หลงบ่วงวิวาห์(จบจ้า)
วิวาห์พาหัวใจทั้งสองดวง
ให้หลงบ่วงสู่ห้วงแห่งรัก
ก่อเกิดเป็นวิมานร่วมทอถัก
สายใยรักปักลงกลางทรวง
ให้หลงบ่วงสู่ห้วงแห่งรัก
ก่อเกิดเป็นวิมานร่วมทอถัก
สายใยรักปักลงกลางทรวง
Tags: รักโรแมนติก
ตอน: ตอนที่ 1ก่อนเริ่มวิวาห์
กราบแทบอกคุณผู้อ่านที่น่ารัก
พบกันอีกครั้งกับเรื่องใหม่ หลงบ่วงวิวาห์ ค่ะ
เรื่องราวความรักระหว่าง ภูธนิกกับจิรัชยา
มาครั้งนี้กระต่ายขอนำเสนอพระเอก
ที่อยากจะรักกับเมียใจแทบขาดแต่ฟอร์มพี่ท่านเยอะเสียเหลือเกิน ฮ่าๆ
ไม่รู้ว่าจะถูกใจกันหรือเปล่าแต่ยังไงก็ขอฝากเอาไว้อีกสักเรื่องก็แล้วกันค่ะ
ปล. ตอนแรกๆจะสั้นหน่อยเพราะเพิ่งเปลี่ยนมาใช้ Word 2007(ยังไม่ชิน)
แล้วลืมตั้งค่าหน้ากระดาษ พอไปตั้งอีกทีมันเลยหดสั้นขึ้นมาเหลือแค่นี้ค่ะ อิอิ
แต่ไม่้ต้องห่วงเพราะจะมาอัพให้ตลอด ๆ เลยค่ะ
...................................................
ปี๊บๆๆ
เสียงแตรรถที่ดังมาถึงตัวบ้านทำให้ร่างบางที่กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกบนห้องนอนต้องเร่งมือก่อนจะกระวีกระวาดลงมายังชั้นล่างเพื่อเตรียมต้อนรับผู้มาเยือนในยามเช้าตรู่
จิรัชยาวิ่งผ่านธรณีประตูออกไปยังรั้วบ้านเพื่อเปิดประตูรั้วให้ผู้มาใหม่ได้เข้ามาด้านใน แต่ร่างสูงเปรียวที่ยืนพิงรถคันหรูอยู่นั้นกลับทำเพียงถอดแว่วตากันแดดสีชาของตัวเองออกแล้วปรายตามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับเห็นสิ่งประหลาด ก่อนที่คำพูดบาดหูจะเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากได้รูปคู่นั้น
“แต่งตัวอย่างนี้น่ะหรือจะออกไปเดินกับฉัน”
“หนูจ๋าแต่งแบบนี้แล้วทำไมเหรอคะพี่ภู”
หญิงสาวถามเขาก่อนจะก้มมองตัวเองซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าสีขาวสะอาดแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตที่ทอประกายใสซื่อนั้นทำให้ภูธนิกต้องถอนหายใจพรืดก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อยคล้ายกับรำคาญเมื่อคิดว่าเธอช่างไม่รู้อะไรเสียเลยหรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่
“ก็แต่งตัวอย่างกับจะไปวัดอย่างนี้ใครเขาจะอยากเดินด้วย เชยชะมัด” ประโยคท้ายชายหนุ่มสบถออกมาเล็กน้อยก่อนจะก้าวขึ้นรถโดยไม่รอเปิดประตูหรือเชื้อเชิญอีกฝ่าย
จิรัชยาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อยๆ ผ่อนมันออกมาช้าๆ แล้วเปิดประตูขึ้นไปนั่งคนละฝั่งกับเขาอย่างใจเย็นที่สุด เพราะรู้ว่าภูธนิกก็เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาไม่เคยนึกชอบสักอย่างหากว่าอะไรที่เป็นตัวเธอ
“ถ้าพี่ภูลำบากใจ ก็ไม่เห็นจะต้องมารับหนูจ๋าไปไหนด้วยเลยนี่คะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นเสียงเรียบเมื่อรถเริ่มเคลื่อนออกสู้ถนนคอนกรีตที่ปูลาดออกไปบรรจบกับถนนใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยเมตร บ้านสวนที่เงียบสงบของเธอดูจะไร้ค่าไร้ราคาเมื่อเทียบกับบ้านหลังใหญ่ของเขาที่กรุงเทพฯ และดูเหมือนว่าแม้แต่ตัวเขากับตัวของเธอเองก็ดูจะแตกต่างกันเสียเหลือเกินจนเธอมองไม่เห็นทางที่จะมาบรรจบกันได้
“ถ้าคุณแม่ไม่สั่งฉันคงไม่มา”
“พี่ภูก็แค่บอกท่านว่าจะมา แต่ไม่ต้องมาจริงๆ ก็ได้นี่คะ ยังไงถ้าท่านโทรมาถามหนูจ๋าก็ช่วยโกหกให้อยู่แล้ว พี่ภูไม่เห็นต้องลำบาก”
“นี่เธอกำลังประชดพี่เหรอหนูจ๋า”
ภูธนิกเหลียวมองหญิงสาวข้างกายเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอนั่งสงบนิ่งก็หักรถเข้าข้างทางแล้วดับเครื่องก่อนจะหันมาเค้นเธอจริงจัง
“นี่คือสิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่เหรอหนูจ๋า แล้วเรื่องอะไรจะต้องมาประชดประชันพี่ถ้าหากว่าพี่จะทำมันด้วยความไม่เต็มใจเพราะเธอเองก็รู้ว่าถึงอย่างไรเราก็ไม่มีทางรักกันได้”
“หนูจ๋าก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ พี่ภูเข้าใจผิดไปเอง หนูจ๋าไม่ได้ประชด ก็แค่หาทางออกให้พี่ภูเท่านั้นเอง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นหวังดี เพราะถ้าเธอคิดจะช่วยฉันจริงๆ ล่ะก็ เวลานี้ฉันก็คงจะไม่ต้องมาอยู่กับเธอที่นี่”
“หนูจ๋าทราบค่ะว่าพี่ภูคงจะฝืนใจกับการแต่งงานของเราในครั้งนี้มาก แต่ถ้าพี่ภูจะให้หนูจ๋ายกเลิก หนูจ๋าก็คงจะทำไม่ได้เพราะ...”
“เพราะเธอมันเห็นแก่เงินอย่างไรล่ะ”
ภูธนิกต่อให้ด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน แววตาที่เคยทอประกายอบอุ่นในวันวานยามทอดมองเธอนั้นหายไปสิ้น เวลานี้เหลือเพียงแววตาของความเกลียดชังและดูถูกเหยียดหยามอยู่เต็มเปี่ยม
“แค่ปีเดียวเท่านั้นเองไม่ใช่หรือค่ะกับการที่ต้องทนอยู่กับหนูจ๋า รับรองได้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้วหนูจ๋าจะไม่รั้งพี่ภูเอาไว้หรอกค่ะ ยังไงพี่ภูก็ได้กลับไปอยู่กับคุณมุจลินทร์แน่ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องทนอยู่กับคนที่เกลียดอย่างหนูจ๋าต่อไปหรอกค่ะ”
“รู้ตัวก็ดีแล้ว แต่ถึงเธอจะรั้งฉันเอาไว้ก็คงจะไม่ได้หรอกนะ เพราะจืดชืดอย่างเธอนี่หรือจะเอาอะไรมารั้งฉันไว้ได้ แค่แต่งตัวยังดูไม่ได้เลย”
“เลิกวิจารณ์การแต่งตัวของหนูจ๋าเสียทีเถอค่ะ หนูจ๋าจะแต่งอย่างไรมันก็เรื่องของหนูจ๋า”
“เรื่องของเธอก็ดีน่ะสิ เพราะพอแต่งงานกันแล้วฉันจะได้เก็บเธอไว้แต่กับบ้าน ไม่ต้องพาไปออกงานที่ไหนให้ต้องขายหน้าคนอื่นเขาว่านายภูธนิกไปเก็บยายเฉิ่มที่ไหนก็ไม่รู้มาทำเมีย”
จิรัชยาต้องกำหมัดแน่นเมื่อได้ฟังคำดูถูกจากปากเขาอีกครั้ง เธอรู้ว่าผู้หญิงในฝันของเขาหาใช่เธอไม่ เพราะอย่างไรก็ต้องเป็นมุจลินทร์คู่ควงคนล่าสุดที่ดูจะมาแรงแซงโค้งผู้หญิงทุกคนที่เคยผ่านมาของเขาจนคุณลัลดาถึงต้องให้เธอมาแต่งงานกับเขาเพราะกลัวเขาจะไปยกย่องมุจลินทร์ขึ้นมาเป็นสะใภ้ของท่าน
“ยายเฉิ่มอย่างหนูจ๋าก็คงจะดีกว่าคุณมุจลินทร์ของพี่ภูล่ะมั้งคะ คุณป้าลัลดาท่านถึงได้ชอบหนูจ๋ามากกว่าเมียของพี่ภู”
“อย่าคิดว่าคุณแม่เอ็นดูเธอแล้วจะมาพาดพิงถึงมุจลินทร์ได้นะ เธอไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเอาตัวเองไปเทียบกับมุจลินทร์ด้วยซ้ำเพราะเธอน่ะมันไม่ได้ครึ่งหนึ่งของมุจลินทร์หรอก”
“อะไรคะที่ว่าไม่ได้ครึ่ง หน้าตาหรือว่าอย่างอื่น”
หญิงสาวตั้งใจจะรวนเขาเพราะเหลือทนแล้วจริงๆ แต่ไม่รู้เลยว่าเพราะคำพูดที่ไม่ทันคิดของตัวเองนั้นจะทำให้อีกฝ่ายคิดไปได้ในอีกนัย
“ทั้งหน้าตาแล้วก็...อย่างอื่นที่เธอว่านั่นด้วย เพราะเดาได้ว่าจืดๆ อย่างนี้คงไร้รสชาติโดยสิ้นเชิง รับรองว่าแค่ได้ลองครั้งเดียวฉันก็ต้องเบื่อ”
เพลี้ย!
“อย่ามาหยาบคายกับหนูจ๋านะ”
สิ้นเสียงตบหญิงสาวก็แหวใส่เขาอย่างเกรี้ยวกราดซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่จิรัชยาแสดงอารมณ์ฉุนเฉี่ยวออกมาให้เขาเห็น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้โกรธได้มากเท่ากับที่เธอบังอาจมาตบหน้าเขา
“ยังไม่ได้เป็นเมียฉันด้วยซ้ำ มีสิทธิ์อะไรมาตบหน้าฉัน!”
ภูธนิกเองก็เกรี้ยวกราดไม่แพ้กัน ร่างหนาเคลื่อนเข้าไปใกล้ร่างบางก่อนจะคว้าไหล่มนแล้วกำเอาไว้แน่นจนหญิงสาวมีสีหน้าเหยเกเพราะรู้สึกเจ็บแต่เขาก็หาได้สนใจเพราะความโกรธมันอยู่เหนือทุกสิ่งในเวลานี้
“ปล่อยนะ หนูจ๋าเจ็บ!”
“ชอบรุนแรงนักไม่ใช่หรือไง ฉันจะได้บี้ให้เธอตายคามือ” พร้อมกับคำพูดชายหนุ่มก็เขย่าร่างบางเสียหัวสั่นหัวคลอน หญิงสาวก็ไม่น้อยหน้ายกมือขึ้นเตรียมตะกุยใบหน้าเขาอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะชายหนุ่มไวกว่าคว้ามือเธอเอาไว้ได้ ก็เลยกลายเป็นยื้อยุดกันไปมาในที่แคบๆ นั้น
ปี๊บๆๆ
เสียงแตรรถทำให้ทั้งสองร่างต้องชะงัก จิรัชยาจึงใช้จังหวะนั้นดันร่างหนาออกห่างทันที ก่อนจะรีบเปิดประตูลงจากรถโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะไขว่คว้าเอาไว้อย่างไร
“อ้าว...หนูจ๋า”
เสียงร้องทักคุ้นหูทำให้จิรัชยาต้องตั้งสติก่อนจะหันไปมองทางต้นเสียงแล้วต้องยิ้มอ่อนๆ เมื่อพบธีรวัชเพื่อนสนิทนั่งคร่อมอยู่บนรถจักรยานยนต์และเดาว่าเสียงแตรเมื่อครู่ก็คงจะมาจากเขา
“หนูจ๋านี่เองเราก็นึกว่าใคร รถเสียหรือเปล่าทำไมถึงจอดนิ่งอย่างนี้ล่ะ”
กระจกรถติดฟิล์มหนาทึบทำให้ธีรวัชมองไม่เห็นบุคคลที่อยู่ด้านในนอกจากเห็นรถที่จอดสนิทเขาจึงต้องบีบแตรเรียกเพราะไม่แน่ใจว่ามีคนอยู่หรือไม่ เพราะหากมีคนอยู่ก็จะได้ถามไถ่ว่าเพราะเหตุใดถึงมาจอดรถอยู่ตรงนี้เนื่องจากที่ตรงนี้มันเป็นถนนส่วนบุคคลไม่น่าจะมีรถใครมาจอดนอกจากรถที่บ้านของจิรัชยา
“เอ่อ...รถไม่ได้เป็นอะไรหรอก แล้วนี่วัชมีอะไรหรือเปล่าถึงมาหาแต่เช้าเลย”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก เราแค่จะเอาแกงสายบัวไปให้น่ะ พอดีแม่ทำไว้เต็มหม้อก็เลยตักมาให้หนูจ๋ากับหน้ารวงด้วย” ธีรวัชบอกพร้อมกับพยักเพยิดไปที่ตะกร้าหน้ารถซึ่งมีปิ่นโตวางอยู่
“ที่บ้านไม่มีใครอยู่หรอกเขาไปวัดกันหมดน่ะ แต่ยังไงก็ขอบใจนะที่อุตส่าห์เอามาฝาก แต่วันนี้หนูจ๋าคงอยู่กินแกงสายบัวไม่ได้หรอกพอดีมีธุระน่ะ”
“ธุระอะไรน่ะหนูจ๋า แล้วไปกับใครแต่เช้าเลย”
“หนูจ๋า...จะไปได้หรือยัง”
ภูธนิกรีบเปิดประตูรถออกมาร้องเรียกเพื่อเป็นการแสดงตัวเมื่อเห็นว่าจิรัชยาชักจะคุยกับเพื่อนสนิทนานเกินไปแล้ว
“อ้อ! คุณนั่นเอง” ธีรวัชเลิกสงสัยในทันทีว่าจิรัชยาจะไปธุระเรื่องอะไรและไปกับใคร ทีแรกเขาน่าจะจำรถเบนซ์คันหรูสีดำมันวาวคันนี้ได้นะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาบีบแตรเรียกให้เมื่อย
“แหม...ดีใจเหลือเกินที่คุณเพื่อนสนิทของหนูจ๋ายังจำว่าที่เจ้าบ่าวของหนูจ๋าได้”
น้ำเสียงประชดประชันนั้นทำให้จิรัชยารู้ว่าคงไม่ดีแน่ถ้าหากจะให้ภูธนิกอยู่เผชิญหน้ากับธีรวัชต่อจึงรีบตัดบทขึ้นทันที
“เอ้อ...หนูจ๋าไปก่อนนะวัช แล้วเจอกันนะ”
ร่างบางรีบก้าวขึ้นรถไปทันทีโดยมีสายตาของธีรวัชทอดมองราวกับจะตัดพ้อ และนั่นก็ไม่อาจพ้นสายตาเฉียบคมของภูธนิกได้ชายหนุ่มจึงส่งเสียงกระแอมกระไอคล้ายปราม
“อะแฮ่ม!”
“ไม่ทราบว่าอะไรติดคอหรือครับคุณว่าที่เจ้าบ่าวหนูจ๋า” ธีรวัชถามขึ้นทันควันและก็ได้รับคำตอบในทันทีเช่นกัน
“ต้นงิ้ว...”
ภูธนิกยักคิ้วให้ผู้อ่อนวัยกว่าราวกับจะยียวนก่อนจะก้าวขึ้นรถแล้วปิดประตูเสียงดังปัง แล้วธีรวัชก็เห็นรถเบนซ์คันหรูเคลื่อนออกไปจนลับตา
แกงสายบัวที่เตรียมมาก็คงเป็นหมันเพราะไม่มีใครเหลียวแลมัน ดังเช่นตัวเขาที่คงจะถูกลืมเลือนแม้ว่าจะอยู่ใกล้เธอเพียงแค่เอื้อมก็ตาม
“คิดอะไรกับไอ้หมอนั่น”
“หมอไหนคะ?”
จิรัชยาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับคำถามของเขาขณะนั่งรับประทานอาหารอยู่ด้วยกัน ณ ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากบ้านสวนของเธอไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าท่าทีไม่สนใจของเธอนั้นจะสร้างไฟอารมณ์ของเขาให้คุกรุ่นเพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตาคมก็เห็นมันลุกโรจน์ราวกับกองเพลิง
“ก็แค่เพื่อนสนิทเท่านั้นล่ะค่ะ” หญิงสาวต้องอุบอิบตอบเขาอย่างเสียไม่ได้เพราะรู้ว่าหากเธอไม่ตอบเขาคงไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ
“เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อน่ะสิ แค่มันอ้าปากฉันก็เห็นลิ้นไก่แล้ว ไอ้พวกชอบปีนต้นงิ้วพรรค์นั้นน่ะ”
“อ้อ! ถ้าอย่างวัชเรียกพวกชอบปีนต้นงิ้ว แล้วอย่างคุณมุจลินทร์ล่ะคะ จะเรียกว่าอะไร”
“จิรัชยา!”
“คะ...พี่ภู”
จิรัชยาไม่ได้มีความเกรงกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะพึ่งรำลึกอยู่เสมอว่าเธอหาใช่คนที่เขาใฝ่ปองและมีใจสิเนหา หากยังมาทำท่าหวาดกลัวให้เขาเห็นเขาก็คงจะยิ่งได้ใจข่มเธอได้ยามเมื่อต้องใช้ชีวิตร่วมกันซึ่งก็เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงเดือนเท่านั้น
“อย่ามาต่อปากต่อคำกับฉันนะ ไม่อย่างนั้นจะหาว่าไม่เตือน” เขาชี้หน้าเธอพร้อมกับข่มขู่
“ทำไมคะ หรือพี่ภูจะทำเหมือนหนูจ๋าเป็นกระสอบทราย ซ้อมเช้าซ้อมเย็นอย่างนั้นหรือคะ”
“ชอบความรุนแรงนักไม่ใช่หรือไงล่ะ” ภูธนิกเผลอยกมือขึ้นกุมข้างแก้มที่ถูกหญิงสาวตบไปด้วยแววตาที่ยังโกรธกรุ่น
“ถ้าพี่ภูกล้าทำแบบนั้นหนูจ๋าก็จะไม่ว่าสักคำ”
“ลูกผู้ชายอย่างฉันคงไม่ทำเรื่องเลวทรามอย่างที่เธอคิดหรอก แต่ถ้าจะให้ทำอย่างที่ลูกผู้ชายเขาทำกัน ประเภทเธอตบแล้วฉันจะต้องจูบเนี่ย ฉันก็ทำไม่ไหวเสียด้วยสิ ก็ดูหน้าตาเธอสิ มันจืดอย่างกับอะไรดี แล้วแบบนี้ใครจะไปจูบลง”
จิรัชยารู้สึกหน้าชาราวกับถูกเขาตบหน้าด้วยวาจาร้ายกาจนั้น เขาไม่จำเป็นต้องทำร้ายเธอด้วยพละกำลังหรืออะไรทั้งนั้น เพราะเพียงแค่คำพูดดูถูกเหยียดหยามอย่างที่เขาทำอยู่นี้เธอก็เจ็บมากพอแล้ว
“จูบไม่ลงก็ต้องทนหน่อยนะคะ เพราะพี่ภูคงต้องอยู่กับหนูจ๋าไปอีกนาน”
“ใช่ ฉันคงต้องอดต้องทน เรื่องอะไรจะทำให้เธอได้ทุกอย่างของฉันไปล่ะ อะไรที่เป็นของฉันมันก็ต้องเป็นของฉัน เธอจะไม่มีวันได้มันไปแน่”
“หนูจ๋าก็ไม่ได้อยากได้อะไรของพี่ภูหรอกนะคะ ก็แค่ขอเงินมาใช้หนี้แค่นี้ ขนหน้าแข่งพี่ภูคงไม่ร่วงหรอกค่ะ”
“หน้าไม่อาย!”
จิรัชยาถึงกับสะอึกไปเล็กน้อยกับคำพูดของเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มอยู่ได้ราวกับไม่รู้สึกอะไรทั้งที่ในใจเธอกำลังบีบคั้นจนร้าวระบมไปทั่วทั้งทรวงใน
ภูธนิกขบกรามแน่นเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนกำลังเยาะหยันของหญิงสาว จนต้องหันหน้าไปทางอื่นแต่แล้วสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นร่างเพรียวบางในชุดกระโปรงรัดรูปที่กำลังเดินเข้ามาในร้านอาหารพอดี
“มุจลินทร์”
เสียงเอ่ยเรียกชื่อระคายหูทำให้จิรัชยาต้องหันขวับไปมองตามสายตาของเขาแทบจะทันที แล้วก็พบกับบุคคลที่ไม่ควรจะพบเข้าอย่างจังเมื่อเจ้าหล่อนกำลังเดินยิ้มแก้มแทบปริมาทางนี้พอดี
“ภูคะ ดีใจจังค่ะที่บังเอิญได้พบคุณ”
มุจลินทร์เดินเข้ามาคลอเคลียโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มจะมากับใคร และดูเหมือนภูธนิกเองก็เป็นใจเสียด้วยซ้ำเพราะยิ้มรับหน้าบานไม่แม้แต่จะแนะนำจิรัชยาให้อีกฝ่ายรู้จัก
“เชิญนั่งด้วยกันสิคะ คุณมุจลินทร์”
เมื่อไม่มีใครสนใจจะแนะนำเธอจิรัชยาก็ไม่เห็นสำคัญเพราะว่าเธอแนะนำตัวเองก็ได้ หญิงสาวจำใบหน้าของผู้หญิงคนนี้ได้ดีแม้จะได้เห็นเพียงไม่กี่ครั้งจากภาพถ่ายที่คุณลัลดานำมาให้ดู แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้จักเธอจึงไม่คิดทักทายว่าที่เจ้าสาวของผู้ชายที่เจ้าหล่อนกำลังกอดคลอเคลียอยู่สักคำ
“ใครคะภู อย่าบอกนะว่า...” มุจลินทร์เผยอริมฝีปากค้างไว้เล็กน้อยก่อนจะยิ้มเหยียดเมื่อเดาออกว่าผู้หญิงที่นั่งร่วมโต๊ะกับภูธนิกขณะนี้คือว่าที่เจ้าสาวของเขา
“ฉันจิรัชยาค่ะ เจ้าสาวของพี่ภู ยินดีที่ได้รู้จักคุณมุจลินทร์ค่ะ” จิรัชยาส่งยิ้มให้อย่างท้าทายขณะแนะนำตัวเอง
“นึกแล้วเชียวว่าต้องใช่ ดูจืดชืดอย่างที่คุณบอกจริงๆ ด้วยค่ะภู”
มุจลินทร์ไม่สนใจคำแนะนำของอีกฝ่ายเมื่อยังคลอเคลียภูธนิกไม่ยอมห่าง ซ้ำยังหันไปฉอเลาะราวกับว่าไม่มีจิรัชยาอยู่ตรงนี้ด้วย
“พี่ภูเคยพูดถึงฉันให้คุณฟังด้วยหรือคะ” จิรัชยาถามเสียงเรียบแต่มือนั้นกำแน่นด้วยความแค้นใจที่เขาดูถูกเธอกับผู้หญิงคนนี้ แต่ทีเธอจะพาดพิงถึงมุจลินทร์หน่อยเขากลับทำโกรธ
“โอ๊ย...บ่อยไปค่ะ คนมาทีหลังก็อย่างนี้แหละค่ะ ภูเขาก็ต้องมาขออนุญาตกับฉันก่อนอยู่แล้ว”
“ไม่เอาน่ามุจ อย่าทะเลาะกันเลย แล้วนี่คุณมาที่นี่ได้อย่างไร” ภูธนิกเห็นว่าเรื่องชักจะไปกันใหญ่จึงรีบแทรกขึ้น
“ทะเลาะอะไรกันล่ะคะ แค่เมียน้อยกับเมียหลวงเขาทักทายกันธรรมดา”
“เอ...ใครกันคะเมียน้อยเมียหลวง ที่นั่งอยู่นี่ฉันก็เห็นมีแต่เจ้าสาวของเขา กับ...คู่ขาเก่าเท่านั้นเอง” จิรัชยาสวนขึ้นทันควันอย่างไม่ยอมแพ้
“พอได้แล้วน่าหนูจ๋า” ภูธนิกต้องหันมาเอ่ยปรามว่าที่เจ้าสาวของเขาบ้าง
“พี่ภูนั่นแหละค่ะ พอสักทีเถอะ เมื่อไหร่จะเลิกไอ้นิสัยมั่วไม่เลือกแบบนี้น่ะ ก็เพราะอย่างนี้นะสิคุณป้าท่านถึงต้องรีบให้พี่ภูแต่งงาน”
“จิรัชยา ถ้าเธอไม่พอใจละก็ จะไปไหนก็ไป แต่อย่ามาด่าว่าฉันในที่สาธารณะชนอย่างนี้ เพราะฉันหน้าไม่หนาพอ” ภูธนิกโกรธที่ถูกเธอจี้ใจดำจนเผลอชี้นิ้วไล่ด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด คนที่อยู่ในร้านเริ่มหันมามองทางเขาเป็นจุดเดียว
“คราวหลังถ้าจะนัดกันมาละก็ ช่วยบอกล่วงหน้าด้วยนะคะ หนูจ๋าจะได้ไม่ต้องมาให้เสียเวลา เพราะมันทุเรศมากกับพฤติกรรมขับรถไฟชนกันของพี่ภู”
หญิงสาวสาดวาจาเผ็ดร้อนใส่เขาก่อนจะจากไปอย่างนางพญาทีไม่มีทีท่าว่าจะหวั่นเกรงต่อสายตาของผู้คนที่มองมาเลยแม้แต่น้อย แต่ภายในใจดวงเล็กๆ ของจิรัชยานั้นหญิงสาวรู้ดีว่าเธอไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่พยายามแสดงออกเพราะมันเจ็บร้าวไปทั่วทั้งอกใจ
พบกันอีกครั้งกับเรื่องใหม่ หลงบ่วงวิวาห์ ค่ะ
เรื่องราวความรักระหว่าง ภูธนิกกับจิรัชยา
มาครั้งนี้กระต่ายขอนำเสนอพระเอก
ที่อยากจะรักกับเมียใจแทบขาดแต่ฟอร์มพี่ท่านเยอะเสียเหลือเกิน ฮ่าๆ
ไม่รู้ว่าจะถูกใจกันหรือเปล่าแต่ยังไงก็ขอฝากเอาไว้อีกสักเรื่องก็แล้วกันค่ะ
ปล. ตอนแรกๆจะสั้นหน่อยเพราะเพิ่งเปลี่ยนมาใช้ Word 2007(ยังไม่ชิน)
แล้วลืมตั้งค่าหน้ากระดาษ พอไปตั้งอีกทีมันเลยหดสั้นขึ้นมาเหลือแค่นี้ค่ะ อิอิ
แต่ไม่้ต้องห่วงเพราะจะมาอัพให้ตลอด ๆ เลยค่ะ
...................................................
ปี๊บๆๆ
เสียงแตรรถที่ดังมาถึงตัวบ้านทำให้ร่างบางที่กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกบนห้องนอนต้องเร่งมือก่อนจะกระวีกระวาดลงมายังชั้นล่างเพื่อเตรียมต้อนรับผู้มาเยือนในยามเช้าตรู่
จิรัชยาวิ่งผ่านธรณีประตูออกไปยังรั้วบ้านเพื่อเปิดประตูรั้วให้ผู้มาใหม่ได้เข้ามาด้านใน แต่ร่างสูงเปรียวที่ยืนพิงรถคันหรูอยู่นั้นกลับทำเพียงถอดแว่วตากันแดดสีชาของตัวเองออกแล้วปรายตามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับเห็นสิ่งประหลาด ก่อนที่คำพูดบาดหูจะเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากได้รูปคู่นั้น
“แต่งตัวอย่างนี้น่ะหรือจะออกไปเดินกับฉัน”
“หนูจ๋าแต่งแบบนี้แล้วทำไมเหรอคะพี่ภู”
หญิงสาวถามเขาก่อนจะก้มมองตัวเองซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าสีขาวสะอาดแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตที่ทอประกายใสซื่อนั้นทำให้ภูธนิกต้องถอนหายใจพรืดก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อยคล้ายกับรำคาญเมื่อคิดว่าเธอช่างไม่รู้อะไรเสียเลยหรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่
“ก็แต่งตัวอย่างกับจะไปวัดอย่างนี้ใครเขาจะอยากเดินด้วย เชยชะมัด” ประโยคท้ายชายหนุ่มสบถออกมาเล็กน้อยก่อนจะก้าวขึ้นรถโดยไม่รอเปิดประตูหรือเชื้อเชิญอีกฝ่าย
จิรัชยาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อยๆ ผ่อนมันออกมาช้าๆ แล้วเปิดประตูขึ้นไปนั่งคนละฝั่งกับเขาอย่างใจเย็นที่สุด เพราะรู้ว่าภูธนิกก็เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาไม่เคยนึกชอบสักอย่างหากว่าอะไรที่เป็นตัวเธอ
“ถ้าพี่ภูลำบากใจ ก็ไม่เห็นจะต้องมารับหนูจ๋าไปไหนด้วยเลยนี่คะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นเสียงเรียบเมื่อรถเริ่มเคลื่อนออกสู้ถนนคอนกรีตที่ปูลาดออกไปบรรจบกับถนนใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยเมตร บ้านสวนที่เงียบสงบของเธอดูจะไร้ค่าไร้ราคาเมื่อเทียบกับบ้านหลังใหญ่ของเขาที่กรุงเทพฯ และดูเหมือนว่าแม้แต่ตัวเขากับตัวของเธอเองก็ดูจะแตกต่างกันเสียเหลือเกินจนเธอมองไม่เห็นทางที่จะมาบรรจบกันได้
“ถ้าคุณแม่ไม่สั่งฉันคงไม่มา”
“พี่ภูก็แค่บอกท่านว่าจะมา แต่ไม่ต้องมาจริงๆ ก็ได้นี่คะ ยังไงถ้าท่านโทรมาถามหนูจ๋าก็ช่วยโกหกให้อยู่แล้ว พี่ภูไม่เห็นต้องลำบาก”
“นี่เธอกำลังประชดพี่เหรอหนูจ๋า”
ภูธนิกเหลียวมองหญิงสาวข้างกายเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอนั่งสงบนิ่งก็หักรถเข้าข้างทางแล้วดับเครื่องก่อนจะหันมาเค้นเธอจริงจัง
“นี่คือสิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่เหรอหนูจ๋า แล้วเรื่องอะไรจะต้องมาประชดประชันพี่ถ้าหากว่าพี่จะทำมันด้วยความไม่เต็มใจเพราะเธอเองก็รู้ว่าถึงอย่างไรเราก็ไม่มีทางรักกันได้”
“หนูจ๋าก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ พี่ภูเข้าใจผิดไปเอง หนูจ๋าไม่ได้ประชด ก็แค่หาทางออกให้พี่ภูเท่านั้นเอง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นหวังดี เพราะถ้าเธอคิดจะช่วยฉันจริงๆ ล่ะก็ เวลานี้ฉันก็คงจะไม่ต้องมาอยู่กับเธอที่นี่”
“หนูจ๋าทราบค่ะว่าพี่ภูคงจะฝืนใจกับการแต่งงานของเราในครั้งนี้มาก แต่ถ้าพี่ภูจะให้หนูจ๋ายกเลิก หนูจ๋าก็คงจะทำไม่ได้เพราะ...”
“เพราะเธอมันเห็นแก่เงินอย่างไรล่ะ”
ภูธนิกต่อให้ด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน แววตาที่เคยทอประกายอบอุ่นในวันวานยามทอดมองเธอนั้นหายไปสิ้น เวลานี้เหลือเพียงแววตาของความเกลียดชังและดูถูกเหยียดหยามอยู่เต็มเปี่ยม
“แค่ปีเดียวเท่านั้นเองไม่ใช่หรือค่ะกับการที่ต้องทนอยู่กับหนูจ๋า รับรองได้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้วหนูจ๋าจะไม่รั้งพี่ภูเอาไว้หรอกค่ะ ยังไงพี่ภูก็ได้กลับไปอยู่กับคุณมุจลินทร์แน่ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องทนอยู่กับคนที่เกลียดอย่างหนูจ๋าต่อไปหรอกค่ะ”
“รู้ตัวก็ดีแล้ว แต่ถึงเธอจะรั้งฉันเอาไว้ก็คงจะไม่ได้หรอกนะ เพราะจืดชืดอย่างเธอนี่หรือจะเอาอะไรมารั้งฉันไว้ได้ แค่แต่งตัวยังดูไม่ได้เลย”
“เลิกวิจารณ์การแต่งตัวของหนูจ๋าเสียทีเถอค่ะ หนูจ๋าจะแต่งอย่างไรมันก็เรื่องของหนูจ๋า”
“เรื่องของเธอก็ดีน่ะสิ เพราะพอแต่งงานกันแล้วฉันจะได้เก็บเธอไว้แต่กับบ้าน ไม่ต้องพาไปออกงานที่ไหนให้ต้องขายหน้าคนอื่นเขาว่านายภูธนิกไปเก็บยายเฉิ่มที่ไหนก็ไม่รู้มาทำเมีย”
จิรัชยาต้องกำหมัดแน่นเมื่อได้ฟังคำดูถูกจากปากเขาอีกครั้ง เธอรู้ว่าผู้หญิงในฝันของเขาหาใช่เธอไม่ เพราะอย่างไรก็ต้องเป็นมุจลินทร์คู่ควงคนล่าสุดที่ดูจะมาแรงแซงโค้งผู้หญิงทุกคนที่เคยผ่านมาของเขาจนคุณลัลดาถึงต้องให้เธอมาแต่งงานกับเขาเพราะกลัวเขาจะไปยกย่องมุจลินทร์ขึ้นมาเป็นสะใภ้ของท่าน
“ยายเฉิ่มอย่างหนูจ๋าก็คงจะดีกว่าคุณมุจลินทร์ของพี่ภูล่ะมั้งคะ คุณป้าลัลดาท่านถึงได้ชอบหนูจ๋ามากกว่าเมียของพี่ภู”
“อย่าคิดว่าคุณแม่เอ็นดูเธอแล้วจะมาพาดพิงถึงมุจลินทร์ได้นะ เธอไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเอาตัวเองไปเทียบกับมุจลินทร์ด้วยซ้ำเพราะเธอน่ะมันไม่ได้ครึ่งหนึ่งของมุจลินทร์หรอก”
“อะไรคะที่ว่าไม่ได้ครึ่ง หน้าตาหรือว่าอย่างอื่น”
หญิงสาวตั้งใจจะรวนเขาเพราะเหลือทนแล้วจริงๆ แต่ไม่รู้เลยว่าเพราะคำพูดที่ไม่ทันคิดของตัวเองนั้นจะทำให้อีกฝ่ายคิดไปได้ในอีกนัย
“ทั้งหน้าตาแล้วก็...อย่างอื่นที่เธอว่านั่นด้วย เพราะเดาได้ว่าจืดๆ อย่างนี้คงไร้รสชาติโดยสิ้นเชิง รับรองว่าแค่ได้ลองครั้งเดียวฉันก็ต้องเบื่อ”
เพลี้ย!
“อย่ามาหยาบคายกับหนูจ๋านะ”
สิ้นเสียงตบหญิงสาวก็แหวใส่เขาอย่างเกรี้ยวกราดซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่จิรัชยาแสดงอารมณ์ฉุนเฉี่ยวออกมาให้เขาเห็น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้โกรธได้มากเท่ากับที่เธอบังอาจมาตบหน้าเขา
“ยังไม่ได้เป็นเมียฉันด้วยซ้ำ มีสิทธิ์อะไรมาตบหน้าฉัน!”
ภูธนิกเองก็เกรี้ยวกราดไม่แพ้กัน ร่างหนาเคลื่อนเข้าไปใกล้ร่างบางก่อนจะคว้าไหล่มนแล้วกำเอาไว้แน่นจนหญิงสาวมีสีหน้าเหยเกเพราะรู้สึกเจ็บแต่เขาก็หาได้สนใจเพราะความโกรธมันอยู่เหนือทุกสิ่งในเวลานี้
“ปล่อยนะ หนูจ๋าเจ็บ!”
“ชอบรุนแรงนักไม่ใช่หรือไง ฉันจะได้บี้ให้เธอตายคามือ” พร้อมกับคำพูดชายหนุ่มก็เขย่าร่างบางเสียหัวสั่นหัวคลอน หญิงสาวก็ไม่น้อยหน้ายกมือขึ้นเตรียมตะกุยใบหน้าเขาอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะชายหนุ่มไวกว่าคว้ามือเธอเอาไว้ได้ ก็เลยกลายเป็นยื้อยุดกันไปมาในที่แคบๆ นั้น
ปี๊บๆๆ
เสียงแตรรถทำให้ทั้งสองร่างต้องชะงัก จิรัชยาจึงใช้จังหวะนั้นดันร่างหนาออกห่างทันที ก่อนจะรีบเปิดประตูลงจากรถโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะไขว่คว้าเอาไว้อย่างไร
“อ้าว...หนูจ๋า”
เสียงร้องทักคุ้นหูทำให้จิรัชยาต้องตั้งสติก่อนจะหันไปมองทางต้นเสียงแล้วต้องยิ้มอ่อนๆ เมื่อพบธีรวัชเพื่อนสนิทนั่งคร่อมอยู่บนรถจักรยานยนต์และเดาว่าเสียงแตรเมื่อครู่ก็คงจะมาจากเขา
“หนูจ๋านี่เองเราก็นึกว่าใคร รถเสียหรือเปล่าทำไมถึงจอดนิ่งอย่างนี้ล่ะ”
กระจกรถติดฟิล์มหนาทึบทำให้ธีรวัชมองไม่เห็นบุคคลที่อยู่ด้านในนอกจากเห็นรถที่จอดสนิทเขาจึงต้องบีบแตรเรียกเพราะไม่แน่ใจว่ามีคนอยู่หรือไม่ เพราะหากมีคนอยู่ก็จะได้ถามไถ่ว่าเพราะเหตุใดถึงมาจอดรถอยู่ตรงนี้เนื่องจากที่ตรงนี้มันเป็นถนนส่วนบุคคลไม่น่าจะมีรถใครมาจอดนอกจากรถที่บ้านของจิรัชยา
“เอ่อ...รถไม่ได้เป็นอะไรหรอก แล้วนี่วัชมีอะไรหรือเปล่าถึงมาหาแต่เช้าเลย”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก เราแค่จะเอาแกงสายบัวไปให้น่ะ พอดีแม่ทำไว้เต็มหม้อก็เลยตักมาให้หนูจ๋ากับหน้ารวงด้วย” ธีรวัชบอกพร้อมกับพยักเพยิดไปที่ตะกร้าหน้ารถซึ่งมีปิ่นโตวางอยู่
“ที่บ้านไม่มีใครอยู่หรอกเขาไปวัดกันหมดน่ะ แต่ยังไงก็ขอบใจนะที่อุตส่าห์เอามาฝาก แต่วันนี้หนูจ๋าคงอยู่กินแกงสายบัวไม่ได้หรอกพอดีมีธุระน่ะ”
“ธุระอะไรน่ะหนูจ๋า แล้วไปกับใครแต่เช้าเลย”
“หนูจ๋า...จะไปได้หรือยัง”
ภูธนิกรีบเปิดประตูรถออกมาร้องเรียกเพื่อเป็นการแสดงตัวเมื่อเห็นว่าจิรัชยาชักจะคุยกับเพื่อนสนิทนานเกินไปแล้ว
“อ้อ! คุณนั่นเอง” ธีรวัชเลิกสงสัยในทันทีว่าจิรัชยาจะไปธุระเรื่องอะไรและไปกับใคร ทีแรกเขาน่าจะจำรถเบนซ์คันหรูสีดำมันวาวคันนี้ได้นะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาบีบแตรเรียกให้เมื่อย
“แหม...ดีใจเหลือเกินที่คุณเพื่อนสนิทของหนูจ๋ายังจำว่าที่เจ้าบ่าวของหนูจ๋าได้”
น้ำเสียงประชดประชันนั้นทำให้จิรัชยารู้ว่าคงไม่ดีแน่ถ้าหากจะให้ภูธนิกอยู่เผชิญหน้ากับธีรวัชต่อจึงรีบตัดบทขึ้นทันที
“เอ้อ...หนูจ๋าไปก่อนนะวัช แล้วเจอกันนะ”
ร่างบางรีบก้าวขึ้นรถไปทันทีโดยมีสายตาของธีรวัชทอดมองราวกับจะตัดพ้อ และนั่นก็ไม่อาจพ้นสายตาเฉียบคมของภูธนิกได้ชายหนุ่มจึงส่งเสียงกระแอมกระไอคล้ายปราม
“อะแฮ่ม!”
“ไม่ทราบว่าอะไรติดคอหรือครับคุณว่าที่เจ้าบ่าวหนูจ๋า” ธีรวัชถามขึ้นทันควันและก็ได้รับคำตอบในทันทีเช่นกัน
“ต้นงิ้ว...”
ภูธนิกยักคิ้วให้ผู้อ่อนวัยกว่าราวกับจะยียวนก่อนจะก้าวขึ้นรถแล้วปิดประตูเสียงดังปัง แล้วธีรวัชก็เห็นรถเบนซ์คันหรูเคลื่อนออกไปจนลับตา
แกงสายบัวที่เตรียมมาก็คงเป็นหมันเพราะไม่มีใครเหลียวแลมัน ดังเช่นตัวเขาที่คงจะถูกลืมเลือนแม้ว่าจะอยู่ใกล้เธอเพียงแค่เอื้อมก็ตาม
“คิดอะไรกับไอ้หมอนั่น”
“หมอไหนคะ?”
จิรัชยาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับคำถามของเขาขณะนั่งรับประทานอาหารอยู่ด้วยกัน ณ ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากบ้านสวนของเธอไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าท่าทีไม่สนใจของเธอนั้นจะสร้างไฟอารมณ์ของเขาให้คุกรุ่นเพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตาคมก็เห็นมันลุกโรจน์ราวกับกองเพลิง
“ก็แค่เพื่อนสนิทเท่านั้นล่ะค่ะ” หญิงสาวต้องอุบอิบตอบเขาอย่างเสียไม่ได้เพราะรู้ว่าหากเธอไม่ตอบเขาคงไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ
“เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อน่ะสิ แค่มันอ้าปากฉันก็เห็นลิ้นไก่แล้ว ไอ้พวกชอบปีนต้นงิ้วพรรค์นั้นน่ะ”
“อ้อ! ถ้าอย่างวัชเรียกพวกชอบปีนต้นงิ้ว แล้วอย่างคุณมุจลินทร์ล่ะคะ จะเรียกว่าอะไร”
“จิรัชยา!”
“คะ...พี่ภู”
จิรัชยาไม่ได้มีความเกรงกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะพึ่งรำลึกอยู่เสมอว่าเธอหาใช่คนที่เขาใฝ่ปองและมีใจสิเนหา หากยังมาทำท่าหวาดกลัวให้เขาเห็นเขาก็คงจะยิ่งได้ใจข่มเธอได้ยามเมื่อต้องใช้ชีวิตร่วมกันซึ่งก็เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงเดือนเท่านั้น
“อย่ามาต่อปากต่อคำกับฉันนะ ไม่อย่างนั้นจะหาว่าไม่เตือน” เขาชี้หน้าเธอพร้อมกับข่มขู่
“ทำไมคะ หรือพี่ภูจะทำเหมือนหนูจ๋าเป็นกระสอบทราย ซ้อมเช้าซ้อมเย็นอย่างนั้นหรือคะ”
“ชอบความรุนแรงนักไม่ใช่หรือไงล่ะ” ภูธนิกเผลอยกมือขึ้นกุมข้างแก้มที่ถูกหญิงสาวตบไปด้วยแววตาที่ยังโกรธกรุ่น
“ถ้าพี่ภูกล้าทำแบบนั้นหนูจ๋าก็จะไม่ว่าสักคำ”
“ลูกผู้ชายอย่างฉันคงไม่ทำเรื่องเลวทรามอย่างที่เธอคิดหรอก แต่ถ้าจะให้ทำอย่างที่ลูกผู้ชายเขาทำกัน ประเภทเธอตบแล้วฉันจะต้องจูบเนี่ย ฉันก็ทำไม่ไหวเสียด้วยสิ ก็ดูหน้าตาเธอสิ มันจืดอย่างกับอะไรดี แล้วแบบนี้ใครจะไปจูบลง”
จิรัชยารู้สึกหน้าชาราวกับถูกเขาตบหน้าด้วยวาจาร้ายกาจนั้น เขาไม่จำเป็นต้องทำร้ายเธอด้วยพละกำลังหรืออะไรทั้งนั้น เพราะเพียงแค่คำพูดดูถูกเหยียดหยามอย่างที่เขาทำอยู่นี้เธอก็เจ็บมากพอแล้ว
“จูบไม่ลงก็ต้องทนหน่อยนะคะ เพราะพี่ภูคงต้องอยู่กับหนูจ๋าไปอีกนาน”
“ใช่ ฉันคงต้องอดต้องทน เรื่องอะไรจะทำให้เธอได้ทุกอย่างของฉันไปล่ะ อะไรที่เป็นของฉันมันก็ต้องเป็นของฉัน เธอจะไม่มีวันได้มันไปแน่”
“หนูจ๋าก็ไม่ได้อยากได้อะไรของพี่ภูหรอกนะคะ ก็แค่ขอเงินมาใช้หนี้แค่นี้ ขนหน้าแข่งพี่ภูคงไม่ร่วงหรอกค่ะ”
“หน้าไม่อาย!”
จิรัชยาถึงกับสะอึกไปเล็กน้อยกับคำพูดของเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มอยู่ได้ราวกับไม่รู้สึกอะไรทั้งที่ในใจเธอกำลังบีบคั้นจนร้าวระบมไปทั่วทั้งทรวงใน
ภูธนิกขบกรามแน่นเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนกำลังเยาะหยันของหญิงสาว จนต้องหันหน้าไปทางอื่นแต่แล้วสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นร่างเพรียวบางในชุดกระโปรงรัดรูปที่กำลังเดินเข้ามาในร้านอาหารพอดี
“มุจลินทร์”
เสียงเอ่ยเรียกชื่อระคายหูทำให้จิรัชยาต้องหันขวับไปมองตามสายตาของเขาแทบจะทันที แล้วก็พบกับบุคคลที่ไม่ควรจะพบเข้าอย่างจังเมื่อเจ้าหล่อนกำลังเดินยิ้มแก้มแทบปริมาทางนี้พอดี
“ภูคะ ดีใจจังค่ะที่บังเอิญได้พบคุณ”
มุจลินทร์เดินเข้ามาคลอเคลียโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มจะมากับใคร และดูเหมือนภูธนิกเองก็เป็นใจเสียด้วยซ้ำเพราะยิ้มรับหน้าบานไม่แม้แต่จะแนะนำจิรัชยาให้อีกฝ่ายรู้จัก
“เชิญนั่งด้วยกันสิคะ คุณมุจลินทร์”
เมื่อไม่มีใครสนใจจะแนะนำเธอจิรัชยาก็ไม่เห็นสำคัญเพราะว่าเธอแนะนำตัวเองก็ได้ หญิงสาวจำใบหน้าของผู้หญิงคนนี้ได้ดีแม้จะได้เห็นเพียงไม่กี่ครั้งจากภาพถ่ายที่คุณลัลดานำมาให้ดู แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้จักเธอจึงไม่คิดทักทายว่าที่เจ้าสาวของผู้ชายที่เจ้าหล่อนกำลังกอดคลอเคลียอยู่สักคำ
“ใครคะภู อย่าบอกนะว่า...” มุจลินทร์เผยอริมฝีปากค้างไว้เล็กน้อยก่อนจะยิ้มเหยียดเมื่อเดาออกว่าผู้หญิงที่นั่งร่วมโต๊ะกับภูธนิกขณะนี้คือว่าที่เจ้าสาวของเขา
“ฉันจิรัชยาค่ะ เจ้าสาวของพี่ภู ยินดีที่ได้รู้จักคุณมุจลินทร์ค่ะ” จิรัชยาส่งยิ้มให้อย่างท้าทายขณะแนะนำตัวเอง
“นึกแล้วเชียวว่าต้องใช่ ดูจืดชืดอย่างที่คุณบอกจริงๆ ด้วยค่ะภู”
มุจลินทร์ไม่สนใจคำแนะนำของอีกฝ่ายเมื่อยังคลอเคลียภูธนิกไม่ยอมห่าง ซ้ำยังหันไปฉอเลาะราวกับว่าไม่มีจิรัชยาอยู่ตรงนี้ด้วย
“พี่ภูเคยพูดถึงฉันให้คุณฟังด้วยหรือคะ” จิรัชยาถามเสียงเรียบแต่มือนั้นกำแน่นด้วยความแค้นใจที่เขาดูถูกเธอกับผู้หญิงคนนี้ แต่ทีเธอจะพาดพิงถึงมุจลินทร์หน่อยเขากลับทำโกรธ
“โอ๊ย...บ่อยไปค่ะ คนมาทีหลังก็อย่างนี้แหละค่ะ ภูเขาก็ต้องมาขออนุญาตกับฉันก่อนอยู่แล้ว”
“ไม่เอาน่ามุจ อย่าทะเลาะกันเลย แล้วนี่คุณมาที่นี่ได้อย่างไร” ภูธนิกเห็นว่าเรื่องชักจะไปกันใหญ่จึงรีบแทรกขึ้น
“ทะเลาะอะไรกันล่ะคะ แค่เมียน้อยกับเมียหลวงเขาทักทายกันธรรมดา”
“เอ...ใครกันคะเมียน้อยเมียหลวง ที่นั่งอยู่นี่ฉันก็เห็นมีแต่เจ้าสาวของเขา กับ...คู่ขาเก่าเท่านั้นเอง” จิรัชยาสวนขึ้นทันควันอย่างไม่ยอมแพ้
“พอได้แล้วน่าหนูจ๋า” ภูธนิกต้องหันมาเอ่ยปรามว่าที่เจ้าสาวของเขาบ้าง
“พี่ภูนั่นแหละค่ะ พอสักทีเถอะ เมื่อไหร่จะเลิกไอ้นิสัยมั่วไม่เลือกแบบนี้น่ะ ก็เพราะอย่างนี้นะสิคุณป้าท่านถึงต้องรีบให้พี่ภูแต่งงาน”
“จิรัชยา ถ้าเธอไม่พอใจละก็ จะไปไหนก็ไป แต่อย่ามาด่าว่าฉันในที่สาธารณะชนอย่างนี้ เพราะฉันหน้าไม่หนาพอ” ภูธนิกโกรธที่ถูกเธอจี้ใจดำจนเผลอชี้นิ้วไล่ด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด คนที่อยู่ในร้านเริ่มหันมามองทางเขาเป็นจุดเดียว
“คราวหลังถ้าจะนัดกันมาละก็ ช่วยบอกล่วงหน้าด้วยนะคะ หนูจ๋าจะได้ไม่ต้องมาให้เสียเวลา เพราะมันทุเรศมากกับพฤติกรรมขับรถไฟชนกันของพี่ภู”
หญิงสาวสาดวาจาเผ็ดร้อนใส่เขาก่อนจะจากไปอย่างนางพญาทีไม่มีทีท่าว่าจะหวั่นเกรงต่อสายตาของผู้คนที่มองมาเลยแม้แต่น้อย แต่ภายในใจดวงเล็กๆ ของจิรัชยานั้นหญิงสาวรู้ดีว่าเธอไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่พยายามแสดงออกเพราะมันเจ็บร้าวไปทั่วทั้งอกใจ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 เม.ย. 2554, 22:40:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 เม.ย. 2554, 22:44:15 น.
จำนวนการเข้าชม : 8978
ตอนที่ 2 สิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใน >> |

เทียมทราย 20 เม.ย. 2554, 22:58:34 น.
ได้แล้ววววววววววววววววววววววว วู๊บๆๆๆ มาเป็นคนแรก ฮ่าๆๆๆ
ได้แล้ววววววววววววววววววววววว วู๊บๆๆๆ มาเป็นคนแรก ฮ่าๆๆๆ

ชนาพัทธ์ 20 เม.ย. 2554, 23:07:02 น.
หวายยยยยยย พระเอกไม่น่ารักเลยนะค้าบบบบบ
หวายยยยยยย พระเอกไม่น่ารักเลยนะค้าบบบบบ

NNK 20 เม.ย. 2554, 23:23:11 น.
:)
:)

invisible 20 เม.ย. 2554, 23:34:34 น.
วู้วววว Like! ค่าาาา ^^
วู้วววว Like! ค่าาาา ^^

MYsister 20 เม.ย. 2554, 23:50:41 น.
โดนนน ^^
โดนนน ^^

lunamoon 21 เม.ย. 2554, 00:00:09 น.
โดนเลยค้า ร่วมมือกับหนูจ๋า สู้กับพี่ภู
โดนเลยค้า ร่วมมือกับหนูจ๋า สู้กับพี่ภู

Setia 21 เม.ย. 2554, 00:24:08 น.
โอ สงสารหนูจ๋าจริงๆ พระเอกปากร้าย ใจดำ ไม่มีมารยาท
แต่แหม หนูจ๋า ฉะ กับ นางร้ายได้มันสะใจจริงๆ
โอ สงสารหนูจ๋าจริงๆ พระเอกปากร้าย ใจดำ ไม่มีมารยาท
แต่แหม หนูจ๋า ฉะ กับ นางร้ายได้มันสะใจจริงๆ

incanto 21 เม.ย. 2554, 01:13:50 น.
เทใจให้หนูจ๋าไปเลยค่า
เทใจให้หนูจ๋าไปเลยค่า

เด็กหญิงม่อน 21 เม.ย. 2554, 01:34:04 น.
พี่ภูคะ ปากบอกว่าเกลียดแต่ทำไมทำเหมือนหึงหนูจ่าเลยล่ะคะ ^^
พี่ภูคะ ปากบอกว่าเกลียดแต่ทำไมทำเหมือนหึงหนูจ่าเลยล่ะคะ ^^

ก้อนอิฐ 21 เม.ย. 2554, 02:08:52 น.
เอิ่ม.....จะมีภาคสวยเปรียว ไม่จืดให้พี่ภูตะลึงหรือป่าวจ๊ะ
เอิ่ม.....จะมีภาคสวยเปรียว ไม่จืดให้พี่ภูตะลึงหรือป่าวจ๊ะ

ida 21 เม.ย. 2554, 02:27:16 น.
ชอบๆๆๆ เดี๋ยวเถอะ ถ้าหนูจ๋าถอดรูปนะ อย่ามาหลงนะพี่ภู ..
ชอบๆๆๆ เดี๋ยวเถอะ ถ้าหนูจ๋าถอดรูปนะ อย่ามาหลงนะพี่ภู ..

ribbin 21 เม.ย. 2554, 03:05:59 น.
เย้...ดีใจจัง ได้อ่านเรื่องใหม่แล้ว
เย้...ดีใจจัง ได้อ่านเรื่องใหม่แล้ว

เคสิยาห์ 21 เม.ย. 2554, 04:19:31 น.
แซ่บ โย่ว ชอบเรื่องนี้อีกแล้วค่ะ
แซ่บ โย่ว ชอบเรื่องนี้อีกแล้วค่ะ

หมูอ้วน 21 เม.ย. 2554, 05:44:22 น.
ชอบมากมายเลยค่ะ หนูจ๋าอย่าไปยอมพี่ภูนะจ๊ะ
ชอบมากมายเลยค่ะ หนูจ๋าอย่าไปยอมพี่ภูนะจ๊ะ

ann 21 เม.ย. 2554, 06:49:16 น.
เรื่องนี้นางเอกน่ารักกกก แต่พระเอกน่าตืบ 555
เรื่องนี้นางเอกน่ารักกกก แต่พระเอกน่าตืบ 555



picky 21 เม.ย. 2554, 08:06:29 น.
ชื่อน้องหนูน่ารักมาก "หนูจ๋า"
ชื่อน้องหนูน่ารักมาก "หนูจ๋า"

น้ำค้าง 21 เม.ย. 2554, 08:35:03 น.
แหม พระเอกของเราเนี่ยไม่ไหวจะเคลียร์
แหม พระเอกของเราเนี่ยไม่ไหวจะเคลียร์

ทองหลาง 21 เม.ย. 2554, 09:25:46 น.
วิ่งข้ามธรณีประตูจ้าน้องต่าย ไม่ใช่วิ่งผ่านธรณีประตู
ตื่นเต้นเร้าใจมากตั้งแต่เริ่มเชียว
วิ่งข้ามธรณีประตูจ้าน้องต่าย ไม่ใช่วิ่งผ่านธรณีประตู
ตื่นเต้นเร้าใจมากตั้งแต่เริ่มเชียว

nite 21 เม.ย. 2554, 10:04:33 น.
สนุกน่าติดตาม
สนุกน่าติดตาม

รอรัก 21 เม.ย. 2554, 10:55:17 น.
ว้าวววว แซบโย้ววว
ว้าวววว แซบโย้ววว





Asian 21 เม.ย. 2554, 16:36:42 น.
นางเอกออกแนวคุณหนูอีกแล้ว^^
นางเอกออกแนวคุณหนูอีกแล้ว^^

anOO 21 เม.ย. 2554, 19:27:29 น.
เอ...ดูๆ แล้วหนูจ๋าก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี้ย
เอ...ดูๆ แล้วหนูจ๋าก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี้ย

หนอนฮับ 21 เม.ย. 2554, 19:32:12 น.
หนุกอ่ะต่ายยยย อิอิ
หนุกอ่ะต่ายยยย อิอิ

ปูสีน้ำเงิน 21 เม.ย. 2554, 21:33:08 น.
หนูจ๋าสู้เค้านะ
หนูจ๋าสู้เค้านะ

sai 21 เม.ย. 2554, 22:44:14 น.
หนูจ๋าถึงจะเชยแต่ไม่แหยนะค่ะ ชิชิ
หนูจ๋าถึงจะเชยแต่ไม่แหยนะค่ะ ชิชิ

boonja 21 เม.ย. 2554, 22:50:13 น.
ชอบหนูจ๋า...........><
ชอบหนูจ๋า...........><

cheii 22 เม.ย. 2554, 17:08:37 น.
โอววว แค่เริ่มต้นก็มันมากเลยค่ะ
โอววว แค่เริ่มต้นก็มันมากเลยค่ะ


ปอรินทร์ 23 เม.ย. 2554, 12:32:17 น.
สู้ๆ จ้า ต่าย
สู้ๆ จ้า ต่าย

ปารัณ 14 พ.ค. 2554, 10:08:44 น.
ชอบมุขต้นงิ้วมาก ฮ่าๆ
ชอบมุขต้นงิ้วมาก ฮ่าๆ

เกสรชมพู่ 19 พ.ค. 2554, 15:54:02 น.
พระเอกปากร้าย = =
พระเอกปากร้าย = =

ปูจ้า 27 มิ.ย. 2554, 20:09:34 น.
พระเอกหรือคะคุณต่ายมันน่าสักหมัดก่อนจากนะนี่
พระเอกหรือคะคุณต่ายมันน่าสักหมัดก่อนจากนะนี่