ดอกไม้ในมือมาร ตอน กับดักรักบ่วงมาร

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 5 : พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส

“ความจำเสื่อมอย่างนั้นเหรอวะไอ้หมอ”

หลังจากที่ได้ฟังอาการของหญิงสาวผ่านทางเพื่อนแล้วเวหาก็คิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากว่าหญิงสาวจะความจำเสื่อม เพราะเธอเล่นฟื้นขึ้นมาแล้วจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่ชื่อของตัวเอง

“ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ก็ต้องรอดูอาการอีกสักพัก บางทีคนไข้อาจจะยังไม่หายจากอาการช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ได้ เธอก็เลยมีอาการแบบนี้”

“ถ้าความจำเสื่อมจริงๆ ก็ดีน่ะสิ ฉันกลัวแต่ว่ามันจะไม่จริง” ถึงอย่างนั้นเวหาก็ยังไม่อยากจะไว้ใจอยู่ดี

“นายพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง จะหาว่าเธอแกล้งความจำเสื่อมเพื่อจะหลอกแบล็กเมล์นายงั้นหรือ…นายคิดมากไปหรือเปล่าเว” นายแพทย์หนุ่มส่ายศีรษะไปมาอย่างเห็นว่าไร้สาระ ก่อนจะเดินจากไปทิ้งให้เพื่อนจัดการกับคู่กรณีของตนตามลำพัง

“แบล็กเมล์งั้นหรือ…น่าสนดีเหมือนกันนะ” เวหากระตุกยิ้มที่มุมปาก เหลียวกลับเข้าไปมองในห้องเห็นคนไข้นั่งกุมขมับตัวเองอยู่บนเตียงก็เดินกลับเข้าไปหา

สกุณาเงยหน้าขึ้นมองเขาเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วๆ สีหน้าดูหมกมุ่น

“จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ” เขาปลอบด้วยรอยยิ้ม ยิ้มที่คนที่ได้เห็นต้องเสียวสันหลังวาบ

“ฉันยังไม่ทราบเลยค่ะ ว่าคุณเป็นใคร แล้วฉันเป็นใคร และเรามาทำอะไรกันที่นี่ ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“ทีละคำถามสิ ผมตอบไม่ทันแล้วคนดี…” เขาทอดเสียงอ่อน ก่อนจะทรุดกายนั่งที่ริมเตียง มือหนาข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นกอบกุมไหล่มนเอาไว้แล้วลูบไล้ไปมาแผ่วๆ

เวหาต้องยอมรับล่ะว่าผู้หญิงคนนี้สวยไม่น้อยเลย ความสวยนั้นไม่เท่าไรหรอก แต่ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตคู่นี้สิที่มันช่างมีแรงดึงดูดนัก ถ้าหากใครได้จ้องมองแล้วก็เหมือนต้องมนต์ยากที่จะถอนสายตาได้ แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาอยากเล่นเกมหมาหยอกไก่กับเธอได้อย่างไร

จะเอาให้รู้กันไปเลยว่าใครจะหัวปั่นมากกว่ากัน

“คุณ!” สกุณาชักน้ำเสียงอย่างลืมตัว แต่แล้วต้องเปลี่ยนเป็นยิ้มฝืด ขยับไหล่ออกจากมืออุ่นที่เธอรู้สึกว่าเริ่มจะร้อนระอุขึ้นทุกทีอย่างระมัดระวัง ไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน

คนที่หลอกคนอื่นว่าตัวเองความจำเสื่อมนั้นต้องแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเวหา เพราะมันผิดกับตอนที่พบกันในคลับลิบลับ ตอนนั้นเขายังแสดงตัวเป็นสุภาพบุรุษสุดแสนจะอบอุ่น ปลอบโยนเธอต่างๆ นานา ผ่านไปวันเดียวกลายเป็นคนมือไวใจเร็วเสียแล้ว หรือว่านั่นแค่การสร้างภาพเท่านั้น แล้วนี่ก็คือนิสัยที่แท้จริงของเขาที่พอรู้ว่าเธอจำอะไรไม่ได้ก็เผยธาตุแท้ของความเจ้าชู้ออกมา

“ตอบฉันก่อนสิคะ ค่อยๆ ตอบก็ได้” บอกเขาเสียงอ่อนลง

“ถ้าอย่างนั้นผมขอแนะนำตัวเองก่อนก็แล้วกัน” ชายหนุ่มยังไม่ยอมรามือง่ายๆ เมื่อเธอไม่ให้จับไหล่เขาก็เปลี่ยนไปจับมือนุ่มนิ่มนั้นไว้แทน

“เชิญเลยค่ะ ฉันแทบจะรอฟังไม่ไหวแล้ว” สกุณาเกือบจะเค้นเสียงลอดไรฟัน ใบหน้างามยังยิ้มเยือน แต่ดวงตาทั้งคู่ที่วาววับนั้นไม่สามารถปกปิดความรู้สึกขุ่นเคืองของเธอที่มีต่อเวหาได้มิด

“เวหาครับผม…เวหา ยุทธกานนท์” พ่อหนุ่มเจ้าสำราญแนะนำตัวเองชัดถ้อยชัดคำ ดวงตาสีนิลทั้งคู่นั้นพราวระยับขณะทอดสายตามองคนตรงหน้าไม่วางตา

“ค่ะ…แล้วไงต่อคะ” สกุณาลอบพ่นลมออกจากปาก ก่อนจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขาแล้วซุกหายเข้าใต้ผ้าห่มเสียให้หมดเรื่องหมดราว เพราะชักจะรู้สึกแล้วว่าคนที่นั่งคุยกับเธอแทบจะประชิดตัวอยู่นี้มือไวเหลือเกิน

“คุณโดนรถชน ก็เลยต้องมารักษาตัวที่นี่”

“คุณพาฉันมาหรือคะ” คำถามนี้สกุณาถามด้วยความใคร่รู้จริงจัง เพราะนอกจากเขาคนนี้แล้วเธอก็ไม่เห็นใครอีกนอกจากหมอกับนางพยาบาล

“ก็ต้องผมสิ ก็ผมเป็นเจ้าของคุณนี่นา ถ้าไม่ใช่ผมพาคุณมาแล้วจะเป็นใครล่ะ”

“เจ้าของ?” ทวนคำพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ครับ…เจ้าของที่เรียกว่าสามี” เวหาตอบเต็มเสียง

“หา!…คุณบอกว่าสามีหรือคะ?” สกุณาแทบหงายหลังตกเตียงเลยก็ว่าได้หากเขาไม่รีบมาคว้าเธอเอาไว้ก่อน

“จะบอกว่าสามีก็ไม่ถูกหรอกนะ เพราะว่าคุณไม่ใช่ภรรยาผม แต่คุณเป็นกิ๊กผมน่ะ”

“กิ๊ก!” คำนี้มันร้ายแรงเสียยิ่งกว่าคำแรกที่เขาบอกเธอเสียอีก ตกลงนี่หรือคือตัวตนของนายเวหา ยุทธกานนท์

“ใช่…กิ๊ก…แต่เอ…คุณจะรู้จักคำว่ากิ๊กหรือเปล่าเนี่ย สมองก็ไม่ค่อยจะดีแล้วสิ เอาเป็นว่าคุณเป็นแบบที่ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า เมียน้อย เมียเก็บ หรือนางบำเรอ อะไรทำนองนี้แหละ”

คราวนี้สกุณาถึงกับพูดไม่ออกไปเลย หญิงสาวเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น พยายามนับหนึ่งถึงสิบ หรืออาจจะถึงร้อยด้วยซ้ำเพื่อระงับอารมณ์ที่เริ่มจะพลุ่งพล่าน หากว่าเธออยากได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วละก็ เธอก็ควรจะ ‘อึด!’ และ ‘ถึก!’ ใช่หรือไม่?

‘ด้านได้อายอด’ สกุณาคงต้องท่องจำคำนี้ให้ขึ้นใจ

“เอ่อ…คุณยังไม่ได้บอกเลยค่ะ ว่าฉันชื่ออะไร” ถามเขาด้วยรอยยิ้มหวานขึ้นเมื่อควบคุมสติได้แล้ว

“ชื่อเหรอ?” เวหาขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังไม่ทันคิดด้วยซ้ำเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น

“ได้เวลาทานข้าวทานยาแล้วค่ะ”

ทั้งสองหันไปสนใจกับนางพยาบาลสาวที่เข็นถาดอาหารเข้ามา เวหานั้นเพียงมองผ่านในขณะที่สกุณาแทบช็อกเลยทีเดียว ต้องรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแทบไม่ทัน

“ยัยฐา…มาได้ไงวะเนี่ย” ความจำของสกุณาดูเหมือนจะกลับมาเร็วเหลือเกินล่ะ หญิงสาวทำปากขมุบขมิบอยู่คนเดียวทั้งที่รู้ว่านี่คือโรงพยาบาลที่เพื่อนทำงานอยู่ โอกาสที่จะมาเจอกันจึงต้องมีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะเจอแบบไม่ทันได้ตั้งตัวอย่างนี้

สกุณาเลื่อนกายลงนอนอย่างทุลักทุเลก่อนจะรีบกระชากผ้าห่มขึ้นคลุมโปงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ถึงกระนั้นวริษฐาที่หันมามองพอดีก็ยังทันได้เห็นแวบๆ ว่าคนที่เพิ่งจะหายตัวเข้าไปในผ้าห่มนั้นคือเพื่อนของตน

“เฮ้ย!” วริษฐาร้องออกมาคล้ายกับลืมตัว

“มีอะไรเหรอครับคุณพยาบาล” เวหาหันมาถามด้วยความสงสัย

“เอ่อ…คือ” วริษฐาเองก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกก็เลยอ้ำๆ อึ้งๆ

ความจริงวันนี้วริษฐาต้องเข้ากะเช้า แต่พอดีเพื่อนขอแลกเวรด้วยก็เลยต้องเปลี่ยนมาลงเวรบ่ายแทน และไม่คิดว่าความบังเอิญนี้จะทำให้เธอได้พบกับสกุณาอย่างง่ายดายทั้งที่ก่อนหน้านี้โทรหาจ้าละหวั่นแต่ก็ไร้วี่แววว่าจะพบ แถมยังได้พบในสถานการณ์ที่แปลกประหลาดด้วยสิ เธอไม่คิดเลยว่าคนไข้นิรนามที่เขาพูดถึงกันจะเป็นเพื่อนของตัวเองแท้ๆ

สกุณาที่อยู่ใต้ผ้าห่มนั้นถึงกับเหงื่อตกเลยทีเดียว ลุ้นจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นอยู่แล้วเพราะกลัวว่าเพื่อนจะเผลอหลุดปากอะไรออกมา แต่เหมือนจะมีระฆังมาช่วยชีวิตเมื่อจู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของเวหาดังขึ้น

ตี๊ด…ตี๊ด…ตี๊ด

“ผมขอตัวสักครู่นะครับ” เขาบอกแล้วก็เดินออกจากห้องนั้นไป

“ยัยนก!” วริษฐาเดินเข้าไปกระชากผ้าห่มผืนนั้นออกทันทีที่เห็นว่าอยู่กันตามลำพัง

สกุณาส่งยิ้มแหยให้เพื่อนก่อนจะยกมือขึ้นชูสองนิ้วเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร เธอยังอยู่รอดปลอดภัยและครบสามสิบสอง

“นึกแล้วเชียวว่าจะต้องเกิดเรื่อง จู่ๆ เธอก็หายไป” แต่แทนที่วริษฐาจะโกรธกลับรู้สึกโล่งอกเสียด้วยซ้ำที่เห็นว่าเพื่อนยังปลอดภัยดี แม้จะไม่สบายดีนักก็เถอะ

“นิดหน่อยเองน่า…ฉันยังไม่ตายเห็นไหม” สกุณายังทำอวดเก่ง

“เธอนี่มันเหลือเกินเลยนะ รู้บ้างไหมเนี่ยว่าฉันเป็นห่วง”

“รู้ๆ แต่เบาๆ หน่อยได้ไหม เดี๋ยวตานั่นก็ได้ยินหรอก” ทำเสียงปรามเพื่อนพลางเหลียวมองไปทางประตูอย่างระแวดระวัง

“ตาไหน…คุณคนเมื่อกี้น่ะเหรอ” ถามพร้อมกับชี้นิ้วไปทางด้านนอก

“ก็เออน่ะสิ ขืนหมอมาได้ยินนะ มีหวังแผนฉันจบเห่”

“แผนอะไร?”

“น่า…เดี๋ยวเอาไว้จะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้เธอทำตัวเหมือนฉันเป็นคนไข้ปกติที่ไม่รู้จักกันมาก่อนก็แล้วกันนะ โอเค้” สกุณารวบรัดตัดความเสร็จก็เป็นเวลาที่เวหาเปิดประตูกลับเข้ามาพอดี

วริษฐาก็เลยต้องเล่นตามน้ำไปก่อนทั้งๆ ที่ยังสงสัยอยู่เลยว่าไอ้ที่สกุณาบอกหมอว่าความจำเสื่อมจำอะไรไม่ได้นั้นมันอย่างไรกันแน่

“เอ่อ…ถ้าทานข้าวทานยาเสร็จแล้วกดปุ่มเรียกดิฉันนะคะ เดี๋ยวจะเข้ามาเช็ดตัวให้ค่ะ” ก่อนจะออกไปวริษฐายังไม่ลืมแอบหันมาทิ้งสายตาคาดโทษเอาไว้ให้เพื่อนด้วย

สกุณายกมือข้างหนึ่งขึ้นเช็ดหน้าผากตัวเองไปมาเพราะรู้สึกว่างานนี้เสียเหงื่อไปเยอะทีเดียว

“คุณทานเองได้นะ มือยังดีอยู่นี่” เวหาเอ่ยขึ้นขณะก้าวเข้าไปนั่งไขว้ขาอย่างสบายอารมณ์ที่โซฟาสำหรับญาติผู้ป่วย

“ถึงมือจะเจ็บฉันก็ไม่ยอมให้คุณป้อนหรอกค่ะ” ปากมันอดไม่ได้ก็เลยตอกกลับไปตามวิสัย พอรู้สึกตัวจึงเสไปสนใจกับอาหารที่เพื่อนเพิ่งจะเข็นเข้ามาให้เสีย ทั้งที่เธอไม่ได้รู้สึกอยากอาหารเลยสักนิดเดียว

“ผมคงอยู่กับคุณได้อีกแป๊บเดียวนะ เดี๋ยวต้องกลับแล้ว คงไม่น้อยใจนะ เพราะคุณก็น่าจะรู้ว่าระหว่างเรามันเป็นยังไง” เวหาพูดเรียบเรื่อยแต่แววตาที่มองตรงไปทางแม่สาวปาปารัสซีนั้นแพรวพราว

“คุณจะทิ้งฉันเหรอ” สกุณาหันขวับกลับมามองเขาทันที อย่ามาหลอกให้อยากแล้วจากไปเชียวนะ แม่จะไปตามจิกถึงบ้านเลยเชียว เลือดนักข่าวของเธอมันยิ่งเข้มข้นอยู่ด้วย เล่นเปิดช่องทางให้แล้วทำท่าเหมือนจะปิดประตูหนีบกันแบบนี้แห้วก็ลอยมาหาเธอเห็นๆ เลยสิ

“เปล่า…แค่ไปวันนี้ พรุ่งนี้ก็จะแวะมาเยี่ยมใหม่” เวหากระตุกยิ้มที่มุมปาก พูดพลางลุกเดินไปหาคนเจ็บบนเตียง

“อ้อ! ค่ะ” ได้ยินแบบนี้สกุณาค่อยโล่งอกหน่อย อย่างน้อยๆ พรุ่งนี้เขาก็ยังจะมาอีก แล้วคอยดูเถอะต่อจากนี้ไปเธอจะไม่ยอมอยู่ห่างเขาเด็ดขาดหากว่ายังไม่ได้ข่าวอะไรเด็ดๆ แล้วละก็

“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนแล้วกันนะ” เขาบอกเธอแล้วถือโอกาสก้มลงจูบแก้มนวลนั้นหนักๆ

สกุณาถึงกับร้อนวูบแต่ก็พยายามปลอบตัวเองว่าแค่หอมแก้มเท่านั้นเอง เธอยังไม่ได้เสียหายอะไรมากมายสักหน่อย ทนๆ เอาหน่อยเถอะ พอได้ข่าวเด็ดแล้วค่อยตะบันหน้าไอ้หื่นนี่ให้แหลกคามือก็ยังทัน

“ทานข้าวเสร็จแล้วอย่าลืมทานยาด้วยล่ะ” เขาสั่งเสียแล้วทำท่าจะก้าวออกจากห้องนั้นไปแต่สกุณากลับเรียกเอาไว้เสียก่อนเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้

“เดี๋ยวค่ะเดี๋ยว”

“อะไร?” เวหาหันกลับมามองด้วยความสงสัย

“ก็…คุณยังไม่ได้บอกฉันเลยนี่คะ ว่าตกลงฉันชื่ออะไร” ไหนๆ จะความจำเสื่อมทั้งทีมันก็ต้องทำให้เนียนหน่อยจะได้หลอกเขาได้นานๆ

เวหายิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้ามาหาคนป่วยที่นั่งรอฟังชื่อตัวเองอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าที่เขารู้ว่าไม่ไร้เดียงสาเอาเสียเลย

“ยาใจ คุณชื่อยาใจ”

ชื่อที่หลุดออกจากปากของชายหนุ่มทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง แต่ก็คิดว่าเขาอาจจะจำมาจากที่เธอเคยบอกเขาว่าตัวเองชื่อยาใจตอนคุยกันที่คลับก็ได้

รางวัลสำหรับการตั้งชื่อให้หญิงสาวเวหาคิดเป็นหอมหนึ่งที เขาจึงได้เชยชมแก้มนวลอีกข้างภายในเวลาไล่เลี่ยกัน จากนั้นร่างสูงใหญ่ที่ไม่ต่างจากผู้เป็นบิดาก็เคลื่อนตัวห่างออกไปจากคนที่นั่งตาค้างอยู่บนเตียงช้าๆ จนลับตาเมื่อบานประตูสีฟ้าอ่อนนั้นปิดลง

“ไอ้…” สกุณาคิดคำด่าไม่ออกเมื่อตั้งสติได้ สุดท้ายเลยได้แต่นั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไป

ถึงตอนนี้หญิงสาวเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมสาวน้อยสาวใหญ่ถึงได้หลงเขากันทั่วบ้านทั่วเมือง ก็เพราะว่าเขามันจอมหว่านเสน่ห์แบบนี้น่ะสิสาวๆ ถึงได้หลงกันนัก แต่สำหรับเธอแล้วไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่ แววตาของเวหาที่ใครๆ ต่างพากันชื่นชมนักหนาว่าเหมือนจะยิ้มได้นั้นมันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกชื่นชมตามเลยสักนิดเดียว เพราะสำหรับสกุณามันก็คือสายตาของจอมกะล่อนดีๆ นี่เอง

“ยี้…งี้แก้มเราก็มีมลทินน่ะสิ” บ่นพึมก่อนจะยกมือขึ้นถูแก้มตัวเองไปมาด้วยความไม่ชอบใจ แล้วพลันรังเกียจขึ้นมาเสียอย่างนั้นเมื่อคิดว่าจมูกของเขาคงจะสกปรกมากเพราะไปซุกอกสาวๆ มานับร้อย แล้วอย่างนี้ยังจะเอามันมาถูกแก้มเธอให้ติดเชื้อโรคไปด้วยอีก



“เอาละ ทีนี้ก็มีแค่เราสองคน ฉันล็อกประตูเรียบร้อยแล้วรับรองว่าจิ้งจกสักตัวก็ผ่านเข้ามาไม่ได้ เว้นแต่มันจะอยู่ในนี้ก่อนแล้ว แต่รับรองว่ามันไม่มีทางเอาเรื่องของเธอไปแพร่งพรายให้มนุษย์หน้าไหนรู้แน่ๆ ทีนี้ก็บอกมาเสียดีๆ ว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไรของเธอกันแน่ยัยนก”

วริษฐาตั้งท่าสอบปากคำเพื่อนราวกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ปิดประตูห้องพักฟื้นพร้อมกับรูดม่านปิดรอบเตียงให้มิดชิด ตัวเองก็เข้ามายืนจังก้าอยู่ข้างเตียงมองเพื่อนด้วยสายตาขึงขัง

“โอ๊ย ถามมาคำเดี๋ยวฉันก็บอกแล้ว ไม่เห็นจะต้องร่ายยาวให้มากความเลย มันเปลืองน้ำลาย”

“อ้าว! งั้นก็รีบๆ บอกมาสิ ฉันรอฟังอยู่” คนรอฟังตบฝ่ามือลงกับพื้นเตียงสองสามทีเป็นการเร่งเร้า

“ก็…เอาง่ายๆ เลยนะ ฉันแกล้งความจำเสื่อมเพื่อจะได้ทำตัวตีสนิทกับนายเวหานั่น” สกุณาโพล่งออกมาดื้อๆ

“เวหา! ตายละหว่า อย่าบอกนะว่าผู้ชายคนเมื่อกี้คือนายเวหา ยุทธกานนท์อะไรของเธอน่ะ มิน่าล่ะถึงได้รู้สึกว่าคุ้นๆ หน้ายังไงก็ไม่รู้ ที่แท้ก็เคยเห็นจากข่าวที่เธอชอบเขียนจิกกัดเขานี่เอง” ถึงจะไม่เคยยุ่งเรื่องงานของเพื่อน แต่วริษฐาก็เคยอ่านข่าวที่เพื่อนเขียนอยู่เหมือนกัน

“เฮ้ย! อย่ามาตอกย้ำ” นักข่าวสาวที่ตอนนี้ถูกตราหน้าว่าเป็นปาปารัสซีที่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่ชอบใจ

“แล้วนี่ยังไง อยากได้ข่าวถึงกับขนาดต้องยอมเอาตัวเข้าแลกเชียวเหรอ” วริษฐาไม่ได้สนใจท่าทีตาขุ่นตาขวางของเพื่อนถามต่อในทันที

“ยัยฐาบ้า ปากเหรอนั่น ดูพูดจาเข้าสิ พูดเหมือนกับว่าฉันจะเอาตัวเองเข้าไปให้นายเวหาเชยชมเพื่อแลกกับข่าวอย่างนั้นแหละ โอ๊ย…ฉันไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นแน่ แค่คิดก็อยากจะแหวะแล้ว” นักข่าวสาวทำหน้าขยะแขยงประกอบคำพูด ถึงเธออยากจะตีสนิทกับเขามากแค่ไหนก็ไม่เคยคิดไปถึงขั้นจะทอดกายให้เขาหรอก

“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องแบบนั้น แต่หมายถึงการที่จู่ๆ เธอก็ขับมอเตอร์ไซค์ไปให้เขาชนต่างหาก” วริษฐาแอบรู้เรื่องนี้มาจากแฟนหนุ่มเพราะช่วงเวลาที่หายไปตอนสกุณาทานอาหารนั้นเธอไปเลียบๆ เคียงๆ ถามจากชนัญญูมานั่นเอง แล้วจึงเข้าใจไปว่าที่เพื่อนโดนรถชนนั้นเพราะตั้งใจทำ

“จะบ้าหรือไง ฉันไม่สิ้นคิดขนาดนั้นหรอก แต่เอ๊ะ!…นี่อย่าบอกนะว่าไอ้คนที่ขับรถชนฉันน่ะคือนายเหวนั่น” นักข่าวสาวตาลุกวาวขึ้นมาทันที เปลี่ยนสรรพนามเรียกชายหนุ่มไปตามอารมณ์ ภาพคืนวันที่คลับหายวับไปกับตา เพราะคืนนั้นน่ะมันเป็นการสร้างภาพให้ตัวเองดูดีเท่านั้นหรอก ของจริงมันต้องแบบเมื่อกี้โน้น พอเผลอปุ๊บพ่อก็หอมไปเสียสองฟอด

“เหว? เขาชื่อเวหาหรอกย่ะ แล้วเวหาก็แปลว่าท้องฟ้าอากาศ ไม่ใช่เหว” วริษฐาแก้ให้ด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะออกเนือย

“สำหรับนายนี่นะ เหมาะกับเหวมากที่สุดแล้ว มีอย่างที่ไหนเป็นคนขับรถชนฉันเสียเองแต่ไม่ยอมบอกสักคำ แล้วยังมาทำตัวเป็นสามีลับๆ ของฉันอีก หน้าด้านเสียไม่มีล่ะ”

ตอนนี้ภาพลักษณ์ของเวหาสำหรับสกุณากำลังติดลบอย่างแรง

“หา! สามีลับๆ” วริษฐาร้องเสียงหลง มองเพื่อนตาโตทีเดียว

“ก็เออน่ะสิ พอรู้ว่าฉันความจำเสื่อมเขาก็มองว่าฉันเป็นเหยื่อที่จะล่อลวงเข้าไปเป็นสาวๆ ในสต็อกคาวๆ ของเขาทันที ฮึ! ผู้ชายอะไรน่ารังเกียจที่สุดเลย” ทำเสียงในลำคออย่างหมิ่นแคลนเต็มที่

“ถ้าเป็นแบบนี้ฉันว่าไม่ได้การแล้วนะยัยนก ใครๆ ก็รู้กิตติศัพท์ของนายเวหาดีว่าเจ้าชู้แค่ไหน ขืนเธอแหยมหน้าเข้าไปล่ะมีหวังโดนฉุดเข้าไปอัดอยู่ในสต็อกคาวๆ ของเขาอย่างที่เธอว่าแบบไม่มีทางได้ออกมาอีกเลยแน่ๆ”

“ฮึ! ฉันไม่กลัวนายเหวนั่นหรอก คนอย่างสกุณานะ ไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว” ดวงตาของคนที่คิดว่าตัวเองกล้าหาญไม่กลัวใครนั้นดูมุ่งมั่นเสียจนวริษฐาชักจะกลัวใจ

…กลัวใจคนที่เพื่อนเธอจะไปหาข่าวนะ ไม่ใช่กลัวใจสกุณา

“อย่ามาทำเป็นปากดีเชียวนะยัยนกน้อย เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” นางพยาบาลสาวพยายามเตือนสติ เพื่อนของเธอคงจะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ ถึงได้คิดอะไรแบบนี้ได้

“รู้สิ ก็กำลังทำงานไง ฉันมีเวลาอีกแค่ไม่ถึงสองเดือนสำหรับงานนี้ เธอรู้ไหมว่าฉันสู้อุตส่าห์สะกดรอยตามเขามาเป็นเดือนๆ แต่ก็ยังไม่ได้เรื่องอะไร ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ คุณพระคุณเจ้าท่านจะทรงโปรดประทานส้มหล่นตุ๊บลงมาตรงหน้าฉันเลย” นักข่าวสาวบอกด้วยดวงตาสุกใสระยิบระยับ

แวบแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพบหน้าเวหา สกุณาไม่ปล่อยให้ตัวเองงุนงงนาน ใช้ไหวพริบปฏิภาณที่มีอยู่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เรื่องทุกอย่างมันถึงได้กลายมาเป็นว่าหญิงสาวคือคนความจำเสื่อม และได้สามีลับๆ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“จะบ้าเหรอ ส้มหล่นอะไรกัน อย่าเห็นเป็นเรื่องตลกเชียวนะ” วริษฐาเอ็ดเพื่อนเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจัง

“นี่ฟังฉันนะยัยนก เธอน่ะคือนกน้อยที่ยังอ่อนหัดมากนะจะบอกให้ หากคิดจะบินดิ่งลงเหวโดยที่ปีกยังอ่อนๆ อย่างนี้ละก็ รับรองว่าเธอได้ลงไปนอนตายอยู่ก้นเหวโดยที่จะไม่มีวันหาทางบินกลับขึ้นมาได้อีกเลย”

ทุกครั้งนางพยาบาลสาวไม่เคยทักท้วงหากเพื่อนจะไปตามสืบข่าวของดาราหรือว่าคนดังที่ไหนและใช้วิธีอย่างไร แต่ถ้าเป็นเวหา ยุทธกานนท์คนนี้ถึงอย่างไรเธอก็ต้องคัดค้าน เพราะขืนปล่อยให้สกุณาลุยเดี่ยวแล้วละก็ คงไม่ต่างอะไรกับลุยเข้ากองเพลิงที่กำลังลุกโชนเป็นแน่

“ฉันไม่กลัวหรอก ต่อให้ก้นเหวจะลึกแค่ไหนนะ ฉันก็จะบินกลับขึ้นมาให้ได้” แววตานั้นเด็ดเดี่ยวและออกจะดื้อรั้นเกินกว่าที่วริษฐาจะพยายามหาอะไรมาหักล้างความตั้งใจเดิมของสกุณาได้

“ฉันกลัวแต่ว่ามันจะไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ ตกลงไปก้นเหวน่ะมันก็ต้องบาดเจ็บอยู่ไม่น้อยเชียวนะ ยิ่งเป็นหุบเหวที่น่ากลัวแบบนายเวหาของเธอแล้วละก็ รับรองว่าชาตินี้ทั้งชาติ หุบเหวมรณะจะไม่มีวันปล่อยให้เธอได้โผล่ขึ้นมาโฉบบินอยู่บนท้องฟ้าได้อีกเลยตลอดชาติ!”

“นี่ๆ เดี๋ยวนะเดี๋ยว เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ นายเวหาของฉันงั้นเหรอ” สกุณาทำตาขุ่นใส่เพื่อนเพราะผิดหู

“ตอนนี้น่ะเรียกว่าเขาของเธอ แต่ต่อไปฉันรับรองว่าถ้าเธอยังดันทุรังที่จะเล่นข่าวนี้อยู่ละก็ เชื่อได้เลยว่าสถานะนั้นมันจะเปลี่ยนไปเป็นเธอของเขาทันที” วริษฐาพูดในลักษณะข่มขู่

“ไม่กลัว…” สกุณาเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี

“แต่…” วริษฐายังพยายามจะค้านอีกแต่สกุณาไม่ฟังเสียแล้วเมื่อยกมือขึ้นห้ามแล้วพูดตัดบท

“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะเพราะถึงยังไงฉันก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจเด็ดขาด…ขอโทรศัพท์ให้ฉันหน่อยได้ไหม ฉันอยากโทรไปที่สยามเดลี่”

“แล้วโทรศัพท์เธอล่ะ พยาบาลเขาไม่ได้เอามาให้เหรอ”

“เปล่านี่ สงสัยมันจะหายไปตอนเกิดอุบัติเหตุ ฉันก็เลยไม่มีอะไรติดตัวมาสักอย่าง ขนาดกระเป๋าเงินนะยังลืมไว้ที่ห้องเลย ถึงได้อยู่เป็นคนไข้นิรนามอย่างนี้ไง”

“ถ้าอย่างนั้นใช้ของโรงพยาบาลแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะต่อสายให้” วริษฐารับอาสาเดินไปที่เครื่องโทรศัพท์ภายในห้องพักฟื้น กดหมายเลขตามที่เพื่อนบอกก่อนจะส่งให้แล้วขยับไปนั่งที่โซฟามุมห้อง

“ขอบใจนะจ๊ะ” สกุณาบอกเสียงใสก่อนจะรับมาแนบหู และเพราะโทรสายตรงเข้าเครื่องในห้องทำงานของบรรณาธิการสาว เธอจึงไม่ต้องเสียเวลารอสายนานนักก็ได้ยินเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย

“สวัสดีค่ะ สยามเดลี่ค่ะ”

“นกเองค่ะบอกอ”

“อ้าว นกเองเหรอ ว่าไงจ๊ะ” พรรทิพาเอ่ยทักเสียงใส

“เอ่อ…พอดีเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นนิดหน่อยค่ะบอกอ ตอนนี้นกอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ” นักข่าวสาวรายงานไม่เต็มเสียงนัก

“หา! นกอยู่โรงพยาบาล”

สกุณาต้องรีบดึงโทรศัพท์ออกจากหูเพราะบอกอแผดเสียงลั่นทีเดียว

“แล้วนกเป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าพี่จะใช้งานเราหนักเกินไป”

“โอ๊ย…เปล่าหรอกค่ะบอกอ นกบอกแล้วไงคะว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน คือนกถูกรถชนน่ะค่ะ ไม่คิดว่าไม่สวมหมวกกันน็อกแค่ครั้งเดียวจะเป็นเอามากขนาดนี้”

เมื่อพูดมาถึงเรื่องนี้สกุณาก็ยังนึกตำหนิตัวเองไม่หาย ต่อไปคงไม่คิดทำอะไรประมาทแบบนี้อีกแล้ว เธอไม่ได้กลัวหรอกนะความตาย แต่กลัวว่ามันจะไม่ตายแล้วต้องพิการหรือไม่ก็ความจำเสื่อมไปจริงๆ น่ะสิ “ตายจริง แล้วนี่นกเป็นอะไรมากหรือเปล่า แล้วอยู่โรงพยาบาลไหนเดี๋ยวพี่จะไปเยี่ยม” บอกอคนงามรีบถามไถ่ด้วยความห่วงใย

“ไม่ต้องหรอกค่ะบอกอ นกไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ คิดว่าอีกไม่กี่วันคงออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”

“แน่หรือ ไม่ใช่มาเป็นอะไรไปโดยที่พี่ไม่ทันไปดูใจนะ”

“โธ่…พี่บอกอคะ นกหัวแข็งค่ะ เอ่อ…อาจจะสู้ถนนไม่ได้นิดหน่อย แต่ว่ารับรองยังอยู่ครบสามสิบสอง บอกอไม่ต้องห่วงนกนะคะ” สกุณายังกล่าวด้วยน้ำเสียงทะเล้น

“ไม่ให้ห่วงได้ยังไง นกก็เหมือนเป็นน้องเป็นนุ่ง ยังไงก็ดูแลตัวเองดีๆ หน่อย ส่วนเรื่องงานไม่ต้องห่วงเดี๋ยวพี่หาคนทำแทนเราก็ได้ เราน่ะพักผ่อนบ้างเถอะพี่อนุญาตให้หยุดยาวจนกว่าจะพอใจเลยก็ได้”

“ได้ยังไงล่ะคะบอกอ ทำแบบนั้นสู้ไล่นกออกเสียยังจะดีกว่า” นักข่าวสาวร้องค้านเสียงหลง

“แต่นกเจ็บอยู่นะ” น้ำเสียงของบรรณาธิการสาวใหญ่ดูลังเล

“เดี๋ยวก็หายค่ะ แล้วที่สำคัญคนอื่นจะมาทำงานแทนนกไม่ได้เด็ดขาด เพราะว่าตอนนี้นกเข้าถึงตัวนายเวหาได้เรียบร้อยแล้ว โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เบอร์โทรศัพท์นั้นด้วยค่ะบอกอ” สกุณารายงานด้วยความภาคภูมิ

“เอาเถอะๆ ถ้าเรายังอยากจะทำงานนี้ต่อพี่ก็ไม่ว่า แต่อย่าลืมว่าต้องคิดถึงสุขภาพตัวเองมาเป็นอันดับหนึ่ง”

พรรทิพาไม่ได้แสดงความยินดีที่ลูกน้องสาวมีความคืบหน้ามารายงานและไม่ได้ถามถึงมันด้วยซ้ำไป เพราะเธอห่วงความปลอดภัยของสกุณาเสียมากกว่า ถึงแม้ว่าเรื่องงานสำหรับบรรณาธิการอย่างเธอจะมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่สวัสดิภาพของคนในปกครองก็ไม่ได้เป็นรองหรือยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

“ไม่ลืมค่ะบอกอ เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะคะ เอาไว้นกจะโทรไปรายงานความคืบหน้าเป็นระยะๆ ค่ะ”

สกุณาวางสายจากบอกอคนงามแล้วก็หันไปพูดกับวริษฐาที่ยังนั่งอยู่ที่เก่า

“งานนี้ฉันได้ลงมือทำมาแล้วตั้งแต่ต้น ลงทุนลงแรงไปก็ตั้งเยอะ เพราะฉะนั้นฉันจะไม่ยอมให้มันเสียเปล่าเด็ดขาด แล้วคนอย่างฉันก็ไม่เคยวางมือง่ายๆ ถ้าหากว่ายังไปไม่ถึงเป้าหมาย แล้วเธอก็อย่ามาพยายามเปลี่ยนใจฉันเสียให้ยาก เพราะฉันจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ” บอกเพื่อนด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะยุ่งหรือว่าก้าวก่ายเกี่ยวกับเรื่องงานของเธอหรอกนะ แต่อยากจะบอกเธอเอาไว้อย่างว่างานนี้น่ะ มันหนักหนามาก แล้วถ้าหากเธออยากจะทำมันจริงๆ ละก็ ต้องยอมรับให้ได้ด้วยนะว่าเธออาจจะต้องเสียไอ้นี่ไป” วริษฐาพูดพร้อมกับเอานิ้วจิ้มไปที่อกด้านซ้ายของเพื่อนประกอบ

เวหามีเสน่ห์เหลือร้ายใครๆ ก็ทราบดี แล้วมีหรือที่คนไม่ประสีประสาในเรื่องความรักอย่างสกุณาจะไม่หวั่นไหว ต่อให้เพื่อนเธอจะเก่งกาจสักเพียงใด แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นผู้หญิง แถมยังสวยไม่เป็นสองรองใคร แล้วมีหรือที่เวหาจะไม่สนใจ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่บอกว่าตัวเองเป็นสามีของเพื่อนเธอหรอก

“เฮ้ๆ นี่เธอกำลังพูดเรื่องอะไรหือยัยฐา เธอกำลังพูดเรื่องความรักใช่ไหม” สกุณาปัดมือเพื่อนออกพัลวันก่อนจะร้องถามตาโต คิ้วขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจ

“ใช่…ความรัก อยากรู้จักมันหรือเปล่าล่ะยัยนกน้อยปีกอ่อน” เพื่อนกลับยิ้มยั่ว

“ไม่! ไม่มีทาง ฉันไม่มีทางรู้จักกับมัน แล้วเธอก็หยุดพูดเรื่องเหลวไหลสักที ฉันไม่อยากฟังเข้าใจไหม” สกุณาบอกเสียงเด็ดขาด เพราะเธอไม่เคยศรัทธาเกี่ยวกับเรื่องความรักมาแต่ไหนแต่ไร และจะเกลียดที่สุดถ้าหากมีใครมาพูดให้เข้าหูว่าเธอจะต้องพบกับความรักไม่วันใดก็วันหนึ่ง

แววตาของสกุณาหม่นแสงลงเล็กน้อยเมื่อคิดถึงความรักของบุพการีที่มันช่างหดหู่นักในความรู้สึก ไร้ซึ่งความงดงาม จนกลายมาเป็นปมร้ายๆ ติดตรึงอยู่ในใจเธออย่างไม่อาจลบเลือนจนถึงทุกวันนี้

วริษฐาเห็นแบบนั้นแล้วก็นึกรู้ในทันทีว่าเพื่อนกำลังคิดอะไรอยู่ พอจะรู้อยู่เหมือนกันว่าสกุณาพบเจอกับอะไรมาบ้างสมัยเด็ก และเจ็บปวดกับมันมากแค่ไหน เพียงแต่ที่ยังทำเป็นเข้มแข็งก็เพราะต้องการจะกลบเกลื่อนปมในใจตัวเองต่างหาก

“กลัวว่าจะต้องเดินขึ้นภูกระดึงหรือไง” วริษฐาแกล้งพูดยั่วให้เพื่อนโมโห เพื่อที่สกุณาจะได้หลุดออกจากภวังค์ในอดีต เธอไม่อยากให้เพื่อนไปคิดถึงหรือว่าจดจำมันอีก

“ยัยบ้า! นี่เธอยังจำเรื่องนี้ได้อีกเหรอเนี่ย” สกุณาร้องเสียงหลง

“โธ่เอ๊ย…ใครเขาจะไปลืมลงล่ะ แม่สาวปากกล้าประจำรุ่นเอามาลัยธูปเทียนไปสาบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์รอบมหาวิทยาลัยว่าจะไม่แต่งงาน เพราะถ้าแต่งเธอก็จะยอมเดินขึ้นภูกระดึงด้วยลำแข้งสวยๆ ของตัวเอง” วริษฐาเท้าความหลังสมัยเรียนให้ฟังด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

สกุณาถึงกับหน้าแดง ซึ่งเป็นผลมาจากความโกรธเสียมากกว่าจะเป็นอาย เพราะบนโลกใบนี้ยังไม่ปรากฏว่ามีใครเคยเห็นนักข่าวสาวเขินอายสักที ขนาดโดนเพื่อนสมัยเรียนจีบในอดีต หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานในปัจจุบันที่เทียวไล้เทียวขื่ออยู่ทุกวันเธอก็ยังทำเฉยราวกับไร้ความรู้สึกกระนั้น

“ที่กล้าสาบานเพราะว่ามั่นใจหรอก ว่ายังไงๆ ฉันก็จะไม่แต่งงาน”

“แล้วฉันจะคอยดู ว่าเธอจะได้อยู่บนยอดเขา หรือว่ายอดคาน เอ…หรือว่าจะเป็นก้นเหว ยัยนกปีกอ่อน” วริษฐาส่ายหน้าขัน เห็นชัดว่าไม่เชื่อถือ มิหนำซ้ำยังล้อเลียนเสียงกลั้วหัวเราะในตอนท้ายเสียอีก

“เธอจำไว้เลยนะยัยฐา ชาตินี้ทั้งชาตินะ แล้วก็ชาติหน้าด้วยเอ้า! คนอย่างสกุณาจะไม่มีวันแต่งงานกับใครเด็ดขาด” นักข่าวสาวย้ำด้วยเสียงที่เน้นหนักอีกครั้ง แววตาที่มองสบแววขบขันของวริษฐานั้นเปล่งประกายวาววับเลยทีเดียว

สกุณาจะไม่มีวันแต่งงาน ยิ่งถ้าหากผู้ชายคนนั้นมีลักษณะคล้ายๆ กับนายเวหา ยุทธกานนท์แล้วละก็ อย่าหวังเลยว่าสถานภาพของเธอจะเปลี่ยนจากนางสาวมาเป็นนางได้ง่ายๆ แล้ววริษฐานั้นก็ช่างคิดไปได้ว่าเธอจะต้องเสียหัวใจให้กับคนอย่างเวหา

…เฮอะ! รอให้น้ำท่วมหลังเป็ดก่อนเถอะ เพราะหัวใจของเธอมันปิดตายมาตั้งนานแล้ว



ญาณนันต์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ม.ค. 2555, 09:15:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ม.ค. 2555, 09:15:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 3057





<< 4 : อุบัติเหตุ   
mallow 27 ม.ค. 2555, 10:07:00 น.
รอค่ะ หนูนกจะทำงัยต่อเนี่ย


anOO 27 ม.ค. 2555, 10:21:25 น.
หัวใจยัยนกถูกปิดตายเหรอ เดี๋ยวนายเวจะช่วยเปิดให้


nutcha 27 ม.ค. 2555, 10:22:54 น.
ทันเกมกันดีจริง ๆ คู่นี้


nako 27 ม.ค. 2555, 10:25:45 น.
สนุกอ่ะ รอลุ้นตอนต่อไปจ้า


Siang 27 ม.ค. 2555, 10:36:32 น.
งานนี้หนูนกได้เดินขึ้นภูกระดึงแน่นอน


nunoi 27 ม.ค. 2555, 10:37:33 น.
เจ้าเล่ห์ด้วยกันทั้งคู่ น่าลุ้นจริงๆ


konhin 27 ม.ค. 2555, 10:57:17 น.
ทันกันจริงๆ


kaero 27 ม.ค. 2555, 10:58:34 น.
แน่ใจหรือจ๊ะนู๋นกว่าหัวใจโดนปิดตายแล้วจริงๆๆๆๆ


Zephyr 27 ม.ค. 2555, 12:09:57 น.
ได้ลงเหวแน่ๆนกน้อย แถมจะกลายเป็นนกย่างด้วยเพราะเล่นกะไฟ แล้วก็ต้องมาน่องปูดเพราะต้องเดินขึ้นภูกระดึง ความมุ่งมั่นมีก็ดีนะนกแต่มีมากไปมั้นก็กลายเป็นดื้อรั้นอ่ะ มันไม่น่ารักเลยสักนิด


เพลา 27 ม.ค. 2555, 14:38:59 น.
หัดกลัวซะบ้างก็ดีนะคะหนูนก นั่นน่ะมารร้ายชัดๆ


น้ำค้าง 27 ม.ค. 2555, 20:57:34 น.
ฟิตเท้าเตรียมปืนภูกระดึงได้เลยแม่นกน้อย


ของขวัญ 27 ม.ค. 2555, 21:14:20 น.
รอดูวันที่หนูนกจะเดินขึ้นภู


lovemuay 27 ม.ค. 2555, 21:43:24 น.
แน่ใจหรือจ๊ะหนูนก ว่ากันว่า เกลียดอะไรมักจะได้สิ่งนั้น


เด็กหญิงม่อน 27 ม.ค. 2555, 22:01:20 น.
นก กับ เวหา เป็นของคู่กัน :))


หมูอ้วน 28 ม.ค. 2555, 14:15:17 น.
หนูนก หนีไม่รอดแย้ววว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account