อรุณสวัสดิ์หัวใจ # ชอนตะวัน (จบแล้ว)
ความรักก่อให้เกิดความทุกข์ และรักที่เป็นไม่ได้ทุกข์ยิ่งกว่า
ตากับยายหล่อหลอมให้หลานสาวมีวิธีคิดอย่างคนพอเพียง
แต่บุญก็พา วาสนาก็ส่ง ให้เธอเป็นไปเกินกว่าที่ใจปรารถนา..

ไกล สุดเอื้อมมือถึง ไกล อยู่ถึงฟ้ากั้น
ไกล ไปหลายคืนวัน ไย รักมิกรายจากใจ

รักคือการแบ่งปัน รักคือการห่วงใบ รักคือการเสียสละ และรักคือการช่วยเหลือ

"ฉันไม่ได้แย่งเธอมาจากใคร เพียงแต่ว่าฉันทำตามที่ใจฉันเรียกร้องเท่านั้น
ถึงฉันจะเหลวไหลไปตามประสา แต่วันหนึ่งฉันก็รู้ว่าฉันควรหยุดที่ใคร"..

ดุจบ่วง ร้อยรัด ดวงใจ
ยิ่งแก้ ยิ่งพันใจ ยุ่งเหยิง
ยิ่งหนี ยิ่งตามติด ยากหลบ
พบคน ที่หัวใจ วางไว้ ใช่เลย

"ฉันรักเธอตั้งแต่เห็นหน้า เมื่อได้อยู่ใกล้ ๆ ได้เห็นเนื้อแท้จากข้างใน ฉันก็รักเธอยิ่งขึ้น หัวใจของฉันเพรียกหาผู้หญิงดีพร้อมคนหนึ่ง แล้วฉันจะปล่อยเธอไปได้อย่างไร"
Tags: โรแมนติกดราม่า

ตอน: ตอนที่ 1

1. อรุณสวัสดิ์หัวใจ ((รีไรท์))

สวัสดีเพื่อนนักอ่านทุก ๆ ท่าน..

เมื่อปี 2550 อรุณสวัสดิ์หัวใจ เคยโพสต์ทั้งในบล็อกแก้งและเว็บสิรินดา

หลังจากนั้นนวนิยายเรื่องนี้ก็ได้ ถูกพิจารณาจากสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง จนกระทั่งได้มีการเซ็นสัญญากัน แต่มีเงื่อนไขคือต้องเปลี่ยนชื่อเรื่อง

หลังจากนั้นอีกหนึ่งปี นิยายเรื่องนี้ก็ไม่ได้คลอดตามสัญญา

เพราะ เนื้อหาของนวนิยาย ค่อนข้างจะไม่แนวตลาดสักเท่าไหร่ ((อย่างที่รู้ ๆ กันว่า ตลาดนิยายในบ้านเราขณะนี้เปลี่ยนแปลงไปจากปีก่อน ๆ มาก))

แต่ทางสนพ.แห่งนั้นก็สัญญาว่าจะได้รวมเล่มอย่างแน่นอน ดังนั้นผมก็เลยต้องถอนออกมา เพราะว่ารอไม่ไหว หลังจากนั้นผมก็ส่งไปให้ สนพ.แห่งอื่นพิจารณาอีก ปรากฏว่า "ไม่ผ่าน" เพราะ(( อาจจะเขียนไม่ได้เรื่องก็ได้))

ดังนั้น ผมจึงนำต้นฉบับกลับมารีไรท์ แล้วได้ประกาศ ไปก่อนหน้านี้ที่เว็บสิรินดา ว่า ผมจะนำเรื่องนี้มาพิมพ์รวมเล่ม ในรูปแบบหนังสือทำมือ

ซึ่งตอนหลัง วิถีทางการพิมพ์หนังสือก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แม้จะใช้คำว่า ทำมือ แต่ว่า เทคโนโลยีทางการพิมพ์ ก็สามารถไม่ต้องใช้มือทำ(มาถ่ายเอกสาร นั่งตัด ๆ แปะ ๆ เอง ทีละเล่มเอง สองเล่ม)) ซึ่งเรียกวิธีการพิมพ์ แบบนี้ว่า ปริ้นตามสั่ง แต่ราคาจะแพงกว่าการพิมพ์แบบplate

มีผู้สนใจจำนวนหนึ่ง(แต่ยังไม่มากพอจะพิมพ์..)

ดังนั้นผมจึงต้องนำนิยายแนวบ้าน ๆ เรื่องนี้ กลับมาโพสต์อีกรอบ เผื่อเพื่อน ๆ นักอ่านท่านใดสนใจ ก็จะได้รู้ยอดพิมพ์ที่แท้จริง ..

ผมตั้งใจจะพิมพ์ในเบื้องต้น 100 เล่มครับ ปัจจุบันนี้ ทำปกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ครับ จัดหน้าเสร็จแล้ว เหลือแต่เข้า โรงพิมพ์

จำนวน 250 หน้า
ราคาปก 234 บาท

ถ้าสนใจ ก็ขอลายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ f_nakhon@hotmail.com ครับ

แต่สำหรับเพื่อน ๆ นักอ่านที่ให้กำลังใจ(ทั้งทางตรง และทางอ้อม(ทางนั้นแหละ)) ผมมีราคา พิเศษครับ 200 บาทรวมค่าจัดส่ง..

อย่างไรก็ทดลองอ่านเนื้อหาข้างล่างนี้ ประกอบการพิจารณา
มี 20 บท ครับ สัญญาว่าจะลงจนจบ..

รักนะจุ๊บ ๆ

เฟื่องนคร-ชอนตะวัน

------------------------------------------------------------


1.

สายบัวตกตะลึงคาดไม่ถึงว่าคนพูดเสียงเหน่ออย่างน้าดาวเรืองจะมีโอกาสได้อยู่บ้านหลังใหญ่หลังโตราวพระราชวังอย่างนี้ หญิงสาวกระพริบตาถี่ ๆ ไล่อาการตกตะลึง เมื่อเห็นบ้านปานคฤหาสถ์หลังแนวรั้วครึ่งปูนครึ่งเหล็กดัดและประตูอัลลอยด์ลวดลายวิจิตรตระการตาตรงหน้า

“น้า น้าอยู่ที่นี่จริง ๆ หรือ” หลานสาวจ้องหน้าคนเป็นน้าที่สบตาของเธอแล้วถอนหายใจออกมา ดูแล้วน้าสาวของเธอพร้อมจะเผชิญทุกสถานการณ์เหมือนกัน

“น้าอยู่ในฐานะอะไร” เด็กหญิงวัยสิบห้าถามเสียงคาดคั้น ตั้งแต่ทีแรก เธอไม่ได้เต็มใจมาอยู่กับน้า มาอยู่ในกรอบของผู้ไม่คุ้นเคยแบบนี้

คนเป็นน้ากลืนก้อนจุกลงคอด้วยความยากลำบาก มือหยาบกำลังจะเอื้อมไปผลักบานประตูบานเล็กที่มีลวดลายดอกไม้ด้านข้างประตูใหญ่หยุดชะงัก หญิงวัยสามสิบกว่าอยู่ในชุดกางเกงสีดำขาสามส่วนเสื้อสีขาวคอระบายหันมาหาหลานสาวซึ่งใบหน้ามีเม็ดสิวประปรายบนหน้าผากและโหนกแก้ม นัยน์ตายังแดงช้ำเพราะผ่านความเศร้าโศกเสียใจกับการสูญเสียคนรักไป

“น้าเป็นคนใช้เขา” เสียงที่เปล่งออกมานั้นไม่เต็มคำนัก

“แล้วที่น้าบอกใคร ๆ ที่บ้านตากฟ้าว่า”

“น้าโกหก น้าพูดเพื่อให้ตัวเองดูดีเท่านั้นสายบัว น้ามีเหตุผลนะ” คนเป็นน้ารีบอธิบายด้วยเกรงว่าหลานสาววัยเลือดร้อนจะก่อเรื่องเสียก่อน

“น้าโกหก ถ้างั้นน้าพาบัวมาที่นี่” หญิงสาวเพิ่งผ่านอาการเมารถพะอืดพะอมมีดวงตาแดงช้ำจนน้ำตารื้นขอบตาอีกรอบ

“ไม่นะน้า บัวไม่เป็นคนใช้นะน้า” เด็กสาวรีบยกกระเป๋าผ้าใบเขื่องที่วางกับพื้นขึ้นมากอดไว้แนบอก เธอต้องการกลับบ้าน ต้องการไปหาที่ตั้งหลักใหม่ เพราะพ้นแนวรั้วแห่งศักดิ์ศรีไปแล้ว ไม่มีทางที่เธอจะได้ออกมาอย่างแน่นอน ถึงเธอจะเป็นคนบ้านนอกโตมากับทุ่งไร่ทุ่งนา แต่เธอก็ได้อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ได้เห็นว่าแท้จริงแล้วในรั้ววิจิตรตระการตานั้นมีอะไรแฝงไว้อยู่บ้าง

ศักดิ์ศรีของความเป็นคนของเธอกำลังจะหมดไป มันหมดสมัยศักดินาแล้ว เธอจะไม่ยอมให้ใครมาจิกหัวใช้เด็ดขาด

“สายบัวฟังน้านะ”

คนเป็นน้าทำเสียงเย็น ผิดกับน้าดาวเรืองคนที่เคยหอบหิ้วข้าวของขนมนมเนยไปเยี่ยมพ่อแม่พี่ ๆ พร้อมเสียงหัวเราะสดใส

“น้าเป็นมาแล้วทุกอย่างนะ น้าเข้ากรุงเทพมาตั้งแต่ถ่ายบัตรประชาชนใหม่ ๆ เป็นคนงานก่อสร้างเป็นกรรมกร เป็นคนงานในโรงงานเข้ากะออกกะ เดือนหนึ่งได้นอนกลางวันบ้างกลางคืนบ้าง เป็นแม่บ้านตามออฟฟิศสูงบนตึกห้าหกสิบชั้น แต่แล้วเป็นไง สิ้นเดือนมาน้าไม่รู้ว่าเงินทองมันหายไปไหนหมด มันหมดไปกับค่าอะไรบ้างก็ไม่รู้ แต่พอน้ามาอยู่ที่นี่ น้ามีเงินเหลือเก็บ ได้กินอิ่มนอนหลับทำงานในร่มเบา ๆ ไม่ต้องเดินทางไปไหนอย่างเร่งรีบ”

“แต่บัวยังไม่อยากจมอยู่ที่นี่ ถ้าบัวต้องออกมาจากบ้านตากฟ้า บัวก็หวังที่จะเป็นอย่างกาหลงนะน้า ได้มีโอกาสเห็นโลก เห็นคน เห็นสังคมที่มันไม่ใช่บ้านนอกบ้าง”

“เปล่าประโยชน์สายบัว เธออยู่ที่นี่เพื่อหาโอกาสให้กับตัวเองเถอะ น้าวางแผนชีวิตของเธอไว้แล้วนะ”

“แผนชีวิต” หลานสาวเอ่ยออกมาเบา ๆ

“เธอจะต้องเรียนต่อให้จบ ม 6 หลังจากนั้น เธอต้องเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย หรือวิทยาลัยสักแห่ง รู้ไหมน้าอยากทำงานอะไรที่สุดในชีวิต น้าอยากเป็นสาวออฟฟิศได้แต่งตัวสวย ๆ นุ่งกระโปรงสั้น ๆ มีหน้าผุดผาดเปื้อนเครื่องสำอางไปทำงาน หรือได้มีเพื่อนแต่งตัวสวย ๆ กรี๊ดกร๊าดด้วยกัน แต่น้าก็เป็นอย่างที่น้าฝันไว้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เธอต้องเป็นตัวแทนความฝันของน้า”

“แต่บัวไม่อยากเป็นคนใช้เขานะน้า บัวจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน บัวจะบอกคนที่บ้านตากฟ้าว่าอย่างไร”

“ไม่มีใครเขาสนใจใครจริง ๆ จัง ๆ หรอกบัว เราแค่เป็นคนใช้เขาเท่านั้น บางบ้านเข้าเมืองมาไปได้ดิบได้ดีมีเงินไปปลูกบ้านช่องใหญ่โต นั่นเอาตัวเข้าแลกมาด้วยซ้ำ พอมีเงินแล้วคนมันก็ลืมไปเอง”

“แต่บัวไม่อยากเป็นคนใช้” คนเป็นหลานทำท่าจะร้องไห้

“ไปเข้าบ้าน ค่อย ๆ คุยกัน อย่าคิดอะไรมาก และก็เก็บอาการเด๋อด๋านี่ด้วย”

คนเป็นน้าตัดบทสนทนา ก่อนจะเอื้อมมือไปผลักประตู แล้วใช้มือข้างนั้นมาจับแขนของหลานสาวที่ยังดูกริ่งเกรงกับก้าวข้างหน้า สายบัวมองกลับไปยังท้องถนนที่รถวิ่งไปมา เธอมองเห็นพยัพแดดยามบ่าย มองเห็นฝุ่นควัน มองเห็นท้องฟ้าที่มีตึกสูงใหญ่อยู่ลิบ ๆ ชีวิตของเธอกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน


เมื่อผ่านพ้นประตูอัลลอยด์ขนาดใหญ่แล้ว สายบัวแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง มันไม่ใช่บ้านอย่างที่เธอเคยเห็น แต่มันโอ่อ่ากว้างขวางประหนึ่งพระราชวัง ด้วยถนนที่ปูด้วยอิฐสวยงามยาวคดโค้งผ่านสนามหญ้าสีเขียวรายล้อมน้ำพุตุ๊กตาปูนปั้นและดงดอกไม้นานาพรรณไปหยุดที่ขั้นบันไดหินอ่อนสีขาวซึ่งทอดขึ้นสู่ประตูไม้แกะสลักบานใหญ่ ในกรอบเสาโรมันมีจั่วแบบบ้านของฝรั่งที่เธอเคยเห็นในหนังสือท่องเที่ยวจากห้องสมุดโรงเรียน

“เห็นไหม มันน่าอยู่ไหมล่ะ ดีกว่าไปอยู่กับกาหลงเป็นไหน ๆ ที่นี่นะ มีเรื่องให้เธอตื่นเต้น มากกว่าโรงงานอย่างแน่นอน น้ารับรอง” ว่าแล้วคนเป็นน้าก็ดึงแขนข้างที่ไม่ได้ถือกระเป๋าใบละไม่กี่ร้อยบาทของหลานสาว ให้เดินตามเลาะริมรั้วมาเสียอีกทาง

“ทางนั้นสำหรับ คุณ ๆ เขา ส่วนพวกเรา” น้าดาวเรือง คงจะกลืนคำว่า ‘คนใช้’ ไว้

“ต้องเข้า-ออกบ้านทางนี้”

นี่แหละคือสิ่งที่ สายบัวรู้สึกว่า เธอต้องทนไม่ได้แน่

ไย คนต้องมีชนชั้น
ไย จะต้องให้ เขามาแบ่งชนชั้น

เหมือนน้าเธอจะรู้วาระจิต

“เมื่อก่อนน้าก็คิดว่าทำไมต้องมาเป็นคนใช้ พอได้ไปท่องโลกแล้วจึงรู้ว่า อยู่ตรงไหน ก็มีชนชั้น เพราะเราจนไง”

“ถ้าอยู่บ้านเราก็ไม่ต้อง” คนเป็นหลานยังเสนอความคิดของตนเองออกมาอย่างไม่ลดละ

“หยุดพูดเรื่องบ้านได้แล้ว มาจนถึงที่นี่แล้ว เธอต้องทำใจยอมรับความจริง และก็ปรับตัวให้เข้ากับสภาพของที่นี่” น้ำเสียงของน้าดาวเรืองแข็งขึ้น

เอาเถอะ เมื่ออยู่ไม่ได้ สายบัวก็อุ่นใจว่า เธอมีเบอร์โทรศัพท์ของกาหลง เธอมีที่หมาย เธอจะกลัวอะไร ชีวิตเป็นของเธอ ไม่ใช่ของน้าสักหน่อย น้าก็แค่น้องสาวแม่ จะมาบังคับเธอเหมือนตากับยายไม่ได้หรอก เพราะบุญคุณนั้น ถือว่าน้อยมาก ก็แค่เสื้อผ้า กับอาหารดี ๆ ซึ่ง นาน ๆ จะมีครั้ง


บ้านหลังที่น้าที่ดาวเรืองพาเข้าไปเป็นบ้านหลังเล็กกว่าบ้านซึ่งอยู่ตรงกลางของเนื้อที่ แต่ความสวยและความกว้างใหญ่นั้นเป็นรองอยู่เพียงเล็กน้อย เมื่อไปถึงห้องพักที่เป็นอาคารชั้นเดียวแยกออกมาจากตัวตึกใหญ่ น้าดาวเรืองก็รีบอาบน้ำและเปลี่ยนชุดเป็นชุดกระโปรงทรงสอบคลุมเข่าและเสื้อสีเขียวคอปกผ่าอกกระดุมห้าเม็ดเข้าชุดกัน เป็นชุดทำงานประจำบ้าน เมื่อแต่งตัวเสร็จน้าดาวเรืองก็ลากเธอให้เดินตามมาที่ตึกหลังใหญ่ พอถึงพื้นประตูเข้าทางด้านหลัง น้าดาวเรืองก็จับให้เธอเดินเข่าเข้าไปที่หน้าเก้าอี้มุกชุดใหญ่

“สายบัว หลานสาวของดิฉัน ที่ได้บอกไว้”

สายบัว ซึ่งอยู่ในชุดกางเกงยีนสีเข้มเสื้อยืดสีขาวมีลายการ์ตูนสีชมพูนั่งพับเพียบยกมือพนมระหว่างอกแล้วค้อมศีรษะลง ก่อนจะวางมือไว้ที่หัวเข่าอย่างเกร็งจัดทีเดียว

คนที่เป็นเจ้าของบ้านมองหน้าเพ่งพิศจนคนถูกมองต้องหลบสายตา แล้วก็หันไปหาผู้หญิงที่ดูด้อยกว่าทั้งเสื้อผ้าและราศี ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตรงมุมของห้อง

“ฝากคุณชวนชมด้วยละกัน ท่าทางพอจะสอนได้”
คุณชวนชมเองก็มีใบหน้านิ่ง ๆ ไว้ท่าไม่แพ้คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะมุกตัวใหญ่

“ชื่อสายบัว ใช่ไหม ดูบ้านนอกดี อย่างไรอยู่ที่นี่ก็ต้องฟังคำสั่งและกฎระเบียบของที่นี่ ฉันคงไม่ได้พูดอะไรกับเธอมาก แต่คนที่เป็นใหญ่ในบ้านหลังนี้รองจากฉันก็คือคุณชวนชม”

สายบัวทนฟังอะไรต่อมิอะไร แบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ก็เธอสนใจอยู่กับ เครื่องตกแต่งบ้าน ซึ่งประดุจเดียวกับบ้านพวกผู้ดีในโทรทัศน์ เธอฝันไปหรือเปล่านี่

เมื่อคนเป็นใหญ่ในบ้านเดินเชิดหน้าออกไปแล้ว น้าดาวเรือง ก็ให้หันหน้าเข้าหาคุณชวนชม

“รูปร่างดี แต่ผิวคล้ำไปนิด ไม่ใช่คนสวย แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่นัก ระวังตัวหน่อยแล้วกัน”

“ค่ะ” น้าดาวเรืองรับคำแทนหลานสาวที่ยังใช้สายตากวาดไปทั่วบริเวณห้องโถงใหญ่

“ให้อยู่กับเธอ ให้ช่วยงานของเธอไปก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที”


ตอนบ่ายวันนั้น ด้วยเดินทางมาไกล สายบัวจึงขอหลับในห้องสี่เหลี่ยมมีพัดลมเพดาน มีเครื่องนอนหนานุ่มและหอมกรุ่นด้วยความสุขใจ

“ต๊าย จะมานั่ง ๆ นอน ๆ ไม่ได้นะ แม่ดาวเรือง คนใช้เหมือนกันไม่ใช่รึ”

“แต่เด็กมันเพิ่งจะมาน่ะพี่ ปล่อยไปสักวัน”

“คุณชวนชมรู้เข้า เดี๋ยวได้เอ็ดเอาหรอก”

“พี่ก็อย่าบอกซิ”

สายบัวรู้ว่าเป็นเรื่องของตน เป็นคนใช้ เธอจะต้องทำอย่างไรบ้าง และอนาคตของเธอจะเป็นอย่างไร สูงสุดก็เป็นได้แค่คุณชวนชม เป็นคุณแม่บ้าน ดูแลพวกคนใช้ต่อ ๆ ไปอีกที คับแคบ และน่ารำคาญเสียจริง น้าดาวเรืองทนอยู่ได้อย่างไร พอตื่นขึ้นมา อารมณ์ของสายบัวขุ่นในทันที ทนเอาสักพัก ปรับตัวได้ เธอจะไปอยู่กับกาหลง

เกือบสองทุ่มที่น้าดาวเรืองมาเรียกสายบัวออกไปร่วมวงกินข้าวและแนะนำให้รู้จักเพื่อนคนงานด้วยกัน สายบัวยกมือทำความเคารพ

ป้าละเอียด คนร่างอ้วนสมกับเป็นแม่ครัวใหญ่

ลุงสะอาด คนตัวเล็กผอมเกร็งผู้เป็นคนขับรถประจำตัวคุณผู้หญิง

คนถัดมาก็คือ กระแต ซึ่งน้าดาวเรืองบอกว่า คงจะรุ่นราวคราวเดียวกันและกระแตก็คือ ญาติทางสายลุงสะอาด เพราะกระแต น้าดาวเรืองจึงได้รู้จักเรื่องการเรียนต่อชั้นมอหกกับศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน

“กระแต ฝากสายบัวด้วยนะ เรื่องเรียนต่อที่ กศน. อะไรนั่น พี่อยากให้มันมีความรู้เอาไว้เลี้ยงตัวเอง เพราะพ่อแม่มันก็ไม่มี” กระแตยิ้มกว้างแล้วก็พูดเรื่องที่ทำให้สายบัวสบายใจขึ้นมาบ้าง

“มีพ่อแม่ก็ใช่ว่าจะเลี้ยงลูก พี่ดาวเรืองดูหนูเป็นตัวอย่าง หากินงก ๆ”

“ดีแค่ไหนแล้วนังกระแตที่ยังมีพ่อมีแม่ บางคนพ่อแม่ตายห่าตายเหว ดีไม่ดีทิ้งลูกไว้ข้างถนนอีก” ป้าละเอียดแสดงความคิดเห็นมาขวางลำ

“จ๊ะ จ๊ะ พ่อแม่มีบุญคุณ นังกระแตถึงต้องทำงานงก ๆ ส่งเสียตอบแทนบุญคุณอยู่นี่ไง ทำงานอยากเก็บเงินไว้ซื้ออะไรดี ๆ ใช้เองบ้างก็ไม่ได้หรอก พอเงินเดือนออก ก็ไปแล้ว” น้ำเสียงนั้นคล้ายน้อยใจ

“เขาก็เก็บกลับไปปลูกบ้านปลูกช่องให้เองนะ เป็นไงล่ะพอกลับไปบ้านเอ็งไม่ชื่นใจรึที่มีบ้านช่องดูดีกว่าคนแถวนั้น”

เมื่อเห็นหน้ากระแต สายบัวรู้สึกสนุกขึ้นมาบ้าง หลังอาหารมื้อนั้น สายบัวไปล้างจานอยู่กับกระแต

“คนบนเรือนไม่มีใครกินข้าวเย็นกันรึ”

“ถ้าอยู่ก็กิน เอ้ย เรียกว่ารับประทานนะ ต่อไปเธอต้องรู้จักใช้คำพูดให้ดูเป็นผู้ลากมากดี รู้ไหม”

โทสะกรุ่นขึ้นในใจสายบัวทันทีเช่นกัน ผิดด้วยรึที่เธอใช้คำว่ากิน ถ้าใช้คำว่า กินไม่ได้ คนที่บ้านเธอก็เป็นผู้ร้ายกันหมดนะซิ แม่กระแตนี่ก็อีกคน ทำไมต้องให้ใครต่อใครมาจูงจมูกด้วย

“จบชั้น ม.3 มา ดีกว่าฉันนะสายบัว ฉันแค่ ป.6 นี่ยังเรียนต่อชั้น ม. ต้น อยู่เลย ฉันกะไว้นะ ถ้าจบ ม.ปลายแล้ว ฉันจะออกจากที่นี่ไปหางานอื่นทำ”

“แล้วเธออยากทำงานอะไรรึ”

“ฉันน่ะ ก็พวกงานธุรการตามสำนักงาน งานเบา ๆ ใช้สมองดูมีเกียรติมากกว่าใช้กำลังอย่างนี้นะซิ”

“ไม่สนใจงานในโรงงานบ้างรึ”

“สนใจอยู่ แต่เข้ากรุงเทพมาก็มาจมอยู่ตรงนี้เสียแล้ว ถึงมันได้เงินน้อยกว่าโรงงานนะสายบัว แต่มันก็มีเหลือเก็บเพราะเราแทบไม่ต้องใช้จ่ายอะไรเลย”

สายบัวนิ่งฟังกระแตเล่าเรื่องอดีตของตน พ่อแม่และบ้านที่อีสานกับความแร้นแค้น เรื่องโรงเรียนและความฝัน สายบัวไม่ได้สนใจฟังมากนัก เธอคิดแต่ว่าจะหาวิธีไปจากที่นี่ได้อย่างไร เธอไม่ต้องการเป็นคนใช้ น้าดาวเรืองยังอายที่จะบอกใคร ๆ ว่าตัวเองเป็นคนใช้ แล้วเธอล่ะ เธอก็อาย อยู่ที่บ้าน ตากับยายทำให้เธอถูกนับน้าถือตา ตามีที่ไร่เป็นร้อยไร่ แบ่งให้เขาเช่า ส่วนของเธอที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ก็มี อยู่ที่บ้านไปทางไหน คนยกย่องว่าเป็นผู้มีอันจะกิน แล้วเธอจะบอกกับเพื่อนที่ตากฟ้าว่าอย่างไร

“แล้วคนบ้านโน้น” สายบัวมองไปที่ในบ้านคนงานอีกหลัง

“โอ๊ะ อย่าไปสนใจเขาเลย คนละฝ่ายกัน อยู่ ๆ ไปเดี๋ยวเธอก็รู้เองแหละ เดี๋ยวน้าเธอก็คงบอกเล่าเอง อย่าให้รู้จากปากฉันเลย ฉันไม่อยากถูกคุณชวนชมดุว่าปากมาก”

“ความลับเยอะจัง” น้ำเสียงบอกให้รู้ว่ารำคาญ



แล้วคืนนั้น น้าดาวเรืองก็เล่าให้รู้เพิ่มเติม

“บ้านหลังนี้เป็นของ คุณจารุวรรณ เธอเป็นเมียน้อย มีลูกด้วยกันสองคน คือคุณอารักษ์ กับคุณอาภัสวรรณ คุณอารักษ์ อายุประมาณสิบเก้ายี่สิบ เที่ยวเก่งไม่สนใจเล่าเรียน ไม่ได้พักอยู่ที่นี่เป็นเรื่องเป็นราวได้ข่าวว่าอ้อนไปอยู่คอนโด ส่วนคุณ อาภัสวรรณ ก็คงแก่กว่าเธอนิดหน่อย อยู่โรงเรียนประจำ นานทีจึงจะได้กลับบ้าน เรื่องข้างบนเป็นเรื่องที่ต้องห้าม เรามีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไป ไม่ต้องไปสนใจ ส่วนบ้านหลังใหญ่ เป็นบ้านเมียหลวง ชื่อคุณศิรินทิพย์ คุณแม่บ้านก็คือคุณนันทพร บ้านนั้นเขาค่อนข้างจะเป็นผู้ดี เขาถือตัวว่าเป็นผู้ดีเก่า แถมเป็นหลวงเขาก็ดูแคลนคนบ้านนี้”

“ก็สมควรแล้วนี่น้า”

พูดจบ คนเป็นน้าถลึงตาใส่ทันทีแล้วก็ใช้มือมาจุ๊ปาก บอกอาการให้รู้ว่าให้สงบปากสงบคำเดี๋ยวนี้

“แล้วผัวเขาล่ะ” หลานสาวยังไม่คลายสงสัย

“คุณหมอกมล คุณท่านเจ้าชู้ นาน ๆ ทีหรอก จะได้มาที่นี่ และก็นานทีเหมือนกันที่จะไปนอนค้างที่บ้านใหญ่ คนมีหลายบ้าน”

“แล้วลูก ๆ เขา”

“แยกเรือนไปแล้วสอง เหลือแต่คนเล็กเรียนอยู่ไหนก็ไม่รู้”

“เขารวยอะไรกันล่ะน้า”

“เจ้าของโรงพยาบาล ค่ารักษาแพงมหาโหด แล้วจะไม่รวยได้อย่างไร”

“น้า บัว ไม่อยากอยู่ที่นี่” สายบัวบอกความจริงจากใจ

“อยู่ไปก่อน ความรู้แค่ ม.3 จะทำอะไรได้ ไปเรียนให้จบหก แล้วก็ไปหาเรียนต่อวันเสาร์อาทิตย์ หรือไม่ก็ไปเรียนราม หรือ มสธ. หลังจากนั้นก็ค่อยว่ากัน ฉันต้องพูดเรื่องนี้กับเธออีกกี่ครั้งนะ เธอถึงจะเข้าใจ” แล้วน้าดาวเรืองก็ถอนหายใจออกมา สีหน้าบ่งบอกว่าเหน็ดเหนื่อยใจกับการต้องพูดเรื่องเดิม ๆ

“ทำไม น้าไม่กลับไปอยู่ที่บ้านเรา อยู่ที่โน่น” สายบัวเองก็พยายามพูดให้น้ารู้ถึงความคิดของตนในด้านลบเกี่ยวกับอาชีพที่น้าทำอยู่

“ชิน เธออยู่ต่อไปคงจะชินเหมือนกัน เคยอยู่ในร่มเป็นสิบ ๆ ปี จะให้ไปตากแดด ตัดข้าวฟ่าง หักข้าวโพด ดายหญ้าอย่างสมัยสาว ๆ เห็นทีจะไม่ไหว เธอเองก็เหมือนกัน สายบัว มาอยู่ที่นี่แล้ว อย่าได้คิดหันหลังกลับไปอีกเลย เธอต้องเรียนหนังสือ ต้องทำงานที่ดีกว่าที่น้าเป็น ดีกว่าที่กาหลงทำให้ได้ เธอยังเด็กยังมีเวลาแสวงหาโอกาสใส่ตัว”

“โอกาส”

สายบัวค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา

เธอต้องดีกว่าที่น้าเป็น เธอเป็นใคร?

เด็กผู้หญิง ตัวคนเดียวจริง ๆ พ่อแม่พี่น้องก็ไม่มี ตากับยายผู้เป็นที่พึ่งพิงให้อุ่นใจ ก็มาตายจากในเวลาที่ไม่ห่างกันนัก มีสมบัติเป็นที่ไร่ของแม่และพ่อที่ทิ้งไว้ 30 ไร่ กับเงินฝากในธนาคารของตากับยาย ที่ป้าและน้าตัดสินใจยกให้ 50,000 บาท ลำพังถ้าไม่มีผัวเป็นคนแถวนั้นเธอก็คงไม่มีปัญญาจะทำมันให้งอกเงยขึ้นมา

ชีวิตที่มันหาหนทางดี ๆ ไม่พบเป็นเช่นนี้เอง เมื่อเรียนจบชั้นมัธยม 3 เธอไม่ปรารถนาไปเรียนต่อในชั้นสูงขึ้น ด้วยรู้สติกำลังปัญญาของตน และก็รู้ว่าเหลือเวลาเพียงน้อยนิดที่จะตอบแทนคุณตากับยาย ถ้าไม่ได้ท่านทั้งสองเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน ป่านฉะนี้ เธออาจจะมีลูกมีผัว เหมือนเช่น เพื่อนสาวในวัยเดียวกัน


น้าหลับไปแล้ว แต่สายบัวยังนอนกระสับกระส่าย ด้วยหลับในตอนเย็น ด้วยเสียงอื้ออึงของรถที่ดังลอดกำแพงหนาและสูงเข้ามา และด้วยคิดถึงภาพของหมอชายที่ยังตรึงอยู่ในหัวใจ วันที่ตาเจ็บอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐในอำเภอตากฟ้า เธอทำหน้าที่เฝ้าไข้ทั้งวันทั้งคืน

วันกับคืนที่ล่วงผ่าน เธอได้พบกับเขา หมอหนุ่มน้อย หน้าตาพิมพ์เข้าไปในหัวใจ สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด หลงใหล เก็บไปเพ้อฝัน ในคราวที่ใจหนึ่งยื้อยึดตาไว้ให้อยู่บนโลกใบนี้ไปนาน ๆ แต่อีกใจหนึ่ง ก็บอกว่า เพื่อที่จะได้เห็นหน้าคุณหมอสุดหล่อ

‘หมอโกมุท’ ผู้มีรอยยิ้มที่มุมปากนิด ๆ ผู้มีผมเส้นละเอียดปกหน้าผาก แววตาเอื้ออารีกับทุกผู้คนที่อยู่ตรงหน้า ท่าเดินที่สง่าผ่าเผย อกผายไหลผึ่ง น่าพึ่งพิง

ใจดวงน้อย ๆ ของเธอ ไม่เคยเป็นอย่างนี้กับชายใดมาก่อน มันเป็นครั้งแรกที่เธอรู้จักความรัก กินไม่ได้นอนไม่หลับ อานุภาพของมันประหนึ่งถูกหนามแหลมปักฝังเนื้อไว้

สายตาของเธอจับอยู่ที่อิริยาบถของเขา ยามย่างเยื้องกรายไปมาอยู่ในห้องผู้ป่วยอายุรกรรม เขาเหมือนเทวดาที่ลงมาโปรดคนยาก ภาพที่เขากำลังปฏิบัติต่อคนไข้ทำให้สายบัวรู้สึกอบอุ่นใจและรู้สึกห่อเหี่ยวสิ้นเรี่ยวแรงในคราวเดียวกัน

เมื่อวันที่ป้าและลุงมารับศพของตาออกจากโรงพยาบาล เธอรู้แล้วว่าหมดหวัง หมอคนนั้นกับเธอมันไกลจนใจสุดหยั่งถึงอุปสรรค สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ ‘ทำใจ’

เมื่อศพของตาวางอยู่หน้าเตาเผา เธอร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจตาย ร้อง..ให้กับความโหดร้ายของชีวิต นี่กระมังที่เรียกว่า หัวเดียวกระเทียมลีบ

เมื่อสิ้น ‘พ่อแม่’ เธอยังจำความไม่ได้ รู้แต่ว่าเป็นอุบัติเหตุด้วยอาชีพของพ่อ เพราะรถบรรทุก

เมื่อสิ้น ‘ยาย’ มันกระทันหันไม่ทันได้ทำใจ

พอถึง ‘ตา’ เธอมีเวลาทำใจอยู่นานคิดสะระตะร้อยแปดว่าจะลิขิตตัวเองไปทางไหน แต่เขาคนนั้นต่างหาก ทำให้เธอทุกข์ตรมทับทวี หัวใจของเธออยู่ที่โรงพยาบาล เธอต้องหาวิธีกลับไปที่โรงพยาบาล เป็นแค่คนทำความสะอาด หรือไม่ก็เป็นแม่ค้าขายของเดินป้วนเปี้ยนในตึกนั้น ขอให้ได้แค่เห็นหน้า ขอให้คุณหมอได้อยู่ในสายตา เธอขอแค่นี้

วันนี้เธอเดินมาไกลเกินเดินกลับไปนั่งอยู่หน้าห้องผู้ป่วย แล้วก็ดูหมอหนุ่มเดินผ่านไปผ่านมา เพราะน้าดาวเรืองคนเดียว แต่เหตุผลมันก็มากพอจนเธอต้องตัดใจเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าใบสีเขียวซึ่งได้เป็นของแถมตอนปีใหม่จากธนาคารออมสิน

‘ป้าเขาไม่สบายใจ’

ก็ลุง ผัวของป้าจำปาคิดทำตัวเป็นสมภารกินไก่วัด ปลอดภัยรึ อีกอย่างน้าดาวเรืองก็อ้างว่า อยากให้เธอได้เรียนต่อจะได้มีความรู้เลี้ยงตัวเอง ทันโลก ทันร้อยเล่ห์ของคนด้วยกัน

เธออ้างว่า อยากไปทำงานในโรงงานกับกาหลง เพราะกาหลงกลับบ้านมาครั้งใด จะมีเรื่องเล่าให้ชวนสนุกตื่นเต้น

‘ฉันก็อยากไปนะกาหลงแต่ติดที่ตากับยายแกก็รู้นี่’

‘จ้ะ ๆ แม่คนกตัญญูกตเวทิตา แต่แกอย่าลืมว่าที่นี่มีป้าแกก็ยังอยู่ทั้งคน พ่อแม่ของเขา เขาคงไม่ปล่อยทิ้งปล่อยขว้างหรอก แต่ชีวิตของแกนะสายบัว ยิ่งอายุมากขึ้น ๆ แกก็จะยิ่งหมดโอกาสพบเจอผู้คน ยิ่งถ้าแกอยู่อย่างนี้แล้วเผลอไผลหัวใจไปกับคนแถว ๆ นี้ แกก็จะเหมือนกบอยู่ในกะลาครอบ กว่าตากับยายแกจะตาย พอดีแกก็กลายเป็นกบแก่ ๆ หมดแรงกระโดด โลกข้างนอกมันสวยนะโว้ย ดูฉันสิ’

สายบัวเพ่งพิศเด็กเคยขี้ริ้วขี้เหร่สุดของห้องเรียน ซึ่งวันนี้มันตรงกันข้ามทุกอย่าง

‘แกไปทำงาน แล้วก็ส่งเงินมาให้ตากับยายซื้อนั่นซื้อนี่ดี ๆ กิน ก็ถือว่ายังกตัญญูเหมือนเดิม’

ใจของเธอไขว้เขวไปกับคำของกาหลง แต่เมื่อคิดทิ้งตากับยายไปเพื่ออนาคต คำพระที่เธอเคยได้ยินก็แล่นเข้ามาในความรู้สึก


บุคคลหาได้ยาก กตัญญู

เคารพนบคุณครู พ่อแม่

จักตกถิ่นฐานใด ไม่อับ

จริงเจริญแน่แท้ อยากได้ ทำเอง

วันนี้เมื่อมีโอกาสเลือกทางเดิน เธอก็อยากทำตามใจตัวเอง
อยากไปในที่ใจเคยโลดแล่นนำลิ่วเพราะชีวิตของเธอเคยได้ยินแต่ว่าที่โรงงานมันจะพาชีวิตของเธอให้สูงขึ้น ๆ

‘อย่าเลย เธอยังเด็กนัก ไปอยู่กับกาหลงมันอิสระก็จริงแต่ทำงานสายตัวแทบขาดเลยนะ’ น้าดาวเรืองปลอบประโลม

‘ไปอยู่กับน้าเขา ไม่ดีก็ค่อยว่ากัน’ ป้าเธอพูดแกมบังคับสนับสนุน


สายบัวพลิกตัวอีกครั้ง คราวนี้คิดถึงตากับยาย ค่ำคืนแบบนี้ ตั้งแต่เล็กทีเดียว เธอจะได้ยินเสียงพร่ำสวดมนต์ทั้งแบบบาลีและแบบทำนองสรภัญญะ มันเป็นบทเห่กล่อมถ้อยคำธรรมะ ที่ทำให้เธอหลับฝันดีเกือบทุกคืน แต่คืนนี้ ตากับยายจะไปนอนที่ไหน ที่นอนหลังนั้น ที่มีกลิ่นยาดม ยาหม่องและยานัตถุ์ อบอวลกับกับกลิ่นน้ำมันเขียวคลายปวดเมื่อย

‘เผามันไปเถอะ ใช้มา 30 ปีแล้ว ตายไล่เลี่ยกันอย่างนี้ด้วยยิ่งไม่ดี’ ป้าจำปีก็เอาแต่อารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่อยู่เสมอแล้วน้ำตาของสายบัวก็ไหลออกมา

‘สายบัวเอ๊ย นวดให้ยายหน่อยเถอะ’ กลางคืนดึกดื่นเธอเคยนวดเฟ้นแข้งขาให้ยายคลายเมื่อยปวด เมื่อยายสิ้น ตาก็เหมือนรู้ว่าจะอยู่กับเธออีกไม่เท่าไหร่

‘สายบัวเอ้ย ตาไม่อยู่ดูแลตัวเองให้ดี ๆ นะลูก เป็นผู้หญิงอย่าให้ใครมาหมิ่นเอาได้นะลูก ให้รักนวลสงวนตัว อย่าเอาอารมณ์นำทางชีวิต มีอะไรก็ให้ใช้สติปัญญา ใช้ธรรมะที่ได้ยินได้ฟังมาช่วยตัดสินใจ ยายก็ไปดีแล้ว เหลือแต่ตาที่จะอยู่ดูเอ็งได้กี่วันก็ไม่รู้ จะคบหากับใคร ก็มองดูกำพืดของมันด้วย ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นนักหรอก’ สายบัวรู้ว่าตาหมายถึง นายดิน หรือดนุสรณ์ ลูกชายคนเล็กของผู้ใหญ่บ้าน พ่อเขาเจ้าชู้ ขี้โอ่ ปากอย่างใจอย่าง เอาแต่ประโยชน์ตน มีหน้าที่แต่ไม่ค่อยได้ทำหน้าที่ จึงเป็นที่รังเกียจของคนบางคนในหมู่บ้าน

สายบัวไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งของตา แต่ความรู้สึกที่มีให้ ‘ดิน’ คนที่รู้จักกันตั้งแต่ชั้นอนุบาลนั้นได้เพียงคำว่า เพื่อนเท่านั้น

แต่สำหรับดิน ‘บัวจะเป็นคนพิเศษของดินตลอดไป’

เขาเข้ามาขอความรัก ให้เธอรักษาเนื้อรักษาตัวเพื่อรอให้เขาเรียนจบ ตอนนั้นเธอมองว่าเป็นเรื่องตลก อายุแค่สิบห้าสิบหกปี กว่าจะเรียนจบชั้นมอหกถึงขึ้นปริญญาตรี จนได้ทำงานเป็นเจ้าคนนายคนตามความตั้งใจของผู้ใหญ่บ้านผู้พ่อของเขา การรับรักแล้วรอคอยจะมีความหมายอะไร

‘อย่ามาผูกมัดกับผู้หญิงอย่างบัวเลยดิน ชีวิตของดินต้องก้าวไปข้างหน้า แต่บัวนั้นมันย่ำอยู่กับที่ ดีไม่ดีอาจถอยหลังลงคลอง อีกอย่างชีวิตของบัวมันไม่ใช่ของบัวทั้งหมด มีชีวิตของตาของยายซึ่งบัวจะต้องตอบแทนดูแลจนตายจากกันไป’

‘ตาของบัวไม่ชอบพ่อของดิน มันคนละคนนะบัว’ ตัวดินคงรู้อยู่บ้างว่า ผู้ใหญ่ของเธอคิดอย่างไรกับเขา

‘บัวรู้ว่ามันคนละคน แต่บัวคิดว่า เราเป็นเพื่อนกันไปอย่างนี้ดีแล้ว เผลอๆ พูดกันมึง ๆ กู ๆ เหมือนตอนที่เราเรียนประถมก็ได้’

‘แต่’

‘ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ใจดินเถอะ บัวย่ำอยู่กับที่ ดินมีแต่ก้าวไปข้างหน้า ไปเจอผู้คนมากมาย ถ้าวันหนึ่งดินยังมั่นคงอย่างที่ดินพูด วันนั้นค่อยมาคุยกันอีกที’

‘บัวไม่เคยมีดินอยู่ในหัวใจเลยเหรอ แล้วที่ผ่านมามันคืออะไร บัวก็ไม่มีใคร แล้วทำไมบัวเปิดใจรับดินไม่ได้’

‘อย่าพูดวกวน เราน่าจะคุยกันรู้เรื่องนะ’

‘รึบัวมีใคร’

‘จบ’

ดินจากไปเรียนต่อในเมืองด้วยทีท่าหงอยเหงา สำหรับเธอนั้นมันโล่งอก และรู้สึกดีใจที่ได้ทำตามใจตัวเอง ตราบใดที่หัวใจบอกว่า ‘ไม่ใช่’ เธอก็จะไม่แต่งงาน

แต่สุดท้าย คงเป็นเวรกรรมที่ทำให้ดินต้องเป็นทุกข์ แล้ววันหนึ่งเธอก็ได้พบคนที่หัวใจบอกว่า ‘ใช่’

ดินนั้นยังได้บอกสารภาพความในใจออกมา แต่สำหรับเธอเอง มันอัดอั้นในหัวอก

ยิ่งเดินทางมาไกลเท่าไหร่ เธอก็ไกลหัวใจเธอเท่านั้น



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2554, 14:14:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2554, 14:14:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 3414





   ตอน 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account