พิศวาสสายน้ำ
"เนื้อตัวไม่เคยให้ใคร แต่หัวใจขอรับจ้าง...เพื่อชดใช้ในสิ่งที่ทำผิดไป"
Tags: กระโดดตบ กระหน่ำจูบ
ตอน: ๓ ดาวน้อยจะล่องลอยไปที่ไหน
...
๓ ดาวน้อยจะล่องลอยไปที่ไหน
“นั่นแกจะไปไหน ลงมาคุยกันฉันก่อน”
เสียงเกรี้ยวกราดของพ่อดังไล่หลัง แต่ลษาไม่สนใจ พอรถยนต์จอด เธอก็เปิดประตู วิ่งพรวดพราดขึ้นชั้นสองของบ้าน เข้าห้องนอนทันทีโดยไม่ใส่ใจว่าเสียงของพ่อจะดังแทบบ้านแตก
“ช่างแกเถอะค่ะคุณโองการ ปล่อยแกเถอะ รอให้แกเย็นกว่านี้ดีกว่านะคะ”
ลษาได้ยินเสียงฉอเลาะของบุณฑริกาดังมาแว่วๆ ฟังแล้วระคายหูที่สุด
“บุณผิดเอง ไม่น่าหวังดีตามไปเจอแกที่หน้าผับแถวทองหล่อเลย”
คนในห้องหูผึ่ง...
ว่าไงนะ นังแม่เลี้ยงใจยักษ์แอบตามไปเจอ!
นี่แสดงว่าหล่อนคนนั้นสะกดรอยตาม เพื่อดูพฤติกรรมของเธออย่างงั้นหรือ
ลษาไม่ได้รับคำตอบสำหรับคำถามนั้น มีแต่รู้สึกระคายใจเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของแม่เลี้ยงดังชัด
“บุณผิดเองที่โทรตามคุณไปดังเจอ ไม่งั้นคงไม่เกิดเรื่องทะเลาะกันแบบนี้”
บุณฑริกาทำกับเธอได้แสบสันต์จริงๆ แม่เลี้ยงผู้นี้มีจิตใจผิดปกติ ผิดมนุษย์มนาทั่วไป ก็มีที่ไหนละ ที่คนคนหนึ่งต้องการเห็นคนอื่นเป็นทุกข์ ให้คนอื่นไม่เป็นอันกินอันนอน เหมือนกับตัวเองที่เคยได้สัมผัสทุกข์แบบนั้นมา
“คุณทำดีแล้วบุณ ผมต่างหากที่ปล่อยปละละเลยยัยษามานาน เห็นที่ต้องกำหราบให้อยู่หมัดนับตั้งแต่นี้ไป”
เสียงของพ่อที่เออออไปกับบุณฑริกา ช่างกรีดใจลษา เพราะนี่คือบุพการีซึ่งไม่เห็นหัวลูกสาวตัวเอง เอาแต่เชื่อและไว้ใจคนนอก...คนที่มาแทนแม่ศิริ
แม่เลี้ยงใจทรามต้องการเห็นเธอเจ็บปวดทุรนทุรายอย่างที่ตนเองได้รับมาก่อนจากแม่ของเธอ
ถึงแม่ศิริจะไม่เป็นที่รักใคร่ของพ่ออย่างบุณฑริกา แต่ก็เป็นเมียที่พ่อรักและเคารพ ใบสมรสจึงยังค้างคา ไม่ได้จดทะเบียนหย่าให้สิ้นเรื่องราว
ครั้นแม่ศิริเสียชีวิตลงกะทันหัน ด้วยอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ บุณฑริกาก็ระริกระรี้ตีปีก ผงาดขึ้นมาครองตำแหน่งเมียของพ่ออย่างเปิดเผย ลษาท้วงเท่าไหร่ พ่อก็เพิกเฉย รำคาญเข้าก็บอกว่า
“นักธุรกิจอย่างฉันต้องการคู่ครองมาออกหน้าออกตา ไม่มีแม่เธอแล้ว ฉันก็มีคุณบุณนี่ละ เชิดหน้าชูตาได้”
จำได้ว่า ลษาหวีดร้อง ทุ่มทำลายข้าวของอย่างหัวเสีย แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ดีกรีความแรงของบุณฑริกาเหนือกว่า ออดอ้อนพ่อสารพัด แถมมีลูกชายให้พ่อได้เชยชม ลวิตรเป็นน้องชายต่างแม่ที่เธอเกลียดเข้ากระดูกดำ แม้ว่าฝ่ายนั้นจะพยายามทำดีกับเธอ ผิดจากคนเป็นแม่ก็ตาม ลษาก็พาลคิดไปว่าเป็นมารยาของเด็ก
เมื่อแม่ศิริจากไป ชีวิตที่เพิ่งพ้นวัยมัธยมปลายของเธอเหมือนถูกลอยแพ หมาหัวเน่าคือคำที่เธอใช้เรียกตัวเองนับแต่นั้น การเรียนที่เคยดีเด่น กลับแย่ลงๆ อย่างน่าตกใจ จนอาจารย์ที่โรงเรียนเรียกผู้ปกครองเข้าพบ
พอไม่สนใจการเรียนแล้ว การทำตัวแย่อย่างอื่นๆ ก็ง่ายขึ้น ลษาเริ่มเที่ยว คบเพื่อนแปลกหน้าที่ไม่ใช่กลุ่มเด็กเรียน ผลก็คือเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยปิดไม่ได้ ต้องเข้ามหาวิทยาลัยเอกชน หากก็ไม่พ้น เธอเกเรอีกจนได้
ลษารู้ตัวดี ตลอดเวลาสองปีที่เข้ามหาวิทยาลัย เธอทำตัวไม่เป็นโพ้เป็นพาย กินเที่ยวกับเพื่อน ใช้ชีวิตอย่างที่เรียกว่าประมาท แต่ลษาไม่เคยแคร์ บอกตัวเองทุกวัน ย้ำกับใจตลอดเวลาว่า พ่อไม่รัก พ่อไม่สนใจ แล้วฉันจะทำดีไปเพื่อใคร ฉะนั้นฉันจะทำอะไร มันก็เป็นเรื่องของฉัน
“ปล่อยๆ ไปเถอะค่ะคุณโองการ”
เสียงของแม่เลี้ยงแว่วขึ้น ทำให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ กลับมาหน้านิ่วคิ้วขมอดกับวาจาดั่งมีดคมซึ่งอาบไว้ด้วยน้ำหวาน
“ยัยลษาใจแตกเสียคนไปแล้ว ถือว่าปล่อยเถอะค่ะ เรากู่เขากลับมาไม่ได้แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยังไงคุณก็มีตาลวิตรอยู่ทั้งคนนะคะ”
คนฟังอยู่บนชั้นสองของบ้าน ถึงกับตาเบิกโพลง
“คงต้องเป็นอย่างนั้น ลวิตรมันลูกพ่อ เรียนก็ดี เป็นเด็กดีให้พ่อแม่ชื่นใจ ไม่เหมือนยัยลษา ไม่รู้เอานิสัยบ้าบอนี่มาจากไหน ทำตัวเป็นหมาตัวเมียเข้าทุกวัน ท้องกลับมาเมื่อไหร่ ผมจะไม่เสียใจเลยสักนิด จะไม่ดูดายมันด้วย!”
ลษากำมือแน่น ไม่เห็นหน้าบุณฑริกาหรอกว่าเป็นอย่างไร แต่เธอเดาได้ ว่านังงูพิษนั่นคงจะยิ้มย่องอย่างสาแก่ใจแน่ๆ มันรอวันนี้มานาน ลษารู้ดี
“โธ่ คุณโองการ ถึงยังไงเค้าก็เป็นลูกนะคะ พี่ศิริก็เลี้ยงมาดี เสียแต่ตั้งแต่พี่แกเสียใจ ยัยลษาก็เหมือนกับเสียคน”
“มันเป็นลูกแม่ เอะอะอะไรก็แม่ๆ ตลอด มันไม่เคยเห็นหัวผม เป็นไง พ่อแม่ตายไป มันก็หมาหัวเน่าดีๆ นี่เอง บอกให้มันเชื่อมันก็ไม่เชื่อ เป็นไงละ มีใครโอ๋มันบ้าง หึ อยากกำแหงกับพ่อมันดีนัก
ลษาเริ่มโมโหขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ยินพ่อกล่าวถึงแม่อันเป็นที่รักของตัวเอง
“ศิริเลี้ยงลูกยังไงนะ ให้มันกำเริบเสิบสานกับพ่อมันอย่างนี้ ฮึ ไม่อยู่แล้วยังทิ้งปัญหาไว้ให้ผมอีก”
“โธ่คุณคะ ลษาแกยังเด็ก”
โอ้ย! นังตอแหล ยังมาทำท่าเห็นใจฉัน
“ไม่เด็กแล้วคุณ คุณบุณมองมันผิดไปละ เห็นไปไหม วันนี้มันทำอะไร ทำสิ่งที่เรียกว่าเด็กมันทำกันอย่างนั้นเหรอ แรดยิ่งกว่าผู้ใหญ่บางคนอีก ลูกคนนี้ไม่น่าเรียกว่าลูกเลย ทำตัวยังกะอีตัวข้างถนน”
ลษาตกใจ ก่อนเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้น อันมีต้นสายมาจากความน้อยใจ
พ่อ...คนที่เธอรักและเคารพ แม้จะไม่เต็มที่เหมือนแม่ศิริ บัดนี้ได้ตราหน้าลูกสาวตัวเอง ให้ไม่ต่างจากโสเภณีอย่างนั้นหรือ
แค่เพียงหูเบา โดนมนตร์ยายแม่มดแร้งทึ้งมันเป่าหัวเท่านั้น พ่อที่เธอเหลือความนับถือไว้น้อยเท่าน้อย ถึงกับออกปากหยาบหยามลูกสาวตนเองถึงขนาดนั้น
มันคงถึงจุดสิ้นสุดแล้วละมัง!
ตัวของลษาสั่นเทา วูบนั้นความคิดที่จะไปจากที่นี้ก็ผุดขึ้น เธอไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเลย แต่คิดมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ยามที่ทะเลาะกับพ่อ รวมถึงนังบุณฑริกาตัวดี
ไวเท่าใจคิด หญิงสาวเปิดประตูตู้เสื้อผ้าอย่างเร็วรี่ เรียกได้ว่าแรงดึงเหมือนเป็นกระชาก กระเป๋าสะพายใบเขื่องล่วงลงมาตรงหน้า ราวกับรอเวลานี้มานานแล้ว
เธอยัดเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็นลงกระเป๋า ไม่สนใจไยดีอะไรทั้งนั้นแล้ว เมื่อมันเหลืออดเหลือทน ทำไมเธอต้องหน้าด้านอยู่ อยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น พ่อเอาแต่หูเบา นังมารร้ายบุณฑริกาเล่นบทแม่พระเข้าใส่หน่อย ก็หลงคารมมันยิ่งกว่าโดนคุณไสยเสียอีก
เมื่อจัดของรวกๆ เสร็จ ลษาไม่รอช้า เดินลงส้นลนพื้นเรือนชั้นสองซึ่งเป็นไม้กระดานแรงๆ จงใจจะให้คนด่านล่างรับรู้ถึงอารมณ์ดังพายุ แถมให้หันมามองการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของเธอ
เลือดแม่ศิริในตัวเธอมันแรงนัก ใครๆ เขาก็ว่าอย่างนี้ โดยเฉพาะพวกญาติๆ ฝั่งพ่อ ซึ่งเห็นดีเห็นงามไปกับเมียใหม่ ที่ใช้สาลิกาลิ้นทอง พลิกเอาความดีเข้าตัว ความชั่วทั้งหลายป้ายให้เมียเก่า แล้วลามเลยมายังลูกสาว ซึ่งนับวันมีแต่จะกลายเป็นหมาหัวเนา
ใช่สิ ชีวิตเธอมันก็แค่นี้ หมาหัวเนาที่ไม่มีใครเอา!
แล้วจะอยู่ทำให้ให้ใครตราหน้าว่าหนังหนา ทั้งๆ ที่คนหน้าหนายิ่งกว่ากระเบื้องมุงหลังคา กำลังออดอ้อนออเซาะพ่อของเธออยู่บนโซฟา ทำราวกับอายุไม่ได้ล่วงเข้าวันสี่สิบกันแล้ว
“นั่นแกจะไปไหน”
พ่อถลันลุกขึ้น เมื่อเห็นลษาลงมาในมาดใหม่
เป็นมาดของเด็กสาวที่ทระนง มือที่ถือกระเป๋าเสื้อผ้ากุมแน่น เหมือนกลัวว่าใครจะยื้อแย่งเอาไป หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นจนคางเป็นเส้นขนานกับพื้น เดินลงบันไดมาด้วยทีท่าทระนง ไม่สะทกสะทานต่อสายตาตำหนิของพ่อเลยสักนิด
“ฉันถามว่าแกจะไปไหน ลษา”
ยังไม่มีคำตอบ รีบเดินลิ่วๆ ผ่านหน้าทั้งพ่อและนังยักขมูขี ราวกับเป็นเพียงอากาศ
“แกจะไปจากบ้านนี้ใช่ไหม เออ...ดี กูจะได้ไม่ต้องมาทนเลี้ยงลูกไม่รักดี เหนื่อยแล้วโว้ย ทำไมกูต้องมารับภาระเลี้ยงดูลูกที่ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยของกูบ้าง”
ลษาชะงักเท้า สะเทือนใจกับคำพูดนั้นของพ่อ
ลูกไม่รักดี ลูกที่ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยของพ่ออย่างนั้นเหรอ...
ใช่สิ เธอมันเป็นอย่างที่พ่อว่าจริงๆ ความคิดอ่านของพ่อไปในทางนั้นหมดแล้ว จะหันไปแก้ตัวแก้ต่างยังไงก็คงไม่เป็นผล เพราะนังมารร้ายกอดแข้งกอดขา เหมือนกับงูร้ายรัดเหยื่อยให้แน่นิ่งคามือ กำลังรัดพ่อแน่ ไม่ปล่อยให้หลุดรอดออกมาแสดงความเห็นใจแก่เธอเลยสักนิด
ปากเรียวบางนั้นสั่นริกๆ อุตส่าห์บอกตัวเองแล้วเชียวว่าอย่างเสียใจ ถ้าได้ตัดสินใจที่จะเดินออกจากบ้านนี้แล้ว แต่ความน้อยใจก็อดไม่ได้ที่ทำให้น้ำตาไหลซึม
ลษาหันกลับมาทางพ่อกับนางยักษ์ แววตาฉายแววตัดพ่อส่งไปยังพ่อ ก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นเจ็บแค้น แล้วหันไปทางแม่เลี้ยงใจร้าย
“ก็พ่อไม่ต้องการลษาแล้ว ลษาจะอยู่ทำไมให้พ่อต้องเหนื่อยใจอีก”
แทนที่จะเป็นคำตัดพ้อให้พ่อได้เห็นใจ แค่คำนั้นกลับกลายเป็นเชื้อไฟให้ความโมโหเพิ่มยิ่งขึ้น
“เออ...อวดดีกับพ่อมึงใช่ไหม ไปเลย ไปให้พ้นสายตากูเลย แล้วไม่ต้องกลับมาอีก ตั้งท้องเป็นหมาตัวเมียริกๆ อยากได้ผัวก็อยากได้อุ้มเสนียดเข้ามาในบ้านของกู”
ใจของคนเป็นลูกสาวอย่างเธอราวกับถูกทิ่มแทงด้วยของแหลม ฟังดูเถอะ...ฟังคำพูดของพ่อที่พูดกับเธอ ทำเหมือนกับไม่เคยเป็นพ่อลูกันมาก่อน เธอชั่ว เธอเลวขนาดกลายเป็นหมาตัวเมียติดสัด เดินร่านรอตัวให้ให้มาติดพันเชียวหรือ
ค่าของเธอในสายตาพ่อ ไม่ต่างจากหมานี่เอง...
“ใจเย็นๆ เถอะค่ะคุณโองการ” บุณฑริกาแสดงสีหน้าเป็นกังวล ถ้าคนนอกมาเห็น คงเข้าใจว่า แม่เลี้ยงคนนี้ดีเหลือแสน แต่คนภายในและโดนกระทำมาตลอดอย่างเธอ เห็นการกระทำนั้นเป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น
“จะเย็นยังไงไหวละคุณ ดูลูกที่ทำตัวไม่เหมือนลูกกับพ่อมันสิ”
“ค่ะ...บุณเข้าใจค่ะ แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งโมโหนะคะ ดื่มเครื่องดื่มให้ใจเย็นลงแล้วค่อยๆ พูดกับหนูลษาเถอะค่ะ”
หึ...เครื่องดื่มทำให้ใจเย็นลงงั้นหรือ?
ลษาแค่นในใจ เหล้าในแก้วใบใสนั่นนะหรือคือสิ่งที่ใช้ดับอารมณ์ร้อน
ไม่ใช่ว่ามันจะยิ่งกระพือความร้อนใจตัวพ่อให้โหมมาแผดเผาตัวเธอยิ่งขึ้นไปอีกหรือไร
ตอนนั้นเอง ลษานึกอยากจะตอกหน้าแม่เลี้ยงให้สาแก่ใจสักครั้ง เป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากบ้านก็ยังดี หญิงสาวจึงได้ยินตัวเองเอ่ยเสียงดังๆ ออกไปว่า
“ทุเรศที่สุด มอมเหล้าพ่อฉันเข้าไปสิ สะใจจริงๆ ความอัปรีย์ๆ ดันใช้ได้ผลกับพ่อฉันด้วย”
“ว้าย! ตายแล้ว หนูลษาพูดอะไรยังนั้นคะ ไม่งามเลยนะคะลูก”
“อย่ามาตอแหล นังคังคกขึ้นวอ พอขึ้นหม้อหน่อยละมาทำแอ๊บนางเอก ฉันรู้ว่าแกน่ะมันนังอิจฉา ตัวมารดีๆ นี่เอง เอาซิ เอาพ่อฉันไปเลย แนยกให้ เอาไปกกไปกอดให้สมใจ แย่งสามีจากแม่ฉันมาได้แล้วหนหนึ่งนี่นา จะแย่งพ่อไปจากฉันอีกหนจะเป็นไรไป...”
เผี๊ยะ!
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นใกล้ๆ หูของลษา ความชาที่แก้มซ้ายทำให้สติด้านชาตามไปด้วย กว่าจะได้สติ น้ำตาก็ซึมออกมาและหยาดไหลลงร่องแก้ม พร้อมรับรู้ว่า อาการชาที่แก้มซ้าย เป็นฝีมือการตบหน้าของพ่อเธอเอง
“แกขอโทษฉันกับคุณบุณเดี่ยวนี้ ปากหมาๆ อย่างแกฉันไม่เคยสั่งสอน ไปจำใครเขามา หรือว่าศิริมันสอน”
“พ่ออย่ามาลามปามถึงแม่!”
“ทำไม...นั่นมันเมียเก่าของฉัน ทำไมฉันจะพูดถึงไม่ได้ ก็เพราะเค้าเป็นแม่ที่ไม่รู้จักสั่งสอนแกยังไง”
“แล้วพ่อทำไมไม่สั่งสอน หรือว่าไม่เห็นว่าเป็นลูก เอาแต่ไปไปสนใจเมียใหม่ ลูกใหม่ พอใจใช่ไหมที่ได้ลูกชาย”
คำสุดท้าย ลษาปรายตาไปทางห้องครัว ที่ประตู เด็กชายสวมแว่นตาอย่างเด็กคงแก่เรียนคนหนึ่งกำลังยืนเกาะกรอบประตูอยู่ มองมาทางนี้อย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ลวิตรมันเด็กดี เรียนก็เก่ง ฉลาดและก็รู้จักที่ต่ำที่สูง เคารพพ่อเชื้อของมัน ไม่เหมือนแก สันดานหมา เอ้อ...ไม่ใช่สิ หมามันยังจงรักภักดีกับเจ้านาย แกคงยิ่งแย่กว่าหมาอีกมั้ง”
น้ำตาของลษาเหือดแห้งไปหมดแล้ว ตอนที่พ่อจบประโยคนั้นแล้วกระดกเหล้าเข้าปากจนหมดแก้ว
ความเงียบอย่างชนิดว่ามีเข็มหล่นลงพื้นคงได้ยิน เข้าคุมพื้นที่ห้องรับแขก มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งๆ เท่านั้น
เป็นนาน ก่อนหญิงสาวจะสูดลมหายใจลึกๆ เม้มริมฝีปาก หันไปทางพ่อ แล้วพูดว่า
“เถอะค่ะ ถึงลษาจะหัวดื้อ เลวยิ่งกว่าหมา แต่ลษาก็ยังมีสติ คิดว่าคนตรงหน้าลษาคือพ่อ...”
ว่าจบ เธอก็สะพายกระเป๋าเข้าไหล่ แล้วพนมมือเข้าหากัน...เพื่อไหว้พ่อที่กำลังนั่งเอกเขนกดวดเหล้าเข้าปากเป็นว่าเล่นราวกับน้ำเปล่า
พ่อมองเธอทางหางตานิดหนึ่งก่อนเชิดหน้าหนี หันไปทางลูกชายต่างเมีย
“ลวิตรไปนอนได้แล้ว ดึกมากแล้ว ลงมาทำไมดึกๆ ดื่นๆ”
เด็กชายตัวสั่น บอกเสียงเบาๆ ว่า “ผมหิวครับพ่อ เลยลงมาหานมอุ่นๆ ทาน”
“กินแล้วก็ขึ้นไปนอนได้แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
เด็กชายหันไปมองหน้าแม่ตัวเองอย่างจะขอคำปรึกษา บุณฑริกาพยักเพยิดให้ลูกขึ้นไปนอน เขาจึงเดินอย่างซักกะตายขึ้นบันไดไป โดยไม่ลืมหันมามองทางลษาด้วยสายตาละห้อย
“ในเมื่อคิดดีแล้วก็ไปซะ แล้วอย่าซมซานกลับมา ฉันจะหัวเราะให้ฟันหัก”
พ่อยังคงเหยียดหยามเธอต่อเนื่อง ลษาก้มลงไหว้อีก คราวนี้บอกว่า
“ไหว้ครั้งที่สองนี้คือไหว้ลา หลังจากไหว้ครั้งแรกถือว่าลษาไหว้บุพการีผู้กำเนิด”
ทั้งน้ำเสียงและมือที่พนมของคนพูด สั่นเทาราวคนแก่ อารมณ์ดั่งพายุลดลงไปบ้างแล้วก็จริง หากความรุนแรงของมันก็ยังอยู่ แถมทิ้งร่องรอยการทำลายร้างไว้กับหัวใจจนเป็นแผล กว่าจะสะกดใจให้พูดจนจบความ ลษาก็แทบแย่
กระนั้นก็ตาม หญิงสาวก็พูดมันออกไปได้มั่นคงนัก
“ไหว้ลานี้ ลษาจะจำไว้ว่า ถึงลษาจะตั้งใจทำมัน แต่มันกลับเป็นการไหว้ลาที่ไม่มีค่าอะไรเลย แม้แต่จะให้พ่อจะชายตามอง”
“อย่าลืมไหว้ที่สาม”
พ่อหันมาทำตาลุกวาวใส่ เหมือนมองศัตรูคู่อาฆาต มากกว่ามองลูกสาวที่กำลังจะจากไป
“ไหว้ขอโทษคุณบุณเขาด้วย”
แค่ได้ยินอย่างนั้น ก็เหมือนหัวใจถูกบีบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบปริแตก
เฮอะ...ให้ไหว้นังอัปรีย์จัญไรคนนี้นะหรือ ให้เธอไปตายเสียยังจะดีกว่า สิ่งเดียวที่คู่ควรกับมันคือสิ่งนี้
คิดเสร็จ แทนที่จะพนมมือไหว้อย่างที่พ่อกำหนด ลษากลับยกนิ้วกลางให้ แบบที่ฝรั่งใช้แทนคำสบถอันหยาบโลน
บุณฑริกาหวีดร้องขึ้นทันที
“ว้าย! ร้ายกาจมาก หนูลษาทำไมทำอย่างนี้กับน้า น่าเกลียดที่สุด”
“ลษา...แกจะมากเกินไปแล้ว”
ไม่ว่าพ่อและนังตัวดีจะลุกขึ้นมาเต้นแร้งเต้นกาอย่างไร เธอก็ไม่หันหลังกลับไปขอโทษแม้แต่น้อย
หญิงสาวก้าวเท้ายาวๆ อย่างทะนงองอาจออกจากรั้วบ้าน ไม่แม้แต่จะหันเหลียวมองบ้านไม้สองชั้นซึ่งอาศัยมาตั้งแต่เด็ก เพื่อร่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย
...ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์คำด่าที่เพิ่งให้กับแม่เลี้ยง และการไหว้ซึ่งตั้งใจฝากไว้ให้พ่อเป็นครั้งสุดท้าย
ลษาเงยหน้ามองท้องฟ้าราตรี ถ้าจะให้เปรียบตัวเองเป็นดาวสักดวงก็คงได้ แต่คงเป็นดวงดาวซึ่งเดี่ยวดายบนพื้นผ้าสีดำ และโคจรร่อนเร่ไปไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่รู้เลย ว่าค่ำคืนนี้ดาวน้อยอย่างเธอจะล่องลอยไปพักพิงที่หนใด
/////////////////////////
๓ ดาวน้อยจะล่องลอยไปที่ไหน
“นั่นแกจะไปไหน ลงมาคุยกันฉันก่อน”
เสียงเกรี้ยวกราดของพ่อดังไล่หลัง แต่ลษาไม่สนใจ พอรถยนต์จอด เธอก็เปิดประตู วิ่งพรวดพราดขึ้นชั้นสองของบ้าน เข้าห้องนอนทันทีโดยไม่ใส่ใจว่าเสียงของพ่อจะดังแทบบ้านแตก
“ช่างแกเถอะค่ะคุณโองการ ปล่อยแกเถอะ รอให้แกเย็นกว่านี้ดีกว่านะคะ”
ลษาได้ยินเสียงฉอเลาะของบุณฑริกาดังมาแว่วๆ ฟังแล้วระคายหูที่สุด
“บุณผิดเอง ไม่น่าหวังดีตามไปเจอแกที่หน้าผับแถวทองหล่อเลย”
คนในห้องหูผึ่ง...
ว่าไงนะ นังแม่เลี้ยงใจยักษ์แอบตามไปเจอ!
นี่แสดงว่าหล่อนคนนั้นสะกดรอยตาม เพื่อดูพฤติกรรมของเธออย่างงั้นหรือ
ลษาไม่ได้รับคำตอบสำหรับคำถามนั้น มีแต่รู้สึกระคายใจเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของแม่เลี้ยงดังชัด
“บุณผิดเองที่โทรตามคุณไปดังเจอ ไม่งั้นคงไม่เกิดเรื่องทะเลาะกันแบบนี้”
บุณฑริกาทำกับเธอได้แสบสันต์จริงๆ แม่เลี้ยงผู้นี้มีจิตใจผิดปกติ ผิดมนุษย์มนาทั่วไป ก็มีที่ไหนละ ที่คนคนหนึ่งต้องการเห็นคนอื่นเป็นทุกข์ ให้คนอื่นไม่เป็นอันกินอันนอน เหมือนกับตัวเองที่เคยได้สัมผัสทุกข์แบบนั้นมา
“คุณทำดีแล้วบุณ ผมต่างหากที่ปล่อยปละละเลยยัยษามานาน เห็นที่ต้องกำหราบให้อยู่หมัดนับตั้งแต่นี้ไป”
เสียงของพ่อที่เออออไปกับบุณฑริกา ช่างกรีดใจลษา เพราะนี่คือบุพการีซึ่งไม่เห็นหัวลูกสาวตัวเอง เอาแต่เชื่อและไว้ใจคนนอก...คนที่มาแทนแม่ศิริ
แม่เลี้ยงใจทรามต้องการเห็นเธอเจ็บปวดทุรนทุรายอย่างที่ตนเองได้รับมาก่อนจากแม่ของเธอ
ถึงแม่ศิริจะไม่เป็นที่รักใคร่ของพ่ออย่างบุณฑริกา แต่ก็เป็นเมียที่พ่อรักและเคารพ ใบสมรสจึงยังค้างคา ไม่ได้จดทะเบียนหย่าให้สิ้นเรื่องราว
ครั้นแม่ศิริเสียชีวิตลงกะทันหัน ด้วยอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ บุณฑริกาก็ระริกระรี้ตีปีก ผงาดขึ้นมาครองตำแหน่งเมียของพ่ออย่างเปิดเผย ลษาท้วงเท่าไหร่ พ่อก็เพิกเฉย รำคาญเข้าก็บอกว่า
“นักธุรกิจอย่างฉันต้องการคู่ครองมาออกหน้าออกตา ไม่มีแม่เธอแล้ว ฉันก็มีคุณบุณนี่ละ เชิดหน้าชูตาได้”
จำได้ว่า ลษาหวีดร้อง ทุ่มทำลายข้าวของอย่างหัวเสีย แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ดีกรีความแรงของบุณฑริกาเหนือกว่า ออดอ้อนพ่อสารพัด แถมมีลูกชายให้พ่อได้เชยชม ลวิตรเป็นน้องชายต่างแม่ที่เธอเกลียดเข้ากระดูกดำ แม้ว่าฝ่ายนั้นจะพยายามทำดีกับเธอ ผิดจากคนเป็นแม่ก็ตาม ลษาก็พาลคิดไปว่าเป็นมารยาของเด็ก
เมื่อแม่ศิริจากไป ชีวิตที่เพิ่งพ้นวัยมัธยมปลายของเธอเหมือนถูกลอยแพ หมาหัวเน่าคือคำที่เธอใช้เรียกตัวเองนับแต่นั้น การเรียนที่เคยดีเด่น กลับแย่ลงๆ อย่างน่าตกใจ จนอาจารย์ที่โรงเรียนเรียกผู้ปกครองเข้าพบ
พอไม่สนใจการเรียนแล้ว การทำตัวแย่อย่างอื่นๆ ก็ง่ายขึ้น ลษาเริ่มเที่ยว คบเพื่อนแปลกหน้าที่ไม่ใช่กลุ่มเด็กเรียน ผลก็คือเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยปิดไม่ได้ ต้องเข้ามหาวิทยาลัยเอกชน หากก็ไม่พ้น เธอเกเรอีกจนได้
ลษารู้ตัวดี ตลอดเวลาสองปีที่เข้ามหาวิทยาลัย เธอทำตัวไม่เป็นโพ้เป็นพาย กินเที่ยวกับเพื่อน ใช้ชีวิตอย่างที่เรียกว่าประมาท แต่ลษาไม่เคยแคร์ บอกตัวเองทุกวัน ย้ำกับใจตลอดเวลาว่า พ่อไม่รัก พ่อไม่สนใจ แล้วฉันจะทำดีไปเพื่อใคร ฉะนั้นฉันจะทำอะไร มันก็เป็นเรื่องของฉัน
“ปล่อยๆ ไปเถอะค่ะคุณโองการ”
เสียงของแม่เลี้ยงแว่วขึ้น ทำให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ กลับมาหน้านิ่วคิ้วขมอดกับวาจาดั่งมีดคมซึ่งอาบไว้ด้วยน้ำหวาน
“ยัยลษาใจแตกเสียคนไปแล้ว ถือว่าปล่อยเถอะค่ะ เรากู่เขากลับมาไม่ได้แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยังไงคุณก็มีตาลวิตรอยู่ทั้งคนนะคะ”
คนฟังอยู่บนชั้นสองของบ้าน ถึงกับตาเบิกโพลง
“คงต้องเป็นอย่างนั้น ลวิตรมันลูกพ่อ เรียนก็ดี เป็นเด็กดีให้พ่อแม่ชื่นใจ ไม่เหมือนยัยลษา ไม่รู้เอานิสัยบ้าบอนี่มาจากไหน ทำตัวเป็นหมาตัวเมียเข้าทุกวัน ท้องกลับมาเมื่อไหร่ ผมจะไม่เสียใจเลยสักนิด จะไม่ดูดายมันด้วย!”
ลษากำมือแน่น ไม่เห็นหน้าบุณฑริกาหรอกว่าเป็นอย่างไร แต่เธอเดาได้ ว่านังงูพิษนั่นคงจะยิ้มย่องอย่างสาแก่ใจแน่ๆ มันรอวันนี้มานาน ลษารู้ดี
“โธ่ คุณโองการ ถึงยังไงเค้าก็เป็นลูกนะคะ พี่ศิริก็เลี้ยงมาดี เสียแต่ตั้งแต่พี่แกเสียใจ ยัยลษาก็เหมือนกับเสียคน”
“มันเป็นลูกแม่ เอะอะอะไรก็แม่ๆ ตลอด มันไม่เคยเห็นหัวผม เป็นไง พ่อแม่ตายไป มันก็หมาหัวเน่าดีๆ นี่เอง บอกให้มันเชื่อมันก็ไม่เชื่อ เป็นไงละ มีใครโอ๋มันบ้าง หึ อยากกำแหงกับพ่อมันดีนัก
ลษาเริ่มโมโหขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ยินพ่อกล่าวถึงแม่อันเป็นที่รักของตัวเอง
“ศิริเลี้ยงลูกยังไงนะ ให้มันกำเริบเสิบสานกับพ่อมันอย่างนี้ ฮึ ไม่อยู่แล้วยังทิ้งปัญหาไว้ให้ผมอีก”
“โธ่คุณคะ ลษาแกยังเด็ก”
โอ้ย! นังตอแหล ยังมาทำท่าเห็นใจฉัน
“ไม่เด็กแล้วคุณ คุณบุณมองมันผิดไปละ เห็นไปไหม วันนี้มันทำอะไร ทำสิ่งที่เรียกว่าเด็กมันทำกันอย่างนั้นเหรอ แรดยิ่งกว่าผู้ใหญ่บางคนอีก ลูกคนนี้ไม่น่าเรียกว่าลูกเลย ทำตัวยังกะอีตัวข้างถนน”
ลษาตกใจ ก่อนเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้น อันมีต้นสายมาจากความน้อยใจ
พ่อ...คนที่เธอรักและเคารพ แม้จะไม่เต็มที่เหมือนแม่ศิริ บัดนี้ได้ตราหน้าลูกสาวตัวเอง ให้ไม่ต่างจากโสเภณีอย่างนั้นหรือ
แค่เพียงหูเบา โดนมนตร์ยายแม่มดแร้งทึ้งมันเป่าหัวเท่านั้น พ่อที่เธอเหลือความนับถือไว้น้อยเท่าน้อย ถึงกับออกปากหยาบหยามลูกสาวตนเองถึงขนาดนั้น
มันคงถึงจุดสิ้นสุดแล้วละมัง!
ตัวของลษาสั่นเทา วูบนั้นความคิดที่จะไปจากที่นี้ก็ผุดขึ้น เธอไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเลย แต่คิดมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ยามที่ทะเลาะกับพ่อ รวมถึงนังบุณฑริกาตัวดี
ไวเท่าใจคิด หญิงสาวเปิดประตูตู้เสื้อผ้าอย่างเร็วรี่ เรียกได้ว่าแรงดึงเหมือนเป็นกระชาก กระเป๋าสะพายใบเขื่องล่วงลงมาตรงหน้า ราวกับรอเวลานี้มานานแล้ว
เธอยัดเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็นลงกระเป๋า ไม่สนใจไยดีอะไรทั้งนั้นแล้ว เมื่อมันเหลืออดเหลือทน ทำไมเธอต้องหน้าด้านอยู่ อยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น พ่อเอาแต่หูเบา นังมารร้ายบุณฑริกาเล่นบทแม่พระเข้าใส่หน่อย ก็หลงคารมมันยิ่งกว่าโดนคุณไสยเสียอีก
เมื่อจัดของรวกๆ เสร็จ ลษาไม่รอช้า เดินลงส้นลนพื้นเรือนชั้นสองซึ่งเป็นไม้กระดานแรงๆ จงใจจะให้คนด่านล่างรับรู้ถึงอารมณ์ดังพายุ แถมให้หันมามองการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของเธอ
เลือดแม่ศิริในตัวเธอมันแรงนัก ใครๆ เขาก็ว่าอย่างนี้ โดยเฉพาะพวกญาติๆ ฝั่งพ่อ ซึ่งเห็นดีเห็นงามไปกับเมียใหม่ ที่ใช้สาลิกาลิ้นทอง พลิกเอาความดีเข้าตัว ความชั่วทั้งหลายป้ายให้เมียเก่า แล้วลามเลยมายังลูกสาว ซึ่งนับวันมีแต่จะกลายเป็นหมาหัวเนา
ใช่สิ ชีวิตเธอมันก็แค่นี้ หมาหัวเนาที่ไม่มีใครเอา!
แล้วจะอยู่ทำให้ให้ใครตราหน้าว่าหนังหนา ทั้งๆ ที่คนหน้าหนายิ่งกว่ากระเบื้องมุงหลังคา กำลังออดอ้อนออเซาะพ่อของเธออยู่บนโซฟา ทำราวกับอายุไม่ได้ล่วงเข้าวันสี่สิบกันแล้ว
“นั่นแกจะไปไหน”
พ่อถลันลุกขึ้น เมื่อเห็นลษาลงมาในมาดใหม่
เป็นมาดของเด็กสาวที่ทระนง มือที่ถือกระเป๋าเสื้อผ้ากุมแน่น เหมือนกลัวว่าใครจะยื้อแย่งเอาไป หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นจนคางเป็นเส้นขนานกับพื้น เดินลงบันไดมาด้วยทีท่าทระนง ไม่สะทกสะทานต่อสายตาตำหนิของพ่อเลยสักนิด
“ฉันถามว่าแกจะไปไหน ลษา”
ยังไม่มีคำตอบ รีบเดินลิ่วๆ ผ่านหน้าทั้งพ่อและนังยักขมูขี ราวกับเป็นเพียงอากาศ
“แกจะไปจากบ้านนี้ใช่ไหม เออ...ดี กูจะได้ไม่ต้องมาทนเลี้ยงลูกไม่รักดี เหนื่อยแล้วโว้ย ทำไมกูต้องมารับภาระเลี้ยงดูลูกที่ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยของกูบ้าง”
ลษาชะงักเท้า สะเทือนใจกับคำพูดนั้นของพ่อ
ลูกไม่รักดี ลูกที่ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยของพ่ออย่างนั้นเหรอ...
ใช่สิ เธอมันเป็นอย่างที่พ่อว่าจริงๆ ความคิดอ่านของพ่อไปในทางนั้นหมดแล้ว จะหันไปแก้ตัวแก้ต่างยังไงก็คงไม่เป็นผล เพราะนังมารร้ายกอดแข้งกอดขา เหมือนกับงูร้ายรัดเหยื่อยให้แน่นิ่งคามือ กำลังรัดพ่อแน่ ไม่ปล่อยให้หลุดรอดออกมาแสดงความเห็นใจแก่เธอเลยสักนิด
ปากเรียวบางนั้นสั่นริกๆ อุตส่าห์บอกตัวเองแล้วเชียวว่าอย่างเสียใจ ถ้าได้ตัดสินใจที่จะเดินออกจากบ้านนี้แล้ว แต่ความน้อยใจก็อดไม่ได้ที่ทำให้น้ำตาไหลซึม
ลษาหันกลับมาทางพ่อกับนางยักษ์ แววตาฉายแววตัดพ่อส่งไปยังพ่อ ก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นเจ็บแค้น แล้วหันไปทางแม่เลี้ยงใจร้าย
“ก็พ่อไม่ต้องการลษาแล้ว ลษาจะอยู่ทำไมให้พ่อต้องเหนื่อยใจอีก”
แทนที่จะเป็นคำตัดพ้อให้พ่อได้เห็นใจ แค่คำนั้นกลับกลายเป็นเชื้อไฟให้ความโมโหเพิ่มยิ่งขึ้น
“เออ...อวดดีกับพ่อมึงใช่ไหม ไปเลย ไปให้พ้นสายตากูเลย แล้วไม่ต้องกลับมาอีก ตั้งท้องเป็นหมาตัวเมียริกๆ อยากได้ผัวก็อยากได้อุ้มเสนียดเข้ามาในบ้านของกู”
ใจของคนเป็นลูกสาวอย่างเธอราวกับถูกทิ่มแทงด้วยของแหลม ฟังดูเถอะ...ฟังคำพูดของพ่อที่พูดกับเธอ ทำเหมือนกับไม่เคยเป็นพ่อลูกันมาก่อน เธอชั่ว เธอเลวขนาดกลายเป็นหมาตัวเมียติดสัด เดินร่านรอตัวให้ให้มาติดพันเชียวหรือ
ค่าของเธอในสายตาพ่อ ไม่ต่างจากหมานี่เอง...
“ใจเย็นๆ เถอะค่ะคุณโองการ” บุณฑริกาแสดงสีหน้าเป็นกังวล ถ้าคนนอกมาเห็น คงเข้าใจว่า แม่เลี้ยงคนนี้ดีเหลือแสน แต่คนภายในและโดนกระทำมาตลอดอย่างเธอ เห็นการกระทำนั้นเป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น
“จะเย็นยังไงไหวละคุณ ดูลูกที่ทำตัวไม่เหมือนลูกกับพ่อมันสิ”
“ค่ะ...บุณเข้าใจค่ะ แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งโมโหนะคะ ดื่มเครื่องดื่มให้ใจเย็นลงแล้วค่อยๆ พูดกับหนูลษาเถอะค่ะ”
หึ...เครื่องดื่มทำให้ใจเย็นลงงั้นหรือ?
ลษาแค่นในใจ เหล้าในแก้วใบใสนั่นนะหรือคือสิ่งที่ใช้ดับอารมณ์ร้อน
ไม่ใช่ว่ามันจะยิ่งกระพือความร้อนใจตัวพ่อให้โหมมาแผดเผาตัวเธอยิ่งขึ้นไปอีกหรือไร
ตอนนั้นเอง ลษานึกอยากจะตอกหน้าแม่เลี้ยงให้สาแก่ใจสักครั้ง เป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากบ้านก็ยังดี หญิงสาวจึงได้ยินตัวเองเอ่ยเสียงดังๆ ออกไปว่า
“ทุเรศที่สุด มอมเหล้าพ่อฉันเข้าไปสิ สะใจจริงๆ ความอัปรีย์ๆ ดันใช้ได้ผลกับพ่อฉันด้วย”
“ว้าย! ตายแล้ว หนูลษาพูดอะไรยังนั้นคะ ไม่งามเลยนะคะลูก”
“อย่ามาตอแหล นังคังคกขึ้นวอ พอขึ้นหม้อหน่อยละมาทำแอ๊บนางเอก ฉันรู้ว่าแกน่ะมันนังอิจฉา ตัวมารดีๆ นี่เอง เอาซิ เอาพ่อฉันไปเลย แนยกให้ เอาไปกกไปกอดให้สมใจ แย่งสามีจากแม่ฉันมาได้แล้วหนหนึ่งนี่นา จะแย่งพ่อไปจากฉันอีกหนจะเป็นไรไป...”
เผี๊ยะ!
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นใกล้ๆ หูของลษา ความชาที่แก้มซ้ายทำให้สติด้านชาตามไปด้วย กว่าจะได้สติ น้ำตาก็ซึมออกมาและหยาดไหลลงร่องแก้ม พร้อมรับรู้ว่า อาการชาที่แก้มซ้าย เป็นฝีมือการตบหน้าของพ่อเธอเอง
“แกขอโทษฉันกับคุณบุณเดี่ยวนี้ ปากหมาๆ อย่างแกฉันไม่เคยสั่งสอน ไปจำใครเขามา หรือว่าศิริมันสอน”
“พ่ออย่ามาลามปามถึงแม่!”
“ทำไม...นั่นมันเมียเก่าของฉัน ทำไมฉันจะพูดถึงไม่ได้ ก็เพราะเค้าเป็นแม่ที่ไม่รู้จักสั่งสอนแกยังไง”
“แล้วพ่อทำไมไม่สั่งสอน หรือว่าไม่เห็นว่าเป็นลูก เอาแต่ไปไปสนใจเมียใหม่ ลูกใหม่ พอใจใช่ไหมที่ได้ลูกชาย”
คำสุดท้าย ลษาปรายตาไปทางห้องครัว ที่ประตู เด็กชายสวมแว่นตาอย่างเด็กคงแก่เรียนคนหนึ่งกำลังยืนเกาะกรอบประตูอยู่ มองมาทางนี้อย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ลวิตรมันเด็กดี เรียนก็เก่ง ฉลาดและก็รู้จักที่ต่ำที่สูง เคารพพ่อเชื้อของมัน ไม่เหมือนแก สันดานหมา เอ้อ...ไม่ใช่สิ หมามันยังจงรักภักดีกับเจ้านาย แกคงยิ่งแย่กว่าหมาอีกมั้ง”
น้ำตาของลษาเหือดแห้งไปหมดแล้ว ตอนที่พ่อจบประโยคนั้นแล้วกระดกเหล้าเข้าปากจนหมดแก้ว
ความเงียบอย่างชนิดว่ามีเข็มหล่นลงพื้นคงได้ยิน เข้าคุมพื้นที่ห้องรับแขก มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งๆ เท่านั้น
เป็นนาน ก่อนหญิงสาวจะสูดลมหายใจลึกๆ เม้มริมฝีปาก หันไปทางพ่อ แล้วพูดว่า
“เถอะค่ะ ถึงลษาจะหัวดื้อ เลวยิ่งกว่าหมา แต่ลษาก็ยังมีสติ คิดว่าคนตรงหน้าลษาคือพ่อ...”
ว่าจบ เธอก็สะพายกระเป๋าเข้าไหล่ แล้วพนมมือเข้าหากัน...เพื่อไหว้พ่อที่กำลังนั่งเอกเขนกดวดเหล้าเข้าปากเป็นว่าเล่นราวกับน้ำเปล่า
พ่อมองเธอทางหางตานิดหนึ่งก่อนเชิดหน้าหนี หันไปทางลูกชายต่างเมีย
“ลวิตรไปนอนได้แล้ว ดึกมากแล้ว ลงมาทำไมดึกๆ ดื่นๆ”
เด็กชายตัวสั่น บอกเสียงเบาๆ ว่า “ผมหิวครับพ่อ เลยลงมาหานมอุ่นๆ ทาน”
“กินแล้วก็ขึ้นไปนอนได้แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
เด็กชายหันไปมองหน้าแม่ตัวเองอย่างจะขอคำปรึกษา บุณฑริกาพยักเพยิดให้ลูกขึ้นไปนอน เขาจึงเดินอย่างซักกะตายขึ้นบันไดไป โดยไม่ลืมหันมามองทางลษาด้วยสายตาละห้อย
“ในเมื่อคิดดีแล้วก็ไปซะ แล้วอย่าซมซานกลับมา ฉันจะหัวเราะให้ฟันหัก”
พ่อยังคงเหยียดหยามเธอต่อเนื่อง ลษาก้มลงไหว้อีก คราวนี้บอกว่า
“ไหว้ครั้งที่สองนี้คือไหว้ลา หลังจากไหว้ครั้งแรกถือว่าลษาไหว้บุพการีผู้กำเนิด”
ทั้งน้ำเสียงและมือที่พนมของคนพูด สั่นเทาราวคนแก่ อารมณ์ดั่งพายุลดลงไปบ้างแล้วก็จริง หากความรุนแรงของมันก็ยังอยู่ แถมทิ้งร่องรอยการทำลายร้างไว้กับหัวใจจนเป็นแผล กว่าจะสะกดใจให้พูดจนจบความ ลษาก็แทบแย่
กระนั้นก็ตาม หญิงสาวก็พูดมันออกไปได้มั่นคงนัก
“ไหว้ลานี้ ลษาจะจำไว้ว่า ถึงลษาจะตั้งใจทำมัน แต่มันกลับเป็นการไหว้ลาที่ไม่มีค่าอะไรเลย แม้แต่จะให้พ่อจะชายตามอง”
“อย่าลืมไหว้ที่สาม”
พ่อหันมาทำตาลุกวาวใส่ เหมือนมองศัตรูคู่อาฆาต มากกว่ามองลูกสาวที่กำลังจะจากไป
“ไหว้ขอโทษคุณบุณเขาด้วย”
แค่ได้ยินอย่างนั้น ก็เหมือนหัวใจถูกบีบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบปริแตก
เฮอะ...ให้ไหว้นังอัปรีย์จัญไรคนนี้นะหรือ ให้เธอไปตายเสียยังจะดีกว่า สิ่งเดียวที่คู่ควรกับมันคือสิ่งนี้
คิดเสร็จ แทนที่จะพนมมือไหว้อย่างที่พ่อกำหนด ลษากลับยกนิ้วกลางให้ แบบที่ฝรั่งใช้แทนคำสบถอันหยาบโลน
บุณฑริกาหวีดร้องขึ้นทันที
“ว้าย! ร้ายกาจมาก หนูลษาทำไมทำอย่างนี้กับน้า น่าเกลียดที่สุด”
“ลษา...แกจะมากเกินไปแล้ว”
ไม่ว่าพ่อและนังตัวดีจะลุกขึ้นมาเต้นแร้งเต้นกาอย่างไร เธอก็ไม่หันหลังกลับไปขอโทษแม้แต่น้อย
หญิงสาวก้าวเท้ายาวๆ อย่างทะนงองอาจออกจากรั้วบ้าน ไม่แม้แต่จะหันเหลียวมองบ้านไม้สองชั้นซึ่งอาศัยมาตั้งแต่เด็ก เพื่อร่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย
...ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์คำด่าที่เพิ่งให้กับแม่เลี้ยง และการไหว้ซึ่งตั้งใจฝากไว้ให้พ่อเป็นครั้งสุดท้าย
ลษาเงยหน้ามองท้องฟ้าราตรี ถ้าจะให้เปรียบตัวเองเป็นดาวสักดวงก็คงได้ แต่คงเป็นดวงดาวซึ่งเดี่ยวดายบนพื้นผ้าสีดำ และโคจรร่อนเร่ไปไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่รู้เลย ว่าค่ำคืนนี้ดาวน้อยอย่างเธอจะล่องลอยไปพักพิงที่หนใด
/////////////////////////
ภาม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ม.ค. 2555, 20:12:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ม.ค. 2555, 20:13:07 น.
จำนวนการเข้าชม : 1486
<< ๒ หน้าซอยเปลี่ยว | ๔ ขอความช่วยเหลือ >> |