คือ...รัก
'ความรัก'เป็นสิ่งมนุษย์ทุกคนถวิลหา ไม่มีใครมีชีวิตอยู่โดยปราศจากรัก ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจรักก็ยังเป็นสิ่งที่ทุกคนโหยหา แม้บางคราวรักจะทำให้มีน้ำตา แต่รักก็คือความสุข 'วิมาลินธ์' หญิงสาวผู้มีอดีตแห่งรักที่ไม่เคยแน่ใจในความรัก เธอไม่เคยเชื่อในอิสระของหัวใจ หากหัวใจดวงนี้จะมีรักมันก็มีแต่เพียงความรักที่บริสุทธิ์งดงามระหว่างแม่กับลูก หากทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...เมื่อเขาเดินเข้ามาในชีวิตเธออีกครั้ง...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 5



บทที่ 5



“ไปอาบน้ำได้แล้วเอื้อน จะนอนทั้งอย่างนี้เลยรึไง” สิทธาบอกภรรยาสาวที่ล้มตัวลงไปนอนแผ่อยู่บนเตียงทั้งๆ ที่ยังสวมชุดเจ้าสาวอย่างเอ็นดู

“ก็เอื้อนเมื่อยนี่นา ยืนทั้งวันจนปวดขาไปหมด พี่สิทไม่เหนื่อยบ้างเหรอคะ” เอื้อนดาวถามสามีทั้งๆ ที่ยังนอนนิ่งไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของเขา

“เหนื่อยสิครับ แต่ถึงจะเหนื่อยยังไงพี่ก็ไม่ยอมขึ้นเตียงกับภรรยาที่อยู่ในสภาพอย่างนี้หรอกนะ” สิทธานั่งลงริมขอบเตียงพลางจ้องหน้าภรรยายิ้มๆ “ดูซิหน้าก็โบ๊ะซะหนา ผมก็จัดทรงซะแข็ง ไม่เห็นจะชอบเลยลอกคราบมาเป็นเอื้อนคนเดิมของพี่เถอะ”

คำพูดของสามีทำให้หน้าที่โบ๊ะไว้ด้วยเครื่องสำอางของเอื้อนดาวเข้มขึ้นเมื่อตระหนักได้ว่าคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับสิทธาจึงแก้เก้อไปด้วยอาการแกล้งงอน “ไม่ชอบก็ไม่ต้องมายุ่ง ไปนอนข้างนอกเลยสิ”

“ได้ที่ไหนกันล่ะครับ จำที่ผู้ใหญ่บอกไว้ก่อนออกไปไม่ได้เหรอสาวน้อย” มือหนาไล่แก้มนวลอย่างเบามือ ทว่าคนโดนกระทำกับร้อนผ่าวไปทั้งตัว “ยังไงคืนนี้พี่ก็ไม่ยอมก้าวขาออกจากห้องนี้หรอกนะเอื้อนดาว....รู้ไว้ด้วย”

“พี่สิทเอื้อนจั๊กกะจี้ ไม่เล่นนะ” เอื้อนดาวบอกพลางคว้ามือของสามีที่เริ่มจะวุ่นวายไปทั่วร่างไว้

“แล้วจะยอมไปอาบน้ำดีๆ รึเปล่าล่ะฮึ” สิทธาละมือจากเอวบาง กระซิบข้างหูภรรยาแผ่วเบา ลมหายใจอุ่นๆ ส่งผลให้คนฟังรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องจนต้องรีบลุกจากเตียงเพราะกลัวว่าอยู่นานกว่านี้อาจจะหัวใจวายเอาได้ง่ายๆ
“อาบก็ได้ค่ะ” พูดจบก็หายวับเข้าไปในห้องน้ำทันที สิทธาส่ายหน้าอย่างขำๆ กับท่าทางตื่นๆ เหมือนลูกแมวตกใจของภรรยา ไม่ต้องกลัวหรอกนะเอื้อนพี่จะทำให้เอื้อนชินเอง สิทธาคิดในใจก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเตรียมชุดนอนให้ตัวเองและภรรยาสาว

สามสิบนาทีต่อมาร่างบางในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวก็เดินออกจากห้องน้ำมาด้วยท่าทีเคอะๆ เขินๆ จนคนที่นั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟามุมห้องมองอย่างขำๆ

“เอื้อน”

“ขะ..ขา” เอื้อนดาวขานรับสามีด้วยความตกใจ อดประหม่าไม่ได้เมื่อเห็นสิทธาอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนอวดแผงอกกำยำแก่สายตา

“พี่เตรียมชุดนอนไว้ให้แล้วในห้องแต่งตัว อย่าลืมใส่นะ” สิทธาบอกด้วยรอยยิ้มกว้างแฝงไว้ด้วยอะไรบางอย่างที่ทำเอาเอื้อนดาวถึงกับขนลุกชันด้วยความวาบหวาม “เช็ดผมให้แห้งสิจ๊ะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” มือหนาคลุมผ้าขนหูผืนเล็กลงบนศรีษะของภรรยาที่ยืนนิ่งเป็นหุ่นยนต์อยู่กลางห้อง

“พี่อาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา” ชายหนุ่มหันมาบอกก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ลับร่างของสามีเอื้อนดาวก็ตรงดิ่งเข้าไปห้องแต่งตัวทันที กลัวว่าถ้ายืนอยู่นานกว่านี้สิทธาจะออกมาจากห้องน้ำเสียก่อน แค่คิดก็เห็นภาพแล้วว่าเขาจะอยู่ในสภาพที่ชวนวาบหวิวเพียงไร...

เอื้อนดาวเช็ดผมให้แห้งพลางหยิบชุดนอนผ้าซาตินพิมพ์ลายดอกไม้สีชมพูจางๆ ขึ้นมาสวม ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเพราะชุดนี้เป็นชุดที่เธอกับสิทธาแอบไปเลือกด้วยกันเพราะปกติเธอก็สวมชุดนอนแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยสวมให้บุรุษที่ไหนเห็นมาก่อนเท่านั้นเอง อดที่จะกระดากไม่ได้แต่พอตระหนักว่าเขาคือสามีที่ถูกต้องตามนิตินัยและพฤตินัย (ในอีกไม่กี่ชั่วโมง) ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมานิดหน่อย

ร่างสมส่วนในชุดนอนสีหวานที่นั่งไดร์ผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งทำเอาสิทธาถึงกับชะงัก ก่อนจะเดินตรงไปที่กระจกจ้องตาภรรยาผ่านกระจกจนหญิงสาวทำอะไรไม่ถูก จ่อไดร์เป่าผมไว้ที่หน้าจนอีกคนต้องบอกให้ได้สติ

“ทำอย่างนั้นเมื่อไหร่ผมจะแห่งล่ะเอื้อน” สิทธามองภรรยาด้วยรอยยิ้ม “มาพี่เป่าให้จะได้เสร็จเร็วๆ”

“ไม่เป็นไรค่ะเอื้อนทำเองได้ พี่สิทไปแต่งตัวเถอะ” เอื้อนดาวบอกสามี ไม่ดีแน่ที่เขาจะมานั่งเป่าผมให้เธอในสภาพที่มีผ้าขนหนูผืนเดียวพันเพียงท่อนล่างเอาไว้ ถ้าอยู่ใกล้สิทธาในสภาพนี้เธอคงจะช็อคตายก่อนเป่าผมเสร็จอย่างแน่นอน

“ก็ดี...พี่จะได้เก็บแรงไว้ทำอย่างอื่น” สิทธารับคำอย่างว่าง่ายแต่ไม่วายแกล้งพูดให้ภรรยาหน้าแดงเล่นก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว พอลับร่างของสามีเอื้อนดาวก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ไม่ใช่ว่าไม่เคยอยู่กันสองคนกับสิทธาในสภาพที่ชวนวาบหวิวแบบนี้ บ่อยครั้งที่ไปว่ายน้ำหรืนวดสปาด้วยกันแต่ทำไมมันไม่รู้สึกสั่นๆ หวิวๆ อย่างนี้นะ หรืออาจะเป็นเพราะสถานะระหว่างเธอกับเขาที่เปลี่ยนไป และอะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นกระมังที่ทำให้รู้สึกเช่นนี้

สงบสติอารมณ์หน่อยสิยัยเอื้อน อย่ากลัว อย่าตื่นเต้น นี่สามีเธอนะ เอื้อนดาวบอกตัวเองที่ตื่นเต้นจนมือสั่นพลางปิดสวิตช์ไดร์เป่าผมเมื่อผมแห้งเรียบร้อย คิดไม่ตกว่าจะไปนอนรอสิทธาที่เตียงเลยหรือนั่งรอที่โซฟามุมห้องดี แต่ยังไม่ทันจะตัดสินใจได้ร่างสูงกำยำที่สวมเพียงกางเกงนอนขายาวสีเทาตัวเดียวอวดแผงอกกว้างก็เดินออกมาพอดี โอว้...ทำไมพี่สิทเซ็กซี่อย่างนี้ล่ะเนี่ย ท่อนแขนล่ำๆ แผงอกขาวๆ มันน่า...ว้ายคิดอะไรของแกยัยเอื้อน เอื้อนดาวสลัดความคิดที่ไม่เข้าท่าออกจากหัวสมอง พลางจ้องหน้าสามีเขินๆ

“เอื้อนง่วงรึยังจ๊ะ” สิทธาเอ่ยถามภรรยาที่ยืนหน้าแดงอยู่กลางห้องยิ้มๆ พลางไล่สายตาสำรวจร่างสมส่วนในชุดนอนสีหวานที่เขาเป็นคนเลือกกับมือเพราะเห็นว่ามันน่ารักดี แต่ไม่นึกว่าพอเอื้อนดาวใส่มันจะให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป โอว้...ซาร่ามันยอดมาก...

“นิดหน่อยค่ะ ทำไมเหรอคะ”

“เล่นเกมส์กันมั้ย....” กรี้ดดดดดดดด คำชวนของสามีทำให้เอื้อนดาวอยากตีลังกาสามตลบแล้วกรี้ดดังๆ





ถ้าหากคู่แต่งงานที่เพิ่งเข้าหอไปหมาดๆ จะกำลังหวานชื่นกับความรักตามประสาข้าวใหม่ปลามันแล้วล่ะก็ หนุ่มสาวอีกคู่ที่อยู่ในพาหนะคันหรูก็คงต่างออกไปเพราะกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ที่แสนจะเผ็ดร้อนและดุเดือนจนเลือดพล่าน ห่างไกลจากบรรยากาศงานแต่งงานที่พึ่งจากมาอย่างลิบลับ

“ว้าย...ขับรถให้มันดีๆ หน่อยสิพี่เอื้อ ขับรถอย่างนี้ประเดี๋ยวก็ได้กลับบ้านเก่ากันก่อนหรอก” เสียงแว้ดๆ ของคนที่นั่งคู่มาด้วยกันเอ่ยขึ้นอย่างตกใจเมื่อพลขับหักรถหลบเข้าข้างทางแล้วเหยียบเบรกอย่างกระทันหัน ทำให้ศรีษะได้รูปกระแทกเข้ากับคอนโซลหน้ารถเต็มแรง

“โอ๊ย...เจ็บเป็นบ้า” นวียาลูบหน้าผากที่เริ่มแดงของตัวเองป้อยๆ “ขับรถอย่างนี้สอบใบขับขี่ผ่านได้ยังไงเนี่ยพี่เอื้อ ห่วยที่สุดในสามโลก” หญิงสาวบ่นพลางสะบัดหน้าเชิดอย่างงอนๆ โมโหคนขับขึ้นมานิดๆ ที่บังอาจทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ นี่ถ้าหน้าผากเป็นรอยเขียวช้ำขึ้นมาล่ะก็จะให้รับผิดชอบตลอดชีวิตเลยคอยดู...

“เจ็บแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกน่า ลงไปดูหมากันเถอะ” เอื้อภูมิที่เคลื่อนรถไปจอดนิ่งอยู่ข้างทางหันมาพูดกับหญิงสาวขี้โวยวายที่นั่งคู่มาด้วย พร้อมกับเปิดประตูรถลงไปไม่สนใจคนเจ็บที่นั่งหน้างออยู่เลยสักนิดเดียว

“ใจร้าย เย็นชาที่สุด” นวียาต่อว่าตามหลัง ก่อนจะเปิดประตูรถตามลงไปอย่างเซ็งๆ นี่ถ้าวิมาลินธ์ไม่ขยั้นขยอให้เอื้อภูมิขับรถมาส่งจ้างให้เขาก็ไม่สละเวลาอันมีค่ามากับเธอแน่ คนอะไรใจจืดใจดำแถมปากร้ายเป็นที่สุด คนเจ็บจะแย่ยังไม่มีน้ำใจถามสักนิดว่าเป็นอะไรหรือเปล่า สนใจหมามากกว่าเราอีก แอบชอบคนแบบนี้มาได้ไงตั้งหลายปีวะตรู...

“ช่วยหยิบผ้าในกระเป๋าหลังรถมาให้พี่หน่อยสิ” เอื้อภูมิบอกคนหน้าบึ้งที่เดินตามหลังมาติดๆ พลางอุ้มลูกสุนัขสีขาวที่ครางหงิงๆ อยู่บนพื้นถนนขึ้นมาไว้ เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาจากขาข้างหนึ่ง เจ้าหมาตัวนี้คงโดนรถคันก่อนหน้าชนเอา โชคดีที่เขาเบรกทันไม่งั้นป่านนี้คงกลายเป็นหมาเฝ้าถนนไปแล้ว

“พี่เอื้อจะพามันไปไหนอ่ะ” นวียาถามด้วยความสงสัย มองหมาน้อยสลับกับคนอุ้ม

“พี่จะพามันไปหาหมอ”

“ดึกขนาดนี้เนี่ยนะ คงมีคลินิคไหนเปิดหรอก”

“เถอะน่า ไปหยิบผ้าหลังรถมาให้พี่ดีกว่า” เอื้อภูมิบอกอีกครั้ง ใบหน้าคมคร้ามติดจะบึ้งตึงเมื่อคนช่างโวยวายไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง “รีบๆ หน่อยนะ เดี๋ยวไอ้หมาตัวนี้ได้ซี้แหง๋แก๋ก่อนถึงหมอกันพอดี”

นวียาย่นจมูกในความใจบุญของเอื้อภูมิที่ทำตัวเป็น ‘พ่อหมา’ อย่างหมั่นไส้ ร่างระหงเดินไปเปิดท้ายรถหยิบผ้าขนหนูสีขาวในกระเป๋าที่ปักชื่อฟิตเนสไว้ออกมา ไม่ลืมสำรวจข้าวของหลังรถที่จัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างทึ่งๆ เรียบร้อยกว่ารถเธอซะอีก เจ้าระเบียบจริงๆ พอคู้ณณณ...

“ได้แล้วค่ะ” นวียายื่นผ้าให้ชายหนุ่ม เขาไม่รับแต่หันมาพูดกับเธอแทน

“วีช่วยอุ้มหน่อยนะ พี่ไม่อยากวางมันไว้เบาะหลัง”

“วีเนี่ยนะ...” หญิงสาวถามตาโต มองเลือดสีแดงที่เปื้อนเชิ๊ตสีฟ้าอ่อนของเอื้อภูมิสลับกับเดรสชสีม่วงอ่อนราคาแพงของตัวเองด้วยสีหน้าปั้นยาก

“ใช่ครับ...ไม่ได้เหรอ” เอื้อภูมิบอกด้วยใบหน้าเคร่งครึม พอจะเข้าใจว่าหญิงสาวรู้สึกอย่างไรแต่มันไม่มีทางเลือกนี่นา ทำไงได้...

นวียาคิดหนักทั้งกลัวเดรสตัวสวยจะเปื้อนทั้งกลัวลูกหมาตัวน้อยจะตาย ไอ้สงสารก็สงสารอยู่หรอกแต่มันก็อดที่จะกระอักกระอ่วนใจไม่ได้นี่นา เหลือบไปมองคนตัวโตตรงหน้าก็เห็นสีหน้านิ่งๆ ไม่แสดงอารมณ์ของเขาคงแอบประนามว่าเธอ ‘ใจดำ’ อยู่ในใจแหงๆ เฮ้อ...เอาก็เอาวะทำตัวเป็นนางงามรักสัตว์สักวันก็ได้

“ก็ได้ค่ะ เดี๋ยววีอุ้มให้” นวียาตอบตกลงอย่างปลงๆ

“ขอบคุณครับ”

สิบห้านาทีต่อมารถยนต์ของเอื้อภูมิก็มาจอดอยู่หน้าคลินิครักษาสัตว์แห่งหนึ่ง ไฟที่เปิดสว่างโร่ทำให้หญิงสาวที่อุ้มลูกหมาตัวเกร็งอยู่พล่างพรูลมหายใจออกมาจากปากอย่างโล่งอก รอดตายซะทีนะเจ้าหมาน้อย ว่าแต่คลินิคอะไรวะเปิดถึงเที่ยงคืนอย่างนี้ นวียาแอบสงสัย...

“คลินิคคนรู้จัก พี่โทรมาบอกเค้าเอาไว้ โชคดีที่หมอยังไม่กลับซะก่อน” เอื้อภูมิบอกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างรู้ทัน

“ว่าแต่พี่เอื้อมีเพื่อนเป็นหมอหมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” พอเห็นว่าคนข้างๆ ปรายตามามองเข้มขึง ก็รีบแก้คำพูดเสียใหม่ “อ่อ...สัตว์แพทย์”

“น้องสาวเพื่อนน่ะ พี่เคยพาหมาที่บ้านมารักษาด้วยบ่อยๆ” เอื้อภูมิตอบพลางปลดเข็มขัดนิรภัยออก “เข้าไปข้างในกันเถอะ จะได้ให้หมอดูซะที”

ร่างสูงเดินจากรถอ้อมมาเปิดประตูให้หญิงสาวที่ปล้ำปลดเข็มขัดนิรภัยอย่างทุลักทุเล “มาพี่ช่วย” ชายหนุ่มพูดสั้นๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมาจัดการกับเข็มขัดนิรภัยเจ้าปัญหาให้หญิงสาว พลางอุ้มลูกหมาน้อยที่นอนอยู่บนตักของนวียาขึ้นมา สัมผัสแผ่วเบาที่ต้นขาทำเอานวียาขนลุกขึ้นมาทันที ก่อนจะก้าวขาลงจากรถเดินตาม ‘พ่อหมา’ ไปติดๆ

ร่างสูงที่ยืนคุยกับคุณหมอหน้าหวานด้วยความสนิทสนมนั้นสร้างความหงุดหงิดให้นวียายิ่งนัก รู้สึกหมั่นไส้รอยยิ้มกว้างของเอื้อภูมิที่ส่งให้สัตว์แพทย์สาวที่กำลังพันผ้าพันแพที่ขาหลังข้างขวาให้เจ้าหมาน้อยเป็นที่สุด แหม...ที่กับเธอล่ะไม่เคยจะยิ้มให้อย่างนี้บ้าง มีแต่ทำหน้าบึ้งทำเสียงเย็นใส่ตลอด มันน่าตบแล้วก็จูบให้หายโมโหสักทีสองทีจริงๆ เลย

“โห...ขาหักอย่างนี้ อีกนานมั้ยคะคุณหมอกว่ามันจะหาย” นวียาเอ่ยขัดจังหวะหวานๆ เยี่ยมหน้าเข้าไปมองเจ้าหมาน้อยบนเตียงที่นอกจากจะมีผ้าพันแผลแล้วยังมีกระปุกน้ำเกลือขนาดเล็กห้อยอยู่ข้างๆ ด้วย

“สักเดือนก็วิ่งปร่อได้เหมือนเดิมแล้วค่ะ” คุณหมอตอบด้วยรอยยิ้มหวาน “แต่ก็ต้องทำกายภาพบำบัดร่วมด้วยค่ะ ถึงจะหายเป็นปกติ”

“อ่อ...ค่ะ” นวียาเออออตาม ทั้งๆ ที่ไม่รู้หรอกว่าหมามันทำกายภาพบำบัดด้วยวิธีไหน “แล้วอย่างนี้จะทำไงต่อคะพี่เอื้อ เป็นเดือนกว่ามันจะหาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นเจ้าของ” หญิงสาวหันไปถาม ‘พ่อหมา’ ที่ยืนอยู่ข้างๆ

“พี่จะเลี้ยงมันเอง” เอื้อภูมิตอบสั้นๆ ก่อนจะหันมาพูดกับคุณหมอเจ้าของไข้ “ระหว่างนี้ผมคงต้องฝากเจ้าตูบไว้กับหมอหวานสักอาทิตย์นะครับ อยากให้มันแข็งแรงกว่านี้ก่อน ไม่อยากเอามันไปไว้ที่บ้านทั้งๆ ที่ยังเดี้ยงอยู่อย่างนี้ ยังไงอยู่กับหมอก็ปลอดภัยกว่า”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวหวานจะดูแลให้เป็นอย่างดีเลย ” คุณหมอรับคำด้วยรอยยิ้มสดใส “ถ้าไงหวานจะโทรไปรายงานอาการเรื่อยๆ นะคะ ”

“ขอบคุณครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

บทสนทนาระหว่างคุณหมอกับ ‘พ่อหมา’ ทำเอาคลื่นอารมณ์ความอิจฉาและหมั่นไส้ของนวียาก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง จึงขัดจังหวะบทสนทนาด้วยเสียงหาวหวอดๆ ที่แสดงถึงความง่วงเสียเต็มประดา
“ห้าววว...”
“ง่วงแล้วเหรอคะ” คุณหมอหันมาถามหญิงสาวที่ยืนหาวหวอดๆ

“ค่ะ จะยืนหลับกลางอากาศได้แล้วล่ะค่ะคุณหมอ” นวียาตอบพลางบอกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า “กลับกันได้รึยังคะพี่เอื้อ วีง่วงอยากกลับบ้านไปนอนแล้ว”

“อีกนิดเดียวน้ำเกลือก็หมดแล้ว วีรอสักแป๊ปได้มั้ย” เอื้อภูมิบอก “ถ้าง่วงมากนั่งหลับที่เก้าอี้ด้านนอกหรือจะไปรอในรถก็ได้” ชายหนุ่มเสนออย่างเห็นใจ แต่คนฟังกับหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ

“พี่เอื้อจะอยู่เฝ้าทำไมคะ ยังไงเจ้าหมานี่มันก็ปลอดภัยแล้ว มันคงไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกคุณหมอก็อยู่ทั้งคน กลับกันเถอะค่ะ”

เอื้อภูมิยังนิ่งแม้แม่สาวน้อยข้างตัวจะคะยั้นคะยอให้กลับ ถึงจะรู้สึกวางใจกับอาการของเจ้าหมาน้อยในระดับหนึ่งแต่ก็อดกังวลไม่ได้

“ใช่ค่ะ อยู่กับหมอแล้วไม่มีอะไรต้องห่วง คุณเอื้อไม่ต้องกังวลนะคะ กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะนี่ก็ดึกมากแล้ว” คุณหมอบอกอย่างเข้าใจและเห็นใจหญิงสาวที่ยืนตาปรืออยู่ข้างๆ

“ก็ได้ครับ ฝากคุณหมอด้วยนะครับ ถ้ามีอะไรด่วนโทรหาผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ” ชายหนุ่มบอกอีกครั้งก่อนจะล่ำลาคุณหมอแล้วออกมา นวียาแลบลิ้นใส่แผ่นหลังของคนที่เดินนำหน้าด้วยความหมั่นไส้ นี่ถ้าคุณหมอไม่บอกให้กลับ เอื้อภูมิคงไม่ยอมออกมาง่ายๆ ทั้งๆ ที่เธอง่วงจนตาจะปิดเขายังไม่สนใจ แถมยังบอกให้ไปนอนรอในรถอีกต่างหาก เย็นชาชะมัด...

“ถ้าวีง่วงมากก็หลับเลยนะ ถึงบ้านแล้วพี่จะปลุก” เอื้อภูมิบอกคนที่ง่วงนอนเมื่อเข้ามาอยู่ในรถด้วยกัน นึกเห็นใจหญิงสาวขึ้นมาครามครันนี่ถ้าเขาไม่ไถลพาเจ้าหมาน้อยมาหาหมอป่านนี้นวียาคงกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว

“มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว” นวียากล่าวเสียงห้วนพร้อมกับซุกตัวลงไปกับเบาะเงียบๆ เมื่อเอื้อภูมิบังคับรถยนต์ออกสู่ท้องถนนบทสนนาระหว่างคนทั้งคู่ก็จบลงเพียงเท่านั้น ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดีรถยนต์คันหรูก็แล่นมาจอดอยู่หน้าบ้านสีขาวหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับร้านอาหารเล็กๆ ของหญิงสาว

“ถึงบ้านแล้ววี” สารถีหนุ่มปลุกคนที่ขดตัวหลับอยู่กับเบาะราวกับลูกแมวน้อย แต่เมื่อเห็นอาการไหวติงก็สะกิดที่ต้นแขนกลมกลึงเบาๆ “ตื่นได้แล้ววี ถึงบ้างแล้วนะ”

“ฮื้อ...” ลูกแมวครางเบาๆ ก่อนจะขดตัวหลับต่อไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งนั้น เอื้อภูมิมองคนขี้เซาขำๆ สบโอกาสพิจารณารอยแดงช้ำๆ บนหน้าผากโหนกมือหนาไล่เบาๆ พลางสำรวจวงหน้ารูปไข่ที่ประกอบไปด้วยดวงตาเรียวเล็กที่ปิดสนิทอยู่ใต้แพขนตาหนา จมูกโด่งเรียวและริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบสีชมพูไว้ มันน่า... เอ่อ....น่า...มือหนาที่กำลังจะเอื้อมไปแตะริมฝีปากค้างเต่อเมื่อลูกแมวขี้เซาขยับตัวไปมา

“ถึงแล้วเหรอคะ” นวียาถามทั้งที่ตายังปิด ยันตัวลุกจากเบาะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นแต่เมื่อเห็นว่าใบหน้าของใครคนหนึ่งลอยอยู่ใกล้แค่คืบก็แทบผงะ

“ทำไมพี่เอื้อไม่ปลุกวีล่ะ” หญิงสาวถามแก้เก้อ พร้อมกับรวบกระเป๋ามาถือไว้ในมือ

“ปลุกแล้ว แต่วีขี้เซาไม่ยอมตื่นเอง” เอื้อภูมิบอกยิ้มๆ “นอนหลับน้ำลายยืดซะด้วย พี่เลยไม่อยากกวน”
“อี๋ย...วีไม่นอนน่าเกลียดอย่างนั้นหรอก พี่เอื้อไม่ต้องมาอำ”

“พูดเรื่องจริงก็หาว่าอำ นี่พี่ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าวีไม่ตื่นก่อนเบาะรถพี่คงเปียกเพราะน้ำลายวีแน่ลย”
นวียาค้อนคนช่างอำอย่างไม่จริงจัง “ดี...จะได้ไม่มีคนกล้านั่งรถพี่เอื้อเพราะเหม็นน้ำลายวี ให้วีนั่งได้คนเดียวพอ”

“เอางั้นเลยเหรอ...พูดแล้วห้ามคืนคำนะครับ” เอื้อภูมิบอกยิ้มๆ มองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ นิ่งๆ มือหนาเอื้อมไปแตะรอยแดงบนหน้าผากเบาๆ

“เจ็บมากรึเปล่า” ชายหนุ่มถามเสียงนุ่ม

“เจ็บสิคะ...ไม่น่าถาม” นวียาบอกเสียงแข็งแต่ใบหน้ากับเปื้อนยิ้ม

“ขอโทษด้วยนะ พี่ไม่ทันระวัง”

“นึกว่าจะไม่ได้ยินคำนี้ซะแล้ว” หญิงสาวบอก

“พี่ไม่ใช่คนใจดำนะนวียา...”

เสียงทุ้มที่เอ่ยชื่อตัวเองอย่างอ่อนหวานทำเอานวียาถึงกับใจสั่น “ก็ใครจะไปรู้ล่ะ เห็นสนใจแต่หมา”

“คนก็สนใจ” เอื้อภูมิบอกพร้อมกับสบตาหญิงสาวอย่างจงใจ “เพี้ยง...หายไวๆ นะครับ” ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่ที่หน้าผากเกลี้ยงเกลา สัมผัสแผ่วเบาสร้างความอุ่นวาบไปทั้งหัวใจดวงน้อยของนวียา หญิงสาวคว้ากระเป๋ากุลีกุจอลงจากรถก่อนที่จะอดใจไม่ไหวเผลอตัวทำอะไรไม่เข้าท่าออกไป

“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง ขับรถดีๆ ล่ะ” กล่าวขอบคุณเสร็จเปิดประตูลงจากรถไปทันที ทั้งยังไม่ลืมหันมาทำท่าส่งจูบน่ารักๆ ยั่วชายหนุ่มที่อยู่ในรถเล่น ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในบ้านเมื่อคนที่อยู่ในรถหลิ่วตาให้อย่างล้อๆ แม้บางครั้งนวียาจะขี้วีนขี้โวยวายขี้โมโหหรือพูดและทำอะไรตรงเกินไปบ้างแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายเกินนัก ได้ต่อปากต่อคำได้ฟังเสียงวี้ดว้าดโวยวายของเจ้าหล่อนก็ไม่เงียบหูดีเหมือนกัน ถึงจะเป็นรสชาติชีวิตที่เขาไม่ค่อยจะคุ้นชินแต่ได้ ‘ชิม’ บ่อยๆ ก็อาจจะคุ้นลิ้นได้ในไมช้า บางทีมันอาจถึงเวลาแล้วก็ได้ที่เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อลบคำครหาของน้องสาวตัวแสบ เอื้อภูมิคิดอย่างขำๆ พร้อมกับเคลื่อนรถยนต์ของตัวเองออกไปเมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่มาส่งเข้าบ้านไปเรียบร้อยแล้ว




“พี่สิทชนะอีกแล้ว” เอื้อนดาวละสายตาจากจอสี่เหลี่ยมของไอแพดเอ่ยกับสามีอย่างงอนๆ “เล่นกี่ตาๆ เอื้อนก็แพ้ตลอด ไม่เอาไม่เล่นแล้ว”

“อ้าว...ยังไม่จบเกมส์เลยนะครับที่รัก จะเลิกเล่นได้ยังไงกัน”

อารมณ์งอนหายไปทันทีเมื่อได้ยินคำเรียกขานหวานๆ ของสามี ศรีษะได้รูปซบลงกับต้นแขนกำยำอย่างออดอ้อน “ก็เอื้อนไม่อยากเล่นแล้วอ่ะ ไปนอนกันเถอะนะคะพี่สิทคนดี้คนดี เอื้อนง่วงแล้ว...ห้าว...”

“เป็นสาวเป็นนางหาวซะปากกว้าง” สิทธาล้อยิ้มๆ จนภรรยาหันมาค้อนควับให้หนึ่งทีอย่างงอนๆ

“ขอพี่เล่นอีกเกมส์นะจ๊ะกำลังมันส์เลย” พูดจบก็หันไปสนใจกับเกมส์ต่อจนภรรยาคนสวยรู้สึกน้อยใจ
แผนการเรียกร้องความสนใจจึงผุดขึ้นมาในหัว มาดูกันซิว่าระหว่างไอ้เกมส์บ้าๆ กับสาวสวยสุดเซ็กซี่อันไหนมันจะน่าสนใจกว่ากัน

“พี่สิทขา...ไปนอนกันเถอะนะ” เอื้อนดาวเกยคางกับบ่ากว้างพร้อมกับโอบแขนรอบเอวสามีอย่างฉอเลาะ งัดกลเม็ดข้อแรกที่จำมาจากหนังสืออกมาใช้ ดูซิว่าจะทนไปได้สักกี่น้ำ “เอื้อนง่วงแล้วพาเอื้อนไปนอนหน่อยสิคะ” ริมฝีปากนุ่มกดลงบนแผ่นหลัง ต้นคอ ใบหู และแก้มของสามีอย่างหยอกเย้า

สิทธาตัวแข็งไปกับการกระทำที่ไม่ประสาของภรรยา อารมณ์ที่อยากเล่นเกมส์หมดไปทันทีเพราะมีอารมณ์อื่นเข้ามาแทนที่ซึ่งสร้าง ‘ความอยาก’ ให้มากกว่ากันหลายเท่าตัวเลยทีเดียว

“เอื้อนกำลังแกล้งพี่...เด็กนิสัยไม่ดี” สิทธาบอกเสียงสั่นพร่าเมื่อถูกมือเล็กลูบไล้แผงอกเปลือยเปล่าไปมาไม่มีสมาธิที่จะเล่นเกมส์ต่อไปได้อีก

“เปล่านะคะ พี่สิทต่างหากที่นิสัยไม่ดีเห็นเกมส์สำคัญกว่าเอื้อน” เอื้อนดาวปฏิเสธก่อนจะเอี้ยวตัวไปนั่งบนตักกว้างแล้วโอบแขนรอบต้นคอสามีที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นไว้ นึกกระดากขึ้นมาเล็กน้อยที่บังอาจยั่วเย้าเขา แต่ช่างเถอะยังไงสิทธาก็เป็นสามีและเป็นผู้ชายที่เธอรักอย่างหมดใจ นิดๆ หน่อยๆ ให้เขาแปลกใจเล่นคงไม่เป็นไร

“ตอนนี้พี่ไม่สนใจเกมส์บ้าๆ นั้นแล้ว เพราะสนใจเอื้อนมากกว่า...”

“แต่เมื่อกี้พี่สิทธิสนใจเกมส์มากกว่าเอื้อน” นิ้วเล็กๆ ไล้ปลายครางที่มีไรหนวดจางๆ แผ่วเบาก่อนจะไต่ขึ้นไปที่ริมฝีปากหยักได้รูปแล้วเคล้นคลึงไปมาจนสิทธาอดไม่ไหวงับนิ้วเล็กๆ นั้นไว้ “พิสูจน์สิคะ...ว่าสนใจเอื้อนมากกว่าอะไรทั้งหมด” เอื้อนดาวบอกสามีพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ริมฝีปากบางแตะริมฝีปากผู้เป็นสามีเบาๆ พร้อมกับขบเม้มอย่างยั่วเย้า

“ก๋ากั๋นจริงๆ ใครสอนเอื้อนให้ทำแบบนี้กัน” สิทธาถามเสียงพร่าร่างกายเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองกับคนตรงหน้า แต่ก็อดแปลกใจกับปฏิกิริยาของเจ้าหล่อนไม่ได้ ก่อนหน้านี้ยังทำท่าตื่นๆ กลัวๆ เขาอยู่เลย แต่พอตอนนี้สิต่างกันราวกับคนละคน แต่ก็ยอมรับว่าชอบเอื้อนดาวในภาคแม่เสือสาวแบบนี้ไม่น้อยทีเดียว มีเมียเด็กมันดีอย่างนี้นี่เอง...

“Cosmopolitan ไงคะ” หญิงสาวเอ่ยชื่อนิตยสารหัวนอกที่ตัวเองชอบอ่าน ไม่อยากบอกเลยว่าเธอแอบจำสิ่งที่หนังสือบอกไว้เพื่อนำมาใช้กับสามีล้วนๆ

“มีคู่มือส่วนตัวด้วยเหรอครับ” สิทธาไล้มือกับต้นแขนนวลเนียนไปมา

“แน่น้อน” ภรรยาสาวบอกเสียงสูง “พิสูจน์สิคะว่าพี่สิทสนใจเอื้อนคนเดียว สนใจเอื้อนมากกว่าอะไรในโลกนี้” เอื้อนดาวเร่งเร้าอีกครั้ง ริมฝีปากบางปัดผ่านเบาๆ ดั่งสัมผัสขนนกไปทั่วไปหน้าของสามี

สิทธาจ้องตาสีนิลเป็นประกายของภรรยานิ่ง ไล้มือไปมาที่ต้นขาเนียนจนคนโดนกระทำสะดุ้งวาบ รู้สึกร้อนผ่าวกับสัมผัสที่แผดเผา “ใจเย็นๆ สิจ๊ะสาวน้อย...” สิทธาจับร่างบางให้นั่งลงบนเบาะรองนั่งแทนตักตัวเอง พร้อมกับจ้องหน้านวลด้วยดวงตาเป็นประกายส่วนคนถูกมองก็ไม่ยอมแพ้จ้องตากลับอย่างไม่ลดละเช่นเดียวกัน

“บอกพี่สิครับว่าเอื้อนอยากให้พี่พิสูจน์ด้วยวิธีอะไร....” เสียงทุ้มถามอย่างอ่อนโยน

“พี่สิทอยากทำอะไรล่ะคะ” เอื้อนดาวไม่ตอบแต่ถามกลับด้วยสีหน้ายวนใจคนมองยิ่งนัก

แทนคำตอบสิทธาก็ค่อยๆ ก้มลงจูบที่หัวไหล่มน เรื่อยขึ้นไปจนถึงลำคอระหง ติ่งหู ดวงหน้านวล และหยุดนิ่งอยู่ที่ริมฝีบางนุ่มเนิ่นนานสัมผัสแผ่วเบาดุจผีเสื้อหยอกล้อกับกลีบดอกไม้งามในคราแรกค่อยๆ ทวีความเร่าร้อนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเอื้อนดาวสั่นพร่าไปทั้งตัว ในหัวสมองขาวโพลนมึนงงไปหมดกับสัมผัสที่ได้รับจากสามี ไม่ใช่ว่าไม่เคยโดนสิทธาจูบมาก่อนแต่ทุกๆ ครั้งที่ผ่านมามันไม่เคยเร่าร้อนชวนให้ขาดใจตายเหมือนครั้งนี้ ส่วนสิทธาก็บรรเลงบทเพลงรักไปกับริมฝีงามอย่างชำนาญ ค่อยๆ สอนให้คนอ่อนหัดได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ บทเรียนแรกของค่ำคืนนี้ที่เอื้อนดาวจะไม่มีวันลืม ริมฝีปากและฝ่ามือทำงานประสานกันได้เป็นอย่างดี จนร่างบางเบียดแนบชิดร่างแกร่งด้วยความต้องการมากขึ้น สิทธาค่อยๆ เอนร่างของภรรยาให้นอนราบไปบนผืนพรมหนานุ่มก่อนจะทาบร่างตัวเองลงไปติดๆ ชายหนุ่มสัมผัสฟอนเฟ้นไปทุกส่วนของร่างกายด้วยความอ่อนโยน หญิงสาวเองก็ไม่ยอมแพ้มือเล็กลูบไล้ไปทั่วแผนหลังกว้างอย่างสะเปะสะปะ และก่อนที่ชุดนอนตัวงามจะถูกถอดออกจากร่างบางสิทธาก็หยุดการเคลื่อนไหวซบหน้าลงกับเนินอกที่โผล่พ้นเสื้อของภรรยา ก่อนจะชะโงกหน้าถามคนที่อยู่ในอารมณ์ ‘ค้าง’ ด้วยรอยยิ้มหวาน

“บทพิสูจน์ของพี่พอจะทำให้เอื้อนเชื่อบ้างหรือยัง”

เอื้อนดาวส่ายหน้าน้อยๆ ด้วยรอยยิ้มเขินๆ “เอื้อนรู้ว่าบทพิสูจน์ของพี่สิทมันยังไม่จบแค่นี้ เอื้อนพร้อมที่จะไปต่อ...จนจบค่ะ”

รอยยิ้มหวานและแววตาที่เต็มไปด้วยความรักทำให้สิทธายิ้มกว้าง เพราะเอื้อนดาวเป็นแบบนี้แหละเขาถึงรักอย่างโงหัวไม่ขึ้น สดใส น่ารัก อ่อนหวาน ขี้เล่นและเร่าร้อน ข้อสุดท้ายพึ่งประจักษ์กับตนเองก็วินาทีนี้นี่เอง

“พี่รักเอื้อน”

“เอื้อนก็รักพี่สิทค่ะ” ถ้อยคำที่ออกมาจากปากคนทั้งสองคือคำพูดที่ออกมาจากหัวใจ ไม่สิ่งใดเคลือบแฝงมันคือความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความรักความเข้าใจ ความอาทรและความจริงใจที่บริสุทธิ์งดงาม เป็นสิ่งล้ำค่าที่ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะเทียบเทียมได้

“งั้นก็เตรียมตัวเลยสาวน้อย ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าคุณสำคัญและมีความหมายกับผมมากแค่ไหน ค่ำคืนนี้คุณจะได้รู้ทุกอย่าง” สิทธากล่าวล้อๆ มือหนาประคองดวงหน้างามไว้ ตาสองคู่สบสายตากันอย่างเข้าใจในความรักความต้องการที่ทอประกายออกมา ทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่งดั่งต้องมนต์เมื่อริมฝีปากหนาทาบทับลงไปบนริมฝีปากนุ่มนิ่มอีกครั้ง ทุกสัมผัส ทุกจังหวะ ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความรักที่ต่างฝ่ายเพียรมอบให้แก่กันครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ ท่ามกลางราตรีอันมืดมิดและความเงียบสงัดมีเพียงเสียงของหัวใจสองดวงเท่านั้นที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกันตลอดค่ำคืนที่แสนหวานนี้.....





มาแล้ววววววววววว
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ...ยุ่งกับเรื่องเรียนจบ งาน และ ชม.เน๊ต อิอิ
สำหรับคำถามที่ว่า ธรม ทำไม ถึงอ่านว่า ทาม ????
คำตอบคือ ไม่ทราบค่ะ 5555 พอดีเห็นมาจากเว็บตั้งชื่อ
ธรม อ่านว่า ทาม แปลว่า ยศศักดิ์ เห็นความแปลกในชื่อเลยจับมาตั้งเป็นชื่อของตัวละครค่ะ
ถ้ามีผู้รู้คนไหนทราบ แชร์ข้อมูลกันได้นะคะ อิอิ





พุดจีบ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.พ. 2555, 20:16:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.พ. 2555, 20:19:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1700





<< บทที่ 4   
Auuuu 4 ก.พ. 2555, 22:14:11 น.
คู่เอื้อนน่ารักจังเลย ><


anOO 5 ก.พ. 2555, 17:45:35 น.
คู่นี้น่ารักมาก แต่ท่าทางพี่เอื้อก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account