวมัดผมหางม้าสวมเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์ขายาวกับเด็กหนุ่มสาวสามคนนั่งหาวอยู่ภายในร้านอาหารที่ไม่มีลูกค้านั่งเลยสักคน กระจกใสเกิดเป็นฝ้าขาวจากอากาศชื้นที่ปะทะกับความเย็นจนมองแทบไม่เห็นสิ่งใดด้านอก

“ พูดก็พูดนะเจ๊ ผมยังเสียดายอยู่เลยที่เจ๊เลิกทำผับเอาที่ให้ร้านหนังสือเช่า ” เด็กหนุ่มผมสีทองสวมผ้ากันเปื้อนสีฟ้าปักตราสัญลักษณ์ชื่อร้านเอ่ยขณะยกลังเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์มาวางหน้าตู้แช่เย็น

“ นั่นสิ พอเจ๊เปิดร้านอาหารอย่างเดียว แถมเปลี่ยนเวลาเปิดร้านเป็นเจ็ดโมงถึงสองทุ่ม สาวเอ็กซ์เซ็กซี่ที่เคยแวะมากินข้าวตอนดึกๆก็หายกันไปหมด เหลือแต่เด็กกับพวกลุงกับป้าแก่ๆไม่เจริญตาเลย ” พอเพื่อนพูดอีกคนที่เช็ดกระจกอยู่ก็สมทบเลยถูกสมุดโน้ตจดรายการอาหารฟาดลงกลางหลัง

“ เออ พวกแกนี่ก็นะ คิดแต่เรื่องผู้หญิง...ไอ้พวกทุเรศ อย่างพวกแกนี่เรียนรามให้มันจบก่อนรีไทร์เถอะแล้วค่อยมาคิดเรื่องหญิง ส่าไหมเจ๊ ” เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับเด็กหนุ่มทั้งสองหันมาถามความเห็นกับเจ้าของร้านที่นั่งเท้าคางอยู่หลังแคชเชียร์ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบโต้เอาแต่มองไปที่กระถางสังกะสีใส่ดอกไม้พลาสติกเลยทำให้ลูกค้าเงียบเสียงหันมาซุบซิบกันถึงอาการเหม่อลอยที่เห็นบ่อยในหลายเดือนนี้

รสาสูดลมหายใจเข้าออกภายในหัวสมองว่างเปล่าเหมือนคนไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรอันเป็นผลจากการเพิ่งตัดสินใจทำเรื่องยิ่งใหญ่ที่ส่งผลกระทบกับชีวิตของตนเองไปเมื่อสามเดือนก่อน

การยื้อเวลาชีวิตของพ่อนานหลายปียุติลงพร้อมกับหัวใจที่หยุดเต้น...แม้นจะพยายามบอกตัวเองว่าทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว หากในกลางดึกของบางคืนก็อดไม่ได้ที่จะมีน้ำตาแห่งความเศร้า กระนั้นหล่อนก็ยังโชคดีที่มีเพื่อนแวะเวียนมาหา แต่สิ่งที่ทำให้หล่อนข่มตาหลับลงได้คงเป็นเสียงวิดีโอของผู้ชายคนหนึ่งที่ส่งมาเล่าเรื่องราวชีวิตในต่างแดนในฟังทุกอาทิตย์

ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เคยเกลียดน้ำหน้ากันอย่างที่สุดกลับกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในเวลาสำคัญของชีวิต

หญิงสาวอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองเป็นเวลานานกว่าจะละสายตาจากสิ่งที่จดจ้องเมื่อได้ยินลูกน้องกระแทกหนังสือใส่หน้าเรียกสติ แกล้งกลบเกลื่อนท่าทางของตัวเองด้วยการใช้ทั้งหมดให้ไปช่วยเช็ดกระจก

“ โอ้...ฝนตกหนักขนาดนี้ยังมีคนออกมากินข้าวข้างนอกบ้านอีกเหรอ ” พนักงานเสิร์ฟร้องออกมาทันทีที่เห็นชายคนหนึ่งเดินกางร่มลงจากรถยนต์ยุโรปสีเทาเดินตรงมาใกล้ ครู่เดียวเขาก็ผลักประตูเข้ามา...เสียงกระดิ่งบอกให้ทราบว่ามีลูกค้าทำให้เจ้าของร้านสาวหันไปหาและเพียงเห็นหน้าคนที่เพิ่งเข้ามาดวงตาก็เบิกกว้างตกใจ

“ คุณใหญ่ ” หล่อนร้องอุทานเรียกชื่อเขาเสียงหลงยังคงยืนตาแข็งทำอะไรไม่ถูก

“ อืม ” ชายหนุ่มส่งเสียงตอบรับในลำคอพลางหยิบร่มพับที่ยังไม่ผ่านการใช้งานวางไว้บนเคาน์เตอร์แคชเชียร์ “ เผื่อคุณลืมร่มไว้ที่บ้าน ผมเลยเอามาให้ ”

“ คุณกลับมาเมื่อไหร่ ทำไมไม่เห็นเล่าเลยว่าจะมาเมืองไทย ”

“ เพิ่งลงจากเครื่องมาเมื่อเช้า...พอดีปู่อยากให้ผมมาดูโรงงานผลิตยางที่มาเลเซีย ผมเลยขอปู่กลับมาเมืองไทย...ปู่บอกผมแบบกะทันหันผมเลยไม่ทันได้บอกคุณนะ ”

“ แล้วนี่คุณแวะไปหาใครมาบ้างหรือยัง ”

“ เมื่อเช้าไปหาแม่มา ”

“ แวะไปหาแม่...นี่คุณอย่าบอกนะว่าคุณไปหาแม่ใหญ่มานะ ”

“ ใช่ผมไปหาแม่ใหญ่มา แล้วก็แวะไปไหว้แม่มินที่วัดด้วย ”

“ คุณทำใจได้แล้วเหรอ ”

“ ก็อยากที่คุณบอกผมนะ ไม่มีประโยชน์ที่จะจมอยู่กับอดีต ” หยุดพูดไปเมื่อสังเกตเห็นดวงตาบวมช้ำ “ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมตาถึงบวมขนาดนั้น อดนอนมาเหรอ...ผมก็บอกแล้วไงว่าให้นอนมากๆหน่อย เดี๋ยวพ่อคุณตื่นขึ้นมาเห็นคุณสภาพแบบนี้ท่านก็เป็นห่วงหรอก ”

หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอทันทีที่ได้ยินเขาเอ่ยถึงบิดาผู้ล่วงลับ....เป็นเพราะเห็นเขาเหนื่อยยากกกับการปรับตัวเข้ากับพวกครอมเวลทำให้จนถึงวันนี้เขาจึงยังไม่รู้ว่าหล่อนสูญเสียผู้เป็นที่รักไปจากชีวิตแล้ว

“ รู้แล้วล่ะ ” หล่อนพยักหน้ารับแสร้งทำเป็นยิ้ม “ คุณล่ะเป็นยังไงบ้าง คนที่นั่นเขาใช้คุณแบกหามหรือยังไงถึงได้ตัวใหญ่ขึ้นขนาดนี้ ”

“ เปล่าหรอก...แต่ผมต้องเรียนศิลปะการต่อสู้เพิ่มทุกแขนง ต้องออกกำลังกายยกเวททุกวันก็เลยมีกล้ามเพิ่มขึ้นนะ ”

“อ้ออย่างนั้นเองเหรอ แล้วนี้คุณจะกลับมาที่นี่นานไหม ”

“ ไม่หรอก ความจริงวันนี้ผมมีเวลาแค่วันเดียวแต่มีหลายที่ที่ต้องไป เดี๋ยวผมคุยกับคุณเสร็จแล้วผมก็จะไปเยี่ยมเล็กกับภาคที่บ้าน แล้วก็จะไปดูอังคพิมานโฮเต็ลหน่อย แวะเจอเพื่อนเก่าอีกนิดหน่อย แล้วพรุ่งนี้ก็จะบินไปมาเลเซีย ”

“ อ้อ ถ้าอย่างนั้นคุณอย่าอยู่คุยกับฉันนานเลย รีบไปเถอะเดี๋ยวจะหมดวันซะก่อน ”

“ งั้นไว้คราวหน้าถ้าผมมาแถวนี้ ผมจะแวะมาหานะ ”

“ ได้ ไว้เจอกัน ” หล่อนตอบรับพลางยกมือโบกลา...ดูเหมือนเวลาที่สนทนากันนั้นน้อยเกินกว่าจะคลายความคิดถึงและห่วงใยที่มีให้ แต่เพราะเข้าใจในตารางการพบปะอันแน่นขนัด ประจวบกับไม่ใช่คนเอาแต่ใจที่จะถ่วงเพื่อนไว้ให้อยู่กับตัวเองทั้งที่มีธุระจึงไม่อิดออดและเมื่อเขาก้าวเท้าผ่านประตูไปสายตาก็จับกลับมาที่ร่มพับซึ่งวางอยู่บนเคาน์เตอร์

ทว่าสักพักเสียงตรงกระดิ่งตรงประตูก็ดังขึ้นอีก พอเงยหน้ามองก็เห็นศิระหอบเอกสารหลายฉบับกลับเข้ามาแล้ววางลงตรงหน้า รสาก้มลงอ่านคร่าวก็รู้ว่าเอกสารที่เขานำมาเป็นเอกสารทางการแพทย์เกี่ยวกับการรักษาโรคทางประสาทวิทยา

“ ที่อเมริกานะมีหมอทางสมองเก่งๆเยอะนะ...ถ้ายังไงพาคุณลุงไปรักษาไหมที่นั่นไหม ไม่ต้องกลัวเรื่องค่ารักษานะ เดี๋ยวผมจะเป็นคนออกให้คุณเอง แล้วผมจะคอยแวะไปดูท่านให้ แต่ถ้าคุณอยากจะไปเยี่ยมท่านที่นู้นบอกผมได้ ผมจะส่งตั๋วเครื่องบินมาให้ แต่คุณต้องไปทำต่อพาสปอร์ตกับทำวีซ่าเข้าสหรัฐก่อนนะรู้ไหม ”

ความเอื้ออารีที่มากับน้ำเสียงทุ้มนุ่มบวกกับรอยยิ้มกว้างอบอุ่นสะกิดให้แผลเป็นหลุดเป็นสะเก็ด หญิงสาวเม้มริมฝีปากก้มหน้าหลังมือที่วางประสานกันบนโต๊ะพยายามกลั้นความทุกข์ที่แล่นขึ้นมาเพราะความห่วงใยที่เขามีให้

“ ขอบคุณนะ แต่พ่อคงไม่จำเป็นต้องไปรักษาไกลถึงนู้นหรอก ”

“ ทำไมล่ะ...คุณเกรงใจผมเหรอ ไม่ต้องเกรงใจหรอก ตอนผมทุกข์หนักๆคุณก็เป็นคนช่วยผม พอถึงคราวผม ผมก็ต้องช่วยคุณบ้างสิถูกไหม ”

“ ฉันไม่ได้เกรงใจ แต่ว่าพ่อ...พ่อนะไม่ได้อยู่กับฉันเหมือนเดิมแล้ว พ่อไปสู่สุขคติแล้ว คงไม่มีหมอคนไหนเอาพ่อฉันมาได้แล้ว ” น้ำเสียงที่เล่านั้นสั่นเครือเหลือกำลัง น้ำตาอุ่นเอ่อมาขังตรงขอบตาทำได้เพียงกระพริบตาไล่มิให้มันหยดลงมาให้ใครเห็น

“ ไม่เห็นคุณบอกผมสักคำเลยว่าคุณลุงเขาไม่อยู่แล้ว... แล้วเล็กเขารู้เรื่องนี้หรือเปล่า ”

“ รู้...รู้ตอนที่พ่อฉันเสีย เล็กเขาพอเผาป้าพิณเสร็จ เล็กกับคุณภาคเขาก็เลยมาช่วยงานศพ...ฉันเพิ่งจะเผาพ่อไปเมื่อกี่วันนี่เอง แต่ที่ฉันไม่บอกคุณเพราะฉันเห็นคุณกำลังปรับตัว เลยไม่อยากเอาเรื่องของฉันไปเล่าให้คุณฟัง แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณนะที่คุณคิดถึงพ่อฉันด้วย ” หล่อนพูดทั้งที่ยังก้มหน้าแกล้งทำเป็นหยิบของย้ายไปย้ายมา

ชายหนุ่มมองอาการของคนที่ก้มหน้าทำลุกลี้ลุกลนทั้งที่น้ำเสียงสั่นก็รู้ได้ถึงความเจ็บปวด แต่ในจังหวะที่สายตาเหลือบน้ำตาหยดลงบนหน้ากระดาษเขาก็คว้าแขนให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นดวงตาที่ขังไปด้วยน้ำกับริมฝีปากที่เม้มแน่น

รสาสะดุ้งสบสายตาเขา รีบใช้หลังมือปาดน้ำตาไล่ความอ่อนแอ...ปกติหล่อนไม่กล้าแสดงความรู้สึกในใจให้ใครรู้ แต่แทนที่เขาจะยอมให้เช็ดน้ำตาเขากลับใช้เข่าดันประตูพับบานเล็กเข้าไปหลังเคาน์เตอร์แล้วดึงหล่อนเข้ามากอดไว้

“ อยากร้องก็ร้องออกมา ร้องให้หมด ร้องกับผมนี่ ไม่ต้องกลัวผมไม่ใช่คนอื่น ผมเป็นเพื่อนคุณนะ ”

คำพูดปลอบโยนที่กระซิบข้างหูเพียงไม่กี่คำกลับทำให้คนที่คุ้นชินกับการเก็บกลั้นความรู้สึกส่วนตัวซบหน้าลงกับอกเขาแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างหมดท่า...ลึกๆแล้วทุกคนต่างต้องการใครสักคนที่สามารถแบ่งปันความเจ็บปวดทุกข์ทน สามารถร้องไห้หรือหัวเราะได้อย่างอิสระ

พนักงานในร้านยืนนิ่งงันไปแทบจะในทันทีที่เห็นเจ้านายของตนเองร้องไห้กับผู้ชายแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้ อยากรู้อยากเห็นแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้เลยได้แต่ยืนมอง

รสาสะอื้นจนตัวโยนอยู่กับอกกว้างของเขารู้สึกเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็กที่มีพ่อคอยโอบประโลม...ในช่วงเวลาที่ชีวิตเหมือนเคว้งคว้างการได้รับไออุ่นจากใครสักคนเป็นสิ่งที่ล้ำค่ากับหล่อนเหลือเกิน

ศิระลูบผมของหญิงสาวในอ้อมแขนไปมา...เข้าใจความรู้สึกถึงการสูญเสียดีว่าทำให้ชีวิตอ้างว้างเพียงใด ชั่ววินาทีนั้นปากก็หลุดถามบางคำที่ทำให้คนร้องไห้ตะลึง

“ ไปอยู่กับผมที่อเมริกาไหม ” เขาถามเสียงนุ่มแต่หนักแน่นเสียจนหล่อนหยุดกระทั่งอาการสะอื้นผละจากอ้อมแขนมายืนมองยังดวงหน้าของผู้พูดด้วยแววตาตระหนก

“ คุณจะบ้าเหรอ อยู่ๆคุณจะมาชวนให้ฉันไปอยู่กับคุณแบบนี้ได้ยังไง ”

“ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ...ตอนนี้บ้านที่ผมอยู่เป็นบ้านของพ่อ มีผมกับแม่บ้านอยู่อีกสองสามคนแค่นั้น แม่บ้านถึงจะหัวโบราณไปหน่อยแต่เขาก็ใจดี ถ้าคุณจะไปอยู่ด้วยอีกคนก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ”

“ เป็นสิ...ฉันยังไม่คิดอะไรกับคุณมากกว่าเพื่อน แล้วจะให้ฉันไปอยู่กับคุณ คนอื่นเขาจะมองว่ายังไง ”

“ ก็มองว่าเป็นเพื่อนผมนั้นแหละ...ผมพูดจริงๆนะ ตั้งแต่ผมผ่านเรื่องร้ายๆมาหลายอย่าง ผมคิดว่าถ้าเราอยากทำอะไรก็ทำซะก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำ ตัวผมเองตอนนี้ก็ไม่ได้คิดอะไรกับคุณในทางชู้สาวหรอกนะ แล้วผมยังไม่อยากได้คู่ชีวิตด้วย แต่ผมแค่อยากให้คุณเป็นเพื่อนชีวิตของผม ”

“ เพื่อนชีวิตอะไรของคุณ ” หล่อนทวนคำในประโยคท้ายของเขาพลางเลิกอย่างสงสัย

“ ก็คนที่จะอยู่เคียงข้างเราไปจนแก่โดยที่ไม่จำเป็นต้องถึงเรื่องทางเพศ คนที่จะรับฟังเราและพูดกับเราได้ทุกเรื่อง คนที่ไม่ว่าจะเจออะไรข้างนอกมาพอกลับถึงบ้านก็จะทิ้งมันมานั่งกินข้าวดูทีวีกับผม คนที่เขาจะคิดถึงเราอยู่ตลอดเวลา และเป็นคนที่เราจะคิดถึงเขา...เรียกง่ายๆก็คือ อยู่กันมันเหมือนคนแก่นะ แต่ถ้ากลัวว่าผมจะทำอะไรคุณ เชิญเอาแม่บ้านผมขึ้นไปนอนกับคุณด้วยทั้งสามคนเลย ”

“ แล้วถ้าวันหนึ่งฉันเกิดไปรักคนอื่น อยากจะยุติความสัมพันธ์เพื่อนชีวิตเพื่อไปคู่ชีวิตกับคนอื่นขึ้นมา คุณจะทำยังไง ”

“ ถึงตอนนั้น ผมว่าผมคงจะรักคุณไปแล้วล่ะ ส่วนคุณก็น่าจะรักผมแล้วเหมือนกัน ถึงตอนนั้นคุณคิดเหรอว่าคุณจะไปไหนได้ ” เขาลอยหน้าลอยตาตอบ ยิ่งเห็นเจ้าของร้านสาวทำตาแข็งตัวแข็งใส่ก็หัวเราะชอบใจ “ ไม่ต้องรีบคิดหรอกนะ ไปต่อพาสปอร์ตกับวีซ่าก่อนแล้วค่อยบอกผมอีกทีก็ได้ ”

ชายหนุ่มหยิบนามบัตรจากในกระเป๋าเสื้อพร้อมปากกาด้ามทองพลิกด้านหลังมาเขียนข้อความบางอย่างแล้ววางกุญแจดอกหนึ่งทับลงไป

“ ผมไปแล้วนะ ไม่ต้องคิดมากนะ แต่ถ้าไม่รับข้อเสนอผม คุณอาจเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้นะ ” เขาทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มสดใสพร้อมโบกมือลาเดินออกจากร้านไปท่าทางดูสบายไม่ทุกข์ร้อนอันใดช่างแตกต่างจากคนที่หล่อนเคยรู้จักโดยสิ้นเชิง

หญิงสาวหันหน้าจากแผ่นหลังเขาหยิบเอานามบัตรที่เขียนที่อยู่กำกับไว้และกุญแจดอกนั้นขึ้นมาดู เป็นเวลาเดียวกับที่เหล่าลูกน้องกรูกันเข้ามาหน้าเคาน์เตอร์

“ ตั้งแต่ทำงานมาเนี่ยเพิ่งเคยเห็นเจ๊ร้องไห้ อยากถามหรอกนะว่าเจ๊ร้องทำไม แต่พอเห็นผู้ชายคนนั้นกอดเจ๊แล้ว รู้ล่ะว่าเจ๊คงตื้นตันที่เขามาหาใช่ไหม ” ลูกน้องสาวกล่าวขึ้นเป็นคนแรกตามมาด้วยจอมกวนอีกสองเสียง

“ ผู้ชายหน้าตาดีมาให้ท่าเจ๊ขนาดนี้แล้ว เจ๊อย่าเล่นตัวมากนะ เดี๋ยวพลาดไปจะเสียดาย ”

“ เออจริง หน้าตาก็ดีแต่ดันชอบของแปลก ”

รสาเงยหน้ามากวาดสายตามองตาเขียว ยกมือเขกหัวเรียงคนเสร็จก็ไล่ให้ไปเช็ดกระจกต่อ

“ ผู้ชายหลงตัวเอง...เจ๊ไม่เอาด้วยหรอก ” หล่อนเชิดหน้าพลางเอ่ยเสียงดังเหมือนไม่สนใจ แต่กลับแอบเก็บนามบัตรกับกุญแจเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อก้มหน้าซ่อนยิ้มกว้างที่ระบายบนใบหน้า
***********************

ยามที่สายฝนหยุดเทกระหนำลงมาท้องฟ้าจะปรากฏรุ้งหลากสีเส้นงามขึ้นแทนที่ ดวงอาทิตย์โผล่พ้นจากแนวเมฆสาดแสงเจิดจ้าไล้ความขมุกขมัวพ้นไปพาให้คฤหาสน์บรมพิศาลกุลกลับมามีชีวิตชีวา...ต้นไม้ดอกไม้ในสวนที่ถูกปลูกเพิ่มและจัดใหม่จากความร่วมมือของทุกคนในบ้านดูร่มรื่นน่าอยู่ดูสดชื่น

ใต้ศาลาไม้หลังเก่าที่ถูกบูรณะใหม่ ปูเสื่อวางโต๊ะเตี้ยกับหมอนนุ่มหุ้มปลอกลายสวยไว้เป็นที่นั่งเล่นพักผ่อนมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นอนหลับห่างออกไปไม่ไกลนักมีหญิงสาวร่างบอบบางสวมชุดกระโปรงสีฟ้า สวมหมวกปีกกว้างกันแดดกำลังดึงหงอนไก่สีสวยปลูกลงดิน

ภาควัฒน์ขยับตัวแล้วสะดุ้งตื่นลุกขึ้นมานั่งแล้วกวาดสายตาไปรอบศาลาด้วยความตกใจแต่เมื่อเหลือบไปเห็นว่าคนที่มองหากำลังปลูกต้นไม้อยู่ก็ถอนหายใจก่อนจะลุกจากเสื่อผืนใหญ่ที่ปูพื้นเดินเข้าไปหา

“ พี่บอกเล็กแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าเวลามีต้นไม้จะปลูกในสวนให้บ้านลุงแช่ม ”

เสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนเรียกให้ศศิวิมลที่กำลังก้มหน้าก้มตาใส่ปุ๋ยรอบดินที่ลงหงอนไก่จนเสร็จเงยหน้าแล้วหันไปหาตามต้นเสียงก็เห็นผู้เป็นสามีกอดอกหน้าเข้มยืนอยู่ด้านหลังจึงดึงถุงมือที่สวมอยู่เก็บลงในกล่องเครื่องมือก่อนจะหิ้วกล่องนั้นเข้าไปหา

“ ก็เล็กชอบปลูกต้นไม้นี่คะ อีกอย่างเล็กก็อยู่กับบ้านว่างๆถ้าไม่ทำอะไรบ้างเดี๋ยวก็เป็นขาลีบแขนลีบพอดี ” หญิงสาวตอบพร้อมทรุดลงบนพื้นศาลาห้อยขาทั้งสองข้างออกมาแกว่งไปมาเบาๆ

“ พี่ก็บอกเล็กแล้วไงค่ะ ว่าถ้าเล็กไม่อยากอยู่บ้านว่างๆก็ไปเป็นเลขาพี่ที่ออฟฟิศก็ได้ ”

“ ไม่เอาหรอกค่ะ...ที่ออฟฟิศพี่ภาคก็มีเลขาอยู่แล้ว แถมพี่เลขาพี่ภาคก็เก่งมากด้วย ถ้าเปลี่ยนเป็นให้เล็กไปทำงานออกแบบบรรจุภัณฑ์หรือทำงานในโรงงานยังจะดีซะกว่าอีก ”

“ โอย ไม่ได้หรอกค่ะ พี่ไม่ยอมให้เล็กไปทำงานที่ไหนนอกจากห้องทำงานพี่เด็ดขาดเลย ” เขาบอกเสียงเข้มขณะเดินกลับมานั่งใกล้ผู้เป็นภรรยาก่อนจะเอนศีรษะลงไปนอนหนุนตัก

“ ทำไมล่ะคะ ”

“ คราวก่อนที่พี่พาเล็กไปที่ทำงาน พนักงานทุกคนโดยเฉพาะผู้ชายเนี่ยนะเอาแต่ถามพี่ว่าเล็กจะมาอีกเมื่อไหร่ ท่าทางปลื้มกันจนพี่หมั้นไส้ ขืนปล่อยให้เล็กไปทำงานไกลหูไกลตา เดี๋ยวคนอื่นก็มาแย่งเล็กจากพี่ไปนะสิ...นี่พี่ก็เพิ่งเข้าใจนะว่า ทำไมไอ้ใหญ่มันถึงเก็บเล็กไว้ไม่อยากให้คนอื่นเห็น ”

“ เพราะอะไรคะ ”

“ ก็เพราะทั้งสวยทั้งน่ารัก แถมยังดูไร้เดียงสาตลอดเวลา...ผู้ชายที่ไหนมันอยากเข้ามาหาทั้งนั้นแหละคะ ”

“ ไม่จริงซะหน่อย เล็กไม่ได้สวยน่ารักอย่างที่พี่ภาคพูดสักนิด...ที่พวกนั้นนะเขาอยากให้เล็กไปอีกคงเพราะเล็กเล่าเรื่องพี่ภาคเวลาอยู่บ้านให้ฟังมากไปเท่านั้นมากกว่า ”

“ อะไรนะคะ เล็กเอาพี่ไปเล่าให้ลูกน้องพี่ฟังเหรอ ”

“ ค่ะ เล่าให้ฟังหมดว่าเวลาก่อนมาทำงานพี่ภาคไม่ยอมกลัดกระดุมเสื้อต้องให้เล็กเป็นคนทำให้ เนกไทถ้าไม่ใช่เล็กผูกให้พี่ภาคก็ไม่ยอมผูกเอง เวลากินข้าวก็ชอบมาอ้อนให้เล็กป้อน เวลานอนต้องให้เล็กปั่นหูให้ก่อนถึงจะยอมนอน แล้วก็บอกอีกนะคะว่าพี่ภาคนะถึงจะชอบแกล้งแต่ก็เป็นคนโรแมนติกมากด้วย” เสียงหวานเล่าให้ฟังเสร็จสรรพยังจำได้ถึงบุคลิกในที่ทำงานที่เคร่งขรึมผิดกับตอนอยู่ด้วยกัน ความน่ารักของเขานั้นทำให้หล่อนหัวเราะคิกคักชอบใจ ทำเอาคนที่นอนหนุนตักทำหน้าเหวอ...เคยนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมพักหลังมานี้เวลาลูกน้องเห็นหน้าเป็นต้องอมยิ้มให้ทุกที ที่แท้ก็มีสาเหตุมาจากแม่ตัวเล็กเอาเรื่องเขาไปแฉถึงที่ทำงานนี้เอง

“ เล็กเห็นว่าสิ่งที่พี่ทำมันเป็นเรื่องตลกเหรอคะ ถึงได้เอาไปโพนทะนากับคนอื่นเขาแบบนี้...ใช่สิ พี่มันก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่อยากอ้อนเมีย แต่ไม่รู้ว่าเมียจะเห็นเป็นเรื่องตลก ก็ดี วันหลังพี่จะได้ไม่ทำอีก ” เขาตอกกลับความชอบใจด้วยความเย็นชา ลุกพรวดจากตักที่นอนหนุนอุ่นสบายไปนั่งกอดอกหันหลังทอดสายตาไปทางสระบัวที่มีปลาหางนกยูงแหวกว่ายอวดสีสัน

ท่าทางอันเรียบเฉยไม่แม้แต่จะหันกลับมาทำให้หญิงสาวรู้ว่าเขาคงจะโกรธก็ย่นหน้าผาก รีบคลานเข้าไปใกล้สอดมือทั้งสองข้างไปกอดเอวพลางซบหน้าแนบลงกับแผ่นหลังกว้าง

“ เล็กไม่ได้หัวเราะเพราะเห็นสิ่งที่พี่ภาคทำให้เล็กเป็นเรื่องตลกนะคะ แต่เล็กหัวเราะเพราะรู้สึกว่าพี่ภาคทำตัวน่ารักมากต่างหาก แล้วที่เล็กเล่าให้คนอื่นฟังก็เพราะอยากให้คนอื่นรู้ว่าสามีเล็กน่ารักขนาดไหนเท่านั้นเอง ถ้าพี่ภาคไม่พอใจ เล็กก็ขอโทษนะคะ ” คนตัวเล็กอ้อนเสียงหวานใช้นิ้วจิ้มลงไปบนข้างแก้มสากระคายเพราะไรหนวดที่ยังไม่โกนเป็นการง้อเต่คนตัวใหญ่ก็ยังไม่หายงอน หนำซ้ำยังเมินหน้าหนีจากปลายนิ้วไปอีกต่างหาก

ยิ่งเห็นเขางอนไม่ยอมหายคนตัวเล็กก็ทำหน้าตูมชักจะหมั้นไส้สามีตัวเองเลยชักมือออกจากเอวเขาแล้วอ้อมไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพอได้จังหวะก็ใช้มือทั้งสองข้างบีบแก้มของเขาดึงให้หันซ้ายหันขวาไปมาเบาๆ

“ คนขี้งอน...จะงอนอะไรเล็กกันหนักคะ นี่ถ้าสักพักพี่ภาคไม่หายงอนนะ เล็กจะงอนพี่ภาคกลับแล้ว ” หญิงสาวเอ่ยทำตาเขียวใส่ คราวนี้แหละคนที่งอนเลยอยู่เฉยไม่ไหวโวยวายขึ้นมา

“ อะไรคะ พี่ยังไม่ทันทำอะไรผิดสักหน่อย เล็กจะมางอนพี่ได้ยังไงล่ะคะ ”

พอเผลอหลุดปากไปเท่านั้นริมฝีปากอิ่มเคลือบสีชมพูอ่อนก็เหยียดกว้าง ศีรษะเอียงมาด้านข้างจ้องมองอีกฝ่ายไว้ด้วยดวงตาเปล่งประกายสดใสเหมือนคิดไว้แล้วว่าจะใช้วิธีไหนถึงจะทำคนตรงหน้าให้เลิกงอนได้ชะงัด

ภาควัฒน์กระพริบตาปริบรู้ได้ว่าตัวเองเสียรู้ก็เม้มริมฝีปากเสหน้าไปทางอื่นแต่ไม่วายยังแอบเหล่มองภรรยาที่ทำหน้าซื่อตาใสไร้เดียงสาใส่ เพียงแค่นั้นหัวใจก็เหมือนขี้ผึ้งถูกลนไฟให้อ่อนละลายหายงอนเป็นปลิดทิ้งแต่ยังไว้ฟอร์มอยู่

“ ตกลงจะหายงอนเล็กได้หรือยังคะ ” หล่อนถามซ้ำพลางเลิกคิ้วสูงข้างหนึ่งรอคำตอบ

“ หอมแก้มพี่ก่อนสิคะ แล้วพี่ถึงจะหาย ” ทั้งที่ยังแสร้งตีหน้าเฉยเมยแต่เขากลับยื่นแก้มมาหาพร้อมชี้จุดให้ ฝ่ายคนที่โดนสั่งเห็นท่าทางสามีก็ยิ้มกว้างขยับเข้าไปฝังจมูกลงบนแก้มเขาเสร็จคนตัวใหญ่ก็ดึงตัวมานั่งเอนหลังพิงก่อนจะกอดเอวบางไว้แน่นพลางหอมแก้มคืนฟอดใหญ่

ศศิวิมลแย้มริมฝีปากพร้อมหัวเราะเสียงใสอย่างมีความสุขแล้วจึงทอดสายตาออกไปยังสวนสวยที่ถูกจัดใหม่ยังกอดอกมะลิที่ออกดอกขาวสะพรั่งพาให้ใจคิดถึงผู้เป็นมารดาและชายที่อยู่ไกลออกไป

หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่เขาวางแผนสร้างบททดสอบความรักของหล่อนกับภาควัฒน์...ถึงตอนนี้จะเรียกเขาว่าพ่อได้ไม่สนิทปาก แต่ความรักความห่วงใยในฐานะพ่อที่เขามีให้ แม้ไม่ได้พบหน้าเขาก็ยังสู้อุตส่าห์เขียนจดหมายด้วยลายมือส่งผ่านความรู้สึกแทนการส่งอีเมล์มาถามไถ่ การมอบสมบัติของแม่ที่เขาเฝ้ารักษาไว้ให้และการทำตามสัญญาที่ให้ไว้ทำให้รู้ว่า ในอนาคตอันใกล้หล่อนคงจะเรียกเขาว่าพ่อได้อย่างเต็มหัวใจ

“ อาทิตย์หน้าก็จะครบรอบวันตายแม่แล้ว เล็กคิดว่าเล็กจะชวนลุงคอยด์มาทำบุญงานศพแม่ด้วยนะคะ ”

“ ทำไมอยู่ๆเล็กถึงคิดจะชวนปู่มาล่ะคะ ” เขาเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ แม้จะเคยเห็นเล็กพูดถึงคอยด์บ้างเล็กน้อยเวลาได้รับจดหมายหรือของมาให้แต่นับจากผ่านงานเผาศพอรพิณไปก็ไม่เคยเห็นหล่อนพูดถึงผู้ให้กำเนิดอีกเลย

“ เล็กคิดว่าแม่คงจะดีใจถ้ามีเขาร่วมทำบุญอยู่ด้วย ยังไงเล็กฝากพี่ภาคโทรไปบอกเขาหน่อยนะคะ ”

“ แน่ใจแล้วเหรอคะ ว่าจะให้พี่ชวนปู่มาทำบุญครบรอบวันตายแม่มินของเล็กจริงๆ...พี่เห็นเล็กไม่เคยพูดถึงปู่ตั้งนานหลายนึกว่าเล็กเกลียดปู่ไปแล้วซะอีก ”

“ ถึงเล็กจะไม่ได้พูดถึงเขาก็ไม่ได้หมายความเล็กเกลียดเขานะคะ ว่าแต่พี่ภาคเถอะตอนนี้ยังโกรธเขาอยู่หรือเปล่าคะ ”

“ ไม่หรอกคะ พี่ยอมรับนะคะว่าเมื่อก่อนเคยโกรธปู่ โกรธพ่อ โกรธแม่ โกรธป้ามล แต่ตอนนี้พี่ไม่โกรธใครทั้งนั้นล่ะคะ ถึงพวกเขาจะสร้างบาดแผลหรือจองจำเราสองคนไว้ให้อยู่ในความทุกข์ แต่ถ้าไม่มีพวกเขาเราก็อาจไม่มีโอกาสได้พบกัน เล็กรู้ไหมคะว่า ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน ตั้งแต่วันนั้นพี่ก็รู้แล้วล่ะคะว่า เล็กจะเป็นคนที่ฝากชีวิตและหัวใจไว้ให้ เพราะพวกเขาทำให้พี่รู้ว่าพี่โชคดีขนาดไหนที่หาคนสำคัญของตัวเองเจอ พี่สัญญานะคะว่าพี่จะดูแลเล็กด้วยความรักที่พี่เท่าที่ลมหายใจของพี่มี ”

ถ้อยคำนุ่มนวลหวานหูจากปากภาควัฒน์นั้นพาให้หัวใจของศศิวิมลอุ่นซ่าน...คำสัญญาที่เขาให้ประทับสนิทลงกลางใจ

“ เล็กก็สัญญาคะว่าจะรักและดูแลพี่ภาคไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ” หญิงสาวตอบกลับพลางเอนศีรษะลงพิงกับอกแกร่งของบุรุษหนุ่มที่เชื่อว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งกันไปไหนไกล

ทั้งสองต่างอิงแอบแนบชิดกันอยู่ในห้วงแห่งรักบนศาลาก่อนที่จะได้ยินเสียงบรรเลงเพลงแว่วหวานอันคุ้นหูลอยเข้ามาให้สดับ บทเพลงนั้นล่องลอยจากที่ทิศใดไม่มีใครทราบ หากแต่มันทำให้สองสามีภรรยารำลึกถึงวันแรกที่ได้พบกัน

เพราะเพลงนั้น...เพลงแห่งบุพเพสันนิวาสที่กวัดร้อยรัดสายสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ไว้ให้แนบแน่นประหนึ่งถูกเกลียวเชือกพันธนาการจองจำไว้มิให้ไกลห่าง

...เป็นการจองจำอันแสนหวานที่ทั้งสองต่างยินยอมพร้อมใจให้พันธนาการตราบชั่วนิรันดร์...





ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ม.ค. 2555, 23:18:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ม.ค. 2555, 23:18:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 3004





<< บทที่ ๓๕   
Auuuu 10 ม.ค. 2555, 23:51:57 น.
อ่านจบแล้วรู้สึกดีจัง อบอุ่นๆในหัวใจ ^^


เพชรทรียา 11 ม.ค. 2555, 00:10:36 น.
ตี่ เราชอบเพลงสุนทราภรณืเหรอ อิอิ


violette 11 ม.ค. 2555, 02:37:31 น.
เจ็บปวดกันมานาน ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอเนอะ

อยากอ่านเรื่องรสากับพี่ใหญ่จังเลยค่า อิอิ


คิมหันตุ์ 11 ม.ค. 2555, 03:52:03 น.
พี่ใหญ่แอบน่ารักตอนท้าย อิอิ


Pat 11 ม.ค. 2555, 06:32:29 น.
ตามจนจบ จบได้ดี ^________^ ขอบคุณค่ะ


อริสา 11 ม.ค. 2555, 06:44:12 น.
อ่านแล้วมีความสุขจัง พี่ใหญ่กะรสาน่ารักดี ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องดีๆ


ปาณณิศา 11 ม.ค. 2555, 10:25:38 น.
ใช่หนูชอบเพลงลูกกรุง แต่คราวหน้าเพลงแจ๊ซปะกิตนะฮะ


anOO 11 ม.ค. 2555, 12:46:17 น.
และแล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยดี ชอบพี่ใหญ่กับรสาจัง เข้าใจพูดดี


atua 12 ม.ค. 2555, 04:03:18 น.
สนุกค่ะเป็นกำลังใจให้กับเรื่องต่อไปนะค่ะ


ling 24 ม.ค. 2555, 15:47:47 น.
สงสารปู่คอยด์จัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account